หน้าแรก I ประวัติพระพุทธเจ้า I บททำวัตรเช้า-เย็น แปลI จิตสังเขป I ตู่มือมนุษย์I การฝึกใจ l ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ I ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก I
มงคลชีวิต ๓๘ ประการ

มงคลหมู่ที่ ๑

- ไม่คบคนพาล
- คบบันฑิต
- บูชาบุคคลที่ควรบูชา

มงคลหมู่ที่ ๒

- อยู่ในถิ่นที่เหมาะสม
-
มีบุญวาสนามาก่อน
- ตั้งตนชอบ
มงคลหมู่ที่ ๓
- เป็นพหูสูต
-
มีศิลปะ
- มีวินัย
- มีวาจาสุภาษิต
มงคลหมู่ที่ ๔
- บำรุงบิดามารดา
-
เลี้ยงดูบุตร
- สงเคราะห์ภรรยา (สามี)
- ทำงานไม่คั่งค้าง
มงคลหมู่ที่ ๕
- บำเพ็ญทาน
-
ประพฤติธรรม
- สงเคราะห์ญาติ
- ทำงานไม่มีโทษ
มงคลหมู่ที่ ๖
- งดเว้นจากบาป
-
สำรวมจากการดื่มน้ำเมา
- ไม่ประมาทในธรรม
มงคลหมู่ที่ ๗
- มีความเคารพ
-
มีความถ่อมตน
- มีความสันโดษ
- มีความกตัญญู
- ฟังธรรมตามกาล
มงคลหมู่ที่ ๘
- มีความอดทน
-
เป็นคนว่าง่าย
- เห็นสมณะ
- สนทนาธรรมตามกาล
มงคลหมู่ที่ ๙
- บำเพ็ญตบะ
-
ประพฤติพรหมจรรย์
- เห็นอริยสัจ
- ทำพระนิพพานให้แจ้ง
มงคลหมู่ที่ ๑๐

- จิตไม่หวั่นในโลกธรรม
-
จิตไม่โศก
- จิตปราศจากธุลี
- จิตเกษม

 

มงคลคาถาที่ ๓๓ การเห็นอริยสัจ

ระไตรปิฎก เล่ม ๒๕ ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ ข้อ ๕-๖
มงคลสูตรในขุททกปาฐะ

[๕] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล
ครั้นปฐมยามล่วงไปเทวดาตนหนึ่งมีรัศมีงามยิ่งนัก ยังพระวิหารเชตวันทั้งสิ้นให้สว่างไสว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า


[๖] เทวดาและมนุษย์เป็นอันมาก ผู้หวังความสวัสดี ได้พากันคิดมงคลทั้งหลาย ขอพระองค์จงตรัสอุดมมงคล

พระผู้มีพระภาคตรัสพระคาถาตอบว่า

การไม่คบคนพาล ๑ การคบบัณฑิต ๑ การบูชาบุคคลที่ควรบูชา ๑ นี้เป็นอุดมมงคล

การอยู่ในประเทศอันสมควร ๑ ความเป็นผู้มีบุญอันกระทำแล้วในกาลก่อน ๑ การตั้งตนไว้ชอบ ๑ นี้เป็นอุดมมงคล

พาหุสัจจะ ๑ ศิลป ๑ วินัยที่ศึกษาดีแล้ว ๑ วาจาสุภาสิต ๑ นี้เป็นอุดมมงคล

การบำรุงมารดา-บิดา ๑ การสงเคราะห์บุตรภรรยา ๑ การงานอันไม่อากูล ๑ นี้เป็นอุดมมงคล

ทาน ๑ การประพฤติธรรม ๑ การสงเคราะห์ญาติ ๑ กรรมอันไม่มีโทษ ๑ นี้เป็นอุดมมงคล

การงดการเว้นจากบาป ๑ ความสำรวมจากการดื่มน้ำเมา ๑ ความไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย ๑ นี้เป็นอุดมมงคล

ความเคารพ ๑ ความประพฤติถ่อมตน ๑ ความสันโดษ ๑ ความกตัญญู ๑ การฟังธรรมโดยกาล ๑ นี้เป็นอุดมมงคล

ความอดทน ๑ ความเป็นผู้ว่าง่าย ๑ การได้เห็นสมณะทั้งหลาย ๑ การสนทนาธรรมโดยกาล ๑ นี้เป็นอุดมมงคล

ความเพียร ๑ พรหมจรรย์ ๑ การเห็นอริยสัจ ๑ การกระทำนิพพานให้แจ้ง ๑ นี้เป็นอุดมมงคล

จิตของผู้ใดอันโลกธรรมทั้งหลายถูกต้องแล้ว ย่อมไม่ หวั่นไหว ๑ ไม่เศร้าโศก ๑ ปราศจากธุลี ๑ เป็นจิตเกษม ๑ นี้เป็นอุดมมงคล

เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ทำมงคลเช่นนี้แล้ว เป็นผู้ไม่ปราชัย ในข้าศึกทุกหมู่เหล่า ย่อมถึงความสวัสดีในที่ทุกสถาน นี้เป็นอุดมมงคลของเทวดาและมนุษย์เหล่านั้น ฯ

จบมงคลสูตร

มงคลคาถาที่ ๓๓ การเห็นอริยสัจ

มงคลที่ ๓๓ คือ การเห็นอริยสัจ หมายถึง การเห็นความเป็นอริยสัจ ๔ ซึ่งมี
ทุกขอริยัสจ
สมุทัยอริยสัจจะ
นิโรธอริยสัจจะ และ
มรรคอริยสัจจะ
ซึ่งได้แก่ การเจริญวิปัสสนา ถึงญาณที่ ๑๒ แห่งวิปัสสนาญาณ ซึ่งเรียกกันว่า อนุโลมญาณ หรือสัจจนุโลมิกญาณ การเห็นอริยสัจนี่ เป็นมงคลข้อที่ ๓๓

"เมื่อยังมองไม่เห็นฝั่งผู้ที่ตกอยู่ในทะเลย่อมว่ายวนอยู่ในห้วงทะเลนั้น โดยไม่รู้จุดหมายฉันใด เมื่อยังไม่เห็นอริยสัจ บุคคลก็ย่อมเวียนว่ายตายเกิดในทะเลทุกข์แห่งวัฏสงสาร โดยไม่รู้จบสิ้นฉันนั้น"

มงคลชีวิต ๓๘ ประการ


แม่บทของศาสนา
ประเทศก็มีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด เป็นแม่บทของกฎหมายอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน ทุกศาสนาในโลกต่างก็มีหลักธรรมคำสั่งสอนที่เป็นแม่บทของศาสนานั้นๆ
แม่บทของพระพุทธศาสนาก็คือ อริยสัจ ๔

อริยสัจ ๔
อริยสัจสามารถแปลได้หลายความหมาย เช่น
- คือ ความจริงอันประเสริฐ
- คือ ความจริงอันทำให้บุคคลผู้เห็นเป็นผู้ประเสริฐ

อริยสัจ ๔ คือ ความจริงที่มีอยู่คู่โลกแต่ไม่มีใครเห็น จนกระทั่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ คือ ทั้งรู้และเห็นแล้วทรงชี้ให้เราดู ได้แก่
๑.ทุกข์ คือ ความไม่สบายกายไม่สบายใจต่างๆ
๒.สมุทัย คือ สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์
๓.นิโรธ คือ ความดับทุกข์ สภาพที่ทุกข์หมดไป
๔.มรรค คือ วิธีปฏิบัติเพื่อไปสู่ความดับทุกข์

ถ้าจะเปรียบกับโรค
ทุกข์ ก็เปรียบเหมือน สภาพที่ป่วยเป็นโรค
สมุทัย ก็เปรียบเหมือน ตัวเชื้อโรค
นิโรธ ก็เปรียบเหมือน สภาพที่หายจากโรค แข็งแรงแล้ว
มรรค ก็เปรียบเหมือน ยารักษาโรคให้หายป่วย

คนทุกคนในโลกนี้ ล้วนแต่มีความทุกข์กันทั้งนั้น เหมือนคนป่วยแต่ก็ไม่รู้ว่าป่วยจากอะไร อะไรเป็นสาเหตุ จะแก้ไขรักษาให้หายป่วยหายทุกข์ได้อย่างไร

ในมงคลนี้ เราจะมาศึกษากันให้เข้าใจถึงแก่นแท้ของชีวิตกันล่ะเอาให้รู้กันเลยว่าที่เราทุกข์ๆ กันอยู่ทุกวันนี้น่ะ มันมีสาเหตุมาจากอะไรแล้วเราจะได้รีบปฏิบัติเพื่อให้พ้นทุกข์กันเสียที

อริยสัจที่ ๑ ทุกข์
ทุกข์ คือ ความไม่สบายกายไม่สบายใจต่างๆ พระองค์ทรงพบความจริงว่า สรรพสัตว์ทั้งหลายล้วนตกอยู่ในความทุกข์
จะเป็นมหาเศรษฐี เป็นนายกฯ เป็นประธานาธิบดี เป็นกษัตริย์ เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ แม้ที่สุดเป็นพระภิกษุ ก็มีทุกข์ทั้งนั้น ต่างแต่เพียงว่าทุกข์มากหรือทุกข์น้อยและมีปัญญาพอที่จะรู้ตัวหรือเปล่าเท่านั้น

พระองค์ได้ทรงแยกแยะให้เราเห็นว่า ความทุกข์นี้มีถึง ๑๑ ประเภทใหญ่ๆ ด้วยกัน แบ่งออกเป็น ๒ ลักษณะ ได้แก่

๑.สภาวทุกข์ คือ ทุกข์ประจำ เป็นความทุกข์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เป็นสภาพธรรมดาของสัตว์

ซึ่งเมื่อเกิดแล้วต้องมีทุกข์ชนิดนี้ มี ๓ ประการได้แก่
๑.การเกิดเป็นทุกข์
๒.การแก่เป็นทุกข์
๓.การตายเป็นทุกข์

ศาสนาอื่นๆ ในโลก อย่างมากที่สุดก็บอกได้เพียงว่า ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นทุกข์ ส่วนการเกิดกลับถือว่าเป็นสุข เป็นพรพิเศษที่ได้รับประทานจากสรวงสวรรค์ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงทำสมาธิมามาก

ทรงรู้แจ้งโลกด้วยดวงปัญญาอันสว่างไสว และชี้ให้เราเห็นว่า การเกิดนั้นแหละเป็นตัวทุกข์

ทุกข์ตั้งแต่ต้องขดอยู่ในท้อง พอจะคลอดก็ถูกบีบรัดดันออกมา
ศีรษะนี่ถูกบีบจนกระโหลกเบียดซ้อนเข้าหากัน
จากหัวกลมๆ กลายเป็นรูปยาวๆ เจ็บใจขาดเลยเพราะฉะนั้นทันทีที่คลอดออกมาได้สิ่งแรกที่เด็กทำคือ
ร้องจ้าสุดเสียงเพราะมันเจ็บจริงๆ และการเกิดนี่เอง ที่เป็นต้นเหตุเป็นที่มาของความทุกข์อื่นๆ ทั้งปวง

ถ้าเลิกเกิดได้เมื่อไหร่ก็เลิกทุกข์

อีกอย่างหนึ่งที่คนมักเข้าใจไขว้เขวกัน ก็คือ คิดว่าชราทุกข์นี่จะมีเอาก็ต่อเมื่ออายุ ๖๐-๗๐ปี
แต่จริงๆ แล้วทันทีที่เราเริ่มเกิด เราก็เริ่มแก่แล้วชราทุกข์เริ่มเกิดตั้งแต่ตอนนั้น และค่อยๆ เป็นมากขึ้นเรื่อยๆ เซลล์ในร่างกายเริ่มแก่ตัวไปเรื่อยๆ อันนี้ขอให้ทราบกันด้วย

๒.ปกิณณกทุกข์ คือ ทุกข์จร เป็นความทุกข์ที่เกิดจากจิตใจหย่อนสมรรถภาพ ไม่อาจทนต่อเหตุภายนอกที่มากระทบตัวเราได้ ผู้มีปัญญารู้จักฝึกควบคุมใจตนเอง สามารถหลีกเลี่ยงทุกข์ชนิดนี้ได้

ทุกข์จรนี้มีอยู่ ๘ ประการ ได้แก่
๑.โสกะ ความโศก ความแห้งใจ
๒.ปริเทวะ ความคร่ำครวญรำพัน
๓.ทุกขะ ความเจ็บไข้ได้ป่วย
๔.โทมนัสสะ ความน้อยใจ
๕.อุปายาสะ ความท้อแท้กลุ้มใจ
๖.สัมปะโยคะ ความเบื่อหน่ายขยะแขยงจากการประสบสิ่งที่ไม่เป็นที่รัก
๗.วิปปโยคะ ความห่วงใย จากการพลัดพรากจากของรัก
๘.อาลภะ ความเสียดายจากการปรารถนาสิ่งใด แล้วไม่ได้สิ่งนั้น

นี่คือผลการวิจัยเรื่องทุกข์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงเป็นเหมือนแพทย์ผู้ชำนาญโรค สามารถแยกแยะอาการของโรคให้เราดูได้อย่างละเอียดชัดเจน

"ทุกฺขํ อริยสจฺจํ ปริญฺเญยฺยํ" อริยสัจ คือ ทุกข์ อันเราพึงกำหนดรู้
(พุทธพจน์)

อริยสัจที่ ๒ สมุทัย
สมุทัย คือ เหตุแห่งความทุกข์ทั้งหลายดังกล่าวข้างต้น ศาสนาอื่นๆ หาเหตุแห่งความทุกข์ไม่เจอ จึงโทษไปต่างๆ นานา เป็นการลงโทษของพระเจ้าบ้าง ของผีป่าบ้าง ถ้าเป็นจริงละก็ ผีป่าตนนี้คงใจร้ายน่าดู เที่ยวไปรังแกคนโน้นคนนี้ทั้งวัน
ให้เขามีทุกข์ หน้าคงจะหงิกอยู่ทั้งวัน เขี้ยวงอกเลยผีตัวนี้

แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงฝึกสมาธิมามาก พระองค์ทรงทำใจให้ใสเข้าถึงธรรม
แล้วเห็นความจริงอย่างชัดเจนเลยว่า ที่เราทุกข์ๆ กันอยู่นี่ สาเหตุมันมาจากกิเลสที่มีอยู่ในใจนี่แหละ

พระองค์บัญญัติศัพท์เรียกว่าตัณหา คือ ความทะยานอยากในใจของเราเอง แบ่งเป็น ๓ ประเภทคือ

๑.กามตัณหา ความอยากได้ เช่น อยากได้เงิน อยากได้ทอง อยากสนุก อยากมีเมียน้อย
อยากให้คนชมเชยยกย่อง สรุป คือ อยากได้ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อารมณ์ที่น่าพอใจ

๒.ภวตัณหา ความอยากเป็น เช่น อยากเป็นนายกรัฐมนตรี อยากเป็นใหญ่เป็นโต อยากเป็นทหาร อยากเป็นตำรวจ ฯลฯ

๓.วิภวตัณหา ความอยากไม่เป็น เช่น อยากไม่เป็นคนจน อยากไม่เป็นคนแก่ อยากไม่เป็นคนขี้โรค ฯลฯ
มนุษย์เราเกิดมาจากตัณหา ลอยคออยู่ในตัณหา เคยชินกับตัณหาคุ้นเคยกันกับตัณหา จนเห็นตัณหาเป็นเพื่อนสนิท
กินด้วยกัน ดื่มด้วยกัน ถ้าขาดตัณหาแล้วเขากลัวว่าจะขาดรสของชีวิตที่เคยได้เคยอยู่เคยเป็น แต่ตามความเป็นจริง ตัณหานั้นถ้าเป็นเพื่อนก็เพื่อนเทียม คอยหลอกล่อนำทุกข์มาให้เราแล้วก็ยืนหัวเราะชอบใจ

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเหมือนแพทย์ผู้ชำนาญทรงแยกแยะชี้สาเหตุของโรคสาเหตุของทุกข์ ให้เราเห็นว่ามาจากอะไร เชื้อโรคชนิดไหนกิเลสชนิดใด "ทุกฺขสมุทโย อริยสจฺจํ ปหาตพฺพํ" อริยสัจ คือ ทุกข์สมุทัย อันเราพึงละ
(พุทธพุจน์)

อริยสัจที่ ๓ นิโรธ
นิโรธ คือ ความดับทุกข์ หมายถึงสภาพใจที่หมดกิเลสแล้วโดยสิ้นเชิงทำให้หมดตัณหา จึงหมดทุกข์ มีใจหยุดนิ่งสงบตั้งมั่นอยู่ที่ศูนย์กลางกายมีความสุขล้วนๆ

ศาสดาของศาสนาอื่นๆ เนื่องจากฝึกสมาธิมาน้อย หรือปฏิบัติไม่ถูกทาง จึงไม่ทราบว่า ความหมดทุกข์ที่แท้จริงเป็นอย่างไร ก็ได้แต่สมมติกันขึ้นว่า คือ การได้ไปอยู่บนสวรรค์กับพระผู้เป็นเจ้า เป็นการสร้างความฝันลมๆ แล้งๆ
เหมือนคนหิวข้าวแล้วก็สร้างมโนภาพว่า อีกหน่อยจะมีผู้วิเศษเอาข้าวมาให้กิน ก็พอจะหลอกกตัวเองปลอบใจตัวเองได้บ้าง
แท้ที่จริงนั้น ต่อให้ได้ขึ้นสวรรค์เป็นเทวดา นางฟ้าจริง ก็ยังวนเวียนอยู่ในกามภพเท่านั้น
สูงกว่าสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้น ยังมีรูปพรหมอีก ๑๖ ชั้น อรูปพรหมอีก ๔ ชั้น ซึ่งก็ยังไม่หมดทุกข์จะหมดทุกข์จริงๆ
ต้องฝึกจนกระทั่งหมดตัณหา ดับความทะยานอยากต่างๆ โดย สิ้นเชิง หมดกิเลสเข้าพระนิพพานเท่านั้น

"ทุกฺขนิโรโธ อริยสัจฺจํ สจฺฉิกาตพฺพํ" อริยสัจ คือ ทุกขนิโรธะ อันเราพึงทำให้แจ้ง
(พุทธพจน์)

อริยสัจที่ ๔ มรรค
มรรค คือ วิธีปฏิบัติเพื่อให้พ้นทุกข์ ศาสนาอื่น ฝ่ายเทวนิยมมองเห็นเหตุแห่งทุกข์ไม่ออก
ยกให้เป็นการลงโทษของสิ่งลึกลับ ของพระเจ้า
ดังนั้นจึงหาวิธีพ้นทุกข์ผิดทาง ไปอ้อนวอนบวงสรวงให้พระเจ้าช่วย ถ้าจะเปรียบก็คล้ายกับว่า เราป่วยเป็นไข้มาเลเรีย
แล้วมีคนมาบอกเราว่า ที่เราเป็นอย่างนี้เพราะมีผีมาจากป่าจากเขามาลงโทษเรา แล้วก็แนะให้เราเซ่นไหว้อ้อนวอนกับผีสางเหล่านั้น เพื่อให้เราหายโรค ซึ่งเสียแรงโง่เปล่า

แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงเป็นเหมือนแพทย์ผู้ชำนาญเห็นเหตุที่ทำให้เกิดโรค เกิดทุกข์ชัดเจน แล้วก็ทรงสอนเราว่า ที่เราป่วยเราทุกข์ก็เพราะเจ้าตัณหา ซึ่งเปรียบเหมือนเชื้อโรคนี่เอง ถ้าต้องการหายจากโรคก็ต้องกำจัดเจ้าเชื้อโรคนั้นให้หมดไป โดยพระองค์ทรงมอบยาดีไว้ให้เราใข้กำจัดเชื้อโรคนั้นด้วย ซึ่งก็คือ มรรค ซึ่งเป็นข้อปฏิบัติเพื่อให้ใจหยุดใจนิ่ง

ปราบทุกข์ได้ รวม ๘ ประการ ได้แก่

๑.สัมมาทิฏฐิ มีความเห็นชอบ เบื้องต้นคือ ความเห็นถูกต่างๆ เช่นเห็นว่าพ่อแม่มีพระคุณต่อเราจริง ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วจริง โลกนี้โลกหน้ามีจริง ฯลฯ เบื้องสูงคือ เห็นทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์และวิธีปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ นั่นเอง

๒.สัมมาสังกัปปะ มีความคิดชอบ คือ คิดออกจากกาม คิดไม่ผูกพยาบาท คิดไม่เบียดเบียน ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน

๓.สัมมาวาจา เจรจาชอบ คือ ไม่พูดปด ไม่พูดส่อเสียดให้เขาแตกแยก
ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดเพ้อเจ้ออวดอ้างความดีของตัว หรือทับถมคนอื่น

๔.สัมมากัมมันตะ ทำการงานชอบ คือ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ และประพฤติพรหมจรรย์ เว้นจากการเสพกาม

๕.สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีพชอบ คือ เลิกการประกอบอาชีพเลี้ยงชีวิตในทางที่ผิด แล้วประกอบอาชีพในทางที่ถูก

๖.สัมมาวายามะ มีความเพียรชอบ คือ เพียรป้องกันบาปอกุศลที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น เพียรละบาปอกุศลที่เกิดขึ้นแล้วให้หมดไป เพียรสร้างกุศลคุณความดีที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น และเพียรบำรุงกุศลคุณความดีที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญงอกงามยิ่งขึ้น

๗.สัมมาสติ มีความระลึกชอบ คือ ไม่ปล่อยใจให้ฟุ้งซ่าน มีสติรู้ตัวระลึกได้ หมั่นพิจารณาเห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม อยู่เสมอ

๘.สัมมาสมาธิ มีใจตั้งมั่นชอบ คือ มีใจตั้งมั่นหยุดนิ่ง ซึ่งก็คือฌานชั้นต่างๆ ไปตามลำดับ

มรรคทั้ง ๘ ข้อนี้ ถ้าขยายออกไปแล้ว ก็จะได้แก่คำสอนในพุทธศาสนาทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ถ้าย่อเข้าก็จะได้แก่ไตรสิกขา หัวใจพระพุทธศาสนา ดังนี้

ศีล แยกออกเป็น สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ

สมาธิ แยกออกเป็น สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ

ปัญญา แยกออกเป็น สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ

มรรคทั้งแปดข้อนี้ให้ปฏิบัติไปพร้อมๆกัน ซึ่งว่าเกิดได้ขณะใจหยุดนิ่งเป็นสมาธิ ทำให้เห็นอริยสัจได้อย่างชัดเจน และพ้นทุกข์ได้เป็นเรื่องของการฝึกจิตตามวีถีของเหตุผล ไม่ต้องไปวิงวอนพระเจ้าหรือใครๆ

"ทุกฺขนิโรธคามินี ปฏิปทา อริยสจฺจํ ภาเวตพฺพํ" อริยสัจ คือ ปฏิปทาให้ถึงความดับทุกข์ อันเราพึงบำเพ็ญ
(พุทธพจน์)

การเห็นอริยสัจ
อ่านอริยสัจมาถึงตรงนี้ เรารู้แล้วว่าทุกข์มีกี่ประเภท อะไรบ้าง อะไรที่ทำให้เกิดทุกข์ รู้ความดับทุกข์ รู้มรรคมีองค์ ๘ จำได้หมด แต่นี่ยังไม่เรียกว่าเห็นอริยสัจ เป็นแต่เพียงท่องจำอริยสัจได้เท่านั้น

การเห็นอริยสัจ แต่ละข้อจะต้องเห็นถึง ๓ รอบ รวม ๔ อริยสัจเท่ากับเห็นถึง ๑๒ ครั้งเราเรียกรอบ๓ อาการ๑๒ ของอริยสัจ
การเห็นอริยสัจ แปลกกว่าการเห็นอย่างอื่น คือ เมื่อเห็นแล้วจะสามารถทำได้ด้วย เช่น เห็นสมุทัย เหตุแห่งทุกข์ว่าคือ ตัณหา ก็จะเห็นว่าตัณหาควรละ และก็ละตัณหาได้ด้วย เป็นการเห็นที่บริบรูณ์จริงๆ

ถ้าจะเปรียบก็เหมือนการรู้เรื่องยา จะเป็นความรู้ที่บริบูรณ์ ก็ต้องรู้อย่างนี้คือ

รู้ว่า นี่เป็นยา

รู้ว่า ยานี้ควรกิน

รู้ว่า ยานี้เราได้กินแล้ว

การเห็นอริยสัจนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนว่า เมื่อเห็นข้อใดข้อหนึ่งข้อที่เหลือก็จะเห็นหมด
เช่น เมื่อเห็นทุกข์ ก็จะเห็นสมุทัย นิโรธ มรรค ด้วย เห็นสมุทัย ก็จะเห็นทุกข์ นิโรธ มรรค ด้วย

อานิสงส์การเห็นอริยสัจ

เมื่อเราเข้าถึงธรรม เห็นอริยสัจด้วยญานของธรรม เราก็จะเข้าถึงความเป็นไปอันแท้จริงของโลกและชีวิตว่ามีแต่ทุกข์
ช่วงขณะที่ความทุกข์น้อยลงนั้นเอง เราจะเข้าใจถึงคุณค่าของบุญกุศล อันตรายความน่าขยะแขยงของบาป

เป็นความเข้าใจที่เข้าไปในใจจริงๆ เวลามีความทุกข์หรือไปทำอะไรไม่ดีเข้า ก็จะเห็นเลยว่าบาปมันเกิดขึ้นที่ใจอย่างไร
เวลาเราทำความดี ทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนาแล้ว เราก็จะเห็นบุญกุศลที่เกิดขึ้น มาชำระล้างหล่อเลี้ยงใจของเรา ให้สะอาดบริสุทธิ์ผ่องใสสว่างไสวขึ้น

เมื่อรู้เห็นเข้าใจอย่างนี้แล้ว ย่อมมีใจตั้งมั่นอยู่ในความดี หมั่นบำเพ็ญอริยมรรคมีองค์ ๘ ทำใจหยุด ใจนิ่ง มีศีล สมาธิ ปัญญา สว่างไสว มรรค ๘ เกิดขึ้นพร้อมบริบูรณ์ที่ใจก็หยุดนิ่งละเอียดลงทุกทีๆ กิเลสต่างๆ ก็ค่อยๆ ร่อนหลุดไปจากใจ จนหมดกิเลสเป็นพระอรหันต์ พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารได้

(พุทธพจน์)

จบมงคลคาถาที่ ๓๓ การเห็นอริยสัจ

อ่านหน้าต่อไป

หน้าแรก I ประวัติพระพุทธเจ้า I บททำวัตรเช้า-เย็น แปลI จิตสังเขป I ตู่มือมนุษย์I การฝึกใจ l ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ I ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก I

Non Copyright 2002. Buddhamamaka Home Page. All Rights Reserved. Comment or suggestion : [email protected]

 

Hosted by www.Geocities.ws

1