ประวัติพระพุทธเจ้า
อินเดียก่อนพุทธกาล
ประเทศอินเดียเมื่อก่อนเรียกกันว่า ชมภูทวีป เป็นประเทศที่มีอาณาเขตที่กว้างขวาง
ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศไทย มีชนชาวพื้นเมืองที่เรียกกันว่าชาวมิลักขะปกครองอยู่กันมาก่อน
ต่อมาจึงได้มีชนชาวอริยกะได้อพยพเข้ามาทางทิศเหนือของประเทศอินเดียซึ่งเป็นพวกที่มีความเจริญกว่าได้เข้ามาตั้ง
รกรากถิ่นฐานทางภูเขาหิมาลัย และได้แทรกซึมเรียกว่ารุกแบบเงียบ ๆ แทรกแซงไม่ว่าจะเป็นศิลปะวัฒนธรรม
ความรู้ ความสามารถต่าง ๆ นา ๆ ต่อมาก็เกิดการรุกรานกับชาวพื้นเพเดิมคือชาวมิลักขะ
ก็ประสบชัยชนะและได้ปกครองต่อมา ส่วนชาวพื้นเมืองเดิมก็อพยพลงมาทางไต้
บางส่วนก็ออกไปอยู่รอบนอก เมื่อพวกชาวอริยกะได้ครองพื้นที่อุดสมบูรณ์ก็กลายเป็นจุดศุนย์กลางที่มีความเจริญรุ่งเรืองเป็นลำดับ
ไม่ว่าจะเป็นทางด้านอารยธรรม การเกษตร เป็นต้น เพราะฉะนั้นจึงเรียกพื้นที่ที่ชาวอริยกะปกครองว่ามัชฌิมชนบทหรือมัธยมประเทศ
หรือประเทศภาคกลาง เรียกที่อยู่ของพวกมิลักขะว่าปัจจันตชนบทหรือประเทศปลายแดน
รัฐต่าง
ๆ ในชมภูทวีป
หลังจากที่พวกอริยกะได้ปกครองชมภูทวีปเป็นส่วนมากแล้วก็ได้ปกครองเรื่อยมา
และได้มีการ
ปกครองเป็นรัฐ ๆ มี ๑๖ แคว้นใหญ่ ๆ ดังต่อไปนี้
อังคะ |
มคธะ |
กาสี |
โกสละ |
วัชชี |
มัลละ |
เจตี |
วังสะ |
กุรุ
|
ปัญจาละ |
มัจฉะ |
สุระเสนะ |
อัสสกะ |
อวันตี |
คันธาระ |
กัมโพชะ |
และยังมีแคว้นที่เป็นแคว้นเล็ก
ๆ อีก ๕แคว้นคือ สักกะ โกลิยะ ภัคคะ วิเทหะ และอังคุตตราปะ แต่ละแคว้นที่กล่าวมานี้
มีการปกครองที่แตกต่างกันไป บางทีก็ปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชบ้าง
แบบสามัคคีธรรมบ้าง แบบราชาบ้าง เป็นต้น บางทีถ้าผู้ปกครองมีอำนาจมากก็สามารถแผ่ขยายอาณาเขตของตนออกไป
หรือบางทีก็อาจตกเป็นเมืองขึ้นของรัฐอื่น
พวกมิลักขะที่พ่ายแพ้แก่พวกอริยกะ บางพวกก็หนีอพยพมาทางใต้ บางพวกก็ถูกจับเป็นเฉลยเป็นทาสรับใช้ทำให้เกิดการ
รังเกียจกันและเป็นสาเหตุที่มาของแบ่งชนชั้นวรรณะ ดังนั้นวรรณะของคนประเทศอินเดียสมัยนั้นแบ่งวรรณะเป็น
๔ คือ
วรรณะกษัตริย์
มีหน้าที่ทำการปกครองบ้านเมืองให้มีความสุข
วรรณะพราหมณ์
มีหน้าที่ทางด้านศาสนา สั่งสอนประชาชน
วรรณะแพทศ์
ทำหน้าที่ค้าขาย
วรรณะศูทร์
มีหน้าที่เป็นกรรมกร
ในวรรณะทั้ง ๔ นั้น ต่างก็สมสู่ในวรรณะของตนเอง ไม่มีการสมสู่กันนอกวรรณะ
ถ้าหากมีใครมาสมสู่กันต่างวรรณะ ก็จะมีการรังเกียจกันมากยิ่งถ้าบุตรเกิดมาด้วยกันก็จะเรียกบุตรคนนั้นว่า
จัณฑาล บุตรที่เกิดจากต่างวรรณะนี้ถือว่าเป็นบุตรเลวทรามมาก เป็นเพราะอันเนื่องมาจากการถือทิฏฐิมานะถือโคตรตระกูล
ศาสนาที่คนนับถือกันส่วนใหญ่ในยุคนั้นคือศาสนาพราหมณ์
สักกชนบท
(สักกะประเทศ)
สักกชนบทเป็นแว่นแคว้นเล็ก ๆ อยู่ทางเหนือของอินเดีย (ปัจจุบันอยู่ในประเทศเนปาล)
มีเมืองหลวงชื่อ กรุงกบิลพัสดุ์ มีการปกครองแบบประชาธิปไตยหรือแบบสามัคคีธรรม
มีการเลือกสรรผู้นำเป็นกษัตริย์ตั้งแต่พระเจ้าโอกากราชเป็นต้นมา เรื่อยมาจนมาถึงสมัยการ
ปกครองของพระเจ้าสุทโธทนะโดยอันมีพระมเหสีพระนามว่าสิริมหามายา วงค์ของพระเจ้าสุทโธทนะเรียกว่าศากยะวงค์
พระองค์ก็ปกครองอย่างเป็นธรรม ประชาชนก็มีความสุขกันอย่าง ถ้วนหน้าและโคตรของพระองค์ก็คือ
โคตมะโคตรหรือโคดม
คัมภีร์ลักษณะมหาบุรุษ
ก่อนพุทธกาลประมาณ ๑๐๐๐ ปี ได้มีคณาจารย์พราหมณ์ผู้ที่ทรงความรู้เชี่ยวชาญในไตรเพท
ก็ได้แต่งคัมภีร์ชื่อว่าตำรามหาบุรุษลักษณะ ซึ่งในตำรานั้นจะกล่าวถึงลักษณะของมหาบุรุษหรือลักษณะของบุคคลพิเศษ
ที่จะเป็นใหญ่ในทุก ๆ ทิศ จะต้องมีองค์ประกอบครบ ๓๒ ประการ เมื่อสรุปคำนายของตำรามหาบุรุษลักษณะก็จะมีคติเป็น
๔ ประการด้วยกัน
๑.
บุคคลที่ถูกต้องตามมหาบุรุษลักษณะ ถ้าอยู่ครองฆราวาส ผู้นั้นจักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราชผู้ยิ่งใหญ่อันมีมหาสมุทรทั้ง
๔ เป็นขอบเขต
๒.
บุคคลที่ถูกต้องตามมหาบุรุษลักษณะ ถ้าออกบวช ผู้นั้นจักได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นศาสดาเอกในโลก
พระมเหสีทรงพระครรภ์
นับตั้งแต่พระเจ้าสุทโธทนะกับพระมเหสีสิริมหามายาได้เสวยราชสมบัติในเมืองกบิลพัสดุ์
ต่อมาพระนางสิริมหามายาก็ได้ทรงพระครรภ์ เมื่อพระเจ้าสุทโธทนทราบข่าวว่าพระมเหสีมีพระครรภ์ก็ปลื้มปีติเป็นอย่างมาก
จึงได้ทะนุถนอมเป็นอย่างดี จนพระมเหสีมีพระครรภ์ครบ ๑๐ เดือน
ตามประเพณีของพราหมณ์เมื่อสัตว์มีเกิดในครรภ์ของหญิงใด เมื่อถึงกำหนดเวลาคลอด
หญิงนั้นจะต้องกลับไปคลอดที่บ้านเดิมของตน (บ้านพ่อแม่ของฝ่ายหญิง)
เพราะฉะนั้นพระนางสิริมหามายาเมื่อครบ กำหนดการคลอดก็ได้ทูลลาพระเจ้าสุทโธทนะเพื่อกลับไปที่จะคลอดที่เมืองเทวทหะอันเป็นเมืองที่พระราชมารดาบิดา
จึงได้เดินทางพร้อมขบวนอารักขาและนางสนมกำนัลมาสู่เมืองเทวทหะ
พระมหาบุรุษประสูติ
ขณะที่ขบวนพระมเหสีได้เคลื่อนไปเมืองเทวทหะ จนมาถึงที่เขตรอยต่อระหว่างเมืองกบิลพัสดุ์กับเมืองเทวทหะ
ขบวนก็ได้หยุดพักเหนื่อยเพราะเดินทางมาก็ไกล ขณะที่พระนางสิริมหามายาพักอยู่นั้นก็บังเกิดประชวรพระครรภ์
ครั้นจะเสด็จไปต่อก็คงไม่ทันหากจะเสด็จกลับก็หนทางก็ไกล ฝ่ายนางนมสนมกำนัลก็ได้ตระเตรียมสถานที่ประสูติ
ที่ใต้ต้นไม้สาละ และพระนางสิริมหามายาก็ได้ประทับยืนประสูติที่ตรงนั้นและก็ประสูติออกมาเป็นพระราชโอรส
หลังจากที่ได้ประสูติ ณ ที่นั้นทางฝ่ายทหารก็ได้ส่งข่าวไปกราบทูลให้พระเจ้าสุทโธทนะทราบ
พระเจ้าสุทโธทนะก็รับสั่งให้เสด็จนิวัตติกลับกรุงกบิลพัสดุ์เพราะเป็นห่วงความปลอดภัย
สหชาติ
(สิ่งที่เกิดร่วมกับมหาบุรุษ)
ในวันเดียวกันที่พระนางสิริมหายาประสูติพระโอรส
ก็ได้มีมนุษย์และสัตว์ได้เกิดในวันเดียวกัน สิ่งที่เกิดร่วมมหาบุรุษเรียกว่า
สหชาติ มี ๗ อย่างคือ
๑.
พระนางพิมพา (ยโสธรา)
๒. พระอานนท์
๓. นายฉันนะอำมาตย์
๔. นายกาฬุทายีอำมาตย์
๕. ม้ากัณฐกะ
๖. ต้นไม้ศรีมหาโพธิ์
๗. ขุมทรัพย์ทั้ง ๔ คือ สังขนิธิ เอลนิธิ อุบลนิธิ บุณฑริกนิธิ
ฤาษีอสิตดาบสเข้าเยี่ยม
หลังจากที่ประสูติพระโอรสแล้วและก็เสด็จกลับเมืองกบิลพัสดุ์
ประชาชนหลังจากที่ได้ทราบข่าว การประสูติของพระโอรสแล้วต่างก็ออกมาแสดงความยินดีปรีดาไปตาม
ๆ กัน ครั้นแล้ว ข่าวก็ไปถึงฤาษีชื่ออสิตดาบส ซึ่งฤาษีองค์นี้เป็นที่เคารพในตระกูลของพระเจ้าสุทโธทนะและชาวเมืองมาก
เมื่อทราบข่าวการประสูติก็ได้เดินทางมาเพื่อเข้าเยี่ยมและอวยพร เมื่อมาถึงพระราชวังแล้วและ
พระเจ้าสุทโธทนะก็ออกมาต้อนรับและต่อมาก็ได้รับสั่งให้อุ้มพระโอรสมาเพราะจะให้ฤาษีได้ชมและอวยพร
แต่เมื่ออสิตดาบสได้เห็นรูปร่างพระโอรสแล้วถึงกับสะดุ้ง มองดูพระโอรสซึ่งประกอบด้วยมหาบุรุษลักษณะ
32 ประการซึ่งตรงกับตำราที่ได้เล่าเรียนมา มีความปลื้มปีติเป็นอย่างมาก
ถึงกับหัวเราะออกมา แล้วก็ได้ประณมมืออัญชลีอภิวาทที่พระบาททั้งสองของพระโอรส
และก็ได้ร้องไห้ออกมาเพราะ วาสนาอาภัพของตนอาจจะไม่มีโอกาสเห็นโอรสน้อนนานเพราะความแก่ของตนเอง
ในขณะที่ฤาษีทำอัญชลีนั้นพระเจ้าสุทโธทนก็ทำการอัญชลีด้วย เมื่อจะถวายพระพรลาก็ได้ทำนายพระโอรสไว้เป็น
๒ แนวตามตำรามหาปุริสะลักษณะดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
ขนานพระนามพระโอรส
พระโอรสพอประสูติได้
๕ วัน พระเจ้าสุทโธทนก็ได้เชิญพราหมณ์ 108 คนมาเลี้ยงที่พระตำหนักเพื่อเป็น
สิริมงคลแก่พระโอรสและราชกุล เมื่อถวายโภชนาหารแก่พราหมณ์ทั้งหมดแล้ว
ก็ได้คัดเลือกพราหมณ์ที่ชำนาญ ในไตรเพท เพื่อให้พิจารณาและให้การตั้งชื่อให้
เมื่อเลือกแล้วก็ได้พราหมณ์ที่ชำนาญอยู่ ๘ คน ซึ่งพราหมณ์ทั้ง ๘ นั้นคือ
รามพราหมณ์ ลักษณะพราหมณ์ ยัญญะพราหมณ์ ธุชพราหมณ์ โภชพราหมณ์ สุทัตตพราหมณ์
สุยามพราหมณ์ และโกณฑัญญะพราหมณ์ ในบรรดาพราหมณ์ทั้ง ๘ นั้น ๗ คนข้างต้นเป็นผู้ที่มีอายุมากแล้ว
และที่มีอายุน้อยที่สุดคือโกณฑัญญะพราหมณ์
เมื่อพราหมณ์ทั้ง ๘ พิจารณาตามตำรามหาปุริสลักษณะแล้วต่างก็ทำนายออกมา
ในลักษณะ ๒ ประการคือ
-
ถ้าพระโอรสอยู่ครองฆราวาสจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราชมีมหาสมุทร ๔
เป็นขอบเขต
-
ถ้าพระโอรสออกบวชจะได้ตรัสรู้เป็นศาสดาเอกในโลก
แต่มีพราหมณ์โกฑฑัญญะพราหมณ์คนเดียวเท่านั้นที่ชูนี้เพียงนิ้วเดียวแล้วพยากรณ์ว่า
พระโอรสจักได้เป็นศาสดาเอกในโลก ดังนั้นเมื่อทำนายลักษณะแล้วพราหมณ์ทั้งหมดก็ได้ทำการขนานพระนามพระโอรสว่า
สิทธัตถะกุมาร แปลว่า ผู้มีประโยชน์ยิ่งใหญ่สำเร็จ
ฝ่ายพราหมณ์เมื่อกลับมาถึงบ้านก็ได้สั่งบุตรของตนเองหากตนเองไม่ไม่โอกาสได้เห็นพระกุมารหรือสิ้นบุญไปก่อน
หากพระกุมารออกบวชก็ขอให้บุตรได้ออกบวชตามด้วย เพื่อจะได้รู้ธรรมที่ท่านได้ค้นพบ
|