ประวัติพระพุทธเจ้า
(ต่อ)
พระมารดาทรงสวรรคต
หลังจากที่พระนางมหาสิริมายาได้ประสูติพระโอรสเวลาได้ผ่านมา ๗
วันเท่านั้น พระนางสิริมหามายาก็ได้สิ้นพระชนม์สวรรคต พระเจ้าสุทโธทนะราชบิดาก็ได้ทรงมอบสิทธัตถะกุมาร
ให้พระนางมหาปชาบดีซึ่งเป็นพระมาตุจฉาเลี้ยงดูต่อมา พระกุมารก็เจริญเติบโต
มาตามลำดับ และในการต่อมาพระมหาปชาบดีก็ได้ประสูติพระโอรสและพระธิดาคือ
นันทะกุมารและรูปนันทา ซึ่งเป็นน้องของสิทธัตถะแต่คนละพระมารดากัน
ทรงศึกษาศิลปวิทยา
วันเวลาได้ผ่านไป
กระทั่งสิทธัตถะกุมารมีพระชนมายุได้ ๗ พรรษา พระจ้าสุทโธทนทรงเห็นว่า
สมควรที่สิทธัตถะควรจะได้ศึกษา จึงได้มอบให้ครูวิศวามิตรเป็นผู้สอน
และกุมารก็ได้ศึกษาเป็นที่พอใจของครูมาก เพราะเป็นผู้เรียนเก่งและจบในไม่ช้า
และพระราชบิดาก็ได้ให้สร้างสระ 3 สระเพื่อสิทธัตถะเพื่อให้พระโอรส
และบริวารทรงเล่นเป็นที่สำราญพระทัย
ต่อมาในวันหนึ่งซึ่งเป็นวันพระราชพิธีวัปปมงคลแรกนาขวัญ พระเจ้าสุทโธทนะเสด็จไปถึงสถานที่แรกนาขวัญ
และก็ทรงเอาพระโอรสเสด็จดำเนินไปด้วย ก็ได้จัดให้โอรสประทับที่ใต้ร่มต้นหว้าต้นใหญ่ต้นหนึ่งซึ่งมีร่มเ
พราะหนาแน่นด้วยกิ่งใบต่าง ๆ ครั้นพอถึงเวลาแรกนาขวัญ พวกนานมต่าง
ๆ ก็อยากเห็นพิธีต่างก็ยืนและดูอยู่ เมื่อมีคนมุงดูมากพวกสนมนางนมซึ่งอยู่ไกลไม่ค่อยได้เห็นต่างก็พากันมาดูใกล้
ๆ ก็เลยทิ้งพระโอรสไว้โดยลำพัง เมื่อพวกนามสนมไปแล้วก็ทำให้เสียงเงียบสงัดเป็นสุข
พระโอรสก็ได้นั่งสมาธิ ณ ที่ใต้ต้นไม้หว้านั้นจนเกิดสมาธิจนได้ปฐมฌาน
จนเวลาบ่ายไปแล้ว และเป็นที่น่าอัศจรรย์คือร่มเงาต้นไม้หว้าแทนที่จะคล้อยตามตะวันไป
แต่เงาของต้นหว้ายังไม่คล้อยไปตามกลับเป็นรูปปริมณฑลหยุดอยู่ตรงดุจเวลาเที่ยง
พอนางสนมนางนมกลับมาก็เห็นเหตุอัศจรรย์เช่นนั้นก็ได็กราบทูลให้พระเจ้าสุทโธทนะทราบ
มื่อพระราชาเสด็จมาถึงก็ถึงกับตะลึงและมีความปลื้มปีติเป็นอย่างมากถึงกับได้ประณมมือต่อโอรส
นับได้ว่าพระเจ้าประณมมือต่อพระโอรสเป็นครั้นที่สอง หลังจากเสร็จพิธีแรกนาขวัญนั้นก็เสด็จกลับพระราชวัง
ทรงอภิเษกสมรส
ครั้นเจริญเติบโตและได้เรียนศิลปะวิทยาจนอายุถึง
๑๖ พรรษา และก็เรียนจนจบ ๑๘ ศาสตร์และมีความชำนาญในศาสตร์นั้นด้วย
เช่น ยุธศาสตร์เป็นต้น พระเจ้าสุทโธทนะทรงเห็นว่า สิทธัตถะควรมีพระมเหสีได้แล้วก็ได้ไปขอพระนางพิมพาหรือพระนางยโสธราซึ่งเป็นธิดาของพระเจ้า
สุปปพุทธะกับพระนางอมิตามาเป็นมเหสีของสิทธัตถะกุมาร ต่อมาจึงได้สร้างปราสาท
๓ ฤดูให้แก่สิทธัตถะโดยที่ปราสาททั้งสามนั้นไม่มีคนแก่ คนทุรภาพ
เป็นต้นให้เห็นแต่สิ่งที่เจริญหูเจริญตา และก็ถูกทำนุบำรุงเป็นอย่างดีทั้งได้รับความอบอุ่นความ
เพลิดเพลินอยู่ในการดำรงฆราวาสวิสัยเป็นอย่างดีซึ่งแวดล้อมไปด้วยนางสนมนางบำเรอ
เพราะพระราชบิดาต้องการผูกมัดให้พระองค์สืบราชบัลลังค์เพื่อว่าจะได้ไม่คิดไปอย่างอื่น
เสด็จออกเที่ยวชมพระนคร
สิทธัตถะกุมารเสวยความสุขอยู่แต่ในพระราชวังซี่งประดับตกแต่งอย่างดีโดยมิได้เสด็จออกไปที่ไหน
จนพระชนมายุได้ ๒๙ พรรษา วันหนึ่งอยากออกไปเที่ยวชมนอกพระนครจึงไปขอพระราชบิดา
พระราชบิดากลัวสิทธัตถะกุมารจะได้เห็นสิ่งที่ไม่น่าปรารถนาจึงได้ให้ชาวพระนครตกแต่งเคหสถานของตน
ให้เป็นที่เจริญตาโดยเฉพาะคนเจ็นไข้ได้ป่วยคนง่อยเปี้ยเสียขาก็ให้อยู่ในภายในเรือน
อย่าออกมาให้เห็นอีกทั้งคนที่ตายแล้วก็งดเอาไปทิ้ง ทั้งงานในวันนั้นก็ให้งดหมด
ให้เป็นเหมือนว่าบ้านเมืองมีความเป็นอยู่อยางสุขสบายมองออกไปทางไหนก็เป็นที่เจริญตามีแต่คนรุ่น
ๆ เมื่อได้จัดแจงดังนี้ก็อนุญาติให้สิทธัตถะกุมารเที่ยวชมพระนครได้
เมื่อถึงเวลาก็เสด็จออกเที่ยวชมพระนคร ก็มีความประทับพระทัยเป็นอย่างมากที่ได้มีโอกาสชมพระนครและประชาชนพสกนิกรก็ประดับตกแต่งตัว
อย่างดีได้ออกรับเสด็จมาชมพระบารมีและเป็นที่ตรึงตราตรึงใจพสกนิกรที่ได้มีโอกาสเห็นพระราชกุมารเป็น
ครั้งแรก พระราชกุมารได้ทรงเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้เห็นหลายอย่างก็ประทับใจก็ได้เสด็จเที่ยวชมพระนครจนถึง
เวลาเย็นก็นิวัตติกลับพระราชวัง
ทรงเห็นเทวทูต
(ทูตเทวดา)
เมื่อกลับพระนครแล้วสิทธัตถะกุมารก็ได้ความคิดหลายอย่าง
ต่อมาก็ได้ประพาสในสวนอุทยานโดยมีนายฉันนะไปด้วย ครั้นไประหว่างทางก็ได้เห็นเทวทูต
(เทวดาเนรมิตไว้) คนที่หนึ่งคือ คนแก่ หนังเหยี่ยว หลังค่อม ซึ่งถือไม้เท้างก
ๆ งัน ๆ เดินทางมาซึ่งพระองค์ไม่เคยเห็นมาก่อนก็ถามนายฉันนะว่า
นั่นใคร่ ฉันนะตอบว่า "คนแก่ ขอรับ" " เอ๊ะ ทำไม่คนต้องแก่"
"คนเราล่วงความแก่ไปไม่ได้หรอก อีกหน่อยพระองค์ก็ต้องแก่และข้าพองค์ก็ต้องแก่"
จากนั้นขบวนก็ดำเนินต่อไปและต่อมาก็ทอดพระเนตรเห็นคนเจ็บซึ่งเป็นโรค
ซึ่งนอนเจ็บครวญครางอยู่ พระองค์ก็ตรัสถามว่า "ฉันนะ นั่นคนเป็นอะไรละ"
ฉันนะตอบว่า "คนเจ็บไม่สบายเป็นไข้ได้ป่วย" "ทำไม่คนเราต้องป่วยละ"
"คนเราต้องมีความเจ็บป่วยกันทั้งนั้นไม่มากก็น้อย" แล้วก็ตรัสถามกันอีกหลายเรื่อง
ต่อจากนั้นก็เสด็จดำเนินไปต่อและก็ได้พบกับคนตายซึ่งหมู่ญาติคร่ำครวญร้องไห้เ
ป็นที่เวทนาเป็นอย่างยิ่งเมื่อได้พบเห็น สิทธัตถะก็ถามว่า "นั่นใครเป็นอะไร"
ฉันนะอำมาตย์ตอบว่า "นั่นคนตายและกำลังจะถูกหามไปทิ้ง"
"ทำไมคนเราต้องตาย" "คนเราก็ต้องตายเหมือนกันทุกคนไม่มีใครจะล่วงความตายไปได้"
ทำให้เจ้าชายสิทธัตถะครุ่นคิดอย่างหนักต่อสิ่งต่าง ๆ ที่ได้พบเห็น
ทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ขึ้นในจิตใจ ต่อแต่นั้นราชรถก็ได้เสด็จดำเนินไปต่อ
ต่อมาก็ได้เห็นสมณะซึ่งเดินด้วยอาการสงบเสงี่ยมมีกิริยาเรียบร้อย
ก็ถามว่า "นั้นใคร" ฉันนะก็ทูลว่า "นักบวช "
. "เขาไปไหน". "ไปแสวงหาโมกธรรม ". เมื่อสนทนากับนายฉันนะพอสมควรก็เสด็จดำเนินไปต่อในอุทยานนั้นทั้งวัน
พอตกเย็นก็เสด็จพระราชวัง พอเสด็จถึงพระราชวังก็ทราบข่าวการประสูติพระโอรสของพระนางพิมพาก็มีความปลาบ
ปลื้มยินดีเป็นอันมากได้เสด็จไปเยี่ยม ต่อมาก็คิดถึงความเป็นทุกข์ต่าง
ๆ ที่ได้เห็นเทวทูตในตอนกลางวันคือคนเจ็บ คนแก่ คนตาย และสมณะ
ว่าคนเราต้องมีความทุกข์ตลอดไปจะทำอย่างไรที่จะต้องไม่ทุกข์จึงมีความคิดว่า
ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเป็นของคู่กัน คือมีทุกข์ ต้องมีสิ่งแก้ทุกข์
มีกลางวันต้องมีกลางคือเป็นต้น ด้วยการเสด็จไปเที่ยวอุทยานตลอดทั้งวันทำให้พระวรกายอ่อนล้าบ้างก็เสด็จบรรทมแต่พลบค่ำ
พอตอนดึก ๆ ก็ทรงตื่นขึ้นก็ได้ครุ่นคิดถึงความทุกข์ต่าง ๆ และหาวิธีแก้ทุกข์ว่าจะทำอย่างไร
ทำให้เกิดความเบื่อหน่ายต่าง ๆ เกิดขึ้นในจิตใจ จึงลุกออกจากห้องบรรทมเมื่อออกมาก็ได้เห็น
นางสนมนางบำเรอที่ประโคมนอนมีอาการต่างกัน บางก็นอนโกรน บ้างก็นอนมีผ้าหลุดลุ้ย
บ้างก็มีน้ำลายไหลยืด เป็นต้น ก็เกิดความเบื่อยิ่งขึ้นมาก ก็คิดหาวิธีต่าง
ๆ ในที่สุดก็สรุปลงที่ว่าการหาโมกขธรรมเป็นวิธีเดียวเท่านั้นที่พอจะแก้ปัญหาได้
นั้นก็คือ การออกบวช คิดได้ดังนั้นก็กลับไปห้องหวังจะจุมพิตพระราชโอรสลาหุลเป็นครั้งสุดท้าย
ซึ่งบรรทมโดยมีพระนางนอนกอดอยู่ ก็ไม่ได้จุมพิตเพราะกลัวพระนางพิมพาจะตื่น
และจะขวางการบรรพชาจึงออกมาจากห้องบรรทม
เสด็จออกบวช
เมื่อออกมาจากห้องคิดต่อไปว่า
ถ้าจะออกโดยการบอกลาฝ่ายพระญาติตลอดทั้ง พระมเหสีคงจะไม่อนุญาตให้เป็นแน่แท้
มีทางเดียวก็คือหนีโดยไม่ต้องบอกลาใคร ๆ ทั้งสิ้น ดังนั้นจึงปลุกนายฉันนะอำมาตย์และวางแผนกันโดยรู้เฉพาะสองคนเท่านั้น
เมื่อตกลงได้จึงหนีออกจากพระนครในยามราตรีนั้น และหนีออกมาห่างจากพระนคร
จนมาสว่างที่ฝั่งแม่น้ำอโนมานทีแก็ได้ทำการอธิฐานการถือเพศบรรพชิต
ณ ที่นั้นนั่งเองโดยการตัดพระเมาลีทิ้ง พร้อมกับส่งนายฉันนะให้นำเครื่องแต่กายของ
พระองค์กลับพระนครและเล่าเรื่องให้พระเจ้าสุทโธทนะตลอดทั้งพระญาติได้ทรงทราบ
ความประสงค์ทุกอย่างและไม่ต้องทรงเป็นห่วงและไม่ต้องติดตามหา เพราะถ้าได้ค้นพบทางสว่างแล้วจะกลับมา
ม้ากัณฐกะเมื่อกลับพระราชวังด้วยความ ห่วงหาอาลัยเจ้าชายสิทธัตถะ
ก็ได้ตรอมใจตายในเวลาต่อมา ขณะที่ออกบวชนั้นเป็นเวลาที่มีอายุ
29 พรรษาพอดี
เสด็จผ่านเมืองมคธ
หลังจากที่ได้ถือเพศนักบวชแล้วก็ได้ออกเดินทางต่อไปเพื่อหาสถานที่ศึกษาและปฏิบัติหา
ความพ้นทุกข์ต่อไป ก็ได้เสด็จผ่านเมืองราชคฤห ครั้นมหาชนได้เห็นต่างก็ร้องเรียกกันมาชม
รูปลักษณ์ของพระองค์เพราะไม่เคยเห็นบุรุษใดจะมีรูปโฉมสง่างามเช่นนี้มาก่อนและทั้งความ
ประพฤติก็จะแตกต่างกับชนทั่วไป ข่าวนี้ได้ไปถึงพระกรรณของพระเจ้าพิมพิสาร
ๆ ก็ได ้เชื้อเชิญมาที่พระนครเมื่อได้เห็นก็ทรงเลื่อมใสและก็ได้ตรัสถามต่าง
ๆ นา ๆ เมื่อทรงทราบว่าเป็นเชื้อสายกบัตริย์ก็เชื้อเชิญให้ปกครองบ้านเมืองด้วยกันโดยจะแบ่งให้ส่วนหนึ่ง
แต่สิทธิถะนักบวชก็ปฏิเสธและย้ำเจตนาเดิมคือความมุ่งมั่นต่อพระสัพพัญญุตญาณ
เมื่อเชื้อเชิญไม่สำเร็จพระเจ้าพิมพิสากก็ทรงอนุโมทนาด้วยและทูลขอปฎิญญาว่าถ้าหากพระองค์
ได้ตรัสรู้แล้วขอให้กลับมาสั่งสอนและมาโปรดด้วย เมื่อรับปฏิญญาแล้วก็เสด็จไปต่อ
โดยมุ่งไปที่สำนักของอาฬารดาบสกาลามโคตร และอุทกดาบสเพื่อเล่าเรียนและปฏิบัติ
ซึ่งในตอนนั้นถือว่าเป็นสำนักที่โด่งดังมากในสมัยนั้น
ถูกเหนี่ยวรั้งให้สอน
เมื่อมาอยู่ในสำนักของอาจารย์ทั้งสอง
โดยไปสำนักของอาฬารกดาบสก่อนก็ตั้งใจเล่าเรียน และปฏิบัติจนมีความชำนาญโดยใช้เวลาไม่นาน
ก็ได้สำเร็จสมาบัติ ๗ คือ รูปฌาน ๔ และอรูปฌาน ๓ ซึ่งก็สิ้นความรู้ของอาฬารดาบสเพียงเท่านี้
ครั้นถามอาจารย์ว่ายังมีอีกไหมที่จะเรียนหรือปฏิบัติให้มากกว่านี้ซึ่งอาฬารดาบสก็บอก
สอนหมดแล้วและก็ถูกเหนี่ยวรั้งให้สอนต่ออยู่ที่นั่น แต่พระองค์ก็ปฏิเสธเพราะ
ทรงคิดว่ายังมิใช่การตรัสรู้ และก็ขอไปเรียนต่อที่อาจารย์อุทกดาบสซึ่งอาฬารดาบสก็ไม่ห้าม
เมื่อมาอยู่กับอุทกดาบสก็ร่ำเรียนและก็ปฏิบัติจนได้มาอีกหนึ่งขั้นคือสมาบัติ
๘ เมื่อสอบถามถึงธรรมวิเศษที่ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อุทกดาบสก็ตอบไม่ได้
และบอกว่าถ่ายทอด แก่พระองค์หมดแล้ว และก็ถูกอุทกดาบสเชื้อเชิญให้สอนที่สำนักนั้น
และพระองค์ก็มาคิดดู ก็ว่ายังมิใช่หนทางตรัสรู้จึงได้ปฎิเสธและอำลาจากคณาจารย์ทั้งสองนั้นไปแสวงหาโมกขธรรมต่อไป
เมื่อออกจากสองสำนักนั้นแล้วก็เสด็จเดินทางต่อไป โดยดำเนินไปเรื่อย
ๆ บางทีก็เห็นนักพรตปฏิบัติเรียงราย ก็ดำเนินมาถึงตำบลหนึ่งมีชื่อว่า
อุรุเวลาเสนานิคม (ปัจจุบันคือพุทธคยา) และทำการสำรวจตำบลนี้ทรงเห็นว่าเป็นสถานที่ที่สงบมากมีต้นไม้เป็นที่ร่มรื่นมีแนวป่าที่เขียวขจีไปด้วย
หมู่ไม้นานาพันธุ์และมีแม่น้ำไหลผ่านทั่งสายน้ำก็เย็นใสสะอาด และหมู่บ้านก็อยู่ไม่ไกลจากที่นี้
และเห็นว่าเป็นสถานที่สามารถอาศัยบำเพ็ญได้ จึงได้ตกลงเลือกเอาสถานที่นี้เป็นที่บำเพ็ญ
เบญจวัคคีย์บวชตามหา
เมื่อนายฉันนะกลับถึงราชวังพร้อมทั้งทูลเรื่องราวต่าง
ๆ พราหมณ์โกณฑัญญะซึ่งเป็นหนึ่ง ในพราหมณ์ ๑๐๘ ที่ได้รับฉันโภชนาหารและที่ได้รับเลือกเป็นผู้ทำนายลักษณะตอนที่สิทธัตถะเล็ก
ๆ พอทราบข่าวการออกบวชของเจ้าชายสิทธัตถะก็เชื่อถึงคำทำนายของตนเองและตนเองก็ตั้งใจ
ไว้แล้วว่าถ้าสิทธัตถะออกบวชตนเองก็จะออกบวชตาม ก็ตัดสินใจบวชเพื่อจะได้มีส่วนแห่งธรรมนั้น
ก่อนที่จะบวชก็ได้ชักชวนบุตรของพราหมณ์คนอื่น ๆ อีก รวมกันได้
๕ คนพอดีที่เรียนว่า เบญจวัคคีย์หรือเบญจวัคคีย์ คือ โกณฑัญญะ
วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ อัสสชิ ก็เมื่อบวชแล้วก็ออกเที่ยวตามหาพระองค์โดยแกะรอยถามหาคน
ไปเรื่อย ๆ ในที่สุดก็ได้ข่าวว่าอยู่ที่หมู่บ้านอุรุเวลาเสนานิคมจึงไปที่นั้นและก็ได้เจอพระองค์ที่นั้นเอง
จึงพากันเข้าไปถวายอภิวาทและขอเป็นอุปัฏฐาก โดยหวังว่าเมื่อพระองค์ตรัสรู้แล้วจักได้แสดงธรรมโปรดพวกตนบ้าง
ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา
หลังจากนั้นก็เริ่มบำเพ็ญเพียรต่าง
ๆ นานาที่ได้ร่ำเรียนมาและเอามาประยุกต์ที่ตนคิดว่าจะสำเร็จ ซึ่งคนสมัยนั้นนิยมว่าเป็นการประพฤติตามธรรมอย่างอุกฤษคือการทำทุกรกิริยา
ด้วยการทรมานตนตามวิธีต่าง ๆ เพื่อที่จะบรรลุธรรม แต่ที่พระองค์ทรงกระทำมีอยู่
3 วาระ
วาระที่ ๑ ทรงกดพระทนต์ด้วยพระทนต์ กดพระตาลุด้วยพระชิวหาไว้ให้แน่นจนพระเสโทไหลออกจากพระกัจฉะ
ในเวลานี้นทรงได้รับทุกขเวทนาอยย่างหนักเหมือนก้บมีใครมาบีบคอไว้แน่น
แม้พระวรกายที่จะกระวนกระวาย ไม่สงบเช่นนั้น พระองค์ก็มิได้ทรงท้อถอยยังคงบำเพ็ญต่อไป
กระทั่งทรงเห็นว่าการกระทำอย่างนี้ไม่ใช่ทางตรัสรู้ เมื่อทรงเห็นว่าไม่เป็นทางตรัสรู้จึงเปลี่ยนอย่างอื่นต่อไป
วาระที่ ๒ ทรงผ่อนกลั้นลมอัสสาสะปัสสาสะ (คือการอดกลั้นลมหายใจ)
เมื่อลมเดินโดยทางช่องพระนาสิกและชอ่ง พระโอษฐ์ ไม่ได้สะดวกก็บังเกิดกเสียงอู้ทางช่องพระกรรณทั้งสองข้าง
ทำให้ปวดพระเศียรเสียดพระอุทรร้อนในพระวรกายเป็นกำลัง แต่ก็ยังไม่สำเร็จ
จึงเปลี่ยนแนวใหม่
วาระที่ ๓ ทรงอดอรหารเสวยแต่วันละน้อย บ้าง เสวยอาหารที่ละเอียดล้าง
จนพระวรกายเหี่ยวแห้ง พระฉวีเศร้าหมอง พระอัฐิปรากฏทั่วพระวรกราย
เมื่อทรงลูบพระวรกาย เส้นพระโลมาก็ร่วงหลุด มีพระกำลังน้อย จะเสด็จไปข้างไหนก็ชวนล้ม
แต่ก็ยังไม่สำเร็จอีก
อุปมาปรากฏ
พระองค์ได้ทำปฏิบัติอย่างนี้และอีกหลายวิธีเป็นเวลา
6 ปีแต่ก็ยังไม่สำเร็จแต่พระองค์ก็ครุ่นคิด อย่างหนักที่จะหาวิธีที่จะปฏิบัติในที่สุดความคิดก็ได้ผุดขึ้นซึ่งเป็นอุปมาเปรียบเทียบเกิดขึ้นในใจ
3 ข้อดังนี้
๑.
สมณะพราหมณ์เหล่าใด มีกายและใจยังไม่หลีกออกจากกาม แม้จะทรมานร่างกายให้ได้รับ
ทุกขเวทนาแสนสาหัสสักปานใดก็ไม่สามารถที่จะตรัสรู้ได้ เช่นเดียวกับไม้สดที่ชุ่มด้วยยางทั้งแช่อยู่ในน้ำ
ใครก็ไม่สามารถที่จะสีให้เกิดไฟขึ้นมาได้ เขาย่อมเหนื่อยเปล่าแน่นอน
๒.
สมณะพราหมณ์เหล่าใด มีกายหลีกออกจากกามแล้ว แต่ทว่าจิตใจยังมีความกำหนัดยินดีอยู่ในกาม
ถึงจะบำเพ็ญอย่างแรงกล้าสักปานใดก็ยังตรัสรู้ไม่ได้เช่นเดียวกัน
เช่นไม้ที่ยังสดอยู่แต่ชุ่มด้วยยางแม้จะอยู่บนบก ใครก็ไม่อาจสีไฟให้เกิดไฟได้
เขาย่อมเหนื่อยเปล่า
๓.
สมณะพราหมณ์เหล่าใด มีกายและใจหลีกออกจากกามด้วยดีแล้ว แม้จะได้รับทุกขเวทนา
อันเกิดจากการบำเพ็ญเพียรนั้นหรือไม่ก็ตาม ก็สามารถที่จะตรัสรู้ได้
เหมือนไม้แห้งที่ตั้งอยู่บนบก บุคคลย่อมสีให้เกิดไฟขึ้นได้
คราวนี้พระองค์ก็หวนมาคิดถึงอดีตก็มาพลันนึกถึงตอนที่ยังเป็นพระโอรสน้อยเมื่อครั้ง
พระองค์ประทับที่ต้นไม้หว้าในคราวพระราชพิธีแรกนาขวัญว่า การบำเพ็ญทางจิตทำให้เกิด
เป็นสมาธินั้น อาจจะเป็นหนทางเพื่อตรัสรู้ได้ ขณะนั้นก็ได้ยินเสียงขอพิณสามสายอันเทวดาแสดงนิมิต
สายหนึ่งตึงพอดีดไปได้หน่อยสายก็ขาดพอดีดอีกก็ขาดอีก สายที่สองเมื่อดีดไปเสียงหย่อนแสดง
ว่าสายหย่อนฟังแล้วไม่ลื่นหู อีกสายหนึ่งเสียงปานกลาง พอดีก็บังเกิดเสียงไพเราะน่าฟังดีดอีดก็น่าฟังอีก
จึงได้เป็นแนวคิดว่า การปฏิบัต ิถ้าปฏิบัติเคร่งมากเกินก็เป็นการทรมานตนเองโดยเปล่าประโยชน์
ถ้าปฏิบัติหย่อนเกินไป ก็ได้ตรัสรู้เป็นแน่ แต่ถ้าบำเพ็ญทางสายกลางไม่หย่อนไม่ตึงจนเกินไปน่าจะเป็นหนทางตรัสรู้
เราควรบริโภคอาหารแล้วหันมาบำเพ็ญเพียรทางจิตใจ ดำริได้ดังนั้นและตกลงพระทัยก็ได้
กลับมาเสวยอาหารตามปกติเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและก็จะได้บำเพ็ญทางจิตต่อไป
|