มงคลชีวิต
๓๘ ประการ
"ชาวสวนชาวไร่
หลังจากถางป่าเผาหญ้าแล้ว ต้องรีบปลูกพืชผักผลไม้ที่ต้องการลงไป ก่อนที่หญ้าจะกลับระบาดขึ้นใหม่ฉันใด
คนเราเมื่อบำเพ็ญตบะทำความเพียรเผากิเลสจนเบาบางลงแล้ว ก็ต้องรีบปลูกฝังคุณธรรมต่างๆ
ลงในใจ
ด้วยการประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อยกระดับจิตให้สูงขึ้น ก่อนที่กิเลสจะฟูกลับขึ้นใหม่อีกฉันนั้น"
ประพฤติพรหมจรรย์
คืออะไร ?
การประพฤติพรหมจรรย์ แปลว่า การประพฤติตัวเองอย่างพระพรหมหรือความประพฤติอันประเสริฐ
หมายถึงการประพฤติตนตามคุณธรรมต่างๆ ทั้งหมดในศาสนาให้เคร่งครัดยิ่งขึ้น
เพื่อป้องกันไม่ให้กิเลสฟูกลับขึ้นมาอีกจนกระทั่งหมดกิเลสซึ่งต้องผ่านขั้นตอนต่างๆ
ตามภูมิชั้นของจิต
ภูมิชั้นของจิต
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบว่า จิตของคนเราอาจแบ่งภูมิชั้นได้เป็น
๔ ระดับ ตามการฝึกฝนตนเอง คือ
๑.กามาวจรภูมิ
เป็นชั้นที่ท่องเที่ยวอยู่ในกามารมณ์ยังยุ่งเกี่ยวกับกามคุณอยู่ ได้แก่
ภูมิจิตของคนสามัญทั่วไป
๒.รูปาวจรภูมิ
เป็นชั้นที่ท่องเที่ยวอยู่ในรูปารมณ์มีความสุขความพอใจอยู่ในอารมณ์ของรูปฌาน
ได้แก่ ภูมิจิตของผู้ที่ฝึกสมาธิมามากจนกระทั่งใช้รูปฌาน เมื่อมีชีวิตอยู่ก็ไม่สนใจกามารมณ์
อิ่มเอิบในพรหมวิหารธรรม
ซึ่งเป็นสุขประณีตกว่า กามารมณ์ เป็นเหมือนพระพรหมบนดิน ละจากโลกนี้ไปก็จะไปเกิดเป็นรูปพรหม
๓.อรูปาวจรภูมิ
เป็นชั้นที่ท่องเที่ยวอยู่ในอรูปารมณ์มีความสุข อยู่ในอารมณ์ของอรูปฌาน
ได้แก่ ภูมิจิตของผู้ที่ทำสมาธิจนกระทั่งได้อรูปฌาน มีความสุขที่ประณีตกว่าอารมณ์ของรูปฌานอีก
เมื่อละจากโลนี้ไปก็จะไปเกิดเป็นอรูปพรหม
๔.โลกุตตรภูมิ
เป็นชั้นที่พ้นโลกแล้ว ได้แก่ ภูมิจิตของผู้หมดกิเลสแล้ว คือ พระอรหันต์
มีความสุขล้วนๆ ละเอียด ประณีต ลึกซึ้ง
ทั้ง
๔ ภูมินี้ รวมเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ ๒ ประเภท คือ
โลกียภูมิ
ได้แก่ ๑.กามาวจรภูมิ
๒.รูปาวจรภูมิ
๓.อรูปาวจรภูมิ
โลกุตตรภูมิ
ได้แก่ ๔.โลกุตตรภูมิ
ในชั้นโลกียภูมินั้น ก็มีสุขมีทุกข์คละเคล้ากันไป และมีการยักย้ายถ่ายเทขึ้นลงได้
ผู้ที่อยู่ในอรูปาวจรภูมิ
ถ้าไม่ตั้งใจปฏิบัติธรรม
ประมาท อาจตกลงมาอยู่ชั้นกามาวจรภูมิก็ได้ ผู้อยู่ชั้นกามาวจรภูมิ
ถ้าตั้งใจทำสมาธิอาจเลื่อนไปอยู่รูปาวจรภูมิหรืออรูปาวจรภูมิได้
เลื่อนไปเลื่อนมาได้ไม่แน่นอน
และในชั้นโลกียภูมินี้ ถึงจะมีความสุขก็สุขอย่างโลกีย์ก็ยังมีทุกข์ระคนอยู่
เหมือนอย่างที่เราเจอกัน
มีลูกมีครอบครัวก็คิดว่าจะสุข พอมีจริงก็มีเรื่องกลุ้มใจให้ทุกข์จนได้
สุขเหมือนนึกระหว่างหน้าร้อน
ก็คิดว่าหน้าฝนจะสุข พอถึงหน้าฝนก็หวังว่าหน้าหนาวจะสบาย เลยไม่ทราบว่าสุขที่แท้จริงอยู่ที่ไหน
พระท่านเปรียบความสุขทางโลกียภูมินี้ว่าเหมือนพยับแดด
เราคงเคยเจอกัน ในหน้าร้อนพอมองไปบนถนนไกลๆ จนเห็นพยับแดดระยิบระยับ
อยู่ในอากาศเต็มไปหมด หรือเห็นเหมือนมีน้ำอยู่บนผิวถนน แต่พอเข้าใกล้ไปดูกลับไม่เห็นมีอะไร
สุขทางโลกีย์ก็เหมือนกันหวังไว้แต่ว่าจะเจอสุขแต่พอเจอเข้าจริงกลับกลายเป็นทุกข์อยู่ร่ำไป
ด้วยเหตุนี้จิตของคนที่ตกอยู่ในโลกียภูมิ
ทางศาสนาท่านจึงใช้คำว่า "สังสารจิต" แปลว่า จิตวิ่งวุ่น
วิ่งสับสนวนไปเวียนมาจะวิ่งไปไหนล่ะ?
ก็วิ่งตะครุบสุขนะสิ แต่สุขโลกีย์มันเป็นสุขกลับกลอกหลอกหลอน จิตก็เลยกลับกลอกไปด้วย
ประการสำคัญคือ สุขโลกีย์มันหนีได้
พอเราจะทันมันก็หนี เมื่อมันหนี เราก็ตาม แล้วก็ตามไม่ทันสักที
และที่สำคัญจิตที่วิ่งวุ่นสับสน
มีโอกาสพลาดพลั้งได้ง่ายเหมือนคนวิ่งวุ่นสับสนนั้นแหละ
มีหวังหกล้มตกหลุมตกบ่อเข้าจนได้ จิตก็เหมือนกันวิ่งไล่จับความสุขหัวซุกหัวซุน
คนที่ระวังไม่ดีหกล้มเข้าคุกเข้าตะรางก็เยอะ
ถลำลงนรกอเวจีก็มาก
อุปมาความสุขในโลกียภูมิทั้ง
๓ ขั้นได้ดังนี้
กามาวจรภูมิ
เป็นสุขขั้นต่ำ ยังยุ่งเกี่ยวกับกาม สุขเหมือนเด็กเล่นขี้เล่นดิน
รูปาวจรภูมิ
เป็นสุขที่สูงขึ้นมาหน่อย สุขเหมือนคนมีงานมีการที่ถูกใจทำ เพลิดเพลินไป
อรูปาวจรภูมิ
เป็นสุขที่สูงขึ้นมาอีก สุขเหมือนพ่อ แม่ ครู อาจารย์ ที่เห็นลูกซึ่งตนเลี้ยงดู
อบรมมา มีความเจริญก้าวหน้า
หรือเห็นงานการที่ตนทำสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
ชื่นชมผลงานของตน
ในศาสนาอื่นๆ
นอกเหนือจากพระพุทธศานา อย่างสูงที่สุดก็สอนให้คนเราพัฒนาจิตได้ถึงขั้นอรูปารมณ์เท่านั้น
เช่น
ศาสนาพราหมณ์ ก็สอนให้คนมุ่งเป็นพระพรหม ยังวนเวียนอยู่ในโลกียภูมิขึ้นๆ
ลงๆ
แต่พุทธศาสนาเรา สอนให้คนมุ่งหน้าสู่โลกุตตรภูมิ เข้าพระนิพพาน
ความมุ่งหมายของการประพฤติพรหมจรรย์
ความมุ่งหมายสุดยอดของการประพฤติพรหมจรรย์ในพุทธศาสนา
คือ ให้ตัดโลกียวิสัย ตัดเยื่อใยทุกๆ อย่าง
เพื่อมุ่งหน้าสู่โลกุตตรภูมิและอย่างแรกที่ต้องทำก่อน คือ ตัดกามารมณ์
แล้วจึงตัดรูปารมณ์ อรูปารมณ์ไปตามลำดับ
สำหรับพวกเราปุถุชนทั่วๆ ไป สิ่งสำคัญที่เหนี่ยวรั้งเราไว้ไม่ให้ก้าวหน้าในการพัฒนาจิต
และทำให้กิเลสฟูกลับขึ้นได้ง่ายที่สุดก็คือกามารมณ์
ถ้าใครตัดกามารมณ์ได้ก็มีโอกาสก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมได้อย่างรวดเร็ว
การประพฤติพรหมจรรย์ในมงคลข้อนี้ จึงมุ่งเน้นการตัดกามารมณ์เป็นหลัก
เราลองมาดูถึงอุปมาโทษของกามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้
อุปมาโทษของกาม
๑.กามเปรียบเหมือนสุนัขหิวแทะท่อนกระดูกเปื้อนเลือด
ยิ่งแทะยิ่งเหนื่อย ยิ่งหิว อร่อยก็ไม่เต็มอยาก ไม่เต็มอิ่มพลาดท่าแทะพลาดไปถึงฟันหักได้
พวกเราก็เหมือนกกันที่หลงว่ามีคู่รักแล้ว แต่งงานแล้วจะมีสุข
พอมีเข้าจริงไม่เห็นจะสุขจริงสักราย ต้องมีเรื่องขัดใจให้ตะบึงตะบอนกัน
ให้กลุ้มใจให้ห่วงกังวล
ทั้งห่วง ทั้งหวง ทั้งหึง ไม่เว้นแต่ละวันที่หนักข้อถึงกับไปกระโดดน้ำตาย
หรือผูกคอตายเสียก็มากต่อมาก พอจะมีสุขบ้างก็ประเดี๋ยวประด๋าว
พอให้มันๆ เค็มๆ เหมือนสุนัขแทะกระดูก
๒.กามเปรียบเหมือนชิ้นเนื้อที่แร้งหรือเหยี่ยวคาบบินมา
แร้ง กา หรือเหยี่ยวตัวอื่นก็จะเข้ารุมจิกแย่งเอา คือไม่เป็นของสิทธิ์ขาดแต่ตัว
ผู้อื่นแย่งชิงได้ คนทั้งหลายต่างก็ต้องการหมายปองเอา จึงอาจต้องเข่นฆ่ากันเป็นทุกข์แสนสาหัส
เราลองสังเกตดูก็แล้วกัน
ที่มีข่าวกันอยู่บ่อยๆ ทั้งฆ่ากัน ชิงรักหักสวาทน่ะ หรือรอบๆ ตัวมีบ้างไหม
ที่กว่าจะได้แต่งงานกันก็ฝ่าดงมือฝ่าดงเท้าเสียแทบตาย
ถูกตีหัวเสียก็หลายที พอแต่งแล้วก็ยังไม่แน่เดี๋ยวใครมาแย่งไปอีกแล้ว
ยิ่งสวยเท่าไรยิ่งหล่อเท่าไร ยิ่งอันตราย
๓.กามเปรียบเหมือนคนถือคบเพลิงที่ทำด้วยหญ้าลุกโพลงเดินทวนลมไป
ไม่ช้าก็ต้องทิ้ง มิฉะนั้นก็โดนไหม้มือระหว่างเดินก็ถูกควันไฟรมหน้าต้องทนทุกข์ทรมานย่ำแย่คนเราที่ตกอยู่ในกามก็เหมือนกัน
ต้องทนรับทุกข์จากกามทำงานงกๆ หาเงินเลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย ต้องกลุ้มอกกลุ้มใจลูกจะเรียนที่ไหนดี
จะเกเรหรือเปล่า
เมียจะนอกใจไหมเดี๋ยวก็มีเรื่องขัดใจกัน เสร็จแล้วก็ไม่ใช่จะได้อยู่ด้วยกันได้ตลอด
เดี๋ยวอ้าว! รถชนตายเสียแล้ว อ้าวเป็นมะเร็งตายเสียแล้ว หรือเผลอประเดี๋ยวเดียวก็ต้องแก่ตายกันเสียแล้วไม่ได้อยู่กันไปได้ตลอดหรอก
เหมือนคบเพลิงหญ้าถือได้ไม่นานก็ต้องทิ้ง
๔.กามเปรียบเหมือนหลุมถ่านเพลิงอันร้อนแรง
ผู้ที่รักชีวิตทั้งๆ ที่รู้ว่าหากตกลงไปแล้ว ถึงไม่ตายก็สาหัสแต่ก็แปลกเหมือนมีอะไรมาพรางตาไว้
เหมือนมีแรงลึกลับมาคอยฉุดให้ลงหลุมอยู่ร่ำไป พระท่านสอนที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ก็เชื่อท่านหรอก
แต่พอออกนอกวัดเจอสาวๆ สวยๆ หนุ่มรูปหล่อเข้า ลืมเสียแล้ว เวลาจะแต่งงานก็คิดถึงแต่ความสวยความหล่อ
ความถูกใจหาได้มองเห็นไปถึงความทุกข์อันจะเกิดจากกามเกิดจากชีวิตการครองเรือนไม่
๕.กามเปรียบเหมือนความฝัน
เห็นทุกอย่างเฉิดฉายอำไพ แต่ไม่นานก็ผ่านไป
พอตื่นขึ้นก็ไม่เห็นมีอะไร เหลือไว้แต่ความเสียดาย คนเราที่จมอยู่ในกามก็เหมือนกัน
แรกๆ
ก็คุยกันกะหนุงกะหนิง น้องจ๊ะน้องจ๋าอยู่กันไม่นานพูดคำด่าคำเสียแล้ว
งานก็มากขึ้นเป็น ๒-๓ เท่าไม่เห็นสุขเหมือนที่คิดฝันไว้ กามเหมือนความฝัน
พวกเราจะเป็นคนเพ้อฝันลมๆ แล้งๆ หรือจะเป็นคนยืนอยู่บนความจริง ตั้งใจฝึกฝนตนเองปฏิบัติธรรมกันล่ะ
๖.กามเปรียบเหมือนสมบัติที่ยืมเขามา
เอาออกแสดงก็ดูโก้เก๋ดี ใครเห็นก็ชม แต่ก็ครอบครองไว้อย่างไม่มั่นใจ
ได้เพียงชั่วคราวไม่เป็นสิทธิ์เด็ดขาด เจ้าของตามมาพบเมื่อไรก็เอาคืนเมื่อนั้น
ตัวเองก็ได้แต่ละห้อยหา
พวกเราก็เหมือนกันไปได้แฟนสวยแฟนหล่อมาก็ภูมิใจไปไหนๆ ใครๆ ก็ทักว่าคู่นี้สมกันเหมือนกิ่งทองใบหยก
ยืดเสียอกตั้งทีเดียว เผลอประเดี๋ยวเดียว อ้าวผู้หญิงกลายเป็นยายแร้งทึ้งไปเสียแล้ว
ผู้ชายไหงหัวล้านพุงพลุ้ยเสียแล้ว นี่ความหล่อความสวยมันถูกธรรมชาติถูกเวลาทวงกลับเสียแล้ว
พวกเราจะไปหลงโง่งมงายอยู่กับของขอยืมของชั่วคราวแบบนี้หรือเปล่า
๗.กามเปรียบเหมือนต้นไม้มีผลดกอยู่ในป่า
ใครผ่านมาเมื่อเขาอยากได้ผล จะด้วยวิธีไหนเอาทั้งนั้น ปีนได้ก็ปีน
ปีนไม่ได้ก็สอย บางคนก็โค่นเลย ใครอยู่บนต้นลงไม่ทันก็ถูกทับตาย เบาะๆ
ก็แข้งขาหัก พวกเราก็เหมือนกันบางคนคงเคยเจอมาแล้ว
เที่ยวไปจีบคนโน้นคนนี้ ยังไม่ทันได้มาเลยถูกเตะต่อยมาบ้าง ถูกตีหัวมาบ้าง
ได้แต่บ่นรู้อย่างนี้ นอนอยู่บ้านดีกว่า นี่เหมือนผลไม้ในป่า ยิ่งดกยิ่งสวย
แล้วก็ระวังเถอะจะเจ็บตัว
๘.กามเปรียบเหมือนเขียงสับเนื้อ
ใครไปยุ่งเกี่ยวก็เหมือนกับเอาชีวิตให้ถูกสับ เพราะกามเป็นที่รองรับทุกข์ทั้งหลาย
ทั้งกายและใจ เหมือนเขียงเป็นที่รองรับคมมีดที่สับเนื้อจนเป็นรอยแผลนับไม่ถ้วน
๙.กามเปรียบเหมือนหอกและหลาว
ทำให้เกิดทุกข์ทิ่มแทงหัวใจเกิดความเจ็บปวดรวดร้าวมาก ใครไปพัวพันในกามแล้ว
ที่จะไม่เกิดความเจ็บช้ำน้ำใจนั้นเป็นไม่มีเหมือนหอกหลาวที่เสียดแทงร่างกายให้เกิดทุกขเวทนาอย่างนั้น
๑๐.กามเปรียบเหมือนหัวงูพิษ
เพราะกามประกอบด้วยภัยมากต้องมีความหวาดระแวงต่อกันอยู่เนืองๆ ไม่อาจปลงใจได้สนิท
วางจิตให้โปร่งไม่ได้ เป็นที่หวาดเสียวมาก อาจฉกให้ถึงตายได้ทุกเมื่อเหมือนหัวงูพิษ
ทั้งหมดนี้
คือ อุปมาโทษของกามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้
ความจริงแล้วยังมีอีกมาก นี่เป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น
เมื่อเราเห็นกันแล้วว่ากามมีโทษมากมายถึงปานนี้
เพราะฉะนั้นใครที่ยังไม่มีแฟน ยังไม่ได้แต่งงานรีบฝึกสมาธิเข้ามากๆ
ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ เมื่อไรใจเราสงบ ความสว่างภายในบังเกิดขึ้น เราก็มีสุขที่เหนือกว่ากามสุขอยู่แล้ว
ความคิดที่จะมีคู่ก็หมดไปเอง ส่วนคนที่แต่งงานแล้วก็ไม่ถึงกับต้องหย่ากันหรอกนะเอาเพียงแค่
อย่าไปมีเมียน้อย อย่าไปมีใหม่ อย่าไปหาอะไหล่มาเสริมก็แล้วกัน
แล้วก็หาเวลารักษาศีล๘เสียบ้างด้วย เราลองมาดูวิธีประพฤติพรหมจรรย์กัน
วิธีประพฤติพรหมจรรย์
พรหมจรรย์ชั้นต้น สำหรับผู้ครองเรือน ก็ให้พอใจเฉพาะคู่ครองของตนเท่านั้น
รักษาศีล ๕ ไม่นอกใจภรรยา-สามี
พรหมจรรย์ชั้นกลาง สำหรับผู้ครองเรือน คือนอกจากรักษาศีล ๕ แล้ว ก็ให้รักษาศีล
๘ เป็นคราวๆ ไปและฝึกให้มีพรหมวิหาร ๔
พรหมจรรย์ชั้นสูง สำหรับผู้ไม่ครองเรือน ถ้าเป็นฆราวาสก็รักษาศีลอย่างน้อย
ศีล ๘ ตลอดชีวิต ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเพศเลย
หรือถ้าเป็นชายก็ออกบวชเป็นพระภิกษุ
และปฏิบัติธรรมทุกข้อในศาสนาให้เต็มที่
พรหมจรรย์ทุกขั้นจะตั้งมั่นอยู่ได้ ต้องอาศัยการฝึกสมาธิเป็นหลัก
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการบวช
เราชาวพุทธนิยมบรรพชาอุปสมบทกันเมื่ออายุครบ ๒๐ ปี จัดเป็นการฝึกประพฤติพรหมจรรย์ที่ได้ผลดียิ่งวิธีหนึ่ง
จึงควรที่พวกเราจะได้ทราบเรื่องเกี่ยวกับการบวชไว้บ้าง ดังนี้
๑.อายุขณะบวช
พวกเราถ้ามีเวลาควรหาโอกาสบรรพชาเป็นสามเณรกันสักช่วงหนึ่งระหว่างอายุ
๑๕-๒๐ ปี เพราะช่วงนี้ภาระยังน้อย ยังไม่ค่อยมีกังวลจะมีความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมเร็วหรือไม่เช่นนั้นก็ควรหาเวลาที่เหมาะสมในการบวชพระเมื่อายุ
๒๐-๒๕ ปี
หรือเวลาอื่นที่สะดวก แต่ไม่ควรรอจนอายุมากเกินไป เพราะสังขารจะไม่อำนวย
จะลุกจะนั่งจะฝึกสมาธิก็ไม่สะดวก
ยิ่งกว่านั้นเมื่อมีอายุมากแล้วมักจะมีทิฐิว่ายากสอนยาก เหมือนไม้แก่ดัดยาก
๒.ระยะเวลาที่บวช
อาจบวชในช่วงเข้าพรรษา ๓ เดือน หรือบวชภาคฤดูร้อน ๑-๒ เดือน บวชในเวลาที่สะดวกลางานได้
หรือบวชตลอดชีวิตก็ได้ แต่ควรบวชนานกว่า ๑ เดือนจะได้มีเวลาศึกษาธรรมวินัยพอสมควร
๓.การเลือกสำนักบวช
ข้อนี้สำคัญมาก การบวชจะได้ผลแค่ไหนขึ้นอยู่กับสำนักบวชนี่เอง
การเลือกจงเลือกสำนักที่มีการกวดขันการประพฤติธรรมและกวดขันพระวินัย
สำนักที่ดี
พระอุปัชฌาย์อาจารย์จะมีการอบรมสั่งสอนพระใหม่อย่างใกล้ชิด มีการให้โอวาทเคี่ยวเข็ญให้ปฏิบัติธรรมจนน่ารำคาญ
อย่างนี้ดี ส่วนสำนักไหนปล่อยปละละเลย บวชแล้วไม่มีใครสนใจปล่อยให้อยู่ตามสบาย
บางทีตั้งแต่บวชจนสึกพระใหม่ไม่ได้สนทนาธรรมกับพระอุปัชฌาย์อาจารย์เลย
อย่างนี้ใช้ไม่ได้ ป่วยการบวช ที่เราบวชก็มุ่งจะฝากตัวให้ท่านอบรม
ให้ท่านไม่เอาใจใส่เราจะบวชทำไม กุศลไม่ใช่อยู่ที่ผ้าเหลืองเท่านั้น
๔.การรักษาวินัย
ต้องคิดไว้เสมอว่า เราจะเป็นพระได้เพราะวินัยถ้าถอดวินัยออกจากตัวเสียแล้วแม้จะโกนผมนุ่งผ้าเหลืองก็ไม่ใช่พระ
นอกจากจะไม่ใช่พระแล้วชาวพุทธยังถือว่าผู้นั้นเป็นโจรปล้นศาสนาอีกด้วย
เพราะฉะนั้นต้องศึกษาพระวินัยและรักษาโดยเคร่งครัด ไม่อย่างนั้น สึกออกมาแล้วจะมาเสียใจจนตายว่าบวชเสียผ้าเหลืองเปล่าๆ
๕.การปฏิบัติธรรม
ควรใช้เวลาทั้งหมดในการศึกษาธรรมวินัยและทำสมาธิ ศึกษาธรรมะ งดคุยเฮฮาไร้สาระ
๖.การสงเคราะห์สังคม
พระบวช ๓ เดือน ควรถือประโยชน์ตนเป็นใหญ่ การช่วยเหลืองานหมู่คณะให้ทำแต่พอควร
เรามีเวลาน้อยต้องรีบศึกษาและปฏิบัติธรรมการช่วยเหลือส่วนรวมไว้สึกแล้วมาช่วยก็ยังได้
ถ้าจะสงเคราะห์ญาติโยม ยังไม่ต้องไปเทศน์โปรดเพราะความรู้ธรรมะก็ยังไม่มากพอ
เอาเพียงแต่ตั้งใจปฏิบัติตัวให้ดี บิณฑบาตก็ให้เป็นระเบียบ จะเดินจะเหิน
มีกิริยาสำรวมเป็นที่ตั้งแห่งศรัทธา ให้ญาติโยมเขาได้เห็นเป็นตัวอย่างในการมีวินัย
และความสำรวมตนก็พอ
อานิสงส์การประพฤติพรหมจรรย์
๑.ทำให้ปลอดโปร่งใจ
ไม่ต้องกังวลหรือระแวง
๒.ทำให้เป็นอิสระ เหมือนนกน้อยในอากาศ
๓.ทำให้มีเวลามากในการทำความดี
๔.ทำให้เป็นที่สรรเสริญของบัณฑิตทั้งหลาย
๕.ทำให้ ศีล สมาธิ ปัญญา เจริญรุดหน้าไม่ถอยกลับ
๖.ทำให้บรรลุมรรคผลนิพพานได้โดยง่าย "
กามทั้งหลายมีโทษมาก
มีทุกข์มาก มีความพอใจน้อย เป็นบ่อเกิดแห่งความทะเลาะวิวาทกัน ความชั่วเป็นอันมากเกิดขึ้นเพราะกามเป็นเหตุ..."
(พุทธพจน์)
จบมงคลคาถาที่
๓๒ ประพฤติพรหมจรรย์
|