หน้าแรก I ประวัติพระพุทธเจ้า I บททำวัตรเช้า-เย็น แปลI จิตสังเขป I ตู่มือมนุษย์I การฝึกใจ l ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ I ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก I
มงคลชีวิต ๓๘ ประการ

มงคลหมู่ที่ ๑

- ไม่คบคนพาล
- คบบันฑิต
- บูชาบุคคลที่ควรบูชา

มงคลหมู่ที่ ๒

- อยู่ในถิ่นที่เหมาะสม
-
มีบุญวาสนามาก่อน
- ตั้งตนชอบ
มงคลหมู่ที่ ๓
- เป็นพหูสูต
-
มีศิลปะ
- มีวินัย
- มีวาจาสุภาษิต
มงคลหมู่ที่ ๔
- บำรุงบิดามารดา
-
เลี้ยงดูบุตร
- สงเคราะห์ภรรยา (สามี)
- ทำงานไม่คั่งค้าง
มงคลหมู่ที่ ๕
- บำเพ็ญทาน
-
ประพฤติธรรม
- สงเคราะห์ญาติ
- ทำงานไม่มีโทษ
มงคลหมู่ที่ ๖
- งดเว้นจากบาป
-
สำรวมจากการดื่มน้ำเมา
- ไม่ประมาทในธรรม
มงคลหมู่ที่ ๗
- มีความเคารพ
-
มีความถ่อมตน
- มีความสันโดษ
- มีความกตัญญู
- ฟังธรรมตามกาล
มงคลหมู่ที่ ๘
- มีความอดทน
-
เป็นคนว่าง่าย
- เห็นสมณะ
- สนทนาธรรมตามกาล
มงคลหมู่ที่ ๙
- บำเพ็ญตบะ
-
ประพฤติพรหมจรรย์
- เห็นอริยสัจ
- ทำพระนิพพานให้แจ้ง
มงคลหมู่ที่ ๑๐

- จิตไม่หวั่นในโลกธรรม
-
จิตไม่โศก
- จิตปราศจากธุลี
- จิตเกษม

 

มงคลที่ ๑๒ เลี้ยงดูบุตร

มงคลข้อที่ 12 ได้แก่ การเลี้ยงบุตร การเลี้ยงบุตรนั้น อย่าเข้าใจว่า สมัยโบราณเหมือนสมัยนี้ ไม่ใช่เลี้ยงโตกันด้วยอาหาร แล้วปล่อยให้เป็นมหาโจร ความหมายของ การเลี้ยงบุตร ที่เป็นมงคลนี้ หมายถึง

1 ห้ามมิให้กระทำความชั่ว

2 สั่งสอนให้บุตรตั้งอยู่ในความดี

3 ให้บุตรได้ศึกษาศิลปวิทยา

4 จัดเรื่องคู่ครองให้เขา เป็นไปตามประเพณื

5 มอบทรัพย์สมบัติให้ เมื่อถึงกาลอันควร

เมื่อเรารู้แล้วว่า การเลี้ยงดูบุตร มีความหมายอย่างนี้ เราก็ควรจะได้ รู้จักประเภทของบุตรนั้น ในทางพุทธศาสนา จัดประเภทของบุตรนั้นเป็น 3 ประเภท คือ

1 อภิชาตบุตร หมายความถึง บุตรที่ดีกว่าบิดา หรือมารดา

2 อนุชาตบุตร หมายถึง บุตรที่เสมอด้วยบิดา และมารดา

3 อวชาตบุตร หมายถึง บุตรที่ต่ำกว่าบิดา และมารดา ซึ่งเราจะเห็นพวกวัยรุ่นสมัยนี้ ส่วนมากเป็นอวชาตบุตรทั้งสิ้น

"ต้นไม้ถ้าลูกมันรสไม่ดี ก็มีแต่คนจะโค่นต้ทิ้ง ไม่มีใครคิดจะบำรุงรักษาไว้
ตรงข้ามถ้าลูกมันรสดี ทั้งหวานทั้งมัน เจ้าของก็อยากใส่ปุ๋ย พรวนดินรดน้ำทะนุถนอมให้คงต้นอยู่นาน ๆ ต้นไม้ผลจะคงต้นอายุยืนได้รับการบำรุงรักษาดีเพียงไร จึงขึ้นอยู่กับลูกของมัน"

คนเราก็เช่นกัน ถ้าลูกทำดี คนทั้งหลายก็ชมมาถึงพ่อแม่ว่าเลี้ยงลูกดีความสุขกายสบายใจก็ติดตามเพราะลูก ความดีบุญกุศลก็ไหลมาเพราะลูก

แต่ถ้าลูกทำชั่วช้าเลวทราม คนทั้งหลายก็แช่งด่ามาถึงพ่อแม่ด้วยเหมือนกัน สร้างความลำบากให้พ่อแม่ ทั้งทรัพย์สินเงินทองชื่อเสียงเสียหายไปเพราะลูก พระสัมมาสัมพุทธจ้าทรงชี้ว่า สิริมงคลของคนที่เป็นพ่อเป็นแม่อยู่ที่ลูก
และในทางตรงข้าม ถ้าไม่ป้องกันแก้ไขให้ดีแล้ว อัปรีย์จัญไรก็จะมาจากลูกนั่นเหมือนกัน

ทำไมจึงต้องเลี้ยงดูบุตร
วันหนึ่งเราต้องแก่และตาย สิ่ที่ยากได้กับทุกคน คือ ความปีติ ความปลื้มใจ ไว้หล่อเลี้ยงใจให้สดชื่น ความปลื้มปีติจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อได้เห็น ผลแห่งความดี
หรือผลงานดี ๆ ที่เราทำไว้ ยิ่งผลงานดีมากเท่าไร ยิ่งชื่นใจมากเท่านั้นแล้วอายุจะยืนยง สุขภาพจะแข็งแรง

 

สุดยอดผลงานของนักปฏิบัติธรรม คือ การกำจัดกิเลสในตัวให้หมด

สุดยอดผลงานของโลก คือ การมีลูกหลานเป็นคนดี

ถ้าลูกหลานเป็นคนเลว มันช้ำใจยิ่งกว่าถูกใครจับใส่ครกโขลกเสียอีก

เลี้ยงสุนัขแล้วกัดสู้สุนัขคนอื่นไม่ได้ยังเจ็บใจ

เลี้ยงลูกแล้วดีสู้ลูกคนอื่นไม่ได้มันจะช้ำใจสักแค่ไหน


               ความหวังสุดยอดของชาวโลก 
               ๑.บุตรที่เราเลี้ยงมาแล้ว จักเลี้ยงตอบแทน 
               ๒.บุตรที่เราเลี้ยงมาแล้ว จักทำกิจแทนเรา 
               ๓.วงศ์สกุลของเราจัดดำรงอยู่ได้นาน 
               ๔.บุตรจักปกครองทรัพย์มรดกแทนเรา 
               ๕.เมื่อเราละโลกไปแล้ว บุตรจักบำเพ็ญทักษิณาทานให้ 
               

เพราะเล็งเห็นฐานนะ ๕ ประการนี้ บิดามารดาจึงอยากได้บุตร


บุตรแปลว่าอะไร ........?
บุตร มาจากคำว่า ปุตฺต แปลว่า ลูก มีความหมาย ๒ ประการ คือ
-ผู้ทำสกุลให้บริสุทธิ์
-ผู้ยังหทัยของพ่อแม่ให้เต็มอิ่ม

ประเภทของบุตร
ประเภทของบุตแบ่งโดยความดีในตัว ได้เป็น ๓ ชั้น ดังนี้
๑.อภิชาตบุตร คือ บุตรที่ดีมีคุณธรรมสูงกว่าบิดามารดา เป็นบุตรชั้นสูง สร้างความเจริญแก่วงศ์ตระกูล
๒.อนุชาตบุตร คือ บุตรที่มีคุณธรรเสมอบิดามารดา เป็นบุตรชั้นกลาง ไม่สร้างความเจริญแก่วงศ์ตระกูล แต่ก็ไม่ทำให้เสื่อมลง
๓.อวชาตบุตร คือ บุตรที่เลว มีคุณธรรมต่ำกว่าพ่อแม่ เป็นบุตรชั้นต่ำนำความเสื่อมเสียมาสู่วงศ์ตระกูล


องค์ประกอบให้ได้ลูกดี
๑.ตนเองต้องเป็นคนดี ทำบุญมาดีจึงได้ลูกดี เหมือนต้นไม้พันธุ์ดีก็ย่อมมีลูกพันธุ์ดี เด็กที่เกิดในท้องแม่จะมีคุณธรรมในใจที่ติดตัวมาในระดับใกล้เคียงกับของพ่อแม่ ดังนั้นพ่อแม่ที่ต้องการได้ลูกดี ก็ต้องขวนขวายสร้างความดีไว้มาก ๆ ยิ่งพ่อแม่สร้างบุญมากเท่าไร โอกาสที่จะได้ลูกดีก็มากเท่านั้น
๒.การเลี้ยงดูอบรมดี ซึ่งจะกล่าวรายละเอียดต่อไป

วิธีเลี้ยงดูลูก
การเลี้ยงดูลูกมีอยู่ ๒ ทาง คือ การเลี้ยงดูลูกทางโลกและการเลี้ยงดูลูกทางธรรม ซึ่งพ่อแม่ควรจะเลี้ยงดูลูกให้พร้อมบริบูรณ์ทั้ง ๒ ทาง

วิธีเลี้ยงดูลูกทางโลก
๑.กันลูกออกจากความชั่ว กัน หมายถึง ป้องกันกีดกัน คือ ไม่เพียงแต่ห้าม หากต้องดำเนินการทุกวิถีทางที่จะไม่ให้ลูกตกไปสู่ความชั่ว ซึ่งบางครั้งพ่อแม่กับลูกก็พูดกันไม่เข้าใจ

สาเหตุของความไม่เข้าใจกันนั้นมักจะเกิดจากการขัดกันอยู่ ๓ ประการ คือ
-ความเห็นขัดกัน
-ความต้องการขัดกัน
-กิเลส


ความเห็นขัดกัน คือ ของสิ่งเดียวกันแต่เห็นกันคนละทาง มองกันคนละแง่ เช่น การเที่ยวเตร่
เด็กวัยรุ่นมักจะเห็นว่าดี เป็นการเข้าสังคม ทำให้กว้างขวางทันสมัย
แต่ผู้เป็นพ่อแม่กลับเห็นว่า การเที่ยวเตร่หามรุ่งหามค่ำนั้น มีผลเสียหายหลายประการ
เช่น อาจเสียการเรียน อาจประสบภัย อาจใจแตก เพราะถูกเพื่อนชักจูงไปให้เสีย
ครั้นห้ามเข้าลูกก็ไม่พอใจ..... ดูถูกว่าพ่อแม่หัวเก่าล้าสมัย ........


เรื่องนี้ ถ้าจะพูด้วยความเป็นธรรมแล้ว ลูกควรจะรับฟังความเห็นของพ่อแม่ด้วยเหตุผลง่าย ๆ ๒ ประการ คือ พ่อแม่ทุกคนหวังดีต่อลูก ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ และพ่อแม่ย่อมมีประสบการณ์ รู้ทีได้ที่เสียมามากกว่า

เราแน่ใจหรือว่าความรักของเพื่อนตั้งร้อยที่ล้อมหน้าล้อมหลังอยู่นั้น รวมกันเข้าทั้งหมดแล้ว
จะมากและบริสุทธิ์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เหมือนความรักในดวงใจของพ่อแม่
คนเราทุกคนเคยเห็นผิดเป็นชอบมาก่อน

เมื่อยังเป็นเด็กอมมืออยู่นั้น เราเคยเห็นว่าลูกโป่งอัดลมใบเดียวมีค่ามากกว่าธนบัตใบละร้อยใช่ไหม ?

จิตใจที่อยู่ในวัยเยาว์ก็ย่อมเยาว์ตามไปด้วยดังนั้นเชื่อฟังคำกล่าวตักเตือนของพ่อแม่ไว้เถิดไม่เสียหลาย พ่อแม่เองเมื่อจะห้ามหรือบอกให้ลูกทำอะไร ก็ควรบอกเหตุผลด้วย อย่าใช้แต่อารมณ์

ความต้องการขัดกัน คือ คนต่างวัยก็มีรสนิยมต่างกัน ความสุขของคนแก่คือ ชอบสงบ หาเวลาพักผ่อนอยู่กับบ้าน แต่ความสุขของเด็กหนุ่มสาวมักอยู่ที่ได้แต่งตัวสวย ๆ ไปเที่ยวเตร่นอกบ้าน ข้อนี้ขัดแย้งกันแน่

ลูกกับพ่อแม่จึงต้องเอาใจมาพบกันที่ความรัก ตกลงกันที่มุมรักระหว่างพ่อแม่กับลูก

รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาวตามสมควร

การเลี้ยงลูกที่กำลังโตเป็นหนุ่มเป็นสาวนั้น เหมือนการเล่นว่าวโต้ลม ผ่อนไปนิด ดึงกลับมาหน่อย จึงจะเป็นผลดี

กิเลส ถ้าทั้ง ๒ ฝ่าย มีความโกรธ มีทิฐิ ดื้อดึง ดื้อด้าน หลงตัวเอง หรือมีกิเลสอื่น ๆ ครองงำอยู่แล้ว ก็ยากที่จะพูดกันให้เข้าใจ ต้องทำใจให้สงบและพูดกันด้วยใจที่เป็นธรรม ด้วยเหตุด้วยผล

พ่อแม่ต้องฝึกตนให้เป็นคนมีคุณธรรมและสอนลูกให้เป็นคนดีมีเหตุผลเสียแต่ยังเล็ก ปัญหาข้อนี้ก็จะเบาบางลง

๒.ปลูกฝังลูกในทางดี หมายถึง ให้ลูกประพฤติดี มีศีละรรมพ่อแม่ต้องพยายามเล็งเข้าหาใจของลูก เพราะใจเป็นตัวควบคุมการกระทำของคน ที่ว่าเลี้ยงลูกให้ดี คือ ทำใจของลูกให้ดีนั่นเอง

สิ่งของนั้นมีอยู่ ๒ ประเภท คือ ของกินกับของใช้ สำหรับของกินทุกคนต้องกิน ทุกคนต้องกินเหมือนกันหมด เพื่อให้ร่างกายเติบโตคงชีวิตอยู่ได้ ส่วนของใช้นั้นต่างคนต่างมีตามความจำเป็น เช่น ชาวนาก็ต้องมีจอบ มีไถ เสมียนก็ต้องมีปากกา

สมบัติทางใจก็มี ๒ ประการเหมือนกัน

ธรรมะ เป็นอาหารใจ

วิชาความรู้ เป็นเครื่องมือของใจ

ตามธรรมดาร่างกายคนถ้าขาดอาหารแล้วก็จะเสียกำลัง ใจคนก็เหมือนกัน ต้องมีธรรมะให้พอเพียง

อาหารทางกายกินแทนกันไม่ได้ ไม่เหมือนของใช้ มีดเล่มเดียวใช้กันได้ทั้งบ้าน เรื่องของใจก็เหมือนกัน

ใจทุกดวงต้องกินอาหารเอง คือ ทุกคนต้องมีธรรมะไว้ในใจตนเอง

จะถือว่าใจพ่อแม่มีธรรมะแล้วใจลูกไม่ต้องมีไม่ได้

ส่วนวิชาความรู้เปรียบเหมือนของใช้ใครจะใช้ความรู้ทางไหนก็หาความรู้เฉพาะทางนั้น

ขาดเหลือไปบ้างพออาศัยผู้อื่นได้ ใจที่ขาดธรรมะเหมือนร่างกายที่ขาดอาหาร

ใจที่ขาดวิชาความรู้เหมือนคนที่ขาดเครื่องมือทำงาน

พ่อแม่ต้องปลูกใจลูกให้มีทั้ง ๒ อย่าง จึงจะเป็นการปลูกฝังลูกในทางดีซึ่งทำได้โดย
๑.กระทำตนเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ลูก
๒.เลือกคนดีให้ลูกคบ
๓.หาหนังสือดีให้ลูกอ่าน
๔.พาลูกไปหาบัณฑิต เช่น พระภิกษุ ครูบาอาจารย์ที่ดี
๓.ให้ลูกได้รับการศึกษา ภารกิจข้อนี้ความชัดอยูแล้ว คือให้ลูกได้เล่าเรียน

เพื่อให้มีความรู้สามารถช่วยตัวเองต่อไปได้

พ่อแม่สมัยนี้ควรจะติดตามดูแลลูกอย่างใกล้ชิดมากขึ้น ควรติดต่อกับทางโรงเรียนอยู่เสมอขอทราบเวลาเรียน ผลการเรียน รวมทั้งค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เด็กอ้างว่าทางโรงเรียนเรียกร้องด้วย

พ่อแม่ที่มีลูกไปเรียนไกลบ้านต่างจังหวัด และขาดผู้ดูแลที่ไว้วางใจได้ ควรจะเป็นห่วงลูกให้มาก
หากไม่จำเป็นจริง ๆ ไม่ควรให้เด็กอยู่หอพัก เว้นแต่ท่านจะเชื่อใจเด็กได้ และต้องหาหอพักที่มีระเบียบข้อบังคับเคร่งครัดด้วย

๔.จัดแจงให้ลูกแต่งงานกับคนดี

ความหมายในทางปฏิบัติมีอยู่ ๒ ขั้นตอน คือ
๑.พ่อแม่ต้องเป็นธุระในการแต่งงานของลูก ช่วยหาสินสอดทองหมั้นให้
๒.พ่อแม่ต้องพยาบาลให้ลูกได้คู่ครองที่ดี

ในข้อที่ ๒ อาจมีความขัดแย้งระหว่างพ่อแม่กับลูกอยู่ไม่น้อย คล้ายกับการกันลูกจากความชั่ว

แต่การขัดแย้งกันในเรื่องคู่ครองมักจะแรงกว่าควรจะทำความเข้าใจกันให้ดีปัญหาสำคัญมีอยู่ ๒ ข้อ คือ
๑. พ่อแม่แทรกแซงความรักของลูก มีผลดีหรือเสียอย่างไร ?
๒. ใครควรเป็นผู้ตัดสินการแต่งงานของลูก

ปัญหาข้อแรก ถ้าคิดดูโดยละเอียดถี่ถ้วนแล้ว จะเห็นว่าผลดีมีมากกว่าผลเสีย จะมีผลเสียอยู่เฉพาะในรายที่พ่อแม่ขาดจิดตวิทยา และชอบทำอะไรเกินกว่าเหตุเท่านั้น แต่การร่วมมือกันเป็นของดีแน่ ความจำเป็นอยู่ที่ว่า ลูกยังอยู่ในวัยเยาว์ รู้จักโลกน้อย มองโลกในแง่ดีเกินไป อาจตัดสินใจผิดพลาพได้และความผิดพลาดในเรื่องคู่ครองนั้นมีผลมาก แก้ยาก

ปัญหาข้อที่สอง ใครควรเป็นผู้ที่ตัดสินการแต่งงานของลูก เช่น ควรแต่งงานหรือยัง ? ควรแต่งกับใคร ? ทางที่ประเสริฐที่สุด คือ ปรึกษาหารือและตกลงกัน พ่อแม่ควรเป็นเพียงที่ปรึกษา ไม่เจ้ากี้เจ้าการจนเกินงามต้องให้ลูกได้แต่งงานกับคนที่เขารัก

เพราะความรักเป็นมูลฐานของการสมรสฝ่ายลูกจะเลือกใครก็ต้องให้พ่อแม่เห็นชอบด้วย

เพราะการทำให้ท่านสุขใจนั้นเป็นความกตัญญูกตเวทีของเรา และจะเป็นศรีสวัสดิมงคลแก่ครอบครัวสืบไป แต่ถ้าหากเป็นไปเช่นนั้นไม่ได้ พ่อแม่ควรจะถือหลักว่า "คนที่เราไม่ชอบแต่ลูกรัก ดีกว่าคนที่เรารักแต่ลูกไม่ชอบ" คิดเสียว่าเขาเป็นเนื้อคู่กัน เว้นแต่คนที่ลูกปลงใจรักเป็นคนเลว หลอกลวงจะชักนำลูกเราไปในทางเสีย
อย่านี้ต้องห้าม แม้ว่าลูกจะรักก็ตาม

๕.มอบทรัพย์มรดกให้เมื่อถึงกาลอันสมควร เมื่อถึงเวลาควรให้จึงให้ถ้ายังไม่ถึงเวลาอันควรให้ก็อย่าเพิ่งให้ เช่น ลูกยังเยาว์ยังไม่รู้ค่าของทรัพย์ ก็ควรรอให้เขาเติบโตเสียก่อนจึงให้ ถ้าลูกยังประพฤติชั่ว เช่น หมกมุ่นอยู่ในอบายมุขก็รอให้เขากลับตัวได้เสียก่อนแล้วจึงให้ ดังนี้เป็นต้น
การทำธุระเกี่ยวกับทรัพย์มรดกให้เสร็จสิ้นก่อนตาย เป็นการชอบด้วยพุทธประสงค์วงศืตระกูลก็มีความสงบสุขต่อไป รายใดที่พ่อแม่ไม่ทำพินัยกรรมไว้ให้เรียบร้อย ปล่อยให้ลูก ๆ จัดการกันเอง ก็มักเกิดเรื่องร้าวฉานขึ้นในวงพี่ ๆ น้อง ๆ จนถึงกับฟ้องรอ้งขึ้นศาลกันก็มี พี่น้องแตกความสามัคคี ทรัพย์สินก็เสื่อมหายลงเป็นเรื่องที่น่าสลดใจยิ่งนัก

วิธีเลี้ยงดูลูกในทางธรรม
๑.พาลูกเข้าวัดเพื่อศึกษาหาความรู้ทางศาสนา
๒.ชักนำลูกให้สวดมนต์ก่อนนอนทุกคือ
๓.ชักนำให้ลูกทำบุญ เช่น ตักบาตร รักษาศีล เป็นต้น
๔.ชักนำให้ลูกทำสมาธิภาวนา
๕.ถ้าลูกเป็นชายให้บวชเป็นสามเณรหรือเป็นพระภิกษุ แล้วเข้าปฏิบัติกรรมฐาน

ข้อเตือนใจ
๑.รักลูกแต่อย่าโอ๋ลูก อย่าตามใจลูกเกินไป จะทำให้เด็กเสียนิสัยเหตุที่พ่อแม่ตามใจลูกเกินไป มักเป็นเพราะ
-รักลูกมากเกินไป รักมากจนไปไม่กล้าลงโทษสั่งสอน
-ไม่มีเวลาอบรม รู้สึกเป็นความผิดของตัว ที่ไม่มีเวลาให้ลูกจึงปลอบประโลมตนเองด้วยการตามใจลูกจึงปลอบประโลมตนเองด้วยการตามใจลูก ซึ่งเป็นวิธีแก้ที่ผิด

๒.อย่าเคร่งระเบียบจนเกินไป รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว

๓.ให้ความอบอุ่นแก่ลูกให้เพียงพอ ไม่ว่างานจะยุ่งมากเพียงไร ก็ต้องหาเวลาให้ลูก มิฉะนั้นจะต้องน้ำตาตกในภายหลัง

๔.เมื่อเห็นลูกทำผิด การตำหนิทันทีจำเป็นมาก จะได้แก้ไขทันท่วงทีแต่ต้องใช้เหตุผล อย่าใช้อารมณ์ และเมื่อเห็นลูกทำดี ก็ชมเพื่อให้เกิดกำลังใจ

๕.ต้องฝึกให้ลูกทำงานตั้งแต่ยังเล็ก การปล่อยให้เด็กอยู่อย่างสบายเกิดไปทุกอย่างมีคนรับใช้ มีเวลาว่างมากเกินไป จะกลับเป็นผลเสียต่อเด็กโตขึ้นจะช่วยตัวเองไม่ได้

๖.การเลี้ยงลูกให้แต่ปัจจัย ๔ ยังไม่พอ จะต้องให้ธรรมะแก่ลูกด้วย

อานิสงส์การเลี้ยงดูบุตร
๑.พ่อแม่จะได้ความปีติภาคภูมิใจเป็นเครื่องตอบแทน
๒.ครอบครัวจะสงบร่มเย็นเป็นสุข
๓.ประเทศชาติจะมีคนดีไว้ใช่
๔.เป็นต้นแบบที่ดีงามของสังคมสืบไปตลอดกาลนาน

จบมงคลที่ ๑๒ เลี้ยงดูบุตร

(พุทธพจน์)
อ่านหน้าต่อไป

หน้าแรก I ประวัติพระพุทธเจ้า I บททำวัตรเช้า-เย็น แปลI จิตสังเขป I ตู่มือมนุษย์I การฝึกใจ l ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ I ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก I

Non Copyright 2002. Buddhamamaka Home Page. All Rights Reserved. Comment or suggestion : [email protected]

 

Hosted by www.Geocities.ws

1