เรือ RMS Titanic ความบังเอิญคืออะไร โอกาสของความน่าจะเป็นเท่านั้นหรือ มันควรจะมีเหตุผลมาอธิบายมากกว่านั้น ความบังเอิญหลาย ๆ อย่างทั้งที่เกิดขึ้นกับชีวิตผมเอง และคนใกล้ตัวรอบ ๆ ข้าง ยิ่งทำให้ผมทำใจเชื่อได้ยากว่า มันเป็นแค่ความประจวบเหมาะของเหตุการณ์ที่บังเอิญเกิดขึ้นอย่างลงตัวในตอนนั้นเองเท่าน้น ทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีเหตุผลอยู่เบื้องหลัง เพียงแต่ว่าเหตุผลนั้นคืออะไร และนี่คืออีกหนึ่งตำนาน The X-Files ของ Kong 's Memories The X-Files ชุด ความบังเอิญ ตอนที่ 2 บังเอิญเกินไป เปิดตำนาน The X-Files ชุดความบังเอิญตอนแรกกันไปแล้ว นะครับ กับชื่อ ไตตัน แต่จริง ๆ แล้วเรื่องราวอาถรรพ์(รึเปล่า)ของชื่อนี้ยังไม่จบลงแค่นั้นมีเรื่องราวที่เกือบจะย้ำอาถรรพ์ของชื่อไตตันว่ามันไม่ใช่เพียงความบังเอิญ(รึเปล่าอีกนั่นแหละ) เรื่องราวต่อไปนี้แม้จะจบลงแบบหักมุม แต่ก็ทิ้งข้อสงสัยว่ามันเป็นเพียงความบังเอิญจริงหรือ ในคืนอันหนาวเหน็บของเดือนเมษายน ปี 1935 ขณะที่ วิลเลียม รีฟส์ ลูกเรือ ไตตาเนียน(Titanian) กำลังเฝ้ายามอยู่บนเรือ ซึ่งกำลังขนส่งถ่านหินจากเมืองไทน์ไปแคนาดา เขาเกิดสังหรณ์ใจบางอย่างขึ้นมาอย่างแรง ยิ่งเมื่อเรือเข้าใกล้จุดที่ไตตันและไตตานิคประสบอุบัติเหตุมากเท่าใหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกสังหรณ์ใจมากขึ้นทุกที แต่จะให้หยุดเรือเพียงเพราะความสังหรณ์ใจเท่านั้นก็ไม่สมควร แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาตัดสินใจได้ทันทีคือ วันเกิดของเขาตรงกับวันที่เรือไตตานิคล่มพอดี เขาตะโกนก้องขึ้นไปบนหอบังคับการ "ข้างหน้าอันตราย" ยังไม่ทันสุดเสียงเลย ปรากฏว่าในความมืดข้างหน้ามีภูเขาน้ำแข็งขนาดที่พอจะล่มไตตาเนียนให้จมหายลงสู่ก้นมหาสมุทรไปอยู่เป็นเพื่อนไตตานิค กับไตตันได้เลย เพราะลางสังหรณ์ทำให้เขาและลูกเรือทั้งหมดรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด ทั้งหมดนี่เป็นเพียงความบังเอิญหรือ บังเอิญมากที่เรือมีชื่อว่าไตตาเนียน บังเอิญมากที่เป็นคืนเดือนเมษายน บังเอิญเหลือเกินที่วันเกิดของรีฟส์ ตรงกับวันที่เรือไตตานิคล่มพอดี มันเป็นความบังเอิญอย่างน่ากลัวภูเขาน้ำแข็ง พระเอกของตำนานไตตัน เรื่องต่อไปนี้เป็นหนึ่งในเรื่องความบังเอิญที่โด่งดังเป็นที่รู้จักกันดีในบรรดาที่ผุ้สนใจในปรากฏการณ์โคอินซิแดนซ์ ย้อนไปในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นู่นแหละครับ ก่อนที่พันธมิตรจะบุกเข้าไปนอร์มังดีในวันที่ 6 มิถุนายน 1944 สมัยนั้นการส่งข่าวสารหรือข้อมูลต่าง ๆ ต้องทำกันอย่างลับ ๆ โดยจะใช้รหัสหรือโค๊ดลับในการส่งข่าวสารถึงกัน การปฏิบัติการครั้งนั้นมีชื่อเป็นรหัสลับว่า Overlord กองหน้าของหน่วยราชนาวีและยุทธการทางทะเลใช้รหัสว่า Neptune ชายฝั่งของฝรั่งเศสสองแห่งที่จะยกพลขึ้นบกก็ใช้รหัสเรียกว่า Utah และ Omaha ท่าเรือที่สร้างขึ้นมาบนหัวหาดเพื่อส่งกองหนุนโดยเฉพาะก็เรียกขานกันว่า Mulberry รหัสปฏิบัติการนี้ถูกเก็บเป็นความลับสุดยอด แต่ต่อมาวันที่ 3 พฤษภาคม 1944 รหัสลับ Utah ได้ไปปรากฏขึ้นอย่างโจ่งแจ้งในคอลัมน์ ปริศนาโทรเลขแบบอักษรไขว้(Telegraph Cossword) ของหนังสือพิมพ์ลอนดอนเดลี ต่อมาวันที่ 23 ก็ปรากฏคำว่า Omaha ในคอลัมน์เดิม ถัดมาวันที่ 31 คำว่า Mulberry ก็ได้ปรากฏขึ้นอีกในคอลัมน์เดิม ตามมาด้วยคำว่า Neptune และ Overlord ก่อนปฏิบัติการของทางฝ่ายพันธมิตรเพียง 4 วันเท่านั้นเอง หน่วยงานรักษาความมั่นคงของอังกฤษก็คงจะนั่งอยู่เฉยไม่ได้ รีบแจ้นไปยัง ฟลีตสตรีท(Fleet Street)ซึ่งเป็นสำนักงานโทรเลขทันทีหวังว่าจะจับกุมสายลับของพวกนาซีมาให้ได้ แต่ก็พบเพียงครูใหญ่ เลียวหาร์ด เดวี (Leonard Dawe)ผู้ชายธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ที่เป็นคนทำคอลัมน์ปริศนาอักษรไขว้มานานกว่า 20 ปี เดวีต้องชี้แจงอยู่นานกว่าเจ้าหน้าที่รักษาความมั่นคงเหล่านั้น จะยอมเชื่อว่าเขาไม่รู้มาก่อนเกี่ยวกับปฏิบัติการทางทหารเหล่านั้น ซึ่งเป็นการเขียนคอลัมน์ตามปกติที่เขาเคยทำมาตลอดเวลาหลายปี อีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องที่โด่งดังไม่แพ้กันของเหตุการณ์ความบังเอิญที่ตรงกันอย่างเหลือเชื่อหรือที่ฝรั่งตาน้ำข้าวเรียกกันว่า Coincidence เป็นเรื่องของนิยายเรื่อง The Girl from Pitrovka ของ George Feifer เมื่อปี 1971 หนังสือนวนิยายเรื่องนี้ของจอร์จ เขาได้ให้เพื่อนคนหนึ่งยืมไป แต่เพื่อนได้ทำมันหายไปในลอนดอน สองปีต่อมาจอร์จ ได้ขายลิขสิทธิ์นวนิยายเรื่องนี้ให้กับบริษัทภาพยนตร์ Sir Anthony Hopkins Sir Anthony Hopkins ได้รับการติดต่อทาบทามให้มารับบทนำในภาพยนตร์เรื่องนี้ หลังจากเซ็นสัญญาได้ไม่กี่วัน ฮอปคินส์ ก็เดินทางไปลอนดอนเพื่อหาซื้อหนังสือเล่มนี้เพื่อมาศึกษาและทำความเข้าใจกับบทตามประสานักแสดงที่ดี แต่ปรากฏว่าเขาหาหนังสือเล่มนี้จากร้านหนังสือทุกร้านไม่มีร้านใหนมีหนังสือเล่มดังกล่าวอยู่เลย สุดท้ายก็ต้องเดินคอตกกลับ ในช่วงระหว่างที่เขาเดินทางกลับบ้าน เขาสังเกตเห็นหนังสือเล่มหนึ่งวางอยู่บนม้านั่ง ปรากฏว่าเป็นหนังสือนวนิยายเรื่อง The Girl from Pitrovka ที่เขากำลังหาซื้ออยู่พอดี บังเอิญมั้ยล่ะครับ ระหว่างการถ่ายทำในกรุงเวียนนา จอร์จไฟเฟอร์ ก็ได้เดินทางไปพบฮอปคินส์ ด้วยตัวเอง จอร์จเล่าให้ฮอปกินส์ฟังว่า เขาเองซึ่งเป็นเจ้าของบทประพันธ์กลับไม่มีหนังสือนวนิยายเรื่องนี้อยู่ในมือเลยซักเล่ม เล่มสุดท้ายที่เคยมี ซึ่งเป็นเล่มที่เขาเขียนบทสรุปเพิ่มเติมแทรกไว้หลาย ๆ หน้าก็หายไปที่ลอนดอน ฮอปกินส์ก็หยิบหนังสือยื่นให้ทันที "เล่มนี้ใช่มั้ยครับ" คงไม่ต้องเดานะครับว่าใช่รึเปล่านี่ก็คงเป็นแค่อีกเรื่องบังเอิญ แต่อะไรทำให้มันบังเอิญขนาดนั้น มีอีกหลายเรื่องที่ในตอนต่อ ๆ ไปที่จะทำให้คุณอ่านไปแล้วต้องย้อนกลับมาถามตัวเองว่า