" กะเหรี่ยง " ความสัมพันธ์อันยาวนานกับไทย
กะเหรี่ยงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
พ.ศ.2330
ครั้งพม่ายกทัพบุกราชอาณาจักรไทย และทำศึกกันที่ท่าดินแดง
พงศาวดารพม่ากล่าวว่า
กะเหรี่ยงจากพม่าที่ได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในไทยตั้งแต่กรุงศรีอยุธยานั้นเป็นพวกสอดแนมให้แก่ทางฝ่ายไทยในการทำศึกครั้งนี้
แต่พงศาวดารไทยมิได้กล่าวถึงกะเหรี่ยงเหล่านี้เลย
เพียงแต่กล่าวว่ามีพวกสอดแนมจากจังหวัดกาญจนบุรี ไทรโยค และศรีสวัสดิ์
ได้ช่วยเหลือหรือสืบข่าวให้แก่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
ซึ่งขณะนั้นเมืองกาญจนบุรีเป็นคนไทยเสียมาก
เมืองไทรโยคมีผู้นำเป็นคนมอญ
ส่วนเมืองศรีสวัสดิ์มีผู้นำเป็นกะเหรี่ยงหลายคนในขณะนั้น
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
ผู้นำกะเหรี่ยงเข้าติดต่อกับเจ้าเมืองกาญจนบุรี
เพื่อขอตั้งรกรากที่เมืองสังขละบุรี เขตติดต่อด่านเจดีย์สามองค์
เป็นการแสดงความจงรักภักดีต่อองค์พระมหากษัตริย์ไทย
และได้รับความยินยอม
ขณะเดียวกันมีกะเหรี่ยงบางกลุ่มที่กลัวเกรงการติดต่อใกล้ชิดกับคนไทย
พ.ศ.2365 กะเหรี่ยง
36 คนจากเมืองสังขละบุรีซึ่งมีขุนสุวรรณเป็นผู้นำพร้อมด้วยพวกมอญ
ได้ตามฆ่าขับไล่ตลอดจนจับกุมหน่วยลาดตระเวนทหารพม่า
และเอกสารจดหมายเหตุตอนหนึ่งซึ่งเขียนโดยเจ้าเมืองกาญจนบุรีก็กล่าวถึงกะเหรี่ยงจำนวน
36 คนนั้น มีทั้งนายและไพร่ (24)
มีหลักฐานทางศิลปะแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกะเหรี่ยงมากมายในสมัยรัชกาลที่
1 ถึงรัชกาลที่ 3 เช่น ภาพจิตรกรรมฝาผนังในพระที่นั่งพุทไธสวรรย์
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ซึ่งเขียนในสมัยรัชกาลที่ 1
เป็นภาพกะเหรี่ยงถือหน้าไม้อยู่ตามซอกเขา ภาพเขียนในวัดพระเชตุพนฯ
และวัดบางขุนเทียนนอกซึ่งวาดในสมัยรัชกาลที่ 2-3
สารตรา (เลขที่ 21
จ.ศ.1188) พ.ศ.2369 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
มีสารของพระยาจักรีถึงพระยาอุทัยธานีว่า หัวหน้าชาวกะเหรี่ยงชื่อ กางดุ
มีหนังสือมาแจ้งราชการความว่า "กางดุจัดให้กางภุระดับไพร่ 15 คน
ออกไปลาดตระเวนถึงคลองมิคลานพบจางกางกัวะ กง กะเหรี่ยงพม่า 9 คนบอกว่า
เมืองเมาะตะมะมีอังกฤษอยู่ 500 คน อังกฤษตีพม่าได้" (25)
เป็นผลงานในการลาดตระเวนสอดแนมของกะเหรี่ยงอีกชิ้นหนึ่ง
พ.ศ.2369
สงครามระหว่างไทยกับพม่าเริ่มลงลงและสิ้นสุด
เป็นปีที่พม่าแพ้สงครามกับอังกฤษเป็นครั้งแรกจนต้องสูญเสียแคว้นตะนาวศรีและอาระกัน
กะเหรี่ยงซึ่งทำหน้าที่รักษาป้องกันด้านชายแดนไทยตั้งแต่กาญจนบุรีขึ้นไปถึงตาก
เมื่อหมดการคุกคามจากพม่า แทนที่จะหมดความจำเป็นแก่ฝ่ายไทย
กะเหรี่ยงกลับมาอยู่รวมกับสังคมไทยและไพร่ไทยซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์
กิตติศัพท์ความแข็งแกร่งของกองทหารอังกฤษเลื่องลือมาถึงเมืองไทย
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับกะเหรี่ยงที่อยู่ตามชายแดนด้านตะวันตกแล้วยกสังขละบุรีขึ้นเป็นเมือง
โดยมีขุนสุวรรณเป็นเจ้าเมืองและพระราชทานนามว่า "พระศรีสุวรรณคีรี"
นอกจากนั้นพระองค์ยังทรงพระราชทานตำแหน่งเช่นเดียวกันแก่เจ้าเมืองแม่กลองซึ่งปัจจุบันนี้คืออำเภออุ้มผาง
กะเหรี่ยงแห่งเมืองเหล่านี้ได้ส่งเครื่องราชบรรณาการต่อพระมหากษัตริย์ไทยทุก
ๆ 3 ปีต่อครั้ง อันได้แก่ ผ้าฝ้าย ต้นไม้เงินต้นไม้ทอง และผลผลิตต่าง ๆ
จากท้องถิ่น
กะเหรี่ยงบางคนเข้าร่วมอยู่กับกองส่วยทองและกองส่วยดีบุกได้ถวายทองคำและเงินต่อพระมหากษัตริย์ไทยทุก
ๆ ปี
พ.ศ. 2380
เจ้าผู้ครองนครทางภาคเหนือได้พยายามเปลี่ยนชื่อของสถานที่และที่ตั้งตามสภาพภูมิศาสตร์ของแม่น้ำสายต่าง
ๆ แถบแม่สอด เพื่อผลประโยชน์ทางด้านการเมือง
จะได้อ้างสิทธิที่จะปกครองกะเหรี่ยงในบริเวณดังกล่าว
มิฉะนั้นพวกนี้อาจจะกลับไปขึ้นอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของอังกฤษและพม่า
แต่ความพยายามนี้ไม่ประสบผลสำเร็จ
พ.ศ. 2393
เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่เริ่มกระทำข้อสัญญาให้แก่พวกละว้าและหมู่บ้านกะเหรี่ยงต่าง
ๆ ในการที่จัดให้พวกนี้ได้มีที่อยู่อาศัยอย่างถาวรในแต่ละท้องถิ่น
กะเหรี่ยงได้รับความคุ้มครองอย่างดีพอใจในความอิสระโดยไม่มีการบังคับให้เป็นทาส
(26)
พ.ศ. 2395
พม่าได้หลักฐานว่ากะเหรี่ยงพยายามติดต่อขอพึ่งกำลังอังกฤษ
พม่าจึงแก้แค้นโดยเผาหมู่บ้านกะเหรี่ยงรอบ ๆ เมืองย่างกุ้งในรัศมีภายใน
50 ไมล์ รวมทั้งทำลายยุ้งฉางและฆ่ากะเหรี่ยงทั้งลูกเล็กเด็กแดง
ทำให้กะเหรี่ยงต้องอพยพมาทางตะวันตกสู่ประเทศไทยอีกระลอกหนึ่ง(27)
พ.ศ. 2411
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้แสดงออกถึงน้ำพระทัยที่ทรงเป็นห่วงและเกรงว่าพวกกะเหรี่ยงและพวกละว้าซึ่งอยู่ห่างไกลเหนือลำน้ำเพชรบุรีไปนั้น
อาจจะถูกผนวกเข้ากับฝ่ายอังกฤษก็ได้
พ.ศ.2423
กะเหรี่ยงซึ่งทำหน้าที่รักษาป้องกันอาณาบริเวณแถบด่านเจดีย์สามองค์
ได้ค้นพบหลักฐานซึ่งเป็นแท่งคอนกรีตสำหรับปักเขตแดนระหว่างไทยกับพม่า(28)
พ.ศ.2428 จ่อละฝ่อ
หัวหน้ากะเหรี่ยงไม่ยอมอ่อนน้อมต่ออังกฤษ
ครั้นอังกฤษส่งกองทัพมาปราบปราม
พวกกะเหรี่ยงจึงพากันอพยพเข้ามาอยู่ในไทยอีกระลอกหนึ่ง(29)
พ.ศ.2430
เป็นช่วงเวลาที่กะเหรี่ยงมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นกว่าก่อน
โดยทั้งผู้นำฝ่ายอังกฤษและไทยพยายามที่จะให้กะเหรี่ยงได้อยู่กันเป็นกลุ่มก้อน
ฝ่ายปกครองของไทยได้ให้เกียรติและยอมรับฐานะของผู้นำกะเหรี่ยง
กะเหรี่ยงก็ให้ความจงรักภักดีแก่ฝ่ายไทยด้วยดังจะเห็นได้ว่าหลังจากสงครามอังกฤษกับพม่าครั้งที่
2
องค์พระมหากษัตริย์ไทยทั้งสองพระองค์คือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงพระกรุณาและสนพระทัยกะเหรี่ยงเป็นอย่างมากทรงประกาศไว้ว่า
"พระองค์ก็ทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินของพวกกะเหรี่ยงด้วย"
พ.ศ.2433
ฝ่ายไทยและอังกฤษทำการสำรวจเขตแดน
เพื่อทำข้อตกลงว่าด้วยการปักปันเขตแดนจากวิคตอเรียพ้อย (Victoria
Point) ถึงบริเวณที่สูงของแม่น้ำสาละวิน
บริเวณชายแดนเหล่านี้เป็นที่อยู่ของละว้าและกะเหรี่ยง
เพื่อไม่ให้ฝ่ายไทยเสียเปรียบและผลทางการเมืองการปกครอง
คณะผู้ตรวจราชการจึงไปตามบริเวณพื้นราบของเมืองต่าง ๆ อันได้แก่
เพชรบุรี ราชบุรี และกาญจนบุรี เพื่อตรวจตราหมู่บ้านกะเหรี่ยง
ตลอดจนทำการศึกษาอย่างละเอียดถึงสภาพอาณาเขตบริเวณแถบนี้
จะได้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งถึงสถานภาพความเป็นอยู่และศักยภาพ ดังเช่น
พระยาวรเดชศักดาวุธ แห่งมณฑลราชบุรี
ได้ออกเยี่ยมเยียนหมู่บ้านกะเหรี่ยงในจังหวัดเพชรบุรีและราชบุรีมาแล้วด้วยตัวเอง
นอกจากนี้ท่านยังจัดให้มีการเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านและกำนันซึ่งไม่เคยได้ปฏิบัติหรือทำกันมาก่อน
จากรายงานการเดินทางหลายครั้งของท่าน
ได้กล่าวถึงกะเหรี่ยงเหล่านี้แสดงออกถึงความกระตือรือล้น
สามารถผสมกลมกลืนระหว่างไทย - กะเหรี่ยง
และยินยอมต่อนโยบายการปกครองของรัฐบาล
ความสำเร็จนี้เกิดขึ้นในภาคเหนือเช่นเดียวกัน
พ.ศ.2435
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพร้อมด้วยพระอนุชาสมเด็จฯ
กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เป็นผู้นำเอาระบบการปกครองแบบเทศภิบาลเข้ามาใช้
เนื่องจากมีพระราชประสงค์ที่จะให้พสกนิกรของพระองค์ซึ่งอยู่ตามชนบทห่างไกลนั้นได้มีส่วนร่วมตามสิทธิและหน้าที่ตลอดจนความรับผิดชอบเท่าเทียมเสมอเหมือนกันหมด
อีกทั้งมีพระราชประสงค์ที่จะตัดทอนหรือยกเลิกระบบเก่า ๆ
พระองค์ปรารถนาที่จะให้กะเหรี่ยงเข้ามามีส่วนร่วมและสิทธิหน้าที่เช่นเดียวกับคนไทยตามรูปแบบการปกครองใหม่นี้
ซึ่งได้แก่ การเสียภาษีให้แก่รัฐคนละ 5 บาท ในภาคเหนือและคนละ 6 บาท
ในภาคกลาง อีกทั้งมีหน้าที่รับราชการในกองทัพไทย
แต่มิใช่การถูกเกณฑ์หรือการบังคับตามระบบเจ้าขุนมูลนาย
วัตถุประสงค์เหล่านี้บรรลุผลสำเร็จตามพระราชประสงค์ในจังหวัดกาญจนบุรี
ราชบุรี แต่ไม่ได้ผลนักในภาคเหนือ
ทั้งนี้อาจเนื่องจากเมื่องครั้งพระองค์ทรงเริ่มดำเนินการ
พระองค์ทรงปฏิบัติโดยตรงต่อบรรดาผู้นำชาวกะเหรี่ยงที่อยู่ในท้องที่ต่าง
ๆ กันของกะเหรี่ยงภาคกลาง เช่น พระสุวรรณคีรีแห่งเมืองสังขละบุรี
พระแม่กลองแห่งเมืองอุ้มผาง และพระพิชัยชนะสงครามแห่งเมืองศรีสวัสดิ์
ทั้งหมดล้วนเป็นนายอำเภอในแต่ละท้องถิ่นของตนเองทั้งสิ้น
นับเป็นเวลาหลายสิบปีต่อมาพวกนี้จึงมีแนวโน้มอยู่ใต้พระบารมีของพระองค์มากขึ้น
มีการเปลี่ยนแปลงจากขนบธรรมเนียมเดิมก้าวไปสู่ความเจริญในยุคใหม่อย่างค่อยเป็นค่อยไป
ทำให้นโยบายนี้ประสบผลสำเร็จอย่างแท้จริง
รวมถึงกะเหรี่ยงอีกท่านหนึ่งคือ หลวงพิทักษ์คีรีมาตย์
ซึ่งเป็นนายอำเภอของเมืองฝางใต้ (Pang Tai)
ที่เป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรีสมัยนั้น
สมเด็จฯ
กรมพระยาดำรงราชานุภาพเคยรับสั่งไว้ว่า
พวกกะเหรี่ยงที่เคยได้ช่วยงานราชการมาแล้วในกองอาทมาตนั้น
หากประสงค์ที่จะเข้าร่วมทำงานกับหน่วยราชการของกองตำรวจภูธรแล้ว
ก็ให้รับราชการอยู่กับกองนี้ได้
นายอำเภอกะเหรี่ยงท่านหนึ่งแห่งเมืองสังขละบุรีซึ่งเคยเป็นที่ปรึกษาของตำรวจภูธรมาแล้ว
ได้รวบรวมกะเหรี่ยงมาช่วยสร้างสถานีตำรวจ
และปฏิเสธที่จะรับเงินค่าตอบแทนตามที่กระทรวงมหาดไทยได้เสนอให้(30)
พระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าอรประพันธ์รำไพ
พระราชธิดาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ซึ่งโปรดชีวิตป่าเขาลำเนาไพร ได้เสด็จถึงหมู่บ้านปรังกาสี
จังหวัดกาญจนบุรีเห็นการรำของกะเหรี่ยงก็สนพระทัย
จึงได้ขอสองสาวกะเหรี่ยงเพื่อมาเป็นข้าหลวงและฝึกสอนการรำกะเหรี่ยงในวัง
กะเหรี่ยงทั้งสองคือ "นังมิ่นกง" กับ "หนองเดงเค่ง"
นับเป็นชาวเขาสองคนแรกที่ได้เป็นข้าหลวง หลังจากนายคนัง
เงาะป่าที่ได้เป็นมหาดเล็ก(31)
พ.ศ.2479
คณะปฏิภาคภาพยนตร์ได้สร้างและฉายภาพยนตร์เรื่อง "กะเหรี่ยงไทรโยค"
เป็นภาพยนตร์เงียบ
มีทิดเขียวนักพากย์ภาพยนตร์คนแรกของไทยเป็นผู้ให้เสียงพากย์
นับเป็นการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องป่าเขาลำเนาไพรเรื่องแรก
หากไม่นับสารคดีป่าดงไพงไพรหรือเรื่องจระเข้
และเป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับชาวเขาเรื่องแรกของประเทศไทย แสดงถึงวัฒนธรรม
ประเพณี ความเป็นอยู่ และความรักที่ต้องชิงรักหักสวาท
นังมิ่นกงและหนองเดงเค่ง ได้มาช่วยฝึกระบำกะเหรี่ยงให้ด้วย(32)
จะเห็นได้ว่า
ความสัมพันธ์ระหว่างกะเหรี่ยงภาคกลางกับคนไทยนั้นดำเนินมาอย่างเนิ่นนาน
ด้วยสันติสุขและความสัมพันธ์กลมเกลียวอันดี
ไทยอาศัยกะเหรี่ยงเป็นกองสอดแนม ลาดตระเวน
และกำลังพลในการต่อสู้กับพม่า
ขณะที่กะเหรี่ยงอาศัยแผ่นดินไทยเพื่อหลบหนีความขัดแข้งที่มีกับพม่า
เป็นลักษณะถ้อยทีถ้อยอาศัยอย่างสงบสุขมา
ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาถึงกรุงรัตนโกสินทร์
แต่ปัจจุบันคนไทยหลายคนกลับไม่เข้าใจกะเหรี่ยง
โดยเฉพาะหลายคนของฝ่ายรัฐบาล
ที่เห็นว่ากะเหรี่ยงบุกรุกทำลายป่าและการเกษตรของกะเหรี่ยงเป็นการเกษตรที่ไม่อนุรักษ์ทรัพยากร
กะเหรี่ยงหลายหมู่บ้านถูกขับไล่ให้ไปอยู่ที่อื่นโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐบาล
นับเป็นการถูกขับไล่ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของกะเหรี่ยงในประเทศไทย
|
|