" กะเหรี่ยง " ความสัมพันธ์อันยาวนานกับไทย
กะเหรี่ยง - กรมป่าไม้
ใครบุกใครรุกใคร
รัฐบาล
(กรมป่าไม้)
ได้ประกาศพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและอุทยานแห่งชาติ
โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2503
ในมาตรา 19 ว่า
เมื่อรัฐบาลเห็นสมควรกำหนดบริเวณที่ดินแห่งใดให้เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าโดยปลอดภัยเพื่อรักษาไว้ซึ่งพันธุ์สัตว์ป่า
ก็กระทำได้โดยประกาศพระราชกฤษฎีกาและให้มีแผนที่แสดงแนวเขตแห่งบริเวณที่กำหนดนั้นแนบท้ายพระราชกฤษฎีกาด้วย
บริเวณที่กำหนดนี้เรียกว่า "เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า"
ที่ดินที่จะกำหนดให้เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่านั้น
ต้องเป็นที่ดินที่มิได้อยู่ในกรรมสิทธิ์หรือครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายของบุคคลใดซึ่งมิใช่ทบวงการเมือง
และอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2504 ในมาตรา 6 ว่า
เมื่อรัฐบาลเห็นสมควรกำหนดบริเวณที่ดินแห่งใดที่มีสภาพธรรมชาติเป็นที่น่าสนใจให้คงอยู่ในสภาพธรรมชาติเดิม
เพื่อสงวนไว้ให้เป็นประโยชน์แก่การศึกษาและรื่นรมย์ของประชาชน
ก็ให้มีอำนาจกระทำได้โดยประกาศพระราชกฤษฎีกาและให้มีแผนที่แสดงแนวเขตแห่งบริเวณที่กำหนดนั้นแนบท้ายพระราชกฤษฎีกาด้วย
บริเวณที่กำหนดนี้เรียกว่า "อุทยานแห่งชาติ"
ที่ดินที่จะกำหนดให้เป็นอุทยานแห่งชาตินี้
ต้องเป็นที่ดินที่มิได้อยู่ในกรรมสิทธิ์หรือครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายของบุคคลใดซึ่งมิใช่ทบวงการเมือง
เมื่อประกาศเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าหรืออุทยานแห่งชาติแล้ว
ทางกรมป่าไม้ซึ่งรับผิดชอบโดยตรงก็ทำการขับไล่กะเหรี่ยงซึ่งอาศัยอยู่ในเขตดังกล่าวออกให้พ้นเขต
โดยอ้างกฎหมายไม่อนุญาตให้ผู้หนึ่งผู้ใดเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่นั้น
ทำให้กะเหรี่ยงซึ่งส่วนมากอยู่ทำกินในแผ่นดินนั้นมาเป็นร้อยปีเดือดร้อน
บางกลุ่มที่มีจำนวนน้อยและไม่ประสีประสาต่อกฎหมายของรัฐ
จำต้องอพยพออกจากแผ่นดินที่พวกตนทำกินมาเป็นร้อยปี
แต่บางกลุ่มที่มีจำนวนมากพอและมีการพัฒนามีความรู้อยู่บ้าง เช่น
มีหน่วยพัฒนาของศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาหน่วยของตำรวจตระเวนชายแดน
ตั้งอยู่กรมป่าไม้ยังเกรงใจไม่กล้าขับไล่โดยตรง
เพราะการที่จะประกาศเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าหรืออุทยานแห่งชาตินั้นต้องมีการสำรวจพื้นที่อย่างละเอียด
ในพื้นที่ที่มีหมู่บ้านตั้งมาก่อนเป็นร้อยปีนั้น
บริเวณหมู่บ้านย่อมหมดสภาพเป็นป่าอันเหมาะสมซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าอย่างปลอดภัย
หรือยังคงสภาพเดิมแต่อย่างใด
จึงต้องกันพื้นที่หมู่บ้านและพื้นที่ทำกินไว้นอกเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าหรืออุทยานแห่งชาติ
แต่ในการสำรวจที่เป็นจริงกลับไม่สนใจหมู่บ้าน
โดยเฉพาะหมู่บ้านชาวเขากะเหรี่ยง
จึงประกาศทับพื้นที่หมู่บ้านและพื้นที่ทำกิน แล้วพยายามขับไล่ชาวเขาออก
นอกจากนี้
การที่กะเหรี่ยงอาศัยอยู่ในพื้นที่นั้น ๆ มาเป็นร้อยปี
มีการปลูกสร้างบ้านเรือนอาศัย ทำไร่ทำสวน
แม้ไม่มีหนังสือสำคัญหรือโฉนดสวน ก็เป็นการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ที่ดิน
โดยได้มาเป็นที่บ้านหรือที่สวน ตามกฎหมายเบ็ดเสร็จ บทที่42
อันเป็นกฎหมายเก่า
ที่บ้านที่สวนนี้ต้องมีมานานก่อนประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณิชย์ บรรพ 4 พ.ศ. 2475 มีคำที่พิพากษาศาลฎีกาที่ 1570/2500
และ 286/2516
ยืนยันถึงกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามกฎหมายที่ใช้ยันต่อบุคคลภายนอกได้
ดังนั้น
เมื่อกะเหรี่ยงอยู่ทำกินมานานเป็นร้อยปีก่อน พ.ศ.2475
ย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินตามกฎหมายเบ็ดเสร็จ บทที่ 42
เป็นการได้กรรมสิทธิ์โดยชอบด้วยกฎหมาย
รัฐบาลจึงไม่มีอำนาจประกาศเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าหรืออุทยานแห่งชาติ
เพราะต้องห้ามตามมาตรา 19 วรรค 2
ของพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2503 หรือมาตรา 6 วรรค 2
ของพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2504
ที่ให้อำนาจเฉพาะที่ดินที่มิได้อยู่ในกรรมสิทธิ์หรือครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายของบุคคลใดซึ่งมิใช่ทบวงการเมือง
|
|