|
|
สิ่งทำลายบรรยากาศในการชมภาพยนตร์ ค่านิยมที่ผิด ๆ ของทีมพากษ์ในเมืองไทย
|
เชื่อหรือไม่ครับว่า สำหรับผมแล้ว สิ่งที่ทำลายบรรยากาศในการชมภาพยนตร์ ที่ทำให้อารมณ์เสียมากที่สุด
ไม่ใช่สิ่งที่เกิดจากผู้ชมในโรง แต่เกิดจากตัวภาพยนตร์เอง ในที่นี้ไม่ได้ตำหนิว่าหนังห่วย
เพราะก่อนจะดูหนังแต่ละเรื่องผมศึกษาชัดเจนก่อนว่าบทประพันธ์ของใคร บทภาพยนตร์โดยใคร
ใครอำนวยการสร้าง ใครกำกับ ใครเป็นดาราแสดงนำ เพื่อป้องกันอาการเสียดายเงินหลังหนังจบ
เพราะฉะนั้นผมไม่ค่อยจะต้องบ่นเพราะตัวหนังมากมายซักเท่าใหร่
แต่สำหรับผมโดยส่วนใหญ่จะรู้สึกแย่มาก ๆ เมื่อได้ดูหนังต่างชาติที่ผ่านการพากษ์ไทย
ใช่ว่าผมเห่อเหิมของนอก หรืออยากเท่ห์แต่ประการใด แต่ความรู้สึกแย่ ๆ ของผมเกิดจากการที่ต้อง
มาทนดูหนังดี ๆ ที่ได้รับการพากษ์ด้วยทีมพากษ์ ห่วย ๆ
คำว่าห่วยในที่นี้ห่วยยังไง คือ พวกพากษ์ไม่ได้อารมณ์ ไม่ได้อารมณ์ตามหนัง
พากษ์เกินอารมณ์ของหนัง และที่หนักที่สุดคือพวกที่พากษ์แล้วเสียอารมณ์ของหนัง
จะไม่ห่วยยังไงไหวล่ะครับ มันมีทีมพากษ์อยู่บางกลุ่ม และนักพากษ์ห่วย ๆ บางคน
ไม่ว่าหนังท่านจะ ไซไฟ แฟนตาซี แอ๊คชั่น ทริลเลอร์ ดราม่า สยองขวัญหรืออะไรก็ตามเถอะ
พี่ท่านมีค่านิยมห่วย ๆ ทุเรศ ๆ อยู่อย่างก็คือจะพากษ์ให้มันตลกซะอย่างใครจะทำไม
โดยไม่เคยจะสนใจว่าอารมณ์หนังมันจะเป็นอย่างไร ประมาณว่าลื้อไม่มีสิทธิ์เลือก
ถ้าลื้อจะดูหนังเรื่องนี้ก็ต้องฟังอั๊วพากษ์
ถ้าเป็นหนังตลกผมจะพอทนได้ เพราะผู้สร้างต้องการสื่ออารมณ์ขันออกมาในหนังอยู่แล้ว
แตหนังหลายประเภทไม่ใช่หนังตลก คนไปดูหนังต้องการอารมณ์จริง ๆ ของหนัง
อย่างคนที่ชอบหนังไซไฟ เพราะชอบความเป็นเหตุเป็นผล และหลักการของหนัง รวมทั้งความตื่นตาตื่นใจ
กับภาพในจินตนาการที่ถูกสรรค์สร้างขึ้นมาให้มันเป็นจริง
คนที่ชอบแฟนตาซี ก็เพราะจินตนาการอีกนั่นแหละ มาดูหนังทำนองนี้ก็เพราะต้องการสัมผัสอารมณ์เหล่านี้ให้เต็มที่
หนังพวกตื่นเต้น ลุ้นระทึก หรือสยองขวัญ พวกนี้อารมณ์ของหนังก็ล้วนแต่สำคัญ
บางทีกำลังลุ้นกำลังตื่นเต้นกับหนัง พี่ท่านพากษ์นอกเรื่องมาอารมณ์กระเจิงหายกันไปหมด ต้องมาเริ่มต้นกันใหม่
มันเหมือนกับการดูหนังวีดีโออยู่ที่บ้านแล้วมีคนโทรศัพท์เข้ามาแล้วต้องลุกไปรับนั่นล่ะครับ
กลับมาต้องมากรอกลับแล้วเริ่มต้นอารมณ์กันใหม่
แต่ในโรงภาพยนตร์เราหยุดหนังที่กำลังฉายไม่ได้ แล้วสั่งให้กรอหนังกลับก็ไม่ได้ด้วย
ผมไม่รู้เหมือนกันว่าการพากษ์อยู่ในร่องในรอยนี่มันจะทำให้คนพากษ์กระอักเลือดตายกันเชียวหรือ
ยิ่งดราม่ายิ่งแล้วใหญ่ นอกบทมาเมื่อใหร่ก็หนังก็เสียทันที ผู้ชมก็หมดอารมณ์ดูไปเลย
หนังบางเรื่องหาฉากตลกไม่มีเลย เป็นหนังแอ๊คชั่นชัด ๆ อย่างหนังเรื่องสวยประหาร(ตงฟางซันเฉีย)
มีฉากหนึ่งที่คนถูกตัดคอ คอขาดไปแล้ว ร่างกำลังกระตุกก่อนตาย ไอ้คนพากษ์มันก็ยังพากษ์
ให้ไอ้คนไร้หัวให้มันยังร้องได้ว่า "อื๋ย ๆ ๆ ๆ จ๊ากกกกกก! คอขาดกระเด็นไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย"
ผมเองอยากจับนักพากษ์คนนั้นมาตัดคอดูเหมือนกันว่า พอคอขาดแล้วยังจะร้องอย่างนั้นได้หรือเปล่า
หนังบางเรื่อง มีฉากรถลอยมาทับ ทีมพากษ์ยังมีหน้ามาพากษ์เฉยเลยว่า "เอ้า!รับ ราชรถมาเกยแล้ว"
ถ้าจะบ้ากันไปใหญ่ หรือสติปัญญาของทีมพากษ์หนังพวกนี้แยกแยะไม่ออกว่าอันใหนหนังตลก อันใหนไม่ใช่
หรือว่ามันเห็นหนังในโลกนี้ทุกเรื่องเป็นหนังตลกไปหมดรึยังไงกัน
หนังเรื่อง Battle Royal มีฉากขวานตกลงมาเสียบคาหัวเพื่อนพระเอกเข้าไปครึ่งเล่ม
พระเอกถามเพื่อนด้วยความตกใจกลัวว่านายเป็นอะไร มันก็ยังมีหน้ามาพากษ์ว่า "เป็นนกหัวขวานมั้ง"
บางฉากที่ควรจะซึ้งพี่ท่านก็แทรกมุกตลก บางฉากที่กำลังตื่นเต้นลุ้น ๆ กันพี่ท่านก็แทรกมุกตลก
ทำไมไม่ไปเป็นตลกคาเฟ่กันให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย
บางฉากบางตอนไม่มีบทพากษ์ด้วยซ้ำไป พี่ท่านก็พล่ามขึ้นมาทำลายบรรยากาศตลอด
บางฉากก็ดูถูกผู้ชมเหลือเกินยังกับว่าผู้ชมไม่มีสมอง ดูไม่ออกว่าตัวละครรู้สึกยังไง
ทั้งที่ผู้แสดงเขาก็แสดงได้อย่างมีความสามารถเห็นได้ชัด
หนังบางเรื่องตัวละครทำสีหน้าตระหนก ชะงักก้าว ถอยหลังแล้ววิ่งจ้ำอ้าวไป
มันยังมีหน้ามาพากษ์ตามอีก อึ๊ยยยยๆ กลัว ทั้งที่ไอ้น้ำเสียงคนพากษ์มันก็ไม่ได้บ่งบอกว่ากลัวซักนิด
ทำลายอารมณ์ร่วมที่ภาพมันดึงผู้ชมไปได้แล้ว ไม่พูดเลยยังได้อารมณ์กว่า
นี่คงคิดกันว่าผู้ชมคิดอะไรเองไม่เป็นเลย
ที่ร้ายกว่านั้นพี่ท่านเล่นไปเปลี่ยนชื่อตัวละคร เป็นชื่ออะไรทุเรศ ๆ เลยก็มี (ทำแล้วได้อะไร)
และอีกสารพัด มากมายในหนังนับไม่ถ้วน
ไอ้ที่ผมรู้สึกแย่มาก ๆ ก็คือ หนังของโจวซิงฉือ พอพากษ์ไทยแล้วกลายเป็นหนังตลก 100 % ไปเลย
ทั้งที่ถ้าใครเคยมีโอกาสดูหนังของโจวซิงฉือที่เป็นต้นฉบับที่พูดภาษากวางตุ้ง
จะรู้ได้เลยหนังของโจวซิงฉือไม่ใช่หนังตลก 100 %
แต่เป็นสุดยอดหนัง เป็นดราม่าแอ๊คชั่นที่แทรกตลกเพียงไม่กี่ฉากเข้าไปอย่างลงตัว
เพียงแต่ฉากตลกของโจวซิงฉือเป็นตลกแบบโอเวอร์แอ๊คชั่น
เลยทำให้มันตลกมาก ที่สิ่งสำคัญก็คือ อารมณ์อื่นในหนังโจวซิงฉือ
พอพากษ์ไทยแล้วหายไปหมดเลย
สำหรับผมแล้วโจวซิงฉือเป็นดาราที่มีความสามารถสูงมากคนนึง
สามารถเล่นได้หลาย ๆ อารมณ์ในหนังเรื่องเดียวกัน หนังโจวซิงฉือหลาย ๆ เรื่อง
ในฉากที่เป็นดราม่าทำได้สะเทือนใจผมมาก และมีหลายเรื่องทีเดียวที่เรียกน้ำตาผมเลย
แต่สิ่งเหล่านี้คนไทยส่วนใหญ๋ไม่มีโอกาสได้สัมผัส เนื่องด้วยเพราะค่านิยมห่วย ๆ ในการพากษ์นอกบท
อย่างโอเวอร์ ถ้าใครเป็นแฟนโจวซิงฉือเองจะพบว่า จากหนังยาจกซูมา ความเป็นดราม่าในหนังโจวซิงฉือ
มากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ฉากตลกมีไม่กี่ฉาก
เส้าหลินซอคเกอร์ ถ้าใครได้มีโอกาสดูภาคภาษาจีน จะพบว่านั่นคือหนังดราม่าแอ๊คชั่นที่แทรกฉากตลกประปรายเท่านั้น
ล่าสุดที่ผมเซ็งสุด ๆ คือ หนังเรื่องกงฟู(คนเล็กหมัดเทวดา) ผมคิดผิดที่ไปดูหนังเรื่องนี้ในโรง
เพราะรอดีวีดีไม่ใหว จากที่เข้าไปดูหนังเรื่องนี้ผมขอยืนยันว่า
เป็นหนังดราม่าแอ๊คชั่น เพียงแต่มีฉากตลกไม่กี่ฉาก แต่ทีมพากษ์ห่วยแตกก็ยังไม่รู้จักตื่นลืมตาขึ้นมอง
ว่านี้มันหนังอะไรกันแน่ คนเขาฆ่ากันจะตายมันยังมีน่ามาพากษ์ให้ตลก
พากษ์ดี ๆ ตามอารมณ์ของหนังมันจะตายกันเชียวหรือ
ที่น่าเสียดายมาก ๆ ก็คือฉากจบของหนังเรื่องนี้ บทสนทนาตอนจบเป็นภาษากวางตุ้ง
โจวซิงฉือ พูดขึ้นว่า "เน๋ยฺเสิงห็อก หงอกาวเน๋ยฺล้า" (ถ้านายอยากเรียน ฉันจะสอนให้)
บรู๊ซ เหลียงก้มลงคำนับแล้วพูดขึ้นว่า "หงอซวีจ๋อ" (ฉันแพ้แล้ว)
เป็นการแสดงให้เห็นว่ายอมแพ้พระเอกทั้งกายและใจ ซึ่งเป็นการจบที่สวยงามมาก
แต่ในบทพากษ์ไทยมันยังห่วงตลกด้วยการพากษ์ว่า "อาจารย์ปู่" ทำให้อารมณ์ของหนังจบกันคนละทาง
กับที่ทางต้นฉบับทำมา
ด้วยเพราะทีมพากษ์หนังเมืองไทยเป็นกันอย่างนี้ ทำให้ผมเลิกดูหนังเอเซียในโรงภาพยนตร์มาหลายปี
ผมดูหนังในโรงภาพยนตร์ก็เฉพาะหนังฮอลลีวูดและเลือกดูเฉพาะหนังซาวด์แทรก
หนังจีนโดยส่วนใหญ่จะเดินไปเยาวราช ซอยเท็กซัส(ถนนผดุงด้าว)
ที่นั่นมีหนังฮ่องกงแต่นำเข้าจากแผ่นดินใหญ่ขายกันให้เกลื่อน
อาจจะเสียอารมณ์หน่อยที่มันพากษ์ทับเป็นแมนดาริน
ไม่เป็นเสียงกวางตุ้งต้นฉบับ แต่เขาก็พากษ์กันอยู่ในร่องในรอย
อยู่ในเรื่องในราวไม่พากษ์นอกเรื่องให้มันเสียไปเป็นอีกเรื่องหนึ่ง หรือบางทีก็รอดูดีวีดี
ส่วนหนังญี่ปุ่น เกาหลี ผมว่าทุกวันนี้เราโชคดีที่มีเทคโนโลยีดีวีดี
มาเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งที่พอจะสนองตัณหาตรงนี้ได้
ไม่รู้เหมือนกันว่า พวกนักพากษ์เมืองไทย คิดอะไรกัน
ค่านิยมในการพากษ์นอกบท กับพากษ์หนังทุกแนวให้ตลกท่าทางจะไม่มีวันหายจากเมืองไทย..
แล้วเมื่อใหร่เราจะได้ดูหนังดี ๆ ได้อารมณ์ตรงตามอารมณ์หนังกันจริง ๆ ซะที
มีภาษิตเวียดนามอยู่บทนึง
"Tiên
học lễ, hậu học văn"
「先學禮後學文」
|
|
|
|
|
|