โลโก้นะเนี่ย
Special Column
 Home
 X-Files Series
 Photo Gallely
 Lyric
 Joke
 MultiLinks
 Jkong Guest Book
บทความพิเศษ
 มาทำเว็บกันเถอะ
 ชวนกันอ่านหนังสือ
 คุยเฟื่องเรื่องหนัง
 เรื่องราวของประเทศไทย
 ธรรมะเพื่อชีวิต
About Me
JK's Story
JK's Friends
JK's Society
JK's Diary
JK 's Chatroom
ขอบคุณครับ






สิ่งทำลายบรรยากาศในการชมภาพยนตร์
ค่านิยมที่ผิด ๆ ของทีมพากษ์ในเมืองไทย

									    
เชื่อหรือไม่ครับว่า สำหรับผมแล้ว สิ่งที่ทำลายบรรยากาศในการชมภาพยนตร์ ที่ทำให้อารมณ์เสียมากที่สุด
ไม่ใช่สิ่งที่เกิดจากผู้ชมในโรง แต่เกิดจากตัวภาพยนตร์เอง ในที่นี้ไม่ได้ตำหนิว่าหนังห่วย
เพราะก่อนจะดูหนังแต่ละเรื่องผมศึกษาชัดเจนก่อนว่าบทประพันธ์ของใคร บทภาพยนตร์โดยใคร
ใครอำนวยการสร้าง ใครกำกับ ใครเป็นดาราแสดงนำ เพื่อป้องกันอาการเสียดายเงินหลังหนังจบ
เพราะฉะนั้นผมไม่ค่อยจะต้องบ่นเพราะตัวหนังมากมายซักเท่าใหร่ 
แต่สำหรับผมโดยส่วนใหญ่จะรู้สึกแย่มาก ๆ เมื่อได้ดูหนังต่างชาติที่ผ่านการพากษ์ไทย
ใช่ว่าผมเห่อเหิมของนอก หรืออยากเท่ห์แต่ประการใด แต่ความรู้สึกแย่ ๆ ของผมเกิดจากการที่ต้อง
มาทนดูหนังดี ๆ ที่ได้รับการพากษ์ด้วยทีมพากษ์ ห่วย ๆ
คำว่าห่วยในที่นี้ห่วยยังไง คือ พวกพากษ์ไม่ได้อารมณ์ ไม่ได้อารมณ์ตามหนัง 
พากษ์เกินอารมณ์ของหนัง และที่หนักที่สุดคือพวกที่พากษ์แล้วเสียอารมณ์ของหนัง 
จะไม่ห่วยยังไงไหวล่ะครับ มันมีทีมพากษ์อยู่บางกลุ่ม และนักพากษ์ห่วย ๆ บางคน
ไม่ว่าหนังท่านจะ ไซไฟ แฟนตาซี แอ๊คชั่น ทริลเลอร์ ดราม่า สยองขวัญหรืออะไรก็ตามเถอะ
พี่ท่านมีค่านิยมห่วย ๆ ทุเรศ ๆ อยู่อย่างก็คือจะพากษ์ให้มันตลกซะอย่างใครจะทำไม
โดยไม่เคยจะสนใจว่าอารมณ์หนังมันจะเป็นอย่างไร ประมาณว่าลื้อไม่มีสิทธิ์เลือก 
ถ้าลื้อจะดูหนังเรื่องนี้ก็ต้องฟังอั๊วพากษ์ 

ถ้าเป็นหนังตลกผมจะพอทนได้ เพราะผู้สร้างต้องการสื่ออารมณ์ขันออกมาในหนังอยู่แล้ว 
แตหนังหลายประเภทไม่ใช่หนังตลก คนไปดูหนังต้องการอารมณ์จริง ๆ ของหนัง
อย่างคนที่ชอบหนังไซไฟ เพราะชอบความเป็นเหตุเป็นผล และหลักการของหนัง รวมทั้งความตื่นตาตื่นใจ 
กับภาพในจินตนาการที่ถูกสรรค์สร้างขึ้นมาให้มันเป็นจริง
คนที่ชอบแฟนตาซี ก็เพราะจินตนาการอีกนั่นแหละ มาดูหนังทำนองนี้ก็เพราะต้องการสัมผัสอารมณ์เหล่านี้ให้เต็มที่
หนังพวกตื่นเต้น ลุ้นระทึก หรือสยองขวัญ พวกนี้อารมณ์ของหนังก็ล้วนแต่สำคัญ
บางทีกำลังลุ้นกำลังตื่นเต้นกับหนัง พี่ท่านพากษ์นอกเรื่องมาอารมณ์กระเจิงหายกันไปหมด ต้องมาเริ่มต้นกันใหม่ 
มันเหมือนกับการดูหนังวีดีโออยู่ที่บ้านแล้วมีคนโทรศัพท์เข้ามาแล้วต้องลุกไปรับนั่นล่ะครับ
กลับมาต้องมากรอกลับแล้วเริ่มต้นอารมณ์กันใหม่ 
แต่ในโรงภาพยนตร์เราหยุดหนังที่กำลังฉายไม่ได้ แล้วสั่งให้กรอหนังกลับก็ไม่ได้ด้วย 
ผมไม่รู้เหมือนกันว่าการพากษ์อยู่ในร่องในรอยนี่มันจะทำให้คนพากษ์กระอักเลือดตายกันเชียวหรือ
ยิ่งดราม่ายิ่งแล้วใหญ่ นอกบทมาเมื่อใหร่ก็หนังก็เสียทันที ผู้ชมก็หมดอารมณ์ดูไปเลย 

หนังบางเรื่องหาฉากตลกไม่มีเลย เป็นหนังแอ๊คชั่นชัด ๆ อย่างหนังเรื่องสวยประหาร(ตงฟางซันเฉีย) 
มีฉากหนึ่งที่คนถูกตัดคอ คอขาดไปแล้ว ร่างกำลังกระตุกก่อนตาย ไอ้คนพากษ์มันก็ยังพากษ์
ให้ไอ้คนไร้หัวให้มันยังร้องได้ว่า "อื๋ย ๆ ๆ ๆ จ๊ากกกกกก! คอขาดกระเด็นไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย"
ผมเองอยากจับนักพากษ์คนนั้นมาตัดคอดูเหมือนกันว่า พอคอขาดแล้วยังจะร้องอย่างนั้นได้หรือเปล่า

หนังบางเรื่อง มีฉากรถลอยมาทับ ทีมพากษ์ยังมีหน้ามาพากษ์เฉยเลยว่า "เอ้า!รับ ราชรถมาเกยแล้ว"
ถ้าจะบ้ากันไปใหญ่ หรือสติปัญญาของทีมพากษ์หนังพวกนี้แยกแยะไม่ออกว่าอันใหนหนังตลก อันใหนไม่ใช่
หรือว่ามันเห็นหนังในโลกนี้ทุกเรื่องเป็นหนังตลกไปหมดรึยังไงกัน

หนังเรื่อง Battle Royal มีฉากขวานตกลงมาเสียบคาหัวเพื่อนพระเอกเข้าไปครึ่งเล่ม
พระเอกถามเพื่อนด้วยความตกใจกลัวว่านายเป็นอะไร มันก็ยังมีหน้ามาพากษ์ว่า "เป็นนกหัวขวานมั้ง" 

บางฉากที่ควรจะซึ้งพี่ท่านก็แทรกมุกตลก บางฉากที่กำลังตื่นเต้นลุ้น ๆ กันพี่ท่านก็แทรกมุกตลก
ทำไมไม่ไปเป็นตลกคาเฟ่กันให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย
บางฉากบางตอนไม่มีบทพากษ์ด้วยซ้ำไป พี่ท่านก็พล่ามขึ้นมาทำลายบรรยากาศตลอด
บางฉากก็ดูถูกผู้ชมเหลือเกินยังกับว่าผู้ชมไม่มีสมอง ดูไม่ออกว่าตัวละครรู้สึกยังไง
ทั้งที่ผู้แสดงเขาก็แสดงได้อย่างมีความสามารถเห็นได้ชัด
หนังบางเรื่องตัวละครทำสีหน้าตระหนก ชะงักก้าว ถอยหลังแล้ววิ่งจ้ำอ้าวไป
มันยังมีหน้ามาพากษ์ตามอีก อึ๊ยยยยๆ กลัว ทั้งที่ไอ้น้ำเสียงคนพากษ์มันก็ไม่ได้บ่งบอกว่ากลัวซักนิด 
ทำลายอารมณ์ร่วมที่ภาพมันดึงผู้ชมไปได้แล้ว ไม่พูดเลยยังได้อารมณ์กว่า
นี่คงคิดกันว่าผู้ชมคิดอะไรเองไม่เป็นเลย
ที่ร้ายกว่านั้นพี่ท่านเล่นไปเปลี่ยนชื่อตัวละคร เป็นชื่ออะไรทุเรศ ๆ เลยก็มี (ทำแล้วได้อะไร)
และอีกสารพัด มากมายในหนังนับไม่ถ้วน 

ไอ้ที่ผมรู้สึกแย่มาก ๆ ก็คือ หนังของโจวซิงฉือ พอพากษ์ไทยแล้วกลายเป็นหนังตลก 100 % ไปเลย
ทั้งที่ถ้าใครเคยมีโอกาสดูหนังของโจวซิงฉือที่เป็นต้นฉบับที่พูดภาษากวางตุ้ง
จะรู้ได้เลยหนังของโจวซิงฉือไม่ใช่หนังตลก 100 %
แต่เป็นสุดยอดหนัง เป็นดราม่าแอ๊คชั่นที่แทรกตลกเพียงไม่กี่ฉากเข้าไปอย่างลงตัว
เพียงแต่ฉากตลกของโจวซิงฉือเป็นตลกแบบโอเวอร์แอ๊คชั่น 
เลยทำให้มันตลกมาก ที่สิ่งสำคัญก็คือ อารมณ์อื่นในหนังโจวซิงฉือ
พอพากษ์ไทยแล้วหายไปหมดเลย 

สำหรับผมแล้วโจวซิงฉือเป็นดาราที่มีความสามารถสูงมากคนนึง
สามารถเล่นได้หลาย ๆ อารมณ์ในหนังเรื่องเดียวกัน หนังโจวซิงฉือหลาย ๆ เรื่อง
ในฉากที่เป็นดราม่าทำได้สะเทือนใจผมมาก และมีหลายเรื่องทีเดียวที่เรียกน้ำตาผมเลย
แต่สิ่งเหล่านี้คนไทยส่วนใหญ๋ไม่มีโอกาสได้สัมผัส เนื่องด้วยเพราะค่านิยมห่วย ๆ ในการพากษ์นอกบท
อย่างโอเวอร์ ถ้าใครเป็นแฟนโจวซิงฉือเองจะพบว่า จากหนังยาจกซูมา ความเป็นดราม่าในหนังโจวซิงฉือ
มากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ฉากตลกมีไม่กี่ฉาก 

เส้าหลินซอคเกอร์ ถ้าใครได้มีโอกาสดูภาคภาษาจีน จะพบว่านั่นคือหนังดราม่าแอ๊คชั่นที่แทรกฉากตลกประปรายเท่านั้น
ล่าสุดที่ผมเซ็งสุด ๆ คือ หนังเรื่องกงฟู(คนเล็กหมัดเทวดา) ผมคิดผิดที่ไปดูหนังเรื่องนี้ในโรง
เพราะรอดีวีดีไม่ใหว จากที่เข้าไปดูหนังเรื่องนี้ผมขอยืนยันว่า
เป็นหนังดราม่าแอ๊คชั่น เพียงแต่มีฉากตลกไม่กี่ฉาก แต่ทีมพากษ์ห่วยแตกก็ยังไม่รู้จักตื่นลืมตาขึ้นมอง
ว่านี้มันหนังอะไรกันแน่ คนเขาฆ่ากันจะตายมันยังมีน่ามาพากษ์ให้ตลก 
พากษ์ดี ๆ ตามอารมณ์ของหนังมันจะตายกันเชียวหรือ

ที่น่าเสียดายมาก ๆ ก็คือฉากจบของหนังเรื่องนี้ บทสนทนาตอนจบเป็นภาษากวางตุ้ง
โจวซิงฉือ พูดขึ้นว่า "เน๋ยฺเสิงห็อก หงอกาวเน๋ยฺล้า" (ถ้านายอยากเรียน ฉันจะสอนให้)
บรู๊ซ เหลียงก้มลงคำนับแล้วพูดขึ้นว่า "หงอซวีจ๋อ" (ฉันแพ้แล้ว)
เป็นการแสดงให้เห็นว่ายอมแพ้พระเอกทั้งกายและใจ ซึ่งเป็นการจบที่สวยงามมาก
แต่ในบทพากษ์ไทยมันยังห่วงตลกด้วยการพากษ์ว่า "อาจารย์ปู่" ทำให้อารมณ์ของหนังจบกันคนละทาง
กับที่ทางต้นฉบับทำมา 

ด้วยเพราะทีมพากษ์หนังเมืองไทยเป็นกันอย่างนี้ ทำให้ผมเลิกดูหนังเอเซียในโรงภาพยนตร์มาหลายปี
ผมดูหนังในโรงภาพยนตร์ก็เฉพาะหนังฮอลลีวูดและเลือกดูเฉพาะหนังซาวด์แทรก 
หนังจีนโดยส่วนใหญ่จะเดินไปเยาวราช ซอยเท็กซัส(ถนนผดุงด้าว)
ที่นั่นมีหนังฮ่องกงแต่นำเข้าจากแผ่นดินใหญ่ขายกันให้เกลื่อน
อาจจะเสียอารมณ์หน่อยที่มันพากษ์ทับเป็นแมนดาริน 
ไม่เป็นเสียงกวางตุ้งต้นฉบับ แต่เขาก็พากษ์กันอยู่ในร่องในรอย 
อยู่ในเรื่องในราวไม่พากษ์นอกเรื่องให้มันเสียไปเป็นอีกเรื่องหนึ่ง หรือบางทีก็รอดูดีวีดี 
ส่วนหนังญี่ปุ่น เกาหลี ผมว่าทุกวันนี้เราโชคดีที่มีเทคโนโลยีดีวีดี
มาเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งที่พอจะสนองตัณหาตรงนี้ได้
ไม่รู้เหมือนกันว่า พวกนักพากษ์เมืองไทย คิดอะไรกัน 
ค่านิยมในการพากษ์นอกบท กับพากษ์หนังทุกแนวให้ตลกท่าทางจะไม่มีวันหายจากเมืองไทย..
แล้วเมื่อใหร่เราจะได้ดูหนังดี ๆ ได้อารมณ์ตรงตามอารมณ์หนังกันจริง ๆ ซะที

มีภาษิตเวียดนามอยู่บทนึง
"Tiên học lễ, hậu học văn" 「先學禮後學文」


1