|
|
ธรรมะเพื่อชีวิต ธรรมะพื้นฐานที่ชาวพุทธควรรู้ โดย JK! หมัดมั่ว
|
พุทธศาสนาเสื่อมจริงหรือ? (บทพิสูจน์พระแท้)
พุทธศาสนา เป็นหลักธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ได้สืบทอดต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันเป็นเวลานานกว่าสองพันปี เป็นคำสอนให้คนดับทุกข์ที่ต้นเหตุ
ไม่ว่าจะเป็นการทำดี หรือละเว้นการกระทำชั่ว ทำจิตใจแห่งบริสุทธิ์
ล้วนแต่เป็นการระงับซึ่งเหตุแห่งทุกข์ อันเป็นหลักคำสอนที่ว่าไปด้วยเหตุและผล
เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติ พึงเห็นได้ด้วยตนเอง (สันทิฏฐิโก)
วิกฤติการณ์ทางสังคมที่เปลี่ยนไปเป็นโลกที่มีความเจริญทางวัตถุมากขึ้น แต่ศีลธรรมกลับตกต่ำลง
ผู้คนล้วนขาดที่พึ่งพาหรือขาดที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ ล้วนหันหน้าไปหาอบายมุข หันหลังให้กับธรรมะและศาสนา
เกิดคดี ปล้น ฆ่า ข่มขืน โกงกิน สารพัด ขึ้นพาดหัวข่าวหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ไม่เคยมีเว้นซักวัน
จนหลาย ๆ คนถึงกับพูดว่า ทุกวันนี้ศีลธรรมได้เสื่อมทรามลงไป
มีข่าวคราวรวมถึงข่าวคาวในวงการพระศาสนาออกมาให้เห็นกันบ่อย ๆ แทบทุกวัน
บางคนถึงกับบอกว่าเลิกนับถือศรัทธาในพระศาสนาแล้ว ทั้งยังบอกว่าทุกวันนี้มีแต่พระเลว ๆ เต็มไปหมด
ทำให้ไม่เต็มใจจะทำบุญหรือสนใจจะเข้าวัดกันอีกต่อไป
"พระเลว ๆ" คำนี้ฟังดูแสลงหูผมมาก พระจะเลวได้หรือ? ในเมื่อได้ชื่อว่าเป็นพระ จากการสนทนากับผู้คนมากมาย
กับได้รับคำตอบที่ตรงกันว่า ทุกวันนี้มีแต่พระเลว ๆ ศาสนาก็เสื่อมแล้ว แม้แต่สื่อมวลชนเองเวลาเสนอข่าว
ก็มักใช้ถ้อยคำทำนองที่ว่า "จับพระมั่วสีกา" "จับพระเล่นการพนัน" "จับพระมั่วสุมดื่มสุรา"
จากการที่ได้รับรู้แนวคิดในข้างต้นผมจึงได้ทราบความจริงว่า จริงๆ แล้วคนไทยเราที่ชอบอ้างนักอ้างหนาว่าเป็นชาวพุทธ
กลับไม่ได้มีความเข้าใจในตัวพระพุทธศาสนาและไม่เคยรู้ซึ้งถึงหลักคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธศาสนาเลย
ผมคิดว่าน่าจะมีการปรับความเข้าใจและชี้แจงให้ทราบกันถึงแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา
แก่ผู้คนบางส่วนที่ยังมีความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง
"พระ" นั้นมีความหมายถึงผู้ประเสริฐ บุคคลใดก็ตามที่เป็นผู้ประเสริฐ ผู้นั้นคือ "พระ"
ดังอาจจะเคยได้ยินคำที่ว่า "บิดามารดาคือพรหมของบุตร" หรือ "บิดามารดาคือพระของบุตร"
ทั้งสองประโยคนี้ความนัยล้วนไม่ต่างกัน คือยกย่องบิดามารดาเป็นผู้ประเสริฐ
เพราะฉะนั้นคนที่พูดว่า มีแต่ "พระเลว ๆ" จึงน่าจะเป็นคำพูดที่ผิด และไม่ถูกต้อง
ก็ในเมื่อเป็นพระแล้วจะแล้วได้อย่างไร ถ้าเลวแล้วย่อมไม่เป็นพระ
เมื่อเกิดข่าวคราวหรือข่าวคาวจากวัดต่าง ๆ ผมว่าคนไทยควรทำความเข้าใจกันด้วยว่านั่นไม่ใช่พระ
เป็นแต่เพียง "ไอ้โล้น" ที่นุ่งผ้าเหลืองเป็นเพียง "เหลือบ" ที่อาศัยเกาะกินพระศาสนาไปวัน ๆ เท่านั้น
นั่นไม่ใช่พระและไม่ใช่สงฆ์ ไม่ใช่สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
น่าสังเวชใจที่ชาวไทยพุทธส่วนใหญ่สวดมนต์ไหว้พระทุกวัน แต่กลับแยกแยะพระแท้กับพระเทียมไม่ออก
ทั้งที่สวดมนต์ไหว้พระกันอยู่ทุกวัน "สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ"
อันมีความหมายว่า พระสงค์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด ปฏิบัติดีแล้ว ข้าพเจ้านอบน้อมพระสงฆ์
บทสวดมนต์บทนี้ก็แจ้งชัดอยู่แล้วว่า "สุปะฏิปันโน" ผู้ปฏิบัติดีแล้ว โดยที่เป็น "ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ"
หมู่สาวกแห่งองค์ภควัน อันมีความหมายโดยรวมว่าเหล่าชนผู้รับฟังคำสั่งสอนขององค์พระผู้มีพระภาค
และนำคำสั่งสอนนั้นไปปฏิบัติดีแล้ว ความหมายชัดเจนอยู่แล้วว่า เราอันเป็นชาวพุทธนี่ล่ะ
จะนอบน้อมกับหมู่สงฆ์ผู้เป็นสาวก(ฟังคำสั่งสอน)ของพระผู้มีพระภาคผู้ปฏิบัติดีแล้วเท่านั้น
ผู้ปฏิบัติเลวเราไม่นอบน้อม ถ้าเห็นไอ้โล้นนุ่งเหลืองแต่เมาแอ๋อยู่ข้างป้ายรถเมล์
เราก็สามารถแจ้งตำรวจจับได้เลย พร้อมกับช่วยตำรวจลากคอขึ้นรถไปด้วยได้โดยไม่ต้องไปนอบน้อม
ซึ่งไม่ได้ผิดบาปอันใดเลย เพราะนั่นไม่ใช่พระ และที่เสื่อมทรามลงก็ไม่ใช่ศีลธรรมหรือศาสนา
เพราะศีลธรรมเป็นของสูงที่ไม่มีวันเสื่อม แต่ที่เสื่อมลงก็คือคน คนทำตัวเองให้เสื่อม
เพราะหันหลังให้กับศีลธรรมคนจึงเสื่อม
ชาวพุทธเราพร่ำสวนบทสรรเสริญพระสังฆคุณกันเป็นประจำ แต่ไม่เคยนำมาใช้พิจารณาพระแท้พระเทียมกันเลย
จึงไม่ต่างอะไรกับนกแก้วนกขุนทองที่สักแต่ว่าพูดได้ แต่พูดมาไม่รู้ความหมาย
บทสรรเสริญพระสังฆคุณเป็นบทที่บ่งบอกให้ชัดเจนถึงพระสงฆ์ที่แท้จริง ตามบทสวดที่ว่า
สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ( สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด ปฏิบัติดีแล้ว )
อุชุปฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ( สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด ปฏิบัติตรงแล้ว )
ในที่นี้หมายถึงปฏิบัติได้ตรงกับหลักธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ญายะปฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
(สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์แล้ว)
สามีจิปฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
( สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด ปฏิบัติเหมาะสมแล้ว )
ยะทิทัง ( ได้แก่บุคคลเหล่านี้คือ )
จัตตาริ ปุริสสะ ยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา ( คู่แห่งบุรุษสี่คู่ นับเรียงตัวได้แปดบุรุษ )
บุคคลผู้มีคุณสมบัติดังที่ว่ามานั้น
เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ( นั่นแหละ สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า )
และบุคคลที่มีคุณสมบัติดังกล่าวจึง
อาหุเนยโย ( เป็นผู้ควรแก่สักการะที่เขานำมาบูชา )
ปาหุเนยโย ( เป็นผู้ควรแก่สักการะที่จัดไว้ต้อนรับ )
ทักขิเนยโย ( เป็นผู้ควรรับทักษิณาทาน )
อัญชะลีกะระนีโย ( เป็นผู้ที่บุคคลทั่วไปควรทำอัญชลี )
อะนุตตะรัง ปุญญะเขตตัง โลกัสสาติ. ( เป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ดังนี้ )
จากบทสวดพระสังฆคุณที่พร่ำสวดกันเป็นประจำนี้ ผมว่าบ่งชัดเจนแล้วว่าพระสงฆ์ที่แท้นั้นเป็นอย่างไร
ผมคิดว่าหลาย ๆ ท่านที่อ่านบทความนี้จนจบคงจะพอตอบคำถามได้บ้างแล้วว่า
"วงการศาสนาทุกวันนี้เต็มไปด้วยพระเลว ๆ จริงหรือ?"
"ศาสนาเสื่อมแล้วจริงหรือ?"
หมายเหตุ เนื้อหาทั้งหมดเกิดจากการศึกษาปฏิบัติของผู้เขียนเอง
หากมีส่วนหนึ่งส่วนใดคลาดเคลื่อนจากพุทธธรรม นั่นเป็นความผิดพลาดในการตีความของผู้เขียนเอง
บทความนี้หากเกิดเป็นบุญกุศลใด ๆ ก็ขออุทิศให้ดวงวิญญาณบรรพชนและญาติผู้ล่วงลับทั้งหลาย
หากเกิดเป็นบาปเวรใด ๆ ขอให้บาปกรรมนั้นตกอยู่กับข้าพเจ้าเพียงผู้เดียว
|
|
|
|
|
|