COMPLAIN OR OPINION

18 พฤษภาคม 2546 :: by WillowTree

" ตามล่าหา SARS ในสิงคโปร์ (2) "

หลังจากที่ได้หลับไปค่อนข้างพอสมควรแล้ว ก็ประเดิมวันใหม่ด้วยการไปที่ โรงพยาบาล TAN TOK SENG เลย ซึ่งโรงพยาบาลนี้ ได้รับเลือก (แกมบังคับขู่เข็ญแหงๆ) ให้เป็นโรงพยาบาลที่ให้ดูแลผู้ป่วยโรค SARS เพราะว่าเป็นที่เดียวที่มี Communicable Disease Center หรือสถาบันโรคติดต่อเป็นของตัวเอง โรงพยาบาลนี้ ถ้าเทียบกับเมืองไทยแล้วก็คงจะประมาณ โรงพยาบาล บำราศนราดูร ละมั้ง เพราะฉะนั้นหลังจากที่ได้รับเลือกแล้ว วอร์ดต่างๆนอกจาก ห้องฉุกเฉิน และห้องผู้ป่วยโรคSARS ก็จะปิดหมด อาจจะเหลือคลีนิคหรือส่วนย่อยๆบ้าง แต่ผู้คนทั้งคนป่วย และคนเยี่ยมไข้ก็จะบางตาอย่างเห็นใด้ชัด นอกจากนั้น ภายในโรงพยาบาลที่ฉันไปเห็นนั้น จะเต็มไปด้วย ดอกไม้ การ์ด หรือแม้กระทั่งป้าย Banner พร้อมกับลายเซ็นต์ให้กำลังใจStaff ของโรงพยาบาลเต็มไปหมด จนฉันอดรู้สึกไม่ได้ว่า ถ้าเกิดเป็นเมืองไทยนั้น คงจะคนละเรื่องกันแบบ หน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว ดูอย่างกรณีโรงพยาบาลหนึ่งที่มีผู้ป่วย(ที่เค้าว่ากันว่า)เป็น SARS สิ พวกหมอและพยาบาลเค้าก็กลัวกันซะ ขณะที่ที่Singapore ที่ฉันไปเห็นนั้น เจ้าหน้าที่ ไม่มีทีท่าที่จะกลัวเลยซักนิดเดียว นั่นเป็นเพราะว่าเค้าได้รับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องและพร้อมที่ะทำความเข้าใจกับมันนั่นเอง

หลังจากที่ได้ทักทายกับเจ้าหน้าที่ของทางโรงพยาบาลแล้ว พวกฉันก็ได้รับแจกหน้ากากกันคนละอันเพื่อที่จะใช้ในห้อง ICU ฉันและพี่ตากล้องที่หัดใส่หน้ากากผ้าจนชินหลังจากที่ต้องทนทรมาณหายใจไม่ออกอยู่เป็นนานสองนาน ก็ต้องมาใส่หน้ากากที่หนากว่าเดิมอีก อันนี้ยิ่งแย่ใหญ่ ใส่แล้วคันจมูกชะมัด ในห้อง ICU ที่เข้าไปนั้น นอกจากเจ้าหน้าที่ที่เดินไปเดินมาเต็มไปหมดแล้ว ก็ยังมีห้องกระจกเล็กๆแบ่งไปรอบๆward นี้ เจ้าหน้าที่เล่าว่า มีเตียงอยู่ 18 เตียงสำหรับรองรับผู้ป่วยที่ อยู่ ฉันมองไปรอบๆแล้ว กะเอาคร่าวๆว่า คงจะมีผู้ป่วยอยู่ประมาณ สิบคนได้ ก็เตียงว่างตั้งหลายเตียงนี่นา สังเกตได้ว่า เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลจะไม่ใช้คำว่า ผู้ป่วยโรค SARS เด็ดขาด จะมีก็แต่ คนที่อยู่ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิด และ ผู้ป่วยที่คาดว่าอาจจะเป็น SARS เท่านั้น เพราะการชี้ชัดลงไปเลยนั้น อาจจะทำให้เกิดการฟ้องร้องกันขึ้นได้ถ้าหากว่าคนคนนั้นไม่ได้ป่วยเป็นโรคนี้จริง และอีกอย่างนึง การใช้คำที่เป็นการคาดเดานั้น ฉันคิดว่าเป็นการทำให้สถานการณ์เบาลงมากทีเดียวและทำให้คนภายนอกไม่แตกตื่นอีกด้วย

เจ้าหน้าที่ภายใน ward กว่ายี่สิบชีวิตนั้น ทำงานอย่างขยันขันแข็ง และมีมาตรการณ์ป้องกันตัวเองอย่างดีทีเดียว ทั้งมาตรการทำความสะอาดตัวเองเบื้องต้น เช่นการล้างมือ, การสวมเสื้อผ้าที่ทางโรงพยาบาลจัดให้ การใช้เครื่องมือป้องกันตัวเองต่างๆ เช่นถุงมือ เสื้อคลุม และเครื่องมืออะไรอีกหลายๆอย่างเวลาที่เข้าไปดูแลคนไข้อย่างใกล้ชิด และพวกเค้าทำงานโดยไม่มีการอิดออดเลยซักนิดเดียวตั้งแต่พนักงานทำความสะอาดไปจนถึงแพทย์ ฉันมองดูพวกเค้าแล้วรู้สึกชื่นชมพวกเค้าอย่างบอกใม่ถูก ทำให้นึกถึงป้ายที่แขวนไว้หน้าlobby ของโรงพยาบาลว่า พวกเขาเป็นแนวหน้าของสงครามนี้ อย่างแท้จริง … ใช่แล้ว คน Singapore เรียกโรคไข้หวัดมรณะนี้ว่า สงครามค่ะ ซึ่งถ้าเทียบกับสงครามในอีรักแล้ว สงครามโรคSARS นี้สำหรับคน Singapore น่ากลัวกว่ามากนัก

หลังจากถ่ายทำในห้อง ICU เสร็จแล้ว พวกฉันก็ลงมาที่เต๊นท์ด้านล่างของโรงพยาบาลที่จัดไว้สำหรับเช็คผู้ป่วยโรคSARS โดยเฉพาะ ที่นี่ดีอยู่อย่างนึงคือว่า ถ้าใครก็ตามรู้สึกว่ามีอาการป่วย เค้าจะโทรศัพท์ไปยังศูนย์ ฮอทไลน์ ที่ตั้งขึ้นโดยกระทรวงสาธารณะสุขโดยเฉพาะ และจะมีรถพยาบาลมารับถึงบ้านมาส่งที่จุดที่ฉันไปถ่ายทำ คือนอกห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลนี้ นับว่าเรากะเวลาได้ดีมากที่เดียวที่สามารถถ่ายตอน รถพยาบาลนำคนมาส่งพอดี ระหว่างที่ถ่ายทำอยู่นั้น มีลุงแก่ๆคนนึงคอยด้อมๆมองๆอยู่ ซึ่งตอนแรกก็นั่งมองอยู่ดีๆหรอก แต่หลังๆชักจะมาเดินป้วนเปี้ยนและถามยามว่า พวกเรามาทำอะไรกัน พอรู้ว่าเรามาถ่ายทำเรื่องนี้แล้ว เขาก็โวยวายขึ้นมาทันที สรุปว่า เค้าไม่อยากให้เราถ่าย

เพราะว่า ในสายตาเค้าแล้ว พวกเราดูเหมือนว่าจะมาทำร้ายและทำลายความรู้สึกของเค้าอย่างรุนแรง ที่เค้าป้วนเปี้ยนอยู่แถวนั้น เป็นเพราะว่า เค้ามารอภรรยาที่ตรวจโรคอยู่ภายในบริเวณเต้นท์นั้นตั้งแต่ แปดโมงเช้าแล้ว และเค้าคงจะเครียดอยู่พอสมควร เพราะรอมาหลายชั่วโมงแล้ว ยังไม่รู้ผล ยิ่งมาเห็นพวกฉันถ่ายทำอะไรอย่างนี้ก็คงจะยิ่งทำให้เค้าใจเสียขึ้นไปอีก หลังจากที่ปลดกล้องออกจากขาตั้งมาวางบนพื้นแล้วพี่ช่างกล้องก็กระซิบด้วยความว่องไวว่า เอาเทปมา ซึ่งหมายความว่าให้เปิดกระเป๋าที่อยู่บนบ่าฉันเอาเทปเปล่าออกมา เพื่อที่จะเปลี่ยนกับเทปที่อยู่ในกล้อง เผื่อว่าเวลาที่เค้าตัดสินใจจะยึดเทปไปนั้น เค้าจะได้แค่เทปเปล่าไป แต่ไอ้ฉันมันความรู้สึกช้า เลยไม่รู้ว่าเค้าจะให้ทำอะไร โชคดีที่ว่าเราออกมาจากโรงพยาบาลอย่างปลอดภัยโดยไม่ต้องมีเรื่องกับลุงคนนั้น แต่พี่ตากล้องก็มาเอ็ดฉันทีหลังเรื่องวีดีโอเหมือนกัน แต่เอาเถอะ คราวหน้า ฉันจะระวังกว่านี้แล้วหล่ะ

จากโรงพยาบาล เจ้านายฉันก็ตัดสินใจจะไปที่ตลาดที่สั่งปิด พอไปถึงก็มีตำรวจเต็มไปหมด ไม่ให้เราเข้า เราก็เลยอ้อมไปด้านหลัง … เลยได้ถ่ายตลาดจากด้านหลัง แต่ก็ไม่วายมีตำรวจมาอีกจนได้จะห้ามไม่ให้เราถ่าย หลังจากอธิบายให้เค้าฟังเกือบ 10 นาที และเค้าได้คุยกับเจ้านายของเค้าแล้ว ปัญหาก็เคลียร์ แต่สุดท้ายภาพที่ตลาดก็ไม่ได้ออกอากาศ เพราะถึงออกอากาศไปก็ไม่รู้อยู่ดี ว่ามันคืออะไร ขนาดฉันที่ได้ไปอยู่ที่สถานที่นั้นด้วย ได้ดูภาพในมอนิเตอร์เองก็ยังงงเลย

ในที่สุดงานของพวกเราที่สิงคโปร์ก็ได้เสร็จสิ้นลงหลังจากกลับมาจากถ่ายรูปสิงโต ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสิงคโปร์ ตอนแรกดูเหมือนฝนฟ้าไม่เป็นใจ เพราะดันตกอย่างไม่ลืมหูลืมตา แต่หลังจากขับรถวนรอบเกาะสิงคโปร์สองรอบ และกระโดดลง Little India อีกครึ่งชั่วโมง พวกฉันก็ได้ภาพของเจ้าสิงโตน้ำสมใจ และการตามล่าหา SARS ของพวกเราก็จบลง โดยที่ฉันไม่ได้เห็นเจ้าตัว SARS เลยแม้แต่นิดเดียว ไม่เว้นแม้แต่ที่ โรงพยาบาล …







>> ตามล่าหา SARS ในสิงคโปร์ (1)

>> นักข่าวหรือว่าทำทัวร์? ...:)

>> แวะไปที่หน้าสารบัญผลัดกันเขียนค่ะ...:)

| HOME | WORK'S EXPERIENCE | SIGN &VIEW GUESTBOOK |

© 2001 "Complain or Opinion" Created and Published by JaRuWaN yUnG-yUeN All rights reserved.
 
Hosted by www.Geocities.ws

1