COMPLAIN OR OPINION

10 พฤษภาคม 2546 :: by WillowTree

" ตามล่าหา SARS ในสิงคโปร์ (1)"

เมื่อไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมานี้ เรื่องไข้หวัดมรณะ หรือ ที่เรียกกันว่า SARS กลายเป็นข่าวประเด็นดัง ที่ใครๆ ก็สนใจ เพราะมันเกี่ยวพันกับเศรษฐกิจและสุขภาพของคนภูมิภาคเอเชียอย่างเราๆนี่ ที่บริษัทฉันนั้น ตอนแรกๆ ก็สนใจประเด็นอยู่หรอก โดยเฉพาะวาทะของท่านนายกฯของประเทศไทย แต่นานๆไป ด้วยความที่มีเรื่องอื่นๆเข้ามาให้ทำและ มันก็ไม่ได้เกี่ยวพันกับ area of interest ของบริษัทฉันซักเท่าไหร่ เพราะว่ามันระบาดหนักที่ฮ่องกง ซึ่งก็มีออฟฟิศที่ปักกิ่งเป็นฝ่ายรับผิดชอบอยู่แล้ว พวกเราก็เลยปล่อยเรื่องนี้ไป แต่ก็ยังดูอยู่ห่างๆ จนกระทั่ง เจ้านายหนุ่มไฟแรงกลับมาจากตะวันออกกลาง หลังจากที่ไประหกระเหินทำข่าวสงครามเกือบสองเดือน สนใจเรื่องนี้เข้า ประกอบกับที่ได้รับประกาศิตจากทางบริษัทแม่ ว่าให้ทำข่าวเรื่องนี้เพราะว่าจะมีการประชุมพิเศษของผู้นำอาเซียนบวกจีน ว่าด้วยโรค SARS ในวันที่ 29 เมษายน

ฉันและเจ้านายและเฮียตากล้องก็ต้องเก็บของกระโดดขึ้นเครื่องบินในเย็นวันเดียวกันกับที่ได้รับคำสั่งทันทีคือ วันที่ 24 ซึ่งจุดหมายปลายทางนั้น คือประเทศสิงคโปร์ ค่ะ ส่วนที่จีนกับฮ่องกงนั้น ถึงบริษัทจะบอกให้ไป ฉันกับพี่ตากล้องคงจะปฎิเสธไป เพราะว่ามันเสี่ยงมากทีเดียว ยิ่งฉันร่างกายบอบบางอย่างนี้ด้วย บอกตรงๆว่ายังไม่อยากติดหวัดตายค่ะ ฉันว่า ถ้าให้เลือกที่จะตายในอีรัก หรือตายเพราะโรค SARS นั้น ฉันขอเลือกที่จะตายในอีรักดีกว่ามั้ง มันฟังดูดีกว่าตายเพราะเป็นหวัดตั้งเยอะ แถมถูกสังคมรังเกียจอีกต่างหาก เหมือนนักธุรกิจหญิง คนนั้นไง … ไม่ต้องงงว่าคนไหนหรอก ก็คนนั้นแหละ ที่เป็นข่าวอยู่ในตอนนี้ไงคะ ว่าแล้ว mission ก็เริ่มขึ้น ด้วยความตื่นเต้นระคนหวาดหวั่นของฉันและพี่ตากล้อง ส่วนเจ้านายนั้น รู้สึกว่าจะไม้ค่อยเดือดร้อนซักเท่าไหร่ เห็นมัวแต่นั่งแพลนงาน

หลังจากที่ทุลักทุเลกับการหาflight อยู่เกือบชั่วโมง เพราะ flight มันโดนยกเลิกไปเยอะมาก พวกฉันก็ต้องเจอกับอีกปัญหาหนึ่งเมื่อไปถึง Singapore Airport เป็นปัญหาเดิมๆของพวกเรา นั่นก็คือปัญหากับพวก ศุลกากรค่ะ ซึ่งถ้าจะอธิบายตรงนี้มันจะยาวมาก เลยขอข้ามไปก่อน เอาเป็นว่าเราโดนกักไว้ที่ศุลกากร เกือบๆสองชั่วโมง จนกระทั่งได้จดหมายจาก ผู้ประสานงานของเรา เค้าถึงยอมปล่อยพวกเรา และอุปกรณ์กล้องเจ้าปัญหาออกไป ที่สนามบินนั้น ฉันเจอกับนักข่าวของ ABC (Australian Broadcasting Co.) ซึ่งมาในเครื่องบินลำเดียวกันด้วย รู้สึกว่าจะมาทำข่าวเรื่องเดียวกันกับฉันเนี่ยแหละ และ วันที่ไปทำข่าวการประชุมอาเซียนที่ กระทรวงฯ ฉันก็แอบชะเง้อหาเขาด้วยเผื่อว่าจะมา ปรากฎว่า ไม่เห็นตัวแฮะ สงสัยจะ Quaranteen ตัวเอง ตามประสาพลเมืองที่ดี ซึ่งผิดกับพวกฉัน ที่ซึ่งกลับมาแล้ว ก็ทำงานต่อทันทีเลย ไม่รู้จะไปแพร่เชื้อให้ใครบ้างรึเปล่านะเนี่ย

พวกเราเริ่มทำงานกันวันรุ่งขึ้น คือวันที่ 25 เมษายน โดยไปที่ Raffle Square ก่อนเลย ที่ตรงนั้นจะมีสถานีรถไฟใต้ดินด้วย เราเริ่มไปสัมภาษณ์ผู้คนที่นั่น ซึ่งก็มีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องการป้องกันโรค SARS ของรัฐบาลว่า ค่อนข้างดี และ สร้างความเชื่อมั่นได้พอสมควร แม้บางที รัฐอาจจะตื่นตูมไปบ้าง แต่ โดยรวมแล้วพอใจมากเพราะได้เห็นว่า เค้าสามารถคุม Sars ได้ และเท่าที่ฉันได้ไปเห็นกับตาตัวเองนั้น ก็ค่อนข้างแปลกใจเหมือนกันว่า ไม่เห็นมีคนใช้ผ้าปิดปากเยอะอย่างที่เห็นใน CNN เลยซักนิดเดียว ฉันเองก็ยังไปเดินเล่นที่ Orchard Road ตามปกติ แต่ถึงยังงั้นก็ตาม กระแสโรค SARS ทำให้สิงคโปร์ในวันนั้น แตกต่างกับ สิงคโปร์ที่ฉันเคยเห็นอย่างสิ้นเชิง

ผู้คนบางตากว่าแต่ก่อน สนามบินโล่ง(มากถึงมากที่สุด) สถานบันเทิงโดยเฉพาะ pub ต่างๆที่ควรจะคึกคักในคืนสุดสัปดาห์กลับไม่มีคนเข้า ทำให้ฉันรู้สึกว่า ประเทศของเค้าค่อนข้างได้รับผลกระทบจากข่าวนี้มากทีเดียว เมืองที่เคยเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว กลับเงียบเหงาผิดหูผิดตา แต่ถึงยังงั้นก็ตามผู้คนก็ยังดำเนินชีวิตบางส่วนของเขาไปอย่างปกติ จากนั้นเราก็ไปที่โรงงานผลิต ยาคูลต์ ซึ่งเจ้านายฉันไปได้ยินมาจากไหนก็ไม่รู้ว่า เค้าบอกกันว่า ยาคูลต์ สามารถป้องกันโรค SARS ได้

ขอบอกว่าฉันอึ้งค่ะ เมื่อไปถึงโรงงาน ไม่รู้มาก่อนว่า ยาคูลต์สิงคโปร์ มี 5 สี เหมือนกับ บีทาเก้นของเค้า หลังจากที่อยู่ที่โรงงานเกือบๆ หนี่งชั่วโมง ก็ได้ฤกษ์ไปถ่ายทำที่ ซูเปอร์มาร์เก็ตต่อ เพราะว่าอยากได้ภาพผู้คนแห่ซื้อยาคูลต์ แต่เอาเข้าจริงแล้ว ไม่เห็นเป็นไปอย่างที่(เจ้านาย)คิด อาจจะเป็นเพราะว่าเราไปกันผิดเวลาด้วยละมั้ง เลยไม่เจอคนแห่มาซื้อ สิ่งที่ฉันเห็นอีกอย่างนึงใน ซูเปอร์ฯนั่นก็คือ ช่องวางผักสดมันแหว่งๆ ไป เยอะเหมือนกัน และผักแต่ละชนิดที่วางขายนั้นเป็นผักนำเข้าทั้งสิ้น เพราะว่าตลาดผักและผลไม้ที่ใหญ่ที่สุดในสิงคโปร์โดนปิดไปไงคะ คนที่ทำงานในนั้นเกือบๆ 2500 ชีวิต ก็ต้อง home quaranteen ตัวเองทั้งสิ้น

จากเรื่องยาคูลต์ เราก็ไปกันต่อที่ TAXI stand ค่ะ แถวๆ orchard road น่ะแหละ ที่ที่เราไปนั้น เป็น หนึ่งในราวๆ 15 จุดทั่วเมืองสิงคโปร์ที่มีการตรวจวัดอุณหภูมิ คนขับแท็กซี่ทั้งตอนเช้าและเที่ยง โดยที่คนที่ผ่านการตรวจแล้วก็จะได้ ใบเหลืองๆ ที่บอกว่าผ่านไปแปะไว้ที่รถ และต้องทำอย่างนี้ทุกวันด้วย เพื่อความปลอดภัยของตัวเองและผู้โดยสาร หลังจากที่ไปอยู่ตรงนั้นประมาณสองชั่วโมงได้ ที่ต่อไปที่พวกฉันไปก็คือที่สนามบินค่ะ ได้ไปเล่นกับเครื่องวัดอุณหภูมิด้วย แต่ฉันว่า มันก็แค่เครื่องตรวจจับความร้อนนั่นแหละนะ ระหว่างที่ฉันรอถ่ายทำอยู่นั้น เจอฝรั่งสองสามคนที่โดนเชิญเข้าไปตรวจร่างกาย แต่ก็โดนปล่อยออกมาภายในห้านาที คนแรก เป็นลุงแก่ๆค่ะ แกเมาเบียร์ เลยแดงไปทั้งตัว อันนี้เห็นได้ชัด ถึงไม่เดินผ่านเครื่องก็ตามเหอะ อีกคนนึง บ่นอย่างหัวเสียว่า อุณหภูมิในร่างกายเค้าสูงเพราะว่าแอร์ในรถแท็กซี่ที่เค้านั่งมามันเสีย แล้วจะไม่ให้เขาร้อนได้ยังไงกันหล่ะ

วันนั้นเลิกงานไวพอสมควร เพราะว่าเก็บภาพได้ค่อนข้างเยอะ ก็เลยได้แวะไปทักทายคนที่บริษัท EBU ซึ่งเป็นบริษัทที่พวกเราได้ใช้บริการอยู่เสมอ ประมาณว่า ที่ไหนมี ข่าวดังๆ ที่นั่น EBU จะไปเพื่อที่จะให้บริการนักข่าวในการส่งภาพผ่านดาวเทียมไปยังบริษัทแม่ในแต่ละประเทศ หลังจากทักทายกันและชมของเล่นใหม่ของบริษัท นั่นก็คือ ทีวีติดดาวเทียมอะไรซักอย่างซึ่งฉันก็ไม่รู้เรื่องมากนักรู้แต่ว่ามันเจ๋งมาก ก็ฉันมันพวกโลว์เทคนี่นา พอหอมปากหอมคอแล้ว ฝนก็เริ่มตกลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา พวกฉันก็เลยกลับโรงแรม คืนนั้น หลังจากที่ plan งานสำหรับวันรุ่งขึ้นแล้ว ก็แยกย้ายกันไปนอนตอนเกือบๆ ตีหนึ่ง พอหัวถึงหมอน ฉันก็หลับเป็นตาย







>> ตามล่าหา SARS ในสิงคโปร์ (ตอนที่1)...:)

>> นักข่าวหรือว่าทำทัวร์? ...:)

>> แวะไปที่หน้าสารบัญผลัดกันเขียนค่ะ...:)

| HOME | WORK'S EXPERIENCE | SIGN &VIEW GUESTBOOK |

© 2001 "Complain or Opinion" Created and Published by JaRuWaN yUnG-yUeN All rights reserved.
 
Hosted by www.Geocities.ws

1