COMPLAIN OR OPINION
About Me ::Bachelor of Arts University of Sydney



จุ๊ๆๆแนะนำสาวน้อย น้องน้อยสุดของพวกเรา MadiaWatch มาแปลกกว่า(ป้าๆๆ)คนอื่นๆเจ้าค่ะ เพราะว่าไปแอบหยิบมาบทสัมภาษณ์ ที่สาวน้อยหน้าใส เขียนบทสัมภาษณ์ตัวเอง(แปลกๆๆแฮ่ะ)จากเวบไซต์ >> aussietip.comของ บอกอตัวกลม(น่ารัก)มาฝากกันค่ะ.....สาวน้อยคนนี้มีความเป็นมา-เป็นไป ยังไง ......จุ๊ๆๆบอกได้คำเดียวว่า ห้ามกระพริบตาเจ้าค่ะ

สวัสดีค่ะ WillowTree เจ้าเก่าเอง ถ้าใครจำได้ WillowTree เคยส่งเรื่องมาลง Aussietip หลายครั้งแล้ว วันนี้ได้ฤกษ์งามยามดี บอกอติดต่อให้เขียนเรื่อง ของตัวเองลงในคอลัมน์ Uni guide ซี่งอันนี้ก็ไม่รู้ว่า ท่านบอกอคิดถูกหรือผิดนะคะ เพราะว่า ตัวเองก็ไม่ได้เรียนจบ จากคณะที่มีคนไทยเรียนมากมายอะไร เลยไม่รู้ว่าจะเล่าอะไรดี เอาเป็นว่า อันนี้เป็นuni guide ฉบับ Willowtree ละกันนะคะ อาจจะผิด คอนเส็ปต์ไปบ้าง เพราะเล่าเรื่องของตัวเอง ที่ไม่เกี่ยวกับการเรียนก็เยอะพอควร แต่ขอให้ถือว่า เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศละกันค่ะ

เริ่มแรกเลย Willow ไปเรียนที่โรงเรียนประจำในรัฐ Victoria ค่ะ Geelong Grammar School เนี่ยแหละ ความทรงจำ ณ ตอนนั้นไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ ข้อมูลอาจผิดพลาดไปบ้าง ถ้าใครบังเอิญมาอ่านแล้ว ข้อมูลไม่ถูกต้องก็ขออภัยด้วยนะคะ ตอนแรกที่ไปเนี่ยยังเด็กมาก อายุ 12 เอง แต่ตอนนั้นคิดอย่างงี่เง่าว่า โตแล้ว เพื่อนๆที่โรงเรียนส่วนใหญ่ ก็จะเป็นฝรั่งจากเมลเบิร์นบ้าง จากนอกเมืองบ้าง แล้วก็จะมีต่างชาติ ทั้งจากฮ่องกง ไต้หวัน ญี่ปุ่น ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ แล้วทางฝั่งยุโรป จะไม่มีพวกเกาหลี หรือตะวันออกกลางซักเท่าไหร่ เพิ่งมารู้ทีหลังตอนอยู่มหาลัยว่า ที่ออสเตรเลีย มีคนหลายชาติจริงๆ โดยเฉพาะเกาหลี ที่ซิดนีย์เกาหลีเยอะมากถึงมากที่สุด ชีวิตในวัยเรียนก็ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ก็ต้องทำอะไรเป็น Routine ตื่นเช้า ทานข้าว ประชุม ทำ morning activities ไปเรียน เรียนเสร็จก็ทำ activities เช่นเล่นกีฬา หรือถ้าใครอยู่ใน Choir ก็จะมี Choir practice วันพุธ วันพฤหัส(สำหรับผู้หญิง) และวันศุกร์ ซึ่งจะเป็นหลังเลิกเรียนบ้าง พักกลางวันบ้าง จากนั้นก็อาบน้ำ ทานข้าวเย็น ทำการบ้าน แล้วคนที่เรียนดนตรีก็จะมี music practice session ที่ music school หลังจากทำการบ้านเสร็จ ซึ่งสำหรับนักเรียนไทยแล้วเนี่ย Music School จะเป็นที่สุมหัวกันทุกๆวันศุกร์ willow เองจะชอบมาก เพราะนอกจากจะไม่ต้องนั่ง ที่โต๊ะทำการบ้านแล้ว ยังสามารถมานั่งคุยกัน แล้วก็เล่นดนตรีอีกด้วย สร้างสรรค์ซะจริงๆ



กิจกรรมในวันหยุด ก็ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ค่ะ ถ้าเกิดว่าไม่ได้ออกไปนอกโรงเรียน หรือที่เรียกกันว่า Exert (เอ๊กเสียต) หลังการแข่งกีฬาตอนเช้าวันเสาร์แล้ว ก็จะเดินไปเดินมาในโรงเรียน ซ้อมดนตรีบ้าง ส่วนตอนเย็น โรงเรียนก็จะอนุญาต ให้ไปเยี่ยมเยียนบ้านอื่นๆได้ ก็จะไปบ้านหนุ่มๆบ้าง หรือว่าอยู่ดูวีดีโอที่บ้าน สาเหตุที่ไปบ้านหนุ่มๆนั้น อย่าเพิ่งคิดนะคะ ว่า Willow กล้าหาญชาญชัยปีนหอเค้า คือว่าจะมีเพื่อนคนไทย ที่อยู่อีกบ้านนึง คนละฟากของโรงเรียนเลย เค้าจะสั่ง pizza มาทานกันวันเสาร์ คนละถาด 5 คนก็ 5 ถาด Willowtree กับเพื่อนเลยคิดกันว่า อย่ากระนั้นเลย ไปช่วยเค้าหม่ำดีกว่า ถาดละชิ้นคงจะโอเค นั่นคือสาเหตุที่ Willowtree ไปบ้านชายหนุ่มค่ะ กินอิ่มแล้วก็ลากลับบ้านตัวเอง มากินต่อ..เอ๊ย มาทำการบ้าน ส่วนวันอาทิตย์ ตอนเช้าก็ต้องไปโบสถ์ ซึ่งยาวมาก โดดไม่ได้ เพราะว่า ถึงโดดตอนเช้า ตอนเย็นก็ต้องไปอยู่ดี ซึ่งสำหรับคนที่ไม่ได้นับถือศาสนาคริสต์อย่างตัวเองแล้ว ไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ ไปก็ได้ ไม่ไปก็ได้ แต่ว่าสนุกอย่างเดียวตอนร้องเพลงน่ะค่ะ

ส่วนเรื่องการเรียนการสอนที่โรงเรียนนั้นเนี่ย เพราะว่าโรงเรียนเป็นโรงเรัยนระบบอังกฤษ อาจารย์ใหญ่ก็จะมาจากอังกฤษ และครูหลายๆท่านก็จะมาจากที่นี่นบ้าง อัฟริกาใต้บ้าง ครูจากออสเตรเลียบ้าง ซึ่งเกือบทั้งหมด ก็จะมีบ้านอยู่รอบๆโรงเรียน เพื่อที่จะให้นักเรียนไปหาได้ตลอดเวลา และใช้ชีวิตร่วมกับนักเรียนเกือบตลอด เพราะฉะนั้นก็จะผูกพันกับอาจารย์หลายๆคน มากพอดูทีเดียว เรื่องแปลกก็คือว่า ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็จะเจออาจารย์จากที่โรงเรียนตลอด อย่างตอนย้ายมา sydney ใหม่ๆ เดินไปเดินมาอยู่ที่มหาลัย เจอนักเรียนมาทัศนศึกษา แล้วอาจารย์ที่คุมนักเรียนกลุ่มนั้น ปรากฎว่าเป็นสามีของ house mistress คนแรก จากนั้นก็เจออาจารย์ ที่เคยสอนตอนอยู่ม.ต้น ซึ่งก็มาเรียนคณะเดียวกันอีกอยู่พักใหญ่ๆ อันนี้เป็นเรื่องบังเอิญมากๆ ต่างคนต่างตกใจ

หลังจากเรียนที่นั่นมา 5 ปีจนจบ year12 แล้ว ก็มีอันต้องย้ายตัวเองมาอยู่ที่เมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น เป็นเวลา 9 เดือนกับเพื่อนๆฝรั่งอีก 9 คน ชีวิตที่ญี่ปุ่นก็สนุกบ้างไม่สนุกบ้าง แต่ว่าทำให้ WillowTreeพูดภาษาญี่ปุ่นได้ปร๋อเชียว ซึ่งธรรมเนียมที่นักเรียนที่จบมัธยมแล้ว จะใช้ชีวิตอิสระ 1 ปี(หรือนานกว่านั้น) ก่อนจะเข้ามหาวิทยาลัย หรือที่เรียกว่า Gap Year ก็ค่อนข้างเป็นที่แพร่หลายสำหรับนักเรียนที่นั่นมากๆ จำได้ว่าเพื่อนๆที่อยู่ปีเดียวกัน ครึ่งนึงของชั้นจะไปอยู่อังกฤษ คนนึงอยู่แคนนาดา และมีหลายๆคนไปญี่ปุ่น โดยที่ 3 คนอยู่โกเบ ห้าคนอยู่โอซาก้า และมีอยู่ที่โตเกียวอีก ซึ่งยอมรับว่าเป็นปีที่ค่อนข้างดีทีเดียว แต่เสียดายที่ยังใช้ชีวิตตรงนั้นไม่คุ้มเท่าไหร่

จากนั้นก็ย้ายมาอยู่ที่ Sydney มาอยู่ที่ University of Sydney เพื่อที่จะเรียน Bachelor of Arts (Major in Japanese / Asian Study) เมื่อปี 1999 ตอนแรกก็เลือกที่เรียนไว้หลายที่อยู่ ไม่ว่าจะเป็น Monarsh, Latrobe UNSW หรือแม้กระทั่ง ANU ที่ Canberra ซึ่งตอนนั้น ANU เนี่ยแข็งมากเรื่อง Asian Study และตอนนี้ก็คิดว่ายังเป็นยังงั้นอยู่ แต่แล้วก็มาเลือก USYD จนได้ จำได้เลยว่า ไปวันแรกลุยเดี่ยวสำรวจมหาลัยแล้วชอบมาก เพราะว่ามันคล้ายกับโรงเรียน อย่างรุนแรง(น่ากลัวเหมือนกัน) ทั้ง Quadrangle หรือกระทั่งชื่อของห้องสมุด ที่เหมือนกันเป๊ะ ก็เลยชอบบรรยากาศของมหาลัยมากๆ



ถ้าพูดถึง course แล้ว Willowtree ว่า มันค่อนข้างเฉยๆน่ะค่ะ เพราะว่างบที่จะเอามาบำรุงคณะไม่มี และจะมีปัญหาตลอดเรื่องห้องเรียน แล้วก็วิชาที่เรียนที่จะบีบให้เล็กลงบ้าง cancel ไปบ้างเพราะขาดเงินจะมาจ้างบุคลากร จะมีประท้วงเรียกร้องกันตลอดเลยสำหรับ Arts Faculty ซึ่งเป็นเรื่องน่าเศร้ามากๆ ตอนนี้ที่ได้ข่าวล่าสุด South East Asian study ซึ่งเล็กอยู่แล้ว ถูกเอามารวมกับ Japanese/Korean study ไปเรียบร้อยแล้ว

อันนี้คิดว่าคงต้องโทษรัฐบาล ที่ไม่ค่อยมีการสนับสนุนการศึกษาเท่าไหร่นัก


ชีวิตนักเรียนมหาลัยของตัวเอง จะว่าไปแล้วก็ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ จะสนุกมากตอน ปี 1 เพราะว่า มันมีอะไรให้ตื่นเต้นตลอดเวลา ตั้งแต่ทำความคุ้นเคยกับเมืองใหม่ๆ เพื่อนใหม่ๆ เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยที่ แตกต่างกับโรงเรียนประจำโดยสิ้นเชิง และอื่นๆอีกมากมาย หลังจากที่ย้ายออกมาอยู่กับน้องสาวที่เข้า UNSW เมื่อปีต่อมา ทุกอย่างมันก็เริ่มลงตัว เพื่อนๆก็เริ่มแยกย้ายไปตามวิชาที่เลือก ชีวิตก็น่าเบื่อขึ้น แต่ก็มีกิจกรรมใหม่ขึ้นมาแทน ก็คือได้จับพลัดจับผลูเป็นประธานนักเรียนไทยของมหาลัยได้ 1 เทอมค่ะ เลยทำให้สนิทกับเพื่อนคนไทยมากขึ้น จากที่ไม่รู้จักกัน เพราะคณะที่เรียนอยู่ ไม่มีคนไทยเลย ก็มาทำความรู้จักสนิทสนม ทำงานร่วมกันตั้งแต่ตอนนั้น จนตอนนี้สนิทกันกลายเป็นแก๊งค์ใหญ่ทีเดียวค่ะ ถ้าใครจำได้ถึง "จรูญ" ที่เคยลงคอลัมน์ สัมภาษณ์เมื่อไม่กี่ฉบับก่อน นักดนตรีหลายคนในนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งใน committee members เหมือนกันนะคะ หน้าที่ของประธานนักเรียนไทยของ Usyd เนี่ยก็ไม่มีอะไรมากมาย เพราะว่าต้องเริ่มทำให้พวกเรากันเอง อยู่เป็นกลุ่มเป็นก้อนก่อน แล้วค่อยไปกังวลกับเรื่องที่ต้องดีลกับมหาวิทยาลัยอื่น ยอมรับเลยว่า ประสบการณ์จากเรื่องนี้ทำให้รู้อะไรหลายๆอย่าง แล้วก็ทำให้รู้จักคนมากขึ้นด้วย ซึ่งก็เป็นทั้งเรื่องดีและไม่ดีในความคิดของตัวเองผสมปนเปกันไป ทำให้เรียนรู้ถึงคนหลายๆแบบมากขึ้น บางทีก็งงๆ และบางทีก็คิดไม่ค่อยถึงเท่าไหร่ ว่ามีคนมีความคิดแปลกๆอยู่ด้วย จริงๆแล้วมันก็สนุกไปอีกแบบหล่ะนะคะ

จากนั้นก็ให้เพื่อนรับช่วงแทน แต่ก็ยังไปช่วยในกิจกรรมบางครั้งบางคราว ด้วยความสนุกสนาน แต่ก็ไม่ค่อยบ่อยแล้ว เพราะว่ามีอย่างอื่นให้ทำ จนกระทั่งเรียนจบ เพื่อนๆ บางคนก็เรียนต่อบ้าง ในขณะที่บางคนก็ทำงาน หรือย้ายไปต่างประเทศ ส่วนเพื่อนคนไทยนั้น ก็เรียนต่อบ้าง หรือกำลังรองานบ้างเหมือนกัน ส่วนเพื่อนที่เรียนมาสมัยมัธยมก็กระจัดกระจายแยกย้ายกันไป บางคนก็อยู่ เมลเบิร์นเรียนต่อบ้าง ทำงานบ้าง บางคนก็หนีไปแต่งงาน! อันนี้ทำให้ WilllowTree ต้องหันกลับมาพิจารณาตัวเอง ว่าแก่แล้วหรือยังไงเนี่ย

ถ้าจะพูดไปแล้วชีวิตในวัยเรียนตอนที่สนุกที่สุดก็คงจะเป็นชีวิตตอนอยู่ Geelong ละมั้ง ตอนแรกไม่เคยเชื่อที่คนอื่นพูดว่าทำงานแล้วจะเหนื่อย แต่ตอนนี้พอทำงานเองแล้ว รู้เลยว่า ชีวิตทำงานไม่เหมือนอย่างที่คิดไว้ แต่ก็ยังสนุกมากๆอยู่ดี ถึงจะยุ่งกับงาน จนไม่ค่อยมีเวลาเหมือนก่อน แต่ก็ยังหาทางทำตัวเองให้สนุกโดยการขีดๆเขียนๆไปเรื่อยเปื่อย เป็นการพักสมองจากเรื่องเครียดๆได้ดีทีเดียวค่ะ





>> กลับไปหน้าเดิมค่ะ...



























| HOME | WORK'S EXPERIENCE | SIGN & VIEW GUESTBOOK |

© 2001 "Complain or Opinion" Created and Published by JaRuWaN yUnG-yUeN All rights reserved.
 
Hosted by www.Geocities.ws

1