COMPLAIN OR OPINION

22 เมษายน 2546 :: by WillowTree

"นักข่าวหรือว่าทำทัวร์? เมื่อเจ้านายจะไปจีน"

"งานของเราเนี่ย เหมือนกับทำทัวร์เลยเนอะ"
นี่เป็นประโยคที่บ่นขึ้นลอยๆของ ตากล้องสุดหล่อลูกสองที่เป็นหนึ่งในเจ้านายของฉัน …. ซึ่งตอนแรกฉันก็ยังไม่ค่อยเก็ทว่าเค้าพูดอะไร จนกระทั่งเค้าอธิบายให้ฟัง เลยมาคิดว่าจริงของเค้าแฮะ

เรื่องของเรื่องก็มีอยู่ว่า หนึ่งในงานของนักข่าวสายต่างประเทศ*นั้นก็คือต้องคอยทำวีซ่าอยู่ตลอดเวลา จนเรียกได้ว่า ว่างเมื่อไหร่ก็ต้องไปทำวีซ่าเมื่อนั้น ซึ่งฉันเชื่อว่าไม่ว่าที่ไหนๆก็น่าจะเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็น NHK, AP หรือที่ไหนก็ตามที่มีออฟฟิศอยู่ในเมืองไทยและต้องไปตามประเทศเพื่อนบ้านต่างๆ และการทำวีซ่านั้นก็ปวดหัวไม่น้อยเลยทีเดียว โดยเฉพาะการไปขอวีซ่าจากประเทศที่ไม่ค่อยปลอดภัยอย่าง อินโดนีเซีย อินเดีย หรือแม้กระทั่งคูเวตหรือจีน เพราะว่าเจ้าหน้าที่สถานทูต หรือออฟฟิศที่ต้องไปติดต่อด้วยนั้น บางทีก็แย่กว่าที่เมืองไทยซะอีก

ล่าสุดเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมานี้ ตากล้องของฉันที่เพิ่งกลับจากอัมมันมาหยกๆนั้น มีอันต้องไปปักกิ่ง เพื่อไปประจำออฟฟิศที่ปักกิ่งชั่วคราว (เพราะตากล้องของปักกิ่งไปอยู่ที่ไหนซักแห่งในตะวันออกกลาง) หลังจากที่พี่แกส่งภาษาจีนตามสายโทรศัพท์ประมาณสองวันก็มาบอกกับฉันว่า "จะเอาวีซ่าจีนนะจ๊ะสุดสวย" ด้วยความที่ไม่เคยคิดว่าจะต้องมีธุระจะต้องไปเมืองจีน เนื่องจากว่าทางบริษัทมีออฟฟิศประจำอยู่ที่ปักกิ่งอยู่แล้ว ทางบริษัทที่กรุงเทพเลยไม่มีฟอร์มขอวีซ่าเก็บไว้และไม่เคยต้องติดต่อกับทางสถานทูตจีนมาก่อนเลย ฉันซึ่งตอนนั้นนั่งเฝ้าออฟฟิศกับเค้าสองคนก็รีบบึ่งไปสถานทูตจีนแถวรัชดา ณ เช้าวันนั้นเลย

วีซ่าเซคชั่นของ จีนนั้นเปิดแค่ 2 ชั่วโมงครี่งค่ะ 9 โมงเช้าถึง 11โมงครึ่ง ….ซึ่งถือว่าสั้นมากๆเลย ส่วนที่อื่นนั้นบางที 8โมงครึ่ง ถึง เที่ยงนั้น ฉันก็ถือว่าสั้นแล้ว ส่วนเวลารับวีซ่าของทางจีนนั้นก็แค่ 40 นาทีคือ บ่ายสามโมง ถึง สามโมงสี่สิบ ฉันก็ยังสงสัยอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ว่า พวกเค้าทำงานกันแบบไหนกันนะ… (มารู้ทีหลังจากเจ้านายที่เคยไปอยู่เมืองจีนมาก่อนว่า ที่เมืองจีนแย่กว่านี้อีก ไม่ทำงานทำการกันเลย)

ก่อนหน้าที่จะไปสถานทูตนั้นก็ได้มีการโทรศัพท์ไปถามข้อมูลก่อนตามปกติ … ซึ่งก็ไม่ค่อยได้ประโยชน์อะไรนัก เพราะคนรับสายเหมือนกับเพิ่งจะตื่นนอน … พอไปถึงก็เดินไปที่ประตูสถานทูต ซึ่งคนเฝ้าประตูก็ทำหน้าบอกบุญไม่รับ บอกว่าให้ไปที่ตึกข้างๆที่ชั้น 4 ซี่งเป็นแผนกวีซ่า หลังจากขอบคุณตามประสาคนที่มีมารยาทดีเหลือเกินแล้ว ฉันก็เดินไปยังตึกที่ว่านั่นด้วยความงงๆ เพราะไม่เคยเห็นว่าสถานทูตไหน จะมีแผนกต่างๆแยกกันคนละตึกอย่างนี้เลย สภาพตึกที่เห็นนั้นทำให้ฉันผงะไปพักนึง เพราะตึกนั้นดูเหมือนกับเป็นตึกร้าง…ถ้าไม่มีคนยืนหน้าตึกประปราย ฉันก็คงคิดว่าโดนเจ้าหน้าที่หลอกเข้าแล้วกระมัง ฉันยืนเบียดกับคนอีกหลายๆคนอยู่บนลิฟต์ที่ค่อนข้างโคลงเคลง ออกไปยังชั้น 4 สภาพภายในแผนกนั้นก็จี๊น จีน คือมีกรงเหล็กกั้น มีคนจีนคุยกันเสียงดังเต็มไปหมด เจ้าหน้าที่ก็คุยกันบ้าง ไม่สนใจคนที่เดินเข้ามาถามข้อมูลซักเท่าไหร่ ฉันเดินเข้าไปขอแบบฟอร์มวีซ่าที่ตู้ Information … ถามเจ้าหน้าที้ตามธรรมเนียมว่า ถ้าจะขอ journalist visa นั้นจะทำยังไงบ้าง …คุณเจ้าหน้าที่สาวน้อยหน้าแฉล้ม ไม่รู้เรื่องค่ะ… เค้าให้เบอร์โทรศัพท์มา 1 เบอร์บอกว่า เป็นเบอร์ฝ่ายข่าว ให้ติดต่อเอาเอง … หลังจากที่ได้แบบฟอร์มและเบอร์โทรศัพท์มาอย่างงงๆแล้ว ฉันก็กลับไปที่ออฟฟิศ เพื่อกรอกรายละเอียดเพิ่มเติม … และได้โทรไปเบอร์ที่เค้าให้มา ปรากฎว่า…เบอร์ที่โทรไปมันเป็นแผนก วัฒนธรรมค่ะ!!! อึ้งกินอีกแล้ว ทางปลายสายก็บอกว่าให้โทรไปแผนกวีซ่า เค้าไม่รู้เรื่อง แถมยังดูเหมือนจะฉุนฉันที่ คุยกับเค้าไม่รู้เรื่อง จนบัดนี้ฉันก็ยังงงอยู่ว่า ฉันหรือเขากันแน่ ที่คุยกันไม่รู้เรื่อง ฉันว่าฉันพูดภาษาอังกฤษดีแล้วนา …. หลังจากที่วางสายกับเจ้าหน้าที่แผนกวัฒนธรรมแล้ว ฉันเลยโทรไปแผนกวีซ่าอีกครั้งนึง พยายามต่ออยู่ ครึ่งชั่วโมง ไม่มีใครรับสาย…ด้วยความหงุดหงิดเลยฟ้องเจ้านาย เค้าบอก มันปกติอย่างนี้แหละ นี่คือวิธีทำงานของคนจีน สงสัยไปเจียะเต๊อยู่ละมั้ง !

วันรุ่งขึ้นหลังจากที่ทาง ปักกิ่งคอนเฟิร์มแล้วว่า ทางกระทรวงการต่างประเทศจีนส่งจดหมายอนุญาตทำวีซ่าให้เจ้านายแล้ว ฉันกับเจ้านายก็รีบบี่งไปที่สถานทูตอีกครั้ง ..เจ้านายอึ้งเหมือนกับที่ฉันเพิ่งอึ้งไป เมื่อเห็นสภาพของที่ทำงาน และยิ่งอึ้งกว่าเมื่อเห็นว่า เจ้าหน้าที่แผนกวีซ่านั้นไม่ได้เรื่องเอาซะเลย วันนั้นฉันเจอนักข่าวจาก Fox TV ที่มาเยี่ยมเพื่อนที่เมืองไทย ซึ่งเพิ่งได้รับคำสั่งจากบริษัทแม่เมื่อวันก่อนให้ไปทำข่าวเดียวกันที่เมืองจีน กำลังมีปัญหากับสาวน้อยหน้าแฉล้มคนเดิม ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ฉันก็เลยอาสาคุยให้ เพราะดูเหมือนว่า เค้ากำลังมีปัญหาด้านการสื่อสารกันอยู่ ปรากฎว่า สาวคนนั้นที่ควรจะรู้ข้อมูลเยอะที่สุดเพราะนั่งตู้ information ไม่รู้เรื่องอะไรเลย บอกว่าให้ติดต่อมิสเตอร์เจียงอย่างเดียว ด้วยความที่ฉันโมโหความไม่รู้เรื่องของหล่อน ฉันก็เลยถามว่า อีตาเจียงนั่นอ่ะ ติดต่อให้ได้มั้ย มันสิบโมงครึ่งแล้วนะ หล่อนเลยตอบมาว่า หาไม่เจอ แต่ขอให้รอเพราะจะลงมาแน่นอน .. และมีการบอกว่าให้ไปต่อคิวที่ช่องถัดไปก่อนนะ เผื่อจะบอกได้ ฉันก็ไปที่ช่องวีซ่าที่มีตัวเลขบัตรของฉันโชว์หราอยู่ ..ขอบอกว่าเจ้าหน้าที่ช่องนั้น เป็นสาวน้อยที่นั่งฟังวอร์คแมนอยู่ค่ะ (ทำงานกันยังไงเนี่ย!!!~) ฉันต้องพูดอยู่สองสามครั้งกว่าหล่อนจะเงยหน้ามา และเอาหูฟังออกจากหู พอเห็นแบบฟอร์มของเจ้านายฉันที่ยื่นออกไป หล่อนก็ทำหน้าไม่รู้เรื่อง เรียกให้อาเจ้ช่องข้างๆมาคุยด้วยวาจาไม่ค่อย สุภาพซักเท่าไหร่นัก หลังจากที่เถียงกันอยู่นานกว่า 5 นาที ฉันก็บอกว่า ให้โทรหาคนที่สามารถคุยกันรู้เรื่องมาหน่อย เพราะว่าฉันแค่อยากรู้ว่า fax จากเมืองจีนที่อนุมัติวีซ่าให้เจ้านายฉันมาถึงแล้ว แต่ทำไมทำงานกันชุ่ยมากๆไม่มีคนเห็นเลยหรือไง…. เจ้คนนั้นทำหน้าเหมือนกับว่าฉันยุ่งซะเต็มประดา ก่อนที่จะให้เบอร์โทรศัพท์มา บอกว่าให้โทรไปหาคนนี้ ฉันก็ถามว่าคนนี้เนี่ยใคร ..เค้าก็บอกว่าคนนี้แหละ รู้เรื่อง ชื่อนี้ ฉันก็อ้าว อีตามิสเตอร์เจียงหล่ะ …เค้าก็บอกว่า ต้องโทรหาคนนี้ก่อน แล้วเค้าจะบอกมิสเตอร์เจียงเอง ฉันก็เดินออกมาด้วยความหงุดหงิด เพราะว่าถ้าบอกมาแต่แรกฉันคงไม่ต้องแสดงอารมณ์มากขนาดนี้

ตลอดเวลาที่ฉันเถียงกับพวกเค้า เจ้านายของฉันที่อารมณ์ร้อนตามประสาวัยรุ่น(ตอนปลาย) กลับสงบปากสงบคำได้อย่างไม่น่าเชื่อ คงจะชินกับพวกคนจีนซะแล้ว สรุปว่าวันนั้นหลังจากเปลืองน้ำลายไปหลายถัง และได้เรียนรู้ถึงความชุ่ยของเจ้าหน้าที่สถานทูตจีนแล้วถึงขนาดที่ว่า ไม่รู้จักเบอร์เพื่อนร่วมงานที่ต้องประสานงานกัน ถึงขนาดต้องถามฉันเลยเนี่ย อันนี้ไม่เรียกว่าชุ่ยก็ไม่รู้ว่าจะเรียกยังไงแล้ว เจ้านายฉันก็ได้วีซ่ามาเชยชมสมใจ…. ส่วนนักข่าวของ fox ที่บังเอิญเป็นเพื่อนกับช่างภาพอิสระที่คุ้นเคยกับเราดีนั้น นัยว่าไม่สามารถทำวีซ่าได้ ทั้งๆที่บริษัทแม่เค้าส่งจดหมายมาเป็นลายลักษณ์อักษรแล้ว… น่าสงสารซะจริง…ทำงานคนเดียวซะด้วย ก็ได้แต่หวังว่าคงจะได้เจอกันอีกเร็วๆนี้ จะได้ถามชื่อซะเลย เผื่อไปเที่ยวสิงคโปร์จะได้มีที่ซุกหัวนอน

จริงๆแล้วเรื่องนี้ยังมีอีกยาวค่ะ เล่ายังไงก็ยังเล่าไม่หมด นี่ยังไม่รวมถึงการขอวีซ่าคูเวตซึงมีปัญหาเยอะจนตอนนี้สามารถบอกได้เลยว่า คนที่ดีลกับเรากำลังสาปแช่งเราอยู่แน่นอน ไว้ตอนหน้าจะมาเล่าให้ฟังต่อค่ะ เรื่องวีซ่าคูเวต และสงครามฝีปากระหว่างเพิ่อนร่วมงานฉัน กับ มิสบูไทน่าที่เป็นเจ้าหน้าที่แผนก media ของกระทรวงต่าวประเทศคูเวตค่ะ …





>> กลับไปหน้าเดิมค่ะ...:)

| HOME | WORK'S EXPERIENCE | SIGN &VIEW GUESTBOOK |

© 2001 "Complain or Opinion" Created and Published by JaRuWaN yUnG-yUeN All rights reserved.
 
Hosted by www.Geocities.ws

1