หน้าแรก I ประวัติพระพุทธเจ้า I บททำวัตรเช้า-เย็น แปลI จิตสังเขป I ตู่มือมนุษย์I การฝึกใจ l ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ I ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก I
พุทธมามะกะโฮมเพจ

 

 

คู่มือมนุษย์

 

"พุทธทาส อินฺทปัญฺโญ"

 

 

ท่านชอบพุทธศาสนาในเหลี่ยมไหน? (ส่วนที่ ๑)

ถ้าเราเปิดหนังสือทุกเล่มที่เขียนกันในสมัยปัจจุบัน อันว่าด้วยต้นเหตุของการเกิดศาสนา แล้ว จะเห็นว่าเขาเขียนไว้เหมือนๆ กัน ตรงกันที่ว่า คนป่าดั้งเดิมกลัวฟ้าผ่า ฟ้าร้อง กลัวความมืด กลัวพายุ กลัวสิ่งต่างๆที่อยู่เหนือความเข้าใจหรือความต้านทานของคนป่าเหล่านั้น และวิธี ที่จะหลบหลีกอันตรายก็คือต้องแสดงอาการยอมแพ้ หมอบกราบอ้อนวอนบูชา แล้วแต่ คนฉลาด ที่สุดในสมัยนั้นเห็นว่าจะต้องทำตามที่ตนนึกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือผีเหล่านั้นจะชอบใจ
นี่นับว่า ศาสนาเกิดขึ้นมาในโลกด้วยอำนาจของความกลัวและมีการปฏิบัติไปด้วยความกลัว

 


ความกลัวของคนชั้นหลังๆ
เลื่อนสูงขึ้นมาถึงกลัวความทุกข์
ชนิดที่อำนาจทางวัตถุช่วยไม่ได้
เช่น ความเกิดแก่ เจ็บ ตาย
ความหม่นหมองมืดมัวเพราะ
อำนาจของความอยากความโกรธ
ความหลงผิด

ถึงแม้คนเราจะมีอำนาจหรือเงินทองสักเท่าไหร่ก็ไม่สามารถระงับอาการอันโหดร้ายของความทุกข์
เหล่านั้นได้ประเทศอินเดียเป็นประเทศที่เจริญด้วยนักคิดนักค้นคว้าผู้มีสติปัญญาทั้งหลาย
จึงได้ละทิ้งการไหว้บรรดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาทำการค้นคว้าหาวิธีเอาชนะความเกิดแก่ เจ็บ ตายหรือเอาชนะความอยาก
ความโกรธ ความหลงผิดให้ได้นี่นับว่าเป็นบ่อเกิดของศาสนาที่สูง
ขึ้นไปในทางปัญญาในที่สุดก็ได้พบวิธีที่จะเอาชนะความเกิดแก่ เจ็บ ตายหรือเอาชนะกิเลส
ต่างๆ ได้

สำหรับพระพุทธศาสนาก็มีมูลมาจากความกลัวแบบหลังนี้เหมือนกันพระพุทธเจ้าเป็นผู้พบวิธี
ที่จะเอาชนะสิ่งที่คนกลัวได้เต็มตามความประสงค์และเกิดวิธีปฏิบัติเพื่อดับความทุกข์ชนิดที่เรียกว่า
พระศาสนา พุทธศาสนาแปลว่า ศาสนาของผู้รู้เพราะ พุทธะแปลว่าผู้รู้คือรู้ความจริงของ
สิ่งทั้งปวงได้ถูกต้องเพราะฉะนั้นพุทธศาสนาจึงเป็นศาสนาที่อาศัยสติปัญญาหรืออาศัยวิชา
ความรู้ที่ถูกต้องเพื่อทำลายความทุกข์และต้นเหตุของความทุกข์เหล่านั้น

การทำพิธีรีตองเพื่อบูชาบวงสรวงอ้อนวอนบรรดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่ใช่พุทธศาสนา
พระพุทธเจ้าไม่รับเข้ามาไว้ในศาสนาของพระองค์เลยเพราะเป็นสิ่งที่น่าขบขันน่าหัวเราะและ
ถือเอาเป็นที่พึ่งแท้จริงไม่ได้ พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธการกระทำเช่นนั้นโดยสิ้นเชิง

มีคำกล่าวในพระพุทธศาสนา"ความรู้ความฉลาด และความสามารถที่จะทำให้สำเร็จประโยชน์
นั่นแหละ เป็นตัวฤกษ์ที่ดีอยู่ในตัวมันเองแล้วดวงดาวในท้องฟ้าจะทำอะไรได้ประโยชน์ที่ควร
จะได้ก็ผ่านพ้นคนโง่ๆที่มัวแต่นั่งคำนวณดวงดาวในท้องฟ้าไปเสียสิ้น"ดังนี้ และว่า"ถ้าน้ำ
ศักดิ์สิทธิ์ในแม่น้ำคงคาฯลฯ จะทำให้คนหมดบาปหมดทุกข์ได้แล้วพวกเต่า ปูปลา หรือหอย
ที่อาศัยอยู่ในแม่น้ำหรือสระศักดิ์สิทธิ์นั้นก็จะหมดบาปหมดทุกข์ไปด้วยน้ำนั้นเหมือนกัน"
หรือ "ถ้าหากว่าคนจะพ้นทุกข์ได้ด้วยการบวงสรวงบูชาอ้อนวอนเอาๆแล้ว ในโลกนี้
ก็จะไม่มีใครมีความทุกข์เลยเพราะว่าใครๆต่างก็บูชาอ้อนวอนเป็น"

โดยเหตุที่ยังมีคนที่มีความทุกข์ทั้งที่ได้กราบไหว้บูชาหรือทำพิธีรีตองต่างๆอยู่ จึงถือว่าไม่เป็น
หนทางที่จะเอาตัวรอดได้ฉะนั้นเราจะต้องพิจารณาโดยละเอียดลออให้รู้ให้เข้าใจว่าอะไรเป็น
อะไร แล้วปฏิบัติต่อสิ่งนั้นๆให้ถูกต้อง

พุทธศาสนาไม่ประสงค์การคาดคะเนหรือทำอย่างที่เรียกว่าเผื่อจะเป็นอย่างนั้นเผื่อจะเป็น
อย่างนี้เราจะทำไปตรงๆตามที่มองเห็นด้วยปัญญาของตัวเองโดยไม่ต้องเชื่อคนอื่นแม้จะมี
คนอื่นมาบอกให้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเชื่อเขาทันทีเราจะต้องฟังและพิจารณาจนเห็น
จริงว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปได้แล้วจึงจะเชื่อและพยายามทำให้ปรากฏผลด้วยตนเอง

ศาสนาเหมือนกับของหลายเหลี่ยมดูเหลี่ยมหนึ่งมันก็เป็นไปอย่างหนึ่งดูอีกเหลี่ยมหนึ่งก็เป็นไป
อีกอย่างหนึ่งแล้วแต่ว่าบุคคลนั้นจะถือหลักการคิดในแนวไหนก็จะเห็นศาสนาเดียวกันในลักษณะ
ที่แตกต่างกันได้แม้พุทธศาสนาก็ตกอยู่ในลักษณะเช่นนี้

คนเราย่อมเชื่อความคิดเห็นของตัวเอง เพราะฉะนั้นความจริงหรือสัจจะสำหรับคนหนึ่งๆ นั้น
มันอยู่ตรงที่ว่าเขาเข้าใจและมองเห็นเท่าไรเท่านั้นเองสิ่งที่เรียกว่า"ความจริง"ของแต่ละคน
ไม่เหมือนกันคนเราเข้าถึงปัญญาหนึ่งๆได้ตื้นลึกกว่ากันหรือด้วยลักษณะที่ต่างกันและด้วย
สติปัญญาที่ต่างกันสิ่งใดที่อยู่เหนือสติปัญญาความรรู้ความเข้าใจของตนหรือตนยังไม่เข้าใจ
คนนั้นก็ไม่ถือว่าเป็นความจริงของเขาถ้าเขาจะพลอยว่าจริงไปตามผู้อื่นเขาก็รู้สึกอยู่แก่ใจว่า
ไม่เป็นความแท้ความจริงของเขาเลย

ความจริงของคนหนึ่งๆนั้น จะเดินคืบหน้าได้เสมอตามสติปัญญาความรู้ความเข้าใจที่เพิ่มขึ้น
ทุกๆ วัน จนกว่าจะถึงความจริงขั้นสุดท้ายคนเราก็มีการศึกษามาต่างกันและมีหลักพิจารณา
สำหรับจะเชื่อต่างๆกัน ฉะนั้น ถ้าจะเอาสติปัญญาที่ต่างกันมาดูพุทธศาสนาก็จะเกิดความคิด
ความเห็นต่างกันไปทั้งนี้เพราะว่าพุทธศาสนาก็มีอะไรๆครบทุกอย่างที่จะให้คนดู

ดังที่ได้กล่าวมาแล้วพุทธศาสนาคือวิธีปฏิบัติเพื่อเอาตัวรอดจากความทุกข์โดยการทำให้รู้
ความจริงว่าอะไรเป็นอะไรตามที่พระพุทธเจ้าท่านทรงทำได้ก่อนและได้ทรงสอนไว้
แต่คัมภีร์ทางศาสนานั้นย่อมมีอะไรๆเพิ่มขึ้นได้ทุกโอกาสที่คนชั้นหลังเขาจะเพิ่มเติมลงไป
พระไตรปิฎกของเราก็ตกอยู่ในฐานะอย่างเดียวกันคนชั้นหลังๆเพิ่มเติมข้อความเข้าไป
ตามที่เห็นว่าจำเป็นสำหรับยุคนั้นๆเพื่อจะช่วยให้คนมีศรัทธามากขึ้นๆหรือกลัวบาปรักบุญ
มากขึ้น ซึ่งอาจจะมากเกินขอบเขตจนกระทั่งเกิดการเมาบุญกันใหญ่

แม้แต่พิธีรีตองต่างๆที่เพิ่งเกิดขึ้นและเกี่ยวเนื่องกับพระพุทธศาสนาเพียงเล็กๆน้อยๆ ก็พลอย
ถูกนับเข้าเป็นพุทธศาสนาไปด้วยอย่างน่าสมเพชเช่น การจัดสำรับคาวหวานผลหมากรากไม้
เพื่อเซ่นวิญญาณของพระพุทธเจ้าอย่างที่เรียกว่าถวายข้าวพระเป็นต้น มันเป็นสิ่งที่มีไม่ได้
ตามหลักของพุทธศาสนาแต่พุทธบริษัทบางพวกเข้าใจว่านี่เป็นพุทธศาสนาและได้สอนกัน
ถือกันอย่างเคร่งครัด

พิธีรีตองต่างๆทำนองนี้ ได้เกิดขึ้นอย่างหนาแน่นมากมายจนห่อหุ้ม
ของจริง หรือความมุ่งหมายเดิมให้สาปสูญไปขอยกตัวอย่างเช่น
ในเรื่อง การบวชนาคก็เกิดพิธีทำขวัญนาคเชื้อเชิญแขกมาเลี้ยงดู
กันอย่างเมามายเอิกเกริกทำพิธีทั้งที่วัดและที่บ้านบวชไม่กี่วัน
ก็สึกออกมาแล้วกลายเป็นคนเกลียดวัดยิ่งไปกว่าเดิมก็มี
นี่ขอให้คิดกันดูเถิดว่าสิ่งไม่เคยมีในครั้งพุทธกาลก็ได้มีขึ้น

การบวชสมัยพระพุทธเจ้านั้นหมายความว่าบุคคลใดที่ได้รับอนุญาตจากบิดามารดาแล้วก็ปลีกตัว
จากเรือนเป็นคนที่ทางบ้านตัดบัญชีทิ้งได้ไปอยู่กับพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์โอกาสเหมาะสม
เมื่อไรท่านก็บวชให้โดยมิได้พบหน้าบิดามารดาญาติพี่น้องเลยจนตลอดชีวิตก็ยังมีแม้บางรายจะ
มีกลับมาเยี่ยมบิดามารดาบ้างก็ต่อโอกาสหลังซึ่งเหมาะสมแต่ก็มีน้อยเหลือเกินในพุทธศาสนามี
ระเบียบว่ามาบ้านได้ก็ต่อเมื่อมีเหตุผลสมควรและพึงทราบไว้ด้วยว่าพวกที่บวชนั้นไม่ได้เวียนมา
บ้านไม่ได้ บวชในที่ต่อหน้าบิดามารดาไม่ได้ ฉลองกันเป็นการใหญ่แล้วไม่กี่วันสึกสึกแล้วก็ไม่มี
อะไรดีขึ้นกว่าเดิม อย่างที่เป็นกันอยู่ในเวลานี้

เราหลงเรียกการทำขวัญนาคและการทำพิธีต่างๆตลอดถึงการฉลองอะไรๆเหล่านั้น ว่าเป็น
พุทธศาสนาแล้วก็นิยมทำกันอย่างยิ่งจนหมดเปลืองทรัพย์ของตนหรือของคนอื่นเท่าไรก็ไม่ว่า
พุทธศาสนาใหม่ๆอย่างนี้เกิดมีมากมายแทบจะทั่วไปทุกแห่งธรรมะหรือของจริงที่เคยมีมา
แต่ก่อนนั้นถูกห่อหุ้มโดยพิธีรีตองจนมิดเกิดมุ่งหมายผิดเป็นอย่างอื่นไปเช่นการบวชก็กลายเป็น
เรื่องสำหรับแก้หน้าเด็กหนุ่มๆที่ถูกหาว่าเป็นคนดิบหาเมียยากอะไรเหล่านี้เป็นต้นในบางถิ่น
บางแห่ง ถือเป็นโอกาสสำหรับรวบรวมเงินที่มีผู้นำมาช่วยเป็นการหาทางร่ำรวยเสียคราวหนึ่ง
ถึงอย่างนั้นเขาก็เรียกว่าพุทธศาสนา ใครไปตำหนิติเตียนเข้าก็ถูกหาว่าไม่รู้จักพุทธศาสนา
หรือทำลายศาสนา

อีกเรื่องหนึ่งตัวอย่างเช่นกฐิน พระพุทธองค์ทรงมุ่งหมายจะให้ภิกษุทำจีวรเป็นด้วยตนเอง
ด้วยกันทุกรูปและให้พร้อมเพรียงกันทำด้วยมือของตัวเองในเวลาอันรวดเร็วถ้าผ้าที่ช่วยกันทำ
นั้นมีผืนเดียวก็มอบให้เป็นกรรมสิทธิ์ของภิกษุองค์ใดองค์หนึ่งซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าอาวาส
แต่เป็นภิกษุซึ่งหมู่สงฆ์เห็นว่ามีคุณสมบัติสมควรที่จะใช้จีวรผืนนั้นได้หรือขาดแคลนผ้าจะใช้
สอยให้เป็นผู้ใช้สอยจีวรผืนนั้นได้ในนามของสงฆ์ทั้งหมด

พระองค์ทรงมุ่งหมายจะให้พระทุกรูปหมดความถือเนื้อถือตัวไม่ว่าจะเป็นพระผู้น้อยสมภาร
เจ้าวัดหรือพระผู้ใหญ่มีศักดิ์มีเกียรติอะไรก็ตามต้องลดตัวลงมาเป็นกุลีกันหมดในวันนั้นเพื่อ
จะมาระดมกันกะผ้าตัดผ้าเย็บผ้าต้มแก่นไม้ทำสีย้อมผ้าและอะไรๆ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ให้จีวรนั้น
สำเร็จได้ในวันนั้นเพราะเป็นการรวบรวมเอาเศษผ้ามาต่อกันเป็นจีวรพระพุทธเจ้าท่านทรง
มุ่งหมายให้สิ่งที่เรียกว่ากฐินเป็นอย่างนั้นคือไม่ต้องไปเกี่ยวกับฆราวาสเลยก็ได้แต่เดี๋ยวนี้กฐิน
กลายเป็นเรื่องมีไว้สำหรับประกอบพิธีหรูหราหาเงินเอิกเกริกเฮฮาสนุกสนานพักผ่อนหย่อนใจ
โดยไม่ได้รับผลสมความมุ่งหมายอันแท้จริงแต่กลับใช้เวลามากเปลืองเงินมากยุ่งยากมาก
จนกลายเป็นโอกาสสำหรับสำมะเลเทเมาคือไปทอดกฐินเพื่อกินเหล้ากันปลาเล่นไพ่เฮฮากัน
อย่างสนุกสนานหรือไม่ก็มุ่งหน้าหาเงินกันเท่านั้น

พุทธศาสนาเนื้องอกทำนองนี้ มีขึ้นใหม่ๆมากมายหลายร้อยอย่างโดยไม่ต้องระบุชื่อเพราะมาก
จนระบุไม่ไหวแต่อยากจะให้เชื่อว่า"พุทธศาสนาเนื้องอก"เป็นเนื้อร้ายชนิดหนึ่งซึ่งงอกขึ้นๆ จน
ปิดบังห่อหุ้มเนื้อดีหรือแก่นแท้ของพุทธศาสนาให้ค่อยๆลบเลือนไป ด้วยเหตุฉะนี้แหละ
สิ่งที่เราเรียกว่าพุทธศาสนาๆจึงมีเพิ่มขึ้นมากมายหลายประเภทจากตัวแท้ของศาสนาที่มีอยู่
ดั้งเดิม เกิดเป็นนิกายใหญ่และนิกายย่อยๆอีกตั้ง ๒๐-๓๐นิกาย ที่กลายเป็นนิกายตันตระ
ที่เนื่องกับกามารมณ์ไปก็มีจำเป็นที่จะต้องแยกแยะให้รู้ตักตัวพุทธศาสนาเดิมแท้ไว้เสมอ
จะได้ไม่หลงงมงายยึดถือเปลือกที่หุ้มภายนอกหรือติดแน่นในพิธีรีตองต่างๆจนกลายเป็นการ
ประพฤติผิดไปจากความมุ่งหมายเดิมที่ถูกต้องยิ่งขึ้น

 

"พุทธทาส อินฺทปัญฺโญ"


-----------------------------------------------------------------------

Next : Page 2>>

หน้าแรก I ประวัติพระพุทธเจ้า I บททำวัตรเช้า-เย็น แปลI จิตสังเขป I ตู่มือมนุษย์I การฝึกใจ l ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ I ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก I

Non Copyright 2002. Buddhamamaka Home Page. All Rights Reserved. Comment or suggestion : [email protected]

 

Hosted by www.Geocities.ws

1