เซ็ต WIFI ยังไงให้ออกมาดีที่สุดเท่าที่ Wireless Router จะทำได้

การที่เราจะปรับแต่งตัว Wireless Router ให้ได้มีประสิทธิภาพ คุณผู้อ่านทั้งหลายจะต้องใช้ Browser เช่น Internet Explorer / Google Chrome / Firefox ทำการ login เข้าไปในตัว Router เพื่อปรับแต่งค่าต่างๆ ซึ่งแต่ละยี่ห้อ ก็จะมีหน้าตาไม่เหมือนกัน ดังนั้น เหมาะกับคนที่พอจะเล่นและปรับแต่ง Wireless Router เป็นอยู่แล้ว เพราะการปรับแต่งอาจจะทำให้ Router เสียหายได้

ค้นหาช่องสัญญาณที่ว่าง แล้วย้ายไปใช้ Channel ที่ว่างอยู่

เราสามารถใช้โปรแกรม Acrylic WIFI สำหรับเครื่อง PC หรือ WIFI Explorer สำหรับเครื่อง Mac ในการ Scan หาว่าตรงจุดที่คุณใช้งานอยู่ มี Wireless LAN ของใครปล่อยอยู่บ้าง แล้วแต่ละคนใช้ Channel ไหนบ้าง จากนั้นก็ย้ายไปใช้ Channel ที่ว่างที่สุด แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าอยากจะสักย้ายก็ย้ายได้


Wireless Channel ในประเทศไทยมีทั้งหมด 11 Channel แต่ไม่ได้แปลว่าจะใช้ได้ 11 ช่อง เพราะสัญณาญ Wireless LAN จะมีความกว้างของช่องสัญญาณประมาณ 20 – 40 Mhz ตามแต่มาตรฐานที่ใช้ (ถ้าใช้มาตรฐาน IEEE802.11ac จะทะลุไปถึง 80Mhz เลยทีเดียว) Wireless 1 ช่องสัญญาณจะกินประมาณ 5Mhz นั่นแปลว่า เมื่อเราเลือกใช้ Wireless LAN 1 Channel จะกินความกว้างประมาณ 4 ช่อง (2 ช่องทางซ้าย และอีก 2 ช่องทางขวา) ประกอบกัน เราจะต้องเหลือ Bandwidth ประมาณ 5Mhz เพื่อทำเป็น Guardband (ช่องว่างสัญญาณเพื่อป้องกันปลายคลื่นของแต่ละ Channel มาทับซ้อนกัน) ดังนั้น เราจะมี Channel ให้ใช้ได้แค่ 3 Channel จาก 11 Channel ครับ นั่นก็คือ ช่อง 1 , 6 และ 11 เท่านั้นครับ ยิ่งถ้าเราใช้ Wireless LAN แบบมาตรฐาน 802.11N ที่สามารถขยายความกว้างช่องสัญณาณเป็น 40Mhz เนี่ย เราจะเหลือ Channel ให้ใช้ได้แค่ 2 Channel เท่านั้นนั่นก็คือ 3 กับ 11
เมื่อ Wireless Channel ซ้อนทับกัน ไม่ว่าจะทับกันเต็มๆ หรือทับกันนิดหน่อย สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ Interfere หรือ คลื่นรบกวนนั่นเอง ถ้าเกิดนิดๆหน่อยๆ ก็จะทำให้เกิด Delay ในการใช้งานเช่นค่า Ping เพิ่มสูงขึ้น ถ้าชนกันหนักเลย ตัวอุปกรณ์ก็จะสั่งหยุดส่งข้อมูลทั้ง 2 ข้างแบบ Random แล้วค่อยกลับมาเชื่อมต่อได้ไหม หลายๆคนน่าจะเคยเป็นอาการนี้กัน แบบกดเรียกข้อมูลแล้วไม่มา ซักพักก็พรวดออกมาเลยอะไรแบบนี้
วิธีแก้ถ้าเกิดพื้นที่นั้น ไม่มี Channel ว่างๆเหลือแล้ว

เปลี่ยนมาใช้ อุปกรณ์ที่รองรับ Wireless LAN แบบ 5Ghz เป็นหนทางเดียว ถ้าจะให้อธิบายง่ายๆ รถติดเพราะถนนไม่พอ ในเมื่อลดจำนวนรถที่จะวิ่งไม่ได้ ทางแก้ทางเดียวก็คือ ต้องเพิ่มถนนใช่ไหมล่ะครับ Wireless LAN ความถี่ 5Ghz เกิดขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาของ Wireless LAN ที่ความถี่ 2.4Ghz หลายอย่างด้วยกัน อย่างแรกก็คือ จำนวน Channel ที่มหาศาลทำให้ลดโอกาสชนกันของ Channel แถมแต่ละ Channel ก็กว้างถึง 20Mhz ไม่เหมือน Wireless 2.4Ghz ที่แต่ละ Channel กว้างแค่ 5Mhz แถมความเร็วที่มากกว่าทำให้รองรับ Client ได้เยอะกว่ามาก แต่อย่างไรก็ตาม การย้ายระบบเครือข่าย Wireless LAN ให้รองรับความถี่ 5Ghz นอกจากเปลี่ยนตัว Wireless Router หรือ Access Point แล้ว ยังต้องเปลี่ยน Client หรือตัวรับเช่น Notebook , Smartphone , Tablet ให้รองรับความถี่ 5Ghz เหมือนกันด้วย ไม่อย่างนั้นเปลี่ยนไปก็ไม่มีประโยชน์

เราควรใช้ Bandwidth ที่ 20Mhz หรือ 40Mhz

ความเร็วสูงสุดในการส่งข้อมูลแปรผันกับตัว Bandwidth นี่แหละครับ ยิ่งกว้าง ก็ยิ่งรองรับความเร็วได้เยอะ เอาง่ายๆ อย่างมาตรฐาน IEEE802.11N เนี่ย ถ้าใช้ 20Mhz ก็เร็วแค่ 150Mbps แต่ถ้าขยายเป็น 40Mhz ก็จะกระโดดไปที่ 300Mbps เลยนะครับ วิธีเลือกง่ายๆ ถ้าคุณสแกนพื้นที่ดูแล้ว พบว่า ไม่มีใครมากวนก็ใช้ 40Mhz ไปได้เลยครับ แต่ถ้ามีคนอยู่เยอะ การปรับลด Bandwidth เหลือ 20Mhz จะช่วยลดโอกาสการชนกันของสัญญาณได้มากกว่า

ความเร็วของ Wireless LAN นั้นจะถูกหารโดยจำนวนอุปกรณ์ที่มาเชื่อมต่อ
มาตรฐานของ Wireless มีเยอะแยะ แต่สงสัยไหมครับ ทำไมต้องระเบิดความเร็วไปตั้งขนาดนั้นทั้งๆที่ ความเร็ว Internet ยังอยู่ที่แถวๆ 30 – 50 Mbps เอง ต่อให้เราเชื่อมต่อได้ 600Mbps ก็ไม่ได้แปลว่า Internet เราจะเร็วขึ้นซักหน่อย ที่อุปกรณ์ Wireless LAN มีออกแบบให้มี Bandwidth เพิ่มมากขึ้น ก็เพราะว่าความเร็วทั้งหมดจะถูกหารโดยเครื่องที่เชื่อมต่อและใช้งานกันอยู่ในขนาดนั้น สมมติว่า เรามี Wireless มาตรฐาน N ที่ความเร็ว 300Mbps แต่มี 5 เครื่องใช้งานแบบเต็มที่พร้อมกัน ความเร็วของแต่ละเครื่องก็จะลดลงเหลือ 60Mbps (คำนวนตามทฤษฏี) ดังนั้น ถ้าการเลือกอุปกรณ์ไร้สายที่นำมาใช้งาน จะต้องคำนวนถึงพื้นที่ และ จำนวน Client ที่มาเชื่อมต่อด้วย ว่าน่าจะมีประมาณกี่เครื่อง และแต่ละเครื่องนั้น มีลักษณะการใช้งานแบบไหน บางบ้านใช้อุปกรณ์ที่ทางผู้ให้บริการแถมมา ซึ่งทางผู้ให้บริการเค้าก็แถมตัวที่ราคาประหยัดนั่นแหละครับ ส่วนใหญ่เป็น Wireless N 150Mbps หรือบางคนยังใช้ มาตรฐาน G ที่ความเร็ว 54Mbps อยู่เลย อุปกรณ์พวกนี้นอกจากมี Bandwidth ไม่เพียงพอต่อการใช้งานปัจจุบันแล้ว ตัว CPU และ Ram ของมันยังน้อยมาก ไม่สามารถรองรับจำนวน Client ได้หรอก เอาเข้าจริงแล้ว พวกอุปกรณ์พื้นฐานพวกนี้รองรับ Client ได้ประมาณ 5 – 7 ชิ้นเท่านั้นนะครับ แต่เดี๋ยวนี้ลองดูสิ บ้านนึงมีอุปกรณ์กี่เครื่อง มือถือ / Tablet / Notebook / กล่อง Internet TV / เครื่องเล่นเกม / Smart TV ถ้าใช้งานพร้อมกันย่อมต่อช้าอยู่แล้ว
ถ้าสัญญาณไปไม่ถึงพื้นที่ๆจะใช้งาน จะแก้ไขยังไงดี

ตอนนี้เรามีเทคโนโลยีหลายอย่างในการขยายสัญญาณไร้สายให้ไกลออกไปครับ เช่น Wireless Range Extender : รับสัญญาณ Wireless LAN จากต้นทางเอามาขยายกำลังต่อ ข้อดีคือ ง่าย ข้อเสียคือ ไม่เสถียรและความเร็วจะหายไปครึ่งนึง Power Line Adapter : เป็นเทคนิคที่แปลงสายไฟในบ้านให้ใช้ส่งข้อมูลได้ ข้อดีคือ ไม่ต้องลากสายเลย ข้อเสียคือ ไฟฟ้าเมืองไทยไม่ค่อยเสถียร เพราะลากสายห่วย และที่สำคัญไฟต้องใช้ Phrase เดียวกันในระยะไม่เกิน 150 เมตรถึงจะใช้ได้ดี เปลี่ยนเสาอากาศเพื่มกำลังส่ง : หลายๆคนชอบใช้วิธีนี้เพราะดูราคาถูกสุด แต่ในความเป็นจริงคือแก้ไขอะไรไม่ได้ครับ การเชื่อมต่อ Wireless LAN จะต้องทำงานกันทั้งรับและส่งใช่ไหมครับ นั่นหมายถึง ถ้าคุณเปลี่ยนเสาอากาศ ระยะทางอาจจะไปได้ไกลขึ้น แต่ในความเป็นจริง ตัวมือถือ หรือ อุปกรณ์ของคุณก็ไม่สามารถส่งข้อมูลกลับไปได้อยู่ดี เหมือน Wireless Router ตะโกนหาคุณได้ แต่คุณไม่มีปัญญาตะโกนกลับไปหาได้ ซึ่งถ้าคุณจะเปลี่ยนเสาอากาศ ต้องเปลี่ยนทั้ง ต้นทางและปลายทางครับ
แต่วิธีที่ผมจะแนะนำคือ ลากสาย LAN ไปยังจุดที่จะใช้แล้วตั้งอุปกรณ์อีกตัว จะได้ประสิทธิภาพที่ดีที่สุด ทนทานที่สุด ยั่งยืนที่สุดครับ ลองมาทุกวิธีแล้ว สุดท้ายวิธีนี้ดีที่สุดเลย

การแก้ปัญหาที่ง่ายที่สุด อยู่ที่การย้าย Wireless Router
1.ตำแหน่งอับเกินไป ระบายอากาศไม่ได้ ทำเลยร้อนจน Router เพี้ยน
2.วางตากแดด
3.วาง Router ใกล้กับของที่มันปล่อยคลื่นรบกวนทางวิทยุ เช่น แอร์ ตู้เย็น
4.วางไว้ซะท้ายบ้าน ทั้งๆที่คนใช้งานส่วนใหญ่นั่งอยู่หน้าบ้าน
5.ฝุ่นจับหนาเตอะ ไม่เคยทำความสะอาด (ปัญหาคือ ฝุ่นประเทศไทยเป็นฝุ่นชื้นครับ พอมันลงไปเกาะพวก Mainboard จะเกิดโอกาสช็อตได้ง่ายมาก)
6.และอื่นๆ อีกมาก ลองไปดูกันว่า คุณวาง Wireless Router ในตำแหน่งที่ดีที่สุดหรือเปล่า