เรื่อง
รายการค้าและการวิเคราะห์รายการค้า
รายการค้า
หรือรายการทางบัญชี (Transaction
or Accounting transaction)
หมายถึง
เหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดการโอน
หรือการแลกเปลี่ยนระหว่างหน่วยงานทางการบัญชีหนึ่ง
กับหน่วยงานหรือบุคคลอื่น
ซึ่งมีผลกระทบการดำเนินงานหรือฐานะการเงินของหน่วยงานนั้น
ตัวอย่างของรายการค้า
- การนำเงินสดหรือสินทรัพย์มาลงทุน
เช่น การนำเงินสด ที่ดิน
อาคาร มาลงทุน
ในกรณีที่เป็นบริษัทการลงทุนหมายถึงการจำหน่ายหุ้น
ได้แก่ การจำหน่ายหุ้นสามัญ
หุ้นบุริมสิทธิ
- ซื้อสินทรัพย์ต่าง
ๆ เป็นเงินสดหรือเงินเชื่อ
เช่นอุปกรณ์สำนักงาน ที่ดิน
วัสดุสำนักงาน
เครื่องมือต่าง ๆ เป็นต้น
นอกจากนี้ยังรวมถึงการลงทุนในเงินทุนระยะสั้นหรือระยะยาวด้วย
- ซื้อสินค้าเป็นเงินสดหรือเงินเชื่อ
|
- ขายสินค้าเป็นเงินสดหรือเงินเชื่อ
|
|
|
- ขายบริการเป็นเงินสดหรือเงินเชื่อ
|
- การกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินหรือบุคคลภายนอก
|
- การจ่ายค่าใช้จ่ายต่าง
ๆ เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า
ค่าโทรศัพท์ เงินเดือน
ค่าเช่า ดอกเบี้ยจ่าย
เป็นต้น
|
- เจ้าของกิจการถอนเงินสดหรือสินทรัพย์อื่นไปใช้ส่วนตัว
|
ในการดำเนินงานของธุรกิจที่ไม่ก่อให้เกิดการโอนเงินหรือสิ่งที่มีมูลค่าเป็นเงิน
เช่น การจัดร้านค้าให้สะอาด
สวยงาม
การเชิญชวนต้อนรับลูกค้า
การพาชมสินค้า เป็นต้น
รายการเหล่านี้ถือว่าไม่ใช่รายการค้า
ดังนั้น
จึงไม่มีการนำมาบันทึกในสมุดบัญชีของกิจการ
การวิเคราะห์รายการค้า
(Business Transaction
Analysis)
ในการบันทึกบัญชีนั้น
รายการที่จะนำไปบันทึกจะต้องเป็นรายการค้า
แต่การที่จะนำรายการค้าไปบันทึกบัญชีใดนั้น
จะต้องมีการวิเคราะห์รายการค้านั้นเสียก่อน
ว่ารายการค้าที่เกิดขึ้นนั้นมีผลกระทบต่อจำนวนเงินของสินทรัพย์
หนี้สิน
และส่วนของเจ้าของหรือไม่
อย่างไร
กล่าวคือการเกิดรายการค้าดังกล่าวทำให้สินทรัพย์
หนี้สินและส่วนของเจ้าของ
เพิ่มขึ้นหรือลดลง
ซึ่งการวิเคราะห์รายการค้าที่ถูกต้องจะนำไปสู่การบันทึกบัญชีได้อย่างถูกต้องเช่นกัน
การวิเคราะห์รายการค้าสามารถแสดงการวิเคราะห์ได้ตามรูปแบบของสมการบัญชี
ดังนี้
สินทรัพย์
= หนี้สิน + ส่วนของเจ้าของ
เนื่องจากเมื่อเกิดรายการค้าจะส่งผลกระทบต่อสินทรัพย์
หนี้สิน หรือส่วนของเจ้าของ
เพิ่มขึ้นหรือลดลง
เพื่อให้เป็นแนวทางในการวิเคราะห์รายการค้าได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว
จะขอสรุปหลักเกณฑ์ในการวิเคราะห์รายการค้า
ซึ่งในการวิเคราะห์รายการค้า
ต้องเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงของสมการบัญชี
ไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรสมการบัญชีทั้งด้านซ้ายและด้านขวาจะต้องเท่ากันอยู่เสมอ
เรื่อง
การบันทึกรายการค้าในบัญชีแยกประเภท
ในการบันทึกบัญชีของกิจการจะใช้
"หลักการบัญชีคู่"
คือมีการบันทึกบัญชี 2 ด้าน
คือ ด้านเดบิด และด้านเครดิต
ดังนั้น
รูปแบบของบัญชีจึงต้องประกอบด้วยด้านเดบิต
และด้านเครดิตเช่นกัน
รูปแบบของบัญชีแยกประเภทที่นิยมใช้กันโดยทั่วไปมีลักษณะคล้ายอักษรภาษาอังกฤษตัวที
(T) เรียกว่าบัญชีรูปตัวที (T Account)
เพื่อใช้บันทึกรายการค้าของกิจการ
แบ่งเป็น 2 ด้าน
ด้านซ้ายมือเรียกว่า
ด้านเดบิต (Debit)
ด้านขวามือเรียกว่า
ด้านเครดิต (Credit)
รูปแบบของบัญชีแยกประเภทที่สมบูรณ์แบบที่ใช้โดยทั่วไปมี
2 แบบ คือ
- แบบบัญชีมาตรฐาน
(Standard Ledger Account Form)
- แบบบัญชีแสดงยอดคงเหลือ
(Balance Ledger Account Form)
- ตัวอย่างแบบฟอร์มบัญชีแยกประเภท
แบบบัญชีมาตรฐาน
ชื่อบัญชี
เลขที่บัญชี
ว ด ป |
รายการ |
หน้า
บ/ช |
เดบิต |
ว ด ป |
รายการ |
หน้า
บ/ช |
เครดิต |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ตัวอย่างแบบฟอร์มบัญชีแยกประเภท
แบบบัญชีแสดงยอดคงเหลือ
ชื่อบัญชี
เลขที่บัญชี
ว ด ป |
รายการ |
หน้า
บ/ช |
เดบิต |
เครดิต |
ยอดคงเหลือ |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ส่วนต่าง ๆ
ของบัญชีแยกประเภท มีดังนี้
- ชื่อบัญชี (Account Name)
ใช้เขียนชื่อของบัญชีที่ต้องการจะบันทึกรายการ
ปกติจะเขียนไว้ กึ่งกลาง
ของหน้ากระดาษ
- เลขที่บัญชี (Account
Number)
สำหรับเขียนเลขที่ของบัญชี
เลขที่ของบัญชีจะแสดงแยกเป็นหมวดหมู่ของประเภทบัญชีแต่ละหมวดหมู่
- วันที่ (Date)
สำหรับแสดง วัน เดือน ปี
ของรายการค้าที่เกิดขึ้นตามลำดับก่อนหลังที่เกิดรายการนั้น
- รายการ (Explanation)
ช่องนี้ใช้สำหรับเขียนคำอธิบายรายการว่า
จำนวนเงินที่นำมาบันทึกบัญชีนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร
หรือมาจากไหน
- หน้าบัญชี (Post reference)
สำหรับลงเลขที่หน้าบัญชีของสมุดบัญชีขึ้นต้นที่ใช้บันทึกรายการค้านั้น
มาก่อน
ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการอ้างอิงและตรวจสอบหลักฐานในภายหลัง
- เดบิต (Debit)
สำหรับบันทึกจำนวนเงินของรายการค้าที่ถูกบันทึกบัญชีทางด้านเดบิต
- เครดิต (Credit)
สำหรับบันทึกจำนวนเงินของรายการค้าที่ถูกบันทึกบัญชีทางด้านเครดิต
- ยอดคงเหลือ (Balance)
สำหรับแสดงจำนวนเงินคงเหลือทุกครั้ง
หลังจากที่บันทึกรายการค้า
บัญชีแยกประเภททั้งสองแบบนี้
กิจการสามารถเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสมกับกิจการ
ซึ่งแต่ละกิจการไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน
กิจการที่มีลูกหนี้หรือเจ้าหนี้มาก
ๆ เช่น ธนาคาร
ย่อมต้องการทราบยอดคงค้างของลูกหนี้
หรือเจ้าหนี้อย่างรวดเร็ว
ก็จะเลือกใช้รูปแบบของบัญชีแยกประเภทแบบแสดงยอดดุล
ซึ่งสามารถหายอดคงเหลือได้ทุกวันตามที่ต้องการได้
สำหรับกิจการที่ไม่จำเป็นต้องทราบยอดคงเหลือเป็นประจำทุกวัน
ก็อาจเลือกใช้รูปแบบของบัญชีแยกประเภทแบบมาตรฐานแทน
การจัดหมวดหมู่
และการกำหนดเลขที่บัญชี
เนื่องจากสมุดบัญชีแยกประเภททั่วไป
ประกอบไปด้วยบัญชีต่าง ๆ
จำนวนมาก
ดังนั้นเพื่อที่จะจำแนกบัญชีต่าง
ๆ เหล่านั้นออกเป็นหมวดหมู่
โดยทั่วไปนิยมแบ่งบัญชีออกเป็น
5 หมวด
และกำหนดเลขที่แต่ละหมวดดังนี้
หมวดที่ 1
หมวดสินทรัพย์
เลขที่บัญชีเริ่มต้นด้วยเลข
1
หมวดที่ 2
หมวดหนี้สิน
เลขที่บัญชีเริ่มต้นด้วยเลข
2
หมวดที่ 3
หมวดส่วนของเจ้าของ
เลขที่บัญชีเริ่มต้นด้วยเลข
3
หมวดที่ 4
หมวดรายได้
เลขที่บัญชีเริ่มต้นด้วยเลข
4
หมวดที่ 5
หมวดค่าใช้จ่าย
เลขที่บัญชีเริ่มต้นด้วยเลข
5
ในแต่ละหมวดของบัญชียังประกอบไปด้วยบัญชีต่าง
ๆ จำนวนมาก ดังนั้น
เพื่อความสะดวกในการค้นหาและอ้างอิงจึงได้มีการกำหนดเลขที่ของบัญชีต่าง
ๆ ย่อยลงไปอีก
การกำหนดเลขที่ให้กับบัญชีต่าง
ๆ นี้เรียกว่า
"ผังบัญชี"
(Chart of Account)
- ผังบัญชี หมายถึง
รายการแสดงชื่อและเลขที่บัญชีทั้งหมดที่ใช้ในระบบบัญชีของกิจการโดยจัดหมวดหมู่ไว้อย่างเป็นระบบและมีหลักเกณฑ์
ผังบัญชีของแต่ละกิจการไม่จำเป็นต้องมีชื่อบัญชีที่เหมือนกัน
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะการดำเนินงานของธุรกิจ
ขนาดของธุรกิจ การดำเนินงาน
ความละเอียดของรายการในบัญชี
เพื่อใช้ในการตัดสินใจของฝ่ายบริหาร
เป็นต้น
เรื่อง
การบันทึกรายการค้าในสมุดรายวันทั่วไป
เมื่อมีรายการค้าเกิดขึ้นจะส่งผลกระทบต่อสินทรัพย์
หนี้สิน หรือส่วนของเจ้าของ
เปลี่ยนแปลงไปในทางเพิ่มขึ้นหรือลดลง
ซึ่งจะมีผลกระทบต่อบัญชีอย่างน้อยสองบัญชีหรือมากกว่านั้นเสมอ
ซึ่งนำไปสู่การบันทึกบัญชีตามหลักการบัญชีคู่
คือการบันทึกบัญชีจะต้องมี 2
ด้านเสมอ ได้แก่ ด้านเดบิต (Debit)
และด้านเครดิต (Credit)
การจดบันทึกรายการค้าตามหลักบัญชีคู่ลงในสมุดบัญชี
สมุดบัญชีที่ได้จดบันทึกรายการค้า
คือ สมุดจดรายการขั้นต้น
รายการค้าที่เกิดขึ้นทุกรายการจะถูกจดบันทึก
2 ครั้ง
ครั้งที่ 1
ในสมุดบัญชีขั้นต้น
ครั้งที่ 2
ในสมุดบัญชีขั้นปลาย
สมุดบัญชีขั้นต้น
หรือสมุดบันทึกรายการขั้นต้น
หรือสมุดรายวันขั้นต้น (Journal)
เป็นสมุดบัญชีเล่มแรกที่ใช้จดบันทึกรายการค้าต่าง
ๆ
ที่เกิดขึ้นโดยเรียงตามลำดับก่อนหลังของการเกิดรายการค้านั้น
ๆ
ก่อนที่จะนำไปจดบันทึกอีกครั้งในสมุดบัญชีขั้นปลาย
สมุดจดรายการขั้นต้น
แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1.
สมุดรายวันทั่วไป (General Journal)
2. สมุดรายวันเฉพาะ
(Special Journal)
สมุดรายวันทั่วไป
(General Journal) คือ
สมุดรายวันที่ใช้บันทึกรายการค้าต่าง
ๆ
ซึ่งไม่อาจบันทึกในสมุดรายวันอื่นได้
หรือสามารถใช้จดบันทึกรายการค้าที่เกิดขึ้นได้ทุกรายการถ้ากิจการนั้นไม่มีการใช้สมุดรายวันเฉพาะแต่ถ้ากิจการนั้นมีการใช้สมุดรายวันเฉพาะแล้ว
สมุดรายวันทั่วไปก็สามารถมีไว้เพื่อจดบันทึกรายการค้าอื่น
ๆ
ที่เกิดขึ้นซึ่งไม่สามารถนำไปบันทึกในสมุดรายวันเฉพาะเล่มใดเล่มหนึ่งได้
สมุดรายวันทั่วไป
หน้า
พ.ศ. |
เลขที่ใบสำคัญ |
รายการ |
เลขที่
บัญชี |
เดบิต |
เครดิต |
เดือน |
วันที่ |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ประโยชน์ของสมุดจดรายการขั้นต้น
การที่กิจการจดบันทึกรายการค้าที่เกิดขึ้นโดยใช้สมุดจดรายการขั้นต้นก่อนที่จะนำไปบันทึกรายการในสมุดบัญชีแยกประเภท
ทำให้กิจการได้รับประโยชน์ต่าง
ๆ ดังนี้
1.
การบันทึกรายการในสมุดจดรายการขั้นต้นเป็นการบันทึกรายการโดยเรียงตามลำดับก่อนหลังของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ทำให้ไม่เกิดการหลงลืมในการบันทึกรายการค้าที่เกิดขึ้น
2.
การบันทึกรายการในสมุดจดรายการขั้นต้นจะบันทึกโดยแสดงผลการวิเคราะห์รายการค้าที่เกิดขึ้นว่าจะต้อง
เดบิตและเครดิตบัญชีอะไร
ด้วยจำนวนเงินเท่าไร
จึงช่วยป้องกันข้อผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นจากการหลงลืมบันทึกรายการด้านใดด้านหนึ่งหรือลงรายการซ้ำกันในด้านใดด้านหนึ่ง
รวมทั้งมีโอกาสที่จะตรวจสอบก่อนที่จะนำไปบันทึกในสมุดบัญชีแยกประเภท
3.
มีคำอธิบายรายการนั้นไว้ชัดเจน
ทำให้ทราบความเป็นมาของรายการที่นำมาบันทึก
4.
หากต้องการดูรายการย้อนหลังเมื่อเกิดข้อสงสัยในการบันทึกบัญชี
ก็สามารถอ่านและเข้าใจข้อมูลได้ง่าย
ทำให้เกิดการกระจายความรับผิดชอบในการทำงานรวมทั้งทำให้มีข้อมูลที่จะยืนยันและอ้างอิงซึ่งกันและกันกับสมุดบัญชีแยกประเภท
อันจะช่วยป้องกันการทุจริตของพนักงาน
ตัวอย่าง
การบันทึกรายการค้าในสมุดรายวันทั่วไป
2546 มกราคม 2
นายนิโรจน์ นำเงินสด จำนวน 45,000
บาท
มาลงทุนเปิดร้านบริการตัดผมชื่อสะเดาเกศา
3
ซื้ออุปกรณ์ในการตัดผมเป็นเงินสด
12,500 บาท
สมุดรายวันทั่วไป
หน้า 1
พ.ศ. 2546 |
เลขที่ใบสำคัญ |
รายการ |
เลขที่
บัญชี |
เดบิต |
เครดิต |
เดือน |
วันที่ |
มกราคม |
2 |
|
เงินสด |
|
45,000 |
- |
|
|
|
|
|
ทุน |
|
|
|
45,000 |
- |
|
|
|
นายนิโรจน์
นำเงินสดมาลงทุนเปิด |
|
|
|
|
|
|
|
|
ร้านบริการตัดผม
45,000 บาท |
|
|
|
|
|
|
3 |
|
อุปกรณ์ในการตัดผม |
|
12,500 |
- |
|
|
|
|
|
เงินสด |
|
|
|
12,500 |
- |
|
|
|
ซื้ออุปกรณ์ในการตัดผมเป็น |
|
|
|
|
|
|
|
|
เงินสด 12,500 บาท |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|