ประเภทเครื่องตี |
ประเภทเครื่องเป่า |
|
ตะโพน ( เป็นเครื่องดนตรีที่ขึงด้วยหนัง ตัวตะโพนทำด้วยไม้สักหรือ ไม้ขนุน เรียกว่า หุ่น ขุดแต่งให้เป็นโพรงภายใน ขึ้นหนัง 2 หน้า ดึงด้วยสายหนังโยงเร่งเสียงเรียกว่า หนังเรียด หน้าใหญ่มีความกว้างประมาณ 25 ซม เรียกว่าหน้า เท่ง ติดหน้าด้วยข้าวสุกบดผสมกับขี้เถ้าเพื่อถ่วงเสียง อีกหน้าหนึ่งเล็กกว่ามีขนาดประมาณ 22 ซม เรียกว่า หน้ามัด ตัวกลองยาวประมาณ 48 ซม รอบๆขอบหนังที่ขึ้นหน้า ถักด้วยหนังที่ตีเกลียวเป็นเส้นเล็กๆ เรียกว่า ไส้ละมาน แล้วจึงเอาหนังเรียดร้อยในช่วงของไส้ละมานทั้งสองข้าง โยงเรียงไปโดยรอบจนมองไม่เห็นไม้หุ่น มีหนังพันตรงกลางเรียกว่า รัดอก ข้างบนรัดอกทำเป็นหูหิ้วและมีเท้ารองให้ ตัวตะโพนวางนอนอยู่บนเท้า ใช้ฝ่ามือซ้ายขวาตีได้ทั้งสองหน้า ใช้สำหรับบรรเลงผสมอยู่ในวงปี่พาทย์ ทำหน้าที่กำกับจังหวะหน้าทับต่างๆ ตะโพนนี้ ถือเป็นบรมครูทางดุริยางคศิลป์ นับว่าพระประโคนธรรพ
เป็นครูตะโพน เมื่อจะเริ่มการบรรเลง จะต้องนำดอกไม้ธูปเทียน บูชาตะโพนก่อนทุกครั้ง
และถือเป็นประเพณีสืบต่อกันมา เหตุที่ต้องกราบใหว้บูชาก็เพราะ
ตะโพนเป็นเครื่องดนตรีที่บรรเลงร่วมกับ สังข์ บัณเฑาะว์ และ มโหระทึก
ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีประจำองค์ของเทพเจ้า และสมมุติเทพ ดังนี้คือ
สังข์ประจำพระองค์พระนารายณ์ และพระอินทร์บัณเฑาะว์ ประจำองค์พระอิศวร มโหระทึก
เป็นเครื่องดนตรีบรรเลงประกอบพระอิศริยยศองค์พระมหากษัตริย์ |
|||||||||||||||||||
ตะโพนมอญ เหมือนตะโพนไทยทุกอย่างแต่ใหญ่กว่า หน้าเท่งวัดผ่านศูนย์กลางประมาณ ๔๒ ซม. หน้ามัดประมาณ ๓๕ ซม. หุ่นยาวประมาณ ๗๐ ซม. และตรงกลางหุ่นไม่ป่องใช้บรรเลงในวงปี่พาทย์ไทยเมื่อบรรเลงเพลงมอญ และใช้ในวงปี่พาทย์มอญซึ่งไทยนิยมนำมาบรรเลง | ||||||||||||||||||||
กลองแขก เป็นเครื่องดนตรีประเภทตีที่มีรูปร่างยาวเป็นรูปทรง กระบอก
ขึ้นหนังสองข้างด้วยหนังลูกวัวหรือหนังแพะหน้าใหญ่ กว้างประมาณ 20 ซม เรียกว่า
หน้ารุ่ย ส่วนหน้าเล็กกว้างประมาณ 17 ซม เรียกว่าหน้าด่าน
ตัวกลองแขกทำด้วยไม้แก่น
เช่นไม้ชิงชันหรือไม้มะริดการขึ้นหนังใช้เส้นหวายผ่าซีกเป็นสายโยง เร่งเสียง
โยงเส้นห่างๆในปัจจุบันอาจใช้เส้นหนังแทนเนื่อง จากหาหวายได้ยาก
กลองแขกสำหรับหนึ่งมี 2 ลูกลูกเสียง สูงเรียก ตัวผู้ ลูกเสียงต่ำเรียก ตัวเมีย ตีด้วยฝ่ามือทั้งสองข้างให้สอดสลับกันทั้งสองลูก |
||||||||||||||||||||
กลองทัดเป็นกลองสองหน้าขนาดใหญ่ขึ้นหน้าทั้งสองข้างด้วย หนังวัวหรือหนังควาย ตรึงด้วยหมุด หุ่นกลองทำจากไม้เนื้อแข็ง กลึงคว้านข้างในจนเป็นโพรง ป่องตรงกลางนิดหน่อยหมุดที่ตรึง หนังเรียกว่าแส้ทำด้วยไม้หรืองาหรือกระดูกสัตว์ตรงกลางหุ่น กลองมีห่วงสำหรับแขวน เรียกว่า หูระวิงกลองทัด มีขนาดหน้ากว้างเท่ากันทั้งสองข้าง วัดเส้นผ่าศูนย์กลางได้ประมาณ 46 ซม ตัวกลองยาวประมาณ 41 ซม กลองทัดมี 2 ลูก ลูกที่มีเสียงสูง ดัง ตุม เรียกว่าตัวผู้ และ ลูกที่มีเสียงต่ำตีดัง ต้อม เรียกว่าตัวเมีย ใช้ไม้ตี 1 คู่ มีขนาดยาวประมาณ 54 ซม |
||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||
โทน ( ภาคกลาง ) เป็นชื่อของเครื่องหนัง ที่ขึงหนังหน้าเดียว
มีสายโยงเร่งเสียงจากของ หนังถึงคอ มีหางยื่นออกไปและบานปลาย มีชื่อเรียกคู่กันว่า โทนทับ โดยลักษณะรูปร่างนั้น โทนมีชื่อเรียกกันได้ตามรูปร่างที่ปรากฎ 2 ชนิดคือ โทนชาตรี และ โทนมโหรี โทนชาตรีนั้น ตัวโทนทำด้วยไม้ขนุน ไม้สัก หรือ ไม้กะท้อนมีขนาดปากกว้าง 17 ซม ยาวประมาณ 34 ซม มีสาย โยงเร่งเสียงใช้หนังเรียด ตีด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกมือหนึ่งคอยปิดเปิด ปลายหางที่เป็นปากลำโพง ช่วยให้เกิดเสียงต่างๆ ใช้สำหรับ บรรเลงประกอบการแสดงละครชาตรี และหนังตะลุง และตีประกอบจังหวะ ในวงปี่พาทย์ หรือวงเครื่องสาย หรือวงมโหรีที่เล่นเพลงภาษาเขมร หรือ ตะลุง ส่วนโทนมโหรีนั้น ตัวโทนทำด้วยดินเผา ด้านที่ขึงหนังโตกว่า โทนชาตรี ขนาดหน้ากว้างประะมาณ 22 ซม ยาวประมาณ 38 ซม สายโยงเร่งเสียงใช้หวายผ่าเหลาเป็นเส้นเล็กหรือใช้ใหมฟั่นเป็นเกลียว ขึ้นหนังด้วยหนังลูกวัว หนังแพะ หนังงูเหลือม หรือหนังงูงวงช้าง ใช้สำหรับบรรเลงคู่กับรำมะนา โดยตีขัดสอดสลับกัน ตามจังหวะหน้าทับ |
||||||||||||||||||||
รำมะนา ( ภาคกลาง ) เป็นกลองที่ขึงหนังหน้าเดียว หน้ากลองที่ขึงหนังผายออก ตัวกลองสั้น รูปร่างคล้ายชามกกะละมัง มีอยู่ 2 ชนิด คือ รำมะนามโหรี และ รำมะนาลำตัด รำมะนามโหรี มีขนาดเล็ก หน้ากว้างประมาณ 26 ซม ตัวรำมะนายาว ประมาณ 7 ซม หนังที่ขึ้นหน้าตรึงด้วยหมุดโดยรอบ จะเร่งหรือลดเสียงให้สูงต่ำไม่ได้ แต่มีเชือกเส้นหนึ่งที่เรียกว่า สนับ สำหรับหนุนข้างในโดยรอบ ช่วยทำให้เสียงสูงได้ บรรเลงใช้ตีด้วยฝ่ามือคู่กับโทนมโหรี ส่วนรำมะนาลำตัดมีขนาดใหญ่ หน้ากว้างประมาณ 48 ซม ตัวรำมะนายาวประมาณ 13 ซม ขึ้นหนังหน้าเดียว โดยใช้เส้นหวายผ่าซีกโยงระหว่างขอบปน้ากับวงเหล็กซึ่งรองก้นใช้เป็นขอบ ของตัวรำมะนา และใช้ลิ่มหลายๆอันตอกเร่งเสียงระหว่างวงเหล็กกับก้นรำมะนา รำมะนาชนิดนี้เข้าใจว่าได้แบบอย่างมาจากชวาและเข้ามาแพร่หลายในสมัย รัชกาลที่ 5 ใช้ประกอบการเล่นลำตัดและลิเกลำตัด ในการประกอบ การเล่นลำตัดนั้นจะใช้รำมะนากี่ลูกก็ได้ โดยให้คนตีนั่งล้อมวงและเป็นลูกคู่ร้องไปด้วย |
||||||||||||||||||||
บัณเฑาะว์ เครื่องดนตรีในพระราชพิธี |
||||||||||||||||||||
กลองชาตรี รูปร่างลักษณะและการตีเช่นเดียวกับกลองทัดทุกอย่างแต่ขนาดเล็กกว่า ใช้บรรเลงร่วมในวงปี่พาทย์ประกอบการแสดงละคอนชาตรีที่เรียกว่า ปี่พาทย์ชาตรีจึงเรียกกลองชนิดนี้ซึ่งใช้ตีร่วมวงว่า "กลองชาตรี" แต่มีชื่อเรียกตามเสียงอีกอย่างหนึ่งว่า "กลองตุ๊ก" มีหน้ากว้างวัดผ่านศูนย์กลางประมาณ ๒๐ ซม. ยาวประมาณ ๒๔ ซม. ขนาดเล็กกว่ากลองทัดราวครึ่ง แต่ก่อนคงใช้กลองใบเดียวแต่ต่อมาในตอนหลังนี้ใช้ ๒ ใบเช่นเดียว กับกลองทัด ที่ทำเป็นขนาดเล็กก็เพื่อสะดวกในการขนย้ายไปมาเพราะละคอนชาตรีเป็นชนิดละคอนเร่ในครั้งโบราณมีแพร่หลายในจังหวัดภาคใต้ของประเทศไทย เดี๋ยวนี้ก็ยังคงมีอยู่แต่ละคอนชนิดนั้นได้เปลี่ยนแปลงวิธีเล่นไปเสียมากแล้ว |
||||||||||||||||||||
|
กลองยาว |
|||||||||||||||||||
กลองสะบัดชัย โบราณ เป็นกลองที่ มีมานานแล้วนับหลายศตวรรษ ในสมัยก่อนใช้ ตียามออกศึกสงคราม เพื่อเป็นสิริมงคล และเป็น ขวัญกำลังใจให้แก่เหล่าทหารหาญในการต่อ สู้ให้ได้ชัยชนะ ทำนองที่ใช้ในการตี กลองสะบัดชัยโบราณมี ๓ ทำนอง คือ ชัยเภรี, ชัย ดิถี และชนะมาร |
||||||||||||||||||||
กลองปู่จา(ก๋องปู่จา)
|
กลองปู่จาหรือก๋องปู่จา(ภาคเหนือ)
ก็คือ กลองบูชา นั่นเอง ซึ่งชาวเหนือหรือชาวล้านนาจะเรียก กลองปู่จา อันหมายถึงบูชา เมื่อออกเสียงโดยรวมจะเป็น ก๋องปู่จา
กลองปู่จา จะใช้ตีเพื่อเป็นสัญญาณ บอกเหตุต่างๆ ในสังคม เช่น ไฟไหม้ มีเหตุร้ายเกิดขึ้น นัดประชุมชาวบ้าน ตลอดจน ตีเพื่อบอกกล่าวให้ทราบว่าวันรุ่งขึ้น จะเป็นวันพระ หรือตีเพื่อเป็นพุทธบูชาแต่เดิมทีชาวล้านนาจะตี กลองสะบัดชัย เพื่อฉลองชัยยามชนะศึกสงคราม รวมทั้งตีเพื่อความสนุกสนาน บทบาทของกลองสะบัดชัยนั้นถือว่าเป็นของสูง เนื่องจากว่าจะเกี่ยวพันกับเจ้าเมืองและกษัตริย์ เมื่อเจ้าเมืองล้านนาถูกลดบทบาทลง กลองสะบัดชัย ก็ถูกลดบทบาท นำไปตีกันตามวัดแทนเมื่อกลองสะบัดชัยเข้าไปอยู่ตามวัด ก็ได้ทำหน้าที่และบทบาทใหม่ขึ้นมา คือเป็นการตีเพื่อ พุทธบูชา จนได้ชื่อว่า กลองปูจา ซึ่งเป็นดั่งสัญญาณ บอกข่าวสารจากวัดในสมัยก่อน ซึ่งรวมไปถึงสัญญาณเรียกประชุม สัญญาณบอกเหตุร้ายต่างๆ ส่วนอีกหน้าที่รองของกลองปู่จาก็คือตีเป็นมหรสพ ซึ่งปัจจุบันเหลือให้เห็นกันเฉพาะในงานบุญประเพณีตานก๋วยฉลาก ( สลากภัตต์ ) เท่านั้น |
|||||||||||||||||||
กลองหลวง หรือ กลองห้ามมาร(ภาคเหนือ) รูปลักษณะเป็นกลองยาวคอดกลางปลายบานเป็นลำโพงยาวประมาณ ๓ . ๐ ๓ . ๕ เมตร ขนาดหน้ากลองเส้นผ่าศูนย์กลางตั้งแต่ ๖๐ - ๘๐ เซนติเมตร ต้องวางบนล้อเกวียน ใช้คนลากหลายคน เวลาตีต้องขึ้นคร่อมตีหรืออยู่ด้านหน้ากลอง โดยใช้มือขวาตีโดยมีผ้าพันมือทำเป็นรูปกรวยแหลมให้ผ้าพันมือกระทบหน้ากลอง ใช้ตีเป็นสัญญาณวันพระ ๘ ค่ำ หรือ ๑๕ ค่ำในล้านนามีประเพณีการแข่งขันตีกลองหลวง ซึ่งนิยมกันมากในช่วง พ . ศ . ๒๕๒๐ เป็นต้นมา | ||||||||||||||||||||
กลองแอว์ (ภาคเหนือ) เป็นกลองหน้าเดียว ขนาดใหญ่กว่ากลองยาวมาก บางลูกมีขนาดยาวถึง 3 เมตร เหตุที่เรียกว่ากลองแอว์ ก็หมายความว่า กลองมีสะเอวนั่นเอง (แอว์คือเอว) ตัวกลองใหญ่ เอวคอด ตอนท้ายเรียวและปลายบานคล้ายดอกลำโพง กลองชนิดนี้มีประจำวัดทางภาคเหนือของไทย นอกจากใช้ตามวัดแล้วยังใช้ประกอบการเล่นพื้นเมืองต่างๆ ทางภาคเหนือ และใช้ตีเข้าขบวนแห่ในงานพิธี ปอยหลวง งานแห่ครัวทานและงาน ปอยลูกแก้ว (บวชเณร) อีกด้วย |
||||||||||||||||||||
|
ตะโล้ดโป๊ด (ภาคเหนือ) รูปร่างคล้ายกลองสองหน้าและเปิงมาง แต่ตัวกลองยาวกว่าเปิงมางและสองหน้า
ตามลำดับ ประมาณ 2 ฟุต
หน้ากลองข้างหนึ่งใหญ่ ข้างหนึ่งเล็ก ตีทางหน้าเล็ก ตัวกลองทำด้วยไม้แก่น
กลองชนิดนี้นิยมใช้กันในจังหวัดทางภาคเหนือ โดยใช้ตีเข้าขบวนแห่ประกอบการฟ้อนรำ
และใช้ตีประกอบในการเล่นพื้นเมืองร่วมกับเครื่องดนตรีประจำท้องถิ่น
เวลาตีเข้าขบวนแห่ใช้ตีคู่กับกลองแอว์ |
|||||||||||||||||||
กลองสิ้นหม้อง (ภาคเหนือ)เป็นกลองก้นยาวขึ้นหนังหน้าเดียวแบบของภาคกลาง รูปร่างคล้ายกลองปูเจ่ และหน้ากลองมีขนาดเท่า ๆ กัน แต่รูปทรงสั้นกว่า คือยาวประมาณ ๘๐ - ๙๐ เซนติเมตร คนตีกลอง สามารถใช้สะพายบ่าได้ ใช้แขวนแห่ต่าง ๆ | ||||||||||||||||||||
กลองเต่งถิ้ง หรือ กลองโป่งป้ง(ภาคเหนือ) เป็นกลองขึ้นหนังสองหน้า มีขาตั้ง ใช้ตีทั้งสองหน้าลักษณะเดียวกับตะโพนไทยและตะโพนมอญ ใช้เล่นประสมวง เต่งถิ้ง หรือวง พาทย์ ( วงปี่พาทย์ ) และวงสะล้อ ซึง ( ดูเรื่องการประสมวงต่อไป ) กลองชนิดนี้มีหลายขนาด มีตั้งแต่ขนาดหน้ากลองเส้นผ่าศูนย์กลาง ๒๐ - ๔๐ เซนติเมตร ถ้าเป็นขนาดเล็กบางทีก็เรียกว่า กลองโป่งป้ง หรือ กลองตัด | ||||||||||||||||||||
กลองมองเซิง (ภาคเหนือ)รูปลักษณะคล้ายกลองปูชา แต่มีขนาดเล็กกว่า ขนาดหน้ากลองมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๔๕ - ๖๐ เซนติเมตร ด้านข้างยาวประมาณ ๗๕ - ๙๐ เซนติเมตร สามารถใช้สะพายตีได้ กติจะใช้ตีประกอบวงมองเซิงซึ่งเป็นดนตรีแบบของไทใหญ่ มีฆ้องชุดซึ่งมีขนาดและเสียงไล่ระดับกันมีสว่า ( ฉาบ ) ตีประกอบ | ||||||||||||||||||||
กลองปูเจ่(ภาคเหนือ) เป็นกลองก้นยาวแบบของชาวไทใหญ่มีขนาดเล็กกว่ากลองแอว ยาวประมาณ ๑๔๐ เซนติเมตร ขนาดหน้ากลองเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๒๖ เซนติเมตร ใช้สะพายตีและเล่นประสมวงกลองปูเจ่
|
||||||||||||||||||||
กลองตึ่งโนง(ภาคเหนือ) เป็นกลอง ที่มีขนาดใหญ่ ตัวกลองจะยาว มากขนาด ๓-๔ เมตรก็มี ใช้ตีเป็น อาณัติสัญญาณประจำวัด และใช้ในกระบวนแห่กระบวนฟ้อน ต่าง ๆ ประกอบกับตะหลดปด ปี่แน ฉาบใหญ่ และฆ้องหุ่ย ใช้ตีด้วยไม้ เวลาเข้ากระบวน จะมีคนหาม |