Multi-Mode Optical Fiber (MM)ที่มา https://sites.google.com/site/it39000009/hnwy-thi-4 Multi-Mode Optical Fiber (MM) เส้นผ่านศูนย์กลางคอร์ขนาดใหญ่ เส้นผ่าศูนย์กลางคอร์ 50/125, 62.5/125 ไมครอน แต่มีการสูญเสียของแสงมาก ความเร็วในการส่งข้อมูลไม่เกิน 100 Mbps ที่ความยาวคลื่น 850 nm ส่วนใหญ่ใช้ส่งข้อมูลภายในอาคารเท่านั้นโดยระยะไกลไม่เกิน 2 กิโลเมตร และที่ความเร็วในการส่งข้อมูล 1000 Mbps ระยะสายไม่เกิน 550 เมตร เหมาะสำหรับใช้ภายในอาคารเท่านั้น แต่มีข้อดี คือ ราคาสายและอุปกรณ์ถูกกว่า Single-mode Optical Fiber (SM)ที่มา https://sites.google.com/site/it39000009/hnwy-thi-4 Single-mode Optical Fiber (SM) เส้นผ่านศูนย์กลางคอร์ขนาด 9/125 ไมครอนมีขนาดเล็กกว่า Multi-Mode Optical Fiber การสูญเสียแสงในสายน้อยกว่า ความเร็วในการส่งข้อมูลสูงสุด 40 Gbps ที่ระยะทางไม่เกิน 20 กม. และ 10 Gbps ที่ระยะทางไม่เกิน 100 กม. (คศ. 2018) ส่วนใหญ่ใช้ส่งข้อมูลสื่อสารโทรคมนาคม วงจรสื่อสาร โทรศัพท์มือถือ เคเบิลทีวี กล้องวงจรปิดฯลฯ รวมทั้งปัจจุบันถูกนำมาใช้ในส่งข้อมูลภายในอาคารด้วย
การส่งแสงผ่านเส้นใยแก้วนำแสงแบบ Single-Mode
เป็นการใช้ตัวนำแสงที่บีบลำแสงให้พุ่งตรงไปตามท่อแก้ว โดยมีการกระจายแสงออกทางด้านข้างน้อยที่สุด ซิงเกิลโหมดจึงเป็นสายใยแก้วนำแสงที่มีกำลังสูญเสียทางแสงน้อยที่สุด เหมาะสำหรับในการใช้กับระยะทางไกล ๆ การเดินสายใยแก้วนำแสงกับระยะทางไกลมาก เช่น เดินทางระหว่างประเทศ ระหว่างเมือง มักใช้แบบซิงเกิลโหมด
เป็นสายใยแก้วนำแสงที่มีลักษณะการกระจายแสงออกด้านข้างได้ ดังนั้นจึงต้องสร้างให้มีดัชนีหักเหของแสง กับอุปกรณ์ฉาบผิวที่สัมผัสกับเคล็ดดิงให้สะท้อนกลับหมด การให้ดัชนีหักเหของแสงมีลักษณะทำให้แสงเลี้ยวเบนทีละน้อย เราเรียกว่าแบบเกรดอินเด็กซ์ (Grade Index) และการให้แสงสะท้อนโดยไม่ปรับคุณสมบัติของแท่งแก้วให้แสงค่อยเลี้ยวเบน ก็เรียกว่าแบบ สเต็ปอินเด็กซ์ (Step Index) สายใยแก้วนำแสงที่ใช้ในเครือข่ายแลน ส่วนใหญ่ใช้แบบมัลติโหมด โดยเป็นขนาด 62.5/125หรือ 50/125 ไมโครเมตร หมายถึงเส้นผ่าศูนย์กลางของท่อแก้ว 62.5 ไมโครเมตรหรือ 50ไมโครเมตร และแคล็ดดิง รวมท่อแก้ว 125 ไมโครเมตร คุณสมบัติของสายใยแก้วนำแสงแบบสแต็ปอินเด็กซ์มีการสูญเสียสูงกว่าแบบเกรดอินเด็กซ์