ค้นว่าอยู่เล่มใด แล้วกด [ctrl]+f หรือใช้คำสั่งของเครื่องหาตำแหน่งในเล่มอีกทีนะครับ



จัดรูปหน้าใหม่
เพื่อความสะดวก และสวยงาม
(เฉพาะหน้าจอใหญ่ เช่น คอมพิวเตอร์)
กรุณาคลิก จัดรูปหน้าใหม่
เพื่อให้กรอบ
ค้นข้อความ ปรากฎที่ด้านซ้ายของหน้า

พระไตรปิฎกภาษาไทย
ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ๔๕ เล่ม (ปกสีฟ้า)
ทั้งออนไลน์และออฟไลน์
ที่มาของข้อมูล : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับ มจร.
MCUTRAI Version 1.0

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๒-๑ สุตตันตปิฎกที่ ๒๔ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๑. พุทธาปทาน

พระสุตตันตปิฎก
ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑
_____________
ขอนอบน้อมพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

๑. พุทธวรรค
หมวดว่าด้วยพระพุทธเจ้าเป็นต้น
๑. พุทธาปทาน
พระประวัติในอดีตชาติของพระพุทธเจ้า

[๑] พระอานนทเถระ ผู้เป็นมุนีชาวแคว้นวิเทหะ
น้อมกายลงทูลถามพระตถาคตผู้ประทับอยู่
ณ พระเชตวันมหาวิหารว่า
ได้ทราบว่า พระสัพพัญญูพุทธเจ้ามีอยู่
พระสัพพัญญูพุทธเจ้าเหล่านั้นผู้เป็นนักปราชญ์
ทรงอุบัติขึ้นเพราะเหตุอะไร
[๒] ลำดับนั้น พระสัพพัญญูผู้ประเสริฐ ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
ได้ตรัสกับพระอานนท์ผู้เจริญด้วยพระสุรเสียงที่ไพเราะว่า
ธีรชนเหล่าใดได้สั่งสมกุศลสมภารไว้ในพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ
ยังไม่ได้ความหลุดพ้นจากกิเลสในศาสนาของพระชินเจ้าทั้งหลาย
[๓] เพราะมุ่งหน้าต่อสัมโพธิญาณนั้นแล
ธีรชนผู้มีปัญญาแก่กล้าดี
จึงได้บรรลุความเป็นพระสัพพัญญู
ด้วยอัธยาศัยที่เข้มแข็งและด้วยอำนาจแห่งปัญญา

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๑. พุทธาปทาน
[๔] ถึงเราก็ได้เป็นผู้มีใจปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า
ในสำนักของพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ หลายพระองค์
พระพุทธเจ้าเหล่านั้นทรงเป็นพระธรรมราชา นับไม่ถ้วน
[๕] ต่อไปนี้ ขอให้เธอทั้งหลายผู้มีใจหมดจด
จงฟังประวัติในอดีตชาติของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
พระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นพระธรรมราชา
สมบูรณ์ด้วยบารมี ๓๐ ประการ๑นับไม่ถ้วน
[๖] เรายกนิ้วมือทั้ง ๑๐ นิ้วขึ้น
นอบน้อมพระโพธิญาณของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด
อภิวาทพระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก
พร้อมด้วยพระสงฆ์ด้วยเศียรเกล้า
[๗] ในพุทธเขต๒ มีรัตนะที่อยู่ในอากาศ
ที่อยู่บนภาคพื้นดิน นับจำนวนไม่ถ้วนอยู่เท่าใด
เราพึงนึกนำรัตนะเท่านั้นทั้งหมดมาได้
[๘] ณ พื้นที่อันเป็นเงินนั้น
เราได้เนรมิตปราสาทแก้วหลายร้อยชั้น
สูงตระหง่านโชติช่วงในท้องฟ้า

เชิงอรรถ :
๑ บารมี ๓๐ ประการ คือ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา,
ทานอุปบารมี ฯลฯ อุเบกขาอุปบารมี, ทานปรมัตถบารมี ฯลฯ อุเบกขาปรมัตถบารมี ทานบารมี การ
บำเพ็ญทานตามปกติ ทานอุปบารมี การบำเพ็ญทานยิ่งกว่าปกติ ทานปรมัตถบารมี การบำเพ็ญทาน
ระดับสูงสุด เช่น สละทรัพย์ภายนอกเป็นทานบารมี สละอวัยวะเป็นทานอุปบารมี สละชีวิตเป็นทาน
เป็นปรมัตถบารมี (ขุ.พุทธ. ๓๓/๗๖/๔๔๖, ขุ.จริยา. (แปล) ๓๓/๗๗๖-๗๗๗)
๒ พุทธเขต (เขตแดนของพระพุทธเจ้า) มี ๓ คือ ชาติเขต อาณาเขต วิสัยเขต ชาติเขตมีขอบเขตหนึ่ง
หมื่นจักรวาลจะเกิดการหวั่นไหวทั่วถึงกันในคราวพระพุทธเจ้าถือปฏิสนธิเป็นต้น อาณาเขตมีขอบเขตถึง
หนึ่งแสนโกฏิจักรวาล เป็นสถานที่ที่อานุภาพแห่งพระปริตรแผ่ไปถึง วิสัยเขตไม่มีขอบเขตที่จะกำหนดได้
(วิสุทธิ. ๒/๔๙-๕๐)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๒ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๑. พุทธาปทาน
[๙] มีเสาวิจิตรงดงาม มีค่ามาก
ตั้งอยู่เรียงราย มีขื่อทำด้วยทองคำ
(ติดคู่ห่วงทองคำที่ขื่อหรือจันทัน)
ประดับด้วยนกกระเรียนและฉัตร
[๑๐] พื้นชั้นแรกทำด้วยแก้วไพฑูรย์
งดงามดังก้อนเมฆปราศจากมลทิน
มีภาพฝูงปลาและดอกบัวอยู่เกลื่อนกลาด
ย่อมงามด้วยพื้นทองคำอย่างดี
[๑๑] (ที่ปราสาทนั้น) พื้นบางชั้นมีภาพกิ่งไม้อ่อนช้อย
มีสีเหมือนสีแก้วประพาฬ
บางชั้นมีสีแดงสด บางชั้นงดงามเปล่งรัศมีดังสีแมลงค่อมทอง๑
บางชั้นสว่างไสวไปทั่วทิศ
[๑๒] (ที่ปราสาทนั้น) แบ่งพื้นที่เป็นหน้ามุข
ระเบียง หน้าต่าง ไว้อย่างดี
มีพวงอุบะหอม๒ที่น่ารื่นรมย์ใจ
ห้อยย้อยจากวลัยไพที๓และบานประตูข่ายทั้ง ๔ ด้าน
[๑๓] (ที่ปราสาทนั้น) ประกอบด้วยเรือนยอดชั้นเยี่ยม
ประดับด้วยรัตนะ ๗ ประการ
มีสีเขียว สีเหลือง สีแดง สีขาว สีดำล้วน
[๑๔] (ที่ปราสาทนั้น) มีดอกปทุมชูก้านบานสะพรั่ง
งดงามด้วยภาพหมู่เนื้อร้ายและฝูงนก

เชิงอรรถ :
๑ แมลงค่อมทอง หมายถึงแมลงปีกแข็ง ตัวเล็กกว่าแมลงทับปีกสีเขียวเหลืองทอง
๒ พวงอุบะหอม ในที่นี้หมายถึงพวงของหอม (ดอกไม้ร้อยเป็นพวงอย่างพู่สำหรับห้อยระหว่างเฟื่องเป็นต้น
(ขุ.อป.อ ๑/๑๒/๑๒๕)
๓ ไพที ในที่นี้หมายถึงแท่นที่รองเครื่องบูชา (ขุ.อป.อ. ๑/๑๒/๑๒๕)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๓ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๑. พุทธาปทาน
ดารดาษด้วยดวงดาวพราวพรายระยิบระยับ
ประดับด้วยรูปดวงจันทร์และดวงอาทิตย์
[๑๕] (ปราสาทนั้น) ใช้ตาข่ายทองคำปกคลุม
ติดข่ายกระดิ่งทองคำ พวงดอกไม้ทองคำ น่ารื่นรมย์ใจ
ลมพัดมากระทบเข้าก็เกิดเสียงดังกังวาน
[๑๖] (ที่ปราสาทนั้น) ขึงธงทิวซึ่งย้อมด้วยสีนานาชนิด
คือ ธงสีหงสบาท สีแดง สีเหลือง สีทองชมพูนุท
[๑๗] (ที่ปราสาทนั้น) มีที่นอนต่างๆ งดงาม มากมายหลายร้อยชนิด
ทำด้วยแก้วผลึก เงิน แก้วมณี ทับทิม แก้วลาย
ปูด้วยผ้าแคว้นกาสีเนื้อละเอียดอ่อน
[๑๘] ผ้าห่มสีเหลือง ทอด้วยด้ายขนสัตว์
ทอด้วยผ้าเปลือกไม้ ทอด้วยฝ้ายเมืองจีน
ทอด้วยฝ้ายเมืองปัตตุณณะ
เครื่องปูลาดต่าง ๆ ทั้งหมดเราอธิษฐานใจปูลาดไว้
[๑๙] แต่ละชั้นประดับด้วยช่อฟ้าซึ่งทำด้วยรัตนะ
มีคนยืนถือประทีปดวงแก้วสว่างไสวอยู่เรียงราย
[๒๐] มีเสาระเนียด (เสาปักเรียงรายตลอดรั้ว)
และเสาค่ายทองคำ เสาค่ายทองชมพูนุท เสาค่ายไม้แก่น
(และ)เสาค่ายเงินที่งดงาม ย่อมทำปราสาทนั้นให้งดงาม
[๒๑] (ที่ปราสาทนั้น) มีที่ต่อ(ช่อง)หลายแห่งจัดไว้เรียบร้อยดี
มีบานประตูและลูกดาลงดงาม มีกระถางบัวหลวง
บัวขาบเรียงรายอยู่ทั้ง ๒ ด้าน
[๒๒] เราเนรมิตพระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลกในอดีตทุกพระองค์
พร้อมทั้งพระสงฆ์สาวกด้วยวรรณะและรูปตามปกติ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๔ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๑. พุทธาปทาน
[๒๓] พระพุทธเจ้าทุกพระองค์พร้อมด้วยสาวก
เป็นหมู่พระอริยะ เสด็จเข้าไปทางประตูนั้น
ประทับนั่งบนตั่งทองคำล้วน
[๒๔] พระพุทธเจ้าผู้ยอดเยี่ยมในโลก
ทั้งที่เป็นอดีตและปัจจุบันทุกพระองค์
ได้เสด็จขึ้นสู่ปราสาทของเราแล้ว
[๒๕] พระปัจเจกพุทธเจ้าหลายร้อยพระองค์
ผู้เป็นพระสยัมภู ผู้ไม่ทรงพ่ายแพ้๑
ทั้งที่เป็นอดีตและปัจจุบันทั้งหมด
ได้เสด็จขึ้นสู่ปราสาทของเราแล้ว
[๒๖] ต้นกัลปพฤกษ์ทิพย์๒และต้นกัลปพฤกษ์มนุษย์ มีมากมาย
เราได้นำผ้าทุกอย่างมาจากต้นกัลปพฤกษ์เหล่านั้น
ตัดเย็บเป็นไตรจีวรถวายให้นุ่งห่ม
[๒๗] ของเคี้ยว ของฉัน ของลิ้ม น้ำปานะ
รวมทั้งอาหารมีอยู่อย่างเพียบพร้อม
เราถวายบรรจุจนเต็มบาตรแก้วมณีลูกงามทุกลูก
[๒๘- หมู่พระอริยะเหล่านั้น เป็นผู้หมดจดจากกิเลส
ครองจีวรผ้าทิพย์เสมอกัน
อันข้าพเจ้านิมนต์ฉันจนอิ่มหนำ ด้วยน้ำตาลกรวด
น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย และข้าวอย่างดี
๒๙-] ทั้งหมดได้เข้าไปสู่ห้องแก้ว
เหมือนไกรสรราชสีห์เข้าไปสู่ถ้ำ

เชิงอรรถ :
๑ พระสยัมภู ผู้ไม่ทรงพ่ายแพ้ หมายถึง ไม่พ่ายแพ้แก่มาร คือ ขันธมาร กิเลสมาร อภิสังขารมาร มัจจุมาร
และเทวปุตตมาร (ขุ.อป.ป. ๑/๒๕/๑๒๗)
๒ ต้นกัลปพฤกษ์ทิพย์ หมายถึงต้นไม้ที่เกิดในเทวโลก (ขุ.อป.อ. ๑/๒๖/๑๒๗)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๕ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๑. พุทธาปทาน
[๓๐] สำเร็จสีหไสยาสน์บนที่นอนมีค่ามาก
มีสติสัมปชัญญะ ลุกขึ้นแล้ว นั่งขัดสมาธิบนที่นอน
[๓๑] ซึ่งเป็นอารมณ์ของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์
แนบแน่นด้วยความยินดีในฌาน
หมู่หนึ่งแสดงธรรม หมู่หนึ่งยินดีด้วยฤทธิ์
[๓๒] หมู่หนึ่งเข้าอัปปนาฌาน
หมู่หนึ่งเจริญอภิญญาวสี๑
แสดงฤทธิ์ได้หลายร้อยหลายพันประการ
[๓๓] ฝ่ายพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็ถามพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ถึงปัญหาอันเป็นวิสัยแห่งพระสัพพัญญุตญาณ
พระพุทธเจ้าเหล่านั้นก็ทรงรู้แจ้งเหตุอันลึกซึ้งละเอียดอ่อนด้วยปัญญา
[๓๔] สาวกทั้งหลายก็ทูลถามพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
พระพุทธเจ้าทั้งหลายก็ตรัสถามสาวกทั้งหลาย
ทั้งพระพุทธเจ้าและสาวกเหล่านั้นต่างก็ถามตอบกันและกัน
[๓๕] พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และสาวกผู้ปรนนิบัติเหล่านั้น
ต่างรื่นรมย์ยินดีในปราสาทด้วยความยินดีด้วยประการฉะนี้
[๓๖] (พระเจ้าติโลกวิชัยทรงดำริว่า) ฉัตรตั้งซ้อนกัน
มีรัศมีเปล่งปลั่งดังแก้วไพฑูรย์
ขอให้ทุกคนจงกั้นฉัตร มีตาข่ายทองคำห้อยระย้า
ประดับด้วยตาข่ายเงิน
แวดล้อมด้วยตาข่ายแก้วมุกดาไว้เหนือศีรษะข้าพเจ้า
[๓๗] มีเพดานผ้าติดดวงดาวทองมีแสงแวววาว
มีพวงมาลัยห้อยอยู่ทั่วงดงามตระการตา
เพดานผ้าทั้งหมด จงดาดอยู่เหนือศีรษะ

เชิงอรรถ :
๑ อภิญญาวสี หมายถึงความชำนาญในอภิญญา ๕ ประการ คือ (๑) อาวัชชนวสี ชำนาญในการคำนึงถึง
(๒) สมาปัชชนวสี ชำนาญในการเข้า (๓) วุฏฐานวสี ชำนาญในการออก (๔) อธิฏฐานวสี ชำนาญ
ในการอธิษฐาน (๕) ปัจจเวกขณวสี ชำนาญในการ พิจารณา (ขุ.อป.อ. ๑/๓๒/๑๒๙)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๖ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๑. พุทธาปทาน
[๓๘] สระที่ดารดาษด้วยพวงมาลัย
งดงามด้วยพวงของหอม๑ มีพวงผ้าห้อยระย้า
ประดับประดาด้วยพวงรัตนะ
[๓๙] มีดอกไม้เรียงราย งดงามนัก
อบด้วยของหอมกลิ่นฟุ้งขจายไป
ใช้นิ้วมือทั้ง ๕ เจิมด้วยของหอม
มุงด้วยหลังคาทองคำ
[๔๐] ทั้ง ๔ ทิศ (แห่งปราสาท) ดารดาษด้วยดอกปทุมและดอกอุบล
ปรากฏเป็นสีทอง หอมฟุ้งด้วยละอองเกสรดอกปทุม
[๔๑] รอบ ๆ ปราสาท ต้นไม้ทุกต้นจงออกดอกบานสะพรั่ง
ดอกไม้หล่นเอง ปลิวไปโปรยปราสาท
[๔๒] ใกล้ ๆ ปราสาทนั้น ขอฝูงนกยูงจงรำแพน (หาง)
ฝูงหงส์ทิพย์จงส่งเสียงร้อง ฝูงนกการเวกจงร้องขับขาน
วิหคก็จงส่งเสียงขับขานอยู่รอบ ๆ ปราสาท
[๔๓] กลองทุกชนิดจงดังขึ้น พิณทุกชนิดจงบรรเลง
เครื่องสังคีตทุกชนิดจงบรรเลงขับกล่อมอยู่รอบ ๆ ปราสาท
[๔๔-๔๕] ตลอดพุทธเขตและในจักรวาล
ต่อจากนั้นจงมีบัลลังก์ทองขนาดใหญ่ เรืองรองด้วยรัศมี
ไม่มีช่องว่าง ขลิบด้วยรัตนะ ตั้งอยู่ (รอบ ๆ ปราสาท)
ขอต้นพฤกษาประทีป๒ จงส่องสว่าง
มีแสงโชติช่วงติดต่อเป็นอันเดียวกันทั้ง ๑๐,๐๐๐ ดวง

เชิงอรรถ :
๑ พวงของหอม หมายถึงจันทน์ ดอกบัวบก หรือหญ้าฝรั่นและกฤษณา เป็นต้น (ขุ.อป.อ. ๑/๓๘/๑๓๐)
๒ พฤกษาประทีป หมายถึงต้นไม้ที่แขวนตะเกียง, โคมไฟ (ขุ.อป.อ. ๑/๔๕/๒๓๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๗ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๑. พุทธาปทาน
[๔๖] หญิงนักฟ้อนก็จงฟ้อน หญิงนักร้องก็จงขับร้อง
หมู่นางอัปสรก็จงร่ายรำ สนามเต้นรำต่าง ๆ
จงปรากฏอยู่รอบ ๆ ปราสาท
[๔๗] เรา(ผู้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิมีนามว่าติโลกวิชัยในครั้งนั้น)
สั่งให้ยกธงทุกชนิด วิจิตรงดงาม ๕ สี๑
ไว้บนยอดไม้ บนยอดภูเขา และบนยอดภูเขาสิเนรุ
[๔๘] หมู่มนุษย์ หมู่นาค หมู่คนธรรพ์ และหมู่เทวดา ทั้งหมดนั้น
จงเข้ามาประนมมือนอบน้อมแวดล้อมปราสาทของเรา
[๔๙] กุศลกรรมใด ๆ ควรเพื่อบังเกิดในสวรรค์ชั้นไตรทิพย์
ที่ข้าพเจ้าพึงกระทำด้วยกาย วาจา ใจ
กุศลกรรมนั้นทั้งหมด ข้าพเจ้าได้กระทำแล้ว
[๕๐] สัตว์เหล่าใดมีสัญญาก็ตาม
และสัตว์เหล่าใดไม่มีสัญญาก็ตามมีอยู่
ขอสัตว์เหล่านั้นทั้งหมดจงเป็นผู้มีส่วนเสวยผลบุญที่เราทำแล้ว
[๕๑] สัตว์เหล่าใดรู้ว่าเราทำบุญ
ขอสัตว์เหล่านั้น จงมีส่วนเสวยผลบุญที่เราให้แล้ว
ก็ในบรรดาสัตว์เหล่านั้น สัตว์เหล่าใดไม่รู้
ขอเทวดาจงไปประกาศให้สัตว์เหล่านั้นทราบ
[๕๒] เหล่าสัตว์ในโลกผู้อาศัยอาหารเลี้ยงชีวิตทุกจำพวก
ขอจงได้โภชนาหารที่น่าพอใจ ตามเจตนาของเรา

เชิงอรรถ :
๑ วิจิตรงดงาม ๕ สี หมายถึงสีมีสีเขียวและสีแดงเป็นต้น (ขุ.อป.อ. ๑/๔๗/๑๓๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๘ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๑. พุทธาปทาน
[๕๓] เราให้ทานด้วยใจ ยึดถือความเลื่อมใสด้วยใจ
เรา๑ได้บูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์
พร้อมทั้งพระปัจเจกพุทธเจ้าและสาวกของพระชินเจ้าแล้ว
[๕๔] ด้วยกรรมที่เราทำไว้ดีแล้วนั้น และด้วยการตั้งเจตนาไว้มั่น
เราละร่างกายมนุษย์แล้วจึงได้ไปเกิดยังสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
[๕๕] เรารู้จักแต่ภพทั้ง ๒
คือความเป็นเทวดาหรือความเป็นมนุษย์
มิได้รู้จักคติอื่นเลย
นี้เป็นผลแห่งความปรารถนาด้วยใจ
[๕๖] (เมื่อเราเกิดเป็นเทวดา) เราก็ยิ่งใหญ่กว่าพวกเทวดา
(เมื่อเราเกิดเป็นมนุษย์) เราก็ยิ่งใหญ่กว่าพวกมนุษย์
เราสมบูรณ์ด้วยรูปลักษณะ ไม่มีใครเสมอด้วยปัญญา
[๕๗] โภชนะมีรสอร่อยหลายชนิด รัตนะมิใช่น้อย
ผ้าชนิดต่าง ๆ จากฟากฟ้า ย่อมเข้ามาหาเราเร็วพลัน
[๕๘] เราเหยียดมือไปในที่ใด ๆ จะเป็นบนพื้นดิน
ภูเขา อากาศ ในน้ำ และในป่า ก็ตาม
ภักษาหารอันเป็นทิพย์ (อาหารทิพย์)
จากที่นั้น ๆ ย่อมเข้ามาหาเรา
[๕๙] เราเหยียดมือไปในที่ใด ๆ จะเป็นบนพื้นดิน
ภูเขา อากาศ ในน้ำ และในป่า ก็ตาม
รัตนะทุกอย่างจากที่นั้น ๆ ย่อมเข้ามาหาเรา
[๖๐] เราเหยียดมือไปในที่ใด ๆ จะเป็นบนพื้นดิน
ภูเขา อากาศ ในน้ำ และในป่า ก็ตาม
ของหอมทุกอย่างจากที่นั้น ๆ ย่อมเข้ามาหาเรา

เชิงอรรถ :
๑ เรา ในที่นี้หมายถึงพระเจ้าจักรพรรดิ (ขุ.อป.อ. ๑/๕๓/๑๓๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๙ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๑. พุทธาปทาน
[๖๑] เราเหยียดมือไปในที่ใด ๆ จะเป็นบนพื้นดิน
ภูเขา อากาศ ในน้ำ และในป่า ก็ตาม
ยานพาหนะทุกอย่างจากที่นั้น ๆ ย่อมเข้ามาหาเรา
[๖๒] เราเหยียดมือไปในที่ใด ๆ จะเป็นบนพื้นดิน
ภูเขา อากาศ ในน้ำ และในป่า ก็ตาม
ดอกไม้ทุกอย่างจากที่นั้น ๆ ย่อมเข้ามาหาเรา
[๖๓] เราเหยียดมือไปในที่ใด ๆ จะเป็นบนพื้นดิน
ภูเขา อากาศ ในน้ำ และในป่า ก็ตาม
เครื่องประดับทุกอย่างจากที่นั้น ๆ ย่อมเข้ามาหาเรา
[๖๔] เราเหยียดมือไปในที่ใด ๆ จะเป็นบนพื้นดิน
ภูเขา อากาศ ในน้ำ และในป่า ก็ตาม
หญิงสาวทั้งมวลจากที่นั้น ๆ ย่อมเข้ามาหาเรา
[๖๕] เราเหยียดมือไปในที่ใด ๆ จะเป็นบนพื้นดิน
ภูเขา อากาศ ในน้ำ และในป่า ก็ตาม
น้ำผึ้งและน้ำตาลกรวดจากที่นั้น ๆ ย่อมเข้ามาหาเรา
[๖๖] เราเหยียดมือไปในที่ใด ๆ จะเป็นบนพื้นดิน
ภูเขา อากาศ ในน้ำ และในป่า ก็ตาม
ของขบเคี้ยวทุกอย่างจากที่นั้น ๆ ย่อมเข้ามาหาเรา
[๖๗] เราให้ทานอย่างดีแก่คนไร้ทรัพย์
คนเดินทางไกล คนขอทาน และคนหลงทาง
เพื่อต้องการจะบรรลุสัมโพธิญาณอันประเสริฐ
[๖๘] เราทำให้ภูเขาศิลาล้วนบันลือ
ทำให้ภูเขาหนาทึบกระหึ่ม
ทำให้มนุษยโลกพร้อมทั้งเทวโลกร่าเริง
จะเป็นพระพุทธเจ้าในโลก

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๐ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๑. พุทธาปทาน
[๖๙] ทิศทั้ง ๑๐ ในโลก เมื่อคนเดินไป
ย่อมไม่มีที่สิ้นสุด ในส่วนแห่งทิศนั้น
พุทธเขตก็นับจำนวนไม่ถ้วน(เหมือนกัน)
[๗๐] แสงสว่างตามปกติของเรา(ในสมัยเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ)
ปรากฏเปล่งรังสีออกมาเป็นคู่ ๆ
ข่ายรัศมีมีอยู่ในระหว่างนี้ แสงสว่างมีอย่างไพบูลย์
[๗๑] ขอประชาชนทั้งหมดในโลกธาตุประมาณเท่านี้
จงมองเห็นเรา ทั้งหมดจงดีใจ ทั้งหมดจงคล้อยตามเรา
[๗๒] เราตีกลองอมฤต๑ มีเสียงไพเราะกังวาน
ขอประชาชนในระหว่างนี้ จงฟังเสียงที่ไพเราะ(ของเรา)
[๗๓] เมื่อตถาคตบันดาลเมฆฝนคือพระธรรมให้ตกลง
ขอชนทั้งหมดจงเป็นผู้ไม่มีอาสวะ
บรรดาผู้ที่ประชุมกันอยู่ในที่นี้
ผู้มีคุณต่ำสุด จงเป็นพระโสดาบัน
[๗๔] เราให้ทานที่ควรให้แล้ว บำเพ็ญศีลบารมีอย่างเต็มเปี่ยม
สำเร็จเนกขัมมบารมีแล้วบรรลุสัมโพธิญาณอันสูงสุด๒
[๗๕] เราสอบถามบัณฑิตทั้งหลาย (บำเพ็ญปัญญาบารมีแล้ว)
บำเพ็ญวิริยบารมีแล้ว
สำเร็จขันติบารมีแล้วบรรลุสัมโพธิญาณอันสูงสุด
[๗๖] เราบำเพ็ญอธิษฐานบารมีแล้ว
บำเพ็ญสัจจบารมีแล้ว สำเร็จเมตตาบารมีแล้ว
บรรลุสัมโพธิญาณอันสูงสุด
[๗๗] เรามีใจสม่ำเสมอในอารมณ์ทั้งปวง
คือทั้งในลาภ ในความเสื่อมลาภ ในความสุข ในความทุกข์

เชิงอรรถ :
๑ กลองอมฤต หมายถึงกลองสวรรค์ (ขุ.อป.อ. ๑/๗๒/๑๓๔)
๒ สัมโพธิญาณอันสูงสุด หมายถึงมรรคญาณ ๔ (ขุ.อป.อ. ๑/๗๔/๑๓๔)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๑ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๑. พุทธาปทาน
ในการนับถือและในการถูกดูหมิ่น (บำเพ็ญอุเบกขาบารมีแล้ว)
บรรลุสัมโพธิญาณอันสูงสุด
[๗๘] ท่านทั้งหลาย จงเห็นความเกียจคร้านเป็นสิ่งน่ากลัว
แต่จงเห็นความเพียรเป็นสิ่งปลอดภัย
จงบำเพ็ญเพียรกันเถิด
นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า
[๗๙] ท่านทั้งหลาย จงเห็นการวิวาทกันเป็นสิ่งน่ากลัว
แต่จงเห็นการไม่วิวาทกันเป็นสิ่งปลอดภัย
จงสมัครสมานสามัคคีกัน พูดจาไพเราะกันเถิด
นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า
[๘๐] ท่านทั้งหลาย จงเห็นความประมาทเป็นสิ่งน่ากลัว
แต่จงเห็นความไม่ประมาทเป็นสิ่งปลอดภัย
จงเจริญมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ เถิด๑
นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า
[๘๑] พระพุทธเจ้าและเหล่าพระอรหันต์จำนวนมากมาประชุมพร้อมกัน
ท่านทั้งหลายจงกราบไหว้พระพุทธเจ้าและเหล่าพระอรหันต์เถิด
[๘๒] ตามที่กล่าวมานี้ พระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นอจินไตย๒
ธรรมของพระพุทธเจ้าก็เป็นอจินไตย
สำหรับผู้ที่เลื่อมใสในอจินไตย ย่อมมีวิบากเป็นอจินไตย ดังนี้แล
ได้ทราบว่า พระผู้มีพระภาคเมื่อจะทรงให้พระอานนทเถระทราบพุทธจริตของ
พระองค์จึงได้ตรัสธรรมบรรยายชื่อว่าพุทธาปทานิยะ (การประกาศประวัติในอดีต-
ชาติของพระพุทธเจ้า) ด้วยประการฉะนี้
พุทธาปทานจบ

เชิงอรรถ :
๑ มรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ
สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ (ขุ.อป.อ. ๑/๘๐/๑๓๕)
๒ อจินไตย หมายถึงสภาวะที่พ้นความคิดของตนที่จะคิดได้ คือไม่อยู่ในวิสัยที่จะคิดได้ (ขุ.อป.อ. ๑/๘๒/๑๓๖)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๒ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๒. ปัจเจกพุทธาปทาน
๒. ปัจเจกพุทธาปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระปัจเจกพุทธเจ้า
(ต่อไปนี้ ขอให้ท่านทั้งหลาย จงฟังประวัติในอดีตชาติของพระปัจเจกพุทธเจ้า)
[๘๓] พระอานนทเถระ ผู้เป็นมุนีชาวแคว้นวิเทหะ
น้อมกายลง ทูลถามพระตถาคตผู้ประทับอยู่
ณ พระเชตวันมหาวิหารว่า ข้าแต่พระธีรเจ้า
ได้ทราบว่า พระปัจเจกพุทธเจ้ามีอยู่ พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น
ผู้เป็นนักปราชญ์ อุบัติขึ้นเพราะเหตุอะไร
[๘๔] ลำดับนั้น พระสัพพัญญูผู้ประเสริฐ ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
ได้ตรัสกับพระอานนท์ผู้เจริญด้วยพระสุรเสียงที่ไพเราะว่า
ธีรชนเหล่าใดได้สั่งสมกุศลสมภารไว้ในพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ
ยังไม่ได้ความหลุดพ้นจากกิเลสในศาสนาของพระชินเจ้าทั้งหลาย
[๘๕] เพราะมีความสลดใจนั้นแลเป็นตัวนำ
ธีรชนเหล่านั้นผู้มีปัญญาแก่กล้าดี ถึงจะเว้นจากพระพุทธเจ้า๑
ก็ย่อมบรรลุปัจเจกโพธิญาณได้ แม้ด้วยอารมณ์เพียงนิดหน่อย
[๘๖] ในโลกทั้งปวง๒ ยกเว้นเราเสียแล้ว
ไม่มีใครเสมอกับพระปัจเจกพุทธเจ้าได้เลย
เราจักบอกคุณเพียงสังเขปนี้ของพระปัจเจกพุทธเจ้า
ผู้เป็นมหามุนีเหล่านั้นอย่างชัดเจน
[๘๗] เธอทุกรูปเมื่อปรารถนาพระนิพพานอันเป็นโอสถวิเศษ
มีใจผ่องใสดีแล้ว ก็จงตั้งใจฟังถ้อยคำที่ไพเราะ
ดุจน้ำผึ้งหยาดน้อย ๆ (เกี่ยวกับประวัติ)

เชิงอรรถ :
๑ เว้นจากพระพุทธเจ้า ในที่นี้หมายถึงเว้นจากคำกล่าวสอนและคำพร่ำสอนของพระพุทธเจ้า (ขุ.อป.อ.
๑/๘๕/๑๕๒)
๒ โลกทั้งปวง ในที่นี้หมายถึงโลกทั้ง ๓ คือมนุษยโลก เทวโลก และ พรหมโลก (ขุ.อป.อ. ๑/๘๖/๑๕๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๓ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๒. ปัจเจกพุทธาปทาน
ของพระปัจเจกพุทธเจ้า
ผู้เป็นมหาฤๅษี ผู้ตรัสรู้ได้เองเถิด
[๘๘] ประวัติในอดีต การพยากรณ์ โทษ
เหตุปราศจากความกำหนัดอันใด
ของพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้อุบัติขึ้นแต่ละองค์ ๆ
และพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายได้บรรลุพระโพธิญาณด้วยเหตุอันใด
[๘๙] พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายมีการกำหนดหมาย
ในวัตถุที่น่ารักใคร่๑ว่าปราศจากความน่ารักใคร่
มีจิตคลายกำหนัดในโลกที่มีสภาวะน่ากำหนัด
ละกิเลสที่เป็นเหตุให้เนิ่นช้า ชนะทิฏฐิ๒ที่เป็นเหตุให้ดิ้นรนแล้ว
ได้บรรลุพระโพธิญาณเพราะเหตุอันนั้นนั่นเอง
[๙๐] บุคคลยกโทษในสัตว์ทุกจำพวก
ไม่เบียดเบียนสัตว์หนึ่งสัตว์ใดในบรรดาสัตว์เหล่านั้น
มีจิตเมตตา หวังประโยชน์เกื้อกูล
จึงประพฤติอยู่ผู้เดียวเหมือนนอแรด
[๙๑] (พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งกล่าวว่า)
บุคคลยกโทษในสัตว์ทุกจำพวก
ไม่เบียดเบียนสัตว์หนึ่งสัตว์ใดในบรรดาสัตว์เหล่านั้น
ก็ไม่ต้องการบุตร(แล้ว) จะพึงต้องการสหายจากไหนเล่า
พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรด
[๙๒] (พระปัจเจกพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งกล่าวว่า)
ความรักย่อมมีแก่ผู้มีความเกี่ยวข้อง
ทุกข์นี้ย่อมเป็นไปตามความรัก

เชิงอรรถ :
๑ วัตถุที่น่าใคร่ ในที่นี้หมายถึงวัตถุกามและกิเลสกาม (ขุ.อป.อ. ๑/๘๙/๑๕๓)
๒ ทิฏฐิ ในที่นี้หมายถึงทิฏฐิ ๖๒ (ขุ.อป.อ. ๑/๘๙/๑๕๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๔ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๒. ปัจเจกพุทธาปทาน
บุคคลเมื่อเพ่งเห็นโทษอันเกิดจากความรัก
จึงประพฤติอยู่ผู้เดียวเหมือนนอแรด
[๙๓] (พระปัจเจกพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งกล่าวว่า)
บุคคลเมื่ออนุเคราะห์มิตร สหายผู้ใจดี
มีใจผูกพัน ย่อมทำประโยชน์ให้เสื่อมประโยชน์ไปได้
บุคคลเมื่อเพ่งเห็นภัยในความเชยชิด
จึงประพฤติอยู่ผู้เดียวเหมือนนอแรด
[๙๔] (พระปัจเจกพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งกล่าวว่า)
กอไผ่กว้างใหญ่เกาะเกี่ยวกันไว้ฉันใด
ความห่วงใยในบุตรและทาระ
ก็กว้างใหญ่เกาะเกี่ยวกันไว้ฉันนั้น
บุคคลเมื่อไม่เกี่ยวข้องเหมือนหน่อไผ่
จึงประพฤติอยู่ผู้เดียวเหมือนนอแรด
[๙๕] (พระปัจเจกพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งกล่าวว่า)
เนื้อในป่า มิได้ถูกผูกมัดไว้ย่อมเที่ยวหาอาหารได้
ตามความพอใจฉันใด
วิญญูชนเมื่อเพ่งเห็นธรรมที่ให้ถึงความเสรี
จึงประพฤติอยู่ผู้เดียวเหมือนนอแรด
[๙๖] (พระปัจเจกพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งกล่าวว่า)
ในท่ามกลางสหาย ย่อมมีการปรึกษากัน
ในเรื่องที่อยู่ เรื่องการดำรงตน เรื่องการไป เรื่องการเที่ยวจาริก
บุคคลเมื่อเพ่งการบวชที่ให้ถึงความเสรี๑ที่พวกคนพาลไม่มุ่งหวัง
จึงประพฤติอยู่ผู้เดียวเหมือนนอแรด

เชิงอรรถ :
๑ การบวชที่ให้ถึงความเสรี ในที่นี้หมายถึงเจริญวิปัสสนาแล้วบรรลุปัจเจกโพธิญาณ (ขุ.อป.อ. ๑/๙๖/๑๙๘)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๕ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๒. ปัจเจกพุทธาปทาน
[๙๗] (พระปัจเจกพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งกล่าวว่า)
ในท่ามกลางสหายย่อมมีการเล่น มีความยินดี
และในบุตรก็ย่อมมีความรักอันไพบูลย์
บุคคลเมื่อรังเกียจความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รัก
จึงประพฤติอยู่ผู้เดียวเหมือนนอแรด
[๙๘] (พระปัจเจกพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งเปล่งอุทานว่า)
พระปัจเจกพุทธเจ้าแผ่เมตตาไปทั้ง ๔ ทิศ ไม่ขัดเคือง
ยินดีด้วยปัจจัยตามมีตามได้
ครอบงำอันตรายทั้งหลายและไม่หวาดเสียว
จึงประพฤติอยู่ผู้เดียวเหมือนนอแรด
[๙๙] (พระปัจเจกพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งกล่าวว่า)
แม้บรรพชิตพวกหนึ่งและคฤหัสถ์ที่กำลังครองเรือน
ก็สงเคราะห์ยาก
บุคคลพึงเป็นผู้ขวนขวายน้อยทั้งในผู้อื่นและในบุตร
จึงประพฤติอยู่ผู้เดียวเหมือนนอแรด
[๑๐๐] (พระปัจเจกพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งกล่าวว่า)
พระปัจเจกพุทธเจ้าผู้กล้าหาญ
ปลงเครื่องหมายคฤหัสถ์แล้ว
ตัดเครื่องผูกพันของคฤหัสถ์แล้ว
เหมือนต้นทองหลางที่ใบร่วงหล่นแล้ว
จึงประพฤติอยู่ผู้เดียวเหมือนนอแรด
[๑๐๑] (พระปัจเจกพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งกล่าวว่า)
ถ้าบุคคลพึงได้สหายผู้มีปัญญารักษาตน
เที่ยวไปด้วยกัน เป็นสาธุวิหารี เป็นนักปราชญ์
ครอบงำอันตรายทั้งปวงได้แล้ว
พึงมีใจแช่มชื่น มีสติ เที่ยวไปกับสหายนั้นเถิด

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๖ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๒. ปัจเจกพุทธาปทาน
[๑๐๒] (พระปัจเจกพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งกล่าวว่า)
ถ้าบุคคลไม่พึงได้สหายผู้มีปัญญารักษาตน
เที่ยวไปด้วยกัน เป็นสาธุวิหารี เป็นนักปราชญ์
ก็พึงประพฤติอยู่ผู้เดียวเถิด
เหมือนพระราชาทรงละทิ้งแคว้นที่ทรงชนะแล้ว
ทรงประพฤติอยู่พระองค์เดียว
เหมือนช้างมาตังคะละทิ้งโขลงอยู่ตัวเดียวในป่า ฉะนั้น
[๑๐๓] (พระปัจเจกพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งกล่าวว่า)
เราสรรเสริญสหายสัมปทาโดยแท้
บุคคลควรคบหาสหายผู้ประเสริฐสุด (หรือ) ผู้เสมอกัน
ถ้าบุคคลไม่ได้สหายเหล่านี้
พึงเป็นผู้บริโภคปัจจัยอันไม่มีโทษ
จึงประพฤติอยู่ผู้เดียวเหมือนนอแรด
[๑๐๔] (พระปัจเจกพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งกล่าวว่า)
บุคคลเห็นกำไลทอง ๒ วง อันสุกปลั่ง
ที่ช่างทองทำสำเร็จอย่างดี กระทบกันอยู่ที่ข้อมือแล้ว
จึงประพฤติอยู่ผู้เดียวเหมือนนอแรด
[๑๐๕] (พระปัจเจกพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งเปล่งอุทานว่า)
ด้วยอาการอย่างนี้ การกล่าววาจา
หรือความเกี่ยวข้องกับเพื่อน พึงมีแก่เรา
บุคคลเมื่อเพ่งเห็นภัยนี้ต่อไป
จึงประพฤติอยู่ผู้เดียวเหมือนนอแรด
[๑๐๖] (พระปัจเจกพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งกล่าวว่า)
เพราะกามทั้งหลาย๑ สวยงาม มีรสอร่อย
น่ารื่นเริงใจ ยั่วยวนจิตด่วยอารมณ์หลายรูปแบบ

เชิงอรรถ :
๑ กามทั้งหลาย หมายถึงกาม ๒ อย่าง คือ วัตถุกามและกิเลสกาม วัตถุกาม ได้แก่ วัตถุภายนอกที่
มองเห็นได้มีรูปสวย ๆ งาม ๆ เป็นต้น กิเลสกาม ได้แก่ ความปรารถนาแห่งกิเลสมีราคะ เป็นต้น (ขุ.อป.อ.
๑/๑๐๖/๒๑๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๗ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๒. ปัจเจกพุทธาปทาน
บุคคลเห็นโทษในกามคุณแล้ว
จึงประพฤติอยู่ผู้เดียวเหมือนนอแรด
[๑๐๗] (พระปัจเจกพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งกล่าวว่า)
คำว่า กาม นี้ เป็นอันตราย เป็นดุจฝี
เป็นอุปัททวะ เป็นโรค เป็นดุจลูกศร เป็นภัย๑
บุคคลเห็นภัยในกามคุณแล้ว
จึงประพฤติอยู่ผู้เดียวเหมือนนอแรด
[๑๐๘] (พระปัจเจกพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งกล่าวว่า)
บุคคลพึงครอบงำภัยทั้งปวงแม้เหล่านี้ คือ
ความหนาว ความร้อน ความหิว ความกระหาย
ลม แดด เหลือบ และสัตว์เลื้อยคลาน
จึงประพฤติอยู่ผู้เดียวเหมือนนอแรด
[๑๐๙] (พระปัจเจกพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งกล่าวว่า)
พระปัจเจกพุทธเจ้าละทิ้งหมู่ มีขันธ์เกิดดีแล้ว
มีดอกบัว (คือธรรม) เป็นผู้ยิ่งใหญ่อยู่ในป่าตามความชอบใจได้
เหมือนนาคะละทิ้งโขลงแล้วอยู่ในป่าได้ตามความชอบใจ
จึงประพฤติอยู่ผู้เดียวเหมือนนอแรด
[๑๑๐] (พระปัจเจกพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งกล่าวว่า)
บุคคลใคร่ครวญถ้อยคำของพระปัจเจกพุทธเจ้า
ผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่งพระอาทิตย์ว่า

เชิงอรรถ :
๑ คำว่า กาม ชื่อว่าเป็นอันตราย เพราะนำมาซึ่งความฉิบหาย ชื่อว่าเป็นดุจฝี เพราะหลั่งกิเลสออกมา ชื่อ
ว่าเป็นอุปัททวะ เพราะรบกวน ชื่อว่าเป็นโรค เพราะปล้นเอาความไม่มีโรคไป ชื่อว่าเป็นดุจลูกศร เพราะเสียดแทง
จิตใจและถอนยาก ชื่อว่าเป็นภัย เพราะนำมาซึ่งภัยในภพนี้และภพหน้า (ขุ.อป.อ.๑/๑๐๗/๒๑๔.)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๘ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๒. ปัจเจกพุทธาปทาน
บุคคลสัมผัสวิมุตติใด ซึ่งกิดขึ้นตามสมัย ๑
วิมุตตินั้น เป็นไปไม่ได้สำหรับบุคคล
ผ้ยินดีการคลุกคลีด้วยหมู่คณะ ดังนี้แล้ว
จึงประพฤติอยู่ผู้เดียวเหมือนนอแรด
[๑๑๑] (พระปัจเจกพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งกล่าวว่า)
(พระปัจเจกพุทธเจ้า) ประพฤติล่วงทิฎฐิอันเป็นเสี้ยนหนาม๒
ถึงนิยาม๓ ได้เฉพาะมรรคแล้ว๔
เป็นผู้มีญาณอันเกิดขึ้นแล้ว
ไม่ต้องให้ผู้อื่นแนะนำ
จึงประพฤติอยู่ผู้เดียวเหมือนนอแรด
[๑๑๒] (พระปัจเจกพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งกล่าวว่า)
(พระปัจเกจพุทธเจ้า) เป็นผู้ไม่โลภ ไม่หลอกลวง ไม่กระหาย
ไม่มีความลบหลู่ กำจัดสภาวะ (กิเลสดุจนำย้อม) และโมหะได้แล้ว
เป็นผู้ไม่มีความหวังในโลกทั้งปวง
จึงประพฤติอยู่ผู้เดียวเหมือนนอแรด

เชิงอรรถ :
๑ หมายถึง สามยิกวิมุตติ ความหลุดพ้นเฉพาะสมัยที่จิตแน่วแน่ สา หิ (โลกิยสมาปตฺติ) เอว ปจฺจตฺถิเกหิ
วิมุจฺจนโต สามยิกา วิมุตฺตีติ วุจฺจติ ขุ.อป.อ. ๑/๑๑๐/๒๑๘-๒๑๑๙, สามยิกํ เจโตวิมุตฺตินฺติ
อปฺปิตปฺปิตกฺขเณ ปจฺจนีกธมฺเมหิ วิมุจฺจติ.... โลกิยสมาปตฺติ สามยิกา เจโตวิมุตฺติ นาม สํ.ส.อ. ๑๑/๕๙/
๑๗๔, ลทฺธตฺตา สามยิกํ ชื่อว่าสามยิกะ เพราะได้เฉพาะสมัย), เป็นคุณที่เสื่อมได้ (อายสฺมา โคธิโก
อปฺปมตฺโต อาตาปี ปหิตตฺโต วิหรนฺโต สามยิกํ เจโตวิมุตฺตึ ผุสิ... สามยิกาย เจโตวิมุตฺติยา หริหายิ
ท่านโคธิกะ ไม่ประมาท มีความเพียรในความหลุดพ้น ๖๘ อย่าง (ดู ขุ.ป. (แปล) ๓๑/๒๐๙/๓๔๖)
เป็นโลกิยสมาบัติ พระอรรถกถาจารย์กล่าวตามภาษิตของพระสารีบุตรเถระ (กตโม สามยิโก วิโมกฺโข
จตฺตาริ จ ฌานานิ จตสฺโส จ อรูปสมาปตฺติโย อยฺ สามยิโก วิโมกฺโข) ความหลุดพ้นเฉพาะสมัย คือ
รูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ (สามบัติ ๘ ก็เรียก)
๒ ทิฏฐิอันเป็นเสี้ยนหนาม ในที่นี้หมายถึงทิฏฐิ ๖๒ (ขุ.อป.อ. ๑/๑๑๑/๒๑๙)
๓ ถึงนิยาม ในที่นี้หมายถึงบรรลุโสดาปัตติมรรค (ขุ.อป.อ. ๑/๑๑๑/๒๑๙)
๔ ได้มรรคแล้ว หมายถึงได้มรรคที่เหลือ (คือ สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค และอรหัตตมรรค) (ขุ.อป.อ.
๑/๑๑๑/๒๑๙)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๙ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๒. ปัจเจกพุทธาปทาน
[๑๑๓] (พระปัจเจกพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งกล่าวว่า)
บุคคลพึงละเว้นสหายชั่ว
ผู้ไม่เห็นประโยชน์ ผู้ตั้งอยู่ในธรรมที่ผิด
ไม่พึงคบผู้ขวนขวาย และผู้ประมาทด้วยตนเอง
จึงประพฤติอยู่ผู้เดียวเหมือนนอแรด
[๑๑๔] (พระปัจเจกพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งกล่าวว่า)
บุคคลพึงคบมิตรผู้ได้ศึกษามาก๑ ทรงธรรม
ผู้ยิ่งใหญ่ มีปฏิภาณ รู้จักประโยชน์แล้ว
พึงกำจัดความสงสัยได้
จึงประพฤติอยู่ผู้เดียวเหมือนนอแรด
[๑๑๕] (พระปัจเจกพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งกล่าวว่า)
(พระปัจเจกพุทธเจ้าฉ ไม่ชื่นชมการเล่น
ความยินดีแลัะความสุขในโลก ไม่ใส่ใจ
งดเว้นจากฐานะแห่งการประดับตกแต่ง พูดคำจริง
จึงประพฤติอยู่ผู้เดียวเหมือนนอแรด
[๑๑๖] (พระปัจเจกพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งกล่าวว่า)
(พระปัจเจกพุทธเจ้า) ละทิ้งบุตร ภรรยา
บิดา มารดา ทรัพย์ ธัญชาติ
พวกพ้องและกามตามส่วนแล้ว
จึงประพฤติอยู่ผู้เดียวเหมือนนอแรด
[๑๑๗] (พระปัจเจกพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งกล่าวว่า)
กามนี้เป็นเครื่องข้อง
มีความสุขน้อย

เชิงอรรถ :
๑ ศึกษามาก หมายถึงศึกษา ๒ อย่าง คือ ศึกษาในปริยัติอันมั่นคงคือพระไตรปิฎก และศึกษาในปฏิเวธ
อันเป็นเครื่องรู้แจ้งมรรค ผล วิชชา และอภิญญา (ขุ.อป.อ. ๑/๑๑๔/๒๒๔)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๒๐ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๒. ปัจเจกพุทธาปทาน
ในกามนี้ มีความยินดีน้อย มีทุกข์มาก
ผู้มีปัญญารู้ว่า กามนี้เป็นดุจขอเหล็กแล้ว
จึงประพฤติอยู่ผู้เดียวเหมือนนอแรด
[๑๑๘] (พระปัจเจกพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งกล่าวว่า)
(พระปัจเจกพุทธเจ้า) ทำลายสังโยชน์แล้ว
เหมือนสัตว์นำทำลายข่าย
และเหมือนไฟไหม้เชื้อมอดหนดไปไม่กลับมา
จึงประพฤติอยู่ผู้เดียวเหมือนนอแรด
[๑๑๙] (พระปัจเจกพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งกล่าวว่า)
ภิกษุเป็นผู้ไม่สอดส่ายจักษุ
และไม่เป็นผู้มีเท้าอยู่ไม่สุข
คุ้มครองอินทรีย์ ๑ รักษาใจได้แล้ว
ไม่ชุ่มด้วยกิเลส ไฟกิเลสมิได้เผา
จึงประพฤติอยู่ผู้เดียวเหมือนนอแรด
[๑๒๐] (พระปัจเจกพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งกล่าวว่า)
(พระปัจเจกพุทธเจ้า) ปลงเครื่องหมายคฤหัสถ์แล้ว
ครองผ้ากาสาวะออกบวช
เหมือนต้นทองหลางมีใบทึบ
จึงประพฤติอยู่ผู้เดียวเหมือนนอแรด
[๑๒๑] (พระปัจเจกพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งกล่าวว่า)
(พระปัจเจกพุทธเจ้า) ไม่ทำความยินดีในรส ไม่โลเล
ไม่ต้องเลี้ยงคนอื่น เที่ยวบิณฑบาตไปตามลำดับตรอก
มีใจไม่ผูกพันในตระกูลต่าง ๆ
จึงประพฤติอยู่ผู้เดียวเหมือนนอแรด

เชิงอรรถ :
๑ อินทรีย์ หมายถึงอินทรีย์ ๖ (คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) (ขุ.อป.อ. ๑/๑๑๙/๒๒๙)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๒๑ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๒. ปัจเจกพุทธาปทาน
[๑๒๒] (พระปัจเจกพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งกล่าวว่า)
(พระปัจเจกพุทธเจ้า) ละเครื่องกั้นทางใจ ๕ ประการ๑
ขจัดอุปกิเลส๒ แห่งจิตทั้งปวงได้แล้ว
ไม่อิงอาศัยเครื่องอาศัยคือทิฏฐิ
ตัดความรักและความชังด้แล้ว
จึงประพฤติอยู่ผู้เดียวเหมือนนอแรด
[๑๒๓] (พระปัจเจกพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งกล่าวว่า)
(พระปัจเจกพุทธเจ้า) ละสุข และทุกข์
โสมนัส โทมนัส ก่อน ๆ ได้แล้ว
ได้อุเบกขาและสมถะอันสะอาดแล้ว
จึงประพฤติอยู่ผู้เดียวเหมือนนอแรด
[๑๒๔] (พระปัจเจกพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งกล่าวว่า)
(พระปัจเจกพุทธเจ้า) ตั้งความเพียรเพื่อบรรลุประโยชน์อย่างยิ่ง
มีจิตไม่ย่อหย่อน ไม่ประพฤติเกียจคร้าน
มีความบากบั่นมั่นคง เข้าถึงเรี่ยวแรงยและกำลังแล้ว
จึงประพฤติอยู่ผู้เดียวเหมือนนอแรด
[๑๒๕] (พระปัจเจกพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งกล่าวว่า)
(พระปัจเจกพุทธเจ้า) ผู้ไม่ละการหลีกเร้น๓ และฌาน๔
ประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรมเป็นนิตย์
พิจารณาเห็นโทษในภพแล้ว
จึงประพฤติอยู่ผู้เดียวเหมือนนอแรด

เชิงอรรถ :
๑ เครื่องกั้นทางใจ ๕ ประการ ในที่นี้หมายถึงนิวรณ์ ๕ (ขุ.อป.อ. ๑/๑๒๒/๒๓๒)
๒ อุปกิเลส หมายถึงอกุศลธรรมที่เข้าไปเบียดเบียนจิต (มี ๑๖ คือ อภิชฌาวิสมโลภะ พยาบาท โกธะ
อุปนาหะ มักขะ ปลาสะ อิสสา มัจฉริยะ มายา สาเถยยะ ถัมภะ สารัมภะ มานะ อติมานะ มทะ ปมาทะ)
(ขุ.อป.อ. ๑/๑๒๒/๒๓๒)
๓ การหลีกเร้น ในที่นี้หมายถึงกายวิเวก สงัดกาย (ขุ.อป.อ. ๑/๑๒๕/๒๓๖)
๔ ฌาน ในที่นี้หมายถึงจิตตวิเวก สงัดจิต (ขุ.อป.อ. ๑/๑๒๕/๒๓๖)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๒๒ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๒. ปัจเจกพุทธาปทาน
[๑๒๖] (พระปัจเจกพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งกล่าวว่า)
(พระปัจเกจพุทธเจ้า) เมื่อปรารถนาความสิ้นตัณหา
ไม่ประมาท ไม่โง่เขลา
คงแก่เรียน มีสติ ผู้มีสังขตธรรม
ผู้แน่นอน มีความมุ่งมั่น
จึงประพฤติอยู่ผู้เดียวเหมือนนอแรด
[๑๒๗] (พระปัจเจกพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งกล่าวว่า)
(พระปัจเจกพุทธเจ้า) ไม่สะดุ้งในเพราะเสียงเหมือนราชสีห์
ไม่ติดข่ายเหมือนลม
ไม่เปียกนำเหมือนบัว
จึงประพฤติอยู่ผู้เดียวเหมือนนอแรด
[๑๒๘] (พระปัจเจกพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งกล่าวว่า)
พญาสีหราชมีเขี้ยวเป็นกำลัง ข่มขี่
ครอบงำเนื้อทั้งหลายเที่ยวไป ฉันใด
พระปัจเจกพุทธเจ้าก็มีปัญญาเป็นกำลัง
ครอบงำบุคคลทั้งหลายด้วยปัญญา
ใช้สอยเสนาสนะอันสงัด
จึงประพฤติอยู่ผู้เดียวเหมือนนอแรด
[๑๒๙] (พระปัจเจกพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งกล่าวว่า)
(พระปัจเกจพุทธเจ้า) เสพอาศัยเมตตา
กรุณา มุทิตา และอุเบกขา อันเป็นวิมุตติตามกาล
สัตว์โลกทั้งปวงมิได้เกลียดชัง
จึงประพฤติอยู่ผู้เดียวเหมือนนอแรด
[๑๓๐] (พระปัจเจกพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งกล่าวว่า)
(พระปัจเจกพุทธเจ้า) ละราคะ โทสะ
และโมหะ ทำลายสังโยชน์ได้เสีย
ไม่สะดุ้งในเวลาสิ้นชีวิต
จึงประพฤติอยู่ผู้เดียวเหมือนนอแรด

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๒๓ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๒. ปัจเจกพุทธาปทาน
[๑๓๑] (พระปัจเจกพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งกล่าวว่า)
ทุกวันนี้ มิตรทั้งหลายมีประโยชน์เป็นเหตุ
จงคบและเสพด้วย มิตรที่ไม่มุ่งประโยชน์หาได้ยาก
มนุษย์ทั้งหลายมีปํญญามุ่งประโยชน์ตน ไม่สะอาด ๑
พระปัจเกจพุทธเจ้า จึงประพฤติอยู่ผู้เดียวเหมือนนอแรด
[๑๓๒] พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย๒ มีศีลบริสุทธิ์ (ด้วยปาริสุทธิศีล ๔)
มีปัญญาหมดจดดี มีจิตตั้งมั่น
หมั่นประกอบธรรมเป็นเครื่องตื่น
เห็นแจ้ง(ไตรลักษณ์) เห็นธรรมวิเศษ๓
รู้อยู่โดยพิเศษซึ่งอริยธรรมที่ประกอบด้วยองค์มรรคและโพชฌงค์
[๑๓๓] ธีรชนเหล่าใดเจริญสุญญตวิโมกข์ อนิมิตตวิโมกข์
และอัปปณิหิตวิโมกข์แล้ว
ยังไม่บรรลุความเป็นสาวกในศาสนาพระชินเจ้า
ธีรชนเหล่านั้นย่อมเป็นพระสยัมภูปัจเจกชินเจ้า
[๑๓๔] พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายมีธรรมยิ่งใหญ่
มีธรรมกายมาก๔ มีจิตเป็นอิสระ
ข้ามห้วงแห่งทุกข์ทั้งมวลได้แล้ว มีจิตเบิกบาน
มีปกติเห็นประโยชน์อย่างยิ่ง เหมือนราชสีห์ เหมือนนอแรด
[๑๓๕] พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านี้มีอินทรีย์สงบแล้ว มีจิตสงบแล้ว
มีจิตเป็นสมาธิ ประพฤติตอบแทน(ด้วยความเอ็นดูและความกรุณา)

เชิงอรรถ :
๑ ไม่สะอาด ในที่นี้หมายถึงประกอบด้วยการกระทำทางกาย วาจา และใจ ในทางไม่ดี (ขุ.อป.อ.
๑/๑๓๑/๒๔๔)
๒ พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวคาถาเฉพาะคาถาที่ ๙๑-๑๓๑ (ขุ.อป.อ. ๑/๑๕๘-๑๖๕) ตั้งแต่คาถาที่
๑๓๒ นี้เป็นต้นไป พระผู้มีพระภาคตรัสเล่าคุณของพระปัจเจกพุทธเจ้าให้พระอานนทเถระฟังต่อ
๓ เห็นธรรมวิเศษ หมายถึงมีปกติเห็นกุศลธรรม ๑๐ สัจจธรรม ๔ หรือโลกุตตรธรรม ๙ (คือ มรรค ๔
ผล ๔ นิพพาน ๑) โดยวิเศษ (ขุ.อป.อ. ๑/๑๓๒/๒๔๔)
๔ มีธรรมกายมาก ในที่นี้หมายถึงมีกายคือสภาวธรรมมาก (ขุ.อป.อ. ๑/๑๓๔/๒๔๕)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๒๔ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๒. ปัจเจกพุทธาปทาน
ในเหล่าสัตว์ที่อยู่ตามชายแดน
เหมือนดวงประทีปส่องสว่างอยู่ในโลกนี้
และในโลกหน้า เกื้อกูลสัตว์โลกเป็นนิตย์
[๑๓๖] พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านี้เป็นผู้สูงสุดในหมู่ชน
ละเครื่องกั้นทั้งปวงได้แล้ว เป็นดวงประทีปของโลก
มีรัศมีเช่นกับประกายแสงแห่งทองแท่ง
เป็นผู้สมควรรับทักษิณาอย่างดีของชาวโลกอย่างแน่นอน
พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านี้เป็นผู้แนบแน่นอยู่เป็นนิตย์๑
[๑๓๗] ถ้อยคำที่พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวไว้ดีแล้ว
ย่อมแผ่ไปในโลกพร้อมทั้งเทวโลก ชนพาลเหล่าใดได้ฟังแล้ว
ไม่ใส่ใจถึงคำที่พระปัจเจกพุทธเจ้ากล่าวไว้ดีแล้วอย่างนั้น
ชนพาลเหล่านั้นย่อมแล่นไปในกองทุกข์ซ้ำแล้วซ้ำอีก
[๑๓๘] ถ้อยคำที่พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวไว้ดีแล้ว
เป็นถ้อยคำไพเราะ ดุจน้ำผึ้งหยาดน้อย ๆ ไหลหยดลงฉะนั้น
ชนเหล่าใดได้ฟังแล้วปฏิบัติตามอย่างนั้น
ชนเหล่านั้น เป็นผู้เห็นสัจจะ มีปัญญา
[๑๓๙] คาถาที่พระปัจเจกพุทธเจ้ากล่าวไว้แล้ว เป็นคาถาที่โอฬาร
ถ้อยคำเหล่านั้นเป็นคำที่พระศากยสีหะผู้สูงสุดในนรชน
เสด็จออกผนวชประกาศไว้แล้วเพื่อให้เวไนยสัตว์ได้รู้ธรรม
[๑๔๐] ถ้อยคำเหล่านี้ ที่พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่านั้น
กล่าวไว้แล้วเพื่ออนุเคราะห์สัตว์โลก ซึ่งพระสยัมภูผู้สีหะ(นำมา)
ประกาศไว้เพื่อเพิ่มพูนความสลดสังเวช
ความไม่คลุกคลี และปัญญา
ปัจเจกพุทธาปทาน จบ

เชิงอรรถ :
๑ แนบแน่นอยู่ป็นนิตย์ ในที่นี้หมายถึงอิ่มหนำบริบูรณ์เป็นนิตย์ แม้ต้องอดอาหารถึง ๗ วัน ก็บริบูรณ์
อยู่ได้ด้วยอำนาจสมาบัติ (ขุ.อป.อ. ๑/๑๓๖/๒๔๖)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๒๕ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๑. สารีปุตตเถราปทาน
๓. เถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระเถระ
๑. สารีปุตตเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระสารีบุตรเถระ
(พระอานนทเถระกล่าวว่า)๑ ต่อไปนี้ ขอท่านทั้งหลายจงตั้งใจฟังประวัติ ในอดีต
ชาติของพระเถระทั้งหลาย (ต่อไป)
(พระสารีบุตรเถระบรรลุสาวกบารมีญาณแล้วได้อุทานขึ้นว่า)
[๑๔๑] ในที่ไม่ไกลภูเขาหิมพานต์ มีภูเขาลูกหนึ่งชื่อลัมพกะ
(ใกล้ ๆ ภูเขาลัมพกะนั้น) เขาสร้างอาศรม
และสร้างบรรณศาลาไว้อย่างดีเพื่อข้าพเจ้า
[๑๔๒] ในที่ไม่ไกลอาศรมของข้าพเจ้า มีแม่น้ำสายหนึ่งมีฝั่งตื้น
ท่าน้ำราบเรียบ น่ารื่นรมย์ใจ
มีทรายสะอาดเรี่ยรายกระจายอยู่ทั่ว
[๑๔๓] ในที่ไม่ไกลอาศรมของข้าพเจ้านั้น
มีแม่น้ำไม่มีก้อนกรวด ไม่มีเงื้อมยื่นง้ำออกมา
น้ำมีรสดี ไม่มีกลิ่น ไหลไป
ประดับอาศรมของข้าพเจ้าให้งดงาม
[๑๔๔] ในแม่น้ำ มีฝูงจระเข้ ฝูงมังกร
ฝูงตะโขง และฝูงเต่า แหวกว่ายไปมา
ในแม่น้ำสายนั้น ประดับอาศรมของข้าพเจ้าให้งดงาม
[๑๔๕] ฝูงปลาสลาด ฝูงปลากระบอก
ฝูงปลาสวาย ฝูงปลาเค้า ฝูงปลาตะเพียน
ฝูงปลานกกระจอก ว่ายเวียนไปมา
ประดับอาศรมของข้าพเจ้าให้งดงาม

เชิงอรรถ :
๑ พระอานนทเถระบอกให้พระเถระทั้งหลายผู้ร่วมทำปฐมสังคายนาตั้งใจฟัง (แปลเพิ่มตาม ขุ.อป.อ. ๑/๑๔๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๒๖ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๑. สารีปุตตเถราปทาน
[๑๔๖] ที่ฝั่งทั้ง ๒ ของแม่น้ำ หมู่ไม้ดอก ไม้ผล
ห้อยระย้าอยู่ทั้ง ๒ ฝั่ง
ประดับอาศรมของข้าพเจ้าให้งดงาม
[๑๔๗] ต้นมะม่วง ต้นสาละ ต้นหมากเม่า
ต้นแคฝอย ต้นย่านทราย มีดอกบานสะพรั่ง
ส่งกลิ่นหอมอบอวลคล้ายกลิ่นทิพย์อยู่รอบ ๆ อาศรมของข้าพเจ้า
[๑๔๘] ต้นจำปา ต้นช้างน้าว ต้นกระทุ่ม ต้นกากะทิง
ต้นบุนนาค และต้นการะเกด มีดอกบานสะพรั่ง
ส่งกลิ่นหอมอบอวลคล้ายกลิ่นทิพย์อยู่รอบ ๆ อาศรมของข้าพเจ้า
[๑๔๙] ต้นลำดวน ต้นอโศก ต้นกุหลาบ
มีดอกบานสะพรั่ง ต้นปรู และต้นมะกล่ำหลวง
ก็มีดอกบานสะพรั่งอยู่รอบ ๆ อาศรมของข้าพเจ้า
[๑๕๐] ต้นลำเจียก ต้นกล้วย ต้นพิกุล และต้นมะลิซ้อน
ส่งกลิ่นหอมอบอวลคล้ายกลิ่นทิพย์
ประดับอาศรมของข้าพเจ้าให้งดงาม
[๑๕๑] ต้นกรรณิการ์ ต้นกรรณิการ์เขา
ต้นประดู่ ต้นอัญชัน มากมาย
ส่งกลิ่นหอมอบอวลคล้ายกลิ่นทิพย์
ประดับอาศรมของข้าพเจ้าให้งดงาม
[๑๕๒] ต้นบุนนาค ต้นบุนนาคเขา ต้นแคฝอย
มีดอกบานสะพรั่ง ส่งกลิ่นหอมอบอวลคล้ายกลิ่นทิพย์
ประดับอาศรมของข้าพเจ้าให้งดงาม
[๑๕๓] ต้นราชพฤกษ์ ต้นอัญชันเขียว
ต้นกระทุ่ม และต้นพิกุล มากมาย
ส่งกลิ่นหอมอบอวลคล้ายกลิ่นทิพย์
ประดับอาศรมของข้าพเจ้าให้งดงาม

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๒๗ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๑. สารีปุตตเถราปทาน
[๑๕๔] ถั่วดำ ถั่วเหลือง ต้นกล้วย
ต้นมะงั่ว งอกงามด้วยน้ำหอม
ออกฝัก ออกผล(เป็นทองคำ ประดับอาศรมของข้าพเจ้าให้งดงาม)
[๑๕๕] (ในบึงใกล้ ๆ อาศรมของข้าพเจ้า) ปทุมบางกอกำลังมีดอกตูม
บางกอมีเกสรกำลังแย้ม บางกอมีเกสร(ในกลีบ)ร่วงหล่น
บางกอมีดอกบานสะพรั่งอยู่ในบึง ในครั้งนั้น
[๑๕๖] ปทุมบางกอกำลังมีดอกตูม
เหง้าบัวเลื้อยไปทั่ว กอกระจับมีใบดารดาษ
งดงามอยู่ในบึง ในครั้งนั้น
[๑๕๗] ต้นตาเสือ ต้นจงกลนี ต้นอุตตลี และต้นชบา
มีดอกบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมอบอวลคล้ายกลิ่นทิพย์
อยู่ใกล้ ๆ บึง ในครั้งนั้น
[๑๕๘] ฝูงปลาสลาด ฝูงปลากระบอก
ฝูงปลาสวาย ฝูงปลาเค้า ฝูงปลาตะเพียน
ฝูงปลาสังกุลา(ปลาลูกดอก) และฝูงปลาทอง
อาศัยอยู่ในบึง ในครั้งนั้น
[๑๕๙] (ใกล้ ๆ อาศรมของข้าพเจ้า) มีฝูงจระเข้ ฝูงตะโขง๑
ฝูงปลาฉนาก๒ ฝูงผีเสื้อน้ำ(ยักษ์ร้าย)ฝูงงูหลาม
ฝูงงูเหลือมอาศัยอยู่ในบึง ในครั้งนั้น
[๑๖๐] (ใกล้ ๆ อาศรมของข้าพเจ้า) มีฝูงนกพิราบ ฝูงนกเป็ดน้ำ
ฝูงนกจักรพาก๓ ฝูงนกกาน้ำ ฝูงนกดุเหว่า
ฝูงนกแก้ว และนกสาลิกา อาศัยสระนั้นหากิน

เชิงอรรถ :
๑ ตะโขง มีลักษณะคล้ายจระเข้แต่ปากเรียวและยาวกว่า อีกอย่างหนึ่ง แปลว่า ปลาร้าย
๒ ปลาฉนาก ได้แก่ปลามีปากมีลักษณะเป็นกระดูกแข็งยื่นออกไปเป็นก้านยาวมีฟันทั้ง ๒ ข้างคล้ายฟันเลื่อย
๓ จักรพาก หรือ จักรวาก คู่ของนกนี้ต้องพรากจากกันครวญถึงกัน ในเวลากลางคืน

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๒๘ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๑. สารีปุตตเถราปทาน
[๑๖๑] ฝูงนกกวัก (ไก่เถื่อน ไก่ป่า) ฝูงไก่ป่า
ฝูงนกนางนวล ฝูงนกต้อยตีวิด
ฝูงนกแขกเต้า อาศัยสระนั้นหากิน (ใกล้ ๆ อาศรมของข้าพเจ้า)
[๑๖๒] ฝูงหงส์ ฝูงนกกระเรียน ฝูงนกยูง
ฝูงนกดุเหว่า ฝูงไก่งวง ฝูงนกช้อนหอย๑
ฝูงนกโพระดก (นกกระจอก นกออก) อาศัยสระนั้นหากิน
[๑๖๓] ฝูงนกแสก (นกเค้าแมว นกทึดทือ) ฝูงนกหัวขวาน
ฝูงนกออกขาว (นกเขา) ฝูงนกเหยี่ยวดำ
ฝูงนกกาน้ำ มากมาย อาศัยสระนั้นหากิน
[๑๖๔] ฝูงเนื้อฟาน (อีเก้ง) ฝูงหมูป่า ฝูงสุนัขจิ้งจอก
(หมาป่า หมาใน) ฝูงแรด ฝูงละมั่ง
ฝูงเนื้อทราย อาศัยสระนั้นหากิน
[๑๖๕] ราชสีห์ เสือโคร่ง เสือเหลือง
หมี หมาใน เสือดาว
ช้างตระกูลมาตังคะตกมัน ๓ แห่ง๒(ไม่ทำอันตราย)
อาศัยสระนั้นหากิน
[๑๖๖] เหล่ากินนร (สัตว์ครึ่งคนครึ่งนก) ฝูงวานร
คนทำงานในป่า สุนัขไล่เนื้อ
นายพราน อาศัยสระนั้นหากิน
[๑๖๗] ต้นมะพลับ ต้นมะหาด๓ ต้นมะซาง
ต้นหมากเม่า เผล็ดผลทุกฤดูกาล
อยู่ไม่ไกลอาศรมของข้าพเจ้า

เชิงอรรถ :
๑ นกช้อนหอย นกกินปลา ปมฺปกา ลิงลม ก็แปล
๒ ตกมัน ๓ แห่ง คือ นัยน์ตา ใบหู และลูกอัณฑะ (ขุ.อป.อ. ๑/๑๖๐/๒๖๐,๖๕๗/๓๗๗
๓ ต้นไม้ขนาดใหญ่ มีผลคล้ายมะปราง รสเปรี้ยว ๆ หวาน ๆ (ขุ.อป.อ. ๑/๑๖๕/๒๖๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๒๙ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๑. สารีปุตตเถราปทาน
[๑๖๘] ต้นคำ๑ ต้นสน ต้นกระทุ่ม
สะพรั่งด้วยผลมีรสหวาน เผล็ดผลเป็นประจำ
อยู่ไม่ไกลอาศรมของข้าพเจ้า
[๑๖๙] ต้นสมอไทย ต้นมะขามป้อม ต้นมะม่วง ต้นหว้า
ต้นสมอพิเภก ต้นกระเบา ต้นรกฟ้า
ต้นมะตูม เหล่านั้น เผล็ดผลเป็นนิตย์
[๑๗๐] มันเทศ มันอ้อน มันมือเสือ หัวหอม หัวกระเทียม๒
ต้นกะเม็ง๓ ต้นขัดมอน๔
มีอยู่มากมายใกล้ ๆ อาศรมของข้าพเจ้า
[๑๗๑] ใกล้ ๆ อาศรม(ของข้าพเจ้า)มีบึงน้ำที่บุญกรรมเนรมิตไว้อย่างดี
มีน้ำใสเย็นสนิท มีท่าน้ำราบเรียบ เป็นที่น่ารื่นรมย์ใจ
[๑๗๒] (สระน้ำเหล่านั้น) ดารดาษด้วยดอกบัวหลวง ดอกบัวขาบ๕
สะพรั่งด้วยบัวขาว ดารดาษด้วยบัวเฝื่อน
ส่งกลิ่นหอมอบอวลคล้ายกลิ่นทิพย์
[๑๗๓] ครั้งนั้น๖ ข้าพเจ้าอยู่ในอาศรม
ซึ่งสร้างไว้อย่างดี น่ารื่นรมย์ ในป่ามีไม้ดอกไม้ผล
สมบูรณ์ด้วยองค์ประกอบทุกอย่าง ดังกล่าวมานี้
[๑๗๔] ข้าพเจ้าเป็นดาบสชื่อสุรุจิ มีศีล๗
สมบูรณ์ด้วยข้อวัตร มีปกติเพ่งฌาน

เชิงอรรถ :
๑ ไม้พุ่มชนิดหนึ่ง ต้นแสด หรือต้นคำแสด ก็เรียก
๒ ต้นดอกซ่อนกลิ่น
๓ ต้นไม้ขนาดเล็ก ต้นสีม่วง ใบเขียวขนคาย ดอกขาว ใช้ทำยารักษาโรคเด็ก
๔ ต้นข้าวต้ม ต้นขัดมอน ก็เรียก เปลือกเหนียว ดอกเหลือง เป็นสมุนไพรอย่างหนึ่ง ใช้ทำไม้กวาดได้
๕ บัวสีน้ำเงินแก่อมม่วง
๖ ครั้งนั้น ในที่นี้หมายถึงในครั้งที่ข้าพเจ้าเป็นดาบส (ขุ.อป.อ. ๑/๑๗๓/๒๖๒)
๗ มีศีล ในที่นี้หมายถึงศีล ๕ (ขุ.อป.อ. ๑/๑๗๔/๒๖๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๓๐ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๑. สารีปุตตเถราปทาน
ยินดีในฌานในกาลทุกเมื่อ
สำเร็จอภิญญาพละ ๕๑ ประการ
[๑๗๕] ข้าพเจ้ามีศิษย์ ๑,๐๒๔ คน ทั้งหมดนั้น
เป็นพราหมณ์ มีชาติตระกูล มียศ
ปรนนิบัติข้าพเจ้าอยู่
[๑๗๖] ศิษย์ของข้าพเจ้าเข้าใจตัวบท(หลักไวยากรณ์)
ฉลาดในการพยากรณ์ สำเร็จวิชาทำนายลักษณะ
วิชาอิติหาสศาสตร์ และไตรเพทอันเป็นธรรมของตน
พร้อมทั้งวิชานิฆัณฑุศาสตร์ และวิชาเกฏุภศาสตร์๒
[๑๗๗] ศิษย์ของข้าพเจ้าฉลาดในลางบอกเหตุ
ในนิมิตร และในลักษณะ
เป็นผู้ศึกษาดีแล้วในเรื่องดิน
ในภาคพื้นดิน และในอากาศ
[๑๗๘] ศิษย์เหล่านั้นเป็นผู้มักน้อย
มีปัญญารักษาตน บริโภคแต่น้อย ไม่โลภ
สันโดษตามมีตามได้ ปรนนิบัติข้าพเจ้าอยู่ทุกเมื่อ
[๑๗๙] ศิษย์ของข้าพเจ้ามีปกติเพ่งฌาน ยินดีในฌาน
เป็นนักปราชญ์ มีจิตสงบ มีจิตตั้งมั่น
ปรารถนาความหมดกังวล ปรนนิบัติข้าพเจ้าอยู่ทุกเมื่อ

เชิงอรรถ :
๑ อภิญญาพละ ๕ คือ แสดงฤทธิ์ได้ หูทิพย์ รู้ใจผู้อื่น ระลึกชาติได้ และตาทิพย์ (ขุ.อป.อ. ๑/๑๗๔/๒๖๓)
๒ วิชาทำนายลักษณะ หมายถึงคัมภีร์ประกาศลักษณะของหญิงและบุรุษชาวโลกทั้งหมดมีทุกข์และสุข
อิติหาสศาสตร์ หมายถึงคัมภีร์ชี้แจงคำพูดที่ท่านกล่าวว่า อิติห อาสา
นิฆัณฑุศาสตร์ หมายถึงคัมภีร์ประกาศชื่อต้นไม้และภูเขาเป็นต้น
เกฏุภศาสตร์ หมายถึงคัมภีร์ว่าด้วยวิชาการกวี (ขุ.อป.อ. ๑/๑๗๖/๒๖๓, ดูเชิงอรรถเล่ม ๙ ข้อ ๒๕๖)
ไตรเพท หมายถึงพระเวท ๓ คือ ฤคเวท ยชุรเวท และสามเวท (องฺ.ติก.อ. ๒/๕๙/๑๖๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๓๑ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๑. สารีปุตตเถราปทาน
[๑๘๐] ศิษย์ของข้าพเจ้าสำเร็จอภิญญา
ยินดีในอาหารซึ่งเป็นข้อปฏิบัติของบิดา๑
เหาะไปมาทางอากาศได้
เป็นนักปราชญ์ ปรนนิบัติข้าพเจ้าอยู่ทุกเมื่อ
[๑๘๑] ศิษย์ของข้าพเจ้านั้น สำรวมทวารทั้ง ๖
ไม่หวั่นไหว๒ รักษาอินทรีย์ และไม่คลุกคลี
เป็นนักปราชญ์๓ หาผู้กระทบกระทั่งได้ยาก
[๑๘๒] ศิษย์ของข้าพเจ้านั้นหาผู้กระทบกระทั่งได้ยาก
ให้เวลาผ่านไปด้วยการนั่งขัดสมาธิ
การยืน และการจงกรม ตลอดคืน
[๑๘๓] ศิษย์ของข้าพเจ้าไม่กำหนัดในวัตถุที่น่ากำหนัด
ไม่ขัดเคืองในวัตถุที่น่าขัดเคือง
ไม่ลุ่มหลงในวัตถุที่น่าลุ่มหลง หาผู้กระทบกระทั่งได้ยาก
[๑๘๔] ศิษย์ของข้าพเจ้านั้น หาผู้กระทบกระทั่งได้ยาก
ด้วยการแข่งดีทดลองแสดงฤทธิ์อยู่เป็นนิตย์
บันดาลให้แผ่นดินไหวได้
[๑๘๕] ศิษย์ของข้าพเจ้านั้น หาผู้กระทบกระทั่งได้ยาก
เมื่อจะเล่น ก็เล่นฌาน(เข้าฌาน)
ไปนำผลหว้ามาได้
[๑๘๖] ศิษย์ของข้าพเจ้านั้น พวกหนึ่งไปอปรโคยานทวีป
พวกหนึ่งไปปุพพวิเทหทวีป พวกหนึ่งไปอุตตรกุรุทวีป

เชิงอรรถ :
๑ บาลี เปตฺติเก โคจเร รตา ยินดีในอาหารซึ่งเป็นข้อปฏิบัติของบิดา หมายถึงยินดีในอาหารที่ได้ไม่ใช่ออกปากขอ
(ขุ.อป.อ. ๑/๑๘๐/๒๖๔)
๒ ไม่หวั่นไหว ในที่นี้หมายถึงไม่มีตัณหาเป็นเหตุให้หวั่นไหว (ขุ.อป.อ. ๑/๑๘๑/๒๖๕)
๓ เป็นนักปราชญ์ ในที่นี้หมายถึงเป็นผู้มั่นคง ไม่สะทกสะท้านถึงอันตรายที่เกิดจากสัตว์มีราชสีห์และเสือ
เป็นต้น (ขุ.อป.อ. ๑/๑๘๐/๒๖๕)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๓๒ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๑. สารีปุตตเถราปทาน
[๑๘๗] ศิษย์ของข้าพเจ้านั้น ส่งหาบ(บริขารดาบส)
ไปข้างหน้า ส่วนตนเองไปทีหลัง
ท้องฟ้าถูกดาบส ๑,๐๒๔ รูป ปิดบังไว้แล้ว
[๑๘๘] ศิษย์ของข้าพเจ้านั้น พวกหนึ่งเผา(ผลไม้น้อยใหญ่และผัก)ไฟฉัน
พวกหนึ่งไม่เผาไฟฉันดิบ ๆ พวกหนึ่งกระแทะเปลือกออกฉัน
พวกหนึ่งตำฉัน พวกหนึ่งเอาหินทุบฉัน
พวกหนึ่งฉันผลไม้ที่หล่นเอง
[๑๘๙] ศิษย์ของข้าพเจ้านั้น หาผู้กระทบกระทั่งได้ยาก
พวกหนึ่งรักความสะอาดลงอาบน้ำทั้งเช้าทั้งเย็น
พวกหนึ่งตักน้ำอาบ
[๑๙๐] ศิษย์ของข้าพเจ้า(ประพฤติวัตร)
ปล่อยเล็บมือเล็บเท้าและขนรักแร้ยาว
ขี้ฟันเขลอะ ศีรษะเปื้อนธุลี
แต่หอมด้วยกลิ่นศีล หาผู้กระทบกระทั่งได้ยาก
[๑๙๑] ดาบสทั้งหลายผู้ทรงชฎา
มีตบะแก่กล้า ประชุมกันแต่เช้าแล้ว
ประกาศลาภน้อย ลาภใหญ่ให้ทราบแล้ว เหาะไปในท้องฟ้า
[๑๙๒] เมื่อดาบสเหล่านั้นเหาะไป เสียงดังย่อมสะพัดไป
ทวยเทพย่อมยินดีเพราะได้ยินเสียงหนังสัตว์
[๑๙๓] ฤๅษีผู้เหาะไปทางอากาศไปสู่ทิศน้อยทิศใหญ่
ฤๅษีเหล่านั้นมีกำลังของตนอุปถัมภ์ จึงไปได้ตามปรารถนา
[๑๙๔] ฤๅษีเหล่านั้นทั้งหมดทำแผ่นดินให้ไหว
เที่ยวไปในอากาศ มีเดชแผ่ไป
ใคร ๆ ไม่อาจข่มได้ ผู้อื่นไม่อาจให้หวั่นไหวได้
ดังสมุทรสาครที่ใครอื่นให้กระเพื่อมไม่ได้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๓๓ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๑. สารีปุตตเถราปทาน
[๑๙๕] ฤๅษีผู้เป็นศิษย์ของข้าพเจ้า
บางพวกยืนและเดินจงกรม บางพวกถือการนั่งเป็นวัตร
บางพวกฉันใบไม้ที่หล่นเอง หาผู้กระทบกระทั่งได้ยาก
[๑๙๖] ศิษย์ของข้าพเจ้าเหล่านั้นมีปกติอยู่ด้วยการแผ่เมตตา
แสวงหาประโยชน์เกื้อกูลแก่สรรพสัตว์
ไม่ยกตน ไม่ข่มใคร ๆ
[๑๙๗] ศิษย์ของข้าพเจ้านั้นไม่สะดุ้งกลัวอะไร
เหมือนราชสีห์ มีกำลังเหมือนพญาคชสาร
หาผู้กระทบกระทั่งได้ยาก
เหมือนพญาเสือโคร่ง ย่อมมาอยู่ใกล้ข้าพเจ้า
[๑๙๘] พวกวิทยาธร พวกเทวดา นาค
คนธรรพ์ ผีเสื้อน้ำ กุมภัณฑ์ ทานพ(อสูร)
ครุฑ อาศัยสระนั้นหากิน
[๑๙๙] ศิษย์ของข้าพเจ้าเหล่านั้นเกล้าชฎา
คอนบริขาร นุ่งห่มหนังสัตว์
เที่ยวไปในอากาศได้ทุกตน อาศัยสระนั้นหากิน
[๒๐๐] ครั้งนั้น ศิษย์เหล่านั้นเป็นผู้เหมาะสมกันและกัน
มีความเคารพต่อกันและกัน
ศิษย์ ๑,๐๒๔ คน ไม่มีเสียงไอเสียงจามเลย
[๒๐๑] ศิษย์เหล่านั้นเดินเข้าแถวกัน เงียบเสียง
สำรวมดี ทั้งหมดเข้ามากราบข้าพเจ้าด้วยเศียรเกล้า
[๒๐๒] ข้าพเจ้ามีปกติเข้าฌาน ยินดีในฌาน
อยู่ในอาศรมแห่งนั้นมีศิษย์เหล่านั้นแวดล้อม
ซึ่งเป็นผู้สงบ มีตบะ
[๒๐๓] อาศรมของข้าพเจ้าหอมด้วยกลิ่น ๒ อย่าง
คือกลิ่นศีลของเหล่าฤๅษีและกลิ่นดอกไม้
ผลไม้ของต้นไม้ที่ผลิดอกออกผล

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๓๔ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๑. สารีปุตตเถราปทาน
[๒๐๔] ข้าพเจ้าไม่รู้คืนและวัน
ความไม่พอใจมิได้มีแก่ข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าสั่งสอนศิษย์ของตนได้ความร่าเริงอย่างยิ่ง
[๒๐๕] เมื่อดอกไม้บานและผลไม้สุก
มีกลิ่นทิพย์หอมฟุ้งไป
ประดับอาศรมของข้าพเจ้าให้งดงาม
[๒๐๖] ข้าพเจ้าออกจากสมาธิแล้ว
มีความเพียรเผากิเลส มีปัญญารักษาตน
คอนหาบบริขาร(ดาบส)เข้าป่าไป
[๒๐๗] ครั้งนั้น ข้าพเจ้าได้ศึกษาจนชำนาญ
ในลางบอกเหตุ ในความฝันและในลักษณะทั้งหลาย
ทรงจำบทแห่งมนตร์ที่แพร่หลายอยู่
[๒๐๘] พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่าอโนมทัสสี
ผู้เจริญที่สุดในโลก ทรงองอาจกว่านรชน
ทรงประสงค์วิเวก ตรัสรู้เองโดยชอบ
จึงเสด็จเข้าไปยังป่าหิมพานต์
[๒๐๙] พระองค์ผู้เป็นมุนีผู้เลิศ
ทรงประกอบด้วยพระกรุณา ผู้สูงสุดแห่งบุรุษ
เสด็จถึงป่าหิมพานต์แล้วประทับนั่งขัดสมาธิ
[๒๑๐] ข้าพเจ้าได้พบเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ทรงมีแสงสว่างเจิดจ้า น่ารื่นรมย์ใจ
ทรงรุ่งเรืองดังดอกบัวเขียว
เป็นดุจแท่นบูชาไฟ สว่างเจิดจ้า
[๒๑๑] ข้าพเจ้าได้พบเห็นพระองค์ผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก
ทรงรุ่งเรืองดุจต้นพฤกษาประทีป๑

เชิงอรรถ :
๑ ต้นพฤกษาประทีป หมายถึงดอกไม้ไฟ โคมไฟ (ขุ.อป.อ. ๑/๔๔-๕๕/๑๓๑, ขุ.พุทฺธ.อ. ๔๕/๗๙,๓๐/๑๘๙)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๓๕ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๑. สารีปุตตเถราปทาน
ดุจสายฟ้าสว่างจ้ากลางอากาศ
ดุจต้นพญาไม้สาละ มีดอกบานสะพรั่งอยู่
[๒๑๒] พระผู้มีพระภาคพระองค์นี้ทรงเป็นผู้ประเสริฐ
มีความเพียรมาก เป็นพระมุนีผู้กระทำที่สุดทุกข์ได้แล้ว
เวไนยสัตว์ได้อาศัยการพบเห็นนี้แล้ว
ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้
[๒๑๓] ครั้นข้าพเจ้าได้เห็นพระองค์ผู้ทรงเป็นเทพยิ่งกว่าเทพแล้ว
จึงได้ตรวจดูลักษณะว่า เป็นพระพุทธเจ้าหรือมิใช่
เอาละ เราจะดูพระชินเจ้าผู้มีพระจักษุ๑
[๒๑๔] ที่พื้นฝ่าพระบาทอันยอดเยี่ยมปรากฏมีจักรมีกำตั้งพัน
ข้าพเจ้าได้เห็นลักษณะทั้งหลายของพระองค์แล้ว
จึงถึงความแน่ใจในพระตถาคต
[๒๑๕] ครั้งนั้น ข้าพเจ้าได้หยิบไม้กวาดมากวาดสถานที่นั้นแล้ว
ได้นำดอกไม้มา ๘ ดอก บูชาพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐที่สุด
[๒๑๖] ครั้นข้าพเจ้าบูชาพระพุทธเจ้า ผู้ข้ามพ้นโอฆะได้แล้ว
ไม่มีอาสวะ พระองค์นั้นแล้ว
จึงห่มหนังสัตว์เฉวียงบ่า
นมัสการพระองค์ผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก
[๒๑๗] พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ไม่มีอาสวะ
ประทับอยู่ด้วยพระญาณอันใด
ข้าพเจ้าจักประกาศพระญาณอันนั้น
ขอท่านทั้งหลายจงฟังข้าพเจ้ากล่าวเถิด

เชิงอรรถ :
๑ ผู้มีพระจักษุ หมายถึงทรงมีจักษุ ๕ (คือ มังสจักษุ ตาเนื้อ มีพระเนตรงาม มีอำนาจ เห็นแจ่มใส ไว
และเห็นไกล ทิพยจักษุ ตาทิพย์ ปัญญาจักษุ ตาปัญญา พุทธจักษุ ตาพระพุทธเจ้า คือทรงทราบ
อัธยาศัยและอุปนิสัยแห่งเวไนยสัตว์แล้วทรงสั่งสอนแนะนำให้บรรลุคุณวิเศษต่าง ๆ สมันตจักษุ ตาเห็นรอบ
ทรงมีพระสัพพัญญุตญาณหยั่งรู้ธรรมทุกประการ) (ขุ.อป.อ. ๑/๒๑๓/๒๗๐)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๓๖ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๑. สารีปุตตเถราปทาน
[๒๑๘] (ดาบสสุรุจิกล่าวชมเชยพระผู้มีพระภาคอโนมทัสสีว่า)๑
ข้าแต่พระสยัมภู ผู้มีพระคุณหาประมาณมิได้
ขอพระองค์จงทรงช่วยสัตว์โลกนี้ให้พ้นจากสังสารวัฏเถิด๒
สัตว์เหล่านั้นอาศัยการพบเห็นพระองค์แล้ว
จะข้ามกระแสแห่งความสงสัยได้
[๒๑๙] พระองค์ทรงเป็นศาสดา เป็นยอด
เป็นธงชัย เป็นเสาหลัก เป็นจุดมุ่งหมาย เป็นที่พึ่ง
เป็นดุจดวงประทีปของเหล่าสัตว์
เป็นผู้สูงสุดแห่งเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
[๒๒๐] ข้าแต่พระสัพพัญญู
น้ำในมหาสมุทรสามารถที่จะประมาณได้ด้วยมาตราตวง
แต่พระญาณของพระองค์ไม่มีใครสามารถจะประมาณได้เลย
[๒๒๑] ข้าแต่พระสัพพัญญู
แผ่นดินยังสามารถที่จะนำมาวางไว้บนตราชั่งแล้วชั่งดูได้
แต่พระญาณของพระองค์ ไม่มีใครสามารถจะชั่งดูได้
[๒๒๒] ข้าแต่พระสัพพัญญู
อากาศยังสามารถที่จะใช้เชือกหรือนิ้วมือวัดดูได้
แต่พระญาณของพระองค์ ไม่มีใครสามารถจะวัดดูได้
[๒๒๓] น้ำในมหาสมุทรทั้งหมดและแผ่นดินทั้งสิ้น
บุคคลก็ยังข้ามได้ แต่พระพุทธญาณ
ไม่ควรโดยการนำมาเปรียบเทียบ

เชิงอรรถ :
๑ พระดาบสสุรุจิเป็นอดีตชาติของพระสารีบุตรเถระได้พบพระพุทธเจ้าอโนมทัสสี ตามข้อความในคาถาข้างต้น
ได้กล่าวชมเชยพระองค์
๒ พ้นจากสังสารวัฏ หมายถึงให้สิ้นจากสงสารแล้วให้ถึงฝั่งคือพระนิพพาน (ขุ.อป.อ. ๑/๒๑๘/๒๗๐)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๓๗ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๑. สารีปุตตเถราปทาน
[๒๒๔] ข้าแต่พระองค์ผู้มีพระจักษุ๑
จิตของสัตว์เหล่าใดแล่นไปในโลกพร้อมทั้งเทวโลก
สัตว์ผู้มีจิตเหล่านั้นได้อยู่ในข่ายคือญาณของพระองค์
[๒๒๕] ข้าแต่พระสัพพัญญู
พระองค์ทรงบรรลุพระโพธิญาณ๒อย่างสูงสุดทั้งสิ้นด้วยพระญาณใด
พระองค์ทรงย่ำยีอัญเดียรถีย์ทั้งหลายด้วยพระญาณนั้น
[๒๒๖] (พระเถระทั้งหลายผู้ทำสังคายนากล่าวว่า)
ท่านสุรุจิดาบสนั้น ครั้นกล่าวคาถาเหล่านี้แล้ว
จึงปูลาดหนังสัตว์นั่งลงบนแผ่นดิน
[๒๒๗] (ดาบสสุรุจินั่งอยู่ ณ ที่นั้นแล้วกล่าวว่า)
ผู้คนกล่าวกันในบัดนี้ว่า
ขุนเขา๓หยั่งลงในห้วงมหรรณพ ๘๔,๐๐๐ โยชน์
สูงขึ้นไป ๘๔,๐๐๐ โยชน์เช่นกัน
[๒๒๘] ภูเขาสิเนรุก็สูงสุดเท่านั้น ภูเขาสิเนรุนั้น
ทั้งด้านยาว ทั้งด้านกว้างถึงเพียงนั้น
ก็ยังถูกบดให้ละเอียดเป็นแสนโกฏิด้วยการนับ
[๒๒๙] ข้าแต่พระสัพพัญญู เมื่อตั้งคะแนนไว้๔
ผงแห่งภูเขาสิเนรุก็จะพึงหมดสิ้นไปก่อน
แต่พระญาณของพระองค์ ไม่มีใครสามารถจะนับได้
[๒๓๐] ผู้ใดพึงเอาข่ายตาถี่ ๆ ขึงล้อมน้ำไว้
สัตว์น้ำทั้งหมดที่มีอยู่ก็จะพึงเข้าไปอยู่ภายในข่าย ฉันใด

เชิงอรรถ :
๑ ดูเชิงอรรถ หน้าที่ ๓๖ ในเล่มนี้
๒ พระโพธิญาณ หมายถึงพระนิพพาน (ขุ.อป.อ. ๑/๒๒๕/๒๗๑)
๓ ขุนเขา หมายถึงขุนเขาพระสุเมรุ (ชื่อภูเขากลางจักรวาล มียอดเป็นที่ตั้งแผ่นดินของสวรรค์ดาวดึงส์ซึ่งมี
พระอินทร์อยู่) (ขุ.อป.อ. ๑/๒๒๗/๒๗๑)
๔ ตั้งคะแนน หมายถึงนับพระญาณของพระองค์ (ขุ.อป.อ. ๑/๒๒๙/๒๗๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๓๘ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๑. สารีปุตตเถราปทาน
[๒๓๑] ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรมาก
เดียรถีย์มากมายบางพวกก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ย่อมเข้าไปสู่ป่าทึบคือทิฏฐิ ถูกความยึดถือทำให้ลุ่มหลง
[๒๓๒] เดียรถีย์เหล่านั้นเข้าไปภายในข่าย๑
เพราะพระญาณอันบริสุทธิ์ของพระองค์
ซึ่งมีปกติเห็นสรรพสิ่ง ไม่มีอะไรขัดขวาง
เดียรถีย์เหล่านั้นหาล่วงเลยพระญาณของพระองค์ไปไม่
[๒๓๓] ก็สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคชินเจ้าพระนามว่าอโนมทัสสี
ผู้มีพระยศยิ่งใหญ่ ออกจากสมาธิแล้วตรวจดูทิศ
[๒๓๔] พระสาวกนามว่านิสภะ ของพระผู้มีพระภาค
พระนามว่าอโนมทัสสี
ผู้เป็นมุนี มีภิกษุ ๑๐๐,๐๐๐ รูป
เป็นผู้มีจิตสงบ ผู้คงที่ แวดล้อมแล้ว๒
[๒๓๕] ผู้สิ้นอาสวะแล้ว ผู้บริสุทธิ์ ผู้ได้อภิญญา ๖๓
ผู้คงที่ ทราบพระดำริของพระพุทธเจ้าแล้ว
จึงเข้าเฝ้าพระองค์ผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก
[๒๓๖] สาวกเหล่านั้นยืนกลางอากาศ ณ ที่ใกล้พระผู้มีพระภาคนั้น
ได้กระทำประทักษิณ ประนมมือ
นมัสการแล้วลงมาเฝ้า ณ สำนักพระพุทธเจ้า
[๒๓๗] พระผู้มีพระภาคชินเจ้าพระนามว่าอโนมทัสสี
ผู้เจริญที่สุดในโลก ผู้องอาจกว่านรชน
ประทับนั่งในท่ามกลางหมู่ภิกษุแล้วทรงแย้มพระโอษฐ์ให้ปรากฏ

เชิงอรรถ :
๑ ข่าย ในที่นี้หมายถึงข่ายคือพระญาณของพระพุทธเจ้า (ขุ.อป.อ. ๑/๒๓๒/๒๗๓)
๒ ผู้คงที่ หมายถึงผู้ไม่หวั่นไหวในอารมณ์ที่น่าปรารถนาและไม่น่าปรารถนา (ขุ.อป.อ. ๑/๒๓๔/๓๗๓)
๓ อภิญญา ๖ หมายถึงความรู้ยิ่งคือ อิทธิวิธิ แสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ได้, ทิพพโสต หูทิพย์, เจโตปริยญาณ
ทายใจคนอื่นได้, ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติได้, ทิพพจักขุ ตาทิพย์, อาสวักขยญาณ ญาณ
ที่ทำให้อาสวะสิ้นไป (องฺ.ฉกฺก. (แปล) ๒๒/๒/๔๑๒-๔๑๔)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๓๙ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑.พุทธวรรค] ๓.เถราปทาน ๑.สารีปุตตเถราปทาน
[๒๓๘] พระสาวกนามว่าวรุณะ
ผู้เป็นอุปัฏฐากของพระศาสดาพระนามว่าอโนมทัสสี
ห่มผ้าเฉวียงบ่า แล้วทูลถามพระองค์ผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลกว่า
[๒๓๙] ข้าแต่พระผู้มีพระภาค อะไรหนอ
เป็นเหตุให้พระศาสดาทรงแย้มพระโอษฐ์
ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายนั้นจะไม่ทรงแย้มพระโอษฐ์ โดยไม่มีเหตุ
[๒๔๐] พระผู้มีพระภาคพระนามว่าอโนมทัสสี
ผู้เจริญที่สุดในโลก ผู้องอาจกว่านรชน
ประทับนั่งในท่ามกลางหมู่ภิกษุแล้ว ได้ตรัสพระคาถานี้ว่า
[๒๔๑] เราจักพยากรณ์ดาบสผู้ที่ใช้ดอกไม้บูชาเรา
และชมเชยญาณของเราเนือง ๆ
ขอท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าวเถิด
[๒๔๒] เทวดาทั้งปวง ทราบพระดำรัสของพระพุทธเจ้าแล้วมาประชุมกัน
เทวดาเหล่านั้น ประสงค์จะฟังพระสัทธรรม
จึงเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
[๒๔๓] หมู่เทวดาผู้มีฤทธิ์มากทั้ง ๑๐ โลกธาตุ๑เหล่านั้น
ประสงค์จะฟังพระสัทธรรมจึงเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
[๒๔๔] (พระผู้มีพระภาคตรัสว่า) กองทัพ ๔ เหล่า
คือ พลช้าง พลม้า พลรถ พลเดินเท้า
จักแวดล้อมผู้นี้เป็นนิตย์
นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระพุทธเจ้า
[๒๔๕] เครื่องดนตรี ๑,๐๖๐ ชิ้น
กลองที่ประดับตกแต่งสวยงาม
จักบำรุงบำเรอผู้นี้เป็นนิตย์
นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระพุทธเจ้า

เชิงอรรถ :
๑ ๑๐ โลกธาตุ หมายถึง หมื่นจักรวาล (ที.ม.อ. ๒/๓๓๑/๒๙๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๔๐ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๑. สารีปุตตเถราปทาน
[๒๔๖] สตรีสาวล้วน ๑๖,๐๐๐ นาง ประดับตกแต่งสวยงาม
สวมใส่ผ้าอาภรณ์อย่างงดงาม ห้อยตุ้มหูแก้วมณี
[๒๔๗] มีหน้ากลมโต มีปกติร่าเริง รูปร่างงาม
เอวเล็กเอวบาง จักแวดล้อมผู้นี้เป็นนิตย์
นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระพุทธเจ้า
[๒๔๘] ผู้นี้จักรื่นรมย์ในเทวโลกตลอด ๑๐๐,๐๐๐ กัป
จักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิในแว่นแคว้น ๑,๐๐๐ ชาติ
[๒๔๙] จักเป็นจอมเทพครองเทวสมบัติ ๑,๐๐๐ ชาติ
จักได้เป็นพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์นับชาติไม่ถ้วน
[๒๕๐] เมื่อภพสุดท้ายมาถึง ผู้นี้จักไปเกิดเป็นมนุษย์
นางพราหมณีชื่อสารี จักตั้งครรภ์
[๒๕๑] ผู้นี้จักปรากฏนามว่าสารีบุตร
ตามชื่อและโคตรของมารดา จักเป็นผู้มีปัญญาหลักแหลม
[๒๕๒] จักเป็นผู้ไม่มีความกังวล
ละทิ้งทรัพย์ประมาณ ๘๐ โกฏิแล้วออกบวช
เที่ยวแสวงหาทางแห่งความสงบทั่วแผ่นดินนี้
[๒๕๓] ในกัปที่นับมิได้นับจากกัปนี้ไป
พระศาสดาพระนามว่าโคดม ตามพระโคตร
ทรงสมภพในราชสกุลโอกกากราช จักอุบัติขึ้นในโลก
[๒๕๔] ดาบสนี้จักมีนามว่าสารีบุตร
เป็นธรรมทายาท เป็นโอรสที่ธรรมเนรมิต
จักเป็นอัครสาวกของพระศาสดาพระองค์นั้น
[๒๕๕] แม่น้ำภาคีรถีนี้ไหลมาจากภูเขาหิมพานต์
ไหลลงสู่มหาสมุทร ทำมหาสมุทรให้เต็ม ฉันใด

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๔๑ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๑. สารีปุตตเถราปทาน
[๒๕๖] สารีบุตรนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
จักเป็นผู้สามารถแกล้วกล้าในไตรเพท
จักสำเร็จปัญญาบารมี แล้วให้หมู่สัตว์อิ่มเอิบได้
[๒๕๗] ตั้งแต่ป่าหิมพานต์จนถึงทะเลมีห้วงน้ำกว้างใหญ่
ในช่วงระหว่างนี้ มีกองทรายอยู่ขนาดเท่าใด
คำนวณนับไม่ได้
[๒๕๘] แม้กองทรายขนาดเท่านั้นสามารถจะคำนวณนับได้
โดยไม่มีเหลือด้วยการนับวิธีใด
แต่ปัญญาของสารีบุตรจะมีที่สุดโดยวิธีนับนั้น ๆ ก็หามิได้
[๒๕๙] เมื่อตั้งคะแนนไว้
บรรดาทรายในแม่น้ำคงคาก็จะพึงหมดสิ้นไป
แต่ปัญญาของสารีบุตรหาหมดสิ้นไปไม่
[๒๖๐] คลื่นในมหาสมุทรคำนวณนับไม่ได้
ปัญญาของสารีบุตร จักไม่มีที่สุดอย่างนั้นเหมือนกัน
[๒๖๑] สารีบุตรนั้นจักทำให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
โคดมศากยะผู้ประเสริฐ ทรงโปรดปรานแล้ว
สำเร็จปัญญาบารมีเป็นอัครสาวก(ของพระองค์)
[๒๖๒] สารีบุตรนั้น จักประพฤติตามพระธรรมจักร
ที่พระผู้มีพระภาคผู้ศากยบุตร
ผู้คงที่ ทรงประกาศไว้แล้ว
บันดาลเม็ดฝนคือธรรมให้ตกลงโดยชอบ
[๒๖๓] พระผู้มีพระภาคผู้โคดมศากยะผู้ประเสริฐ
ทรงทราบความนั้นทั้งหมดแล้ว
ประทับนั่งในท่ามกลางหมู่ภิกษุ
จักทรงตั้ง(สารีบุตร)ไว้ในตำแหน่งอัครสาวก

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๔๒ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๑. สารีปุตตเถราปทาน
[๒๖๔] โอ ! กรรมที่ข้าพเจ้าได้ทำบุญญาธิการ
แด่พระศาสดาพระนามว่าอโนมทัสสีแล้ว
สำเร็จบารมีในจำนวนคุณทั้งสิ้น
ชื่อว่าเป็นกรรมที่ทำไว้ดีแล้วหนอ
[๒๖๕] กรรมที่ข้าพเจ้าได้ทำไว้ในกาลที่จะกำหนดจำนวนมิได้
แสดงผลแก่ข้าพเจ้าแล้วในอัตภาพสุดท้ายนี้
ข้าพเจ้าหลุดพ้นดีแล้ว ดุจความเร็วแห่งลูกศรพ้นไปจากแล่ง
เผากิเลสทั้งหลายได้แล้ว
[๒๖๖] ข้าพเจ้านั้น เมื่อเที่ยวแสวงหาทาง
ที่ไม่หวั่นไหวคือนิพพาน อันปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้
เลือกเฟ้นเจ้าลัทธิทั้งปวงจึงเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพ
[๒๖๗] คนเป็นไข้พึงแสวงหายารักษา
พึงสะสมทรัพย์ทั้งปวงไว้เพื่อพ้นจากความเจ็บไข้ ฉันใด
[๒๖๘] ข้าพเจ้าก็ฉันนั้น เมื่อเที่ยวแสวงหาทาง
คืออมตนิพพานอันปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้
จึงได้บวชเป็นฤๅษี ๕๐๐ ชาติ ติดต่อกัน
[๒๖๙] ข้าพเจ้าเพียบพร้อมด้วยชฎาและภาระ(บริขาร)
นุ่งห่มหนังสัตว์ สำเร็จอภิญญา ได้ไป(เกิด)ยังพรหมโลก
[๒๗๐] เว้นศาสนาของพระชินเจ้าเสียแล้ว
ก็หาความบริสุทธิ์ในลัทธิภายนอกไม่ได้
เหล่าสัตว์ผู้มีปัญญาย่อมบริสุทธิ์ได้ในศาสนาของพระชินเจ้า
[๒๗๑] สิ่งที่สำเร็จด้วยการทำของตนนั้น
ไม่เป็นดังที่ได้ยินกันต่อ ๆ มาว่า เป็นอย่างนี้ ๆ
ข้าพเจ้าเมื่อแสวงหาทางที่ปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้
จึงเที่ยวไปในลัทธิที่ผิด

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๔๓ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๑. สารีปุตตเถราปทาน
[๒๗๒] คนที่ต้องการแก่นไม้ตัดต้นกล้วยแล้วผ่า
ก็จะไม่พึงได้แก่นไม้ในต้นกล้วยนั้น
เขาย่อมเป็นผู้ไร้แก่นไม้ ฉันใด
[๒๗๓] เหล่าเดียรถีย์ทั้งหลายในโลกก็ฉันนั้น
มีทิฏฐิต่างกัน ถึงจะมีจำนวนมาก
ก็เป็นผู้ว่างเปล่าจากนิพพานอันปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้
ดุจต้นกล้วยว่างเปล่าจากแก่นไม้ ฉะนั้น
[๒๗๔] เมื่อภพสุดท้ายมาถึง ข้าพเจ้าเกิดเป็นบุตรของพราหมณ์
ได้ละทิ้งโภคสมบัติมากมายแล้วออกบวชเป็นบรรพชิต
ภาณวารที่ ๑ จบ

[๒๗๕] (พระสารีบุตรเถระกราบทูลว่า)๑
ข้าพระองค์อยู่ในสำนักของพราหมณ์นามว่าสัญชัย
ซึ่งเป็นผู้คงแก่เรียน ทรงมนตร์ จบไตรเพท
[๒๗๖] ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรมาก พราหมณ์นามว่าอัสสชิ
สาวกของพระองค์ ซึ่งหาผู้กระทบกระทั่งได้ยาก
มีเดชแผ่ไป เที่ยวบิณฑบาตในครั้งนั้น
[๒๗๗] ข้าพระองค์ได้เห็นท่านผู้ประเสริฐนั้น ผู้มีปัญญา
เป็นมุนี มีจิตตั้งมั่นในความเป็นมุนี
มีจิตสงบ เบิกบานดุจดอกปทุมที่แย้มบาน
[๒๗๘] เพราะเห็นท่านผู้ฝึกฝนดีแล้ว
มีจิตบริสุทธิ์ องอาจ ประเสริฐ มีความเพียร
ความคิดของข้าพเจ้าจึงเกิดขึ้นว่า
ท่านผู้นี้คงจะเป็นพระอรหันต์

เชิงอรรถ :
๑ ตั้งแต่คาถานี้ไปพระเถระได้กราบทูลให้พระผู้มีพระภาคทราบเรื่องราวของท่าน สมตามข้อความในธรรม
บทอรรถกถาด้วย

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๔๔ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๑. สารีปุตตเถราปทาน
[๒๗๙] ท่านผู้นี้ เคลื่อนไหวกิริยาท่าทางน่าเลื่อมใส
รูปงาม สำรวมดี ฝึกฝนแล้วในอุบายเครื่องฝึกอย่างสูงสุด
คงจะเป็นผู้เห็นทางอมตะ
[๒๘๐] ทางที่ดี เราควรจะถามท่านผู้มีประโยชน์อย่างสูงสุด
ผู้มีจิตยินดี หากท่านถูกเราถามแล้วจักตอบ
เราก็จะย้อนถามท่านอีก ในครั้งนั้น
[๒๘๑] ข้าพระองค์ได้เดินตามไปข้างหลังท่านผู้กำลังเที่ยวบิณฑบาต
รอคอยโอกาสอยู่เพื่อจะสอบถามทางอมตะ
[๒๘๒] จึงเข้าไปหาท่านซึ่งอยู่ในระหว่างถนนแล้วถามว่า
ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ ผู้มีความเพียร
ท่านมีโคตรตระกูลอย่างไร เป็นศิษย์ของใคร
[๒๘๓] ท่านถูกข้าพระองค์ถามแล้วก็ไม่ครั่นคร้าม
เป็นดังพญาไกรสรราชสีห์ตอบว่า
ท่านผู้มีอายุ พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก
อาตมาเป็นศิษย์ของพระองค์
[๒๘๔] (ข้าพระองค์ได้ถามต่อไปว่า)
ข้าแต่ท่านผู้มีความเพียรมาก ท่านผู้มียศยิ่งใหญ่เกิดตามมา
ศาสนธรรมของพระพุทธเจ้าของท่านเป็นเช่นไร
ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าขอโอกาส
ขอท่านโปรดบอกแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด
[๒๘๕] ท่านถูกข้าพระองค์ถามแล้ว
จึงแสดงบททุกบทที่ลึกซึ้งละเอียด
สำหรับกำจัดลูกศรคือตัณหา
สำหรับเป็นเครื่องบรรเทาทุกข์ทั้งปวงว่า
[๒๘๖] ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ
พระตถาคตตรัสเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๔๕ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๑. สารีปุตตเถราปทาน
และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น
พระมหาสมณะมีปกติตรัสสอนอย่างนี้
[๒๘๗] เมื่อพระอัสสชิเถระแก้ปัญหาแล้ว
ข้าพระองค์นั้นได้บรรลุผลที่หนึ่ง(โสดาปัตติผล)
เป็นผู้ปราศจากธุลีคือกิเลส
ปราศจากมลทินคือกิเลส เพราะได้ฟังคำสอนของพระชินเจ้า
[๒๘๘] ข้าพระองค์ได้ฟังคำของพระมุนีแล้ว
ได้เห็นธรรมอันสูงสุด หยั่งรู้พระสัทธรรมจึงได้กล่าวคาถานี้ว่า
[๒๘๙] ถ้ามีเพียงเท่านั้น ธรรมนี้นั่นแหละ(ที่ข้าพเจ้าพึงบรรลุ)
ท่านรู้แจ้งทางที่ไม่เศร้าโศก๑
ซึ่งข้าพเจ้าไม่เห็นแล้ว ล่วงเลยมาหลายหมื่นกัป
[๒๙๐] ข้าพเจ้าเมื่อแสวงหาธรรม ได้เที่ยวไปในลัทธิที่ผิด
(บัดนี้)ได้บรรลุความประสงค์นั้นแล้ว
จึงมิใช่เวลาที่ข้าพเจ้าจะประมาท
[๒๙๑] ข้าพระองค์ที่พระอัสสชิเถระให้ยินดีแล้ว
บรรลุทางที่ไม่หวั่นไหว๒ เมื่อจะไปเสาะหาสหาย
จึงได้ไปยังอาศรม
[๒๙๒] สหายของข้าพระองค์ ผู้ได้ศึกษามาดี
เพียบพร้อมด้วยอิริยาบถ เห็นข้าพระองค์แต่ไกลเทียว
จึงได้กล่าวคำนี้ว่า
[๒๙๓] ท่านมีหน้าตาผ่องใส ปรากฏประหนึ่งว่าจะเป็นมุนี
ท่านได้บรรลุอมตนิพพานหรือได้บรรลุบทคือพระนิพพานอันไม่จุติ

เชิงอรรถ :
๑ ทางที่ไม่เศร้าโศก หมายถึงนิพพาน (ขุ.อป.อ. ๑/๒๘๙/๒๗๘)
๒ ทางที่ไม่หวั่นไหว หมายถึงการถึงนิพพาน (ขุ.อป.อ. ๑/๒๙๑/๒๗๘)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๔๖ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๑. สารีปุตตเถราปทาน
[๒๙๔] ท่านเป็นผู้สมควรแก่ความงาม เป็นเหมือนผู้ฝึกฝนตนมาแล้ว
เหมือนช้างถูกแทงด้วยหอก ไม่หวั่นไหว
พราหมณ์ ท่านเป็นผู้มีการฝึกฝนมาดี
จึงสงบระงับแล้ว ในทางเป็นที่ฝึก
[๒๙๕] ข้าพระองค์ตอบว่า ข้าพเจ้าได้บรรลุอมตธรรม
ซึ่งเป็นเครื่องบรรเทาลูกศรคือความเศร้าโศกแล้ว
ถึงตัวท่านก็จะบรรลุอมตธรรมนั้นได้
พวกเราไปเฝ้าพระพุทธเจ้ากันเถิด
[๒๙๖] สหายนั้นอันข้าพระองค์ให้ศึกษาอย่างดีแล้ว
จึงรับคำว่า ดีละ แล้วได้จูงมือกันมายังสำนักของพระองค์
[๒๙๗] ข้าแต่พระองค์ผู้ศากยบุตร ข้าพระองค์ทั้ง ๒
จักบวชในสำนักของพระองค์
อาศัยคำสอนของพระองค์อยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
[๒๙๘] ท่านโกลิตะเป็นผู้เลิศด้วยฤทธิ์ ข้าพระองค์เลิศด้วยปัญญา
ข้าพระองค์ทั้ง ๒ จะร่วมมือกันทำศาสนาให้งดงาม
[๒๙๙] (เมื่อก่อน) ข้าพระองค์มีความดำริยังไม่ถึงที่สุด
จึงได้เที่ยวไปในลัทธิที่ผิด
(แต่บัดนี้)เพราะได้อาศัยทัศนะของพระองค์
ความดำริของข้าพระองค์จึงเต็ม
[๓๐๐] หมู่ไม้เกิดบนแผ่นดินย่อมแย้มบานในฤดูกาล
กลิ่นทิพย์หอมอบอวลไปทำให้สรรพสัตว์ยินดี (ฉันใด)
[๓๐๑] ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรมาก
ผู้เป็นศากยบุตร มีพระยศยิ่งใหญ่
ข้าพระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ดำรงอยู่ในศาสนาของพระองค์แล้ว
ย่อมแสวงหากาลเวลาเพื่อจะแย้มบาน

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๔๗ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๑. สารีปุตตเถราปทาน
[๓๐๒] ข้าพระองค์แสวงหาดอกไม้คือวิมุตติ๑
ซึ่งเป็นเหตุหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพ
ให้สรรพสัตว์ยินดีด้วยการได้ดอกไม้คือวิมุตติ
[๓๐๓] ข้าแต่พระองค์ผู้มีพระจักษุ ตลอดพุทธเขต๒
ยกเว้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นมหามุนีเสีย
ก็ไม่มีใครจะมีปัญญาเหมือนกับข้าพระองค์ผู้เป็นบุตรของพระองค์เลย
[๓๐๔] ศิษย์และชุมนุมชนของพระองค์ที่พระองค์ทรงแนะนำดีแล้ว
ให้ศึกษาดีแล้ว ฝึกฝนในอุบายเครื่องฝึกอันสูงสุด
แวดล้อมพระองค์อยู่ทุกเมื่อ
[๓๐๕] ท่านเหล่านั้นมีปกติเข้าฌาน ยินดีในฌาน
เป็นนักปราชญ์ มีจิตสงบ มีจิตตั้งมั่น เป็นมุนี
สมบูรณ์ด้วยความเป็นมุนี แวดล้อมพระองค์อยู่ทุกเมื่อ
[๓๐๖] ท่านเหล่านั้นมักน้อย มีปัญญารักษาตน
เป็นนักปราชญ์ ฉันอาหารแต่น้อย ไม่โลภ
สันโดษตามมีตามได้ แวดล้อมพระองค์อยู่ทุกเมื่อ
[๓๐๗] ท่านเหล่านั้นถือการอยู่ป่าเป็นวัตร ยินดีในธุดงค์
เข้าฌาน ใช้จีวรเศร้าหมอง ยินดียิ่งในความสงัด
เป็นนักปราชญ์ แวดล้อมพระองค์อยู่ทุกเมื่อ
[๓๐๘] ท่านเหล่านั้นเป็นผู้ปฏิบัติ(พรั่งพร้อมด้วยมรรค)
ดำรงอยู่ในผล และเป็นพระเสขะพรั่งพร้อมด้วยผล๓
มุ่งหวังประโยชน์อย่างสูงสุด(คือพระนิพพาน)
แวดล้อมพระองค์อยู่ทุกเมื่อ

เชิงอรรถ :
๑ ดอกไม้คือวิมุตติ หมายถึงอรหัตตผลวิมุตติ (ขุ.อป.อ. ๑/๓๐๒/๒๗๙)
๒ พุทธเขต หมายถึงมีแสนโกฏิจักรวาล (ขุ.อป.อ. ๑/๓๐๓/๒๘๐)
๓ ผล ในที่นี้หมายถึงผลเบื้องต่ำ ๓ คือ โสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล (ขุ.อป.อ. ๑/๓๐๘/๒๘๐)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๔๘ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๑. สารีปุตตเถราปทาน
[๓๐๙] ท่านเหล่านั้นทั้งที่เป็นพระโสดาบัน ทั้งที่เป็นพระสกทาคามี
ทั้งที่เป็นพระอนาคามี และที่เป็นพระอรหันต์
เป็นผู้ปราศจากมลทิน(คือกิเลส) แวดล้อมพระองค์อยู่ทุกเมื่อ
[๓๑๐] สาวกของพระองค์จำนวนมาก
ฉลาดในสติปัฏฐาน๑ ยินดีในการเจริญโพชฌงค์
ทุกท่านแวดล้อมพระองค์อยู่ทุกเมื่อ
[๓๑๑] ท่านเหล่านั้นฉลาดในอิทธิบาท ยินดีในการเจริญสมาธิ
หมั่นประกอบสัมมัปปธาน แวดล้อมพระองค์อยู่ทุกเมื่อ
[๓๑๒] ท่านเหล่านั้นได้วิชชา ๓๒ ได้อภิญญา ๖
ถึงความสำเร็จแห่งฤทธิ์
ถึงความสำเร็จแห่งปัญญา
แวดล้อมพระองค์อยู่ทุกเมื่อ
[๓๑๓] ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรมาก ศิษย์ของพระองค์เป็นเช่นนี้
เป็นผู้ศึกษาดีแล้ว หาผู้กระทบกระทั่งได้ยาก
มีเดชแผ่ไป แวดล้อมพระองค์อยู่ทุกเมื่อ
[๓๑๔] พระองค์มีศิษย์เหล่านั้นแวดล้อม
ผู้สำรวมแล้ว ผู้มีตบะ เป็นผู้ไม่ครั่นคร้ามดังราชสีห์
ย่อมทรงงดงามดังดวงจันทร์
[๓๑๕] ต้นไม้เกิดบนแผ่นดินย่อมงอกงามไพบูลย์บนแผ่นดิน
ต้นไม้เหล่านั้นย่อมเผล็ดผล (โดยลำดับ)

เชิงอรรถ :
๑ สติปัฏฐาน หมายถึงสติปัฏฐาน ๔ คือ กายานุปัสสนา เวทนานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา และธัมมานุ-
ปัสสนา (ขุ.อป.อ. ๑/๓๑๐/๒๘๐)
๒ วิชชา ๓ หมายถึง (๑) ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ญาณเป็นเหตุระลึกขันธ์ที่อาศัยอยู่ในก่อนได้ ระลึกชาติได้
(๒) จุตูปปาตญาณ ญาณกำหนดรู้จุติและอุบัติแห่งสัตว์ทั้งหลาย อันเป็นไปตามกรรม (๓) อาสวักขยญาณ
ญาณหยั่งรู้ในธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ความตรัสรู้ (ที.ปา. ๑๑/๓๐๕,๓๕๓/๑๙๗,๒๔๕, องฺ.ทสก.
(แปล) ๒๔/๑๐๒/๒๔๓-๒๔๔)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๔๙ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๑. สารีปุตตเถราปทาน
[๓๑๖] ข้าแต่พระองค์ผู้ศากยบุตร มีพระยศยิ่งใหญ่
พระองค์ทรงเป็นเช่นกับแผ่นดิน ศิษย์ (เป็นเช่นกับต้นไม้)
ดำรงอยู่ในศาสนาของพระองค์แล้ว ย่อมได้ผลเป็นอมตะ
[๓๑๗] แม่น้ำสินธุ แม่น้ำสรัสวดี แม่น้ำจันทภาคา
แม่น้ำคงคา แม่น้ำยมุนา แม่น้ำสรภู และแม่น้ำมหี
[๓๑๘] เมื่อแม่น้ำหลายสายนั้นไหลไป(ถึงทะเล)ทะเลย่อมรองรับไว้
แม่น้ำเหล่านั้นย่อมละชื่อเดิม ปรากฏชื่อว่าทะเล ฉันใด
[๓๑๙] วรรณะทั้ง ๔๑ เหล่านี้ก็ฉันนั้น
มาบวชในสำนักของพระองค์แล้ว
ก็ย่อมละชื่อเดิม ปรากฏชื่อว่าพุทธบุตร
[๓๒๐] ดวงจันทร์ปราศจากมลทินโคจรอยู่ในอากาศ
มีแสงรุ่งโรจน์ยิ่งกว่าหมู่ดาวในโลกทั้งหมด ฉันใด
[๓๒๑] ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรมาก
พระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกัน มีศิษย์แวดล้อม
ก็ย่อมรุ่งเรืองยิ่งกว่าเทวดาและมนุษย์เหล่านั้นทั้งหมดในกาลทุกเมื่อ
[๓๒๒] คลื่นเกิดขึ้นในน้ำลึกย่อมไม่ล่วงเลยล้นฝั่งไปได้
คลื่นเหล่านั้นกระทบฝั่งเป็นระลอก
กระจายหายไปหมด ฉันใด
[๓๒๓] เดียรถีย์ทั้งหลายในโลกก็ฉันนั้น
มีทิฏฐิต่างกัน เป็นชนจำนวนมาก
พวกเขาต้องการจะกล่าวธรรม
แต่ก็ไม่ล่วงเลยพระองค์ผู้เป็นมุนีไปได้
[๓๒๔] ข้าแต่พระองค์ผู้มีพระจักษุ ก็ถ้าเดียรถีย์เหล่านั้น
เข้ามาหาพระองค์ด้วยความประสงค์จะคัดค้าน
ครั้นมาถึงสำนักของพระองค์แล้ว ก็จะกลายเป็นจุรณไป

เชิงอรรถ :
๑ วรรณะทั้ง ๔ หมายถึงตระกูล ๔ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ และศูทร (ขุ.อป.อ. ๑/๓๑๗-๙/๒๘๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๕๐ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๑. สารีปุตตเถราปทาน
[๓๒๕] ดอกโกมุท ดอกบัวเผื่อน จำนวนมาก
เกิดในน้ำแล้วติดอยู่กับน้ำและเปือกตม ฉันใด
[๓๒๖] เหล่าสัตว์จำนวนมากก็ฉันนั้น เกิดมาในโลกแล้ว
ถูกราคะและโทสะเบียดเบียน ย่อมงอกงาม(ในวัฏฏสงสาร)
ดุจดอกโกมุทงอกงามในเปือกตม ฉะนั้น
[๓๒๗] ดอกบัวหลวงเกิดในน้ำ งดงามอยู่กลางน้ำ
(แต่)ดอกบัวหลวงนั้นยังคงบริสุทธิ์ ไม่ติดอยู่กับน้ำ ฉันใด
[๓๒๘] ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรมาก พระองค์ก็ทรงเป็นฉันนั้น
เป็นมหามุนี เกิดมาแล้วในโลก (แต่)ไม่ทรงติดอยู่กับโลก
ดุจดอกบัวหลวงไม่ติดอยู่กับน้ำ ฉะนั้น
[๓๒๙] ดอกไม้หลายชนิดที่เกิดในน้ำ
ย่อมแย้มบานในเดือน ๑๒ ไม่ล่วงเลยเดือน ๑๒ นั้นไป
เพราะเดือน ๑๒ นั้นเป็นกาลสมัยที่ดอกไม้จะบาน ฉันใด
[๓๓๐] ข้าแต่พระองค์ผู้ศากยบุตร พระองค์ก็เป็นผู้แย้มบานแล้ว ฉันนั้น
เหล่าศิษย์ของพระองค์ก็เป็นผู้แย้มบานแล้วด้วยวิมุตติ
ไม่ล่วงเลยคำสั่งสอนของพระองค์ไปได้
ดุจดอกบัวหลวงซึ่งแย้มบานด้วยน้ำ
ไม่ล่วงเลยกาลสมัยเป็นที่แย้มบานไปได้ ฉะนั้น
[๓๓๑] ต้นพญาไม้สาละออกดอกบานสะพรั่ง
ส่งกลิ่นหอมอบอวลไปคล้ายกลิ่นทิพย์
แวดล้อมด้วยไม้สาละชนิดอื่น ย่อมงดงาม ฉันใด
[๓๓๒] ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรมาก พระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ทรงแย้มบานด้วยพระพุทธญาณ มีหมู่ภิกษุแวดล้อม
ย่อมงดงาม ดุจพญาไม้สาละ ฉะนั้น

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๕๑ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๑. สารีปุตตเถราปทาน
[๓๓๓] เปรียบเหมือนภูเขาศิลาล้วนชื่อหิมวา
เป็นภูเขาที่มีโอสถสำหรับสรรพสัตว์
เป็นที่อยู่ของพวกนาค อสูร และเทวดาทั้งหลาย
[๓๓๔] ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรมาก พระองค์ก็ทรงเป็นฉันนั้น
ทรงเป็นดุจโอสถของสรรพสัตว์๑ ทรงได้วิชชา ๓
ได้อภิญญา ๖ ถึงความสำเร็จแห่งฤทธิ์
[๓๓๕] ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรมาก
ผู้ที่พระองค์ทรงพระกรุณาพร่ำสอนแล้วนั้น
ย่อมยินดีในธรรม อยู่ในศาสนาของพระองค์
[๓๓๖] ราชสีห์ผู้เป็นพญาเนื้อพอออกจากถ้ำที่อาศัยแล้ว
เหลียวดูทิศทั้ง ๔ จึงบันลือสีหนาท ๓ ครั้ง
[๓๓๗] เมื่อราชสีห์ผู้พญาเนื้อคำราม
สัตว์ทั้งปวงย่อมสะดุ้งกลัว อันที่จริง ชาติราชสีห์นี้
ย่อมทำให้เหล่าสัตว์สะดุ้งกลัวทุกเมื่อ ฉันใด
[๓๓๘] ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรมาก เมื่อพระองค์ทรงบันลืออยู่
พื้นพสุธานี้ย่อมหวั่นไหว เหล่าสัตว์ผู้ควรตรัสรู้ก็ย่อมตรัสรู้
เหล่าสัตว์ผู้อยู่ในหมู่มารย่อมสะดุ้ง ฉันนั้น
[๓๓๙] ข้าแต่พระมหามุนี เมื่อพระองค์ทรงบันลืออยู่
เหล่าเดียรถีย์ทั้งปวงย่อมสะดุ้ง ดุจฝูงกา ฝูงเหยี่ยวบินกระเจิงไป
ดุจฝูงสัตว์แตกกระเจิงไปเพราะราชสีห์ผู้เป็นพญาเนื้อ ฉะนั้น
[๓๔๐] เหล่าคณาจารย์บางพวกประชาชนเรียกกันว่า เป็นศาสดาในโลก
ท่านเหล่านั้นย่อมแสดงธรรมที่สืบ ๆ กันมาแก่ชุมนุมชน
[๓๔๑] ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรมาก แต่พระองค์หาเป็นอย่างนั้นไม่
ครั้นทรงตรัสรู้สัจจะทั้งหลายด้วยพระองค์เองแล้ว
จึงทรงแสดงโพธิปักขิยธรรมทั้งมวลแก่เหล่าสัตว์

เชิงอรรถ :
๑ เพราะทรงปลดเปลื้องสรรพสัตว์ให้พ้นจากชรา พยาธิ และมรณะ (ขุ.อป.อ. ๑/๓๓๓-๔/๒๘๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๕๒ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๑. สารีปุตตเถราปทาน
[๓๔๒] พระองค์ทรงทราบอัธยาศัยและอนุสัย
ทรงทราบว่าอินทรีย์มีกำลังแก่กล้าและไม่แก่กล้า
ทรงทราบบุคคลสมควรและไม่สมควร๑
จึงทรงบันลือดุจมหาเมฆ
[๓๔๓] เพื่อจะทรงตัดความสงสัยของชุมนุมชนที่จะพึงนั่งรอบจักรวาล
ผู้มีทิฏฐิต่างกัน มีความคิดคิดต่างกัน
[๓๔๔] พระองค์ผู้เป็นมุนีทรงรู้จิตของเหล่าสัตว์ทั้งปวง
ทรงฉลาดในข้ออุปมา ตรัสแก้ปัญหาข้อเดียวเท่านั้น
ก็ทรงตัดความสงสัยของเหล่าสัตว์เสียได้
[๓๔๕] พื้นแผ่นดินพึงเต็มด้วยมนุษย์ผู้เช่นกับจอกแหน
พวกเขาทั้งหมดพึงประคองอัญชลี
ประกาศคุณของพระองค์ผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก
[๓๔๖] อีกอย่างหนึ่งเทวดาและมนุษย์เหล่านั้น
เมื่อประกาศคุณอยู่ตลอดกัปหนึ่ง๒
พึงประกาศคุณโดยประการต่าง ๆ
ก็ยังไม่สามารถจะประกาศคุณให้สิ้นสุดได้
พระตถาคตมีพระคุณหาประมาณมิได้
[๓๔๗] ก็ข้าพระองค์สรรเสริญพระชินเจ้าด้วยกำลังของตนอย่างไร
เหล่าเทวดาและมนุษย์เมื่อสรรเสริญอยู่ตลอดโกฏิกัป
ก็พึงสรรเสริญอย่างนั้นเหมือนกัน

เชิงอรรถ :
๑ สมควรและไม่สมควร ในที่นี้หมายถึงผู้สามารถบรรลุธรรมและไม่สามารถบรรลุธรรม (ขุ.อป.อ.
๑/๓๔๒/๒๘๒)
๒ กัปหนึ่ง ระยะเวลายาวนานเหลือเกิน กำหนดกันว่าโลกคือสากลจักรวาลประลัยครั้งหนึ่ง ท่านเปรียบด้วย
อุปมาว่า เหมือนมีภูเขาศิลาล้วน กว้าง ยาว สูง ด้านละ ๑ โยชน์ ทุก ๆ ๑๐๐ ปี มีคนนำผ้าเนื้อบาง
ละเอียดอย่างดีมาลูบเขานั้นครั้งหนึ่ง ๆ จนกว่าภูเขาลูกนั้น จะสึกหรอหมดสิ้นไป กัปหนึ่งยังยาวนานกว่า
นั้นอีก

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๕๓ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๑. สารีปุตตเถราปทาน
[๓๔๘] ก็ถ้าใคร ๆ จะเป็นเทวดา หรือมนุษย์ก็ตาม
ได้ศึกษามาเป็นอย่างดีแล้ว จะพึงกำหนดเพื่อจะประมาณ(คุณ)
ผู้นั้นจะพึงได้รับความลำบากเปล่า
[๓๔๙] ข้าแต่พระองค์ผู้ศากยบุตร มีพระยศยิ่งใหญ่
ข้าพระองค์ดำรงอยู่ในศาสนาของพระองค์แล้ว
สำเร็จปัญญาบารมีอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
[๓๕๐] ข้าพระองค์จะย่ำยีเหล่าเดียรถีย์
วันนี้ ข้าพระองค์เป็นจอมทัพธรรมในศาสนาของพระศากยบุตร
ประกาศศาสนาของพระชินเจ้า
[๓๕๑] กรรมที่ข้าพระองค์ได้ทำไว้ในกาลที่จะกำหนดจำนวนมิได้
แสดงผลแก่ข้าพระองค์แล้วในอัตภาพสุดท้ายนี้
ข้าพระองค์หลุดพ้นดีแล้ว ดุจกำลังลูกศรหลุดพ้นไปจากแล่ง
เผากิเลสของข้าพระองค์ได้แล้ว
[๓๕๒] มนุษย์คนใดคนหนึ่งพึงทูนของหนักไว้บนศีรษะตลอดเวลา
เขาต้องลำบากเพราะของหนัก
เป็นผู้เต็มไปด้วยของหนักทั้งหลาย
[๓๕๓] ข้าพระองค์ถูกไฟ ๓ กอง๑ เผาไหม้อยู่
เป็นผู้เต็มไปด้วยของหนักคือภพ๒ โดยประการนั้น
ท่องเที่ยวไปแล้วในภพทั้งหลาย
ภูเขาสิเนรุอันบุคคลถอนขึ้นแล้วฉันใด
[๓๕๔] ก็ภาระอันหนักข้าพระองค์ยกลงแล้ว
ภพทั้งหลายข้าพระองค์ก็เพิกได้แล้ว ฉันนั้น

เชิงอรรถ :
๑ ไฟ ๓ กอง หมายถึงไฟคือราคะ ไฟคือโทสะ ไฟคือโมหะ (ขุ.อป.อ. ๑/๓๕๒/๒๘๓, ๔๘๙-๙๐/๓๓๖)
๒ ของหนักคือภพ หมายถึงการเวียนว่ายตายเกิดในภพ (ขุ.อป.อ. ๑/๓๕๒-๓/๒๘๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๕๔ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๑. สารีปุตตเถราปทาน
กิจที่ควรทำทั้งหมด๑ในศาสนาของพระองค์ผู้ศากยบุตร
ข้าพระองค์ก็ได้กระทำสำเร็จแล้ว
[๓๕๕] ตลอดพุทธเขตยกเว้นพระผู้มีพระภาคผู้ศากยะ ผู้ประเสริฐ
ข้าพระองค์เป็นผู้เลิศด้วยปัญญา ไม่มีผู้เช่นกับข้าพระองค์
[๓๕๖] ข้าพระองค์เป็นผู้ฉลาดในสมาธิ ถึงความสำเร็จแห่งฤทธิ์
วันนี้ เมื่อต้องการจะเนรมิตคน ๑,๐๐๐ คนก็ได้
[๓๕๗] พระผู้มีพระภาคผู้เป็นมหามุนี
เป็นผู้ชำนาญในอนุปุพพวิหารธรรม
ตรัสสอนแก่ข้าพระองค์ นิโรธสมาบัติเป็นที่นอนของข้าพระองค์
[๓๕๘] ข้าพระองค์มีทิพยจักษุบริสุทธิ์หมดจด
ข้าพระองค์เป็นผู้ฉลาดในสมาธิ หมั่นประกอบในสัมมัปปธาน๒
ยินดีในการเจริญโพชฌงค์
[๓๕๙] ข้าพระองค์ได้ทำกิจทุกอย่างที่สาวกจะพึงบรรลุแล้ว
ยกเว้นพระผู้มีพระภาคผู้ทรงเป็นที่พึ่งของสัตว์โลกเสียแล้ว
ไม่มีผู้เช่นกับข้าพระองค์
[๓๖๐] ข้าพระองค์เป็นผู้ฉลาดในสมาบัติ
ได้ฌานและวิโมกข์๓ เร็วพลัน ยินดีในการเจริญโพชฌงค์
เป็นผู้บรรลุสาวกบารมีญาณ

เชิงอรรถ :
๑ กิจที่ควรทำทั้งหมด ในที่นี้หมายถึงกรรมเป็นเครื่องกำจัดกิเลสโดยลำดับแห่งมรรค (ขุ.อป.อ.
๑/๓๕๔/๒๘๔)
๒ สัมมัปปธานมี ๔ คือ (๑) เพียรระวังบาปอกุศลที่ยังไม่เกิดมิให้เกิดขึ้น (๒) เพียรละบาปอกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว
(๓) เพียรทำกุศลที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น (๔) เพียรรักษากุศลที่เกิดขึ้นแล้ว (ที.ปา. ๑๑/๓๑๐/๒๐๑)
๓ วิโมกข์ คือ ภาวะที่จิตปลอดพ้นจากสิ่งรบกวนและน้อมดิ่งเข้าไปในอารมณ์นั้น ๆ อย่างปล่อยตัวเต็มที่
ในอรรถกถาหมายเอาโลกุตตรวิโมกข์ ๘ (อฏฺฐนฺนํ โลกุตฺตรวิโมกฺขานญฺจ ขุ.อป.อ. ๑/๓๖๐/๒๘๔) คือ
๑-๒-๓. ผู้เจริญกสิณต่าง ๆ แล้วได้รูปฌาน ๔;๔-๖-๗. ผู้ได้อรูปฌาน ๔ ; ๘. ผู้ได้สัญญาเวทยิตนิโรธ
ดูอีก (สํ.นิ.อ. ๒/๗๐/๑๔๓

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๕๕ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๑. สารีปุตตเถราปทาน
[๓๖๑] ข้าพระองค์เป็นคนมีคารวะอย่างสูงสุด๑
เพราะได้บรรลุสาวกบารมีญาณด้วยความรู้
ข้าพระองค์มีจิตอนุเคราะห์เพื่อนสพรหมจารี๒ด้วยศรัทธาทุกเมื่อ
[๓๖๒] ข้าพระองค์ละทิ้งความถือตัวและความเย่อหยิ่งแล้ว
ดุจงูถูกถอนเขี้ยวเสียแล้ว๓ (หรือ) ดุจโคอุสภะตัวเขาหักเสียแล้ว
เข้าหาหมู่คณะด้วยความเคารพหนักแน่น
[๓๖๓] หากปัญญาของข้าพระองค์จะพึงมีรูปร่าง
ปัญญาของข้าพระองค์ก็จะต้องเสมอกับพระเจ้าแผ่นดินทั้งหลาย
นี้เป็นผลของการชมเชยพระญาณของพระผู้มีพระภาค
พระนามว่าอโนมทัสสี
[๓๖๔] ข้าพระองค์ประพฤติตามโดยชอบซึ่งพระธรรมจักร๔
นี้เป็นผลของการชมเชยพระญาณ
[๓๖๕] บุคคลผู้มีความปรารถนาเลวทราม เป็นคนเกียจคร้าน
ละความเพียร มีการศึกษาน้อย ไม่มีมารยาท๕
อย่าได้มาสมาคมกับข้าพระองค์ในที่ไหน ๆ สักคราวเลย

เชิงอรรถ :
๑ คำว่า ปุริสุตฺตมคารวา ในฉบับพม่า และ ขุ. เถร. อ. ๒/๔๓๓ (ซึ่งท่านยกคาถาจากอปทานไปกล่าวไว้)เป็น
ปุริสุตฺตมภารวา จึงแปลตามนั้น ซึ่งน่าจะถูกต้องกว่า เพราะคำว่า ปุริสุตฺตมคารวา เป็นพหูพจน์ ดูไม่สม
กับข้อความข้างต้นและข้างท้าย ซึ่งท่านกล่าวเป็นเอกพจน์ ส่วน ปุริสุตฺตมภารวา เป็นเอกพจน์ สมกับ
ข้างต้นและข้างท้าย ในอปทานอรรถกถาท่านมิได้แก้ไว้
๒ เพื่อนสพรหมจารี หมายถึงผู้ประพฤติพรหมจรรย์ร่วมกัน เพื่อนบรรพชิต
๓ คำว่า อุทฺธฏทาโฒ ฉบับพม่าและอรรถกถาเป็น อุทฺธตวิโส ถูกรีดพิษออกแล้ว (ขุ.อป.อ. ๑/๓๖๒/๒๘๔)
๔ ธรรมจักร ในที่นี้หมายถึงพระไตรปิฎก (พระวินัย พระสูตร และพระอภิธรรม) (ขุ.อป.อ. ๑/๓๖๔/๒๘๕)
๕ หีน ใช้ในอรรถว่าละ หา จาเค อิโน ทีฆาทิ หีโน = หา ธาตุใช้ในอรรถว่าละ อินปัจจัย ทีฆะต้นธาตุ
สำเร็จรูปเป็นหีโน (อภิธา.ฏีกา ข้อ ๗๕๔), มีความปรารถนาเลวทราม หมายถึงมีความปรารถนาลามกแล้ว
ประพฤติชั่ว,
เป็นคนเกียจคร้าน หมายถึงเกียจคร้านในการทำวัตรปฏิบัติในอิริยาบถมีการยืนและนั่งเป็นต้น

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๕๖ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๑. สารีปุตตเถราปทาน
[๓๖๖] ส่วนบุคคลผู้มีการศึกษามาก มีปัญญา
มีจิตตั้งมั่นดีในศีลทั้งหลาย หมั่นประกอบความสงบทางใจ
ขอจงมาดำรงอยู่บนศีรษะของข้าพระองค์เถิด
[๓๖๗] (เมื่อพระสารีบุตรเถระจะชักชวนภิกษุอื่น ๆ
ในคุณสมบัตินั้น จึงกล่าวว่า)
เหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงกล่าวกับท่านทั้งหลาย
ขอความเจริญจงมีแก่ท่านทั้งหลาย
ตามจำนวนที่มาประชุมกัน ณ ที่นี้
ขอท่านทั้งหลายจงเป็นผู้มักน้อย สันโดษ
ยินดีให้ทานทุกเมื่อเถิด
[๓๖๘] ข้าพเจ้าพบสาวกรูปใดก่อนแล้ว
ได้เป็นผู้ปราศจากธุลีคือกิเลส ปราศจากมลทินคือกิเลส
สาวกรูปนั้นมีนามว่าอัสสชิ เป็นนักปราชญ์ เป็นอาจารย์ของข้าพเจ้า
[๓๖๙] ข้าพเจ้าเป็นสาวกของพระอัสสชิเถระนั้น
วันนี้ ข้าพเจ้าได้เป็นธรรมเสนาบดีถึงความสำเร็จในคุณทั้งปวง
จึงอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
[๓๗๐] พระสาวกรูปใดชื่อว่าอัสสชิ เป็นอาจารย์ของข้าพเจ้า
อยู่ ณ ทิศใด ข้าพเจ้าจะนอนหันศีรษะไปทางทิศนั้น
[๓๗๑] พระผู้มีพระภาคผู้โคดมศากยะผู้ประเสริฐ
ทรงระลึกถึงกรรมของข้าพเจ้าแล้ว
ประทับนั่งท่ามกลางหมู่ภิกษุ
ทรงตั้งข้าพเจ้าไว้ในตำแหน่งอัครสาวก
[๓๗๒] กิเลสทั้งหลายข้าพเจ้าเผาได้แล้ว
ภพทั้งปวงข้าพเจ้าถอนได้แล้ว

เชิงอรรถ :
ละความเพียร หมายถึงละความเพียรในการเจริญฌาณ สมาธิและมรรคเป็นต้น
มีการศึกษาน้อย หมายถึงเว้นจากคันถธุระ และวิปัสสนาธุระ
ไม่มีมารยาท หมายถึงไม่มีมารยาทในบุคคลมีอาจารย์และอุปัชฌาย์เป็นต้น (ขุ.อป.อ. ๑/๓๖๕/๒๘๕)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๕๗ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๑. สารีปุตตเถราปทาน
ข้าพเจ้าตัดกิเลสเครื่องผูกพันได้แล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
ดุจพญาช้างตัดเครื่องพันธนาการได้อยู่อย่างอิสระ
[๓๗๓] การที่ข้าพเจ้าได้มาในสำนักของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐที่สุด
เป็นการมาดีแล้วหนอ
วิชชา ๓ ข้าพเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว
[๓๗๔] คุณวิเศษเหล่านี้คือ ปฏิสัมภิทา ๔๑ วิโมกข์ ๘๒
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว๓ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระสารีบุตรเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
สารีปุตตเถราปทานที่ ๑ จบ

เชิงอรรถ :
๑ ปฏิสัมภิทา ๔ คือ (๑) อัตถปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในอรรถ, ปรีชาแจ้งในความหมาย (๒) ธัมมปฏิ-
สัมภิทา ปัญญาแตกฉานในธรรม, ปรีชาแจ้งในหลัก (๓) นิรุตติปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในนิรุตติ
ปรีชาแจ้งในภาษา (๔) ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในปฏิภาณ, ปรีชาแจ้งในความคิดทันการ มี
ไหวพริบ (องฺ.จตุกฺก. (แปล) ๒๑/๑๗๒/๒๔๒-๒๔๓, ขุ.ป. (แปล) ๓๑/๑๑๐/๑๗๐, อภิ.วิ. (แปล) ๓๕/๗๒๕/
๔๖๑)
๒ วิโมกข์ ๘ คือ (๑) ผู้มีรูป มองเห็นรูปทั้งหลาย (ได้แก่รูปฌาน ๔ ของผู้ได้ฌาน โดยเจริญกสิณที่กำหนด
วัตถุในกายของตน เช่น สีผม) (๒) ผู้มีอรูปสัญญาภายใน มองเห็นรูปทั้งหลายภายนอก (ได้แก่ อรูปฌาน
๔ ของผู้ได้ฌาน โดยเจริญกสิณกำหนดอารมณ์ภายนอก) (๓) ผู้น้อมใจดิ่งไปว่า “งาม” (ได้แก่ ฌานของ
ผู้เจริญวรรณกสิณกำหนดสีที่งาม หรือเจริญอัปปมัญญา) (๔) เพราะล่วงเสียซึ่งรูปสัญญาโดย
ประการทั้งปวงเพราะปฏิฆสัญญาดับไป เพระไม่ใส่ใจนานัตตสัญญา จึงเข้าถึงอากาสานัญจายตนะ โดย
มนสิการว่า อากาศหาที่สุดมิได้ (๕) เพราะล่วงเสียซึ่งอากาสานัญจายตนะ โดยประการทั้งปวง จึงเข้าถึง
วิญญาณัญจายตนะโดยมนสิการว่า วิญญาณหาที่สุดมิได้ (๖) เพราะล่วงเสียซึ่งวิญญาณัญจายตนะโดย
ประการทั้งปวง จึงเข้าถึงอากิญจัญญายตนะโดยมนสิการว่าไม่มีอะไรเลย (๗) เพราะล่วงเสียซึ่ง
อากิญจัญญายตนะโดยประการทั้งปวงจึงเข้าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะอยู่ (๘) เพราะล่วงเสียซึ่งเนว-
สัญญานาสัญญายตนะโดยประการทั้งปวงจึงเข้าถึงสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่ (ที.ปา. ๑๑/๓๓๙/๒๓๑, องฺ.อฏฺฐก.
(แปล) ๒๓/๖๖/๒๕๓) หรือ ได้แก่ มรรค ๔ ผล ๔ หรือ รูปฌาน และอรูปฌาน (ขุ.อป.อ. ๑/๓๗๑/๒๘๖)
๓ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าได้ทำให้สำเร็จแล้ว หมายถึงคำสั่งสอนเป็นอนุศาสนีและโอวาท
ของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าให้สำเร็จด้วยอรหัตตมรรคญาณ (ขุ.อป.อ. ๑/๗๔๑/๒๘๖)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๕๘ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๒. มหาโมคคัลลานเถราปทาน
๒. มหาโมคคัลลานเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระมหาโมคคัลลานเถระ
(พระมหาโมคคัลลานเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าว
ว่า)
[๓๗๕] พระผู้มีพระภาคพระนามว่าอโนมทัสสี
ผู้เจริญที่สุดในโลก ผู้องอาจกว่านรชน
มีหมู่เทวดาห้อมล้อมประทับอยู่ที่ภูเขาหิมพานต์
[๓๗๖] ครั้งนั้น ข้าพเจ้าเกิดเป็นพญานาคมีนามว่าวรุณ
เนรมิตรูปได้ตามที่ต้องการ แสดงฤทธิ์ได้ต่าง ๆ
อาศัยอยู่ในทะเลใหญ่
[๓๗๗] ข้าพเจ้าละหมู่นาคซึ่งเป็นบริวารประจำ ให้เริ่มบรรเลงดนตรี
ในครั้งนั้น หมู่นางนาคแวดล้อมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว
พากันประโคมดนตรี
[๓๗๘] เมื่อดนตรีประโคมอยู่ เหล่าเทวดาก็ประโคมดนตรี
พระพุทธเจ้าได้ทรงสดับเสียงดนตรีของทั้ง ๒ ฝ่ายแล้วก็ทรงทราบ
[๓๗๙] ข้าพเจ้านิมนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า๑ แล้วเข้าไปยังภพของตน
ปูลาดอาสนะ แล้วจึงกราบทูลเวลา
[๓๘๐] พระผู้มีพระภาคผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก
มีพระขีณาสพ ๑,๐๐๐ รูป แวดล้อม (ทรงเปล่งรัศมี)
ทำทิศทั้งปวงให้สว่างไสว เสด็จเข้าไปยังภพของข้าพเจ้า
[๓๘๑] ครั้งนั้น ข้าพเจ้าอังคาสพระผู้มีพระภาค
ผู้มีความเพียรมาก ผู้เป็นเทพยิ่งกว่าเทพ ผู้องอาจกว่านรชน
และหมู่ภิกษุให้อิ่มหนำด้วยข้าวและน้ำ

เชิงอรรถ :
๑ หมายรวมถึงหมู่พระสาวกด้วย เพื่อฉันในวันรุ่งขึ้น (ขุ.อป.อ. ๑/๓๗๙/๒๘๘)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๕๙ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๒. มหาโมคคัลลานเถราปทาน
[๓๘๒] พระผู้มีพระภาคผู้ทรงมีความเพียรมาก
ผู้เป็นพระสยัมภู เป็นบุคคลผู้เลิศ ทรงอนุโมทนาแล้ว
ประทับนั่งในท่ามกลางหมู่ภิกษุแล้ว ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
[๓๘๓] บุคคลใดได้บูชาพระสงฆ์ และได้บูชาพระพุทธเจ้า
ผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก ด้วยจิตที่เลื่อมใสนั้น
บุคคลนั้นจักไปเกิดยังเทวโลก
[๓๘๔] จักครองเทวสมบัติ ๗๗ ชาติ
จักเป็นพระเจ้าแผ่นดินครองแผ่นดิน ๑๐๘ ชาติ
[๓๘๕] และจักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๕๕ ชาติ
โภคสมบัตินับจำนวนไม่ถ้วนจักเกิดขึ้นแก่เขาในขณะนั้น
[๓๘๖] ในกัปที่นับมิได้ นับจากกัปนี้ไป
พระศาสดาพระนามว่าโคดม ตามพระโคตร
ทรงสมภพในราชสกุลโอกกากราช จักอุบัติขึ้นในโลก
[๓๘๗] เขาจุติจากนรกแล้วจักมาเกิดเป็นมนุษย์
เป็นบุตรของพราหมณ์มีนามว่าโกลิตะ
[๓๘๘] ภายหลัง เขาถูกกุศลมูลตักเตือนแล้ว
จักบวชเป็นสาวกองค์ที่ ๒ ของพระผู้มีพระภาคพระนามว่าโคดม
[๓๘๙] เป็นผู้บำเพ็ญเพียร๑ มีใจเด็ดเดี่ยว(เพื่อนิพพาน)
ถึงความสำเร็จแห่งฤทธิ์
กำหนดรู้อาสวะทั้งปวงเป็นผู้ไม่มีอาสวะแล้วนิพพาน
[๓๙๐] (พระเถระครั้นกล่าวคำพยากรณ์ที่ตนได้รับแล้ว
เมื่อจะประกาศความประพฤติชั่วจึงกล่าวว่า)
ข้าพเจ้าคลุกคลีมิตรชั่ว ตกอยู่ในอำนาจกามราคะ
มีใจโกรธเคือง ได้ฆ่ามารดาและบิดาเสียแล้ว

เชิงอรรถ :
๑ ผู้บำเพ็ญเพียร หมายถึงมีความเพียรในอิริยาบถทั้งหลายมีการยืนการนั่งเป็นต้น (ขุ.อป.อ. ๑/๓๘๙/๒๘๙)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๖๐ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๒. มหาโมคคัลลานเถราปทาน
[๓๙๑] ข้าพเจ้าเกิดในกำเนิดใด ๆ คือ จะเป็นนรกหรือมนุษย์ก็ตาม
เพราะเป็นผู้มากด้วยความชั่ว ข้าพเจ้าจึงถูกทุบศีรษะตาย
[๓๙๒] นี้เป็นกรรมครั้งสุดท้ายของข้าพเจ้า
ภพสุดท้ายกำลังเป็นไปอยู่
กรรมเช่นนี้จักปรากฏแก่ข้าพเจ้าในเวลาจะตายแม้ในชาตินี้
[๓๙๓] ข้าพเจ้าหมั่นประกอบความสงัด ยินดีในการเจริญสมาธิ
กำหนดรู้อาสวะทั้งปวงแล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
[๓๙๔] (เมื่อพระเถระจะประกาศผลแห่งความประพฤติในก่อน จึงกล่าวว่า)
ข้าพเจ้าถึงความสำเร็จแห่งฤทธิ์ พึงใช้นิ้วหัวแม่เท้าข้างซ้าย
เขี่ยแผ่นดินซึ่งทั้งลึกทั้งหนาที่อะไร ๆ กำจัดได้ยาก ให้ไหวได้
[๓๙๕] ข้าพเจ้าไม่เห็นอัสมิมานะ(ถือตัวว่าเป็นนั่นเป็นนี่)
ข้าพเจ้าไม่มีความถือตัว
ข้าพเจ้ากระทำจิตให้มีความเคารพ แม้กระทั่งสามเณร
[๓๙๖] ในกัปที่นับมิได้ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญกรรมใดไว้
ข้าพเจ้าได้บรรลุถึงภูมินั้น๑ แล้วบรรลุความสิ้นอาสวะ
[๓๙๗] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระมหาโมคคัลลานเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการ
ฉะนี้
มหาโมคคัลลานเถราปทานที่ ๒ จบ

เชิงอรรถ :
๑ ภูมินั้น หมายถึงสาวกภูมิ ซึ่งหมายถึงบรรลุพระนิพพาน (ขุ.อป.อ. ๑/๓๙๖/๓๐๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๖๑ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๓. มหากัสสปเถราปทาน
๓. มหากัสสปเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระมหากัสสปเถระ
(พระมหากัสสปเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๓๙๘] ประชาชนพากันทำการบูชาพระผู้มีพระภาค
ผู้ศาสดาพระนามว่าปทุมุตตระ
ผู้เจริญที่สุดในโลก ผู้คงที่
ในเมื่อพระองค์ผู้ทรงเป็นที่พึ่งของสัตว์โลก
ได้เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว
[๓๙๙] หมู่ชนมีจิตร่าเริง บันเทิงเบิกบาน ทำการบูชา
เมื่อหมู่ชนนั้นเกิดความสังเวช แต่ข้าพเจ้าเกิดความปีติยินดี
[๔๐๐] ข้าพเจ้าได้เชิญญาติมิตรมาประชุมกันแล้วได้กล่าวคำนี้ว่า
พระผู้มีพระภาคผู้มีความเพียรมากได้ปรินิพพานแล้ว
ขอเชิญพวกเรามาทำการบูชาเถิด
[๔๐๑] ญาติมิตรของข้าพเจ้าเหล่านั้นรับคำแล้ว
ก็ทำให้ข้าพเจ้าเกิดความร่าเริงเป็นอย่างยิ่งว่า
พวกเราจักทำการสั่งสมบุญ
ในพระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นที่พึ่งของสัตว์โลก
[๔๐๒] ข้าพเจ้าได้ช่วยกันสร้างอัคฆิยเจดีย์
เป็นเจดีย์ที่สร้างอย่างดี สูง ๑๐๐ ศอก กว้าง ๑๕๐ ศอก
เป็นดังวิมานสูงเสียดฟ้า สั่งสมบุญไว้แล้ว
[๔๐๓] ข้าพเจ้าครั้นสร้างอัคฆิยเจดีย์ ซึ่งงดงามด้วยแนวแห่งต้นตาล
ไว้ใกล้สถานที่ที่ทำการบูชาเจดีย์นั้นแล้ว
ทำจิตของตนให้เลื่อมใส บูชาเจดีย์อันสูงสุด

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๖๒ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๓. มหากัสสปเถราปทาน
[๔๐๔] พระเจดีย์นั้นรุ่งเรืองอยู่(ด้วยรัตนะทั้ง ๗)
ดุจกองไฟลุกโพลงอยู่ ส่องสว่างทั่วทั้ง ๔ ทิศ
ดุจต้นพญาไม้สาละออกดอกบานสะพรั่ง และดุจสายรุ้งในอากาศ
[๔๐๕] ข้าพเจ้าทำจิตให้เลื่อมใสในห้องบรรจุพระบรมสารีริกธาตุนั้น
สร้างกุศลเป็นอันมากแล้วระลึกถึงบุพกรรมแล้ว
จึงไปเกิดยังสวรรค์ชั้นไตรทิพย์
[๔๐๖] ข้าพเจ้าอธิษฐานยานทิพย์เทียมด้วยม้าสินธพ ๑,๐๐๐ ตัว
วิมานของข้าพเจ้า สูงตระหง่าน ๗ ชั้น
[๔๐๗] (ในวิมานนั้น) มีเรือนยอด ๑,๐๐๐ หลัง ทำด้วยทองคำล้วน
รุ่งเรืองด้วยเดชของตน ส่องสว่างทั่วทุกทิศ
[๔๐๘] ครั้งนั้น มีศาลาหน้ามุขทำด้วยแก้วทับทิมแม้เหล่าอื่นอยู่
ศาลาหน้ามุขแม้เหล่านั้นมีรัศมีโชติช่วงรอบ ๆ ทั้ง ๔ ทิศ
[๔๐๙] เรือนยอดซึ่งเกิดขึ้นด้วยบุญกรรม
ที่บุญกรรมเนรมิตไว้อย่างดี
ทำด้วยแก้วมณี โชติช่วงโดยรอบทั่วทุกทิศ
[๔๑๐] แสงสว่างแห่งเรือนยอดซึ่งโชติช่วงอยู่เหล่านั้นได้สว่างเจิดจ้า
ข้าพเจ้าปกครองเทวดาทั้งปวง นี้เป็นผลแห่งบุญกรรม
[๔๑๑] ในกัปที่ ๖๐,๐๐๐ (นับแต่กัปนี้ไป)
ข้าพเจ้าเป็นกษัตริย์นามว่าอุพพิทธะ มีชัยชนะ
มีทวีปทั้ง ๔ เป็นขอบเขต ครองแผ่นดิน
[๔๑๒] ในภัทรกัปก็อย่างนั้นเหมือนกัน
ข้าพเจ้าได้เกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ผู้มีพลานุภาพมาก
ยินดีพอใจในกรรมของตน๑ ถึง ๓๐ ชาติ

เชิงอรรถ :
๑ กรรมของตน ในที่นี้หมายถึงทศพิธราชธรรม ธรรมสำหรับพระเจ้าแผ่นดิน ๑๐ ประการ คือ ทาน (การ
ให้สิ่งของ) ศีล (ประพฤติดีงาม) ปริจจาคะ (ความเสียสละ) อาชชวะ (ความซื่อตรง) มัททวะ (ความอ่อนโยน)
ตบะ (ไม่หมกมุ่นในความสุขสำราญ) อักโกธะ (ความไม่โกรธ) อวิหิงสา (ความไม่ข่มเหงเบียดเบียน)
ขันติ (ความอดทน) อวิโรธนะ (ความไม่คลาดธรรม) (ขุ.อป.อ. ๑/๔๑๒-๓/๓๒๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๖๓ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๓. มหากัสสปเถราปทาน
[๔๑๓] ข้าพเจ้าเป็นใหญ่ในทวีปทั้ง ๔
สมบูรณ์ด้วยรัตนะ ๗ ประการ
ในคราวเป็นพระเจ้าจักรพรรดินั้น
ปราสาทของข้าพเจ้าสูงตระหง่านดังสายรุ้ง
[๔๑๔] ปราสาทนั้นยาว ๒๔ โยชน์ กว้าง ๑๒ โยชน์
มีกรุงชื่อว่ารัมมกะ มีกำแพงและค่ายมั่นคง
[๔๑๕] นครนั้น มีกำแพงและค่ายยาว ๕๐๐ โยชน์
กว้าง ๒๕๐ โยชน์ มีหมู่ชนพลุกพล่านขวักไขว่
ดังเมืองสวรรค์ชั้นไตรทิพย์
[๔๑๖] เข็ม ๒๕ เล่มที่ใส่ไว้ในกล่องเข็มแล้ว
ย่อมกระทบกันและกัน เบียดเสียดกันเป็นนิตย์ ฉันใด
[๔๑๗] แม้กรุงของข้าพเจ้าก็ฉันนั้น
พลุกพล่านขวักไขว่ไปด้วยช้าง ม้า และรถ
มีมนุษย์ ขวักไขว่น่ารื่นรมย์ เป็นกรุงอันอุดม
[๔๑๘] ข้าพเจ้า ดื่ม กิน อยู่ในกรุงนั้น แล้วกลับไปเกิดเป็นเทวดาอีก
ในภพสุดท้าย กุศลสมบัติได้มีแก่ข้าพเจ้า
[๔๑๙] ข้าพเจ้าเกิดในตระกูลพราหมณ์ สะสมรัตนะไว้เป็นอันมาก
สละทรัพย์ ๘๐ โกฏิ แล้วออกบวช
[๔๒๐] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระมหากัสสปเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
มหากัสสปเถราปทานที่ ๓ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๖๔ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๔. อนุรุทธเถราปทาน
๔ อนุรุทธเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระอนุรุทธเถระ
(พระอนุรุทธเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๔๒๑] ข้าพเจ้าได้พบเห็นพระผู้มีพระภาคพระนามว่าสุเมธะ
ผู้เจริญที่สุดในโลก ผู้องอาจกว่านรชน
ผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก เสด็จหลีกเร้นอยู่
[๔๒๒] ข้าพเจ้าเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าสุเมธะ
ผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก ได้ประคองอัญชลี
ทูลอ้อนวอนพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐที่สุดว่า
[๔๒๓] ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงมีความเพียรมาก ผู้เจริญที่สุดในโลก
ทรงองอาจกว่านรชน ขอพระองค์ทรงอนุเคราะห์ด้วยเถิด
ข้าพระองค์จะถวายประทีปแด่พระองค์ ผู้เข้าฌานอยู่ที่โคนต้นไม้
[๔๒๔] พระสยัมภูธีรเจ้า ทรงเป็นผู้ประเสริฐ
กว่าเจ้าลัทธิทั้งหลายพระองค์นั้นทรงรับแล้ว
ในครั้งนั้น ข้าพเจ้าได้เจาะต้นไม้ประกอบประทีปยนต์
[๔๒๕] ข้าพเจ้าได้มอบถวายไส้ตะเกียง ๑,๐๐๐ ไส้
แด่พระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าพันธุ์ของโลก
ดวงประทีปทั้งหลายลุกโพลงอยู่ตลอด ๗ วันแล้วก็ดับไปเอง
[๔๒๖] ด้วยจิตที่เลื่อมใสนั้นและด้วยการตั้งเจตนาไว้มั่น
ข้าพเจ้าละกายมนุษย์แล้วได้ไปเกิดยังวิมาน
[๔๒๗] เมื่อข้าพเจ้าเกิดเป็นเทวดา
วิมานที่กรรมเนรมิตไว้ดีแล้ว ย่อมรุ่งเรืองรอบด้าน
นี้เป็นผลแห่งการถวายประทีป

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๖๕ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๔. อนุรุทธเถราปทาน
[๔๒๘] ครั้งนั้น ข้าพเจ้ารุ่งเรืองทั่วตลอดหนึ่งโยชน์โดยรอบ
ย่อมปกครองเทวดาทั้งปวง
นี้เป็นผลแห่งการถวายประทีป
[๔๒๙] ข้าพเจ้าได้เป็นจอมเทพครองเทวสมบัติอยู่ถึง ๓๐ กัป
ไม่ว่าจะเป็นใครก็ดูหมิ่นข้าพเจ้าไม่ได้
นี้เป็นผลแห่งการถวายประทีป
[๔๓๐] ข้าพเจ้าได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๒๘ ชาติ
และในครั้งนั้น ข้าพเจ้ามองเห็นได้ตลอดหนึ่งโยชน์
โดยรอบทั้งกลางวันและกลางคืน
[๔๓๑] ข้าพเจ้าได้ตาทิพย์ ย่อมมองเห็นได้ตลอด ๑,๐๐๐ จักรวาล
ด้วยญาณในศาสนาของพระศาสดา
นี้เป็นผลแห่งการถวายดวงประทีป
[๔๓๒] ในกัปที่ ๓๐,๐๐๐ นับจากกัปนี้ไป
มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าสุเมธะ
ข้าพเจ้ามีจิตผ่องใส ได้ถวายดวงประทีปแด่พระองค์
[๔๓๓] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔
วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระอนุรุทธเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
อนุรุทธเถราปทานที่ ๔ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๖๖ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๕. ปุณณมันตานีปุตตาเถราปทาน
๕. ปุณณมันตานีปุตตเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระปุณณมันตานีบุตรเถระ
(พระปุณณมันตานีบุตรเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึง
กล่าวว่า)
[๔๓๔] ข้าพเจ้าเป็นพราหมณ์ผู้คงแก่เรียน ทรงมนตร์
จบไตรเพท ห้อมล้อมด้วยศิษย์ทั้งหลายแล้ว
ได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคผู้สูงสุดแห่งนรชน
[๔๓๕] พระผู้มีพระภาคพระนามว่าปทุมุตตระ
ผู้ทรงรู้แจ้งโลก ผู้สมควรรับเครื่องบูชา
ทรงเป็นมหามุนี ได้ประกาศกรรมของข้าพเจ้าโดยย่อ
[๔๓๖] ข้าพเจ้าได้ฟังธรรมนั้นแล้ว จึงถวายอภิวาทพระศาสดา
ประคองอัญชลี บ่ายหน้าหลีกไปทางทิศใต้
[๔๓๗] ข้าพเจ้าได้ฟังธรรมมาโดยย่อแล้วแสดงได้โดยพิสดาร
ศิษย์ทุกคนต่างพอใจฟังข้าพเจ้ากล่าวอยู่
แล้วบรรเทาทิฏฐิของตน
ต่างทำจิตให้เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า
[๔๓๘] แม้โดยย่อข้าพเจ้าก็แสดงได้ โดยพิสดารก็แสดงได้เหมือนกัน
เป็นผู้มีความรู้ในนัยแห่งพระอภิธรรม
เป็นผู้ฉลาดในกถาวัตถุปกรณ์อย่างหมดจด
ให้ปวงชนได้รู้แจ่มแจ้งแล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
[๔๓๙] ในกัปที่ ๕๐๐ นับจากภัทรกัปนี้ไป
ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้มีชื่อเสียงถึง ๔ ชาติ
สมบูรณ์ด้วยรัตนะ ๗ ประการ ทรงเป็นใหญ่ในทวีปทั้ง ๔

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๖๗ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๖. อุปาลิเถราปทาน
[๔๔๐] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้
ได้ทราบว่า ท่านพระปุณณมันตานีบุตรเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการ
ฉะนี้
ปุณณมันตานีปุตตเถราปทานที่ ๕ จบ

๖. อุปาลิเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระอุบาลีเถระ
(พระอุบาลีเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๔๔๑] ข้าพเจ้าเป็นพราหมณ์มีนามว่าสุชาตะ
ในกรุงหงสวดี มีกองทรัพย์ ๘๐ โกฏิ
มีทรัพย์และข้าวเปลือกเป็นอันมาก
[๔๔๒] เป็นผู้คงแก่เรียน ทรงมนตร์
จบไตรเพท สำเร็จในคัมภีร์พยากรณ์ลักษณะ
คัมภีร์อิติหาสะ และไตรเพท อันเป็นธรรมของตน
[๔๔๓] ครั้งนั้น เหล่าปริพาชกผู้มีผมปอยเดียว
สาวกของพระพุทธเจ้าผู้เป็นเชื้อสายพระอาทิตย์
และเหล่าดาบสผู้เที่ยวสัญจร
พากันท่องเที่ยวไปบนพื้นแผ่นดิน
[๔๔๔] แม้พวกเขาก็พากันห้อมล้อมข้าพเจ้า
ด้วยสำคัญว่า เป็นพราหมณ์ มีชื่อเสียง
ชนจำนวนมากพากันบูชาข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าไม่บูชาใคร ๆ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๖๘ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๖. อุปาลิเถราปทาน
[๔๔๕] ครั้งนั้น ข้าพเจ้าไม่เห็นใครว่าเป็นผู้ที่ควรบูชา จึงถือตัวจัด
พระชินเจ้ายังไม่เสด็จอุบัติขึ้นมาตราบใด
คำว่า พุทธะ ก็ยังไม่มีตราบนั้น
[๔๔๖] เมื่อวันคืนล่วงไป พระผู้มีพระภาคพระนามว่าปทุมุตตระ
ทรงเป็นผู้นำ ผู้มีพระจักษุ
เสด็จอุบัติขึ้นมาบรรเทาความมืดทั้งปวงในโลก
[๔๔๗] เมื่อศาสนาแผ่ไปกว้างขวาง มีท่านผู้รู้มากและเป็นปึกแผ่น
ครั้งนั้น พระพุทธเจ้าได้เสด็จเข้าไปยังกรุงหงสวดี
[๔๔๘] ครั้งนั้น พระพุทธเจ้าผู้มีพระจักษุพระองค์นั้น
ได้ทรงแสดงธรรมเป็นประโยชน์แก่พระบิดา
มีชุมนุมชนอยู่โดยรอบตลอดหนึ่งโยชน์ ตามเวลานั้น
[๔๔๙] ครั้งนั้น สุนันทดาบสได้รับสมมติจากหมู่ชน(ว่าเป็นเลิศ)
ได้ใช้ดอกไม้บังแดดทั่วพุทธบริษัท
[๔๕๐] เมื่อพระพุทธเจ้าทรงประกาศสัจจะ ๔
ณ มณฑปดอกไม้ที่งดงาม
เหล่าสัตว์ประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิได้บรรลุธรรม
[๔๕๑] พระพุทธเจ้าทรงบันดาลหยาดฝนคือพระธรรม
ให้ตกลงตลอดทั้ง ๗ คืน ๗ วัน
พอถึงวันที่ ๘ พระชินเจ้าก็ได้ทรงพยากรณ์สุนันทดาบสว่า
[๔๕๒] ท่านผู้นี้ เมื่อเวียนว่ายตายเกิดในเทวโลกหรือมนุษยโลก
ก็จักเป็นผู้ประเสริฐกว่าใครทั้งหมด
จักเวียนว่ายตายเกิดในภพทั้งหลาย
[๔๕๓] ในกัปที่ ๑๐๐,๐๐๐ (นับจากกัปนี้ไป)
พระศาสดาทรงพระนามว่าโคดม ตามพระโคตร
ทรงสมภพในราชสกุลโอกกากราช จักอุบัติขึ้นในโลก

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๖๙ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๖. อุปาลิเถราปทาน
[๔๕๔] ท่านผู้นี้จักเป็นบุตรของนางมันตานี มีนามว่าปุณณะ
เป็นธรรมทายาท เป็นโอรสที่ธรรมเนรมิต
จักเป็นสาวกของพระศาสดาพระองค์นั้น
[๔๕๕] ครั้งนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า๑
ทรงพยากรณ์สุนันทดาบสอย่างนี้แล้ว
ทำให้ประชาชนทั้งปวงร่าเริง ทรงแสดงกำลังของพระองค์
[๔๕๖] ครั้งนั้น๒ ประชาชนประนมมือไหว้สุนันทดาบส
แต่สุนันทดาบสครั้นทำสักการะในพระพุทธเจ้าแล้ว
ก็ได้ชำระคติ(กำเนิด)ของตนให้บริสุทธิ์หมดจด
[๔๕๗] เพราะข้าพเจ้าได้ฟังพระดำรัสของพระมุนี ณ ที่นั้น
จึงได้มีความดำริว่า เราจักสั่งสมบุญ
โดยประการที่จะได้พบพระผู้มีพระภาคพระนามว่าโคดม
[๔๕๘] ครั้นข้าพเจ้าคิดอย่างนี้แล้ว ก็คิดถึงกิจที่เราควรทำว่า
เราจะบำเพ็ญบุญกรรมเช่นไร ในเนื้อนาบุญที่ยอดเยี่ยม
[๔๕๙] บรรดาภิกษุผู้เป็นนักสวดทั้งหมดในศาสนา
ภิกษุรูปนี้เป็นนักสวดรูปหนึ่ง
ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้เลิศในทางวินัย
ตำแหน่งนั้นข้าพเจ้าปรารถนา๓แล้ว
[๔๖๐] โภคสมบัติของข้าพเจ้านี้นับประมาณมิได้
เปรียบดังห้วงน้ำที่ไม่มีอะไร ๆ ทำให้กระเพื่อมได้ (นับไม่ได้)
ข้าพเจ้าได้จ่ายโภคสมบัตินั้นสร้างอารามถวายพระพุทธเจ้า

เชิงอรรถ :
๑ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในที่นี้หมายถึงพระผู้มีพระภาคพระนามว่าปทุมุตตระ (ขุ.อป.อ. ๑/๔๕๕/๓๓๓)
๒ ครั้งนั้น ในที่นี้หมายถึงก่อนที่พระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระจะเสด็จอุบัติขึ้นมา (ขุ.อป.อ. ๑/๕๖/๓๓๓)
๓ ท่านได้เห็นพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระแต่งตั้งภิกษุรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งพระวินัยธรผู้เลิศกว่าพระ
วินัยธรทุกรูป จึงได้สักการะพระศาสดาแล้วปรารถนาตำแหน่งนั้นบ้าง (ขุ.อป.อ. ๑/๔๕๙/๓๓๔)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๗๐ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๖. อุปาลิเถราปทาน
[๔๖๑] ข้าพเจ้าจ่ายทรัพย์หนึ่งแสนซื้อสวนชื่อว่าโสภณะ
ด้านทิศตะวันออกนคร สร้างให้เป็นสังฆาราม
[๔๖๒] ข้าพเจ้าได้สร้างเรือนยอด ปราสาท มณฑป
เรือนโล้น ถ้ำ และที่จงกรมไว้ในสังฆารามอย่างดี
[๔๖๓] ข้าพเจ้าได้สร้างเรือนไฟ โรงไฟ
โรงน้ำ และห้องอาบน้ำ ถวายแด่หมู่ภิกษุ
[๔๖๔] ข้าพเจ้าได้ถวายเก้าอี้นอน ตั่ง
ภาชนะสำหรับใช้สอย คนวัด และเภสัชนั้นครบทุกอย่าง
[๔๖๕] ข้าพเจ้าได้จัดตั้งอารักขาไว้ ให้สร้างกำแพงอย่างมั่นคง
ด้วยหวังว่า ใคร ๆ อย่าได้รบกวนอารามแห่งนั้น
ของท่านผู้มีจิตสงบ ผู้คงที่เลย
[๔๖๖] ข้าพเจ้าได้จ่ายทรัพย์หนึ่งแสนสร้างที่อยู่ไว้ในสังฆาราม
ครั้นให้สร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว จึงน้อมถวายพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า
[๔๖๗] ข้าแต่พระมุนี ข้าพระองค์สร้างอารามเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ขอพระองค์ทรงรับเถิด ข้าแต่พระธีรเจ้าผู้มีพระจักษุ
ข้าพระองค์ขอมอบถวายแด่พระองค์ ขอพระองค์ทรงรับเถิด
[๔๖๘] พระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ
ผู้ทรงรู้แจ้งโลก ผู้สมควรรับเครื่องบูชา ทรงเป็นผู้นำ
ทราบความดำริของข้าพเจ้าแล้ว จึงทรงรับไว้
[๔๖๙] ข้าพเจ้าทราบการรับของพระสัพพัญญู
ผู้แสวงหาพระคุณอันยิ่งใหญ่
จึงตระเตรียมโภชนาหารแล้ว ไปกราบทูลภัตตกาล
[๔๗๐] เมื่อข้าพเจ้ากราบทูลภัตตกาลแล้ว
พระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ผู้ทรงเป็นผู้นำ
พร้อมด้วยพระขีณาสพ ๑,๐๐๐ รูป
ได้เสด็จมาสู่อารามของข้าพเจ้า

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๗๑ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๖. อุปาลิเถราปทาน
[๔๗๑] ข้าพเจ้าทราบเวลาที่พระองค์ประทับนั่งเรียบร้อยแล้ว
จึงอังคาสให้อิ่มหนำ
ทราบเวลาที่เสวยเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงได้กราบทูลคำนี้ว่า
[๔๗๒] อารามชื่อโสภณะข้าพระองค์จ่ายทรัพย์หนึ่งแสนซื้อมา
ได้สร้างจนเสร็จเรียบร้อยด้วยทรัพย์จำนวนเท่านั้นเช่นกัน
ข้าแต่พระมุนี ขอพระองค์ทรงรับเถิด
[๔๗๓] ด้วยการถวายพระอารามแห่งนี้และด้วยการตั้งเจตนาไว้มั่น
เมื่อข้าพระองค์บังเกิดในภพ
ขอจงได้สิ่งที่ข้าพระองค์ปรารถนาเถิด
[๔๗๔] พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรับสังฆาราม
ที่ข้าพเจ้าสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ประทับนั่งท่ามกลางหมู่ภิกษุแล้ว ได้ตรัสพระดำรัสนี้ว่า
[๔๗๕] เราจักพยากรณ์ผู้ที่ได้ถวายสังฆาราม
ซึ่งสร้าง(กุฏิ ที่เร้น มณฑป ปราสาท เรือนโล้น และกำแพงเป็นต้น)
เสร็จเรียบร้อยแล้วแด่พระพุทธเจ้า
ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าวเถิด
[๔๗๖] กองทัพ ๔ เหล่า คือ พลช้าง พลม้า
พลรถ และพลเดินเท้า จะแวดล้อมผู้นี้เป็นนิตย์
นี้เป็นผลแห่งการถวายสังฆาราม
[๔๗๗] เครื่องดนตรี ๖๐,๐๐๐ ชิ้น
กลองที่ประดับตกแต่งสวยงาม จะแวดล้อมผู้นี้เป็นนิตย์
นี้เป็นผลแห่งการถวายสังฆาราม
[๔๗๘] สาวรุ่น ๘๖,๐๐๐ นาง ผู้ประดับตกแต่งสวยงาม
สวมใส่ผ้าอาภรณ์อย่างงดงาม ห้อยตุ้มหูแก้วมณี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๗๒ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๖. อุปาลิเถราปทาน
[๔๗๙] มีหน้ากลมโต๑ มีปกติร่าเริง รูปร่างงาม
เอวเล็กเอวบาง จักแวดล้อมผู้นี้เป็นนิตย์
นี้เป็นผลแห่งการถวายสังฆาราม
[๔๘๐] ผู้นี้จักรื่นรมย์ในเทวโลกตลอด ๓๐,๐๐๐ กัป
จักเป็นจอมเทพครองเทวสมบัติ ๑,๐๐๐ ชาติ
[๔๘๑] จักได้สิ่งของทุกอย่างที่ท้าวเทวราชจะพึงได้
เป็นผู้มีโภคทรัพย์ไม่รู้จักพร่อง ครองเทวสมบัติ
[๔๘๒] จักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิในแว่นแคว้น ๑,๐๐๐ ชาติ
เป็นพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์นับชาติไม่ถ้วน
[๔๘๓] ในกัปที่ ๑๐๐,๐๐๐ กัป
พระศาสดาพระนามว่าโคดม ตามพระโคตร
ทรงสมภพในราชสกุลโอกกากราช จักอุบัติขึ้นในโลก
[๔๘๔] ท่านผู้นี้จักมีนามว่าอุบาลี
เป็นธรรมทายาท เป็นโอรสที่ธรรมเนรมิต
เป็นสาวกของพระศาสดาพระองค์นั้น
[๔๘๕] จักถึงความสำเร็จในวินัย เป็นผู้ฉลาดในฐานะและมิใช่ฐานะ๒
ดำรงศาสนาของพระชินเจ้าไว้ได้ อยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
[๔๘๖] พระผู้มีพระภาคผู้โคดมศากยะผู้ประเสริฐ
ทรงทราบความนั้นทั้งหมดแล้ว
ประทับนั่งในท่ามกลางหมู่ภิกษุ
จักทรงตั้ง(อุบาลี)ไว้ในเอตทัคคะ

เชิงอรรถ :
๑ มีหน้ากลมโต ในที่นี้แปลตามบาลี อาฬารมุขา แต่อรรถกถาเป็น อาฬารปมฺหา (ขุ.อป.อ. ๑/๔๗๙/๓๓๕)
และข้ออื่น ๆ ในเล่มเดียวกัน เช่นข้อ ๙๕/๑๐๕,๗๖/๔๒๙ เป็น อาฬารปมฺหา เหมือนกันแปลว่า มีตา
กลมโต
๒ ฐานะและมิใช่ฐานะ หมายถึงเหตุและมิใช่เหตุ (ขุ.อป.อ. ๑/๔๘๕/๓๓๕)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๗๓ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๖. อุปาลิเถราปทาน
[๔๘๗] ข้าพระองค์ปรารถนาศาสนาของพระองค์๑
เริ่มต้นตั้งแต่(หลายแสน)กัปที่นับมิได้
ข้าพระองค์ได้บรรลุประโยชน์นั้น
ทั้งได้บรรลุความสิ้นสังโยชน์ทั้งปวงตามลำดับ
[๔๘๘] คนถูกคุกคามด้วยพระราชอาญา
ถูกเสียบไว้ที่หลาวแล้ว ไม่ได้ความสำราญที่หลาว
ต้องการแต่จะหลุดพ้นไปอย่างเดียว ฉันใด
[๔๘๙] ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรมาก
ข้าพระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ถูกคุกคามด้วยอาชญาคือภพ ถูกเสียบไว้ที่หลาวคือกรรม
ถูกเวทนาคือความกระหายบีบคั้นแล้ว
[๔๙๐] ไม่ประสบความสำราญในภพ
ถูกไฟ ๓ กอง๒ แผดเผาอยู่ แสวงหาอุบายรอดพ้น
ดุจคนแสวงหาอุบายรอดพ้นจากพระราชอาญา ฉะนั้น
[๔๙๑] คนดื่มยาพิษ ถูกยาพิษบีบคั้น
เขาจึงแสวงหายากำจัดยาพิษ
[๔๙๒] เมื่อแสวงหา จึงได้พบยากำจัดยาพิษ
ดื่มยานั้นแล้วก็มีความสุข เพราะรอดพ้นจากยาพิษ ฉันใด
[๔๙๓] ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรมาก
ข้าพระองค์ก็เป็นเหมือนคนถูกยาพิษทำร้าย
ถูกอวิชชาบีบคั้น จึงแสวงหายาคือพระสัทธรรม

เชิงอรรถ :
๑ ข้าพระองค์ปรารถนาศาสนาของพระองค์ คือข้าพเจ้าปรารถนาจะเป็นผู้เลิศกว่าใคร ๆ ในทางทรงจำวินัย
ในศาสนาของพระโคดมผู้มีพระภาค (ขุ.อป.อ. ๑/๔๘๗/๓๓๖)
๒ ไฟ ๓ กอง ได้แก่ ไฟคือราคะ ไฟคือโทสะ ไฟคือโมหะ หรือไฟในนรก ไฟที่เกิดขึ้นในกัป ไฟคือทุกข์
(ขุ.อป.อ. ๑/๔๘๙-๙๐/๓๓๖)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๗๔ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๖. อุปาลิเถราปทาน
[๔๙๔] เมื่อแสวงหายาคือพระธรรมก็ได้พบศาสนาของพระศากยะ
ศาสนานั้นเป็นยาชั้นเลิศกว่ายาทุกขนาน
สำหรับบรรเทาลูกศรทุกชนิด๑
[๔๙๕] ข้าพระองค์ดื่มธรรมโอสถแล้วก็ถอนพิษได้ทั้งหมด
ข้าพระองค์ได้สัมผัสพระนิพพาน ซึ่งไม่แก่ ไม่ตาย
เป็นภาวะเย็นสนิท
[๔๙๖] คนถูกผีคุกคาม ถูกผีสิงบีบคั้น
พึงแสวงหาหมอผี เพื่อรอดพ้นจากผี
[๔๙๗] เมื่อแสวงหา ก็ได้พบหมอผีผู้ฉลาดในวิชาไล่ผี
หมอผีนั้นจึงขับไล่ผีให้คนนั้น
และทำผีพร้อมทั้งต้นเหตุให้พินาศ ฉันใด
[๔๙๘] ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรมาก
ข้าพระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ถูกผีคือความมืด(คือกิเลส)เบียดเบียน
จึงแสวงหาแสงสว่างคือญาณเพื่อรอดพ้นจากความมืด
[๔๙๙] ต่อมา ข้าพระองค์ได้พบพระศากยมุนีผู้ชำระความมืดคือกิเลส
พระศากยมุนีนั้น ทรงบรรเทาความมืดให้ข้าพระองค์
ดุจหมอผีขับไล่ผีไป ฉะนั้น
[๕๐๐] ข้าพระองค์ได้ตัดกระแสการเวียนว่ายตายเกิดแล้ว
ห้ามกระแสแห่งตัณหาได้ ถอนภพขึ้นได้หมดสิ้น
ดุจหมอผีขับไล่ผีไปพร้อมทั้งต้นเหตุ ฉะนั้น
[๕๐๑] พญาครุฑโฉบลงจับนาคซึ่งเป็นภักษาของตน
ย่อมทำน้ำในสระใหญ่ให้กระเพื่อมถึง ๑๐๐ โยชน์ โดยรอบ

เชิงอรรถ :
๑ ลูกศรทุกชนิด ในที่นี้หมายถึงกิเลสมีราคะเป็นต้น (ขุ.อป.อ. ๑/๔๙๔/๓๓๗)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๗๕ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๖. อุปาลิเถราปทาน
[๕๐๒] ครั้นพญาครุฑนั้นจับนาคได้แล้ว เบียดเบียนนาค ให้ห้อยหัวลง
มันจับนาคพาบินไปได้ตามความปรารถนา ฉันใด
[๕๐๓] ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรมาก
ข้าพระองค์ก็เหมือนพญาครุฑที่มีพลัง
แสวงหาอสังขตธรรม๑ ได้ชำระโทษทั้งหลายแล้ว
[๕๐๔] ข้าพระองค์ได้เห็นธรรมอันประเสริฐ
จึงยึดถือเอาสันติบท๒ อันยอดเยี่ยมนี้อยู่
ดุจพญาครุฑจับนาคไป ฉะนั้น
[๕๐๕] เถาวัลย์ชื่ออาสาวดี๓ เกิดในสวนจิตรลดาแล้ว
ล่วงไป ๑,๐๐๐ ปี เถาวัลย์นั้นจึงจะเกิดผลผลหนึ่ง
[๕๐๖] เทพทั้งหลาย เข้าไปนั่งเฝ้าเถาวัลย์ชื่ออาสาวดีนั้น
เมื่อกาลนาน ๆ จะมีผลสักคราว
เถาวัลย์ชื่ออาสาวดีนั้นเป็นเถาวัลย์ชั้นสูงสุด
เป็นที่รักใคร่ของเหล่าเทวดาอย่างนี้
[๕๐๗] นับได้ ๑๐๐,๐๐๐ ปี (นับจากกัปนี้ไป)
ข้าพระองค์จึงจะได้ปรนนิบัติพระมุนีนั้นนอบน้อมทั้งเช้าเย็น
ดุจเหล่าเทวดาได้เข้าไปเฝ้าเถาวัลย์ชื่ออาสาวดีทั้งเช้าเย็น ฉะนั้น
[๕๐๘] การปรนนิบัติ(พระพุทธเจ้า)ไม่เป็นหมัน(เปล่าประโยชน์)
และการนอบน้อมก็ไม่เปล่าประโยชน์
ถึงข้าพระองค์จะมาจากที่ไกล
ขณะ๔ก็มิได้ล่วงเลยข้าพระองค์ไป

เชิงอรรถ :
๑ อสังขตธรรม หมายถึงธรรมที่ปัจจัยมิได้ปรุงแต่ง ธรรมที่ไม่ได้เกิดจากปัจจัย ได้แก่ พระนิพพาน (ขุ.อป.อ.
๑/๕๐๓/๓๓๘)
๒ สันติบท หมายถึงนิพพาน (ขุ.อป.อ. ๑/๕๐๔/๓๓๘)
๓ อาสาวดี เป็นชื่อของผิวพรรณที่ได้ยาก ท่านก็กล่าวถึงเถาวัลย์อาสาวดีที่หายากมากในหมู่เทพยดา
เป็นเถาวัลย์ที่เหล่าเทวดาต้องการ (ขุ.อป.อ. ๑/๕๐๕/๓๓๙)
๔ ขณะ ในที่นี้หมายถึงขณะการเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้า (ขุ.อป.อ. ๑/๕๐๘/๓๓๙)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๗๖ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๖. อุปาลิเถราปทาน
[๕๐๙] ข้าพระองค์ค้นหาการถือปฏิสนธิในภพก็ไม่เห็น
เพราะข้าพระองค์ไม่มีอุปธิ หลุดพ้นแล้ว(จากกิเลสทั้งปวง)
มีจิตสงบระงับเที่ยวไป
[๕๑๐] ธรรมดาดอกปทุมพอได้สัมผัสแสงดวงอาทิตย์
ก็แย้มบานทุกเมื่อ ฉันใด
ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงมีความเพียรมาก
ข้าพระองค์ก็ฉันนั้นบานแล้ว(คือสำเร็จมรรคผลนิพพาน)
เพราะรัศมีแห่งพระพุทธเจ้า
[๕๑๑] ในกำเนิดนกยาง ย่อมไม่มีนกยางตัวผู้ในกาลทุกเมื่อ
เมื่อเมฆฝนคำรน(เมื่อฟ้าร้อง)
นกยางตัวเมียจึงจะตั้งครรภ์ได้ ในกาลทั้งปวง
[๕๑๒] นกยางตัวเมียเหล่านั้นจะตั้งครรภ์อยู่นาน
ตราบเท่าที่เมฆฝนยังไม่คำราม
พวกมันจะพ้นจากภาระ(จะออกไข่)
ได้ก็ต่อเมื่อเมฆฝนตกลงมา ฉันใด
[๕๑๓] ข้าพระองค์ก็ฉันนั้น เมื่อพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ
ทรงคำรนด้วยเมฆฝนคือพระธรรม
ก็ได้ตั้งครรภ์คือธรรม ด้วยเสียงแห่งเมฆฝนคือธรรม
[๕๑๔] ใช้เวลาตั้ง ๑๐๐,๐๐๐ กัป
ข้าพระองค์ จึงจะได้ตั้งครรภ์คือบุญ
ข้าพระองค์ยังไม่พ้นจากภาระ๑
ตราบเท่าที่เมฆฝนคือพระธรรมยังไม่คำรน
[๕๑๕] ข้าแต่พระศากยมุนี พระองค์ทรงคำรน
ด้วยเมฆฝนคือพระธรรมในกรุงกบิลพัสดุ์ที่น่ารื่นรมย์ในกาลใด
ในกาลนั้นข้าพระองค์ก็จะพ้นจากภาระ

เชิงอรรถ :
๑ ภาระ ในที่นี้หมายถึงภาระคือการเวียนเกิดเวียนตายอยู่ในสังสารวัฏ (ขุ.อป.อ. ๑/๕๑๕/๓๔๐)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๗๗ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๖. อุปาลิเถราปทาน
[๕๑๖] ธรรมแม้นั้น คือ สุญญตวิโมกข์ อนิมิตตวิโมกข์
อัปปณิหิตวิโมกข์ และผล ๔ ทั้งปวง
ข้าพระองค์ก็ได้บรรลุแล้ว
ภาณวารที่ ๒ จบ

[๕๑๗] ข้าพระองค์ปรารถนาคำสอนของพระองค์นานจนนับกัปไม่ได้
ข้าพระองค์ได้บรรลุประโยชน์นั้นแล้ว
ทั้งได้สันติบท๑ อันยอดเยี่ยมตามลำดับ
[๕๑๘] ข้าพระองค์ถึงความสำเร็จในวินัย
เป็นเหมือนภิกษุผู้แสวงคุณผู้มีชื่อเสียง
ไม่มีภิกษุรูปอื่นจะเสมอเหมือนข้าพระองค์
ข้าพระองค์ทรงจำคำสั่งสอนไว้ได้
[๕๑๙] ในวินัยปิฎกทั้งสิ้นนี้ คือ ในวินัย ในขันธกะ๒
ในปริจเฉท ๓ (คือ ในสังฆาทิเสส ๓ หมวด
และปาจิตตีย์ ๓ หมวด)๓

เชิงอรรถ :
๑ สันติบท หมายถึงพระนิพพาน (ขุ.อป.อ. ๑/๕๑๗/๓๔๑)
๒ วินัย หมายถึงอุภโตวิภังค์, ขันธกะ หมายถึงมหาวรรคและจุลวรรค (ขุ.อป.อ. ๑/๕๑๙/๓๔๑)
๓ ติกสังฆาทิเสส อาบัติสังฆาทิเสส ๓ หมวด เป็นข้อกำหนด ๓ ประการของพระวินัยธร ผู้จะตัดสินอธิกรณ์
จะต้องตรวจดูว่าต้องอาบัติสังฆาทิเสส ในข้อกำหนดไหน ใน ๓ ประการนั้น เช่น นางภิกษุณี เรียกนาง
ภิกษุณีอื่นที่ถูกภิกษุณีสงฆ์ยกออกจากหมู่โดยชอบธรรม ชอบด้วยวินัย ชอบด้วยสัตถุศาสน์ กลับเข้าหมู่
เช่นนี้ เธอต้องอาบัติสังฆาทิเสส โดยสถานใดสถานหนึ่ง ในข้อกำหนด ๓ ประการ คือ (๑) มีความเข้าใจ
กรรมที่ภิกษุณีสงฆ์ทำโดยชอบธรรมว่าเป็นกรรมที่ภิกษุณีสงฆ์ทำโดยชอบธรรมเรียกนางภิกษุณี ที่ถูกลงโทษ
กลับเข้าหมู่ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส (๒) มีความสงสัยในกรรมที่ภิกษุณีสงฆ์ทำโดยชอบธรรม เรียกนาง
ภิกษุณีที่ถูกลงโทษกลับเข้าหมู่ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส (๓) มีความเข้าใจกรรมที่ภิกษุณีสงฆ์ทำโดยชอบ
ธรรมว่า เป็นกรรมที่ภิกษุณีสงฆ์ทำโดยไม่ชอบธรรม เรียกนางภิกษุณีที่ถูกลงโทษกลับเข้าหมู่ ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส ติกปาจิตตีย์ อาบัติปาจิตตีย์ ๓ หมวด คือภิกษุต้องอาบัติปาจิตตีย์ โดยสถานใดสถานหนึ่ง
ในข้อกำหนด ๓ ประการ เช่น ภิกษุเก็บอดิเรกจีวรไว้เกิน ๑๐ วันแล้ว (๑) มีความสำคัญว่าเกิน ๑๐
วันแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ (๒) มีความสงสัยว่าเกิน ๑๐ วันแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ (๓) มีความสำคัญ
ว่า ยังไม่เกิน ๑๐ วัน ต้องอาบัติปาจิตตีย์ (ดู วิ.มหา. (แปล) ๒/๔๖๘/๔)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๗๘ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๖. อุปาลิเถราปทาน
ในหมวดที่ ๕๑ ข้าพระองค์ไม่มีความสงสัยอักขระ(คือสระ)
หรือแม้ในพยัญชนะเลย
[๕๒๐] ข้าพระองค์ฉลาดในวิธีข่ม ในการกระทำคืน
ในฐานะที่ควรและฐานะที่ไม่ควร
ในการเรียกภิกษุผู้ถูกลงโทษกลับเข้าหมู่
และในการช่วยให้ภิกษุออกจากอาบัติ
ถึงความสำเร็จในการกระทำทางวินัยกรรมทุกอย่าง
[๕๒๑] ข้าพระองค์ตั้งบทไว้ในวินัยและขันธกะ และขยายอุภโตวิภังค์
เรียก(ภิกษุผู้ถูกลงโทษ)กลับเข้าหมู่โดยกิจ(หน้าที่)
[๕๒๒] ข้าพระองค์เป็นผู้ฉลาดในนิรุตติศาสตร์
และฉลาดในประโยชน์และสิ่งมิใช่ประโยชน์
สิ่งที่ข้าพระองค์ไม่รู้ไม่มี
ข้าพระองค์เป็นผู้เลิศผู้หนึ่งในศาสนาของพระศาสดา
[๕๒๓] ในวันนี้ ข้าพระองค์มองเห็นรูปคดี๒
บรรเทาความสงสัยได้ทุกอย่าง ในศาสนาของพระศากยบุตร
ตัดความลังเลได้หมดสิ้น
[๕๒๔] ข้าพระองค์เป็นผู้ฉลาดในฐานะทั้งปวง คือ บทหน้า
บทหลัง อักขระ พยัญชนะ คำเริ่มต้น และคำลงท้าย
[๕๒๕] เหมือนอย่างพระราชาผู้มีพลัง
ทรงจับไพร่พลของพระราชาผู้เป็นปฏิปักษ์
ให้เดือดร้อน ชนะสงครามแล้ว รับสั่งให้สร้างนครไว้ในที่นั้น
[๕๒๖] พึงรับสั่งให้สร้างกำแพง รับสั่งให้ขุดคูรอบ ตั้งเสาระเนียด
สร้างซุ้มประตู สร้างป้อมต่าง ๆ ไว้ในนคร เป็นอันมาก

เชิงอรรถ :
๑ ในหมวดที่ ๕ ในที่นี้ หมายถึงปริวาร (ชื่อคัมภีร์พระวินัยปิฎก หมวดสุดท้ายใน ๕ หมวด คือ อาทิกัมมิกะ
ปาจิตตีย์ มหาวรรค จูฬวรรค ปริวาร) (ขุ.อป.อ. ๑/๕๑๙/๓๔๑)
๒ ข้าพระองค์มองเห็นรูปคดี ในอรรถกถาเป็น รูปทกฺเข แก้ว่า ในคราวมองเห็นรูปก็คือในการวินิจฉัยวินัย
(ขุ.อป.อ. ๑/๕๒๓/๓๔๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๗๙ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๖. อุปาลิเถราปทาน
[๕๒๗] พึงรับสั่งให้สร้างถนนสี่แยก ทางแยก
ร้านตลาด จัดสรรไว้เป็นอย่างดี
สร้างศาลสถิตยุติธรรมเป็นที่ตัดสินคดีความไว้ในนครนั้น
[๕๒๘] เพื่อป้องกันอริราชศัตรู เพื่อจะรู้ช่องทาง(ดีร้าย)
เพื่อดูแลรักษากำลังพล พระราชาเจ้านครนั้น
จึงทรงแต่งตั้งแม่ทัพไว้
[๕๒๙] เพื่อรักษาสิ่งของ พระองค์จึงทรงแต่งตั้งคนที่ฉลาด
ในการเก็บรักษาสิ่งของ ให้เป็นผู้รักษาสิ่งของ
ด้วยตั้งพระทัยว่า สิ่งของของเราอย่าเสียหายไปเลย
[๕๓๐] ผู้ใดสมัครสมานกับพระราชา
และปรารถนาความเจริญรุ่งเรืองแก่พระราชา
พระราชาย่อมมอบหน้าที่แก่ผู้นั้น๑
เพื่อปฏิบัติตอบแทนต่อมิตร
[๕๓๑] พระราชาพระองค์นั้น ย่อมทรงแต่งตั้งผู้ที่ฉลาดในลางบอกเหตุ
ในนิมิตและในลักษณะ
ผู้คงแก่เรียน ผู้ทรงมนตร์๒ ไว้ในตำแหน่งปุโรหิต

เชิงอรรถ :
๑ บาทคาถาว่า สมคฺโค โหติ โส รญฺโ� ฉบับพม่าและอรรถกถาเป็น มมตฺโต โหติ โย รญฺโ� เดิมแปลว่า
เขาเป็นผู้พร้อมเพรียงกับพระราชา ปรารถนาความเจริญรุ่งเรืองแก่ผู้ใด ย่อมมอบหน้าที่ คือความเป็นใหญ่
ในการวินิจฉัยแก่ผู้นั้นเพื่อปฏิบัติเพื่อความเป็นมิตร โส เขาสามัคคีกับพระราชาพอฟังได้ แต่ถ้าจะตั้งคน
ที่ตนชอบพอให้เป็นคนตัดสินคดีความ คงไม่ได้ เพราะ โส คงแทนนามนามที่กล่าวชื่อมาแล้ว คือ คนที่ดูแล
รักษาสิ่งของ ถ้าจะว่า โส แทนบทว่า ราชา ก็ฟังไม่ขึ้น ราชาที่ไหนมาสามัคคีกับราชานี้ จึงแปลตามแนว
ฉบับพม่าและอรรถกถา (มมตฺโต โหติ โย รญฺโ�ติ โย ปณฺฑิโต รญฺโ� มมตฺโต มามโก ปกฺขปาโต
โหติ. วุทฺธึ ยสฺส จ อิจฺฉตีติ อสฺส รญฺโ� วุฑฺฒึ จ วิรุฬฺหึ โย อิจฺฉติ กาเมติ, ตสฺส อิตฺถมฺภูตสฺส ราชา
อธิกรณํ วินิจฺฉยาธิปจฺจํ เทติ มิตฺตสฺส มิตฺตภาวสฺส ปฏิปชฺชิตุนฺติ สมฺพนฺโธ ขุ.อป.อ. ๑/๕๓๐/๓๔๔)
๒ ผู้ที่ฉลาดลางบอกเหตุ หมายถึงผู้บอกคัมภีร์ไวยากรณ์แก่ศิษย์จำนวนมาก ผู้ทรงจำมนต์ ได้แก่ ผู้ทรง
จำไตรเพท (พระเวท ๓ เป็นคัมภีร์สูงสุดของศาสนาพราหมณ์ ได้แก่ (๑) ฤคเวท ประมวลบทความ
สรรเสริญ เทพเจ้า (๒) ยชุรเวท ประกอบด้วยบทสวดอ้อนวอนในพิธีบูชายัญต่าง ๆ (๓) สามเวท
ประมวลบทเพลงขับ สำหรับสวดแล้วร้องเป็นทำนองในพิธีบูชายัญ
ต่อมาเพิ่มอาถรรพเวท ว่าด้วยคาถาอาคมทางไสยศาสตร์เข้ามาอีกเป็น ๔ (ขุ.อป.อ. ๑/๕๓๑/๓๔๔)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๘๐ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๖. อุปาลิเถราปทาน
[๕๓๒] พระราชาพระองค์นั้นทรงสมบูรณ์ด้วยองค์ประกอบเหล่านี้
พสกนิกรจึงขนานพระนามว่ากษัตริย์
เหล่าอำมาตย์จึงถวายการอารักขาพระราชาทุกเมื่อ
ดุจนกจักรพากเฝ้ารักษานกผู้ประสบทุกข์
[๕๓๓] ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรมาก พระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
เป็นดุจกษัตริย์ ผู้ขจัดข้าศึกศัตรูได้แล้ว
ชาวโลกพร้อมทั้งเทวโลกจึงขนานพระนามว่าธรรมราชา
[๕๓๔] พระองค์ทรงปราบเหล่าเดียรถีย์
ทรงกำจัดมารพร้อมทั้งเสนามาร
ทรงขจัดความมืดมนอนธการแล้ว ได้ทรงสร้างนครคือพระธรรมไว้
[๕๓๕] ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียร ในนครคือพระธรรมนั้น
พระองค์มีศีลเป็นปราการ มีพระญาณเป็นซุ้มประตู
มีศรัทธาเป็นเสาระเนียด และมีความสังวรเป็นนายประตู
[๕๓๖] ข้าแต่พระมุนี พระองค์มีสติปัฏฐานเป็นป้อม
มีพระปัญญาเป็นชุมทาง
มีอิทธิบาทเป็นถนนสี่แยก
ธรรมวิถี พระองค์ก็ทรงสร้างไว้ดีแล้ว
[๕๓๗] พระองค์มีพระวินัย พระสูตร พระอภิธรรม
และพระพุทธพจน์มีองค์ ๙๑ แม้ทั้งมวล
นี้เป็นธรรมสภา

เชิงอรรถ :
๑ พระพุทธพจน์มีองค์ ๙ คือ (๑) สุตตะ พระสูตรทั้งหลาย รวมทั้งพระวินัยปิฎกและนิทเทส (๒) เคยยะ
ข้อความ ที่มีร้อยแก้วและร้อยกรองผสมกัน คือพระสูตรที่มีคาถารวมอยู่ด้วยทั้งหมด (๓) เวยยากรณะ
ไวยากรณ์ คือความร้อยแก้วล้วน ได้แก่ พระอภิธรรมปิฎกทั้งหมด และพระสูตรที่ไม่มีคาถา (๔) คาถา
ความร้อยกรองล้วน เช่น ธรรมบท เถรีคาถา (๕) อุทาน พระคาถาพุทธอุทาน (๖) อิติวุตตกะ พระสูตร
ที่เรียกว่าอิติวุตตกะ มี ๑๑๒ สูตร (๗) ชาตกะ ชาดก ๕๐๐ เรื่อง (๘) อัพภูตธรรม เรื่องอัศจรรย์
คือ พระสูตรที่กล่าวถึง ข้ออัศจรรย์ต่าง ๆ (๙) เวทัลละ พระสูตรแบบถามตอบ เช่นจูฬเวทัลลสูตร
มหาเวทัลลสูตร) (ขุ.อป.อ. ๑/๕๓๗/๓๔๕)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๘๑ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๖. อุปาลิเถราปทาน
[๕๓๘] พระองค์มีสุญญตวิหารธรรม(ธรรมเป็นเครื่องอยู่อันว่าง)
อนิมิตตวิหารธรรม(ธรรมเป็นเครื่องอยู่ไม่มีนิมิต)
อัปปณิหิตวิหารธรรม(ธรรมเป็นเครื่องอยู่ไม่มีความตั้งปรารถนา)
อาเนญชวิหารธรรม๑(ธรรมเป็นเครื่องอยู่ไม่หวั่นไหว)
นิโรธวิหารธรรม๒(ธรรมเป็นเครื่องอยู่คือความดับ) นี้เป็นธรรมกุฎี
[๕๓๙] พระเถระผู้เลิศด้วยปัญญา ที่ทรงแต่งตั้งไว้
ฉลาดในปฏิภาณ มีนามว่าสารีบุตร
เป็นจอมทัพธรรมของพระองค์
[๕๔๐] ข้าแต่พระมุนี พระเถระผู้ฉลาดในจุติและปฏิสนธิ
ถึงความสำเร็จแห่งฤทธิ์ มีนามว่าโกลิตะ (โมคคัลลานะ)
เป็นปุโรหิตของพระองค์
[๕๔๑] ข้าแต่พระมุนี พระเถระผู้ดำรงวงศ์เก่าแก่
มีเดชแผ่ไป หาผู้กระทบกระทั่งได้ยาก
เป็นผู้เลิศด้วยธุดงค์คุณ(มีนามว่ากัสสปะ)เป็นผู้พิพากษาของพระองค์
[๕๔๒] ข้าแต่พระมุนี พระเถระผู้เป็นพหูสูต ผู้ทรงธรรม
เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุผู้สวดสาธยายทุกรูป๓ ในศาสนา
มีนามว่าอานนท์ เป็นผู้รักษาธรรมของพระองค์
[๕๔๓] พระผู้มีพระภาคผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
ทรงละพระเถระเหล่านี้ทุกรูป
ทรงมุ่งเฉพาะข้าพระองค์ แล้วทรงประทานการวินิจฉัยวินัย
ซึ่งบัณฑิตผู้รู้แสดงไว้แล้วแก่ข้าพระองค์

เชิงอรรถ :
๑ อาเนญชวิหารธรรม หมายถึงสามัญผล (ผลแห่งความเป็นสมณะ) ๔ ที่ไม่เปลี่ยนแปลง (คือโสดาปัตติ-
ผล สกทาคามิผล อนาคามิผล และอรหัตตผล (ขุ.อป.อ. ๑/๕๓๘/๓๔๖), ที.ปา. ๑๑/๓๕๔/๒๔๖
๒ นิโรธ ในที่นี้หมายถึงพระนิพพานเป็นที่ดับทุกข์ทั้งปวง (ขุ.อป.อ. ๑๕๓๘/๓๔๖)
๓ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุผู้สวดสาธยายทุกรูป แปลมาจากศัพท์ สพฺพปาฐิ (ขุ.อป.อ. ๑/๕๔๒/๓๔๗)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๘๒ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๖. อุปาลิเถราปทาน
[๕๔๔] สาวกของพระพุทธองค์ บางรูปไต่ถามปัญหาในวินัย
ในปัญหาที่ถามมานั้น ข้าพระองค์ไม่ต้องคิด(ลังเล)
ย่อมอธิบายปัญหานั้นได้เลย
[๕๔๕] ข้าแต่พระมหามุนีตลอดพุทธเขต ยกเว้นพระองค์
ในพระวินัยไม่มีใครผู้เช่นกับข้าพระองค์
ผู้ที่ยิ่งกว่าจักมีแต่ที่ไหน
[๕๔๖] พระผู้มีพระภาคผู้โคดม ประทับนั่งในท่ามกลางภิกษุสงฆ์แล้ว
บันลืออย่างนี้ว่า ผู้เสมอกับอุบาลีในพระวินัย๑
และในขันธกะ(คือในมหาวรรค จูฬวรรคและปริวาร)ไม่มี
[๕๔๗] สำหรับท่านผู้เห็นพระวินัยเป็นหลักสำคัญ
นวังคสัตถุศาสตร์ เท่าที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้
ทั้งหมดพระศาสดาตรัสไว้ในวินัย๒
๕๔๘] พระผู้มีพระภาคผู้โคดมศากยะผู้ประเสริฐ
ทรงระลึกถึงกรรมของข้าพระองค์
ประทับนั่งในท่ามกลางหมู่ภิกษุแล้ว
ทรงแต่งตั้งข้าพระองค์ไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ
[๕๔๙] ข้าพระองค์ได้ปรารถนาตำแหน่งนี้นานนับได้ ๑๐๐,๐๐๐ กัป
ข้าพระองค์ได้บรรลุประโยชน์นั้นแล้ว ถึงความสำเร็จในวินัย

เชิงอรรถ :
๑ วินัย หมายถึงอุภโตวิภังค์ วินัยทั้งฝ่ายภิกษุและฝ่ายภิกษุณี
๒ คำว่า วินเย กถิตํ สพฺพํ ฉบับพม่าเป็น วินโยคธํ ตํ สพฺพํ ในอรรถกถาก็มีนัยเช่นนี้ โดยพระอรรถ-
กถาจารย์แก้เป็น สพฺพํ วินโยคธํ ตํ วินเย อนฺโตปวิฏฺ�ํ วินยมูลกํ อิจฺเจวํ ปสฺสิโน ปสฺสนฺตสฺส (ขุ.อป.อ.
๑/๕๔๗/๓๔๗)
คาถานี้ เดิมแปลว่า เรากล่าวสัตถุศาสน์มีองค์ ๙ ตลอดถึงที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วทั้งหมดไว้ใน
พระวินัยแก่บุคคลผู้เห็นมูลพระวินัย (ฉบับสังคายนา)
ข้อความตามนัยเดิมนั้น ดูกระไรอยู่ เพราะทำให้สงสัยว่าพระอุบาลีจะเป็นผู้จัดนวังคสัตถุศาสน์ไว้
ในพระวินัยหรือ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๘๓ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๖. อุปาลิเถราปทาน
[๕๕๐] เมื่อก่อน ข้าพระองค์เป็นช่างกัลบก (ช่างตัดผม)
เป็นผู้ทำให้เจ้าศากยะทั้งหลายเกิดความเพลิดเพลิน
ได้ละชาติกำเนิดนั้นแล้วมาเป็นบุตร
ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
[๕๕๑] ในกัปที่ ๒ นับจากภัทรกัปนี้ไป
ได้มีกษัตริย์พระนามว่าอัญชสะ
ทรงเดชานุภาพหาที่สุดมิได้
ทรงยศหาประมาณมิได้
เป็นพระเจ้าแผ่นดินมีพระราชทรัพย์มาก
[๕๕๒] ข้าพระองค์ได้เป็นขัตติยกุมารมีนามว่าจันทนะ
เป็นโอรสของพระราชาพระองค์นั้น
เป็นคนมีกิริยาแข็งกระด้าง
เพราะความมัวเมาในชาติตระกูล ในยศ และในโภคะ
[๕๕๓] ช้างตระกูลมาตังคะ ๑๐๐,๐๐๐ เชือก
ตกมัน ๓ แห่งประดับด้วยเครื่องประดับทุกอย่าง
แวดล้อมข้าพระองค์อยู่ทุกเมื่อ
[๕๕๔] ครั้งนั้น ข้าพระองค์มีกำลังพลของตนห้อมล้อม
ต้องการจะประพาสอุทยาน
จึงทรงช้างชื่อสิริกะออกจากนครไป
[๕๕๕] พระสัมพุทธเจ้า๑ พระนามว่าเทวละ
ผู้เพียบพร้อมด้วยจรณะ๒ คุ้มครองทวาร
สำรวมด้วยดี เสด็จมาข้างหน้าของข้าพระองค์

เชิงอรรถ :
๑ พระสัมพุทธเจ้า ในที่นี้หมายถึงพระปัจเจกพุทธเจ้า (ขุ.อป.อ. ๑/๕๕๕/๓๔๙)
๒ จรณะ หมายถึงจรณธรรม ๑๕ มีสีลสังวรเป็นต้น (ขุ.อป.อ. ๑/๕๕๕/๓๔๙)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๘๔ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๖. อุปาลิเถราปทาน
[๕๕๖] ครั้งนั้น ข้าพระองค์ได้ไสช้างสิริกะไป
จะให้ทำร้ายพระพุทธเจ้า
เพราะเหตุนั้น ช้างนั้นเหมือนเกิดความโกรธยกเท้าไม่ขึ้น
[๕๕๗] ข้าพระองค์เห็นช้างเสียใจ จึงโกรธพระพุทธเจ้า
เบียดเบียนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วได้ไปอุทยาน
[๕๕๘] เพราะการจะให้ช้างทำร้ายนั้นเป็นเหตุ
ข้าพระองค์จึงมิได้ประสบความสำราญ
ศีรษะเป็นเหมือนมีไฟลุกโพลงอยู่
ข้าพระองค์ถูกความเร่าร้อนเผาไหม้อยู่ เหมือนปลาติดเบ็ด
[๕๕๙] แผ่นดินซึ่งมีสมุทรสาครเป็นที่สุด
ย่อมปรากฏแก่ข้าพระองค์เป็นดุจไฟลุกท่วม
ข้าพระองค์ได้เข้าเฝ้าพระราชบิดาแล้วกราบทูลคำนี้ว่า
[๕๖๐] หม่อมฉันได้ทำร้ายพระพุทธเจ้า
ผู้เป็นพระสยัมภูพระองค์ใด
ผู้เป็นดังอสรพิษที่ถูกทำให้โกรธ
ดังกองไฟที่ลามมา ดังช้างพลายตัวตกมัน๑
[๕๖๑] พระพุทธชินเจ้า ผู้มีตบะแก่กล้า ถูกข้าพระองค์รุกราน
พวกเราชาวเมืองทั้งปวงจักพินาศ
พวกเราจักขอขมาพระมุนีนั้น

เชิงอรรถ :
๑ แปลตามอรรถกถา (ขุ.อป.อ. ๑/๕๖๐/๓๕๐) ท่านเปรียบพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าว่าเป็นดัง
อสรพิษร้ายบ้าง ดังกองไฟบ้าง ดังราชสีห์ชาติไกรสรบ้าง ดังช้างตกมันบ้าง คนที่เข้าใกล้อสรพิษ กอง
ไฟลุกโชติช่วง ราชสีห์ดุร้าย ช้างตกมัน ย่อมได้รับอันตราย ฉันใด ผู้ที่ทำร้ายพระพุทธเจ้า พระ
ปัจเจกพุทธเจ้า ก็ย่อม ประสบบาปกรรมใหญ่หลวง ก็ฉันนั้น
ดังบาลีว่า
อาสีวิโส ยถา โฆโร มิคราชาว เกสรี
มตฺโตว กุญฺชโร ทนฺโต เอวํ พุทฺธา ทุราสทา.
(ขุ.อป. ๓๒/๒๗๐/๔๔๙ )
คาถาที่ ๕๖๐ นี้ เดิมแปลอสรพิษร้าย และกองไฟเป็นอุปมาของช้าง

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๘๕ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๖. อุปาลิเถราปทาน
[๕๖๒] หากพวกเราจักไม่ขอขมาพระองค์(พระสัมมาสัมพุทธเจ้า)
ผู้ฝึกตนแล้ว ผู้มีจิตตั้งมั่น
แว่นแคว้นของเราจักพินาศภายในวันที่ ๗
[๕๖๓] พระเจ้าสุเมขลราช พระเจ้าโกสิยราช
พระเจ้าสิคควราช พระเจ้าสัตตกราชเหล่านั้นพร้อมเสนา
ได้รุกรานท่านฤๅษีทั้งหลายแล้ว ได้ถึงความทุกข์ยาก
[๕๖๔] ท่านฤๅษีทั้งหลาย ผู้สำรวมแล้ว
ประพฤติประเสริฐ ย่อมโกรธในกาลใด
ในกาลนั้นย่อมทำมนุษยโลกพร้อมทั้งเทวโลก
ท้องทะเล และภูเขา ให้พินาศไป
[๕๖๕] ข้าพระองค์จึงสั่งให้ประชาชนมาประชุมกันในพื้นที่
ประมาณ ๓,๐๐๐ โยชน์ เพื่อต้องการจะแสดงโทษ
จึงเข้าไปหาพระสยัมภูพุทธเจ้า
[๕๖๖] ประชาชน(พร้อมทั้งข้าพระองค์)ทั้งหมด
มีผ้าเปียก ศีรษะเปียก ประนมมือ
พากันหมอบลงแทบพระยุคลบาทของพระสยัมภูพุทธเจ้า
แล้วได้กราบเรียนคำนี้ว่า
[๕๖๗] ข้าแต่ท่านผู้มีความเพียรมาก ขอพระคุณเจ้าโปรดยกโทษเถิด
ประชาชนอ้อนวอนพระคุณเจ้า
ขอพระคุณเจ้าโปรดช่วยบรรเทาความเร่าร้อน
และขอพระคุณเจ้าอย่าได้ทำแว่นแคว้นให้พินาศเลย
[๕๖๘] มวลมนุษย์พร้อมทั้งเทวดา ทานพ และรากษส๑
จะพึงเอาฆ้อนเหล็กทุบศีรษะของข้าพระองค์ ในกาลทุกเมื่อ

เชิงอรรถ :
๑ ทานพ หมายถึงอสูรจำพวกหนึ่ง รากษส หมายถึงยักษ์ร้าย, ผีเสื้อน้ำ (ขุ.อป.อ. ๑/๕๖๘/๓๕๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๘๖ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๖. อุปาลิเถราปทาน
[๕๖๙] (พระพุทธเจ้าตรัสว่า)
ไฟย่อมไม่เกิดในน้ำ พืชย่อมไม่งอกบนแผ่นหิน
กิมิชาติ๑ ย่อมไม่เกิดในยาพิษ ฉันใด
ความโกรธย่อมไม่เกิดในพระพุทธเจ้า ฉันนั้น
[๕๗๐] แผ่นดินไม่หวั่นไหว ฉันใด
พระพุทธเจ้าใคร ๆ ก็ให้กำเริบไม่ได้ ฉันนั้น
ทะเลประมาณมิได้ ฉันใด
พระพุทธเจ้ามีพระคุณประมาณมิได้ ฉันนั้น
และอากาศไม่มีที่สุด ฉันใด
พระพุทธเจ้ามีพระคุณไม่มีที่สุด ฉันนั้น
[๕๗๑] พระพุทธเจ้าทั้งหลายฝึกฝนตนแล้ว
มีความเพียรมาก มีการงดโทษให้แก่ผู้อื่นและมีตบะ
ท่านผู้มีความอดทนและมีการอดโทษให้ แก่ผู้อื่น
จะไม่มีการลุอำนาจอคติ
[๕๗๒] พระสัมมาสัมพุทธเจ้าครั้นกล่าวดังนี้แล้วได้บรรเทาความเร่าร้อน
เหาะขึ้นไปบนท้องฟ้าต่อหน้ามหาชน ในครั้งนั้น
[๕๗๓] ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียร๒
เพราะกรรมนั้น ข้าพระองค์จึงได้เข้าถึงภาวะที่เลวทราม
ล่วงเลยชาตินั้นมาเข้าสู่นคร(คือนิพพาน)ซึ่งไม่มีภัย
[๕๗๔] ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรมาก แม้ในครั้งนั้น
พระสยัมภูพุทธเจ้าเห็นข้าพระองค์ถูกไฟแผดเผาอยู่

เชิงอรรถ :
๑ กิมิชาติ หมายถึงสัตว์จำพวกหนอน
๒ อรรถกถาเป็น ธีราติ ธีร ธิติสมฺปนฺน (ขุ.อป.อ. ๑/๕๗๓/๓๕๒) ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นปราชญ์ (เป็นคำร้อง
เรียกที่พระอุบาลีเรียกพระพุทธเจ้าอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ได้เล่าประวัติในอดีตของตนมาแล้ว)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๘๗ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๖. อุปาลิเถราปทาน
(แต่)ดำรงอยู่ด้วยดี จึงทรงบรรเทาความเร่าร้อนให้
ข้าพเจ้าจึงทูลขอพระสยัมภูงดโทษให้๑
[๕๗๕] ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรมาก แม้ในวันนี้
พระผู้มีพระภาคทรงช่วยข้าพระองค์ผู้ถูกไฟ ๓ กอง๒แผดเผาอยู่
ให้ถึงภาวะสงบเย็น และทรงช่วยดับไฟ ๓ กองให้แล้ว
[๕๗๖] ขอให้ท่านทั้งหลายผู้เงี่ยโสตสดับ จงตั้งใจฟังข้าพเจ้ากล่าว
ข้าพเจ้าจะบอกประโยชน์แก่ท่านทั้งหลาย
โดยประการที่ข้าพเจ้าได้เห็นบท๓แล้ว
[๕๗๗] ข้าพเจ้าดูหมิ่นพระสยัมภูพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ผู้มีจิตสงบ มีจิตตั้งมั่น
เพราะกรรมนั้น ในปัจจุบันนี้
จึงมาเกิดในชาติตระกูลต่ำ
[๕๗๘] ท่านทั้งหลายอย่าได้พลาดขณะ๔ไปเลย
เพราะเหล่าสัตว์ผู้ล่วงเลยขณะไปย่อมเศร้าโศก
ขอท่านทั้งหลายพึงพยายามในประโยชน์ตนเถิด
ขณะท่านทั้งหลายให้สำเร็จแล้ว
[๕๗๙] พระผู้มีพระภาคตรัสบอกยาสำรอกแก่บุคคลบางพวก
ยาถ่ายแก่บุคคลบางพวก ยาพิษร้ายแรงแก่บุคคลบางพวก
และยารักษาแก่บุคคลบางพวก

เชิงอรรถ :
๑ ฉบับเก่าประธานของประโยคคือ ตฺวํ (คือ สัพพนาม แทน คำว่า ภควา ซึ่งพระอุบาลี กำลังกราบทูลอยู่)
ดูตามความแล้ว หมายถึงพระปัจเจกพุทธเจ้าในอดีต และอรรถกถาก็ขึ้น ปจฺเจกพุทฺโธ เป็นประธาน
๒ ไฟ ๓ กอง หมายถึงไฟคือราคะ ไฟคือโทสะ ไฟคือโมหะ หรือไฟนรก ไฟในเปรตวิสัยและไฟในสังสารวัฏ
(ขุ.อป.อ. ๑/๕๗๕/๓๕๓)
๓ บท ในที่นี้หมายถึงพระนิพพาน (ขุ.อป.อ. ๑/๕๗๖/๓๕๓)
๔ ขณะในที่นี้ หมายถึงขณะเป็นที่พระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น (ขุ.อป.อ. ๑/๕๗๘/๓๕๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๘๘ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๖. อุปาลิเถราปทาน
[๕๘๐] คือพระผู้มีพระภาค ตรัสบอกยาสำรอกแก่บุคคลผู้ปฏิบัติ
ตรัสบอกยาถ่ายแก่บุคคลผู้ดำรงอยู่ในผล
ตรัสบอกยารักษาโรคแก่บุคคลผู้ได้ผลแล้ว
ตรัสบอกบุญเขตแก่บุคคลผู้แสวงบุญ
[๕๘๑] ตรัสบอกยาพิษร้ายแรง(คือบาปอกุศล)
แก่บุคคลผู้เป็นข้าศึกต่อศาสนา
ยาพิษร้ายแรงย่อมแผดเผานรชนนั้น
เหมือนอสรพิษร้าย ฉะนั้น
[๕๘๒] ยาพิษร้ายแรงที่บุคคลดื่มแล้วเพียงครั้งเดียว
ก็ย่อมทำให้เสียชีวิตได้ บุคคลทำผิดต่อศาสนาแล้ว
ย่อมถูกแผดเผานับเป็นโกฏิกัป
[๕๘๓] พระองค์ทรงช่วยสัตว์โลกพร้อมทั้งเทวโลกให้ข้ามพ้น(สังสารวัฏ)
ด้วยขันติ ด้วยความไม่เบียดเบียน
และด้วยจิตประกอบด้วยเมตตา
เพราะเหตุนั้น พระพุทธเจ้าเหล่านั้น
เป็นผู้อันท่านทั้งหลายให้พิโรธไม่ได้
[๕๘๔] พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงเป็นเช่นพื้นปฐพี
ไม่ทรงติดข้องในลาภ ในความเสื่อมลาภ
ในความสรรเสริญ ในความถูกดูหมิ่น
เพราะเหตุนั้น พระพุทธเจ้าเหล่านั้น
เป็นผู้อันท่านทั้งหลายให้พิโรธไม่ได้
[๕๘๕] พระมุนีทรงมีพระทัยสม่ำเสมอในสัตว์ทั้งปวง คือ ในพระเทวทัต
นายขมังธนู โจรองคุลีมาล พระราหุล และช้างธนบาล
[๕๘๖] พระพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่านั้น
ไม่มีความแค้นเคือง ไม่มีความกำหนัด
เหตุนั้น พระพุทธเจ้าจึงทรงมีพระทัยสม่ำเสมอในชนทั้งหมด
คือในนายขมังธนู และในพระโอรส

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๘๙ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๖. อุปาลิเถราปทาน
[๕๘๗] ท่านทั้งหลายได้พบผ้ากาสาวะอันเป็นธงชัยของพระฤๅษี
ซึ่งเปื้อนคูถ ถูกทิ้งไว้ที่หนทาง
ก็พึงประนมมือเหนือศีรษะแล้วไหว้เถิด
[๕๘๘] พระพุทธเจ้าเหล่าใดทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
พระพุทธเจ้าเหล่านั้น ย่อมบริสุทธิ์ได้ด้วยธงชัยนี้
เพราะเหตุนั้น จึงควรนอบน้อมพระพุทธเจ้าเหล่านั้น
[๕๘๙] ข้าพเจ้าทรงจำวินัยที่ดีงาม
เช่นกับองค์แทนพระศาสดาไว้ด้วยหทัย
ข้าพเจ้านมัสการวินัยอยู่ในกาลทั้งปวง
[๕๙๐] วินัยเป็นที่อาศัยของข้าพเจ้า เป็นที่ยืนเดินของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าสำเร็จการอยู่ในวินัย วินัยเป็นอารมณ์ของข้าพเจ้า
[๕๙๑] ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรมาก
ภิกษุชื่ออุบาลีถึงความสำเร็จในวินัย
เป็นผู้ฉลาดในวิธีระงับอธิกรณ์
ขอถวายบังคมพระยุคลบาทของพระศาสดา
[๕๙๒] ข้าพเจ้านั้น เที่ยวไปจากหมู่บ้านสู่หมู่บ้าน จากเมืองสู่เมือง
นมัสการอยู่ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระธรรมซึ่งเป็นธรรมดี
[๕๙๓] กิเลสทั้งหลายข้าพเจ้าก็เผาได้แล้ว
ภพทั้งปวงข้าพเจ้าถอนได้แล้ว
อาสวะทั้งปวงก็สิ้นไปแล้ว
บัดนี้ ภพใหม่ไม่มีอีก
[๕๙๔] การที่ข้าพเจ้าได้มาในสำนักของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐที่สุด
เป็นการมาดีแล้วโดยแท้
วิชชา ๓ ข้าพเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๙๐ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๗. อัญญาโกณฑัญญเถราปทาน
[๕๙๕] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระอุบาลีเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
อุปาลิเถราปทานที่ ๖ จบ

๗. อัญญาโกณฑัญญเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระอัญญาโกณฑัญญเถระ
(พระอัญญาโกณฑัญญเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๕๙๖] ข้าพเจ้าได้พบเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ
ผู้เจริญที่สุดในโลก ผู้ทรงเป็นผู้นำโดยวิเศษ๑
ผู้ถึงพุทธภูมิแล้ว๒ เป็นครั้งแรก
[๕๙๗] ยักษ์จำนวนเท่าที่มีทั้งหมด มาประชุมที่ต้นโพธิ์
ประนมมือไหว้แวดล้อมพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
[๕๙๘] เทวดาทั้งหมดนั้นมีใจยินดีเที่ยวไปในอากาศ
ป่าวประกาศว่า พระพุทธเจ้าพระองค์นี้
ทรงบรรเทาความมืดมนอนธการ
บรรลุ(อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ)
[๕๙๙] เทวดาเหล่านั้นมีความร่าเริง ป่าวประกาศบันลือลั่นไปว่า
พวกเราจักเผากิเลสทั้งหลายให้ได้
ในศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เชิงอรรถ :
๑ นำโดยวิเศษ หมายถึงนำเวไนยสัตว์ให้ถึงฝั่งนอกแห่งสงสารสาคร ได้แก่ อมตมหานิพพาน (ขุ.อป.อ.
๑/๕๙๖/๓๖๐)
๒ พุทธภูมิ หมายถึงภูมิของพระพุทธเจ้า ได้แก่ พระสัพพัญญุตญาณ (ขุ.อป.อ. ๑/๕๙๖/๓๖๐)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๙๑ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๗. อัญญาโกณฑัญญเถราปทาน
[๖๐๐] ข้าพเจ้ารู้จากคำพูดของเหล่าเทวดาที่เปล่งออกมาด้วยวาจา
แล้วมีจิตร่าเริง เบิกบาน ได้ถวายภิกษาครั้งแรก
[๖๐๑] พระศาสดาผู้ยอดเยี่ยมในโลก ทรงทราบความดำริของข้าพเจ้า
ประทับนั่งในท่ามกลางหมู่เทวดา ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
[๖๐๒] เราออกบวชได้ ๗ วันแล้ว จึงได้บรรลุพระโพธิญาณ
ภัตตาหารที่ถวายเป็นครั้งแรกนี้
เป็นสิ่งที่ช่วยอัตภาพของเราผู้ประพฤติพรหมจรรย์ให้เป็นไปได้
[๖๐๓] เราจักพยากรณ์เทพบุตรที่จากสวรรค์ชั้นดุสิตมาในที่นี้
น้อมภิกษาหารเข้ามาถวายแก่เรา
ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าวเถิด
[๖๐๔] เทพบุตรนั้นจักครองเทวสมบัติประมาณ ๓๐,๐๐๐ กัป
ครองสวรรค์ชั้นไตรทิพย์ ปกครองเทวดาทั้งปวง
[๖๐๕] ครั้นจุติจากเทวโลกแล้ว
จักไปเกิดเป็นมนุษย์เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ
ครองราชสมบัติในโลกมนุษย์นั้น ๑,๐๐๐ ชาติ
[๖๐๖] ในกัปที่ ๑๐๐,๐๐๐ (นับจากกัปนี้ไป)
พระศาสดาพระนามว่าโคดม ตามพระโคตร
ทรงสมภพในราชสกุลโอกกากราช จักอุบัติขึ้นในโลก
[๖๐๗] เทพบุตรนั้น ครั้นจุติจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้ว
ไปเกิดเป็นมนุษย์ ออกบวชปฏิบัติอยู่ ๖ ปี
[๖๐๘] ในปีที่ ๗ พระพุทธเจ้าจักทรงประกาศสัจจะ
ภิกษุมีนามว่าโกณฑัญญะ ทำให้แจ้งเป็นองค์แรก
[๖๐๙] พระโพธิสัตว์ออกผนวช
ข้าพเจ้าก็ออกบวชตามบำเพ็ญความเพียรอย่างดี
ข้าพเจ้าบวชเป็นบรรพชิต เพื่อต้องการจะเผากิเลสทั้งหลาย

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๙๒ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๘. ปิณโฑลภารทวาชเถราปทาน
[๖๑๐] พระพุทธเจ้าผู้ทรงรู้สิ่งทั้งปวง๑ ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก
ได้เสด็จไปยังป่าใหญ่
ทรงลั่นอมตเภรี๒ด้วยโสดาปัตติมรรคญาณ
ที่ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้วนี้
[๖๑๑] บัดนี้ ข้าพเจ้านั้นได้บรรลุอมตบท สงบ ยอดเยี่ยม
กำหนดรู้อาสวะทั้งปวงแล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
[๖๑๒] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระอัญญาโกณฑัญญเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการ
ฉะนี้
อัญญาโกณฑัญญเถราปทานที่ ๗ จบ

๘. ปิณโฑลภารทวาชเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระปิณโฑลภารทวาชเถระ
(พระปิณโฑลภารทวาชเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึง
กล่าวว่า)
[๖๑๓] ครั้งนั้น พระชินเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ
ผู้เป็นพระสยัมภู ทรงเป็นบุคคลผู้เลิศ
ประทับอยู่บนภูเขาจิตรกูฏ เบื้องหน้าภูเขาหิมพานต์

เชิงอรรถ :
๑ สิ่งทั้งปวง หมายถึงอดีต อนาคต และปัจจุบัน อีกอย่างหนึ่ง หมายถึงเญยยธรรม คือสังขาร วิการ
ลักษณะ นิพพาน และบัญญัติ (ขุ.อป.อ. ๑/๖๑๐/๓๖๑)
๒ อมตเภรี หมายถึงกลองคืออมตมหานิพพาน (ขุ.อป.อ. ๑/๖๑๐/๓๖๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๙๓ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๘. ปิณโฑลภารทวาชเถราปทาน
[๖๑๔] ข้าพเจ้าได้เกิดเป็นพญาเนื้อ ไม่มีความกลัวเกรง
สามารถวิ่งไปได้ทั้ง ๔ ทิศ อยู่ ณ ที่นั้น
ซึ่งสัตว์จำนวนมากได้ฟังเสียงแล้วย่อมครั่นคร้าม
[๖๑๕] ข้าพเจ้าได้คาบดอกปทุมที่บานดีแล้ว
เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าผู้องอาจกว่านรชน
ได้บูชาพระพุทธเจ้าผู้เสด็จออกจากสมาธิ
[๖๑๖] ครั้งนั้น ข้าพเจ้าได้นมัสการพระพุทธเจ้า
ผู้ประเสริฐที่สุด ผู้สูงสุดแห่งนรชน ในทิศทั้ง ๔
ทำจิตของตนให้เลื่อมใส ได้บันลือสีหนาท
[๖๑๗] พระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ
ผู้ทรงรู้แจ้งโลก ผู้สมควรรับเครื่องบูชา
ประทับนั่งบนอาสนะของพระองค์ ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
[๖๑๘] เทวดาทั้งปวง พอทราบพระดำรัสของพระพุทธเจ้าแล้ว
ก็มาประชุมกันด้วยคิดว่า
พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐกว่าเจ้าลัทธิทั้งหลายเสด็จมาแล้ว
พวกเราจักฟังธรรมของพระองค์
[๖๑๙] พระพุทธเจ้าผู้เป็นพระมหามุนี
ผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก ทรงเห็นกาลไกล
ทรงประกาศเสียงของข้าพเจ้าข้างหน้าของเทวดา
และมนุษย์เหล่านั้นผู้มีความร่าเริงว่า
[๖๒๐] เราจักพยากรณ์ผู้ที่ได้ถวายดอกปทุมนี้และได้บันลือสีหนาท
ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าวเถิด
[๖๒๑] ในกัปที่ ๘ นับจากกัปนี้ไป
ผู้นั้นจักเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ
สมบูรณ์ด้วยรัตนะ ๗ ประการ เป็นใหญ่ในทวีปทั้ง ๔

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๙๔ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๘. ปิณโฑลภารทวาชเถราปทาน
[๖๒๒] จักครองความเป็นใหญ่ในแผ่นดินถึง ๖๔ ชาติ
จักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิพระนามว่าปทุม ตามโคตร
มีพลานุภาพมาก
[๖๒๓] ในกัปที่ ๑๐๐,๐๐๐ (นับจากกัปนี้ไป)
พระศาสดาพระนามว่าโคดม ตามพระโคตร
ทรงสมภพในราชสกุลโอกกากราช จักอุบัติขึ้นในโลก
[๖๒๔] เมื่อพระผู้มีพระภาคพระนามว่าโคดมพระองค์นั้น
ทรงประกาศธรรมวินัย ผู้นี้จักเกิดเป็นบุตรของพราหมณ์
ออกจากตระกูลพราหมณ์แล้วบวชในขณะนั้น
[๖๒๕] เขามีจิตเด็ดเดี่ยวเพื่อบำเพ็ญเพียร
เป็นผู้สงบระงับ ไม่มีอุปธิ
กำหนดรู้อาสวะทั้งปวงเป็นผู้ไม่มีอาสวะแล้วนิพพาน
[๖๒๖] ณ เสนาสนะที่สงัด เว้นจากผู้คน พลุกพล่านด้วยเนื้อร้าย
เขากำหนดรู้อาสวะทั้งปวงเป็นผู้ไม่มีอาสวะแล้วนิพพาน
[๖๒๗] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระปิณโฑลภารทวาชเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วประการฉะนี้
ปิณโฑลภารทวาชเถราปทานที่ ๘ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๙๕ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๙. ขทิรวนิยเรวตเถราปทาน
๙. ขทิรวนิยเรวตเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระขทิรวนิยเรวตเถระ
(พระขทิรวนิยเรวตเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๖๒๘] แม่น้ำภาคีรถี ไหลมาจากภูเขาหิมพานต์
ข้าพเจ้าเกิดเป็นนายเรือ อยู่ที่ท่าน้ำไม่ราบเรียบ
พาคนส่งข้ามฟากจากฝั่งโน้นมาฝั่งนี้
[๖๒๙] พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ
ผู้ทรงเป็นผู้นำ ผู้สูงสุดแห่งเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
พร้อมกับพระขีณาสพ ๑๐๐,๐๐๐ รูป
ผู้ได้วสี จักข้ามกระแสแม่น้ำคงคา
[๖๓๐] ข้าพเจ้าได้นำเรือมาจอดรวมกันไว้จำนวนมาก
แล้วจัดประทุนที่นายช่างประกอบอย่างดีไว้บนเรือ
ต้อนรับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้องอาจกว่านรชน
[๖๓๑] พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ศาสดาได้เสด็จมาขึ้นเรือนั้นแล้ว
ประทับอยู่ท่ามกลางน้ำ ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
[๖๓๒] นายเรือที่ได้พาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
และพระสงฆ์ผู้ไม่มีอาสวะส่งข้ามฟาก
จักรื่นรมย์อยู่ในเทวโลกด้วยจิตที่เลื่อมใสนั้น
[๖๓๓] วิมานที่บุญกรรมตกแต่งไว้อย่างดี
มีสัณฐานดุจเรือ จักเกิดขึ้นแก่ท่าน
จักมีหลังคาดอกไม้กั้นอยู่ในอากาศทุกเมื่อ
[๖๓๔] ในกัปที่ ๕๘ นายเรือผู้นี้
จักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิพระนามว่าตารณะ
เป็นใหญ่ มีชัยชนะในทวีปทั้ง ๔

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๙๖ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๙. ขทิรวนิยเรวตเถราปทาน
[๖๓๕] ในกัปที่ ๕๗ (นับจากกัปนี้ไป)
จักเกิดเป็นกษัตริย์พระนามว่าจัมพกะ
มีพลานุภาพมาก จักรุ่งเรืองดังดวงอาทิตย์อุทัย
[๖๓๖] ในกัปที่ ๑๐๐,๐๐๐ (นับจากกัปนี้ไป)
พระศาสดาพระนามว่าโคดม ตามพระโคตร
ทรงสมภพในราชสกุลโอกกากราช จักอุบัติขึ้นในโลก
[๖๓๗] นายเรือผู้นี้จุติจากสวรรค์ชั้นไตรทิพย์แล้วจักไปเกิดเป็นมนุษย์
เป็นบุตรของพราหมณ์มีนามว่าเรวตะ ตามโคตร
[๖๓๘] เขาถูกกุศลมูลตักเตือนแล้ว
จักออกจากเรือนไปบวชในศาสนา
ของพระผู้มีพระภาคพระนามว่าโคดม
[๖๓๙] หลังจากบวชแล้ว เขาจักประกอบความเพียร เจริญวิปัสสนา
กำหนดรู้อาสวะทั้งปวงเป็นผู้ไม่มีอาสวะแล้วนิพพาน
[๖๔๐] ข้าพเจ้ามีความเพียรสำหรับนำพาธุระ
เป็นความเพียรที่นำมาซึ่งธรรมเป็นแดนเกษมจากโยคะ
ข้าพเจ้าทรงร่างกายซึ่งมีในภพสุดท้าย
อยู่ในศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
[๖๔๑] กรรมที่ข้าพเจ้าได้ทำไว้ใน ๑๐๐,๐๐๐ กัป
แสดงผลแก่ข้าพเจ้าแล้วในอัตภาพสุดท้ายนี้
ข้าพเจ้าหลุดพ้นดีแล้วดุจความเร็วแห่งลูกศรพ้นไปจากแล่ง
เผากิเลสทั้งหลายได้แล้ว
[๖๔๒] แต่นั้น พระมุนีผู้มีพระปัญญามาก
ทรงถึงที่สุดแห่งโลก(คือถึงความสิ้นทุกข์)
ได้ทอดพระเนตรเห็นข้าพเจ้าผู้ยินดีในป่า
จึงทรงตั้งข้าพเจ้าว่า เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุผู้อยู่ป่าเป็นวัตร

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๙๗ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๑๐. อานันทเถราปทาน
[๖๔๓] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระขทิรวนิยเรวตเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
ขทิรวนิยเรวตเถราปทานที่ ๙ จบ

๑๐. อานันทเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระอานนทเถระ
(พระอานนทเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๖๔๔] พระมหามุนีพระนามว่าปทุมุตตระ
เสด็จออกจากประตูอารามแล้ว
ทรงบันดาลฝนคืออมตธรรมให้ตก ให้มหาชนสงบเย็นแล้ว
[๖๔๕] พระขีณาสพ ๑๐๐,๐๐๐ รูปเหล่านั้น
ผู้เป็นนักปราชญ์ สำเร็จอภิญญา ๖ มีฤทธิ์มาก
แวดล้อมพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประดุจเงาติดตามพระองค์
[๖๔๖] ข้าพเจ้าได้นั่งกั้นเศวตฉัตรอันประเสริฐเลิศอยู่บนคอช้าง
เพราะได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้มีพระรูปงดงาม
ข้าพเจ้าจึงเกิดความปีติยินดี
[๖๔๗] ข้าพเจ้าจึงลงจากคอช้างแล้วเข้าเฝ้า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้องอาจกว่านรชน
ข้าพเจ้าได้กั้นฉัตรแก้วของข้าพเจ้าถวายพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐที่สุด
[๖๔๘] พระผู้มีพระภาคพระนามว่าปทุมุตตระ
ผู้ทรงแสวงหาคุณยิ่งใหญ่ ทรงทราบความดำริของข้าพเจ้า
จึงทรงพักการแสดงธรรมกถาไว้แล้วได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๙๘ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๑๐. อานันทเถราปทาน
[๖๔๙] เราจักพยากรณ์ราชกุมาร
ผู้ที่ได้กั้นฉัตรอันประดับด้วยเครื่องอลังการทองนั้น
ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าวเถิด
[๖๕๐] ราชกุมารนี้จุติจากมนุษยโลกนี้แล้ว
จักไปครองสวรรค์ชั้นดุสิต
มีเหล่านางเทพอัปสรห้อมล้อมเสวยสมบัติ
[๖๕๑] จักครองเทวสมบัติ ๓๔ ชาติ
จักเป็นพระเจ้าแผ่นดินครองแผ่นดิน ๑๐๘ ชาติ
[๖๕๒] จักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๕๘ ชาติ
จักครองความเป็นพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์ในแผ่นดิน
[๖๕๓] ในกัปที่ ๑๐๐,๐๐๐ (นับจากกัปนี้ไป)
พระศาสดาพระนามว่าโคดม ตามพระโคตร
ทรงสมภพในราชสกุลโอกกากราช จักอุบัติในโลก
[๖๕๔] ราชกุมารนี้จักเป็นพระญาติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้เป็นธงชัยแห่งศากยะตระกูล มีนามว่าอานนท์
เป็นอุปัฏฐากของพระพุทธเจ้าผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
[๖๕๕] มีความเพียร มีปัญญารักษาตน เฉลียวฉลาดในพาหุสัจจะ
ประพฤติถ่อมตน ไม่แข็งกระด้าง
เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งปาฐะทั้งปวง
[๖๕๖] พระอานนท์นั้นมีจิตเด็ดเดี่ยวบำเพ็ญเพียร
เป็นผู้สงบระงับ ไม่มีอุปธิ
กำหนดรู้อาสวะทั้งปวงเป็นผู้ไม่มีอาสวะแล้วนิพพาน

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๙๙ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] ๓. เถราปทาน ๑๐. อานันทเถราปทาน
[๖๕๗] ช้างกุญชรเกิดในป่า เป็นช้างตระกูลมาตังคะ
เสื่อมกำลังเมื่ออายุ ๖๐ ปี ตกมัน ๓ แห่ง
มีงางอนงาม๑ ควรเป็นราชพาหนะ๒ ฉันใด
[๖๕๘] แม้บัณฑิตหลายแสนรูปก็ฉันนั้น มีฤทธิ์มาก
ทั้งหมดเป็นพระอรหันต์ผู้ประเสริฐของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ
ท่านเหล่านั้นไม่เป็นเช่นนั้น ในการตัดสินใจ
[๖๕๙] ข้าพเจ้าเป็นผู้มีจิตเลื่อมใสมีใจยินดีนอบน้อม
ทั้งในปฐมยาม มัชฌิมยาม และปัจฉิมยาม
เป็นอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐที่สุด
[๖๖๐] ข้าพเจ้ามีความเพียร มีปัญญารักษาตน มีสติสัมปชัญญะ
บรรลุโสดาปัตติผล เฉลียวฉลาดในเสขภูมิ
[๖๖๑] ในกัปที่ ๑๐๐,๐๐๐ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้สร้างกรรมใดไว้
ข้าพเจ้าได้บรรลุถึงภูมิแห่งกรรมนั้นแล้ว
ศรัทธาที่ตั้งมั่นแล้วมีผลมาก
[๖๖๒] การที่ข้าพเจ้าได้มาในสำนักของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐที่สุด
เป็นการมาดีแล้วโดยแท้
วิชชา ๓ ข้าพเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว
[๖๖๓] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระอานนทเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
อานนทเถราปทานที่ ๑๐ จบ
อปทาน พุทธวรรคที่ ๑ จบบริบูรณ์

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๐๐ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๑. พุทธวรรค] รวมอปทานที่มีในวรรค
รวมอปทานที่มีในวรรคนี้ คือ

๑. พุทธาปทาน ๒. ปัจเจกพุทธาปทาน
๓. สารีปุตตเถราปทาน ๔. มหาโมคคัลลานเถราปทาน
๕. มหากัสสปเถราปทาน ๖. อนุรุทธเถราปทาน
๗. ปุณณมันตาณีปุตตเถราปทาน ๘. อุปาลิเถราปทาน
๙. อัญญาโกณฑัญญเถราปทาน ๑๐. ปิณโฑลภารทวาชเถราปทาน
๑๑. ขทิรวนิยเรวตเถราปทาน ๑๒. อานันทเถราปทาน

รวบรวมคาถาไว้ทั้งหมดได้ ๖๕๐ คาถา

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๐๑ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๒. สีหาสนิยวรรค] ๑. สีหาสนทายกเถราปทาน
๒. สีหาสนิยวรรค
หมวดว่าด้วยการถวายแท่นสีหาสน์เป็นต้น
๑. สีหาสนทายกเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระสีหาสนทายกเถระ
(พระสีหาสนทายกเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๑] เมื่อพระผู้มีพระภาคพระนามว่าสิทธัตถะ
ผู้ทรงเป็นที่พึ่งของสัตว์โลก
ผู้สูงสุดแห่งเทวดาและมนุษย์ เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว
เมื่อปาพจน์๑ แผ่กว้างออกไป
เมื่อศาสนาอันมหาชนรู้กันแล้ว
[๒] ข้าพเจ้ามีจิตเลื่อมใส มีใจยินดีได้ทำพระแท่นสีหาสน์๒
ครั้นทำเสร็จแล้วได้ทำตั่งสำหรับรองพระบาทถวาย
[๓] ในฤดูฝน ข้าพเจ้าได้สร้างเรือนคลุมบนพระแท่นสีหาสน์นั้น
ด้วยจิตที่เลื่อมใสนั้น ข้าพเจ้าจึงได้ไปบังเกิดยังสวรรค์ชั้นดุสิต
[๔] บุญกรรมได้สร้างวิมานยาว ๒๔ โยชน์
กว้าง ๑๔ โยชน์ไว้อย่างดีในขณะนั้นเพื่อข้าพเจ้า
[๕] นางเทพกัญญา ๗,๐๐๐ นาง แวดล้อมข้าพเจ้าอยู่ทุกเมื่อ
บุญกรรมได้เนรมิตบัลลังก์ทองไว้อย่างดีในวิมาน
[๖] ยานคือช้าง ยานคือม้า ซึ่งเป็นยานทิพย์
ได้รับการจัดเตรียมไว้แล้ว
ปราสาทและวอก็บังเกิดขึ้นตามต้องการ

เชิงอรรถ :
๑ ปาพจน์ หมายถึงปิฎก ๓ (คือวินัยปิฎก สุตตันตปิฎก และอภิธรรมปิฎก) (ขุ.อป.อ. ๒/๑/๒)
๒ พระแท่นสีหาสน์ หมายถึงอาสนะอย่างดี (ขุ.อป.อ. ๒/๑๒๙/๓๕) เป็นอาสนะของพระผู้มีพระภาคผู้องอาจ
ดุจสีหะ เป็นอาสนะที่ประดับด้วยของมีค่า เช่น เงิน และทองเป็นต้น (ขุ.อป.อ. ๒/๒๑/๒๑๙)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๐๒ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๒. สีหาสนิยวรรค] ๑. สีหาสนทายกเถราปทาน
[๗] บัลลังก์แก้วมณีและบัลลังก์ไม้แก่นชนิดอื่นอีกจำนวนมาก
ทั้งหมดบังเกิดขึ้นเพื่อข้าพเจ้า
นี้เป็นผลของการถวายพระแท่นสีหาสน์
[๘] ข้าพเจ้าสวมเขียงเท้าซึ่งทำด้วยทองคำ
เงิน แก้วผลึก และแก้วไพฑูรย์
นี้เป็นผลของการถวายตั่งสำหรับรองพระบาท
[๙] ในกัปที่ ๙๔ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้ทำกรรมไว้ในครั้งนั้น
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งบุญกรรม
[๑๐] ในกัปที่ ๗๓ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๓ ชาติ
มีพระนามว่าอินทะ
ในกัปที่ ๗๒ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๓ ชาติ
มีพระนามว่าสุมนะ
[๑๑] ในกัปที่ ๗๐ ถ้วนนับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๓ ชาติ
มีพระนามว่าวรุณะ
สมบูรณ์ด้วยรัตนะ ๗ ประการ ทรงเป็นใหญ่ในทวีปทั้ง ๔
[๑๒] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านสีหาสนทายกเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ด้วยประการฉะนี้
สีหาสนทายกเถราปทานที่ ๑ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๐๓ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๒. สีหาสนิยวรรค] ๒. เอกถัมภิกเถราปทาน
๒. เอกถัมภิกเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระเอกถัมภิกเถระ
(พระเอกถัมภิกเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๑๓] พระผู้มีพระภาคพระนามว่าสิทธัตถะ
มีคณะอุบาสกหมู่ใหญ่ และอุบาสกเหล่านั้น
ถึงพระพุทธเจ้าว่าเป็นที่พึ่ง เชื่อฟังพระตถาคต
[๑๔] อุบาสกทั้งหมดมาประชุมปรึกษาหารือกัน
จะสร้างศาลาโรงฉันถวายพระศาสดา
แต่ยังหาเสาอีกหนึ่งต้นไม่ได้
จึงเที่ยวแสวงหาในป่าใหญ่
[๑๕] ข้าพเจ้าได้พบอุบาสกเหล่านั้นในป่า
จึงเข้าไปหาคณะอุบาสกแล้วยกมือไหว้
ได้สอบถามคณะอุบาสกในครั้งนั้น
[๑๖] หมู่อุบาสกผู้มีศีลที่ข้าพเจ้าถามได้ชี้แจงให้ข้าพเจ้าทราบว่า
พวกเราต้องการจะสร้างศาลาโรงฉัน
แต่ยังหาเสาอีกหนึ่งต้นไม่ได้
[๑๗] (ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า) ท่านทั้งหลาย
จงให้เสาต้นหนึ่ง(เป็นภาระ)ของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าจักถวายพระศาสดา ข้าพเจ้าจักนำเสามาให้
ท่านทั้งหลายไม่ต้องขวนขวายหรอก
[๑๘] อุบาสกเหล่านั้นเลื่อมใส พอใจ
ให้เสาแก่ข้าพเจ้า แล้วกลับจากที่นั้นไปเรือนของตน
[๑๙] เมื่อคณะอุบาสกไปได้ไม่นาน
ข้าพเจ้าจึงได้ถวายเสา มีจิตร่าเริง เบิกบาน
ได้ยกเสานั้น เป็นต้นที่หนึ่ง

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๐๔ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๒. สีหาสนิยวรรค] ๒. เอกถัมภิกเถราปทาน
[๒๐] ด้วยจิตที่เลื่อมใสนั้น ข้าพเจ้าได้เกิดยังวิมาน
วิมานของข้าพเจ้าสูงตระหง่านถึง ๗ ชั้น
[๒๑] เมื่อกลองตีดังกระหึ่มอยู่
ข้าพเจ้าได้รับการบำเรออยู่ทุกเมื่อ
ในกัปที่ ๕๕ ข้าพเจ้าได้เป็นพระราชามีนามว่ายโสธระ
[๒๒] แม้ในสถานที่นั้น วิมานของข้าพเจ้าก็สูงตระหง่านถึง ๗ ชั้น
ประกอบด้วยเรือนยอดอย่างดี มีเสาต้นเดียวน่ารื่นรมย์ใจ
[๒๓] ในกัปที่ ๒๑ (นับจากกัปนี้ไป)
ข้าพเจ้าได้เกิดเป็นกษัตริย์มีนามว่าอุเทน
แม้ในสถานที่นั้น วิมานของข้าพเจ้าก็สูงตระหง่านถึง ๗ ชั้น
[๒๔] ข้าพเจ้าเกิดในกำเนิดใด ๆ
คือจะเกิดเป็นเทวดาหรือมนุษย์ก็ตาม
ข้าพเจ้าก็ได้เสวยความสุขนั้นทั้งหมด
นี้เป็นผลแห่งการถวายเสาต้นหนึ่ง
[๒๕] ในกัปที่ ๙๔ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้ถวายเสาไว้ ในครั้งนั้น
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการถวายเสาต้นหนึ่ง
[๒๖] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระเอกถัมภิกเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
เอกถัมภิกเถราปทานที่ ๒ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๐๕ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๒. สีหาสนิยวรรค] ๓. นันทเถราปทาน
๓. นันทเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระนันทเถระ
(พระนันทเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๒๗] ข้าพเจ้าได้ถวายผ้าเปลือกไม้แด่พระผู้มีพระภาค
พระนามว่าปทุมุตตระ ผู้เจริญที่สุดในโลก ผู้คงที่
ผู้เป็นพระสยัมภู ทรงแสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
[๒๘] พระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นผู้นำซึ่งรุ่งเรืองสูงสุด
ทรงพยากรณ์ข้าพเจ้านั้นว่า
ด้วยการถวายผ้านี้ ท่านจักเป็นผู้มีผิวพรรณดังทอง
[๒๙] ท่านจักได้เสวยสมบัติทั้ง ๒
ถูกกุศลมูลตักเตือนแล้ว
จักไปเกิดเป็นพระอนุชา
ของพระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่าโคดม
[๓๐] ท่านมีปกติสุขสบายถูกราคะทำให้กำหนัด
ประกอบด้วยความกำหนัดในกามคุณ
ถูกพระพุทธเจ้าทรงตักเตือนแล้วว่า
เพราะเหตุนั้นเธอจักบวชหรือ
[๓๑] ท่านครั้นออกบวชในศาสนา
ของพระผู้มีพระภาคพระนามว่าโคดมนั้น
ถูกกุศลมูลตักเตือนแล้ว
กำหนดรู้อาสวะทั้งปวง เป็นผู้ไม่มีอาสวะแล้วนิพพาน
[๓๒] ในกัปที่ ๑,๑๐๐ (นับจากกัปนี้ไป)
ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๔ ชาติ
มีพระนามว่าเจฬะ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๐๖ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๒. สีหาสนิยวรรค] ๔. จูฬปันถกเถราปทาน
ในกัปที่ ๖๐,๐๐๐ (นับจากกัปนี้ไป)
ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๔ ชาติ
มีพระนามว่าอุปเจละ
[๓๓] ในกัปที่ ๑,๐๐๕ (นับจากกัปนี้ไป)
ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๔ ชาติ มีพระนามว่าเจฬะ
สมบูรณ์ด้วยรัตนะ ๗ ประการ ทรงเป็นใหญ่ในทวีปทั้ง ๔
[๓๔] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระนันทเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
นันทเถราปทานที่ ๓ จบ

๔. จูฬปันถกเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระจูฬปันถกเถระ
(พระจูฬปันถกเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๓๕] พระชินเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ
ผู้สมควรรับเครื่องบูชา พระองค์เสด็จหลีกออกจากหมู่คณะ
ไปอาศัยอยู่ที่ภูเขาหิมพานต์ ในครั้งนั้น
[๓๖] ครั้งนั้น แม้ข้าพเจ้าก็อยู่ในอาศรมใกล้ภูเขาหิมพานต์
ได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ผู้มีความเพียรมาก
ผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก ซึ่งเสด็จมาไม่นาน
[๓๗] ข้าพเจ้าถือร่มดอกไม้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ผู้องอาจกว่านรชน ข้าพเจ้าได้ทำอันตราย(รบกวนสมาธิ)
ต่อพระผู้มีพระภาคผู้กำลังเข้าสมาธิ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๐๗ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๒. สีหาสนิยวรรค] ๔. จูฬปันถกเถราปทาน
[๓๘] ข้าพเจ้าใช้มือทั้ง ๒ ประคองร่มดอกไม้แล้ว
ได้ถวายพระผู้มีพระภาค
พระผู้มีพระภาคมหามุนีพระนามว่าปทุมุตตระทรงรับแล้ว
[๓๙] เทวดาเหล่านั้นทั้งหมดมีใจยินดี
พากันเข้าไปยังป่าหิมพานต์ ส่งเสียงสาธุการว่า
พระผู้มีพระภาคผู้มีพระจักษุ จักทรงอนุโมทนา
[๔๐] ครั้นแล้ว เทวดาเหล่านั้น
ได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ผู้สูงสุดแห่งนรชน
ขณะเมื่อข้าพเจ้ากั้นร่มดอกบัวชั้นดีเยี่ยมอยู่ในอากาศ
[๔๑] (พระผู้มีพระภาคพระนามว่าปทุมุตตระตรัสว่า)
เราจักพยากรณ์ดาบสผู้ที่ประคองร่มดอกบัวร้อยกลีบถวายเรา
ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าว
[๔๒] ดาบสนี้จักครองเทวสมบัติ ๒๕ กัป
จักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๓๔ ชาติ
[๔๓] เขาเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในกำเนิดใด ๆ
คือจะเกิดเป็นเทวดาหรือมนุษย์ก็ตาม
ในกำเนิดนั้นดอกบัวก็จักกั้นอยู่เบื้องบนเขาผู้นั่งหรือยืนอยู่กลางแจ้ง
[๔๔] ในกัปที่ ๑๐๐,๐๐๐ (นับจากกัปนี้ไป)
พระศาสดาพระนามว่าโคดม ตามพระโคตร
ทรงสมภพในราชสกุลโอกกากราช จักอุบัติขึ้นในโลก
[๔๕] เมื่อพระศาสดาทรงประกาศธรรมวินัยแล้ว
ดาบสนี้จักเกิดเป็นมนุษย์
เป็นผู้สูงสุดในการแปลงกายได้ดังใจนึก

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๐๘ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๒. สีหาสนิยวรรค] ๔. จูฬปันถกเถราปทาน
[๔๖] จักมีชายหนุ่มสองพี่น้องชื่อว่าปันถกะ ทั้ง ๒ คน
ครั้นได้บรรลุประโยชน์อย่างสูงสุดแล้ว๑
จักทำให้ศาสนารุ่งเรือง
[๔๗] ข้าพเจ้านั้นอายุได้ ๑๘ ปี บวชเป็นบรรพชิต
ยังไม่สำเร็จคุณวิเศษในศาสนาของพระผู้มีพระภาคผู้ศากยบุตร
[๔๘] ข้าพเจ้าโง่เขลา เพราะเคยดูหมิ่นผู้อื่น
พระพี่ชายจึงขับไล่ข้าพเจ้าว่าจงกลับไปบ้านของตนเดี๋ยวนี้
[๔๙] ข้าพเจ้านั้นถูกขับไล่แล้วเสียใจ
ยืนอยู่ที่ซุ้มประตูสังฆาราม
หมดอาลัยในความเป็นสมณะ
[๕๐] ลำดับนั้น พระศาสดาได้เสด็จมายังสถานที่นั้น
ทรงลูบศีรษะข้าพเจ้า ทรงจูงแขนข้าพเจ้าพาเข้าสู่สังฆาราม
[๕๑] พระศาสดาได้ประทานผ้าสำหรับเช็ดเท้าให้ข้าพเจ้า
ด้วยความอนุเคราะห์แล้วตรัสว่า
เธอจงอธิษฐานผ้าสะอาดอย่างนี้
ข้าพเจ้าได้อธิษฐาน ณ ที่สมควร
[๕๒] ข้าพเจ้าใช้มือทั้ง ๒ จับผ้าผืนนั้นแล้วระลึกถึงดอกบัว
จิตของข้าพเจ้าก็น้อมไปในดอกบัวนั้น
ข้าพเจ้าจึงได้บรรลุอรหัตตผล
[๕๓] ข้าพเจ้าถึงความสำเร็จในการแปลงกายทั้งหลาย
ได้ดังใจนึกในที่ทุกสถาน
กำหนดรู้อาสวะทั้งปวงแล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ

เชิงอรรถ :
๑ ประโยชน์อย่างสูงสุด ในที่นี้หมายถึงพระนิพพาน (ขุ.อป.อ. ๑/๓๐๘/๒๘๐)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๐๙ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๒. สีหาสนิยวรรค] ๕. ปิลินทวัจฉเถราปทาน
[๕๔] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระจูฬปันถกเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
จูฬปันถกเถราปทานที่ ๔ จบ

๕. ปิลินทวัจฉเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระปิลินทวัจฉเถระ
(พระปิลินทวัจฉเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๕๕] เมื่อพระผู้มีพระภาคพระนามว่าสุเมธะ
ผู้ทรงเป็นที่พึ่งของสัตว์โลก ทรงเป็นบุคคลผู้เลิศ
เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว
ข้าพเจ้ามีจิตเลื่อมใส มีใจยินดีได้ทำการบูชาพระสถูป
[๕๖] ในสมาคมนั้น พระขีณาสพเหล่าใดผู้ได้อภิญญา ๖ มีฤทธิ์มาก
ข้าพเจ้าได้นิมนต์พระขีณาสพเหล่านั้นมา
แล้วทำสังฆภัตถวาย ณ สมาคมนั้น
[๕๗] ครั้งนั้น มีภิกษุอุปัฏฐากของพระผู้มีพระภาค
พระนามว่าสุเมธะ ภิกษุนั้นก็มีนามว่าสุเมธะ
ได้อนุโมทนา ในครั้งนั้น
[๕๘] ด้วยจิตที่เลื่อมใสนั้น ข้าพเจ้าได้เกิดในวิมาน
นางอัปสร ๘๖,๐๐๐ นาง รื่นรมย์กับข้าพเจ้า
[๕๙] นางอัปสรเหล่านั้น ประพฤติตามความต้องการ
ของข้าพเจ้าทุกอย่าง
ในทุกสมัย ข้าพเจ้าก็ได้ปกครองเทวดาเหล่าอื่น
นี้เป็นผลแห่งบุญกรรม

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๑๐ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๒. สีหาสนิยวรรค] ๕. ปิลินทวัจฉเถราปทาน
[๖๐] ในกัปที่ ๒๕ (นับจากกัปนี้ไป)
ข้าพเจ้าได้เกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิพระนามว่าวรุณะ
มีโภชนาหารสะอาดในครั้งนั้น
[๖๑] มนุษย์เหล่านั้นไม่ต้องหว่านพืช ไม่ต้องนำไถไปนา
บริโภคข้าวสาลีที่ไม่ต้องหุงด้วยฟืน
[๖๒] ข้าพเจ้าครั้นครองราชสมบัติในอัตภาพนั้น
ได้ไปเกิดเป็นเทวดาอีก
แม้ในครั้งนั้น โภคสมบัติเช่นนี้ก็ได้บังเกิดแก่ข้าพเจ้า
[๖๓] สัตว์ทั้งปวงทั้งที่เป็นมิตรหรือมิใช่มิตร
ย่อมไม่เบียดเบียนข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าเป็นที่รักของสัตว์ทั้งปวง
นี้เป็นผลแห่งบุญกรรม
[๖๔] ในกัปที่ ๓๐,๐๐๐ (นับจากกัปนี้ไป)
ข้าพเจ้าได้ถวายทานไว้ในครั้งนั้น
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการไล้ทาของหอม
[๖๕] ในภัทรกัปนี้ ข้าพเจ้าได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๑ ชาติ
เป็นใหญ่กว่าชน เป็นผู้มีพลานุภาพมาก
[๖๖] ข้าพเจ้านั้น ตั้งมั่นในศีล ๕
ได้พาหมู่ชนจำนวนมากให้ถึงสุคติ
ได้เป็นที่รักของเทวดาทั้งหลาย
[๖๗] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระปิลินทวัจฉเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
ปิลินทวัจฉเถราปทานที่ ๕ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๑๑ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๒. สีหาสนิยวรรค] ๖. ราหุลเถราปทาน
๖. ราหุลเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระราหุลเถระ
(พระราหุลเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๖๘] ข้าพเจ้าได้ปูลาดกระจกบนปราสาท ๗ ชั้น
ถวายแด่พระผู้มีพระภาคพระนามว่าปทุมุตตระ
ผู้เจริญที่สุดในโลก ผู้คงที่
[๖๙] พระผู้มีพระภาคมหามุนี
ผู้เป็นใหญ่แห่งเทวดาและมนุษย์ ทรงองอาจกว่านรชน
คับคั่งไปด้วยพระขีณาสพ ๑,๐๐๐ รูป
ได้เสด็จเข้าไปยังพระคันธกุฎี
[๗๐] พระศาสดาผู้ทรงเป็นเทพยิ่งกว่าเทพ
ทรงองอาจกว่านรชน ทรงยังพระคันธกุฎีให้รุ่งเรือง
ประทับยืนในท่ามกลางหมู่ภิกษุได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
[๗๑] เราจักพยากรณ์อุบาสกผู้ทำที่นอนนี้ให้โชติช่วงแล้ว
ดุจกระจกเงาที่ปูลาดไว้อย่างดี
ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าวเถิด
[๗๒] ปราสาททอง ปราสาทเงิน หรือปราสาทแก้วไพฑูรย์
อย่างใดอย่างหนึ่ง ที่น่าชอบใจ
จักบังเกิดแก่อุบาสกนั้น
[๗๓] อุบาสกนั้นจักเป็นจอมเทพ ครองเทวสมบัติ ๖๔ ชาติ
จักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิติดต่อกัน ๑,๐๐๐ ชาติ
[๗๔] ในกัปที่ ๒๑ (นับจากกัปนี้ไป)
อุบาสกนั้นจักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิพระนามว่าวิมละ
เป็นใหญ่มีชัยชนะในทวีปทั้ง ๔

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๑๒ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๒. สีหาสนิยวรรค] ๖. ราหุลเถราปทาน
[๗๕] มีกรุงนามว่าเรณุวดี
ยาว ๓๐๐ โยชน์ สี่เหลี่ยมจตุรัส
[๗๖] มีปราสาทชื่อว่าสุทัสสนะ วิสสุกรรมเทพบุตรเนรมิตให้
ประกอบด้วยเรือนยอดอย่างดี
ประดับประดาด้วยรัตนะ ๗ ประการ
[๗๗] กรุงนั้นไม่สงัดจากเสียง ๑๐ ประการ๑
พลุกพล่านด้วยพวกวิทยาธร
จักเป็นดุจเมืองสุทัสสนะของเหล่าเทวดา
[๗๘] พอเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น กรุงนั้นก็เปล่งรัศมี
นครนั้นรุ่งเรืองเป็นนิตย์ แผ่ออกไป ๘ โยชน์ โดยรอบ
[๗๙] ในกัปที่ ๑๐๐,๐๐๐ (นับจากกัปนี้ไป)
พระศาสดาพระนามว่าโคดม ตามพระโคตร
ทรงสมภพในราชสกุลโอกกากราช จักอุบัติขึ้นในโลก
[๘๐] อุบาสกนั้นถูกกุศลมูลตักเตือนแล้วจักจุติจากสวรรค์ชั้นดุสิต
เกิดเป็นพระโอรสของพระผู้มีพระภาคพระนามว่าโคดม
[๘๑] ถ้าหากเขาจะพึงอยู่ครองเรือนก็จะพึงได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ
แต่ข้อที่เขาผู้คงที่ จะยินดีในการอยู่ครองเรือนนั้น
ไม่ใช่ฐานะที่จะเป็นได้ (เป็นไปไม่ได้)
[๘๒] เขาจักต้องออกจากเรือนไปบวช มีข้อวัตรอันดี
จักสำเร็จเป็นพระอรหันต์โดยนามว่าราหุล
[๘๓] พระราหุลเป็นผู้มีปัญญารักษาตน สมบูรณ์ด้วยศีล
ดุจนกต้อยตีวิดรักษาฟองไข่ ดุจจามรีรักษาขนหาง
พระมหามุนีได้ทรงเห็นเราแล้ว

เชิงอรรถ :
๑ เสียง ๑๐ ประการ ได้แก่ เสียงช้าง เสียงม้า เสียงรถ เสียงกลอง เสียงตะโพน เสียงพิณ เสียงขับร้อง
เสียงกังสดาล เสียงประโคมดนตรี และเสียงว่า ‘ท่านทั้งหลายโปรดบริโภค ดื่ม เคี้ยวกิน’ (ที.ม. (แปล)
๑๐/๒๔๑/๒๘๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๑๓ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๒. สีหาสนิยวรรค] ๗. อุปเสนวังคันตปุตตเถราปทาน
[๘๔] ข้าพเจ้ารู้ทั่วถึงธรรมของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
ยินดีอยู่ในศาสนา
กำหนดรู้อาสวะทั้งปวงแล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
[๘๕] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระราหุลเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
ราหุลเถราปทานที่ ๖ จบ

๗. อุปเสนวังคันตปุตตเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระอุปเสนวังคันตบุตรเถระ
(พระอุปเสนวังคันตบุตรเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึง
กล่าวว่า)
[๘๖] ข้าพเจ้าได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคพระนามว่าปทุมุตตระ
ผู้เจริญที่สุดในโลก ผู้องอาจกว่านรชน
ผู้สูงสุดแห่งนรชนพระองค์นั้น
ประทับนั่งอยู่ ณ เงื้อมเขา
[๘๗] ครั้งนั้น ข้าพเจ้าได้เห็นดอกกรรณิการ์กำลังบาน
จึงเด็ดขั้วดอกกรรณิการ์นั้นมาประดับฉัตรแล้ว
บูชาพระพุทธเจ้า
[๘๘] ข้าพเจ้าได้ถวายอาหารบิณฑบาต เป็นข้าวสุกชั้นพิเศษ
จัดว่าเป็นโภชนะชั้นดี ได้นิมนต์สมณะ ๘ รูป
เป็น ๙ รูปรวมทั้งพระพุทธเจ้า ให้ฉัน ณ สถานที่วิเวกนั้น
[๘๙] พระผู้มีพระภาคผู้ทรงมีความเพียรมาก
ผู้เป็นพระสยัมภู ทรงเป็นบุคคลผู้เลิศ ทรงอนุโมทนาว่า
ด้วยการถวายฉัตรและการถวายข้าวสุกชั้นดีนี้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๑๔ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๒. สีหาสนิยวรรค] ๗. อุปเสนวังคันตปุตตเถราปทาน
[๙๐] ด้วยจิตที่เลื่อมใสนั้น ท่านจักได้เสวยสมบัติ
เขาจักเป็นจอมเทพ ครองเทวสมบัติ ๓๖ ชาติ
[๙๑] จักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๒๑ ชาติ
จักเป็นพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์นับชาติไม่ถ้วน
[๙๒] เหล่าบัณฑิต เรียกผู้มีปัญญาเหมือนแผ่นดิน
มีปัญญาดีว่าสุเมธะ
ในกัปที่ ๑๐๐,๐๐๐ (นับจากกัปนี้ไป)
ผู้นั้นจักสมภพในราชตระกูลโอกกากราช
[๙๓] ผู้นั้นจักเป็นพระพุทธเจ้าพระนามว่าโคดม ตามพระโคตร
เมื่อศาสนารุ่งเรืองอยู่ เขาจักไปเกิดเป็นมนุษย์๑
[๙๔] จักมีนามว่าอุปเสนะ เป็นสาวกของพระศาสดา
จักดำรงอยู่ในตำแหน่งอันเลิศ
เพราะเป็นผู้ทำให้ประชาชนรอบด้านเลื่อมใส
[๙๕] อัตภาพสุดท้ายของข้าพเจ้ายังเป็นไปอยู่
ภพทั้งปวงข้าพเจ้าก็ถอนได้แล้ว
ข้าพเจ้าชนะมารพร้อมทั้งพาหนะ(คือเสนามาร)แล้ว
ทรงร่างกายซึ่งมีในภพสุดท้ายอยู่
[๙๖] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระอุปเสนวังคันตบุตรเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการ
ฉะนี้
อุปเสนวังคันตปุตตเถราปทานที่ ๗ จบ
ภาณวารที่ ๓ จบ

เชิงอรรถ :
๑ คาถาที่ ๙๒-๙๓ แปลตามฉบับพม่าและ ขุ.เถร.อ. ๒/๒๒๕, ดูข้อ ๑๐๕ ถัดไปด้วย

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๑๕ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๒. สีหาสนิยวรรค] ๘. รัฏฐปาลเถราปทาน
๘. รัฏฐปาลเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระรัฏฐบาลเถระ
(พระรัฏฐบาลเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๙๗] ช้างเชือกประเสริฐ
มีงางอนงาม ควรเป็นพระราชพาหนะ
ข้าพเจ้าถวายแด่พระผู้มีพระภาคพระนามว่าปทุมุตตระ
ผู้เจริญที่สุดในโลก ผู้คงที่
[๙๘] ช้างนั้น เขากั้นเศวตฉัตรให้งดงาม
พร้อมทั้งหมอขมังเวท พร้อมทั้งนายควาญช้าง
ข้าพเจ้าให้ตีราคาช้างพร้อมทั้งสิ่งของนั้นทั้งหมดแล้ว
ได้ให้สร้างสังฆารามถวาย
[๙๙] ข้าพเจ้าได้ให้สร้างปราสาท ๕๔,๐๐๐ หลัง(ไว้ภายในวัด)
ได้บำเพ็ญทานดังห้วงน้ำใหญ่แล้วมอบถวายแด่พระผู้มีพระภาค
ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
[๑๐๐] พระผู้มีพระภาคผู้มีความเพียรมาก ผู้เป็นพระสยัมภู
ทรงเป็นบุคคลผู้เลิศ ทรงอนุโมทนา
แสดงอมตบทให้ชนทั้งปวงร่าเริงอยู่
[๑๐๑] พระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นผู้นำซึ่งรุ่งเรืองสูงสุด
ทรงประกาศผลบุญที่ข้าพเจ้าทำแล้วนั้นให้ปรากฏโดยพิเศษ
ประทับนั่งในท่ามกลางหมู่ภิกษุแล้วได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
[๑๐๒] ท่านผู้นี้ได้ให้สร้างปราสาท ๕๔,๐๐๐ หลัง
เราจักกล่าววิบาก ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าวเถิด
[๑๐๓] ผู้นี้จักมีเรือนยอด ๑๘,๐๐๐ หลัง และเรือนยอดเหล่านั้น
สร้างด้วยทองคำล้วน บังเกิดในวิมานสูงสุด

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๑๖ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๒. สีหาสนิยวรรค] ๘. รัฏฐปาลเถราปทาน
[๑๐๔] ผู้นี้จักเป็นจอมเทพครองเทวสมบัติ ๕๐ ชาติ
และจักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๕๘ ชาติ
[๑๐๕] ในกัปที่ ๑๐๐,๐๐๐ (นับจากกัปนี้ไป)
พระศาสดาพระนามว่าโคดม ตามพระโคตร
ทรงสมภพในราชสกุลโอกกากราช จักอุบัติขึ้นในโลก
[๑๐๖] ผู้นี้ถูกกุศลมูลตักเตือนแล้วจักจุติจากเทวโลก
ไปบังเกิดในตระกูลที่เจริญ มีโภคสมบัติมาก ในขณะนั้น
[๑๐๗] ภายหลัง เขาถูกกุศลมูลตักเตือนแล้วจักบวช
มีนามว่ารัฏฐบาล เป็นสาวกของพระศาสดา
[๑๐๘] เขามีจิตเด็ดเดี่ยวเพื่อบำเพ็ญเพียร
เป็นผู้สงบระงับ ไม่มีอุปธิ
กำหนดรู้อาสวะทั้งปวง เป็นผู้ไม่มีอาสวะแล้วนิพพาน
[๑๐๙] ข้าพเจ้าลุกขึ้นแล้วสละโภคสมบัติออกบวช
ข้าพเจ้าไม่มีความรักในโภคสมบัติ ดุจในก้อนเขฬะ
[๑๑๐] ข้าพเจ้ามีความเพียรสำหรับนำพาธุระ
เป็นความเพียรที่นำมาซึ่งธรรมเป็นแดนเกษมจากโยคะ
ข้าพเจ้าทรงร่างกายซึ่งมีในภพสุดท้าย
อยู่ในศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
[๑๑๑] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระรัฏฐบาลเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
รัฏฐปาลเถราปทานที่ ๘ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๑๗ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๒. สีหาสนิยวรรค] ๙. โสปากเถราปทาน
๙. โสปากเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระโสปากเถระ
(พระโสปากเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๑๑๒] พระผู้มีพระภาคพระนามว่าสิทธัตถะ
ได้เสด็จมายังสำนักของข้าพเจ้า
ผู้กำลังทำความสะอาดเงื้อมเขาอยู่ที่ภูเขาสูงเทือกประเสริฐ
[๑๑๓] ข้าพเจ้าเห็นพระพุทธเจ้าเสด็จเข้ามา
ปูลาดเครื่องปูลาด
ถวายอาสนะดอกไม้แด่พระพุทธเจ้าผู้เจริญที่สุดในโลก ผู้คงที่
[๑๑๔] พระผู้มีพระภาคพระนามว่าสิทธัตถะ
ผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก ได้ประทับนั่งบนอาสนะดอกไม้แล้ว
ทรงทราบคติของข้าพเจ้าแล้วตรัสถึงสภาวะไม่เที่ยงว่า
[๑๑๕] สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ มีความเกิดขึ้น
และความเสื่อมไปเป็นธรรมดา เกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป
ความเข้าไปสงบสังขารเหล่านั้น๑เป็นความสุข
[๑๑๖] พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้สิ่งทั้งปวง๒
ผู้เจริญที่สุดในโลก ผู้องอาจกว่านรชน ทรงเป็นนักปราชญ์
ครั้นตรัสดังนี้แล้วได้เสด็จเหาะขึ้นไปบนท้องฟ้าดังพญาหงส์
[๑๑๗] ข้าพเจ้าละทิฏฐิของตนแล้ว เจริญอนิจจสัญญา
(กำหนดหมายความไม่เที่ยงแห่งสังขาร)
ครั้นเจริญอนิจจสัญญาได้วันเดียว ก็สิ้นชีวิต ณ ที่นั้นเอง

เชิงอรรถ :
๑ ความเข้าไปสงบสังขารเหล่านั้น ในที่นี้หมายถึงนิพพาน (ขุ.อป.อ. ๒/๑๑๕/๓๓)
๒ สิ่งทั้งปวง ในที่นี้หมายถึงธรรมทั้งหมด (ขุ.อป.อ. ๒/๑๑๖/๓๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๑๘ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๒. สีหาสนิยวรรค] ๑๐. สุมังคลเถราปทาน
[๑๑๘] ข้าพเจ้าเสวยสมบัติทั้ง ๒ แล้ว ถูกกุศลมูลตักเตือน
มาถึงภพสุดท้ายได้เกิดในตระกูลพ่อครัว
[๑๑๙] ข้าพเจ้าออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต
มีอายุ ๗ ขวบก็ได้บรรลุอรหัตตผล
[๑๒๐] ข้าพเจ้าบำเพ็ญเพียรมีจิตเด็ดเดี่ยว ตั้งมั่นอยู่ในศีลด้วยดี
ให้พระผู้มีพระภาคผู้ประเสริฐยิ่งทรงพอพระทัยแล้วได้อุปสมบท
[๑๒๑] ในกัปที่ ๙๔ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้ทำกรรมไว้ในครั้งนั้น
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการถวายอาสนะดอกไม้
[๑๒๒] ในกัปที่ ๙๔ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้เจริญสัญญาไว้ครั้งนั้น เมื่อเจริญสัญญานั้นอยู่
ข้าพเจ้าได้บรรลุความสิ้นอาสวะแล้ว
[๑๒๓] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระโสปากเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
โสปากเถราปทานที่ ๙ จบ

๑๐. สุมังคลเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระสุมังคลเถระ
(พระสุมังคลเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๑๒๔] ข้าพเจ้าประสงค์จะถวายเครื่องบูชาสักการะ
จึงให้จัดเตรียมโภชนาหาร
ยืนต้อนรับพราหมณ์ทั้งหลายอยู่ที่โรงกว้างใหญ่

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๑๙ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๒. สีหาสนิยวรรค] ๑๐. สุมังคลเถราปทาน
[๑๒๕] ครั้งนั้น ข้าพเจ้าได้เห็นพระผู้มีพระภาคสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระนามว่าปิยทัสสี ผู้มีพระยศยิ่งใหญ่
ผู้ทรงแนะนำสัตว์โลกทั้งปวงโดยวิเศษ
ผู้เป็นพระสยัมภู ทรงเป็นบุคคลผู้เลิศ
[๑๒๖] ผู้โชติช่วง มีหมู่สาวกห้อมล้อม
รุ่งเรืองดังดวงอาทิตย์เสด็จพุทธดำเนินไปที่ถนน
[๑๒๗] ข้าพเจ้าจึงประคองอัญชลี ทำจิตของตนให้เลื่อมใส
ทูลนิมนต์ด้วยใจเท่านั้นว่า
ขอเชิญพระมหามุนีเสด็จมาเถิด
[๑๒๘] พระศาสดาผู้ยอดเยี่ยมในโลก
ทรงทราบความดำริของข้าพเจ้าแล้ว
ได้เสด็จมายังประตูเรือนของข้าพเจ้า
พร้อมกับพระขีณาสพ ๑,๐๐๐ รูป
[๑๒๙] ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นบุรุษอาชาไนย
ข้าพระองค์ขอนอบน้อมพระองค์
ข้าแต่พระองค์ผู้สูงสุดแห่งบุรุษ
ข้าพระองค์ขอนอบน้อมพระองค์
ขอเชิญเสด็จขึ้นปราสาท
ประทับนั่งบนอาสนะสูงสุดเถิด พระพุทธเจ้าข้า
[๑๓๐] พระผู้มีพระภาคผู้ทรงฝึกพระองค์แล้ว มีบริวารที่ฝึกแล้ว
ทรงข้ามพ้นแล้ว ประเสริฐกว่าเจ้าลัทธิทั้งหลาย
เสด็จขึ้นปราสาทแล้ว ประทับนั่งบนอาสนะที่ประเสริฐ
[๑๓๑] อามิสใดที่ข้าพเจ้าจัดเตรียมไว้ มีอยู่ในเรือนตน
ข้าพเจ้าเป็นผู้เลื่อมใสได้ถวายอามิสนั้น
แด่พระพุทธเจ้าด้วยมือทั้ง ๒ ของตน

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๒๐ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๒. สีหาสนิยวรรค] ๑๐. สุมังคลเถราปทาน
[๑๓๒] ข้าพเจ้าเป็นผู้มีจิตเลื่อมใส มีใจยินดี เกิดโสมนัส
จึงประนมมือ นอบน้อมพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐที่สุดว่า
โอหนอ พระพุทธเจ้ายิ่งใหญ่จริงหนอ
[๑๓๓] บรรดาพระอริยบุคคล ๘ ผู้นั่งฉันอยู่
มีพระขีณาสพจำนวนมาก นี้คืออานุภาพของพระองค์
ข้าพระองค์ขอถึงพระองค์ว่าเป็นสรณะ
[๑๓๔] และพระผู้มีพระภาคพระนามว่าปิยทัสสี
ผู้เจริญที่สุดในโลก ทรงองอาจกว่านรชน
ประทับนั่งในท่ามกลางหมู่ภิกษุแล้วได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
[๑๓๕] เราจักพยากรณ์ผู้ที่ได้นิมนต์พระสงฆ์ผู้ซื่อตรง
มีจิตมั่นคงและพระตถาคตสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ฉัน
ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าวเถิด
[๑๓๖] ผู้นั้นจักครองเทวสมบัติ ๒๗ ชาติ
เขาจักพอใจกรรมของตน รื่นรมย์อยู่ในเทวโลก
[๑๓๗] ผู้นั้นจักเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๑๘ ชาติ
จักเป็นพระเจ้าแผ่นดินครองแผ่นดิน ๕๐๐ ชาติ
[๑๓๘] กิเลสทั้งหลายอันข้าพเจ้าเข้าไปยังป่าดงทึบ
ที่เสือโคร่งอาศัยอยู่ ตั้งความเพียร เผาได้แล้ว
[๑๓๙] ในกัปที่ ๑๑๘ (นับจากกัปนี้ไป)
ข้าพเจ้าได้ถวายทานไว้ในครั้งนั้น
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการถวายภัตตาหาร
[๑๔๐] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระสุมังคลเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
สุมังคลเถราปทานที่ ๑๐ จบ
สีหาสนิยวรรคที่ ๒ จบบริบูรณ์

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๒๑ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๒. สีหาสนิยวรรค] รวมอปทานที่มีในวรรค
รวมอปทานที่มีในวรรคนี้ คือ

๑. สีหาสนทายกเถราปทาน ๒. เอกถัมภิกเถราปทาน
๓. นันทเถราปทาน ๔. จูฬปันถกเถราปทาน
๕. ปิลินทวัจฉเถราปทาน ๖. ราหุลเถราปทาน
๗. อุปเสนวังคันตปุตตเถราปทาน ๘. รัฏฐปาลเถราปทาน
๙. โสปากเถราปทาน ๑๐. สุมังคลเถราปทาน

ในวรรคที่ ๒ มี ๑๐ เรื่องเท่านั้น
ในวรรคนี้ท่านประกาศคาถาไว้ ๑๓๘ คาถา

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๒๒ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๓. สุภูติวรรค] ๑. สุภูติเถราปทาน
๓. สุภูติวรรค
หมวดว่าด้วยเรื่องพระสุภูติเป็นต้น
๑. สุภูติเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระสุภูติเถระ
(พระสุภูติเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๑] ในที่ไม่ไกลภูเขาหิมพานต์ มีภูเขาลูกหนึ่งชื่อว่านิสภะ
เขาสร้างอาศรมและบรรณศาลาไว้อย่างดีเพื่อข้าพเจ้า
[๒] ครั้งนั้น ข้าพเจ้าเป็นชฎิลมีนามว่าโกสิยะ
มีตบะแก่กล้า ผู้เดียว ไม่มีเพื่อน อยู่ที่ภูเขานิสภะ
[๓] ครั้งนั้น ข้าพเจ้ามิได้เก็บผลไม้ เหง้า และใบไม้ มากิน
ในครั้งนั้น ข้าพเจ้าอาศัยใบไม้เป็นต้นที่หล่นเองเท่านั้นเลี้ยงชีวิต
[๔] ข้าพเจ้าแม้ถึงจะสละชีวิตก็ไม่ทำอาชีวะให้กำเริบ
ย่อมทำจิตของตนให้ยินดี งดเว้นการแสวงหาที่ไม่สมควรเสีย๑
[๕] เมื่อใดจิตของข้าพเจ้าเกิดความกำหนัด
เมื่อนั้นข้าพเจ้าย่อมพิจารณาด้วยตนเอง
ข้าพเจ้ามีใจเด็ดเดี่ยวข่มจิตนั้นเสียว่า
[๖] เจ้ากำหนัดในอารมณ์ที่ชวนให้กำหนัด
ขัดเคืองในอารมณ์ที่ชวนให้ขัดเคือง
และหลงในอารมณ์ที่ชวนให้หลง
เพราะฉะนั้น เจ้าจงออกจากป่าไปเสียเถิด
[๗] ที่อยู่แห่งนี้เป็นที่อยู่ของท่านผู้บริสุทธิ์ ปราศจากมลทิน มีตบะ
เจ้าอย่าประทุษร้ายผู้บริสุทธิ์เลย จงออกจากป่าไปเสียเถิด

เชิงอรรถ :
๑ การแสวงหาที่ไม่สมควร หมายถึงการแสวงหาที่ไม่สมควรมีเวชกรรมและทูตกรรมเป็นต้น (ขุ.อป.อ.
๒/๔/๔๔)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๒๓ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๓. สุภูติวรรค] ๑. สุภูติเถราปทาน
[๘] เจ้าจักเป็นผู้ครองเรือนได้บุตรในกาลใด
ในกาลนั้นเจ้าอย่าให้ล้มเหลวแม้ทั้ง ๒ อย่างนั้นเลย
จงออกจากป่าไปเสียเถิด
[๙] ฟืนเผาศพ ใช้ทำกิจอะไรในที่ไหน ๆ ก็ไม่ได้
ไม้นั้นเขาไม่ได้ถือกันว่า เป็นไม้ในบ้านหรือเป็นไม้ในป่า
และไม่ได้ถือกันว่า เป็นไม้ตามปกติ ฉันใด
[๑๐] เจ้าก็ฉันนั้น เปรียบเหมือนฟืนเผาศพ
ไม่ใช่คฤหัสถ์ ทั้งไม่ใช่สมณะ
วันนี้ เจ้าพ้นจากภาวะทั้ง ๒ จงออกจากป่าไปเสียเถิด
[๑๑] ข้อนี้พึงมีแก่เจ้าหรือหนอ
ใครจะรู้ข้อนี้ของเจ้า ใครจะนำธุระของเจ้าไปโดยเร็ว
เพราะเจ้ามากไปด้วยความเกียจคร้าน
[๑๒] วิญญูชนจักรังเกียจเจ้า
เหมือนชาวเมืองรังเกียจของไม่สะอาดฉะนั้น
ฤๅษีทั้งหลายจักฉุดเจ้ามาตักเตือนทุกเมื่อ
[๑๓] วิญญูชนจักประจานเจ้าว่า ล่วงละเมิดศาสนา
ก็เจ้าเมื่อไม่ได้การอยู่ร่วม จักเป็นอยู่อย่างไร
[๑๔] ช้างมีกำลัง เข้าไปหาช้างกุญชรซึ่งตกมัน ๓ แห่ง
เกิดในตระกูลช้างมาตังคะ เสื่อมกำลังในเวลามีอายุ ๖๐ ปีแล้ว
ขับออกจากโขลง
[๑๕] มันถูกขับออกจากโขลงแล้ว หาความสุขสำราญไม่ได้
เป็นสัตว์มีทุกข์ เศร้าใจ ซบเซา สั่นเทาอยู่ ฉันใด
[๑๖] ชฎิลทั้งหลายจักขับเจ้าผู้มีปัญญาทรามออก
เจ้าถูกชฎิลเหล่านั้นขับออกแล้ว
จักหาความสุขสำราญไม่ได้ ฉันนั้นเหมือนกัน

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๒๔ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๓. สุภูติวรรค] ๑. สุภูติเถราปทาน
[๑๗] เจ้าถูกลูกศรคือความเศร้าโศกเสียบแล้ว
ทั้งกลางวันและกลางคืน จักถูกความเร่าร้อนแผดเผา
เหมือนช้างถูกขับออกจากโขลง ฉะนั้น
[๑๘] ทองเก๊ ย่อมใช้ไม่ได้ในที่ไหน ๆ ฉันใด
เจ้าเสื่อมแล้วจากศีลก็จักใช้ในที่ไหน ๆ ไม่ได้ ฉันนั้น
[๑๙] แม้เจ้าอยู่ครองเรือน จักเป็นอยู่ได้อย่างไร
ทรัพย์ทั้งที่เป็นของมารดาและบิดาของเจ้าที่เก็บไว้ก็ไม่มี
[๒๐] เจ้าจักต้องทำการงานของตน ต้องอาบเหงื่อต่างน้ำ
จักเป็นอยู่ในเรือนอย่างนี้ เป็นการดีแก่เจ้าที่จะไม่ชอบมัน
[๒๑] ข้าพเจ้าห้ามใจที่หมักหมมด้วยสังกิเลสอย่างนี้ในที่นั้น
ได้กล่าวธรรมกถาต่าง ๆ ห้ามจิตจากความชั่ว
[๒๒] เมื่อข้าพเจ้าเป็นอยู่ด้วยความไม่ประมาทอย่างนี้
ข้าพเจ้าอยู่ในป่าใหญ่ล่วงเลยมา ๓๐,๐๐๐ ปี
[๒๓] พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ
ทรงเห็นข้าพเจ้าผู้ยินดีในความไม่ประมาท
ผู้แสวงหาประโยชน์อย่างสูงสุด
จึงเสด็จมายังสำนักของข้าพเจ้า
[๒๔] ครั้งนั้น พระพุทธเจ้าผู้มีพระรัศมีดังสีทองชมพูนุท๑
ประมาณมิได้ ไม่มีใครเปรียบได้ ไม่มีใครเสมอด้วยพระรูป
เสด็จจงกรมอยู่ในอากาศ
[๒๕] ครั้งนั้น พระพุทธเจ้าไม่มีใครเสมอด้วยพระญาณ
เสด็จจงกรมอยู่ในอากาศ ดังต้นพญาไม้สาละมีดอกบานสะพรั่ง
เหมือนสายฟ้าในกลีบเมฆ

เชิงอรรถ :
๑ ทองชมพูนุท หมายถึงทองคำเนื้อบริสุทธิ์ (องฺ.ติก.อ. ๒/๖๔/๑๙๑) ที่เรียกว่า ชมพูนุท เพราะเป็นทอง
ที่เกิดขึ้นในแควของแม่น้ำมหาชมพู (องฺ.ติก.ฏีกา ๒/๖๔/๑๙๙)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๒๕ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๓. สุภูติวรรค] ๑. สุภูติเถราปทาน
[๒๖] ครั้งนั้น พระองค์เสด็จจงกรมอยู่ในอากาศ
ดังพญาราชสีห์ผู้ไม่กลัว
ดุจพญาช้างคึกคะนอง
เหมือนพญาเสือโคร่งผู้ไม่ครั่นคร้าม ฉะนั้น
[๒๗] ครั้งนั้น พระพุทธเจ้าผู้มีพระรัศมีดังแท่งทองสีสุก
เหมือนถ่านเพลิงไม้ตะเคียน
มีพระรัศมีโชติช่วงดังแก้วมณี
เสด็จจงกรมอยู่ในอากาศ
[๒๘] ครั้งนั้น พระพุทธเจ้าผู้มีพระรัศมี
เหมือนภูเขาไกรลาสที่บริสุทธิ์
เหมือนดวงจันทร์ในวันเพ็ญ
เหมือนดวงอาทิตย์ในเวลาเที่ยงวัน เสด็จจงกรมอยู่ในอากาศ
[๒๙] ครั้งนั้น ข้าพเจ้าได้เห็นพระองค์
เสด็จจงกรมอยู่ในท้องฟ้า
จึงคิดอย่างนี้ว่า ผู้นี้เป็นเทวดาหรือมนุษย์
[๓๐] นรชนเช่นนี้เราไม่เคยได้ฟังหรือได้เห็นในแผ่นดิน
เออ บทมนต์ก็มีอยู่ ผู้นี้จักเป็นพระศาสดา
[๓๑] ครั้นข้าพเจ้าคิดอย่างนี้แล้วได้ทำจิตของตนให้เลื่อมใส
รวบรวมดอกไม้และของหอมต่าง ๆ ไว้ในครั้งนั้น
[๓๒] ข้าพเจ้าได้ปูลาดอาสนะดอกไม้
ซึ่งวิจิตรดีเป็นที่รื่นรมย์ใจแล้ว
ได้กล่าวคำนี้กับพระพุทธเจ้าผู้เลิศกว่าสารถีผู้ฝึกนรชนว่า
[๓๓] ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียร
อาสนะนี้สมควรแก่พระองค์ ข้าพระองค์จัดถวายไว้แล้ว
ขอพระองค์เมื่อจะทำจิตของข้าพระองค์ให้ร่าเริง
โปรดประทับนั่งบนอาสนะดอกไม้เถิด

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๒๖ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๓. สุภูติวรรค] ๑. สุภูติเถราปทาน
[๓๔] พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า เป็นดุจพญาไกรสร ผู้ไม่ครั่นคร้าม
ประทับนั่งบนอาสนะดอกไม้อันประเสริฐนั้นตลอด ๗ คืน ๗ วัน
[๓๕] ข้าพเจ้าได้ยืนนมัสการพระองค์อยู่ตลอด ๗ คืน ๗ วัน
พระศาสดาผู้ยอดเยี่ยมในโลก เสด็จออกจากสมาธิแล้ว
เมื่อจะทรงพยากรณ์กรรมของข้าพเจ้าได้ตรัสพระดำรัสนี้ว่า
[๓๖] บรรดาภาวนาทั้งหลาย เธอจงเจริญพุทธานุสสติที่ยอดเยี่ยม
ครั้นเจริญพุทธานุสสตินี้แล้ว จักทำใจให้บริบูรณ์ได้
[๓๗] เธอจักรื่นรมย์ในเทวโลกตลอด ๓๐,๐๐๐ กัป
จักเป็นจอมเทพ ครองเทวสมบัติ ๘๐ ชาติ
จักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิในแว่นแคว้น ๑,๐๐๐ ชาติ
[๓๘] จักเป็นพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์นับชาติไม่ถ้วน
จักได้เสวยสมบัตินั้นทั้งหมด
นี้เป็นผลแห่งการเจริญพุทธานุสสติ
[๓๙] เธอเมื่อเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพน้อยภพใหญ่
จักได้โภคสมบัติเป็นอันมาก ความพร่องในโภคะของท่านจะไม่มี
นี้เป็นผลแห่งการเจริญพุทธานุสสติ
[๔๐] ในกัปที่ ๑๐๐,๐๐๐ (นับจากกัปนี้ไป)
พระศาสดาพระนามว่าโคดม ตามพระโคตร
ทรงสมภพในราชสกุลโอกกากราช จักอุบัติขึ้นในโลก
[๔๑] เธอจักสละทรัพย์ประมาณ ๘๐ โกฏิ
รวมทั้งทาสและกรรมกรจำนวนมากแล้ว
บวชในศาสนาของพระผู้มีพระภาคพระนามว่าโคดม
[๔๒] ท่านจักให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าโคดมศากยะ
ผู้ประเสริฐ ทรงพอพระทัยแล้ว
เป็นสาวกมีนามว่าสุภูติ ของพระศาสดา

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๒๗ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๓. สุภูติวรรค] ๑. สุภูติเถราปทาน
[๔๓] พระศาสดาพระนามว่าโคดม
ประทับนั่งในท่ามกลางหมู่ภิกษุแล้ว
จักทรงแต่งตั้งท่านว่าเป็นผู้เลิศใน ๒ ตำแหน่ง
คือในพระทักขิไณยบุคคลผู้มีคุณ
และในความเป็นผู้มีธรรมเครื่องอยู่ซึ่งไม่มีข้าศึก
[๔๔] พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นผู้นำซึ่งรุ่งเรืองสูงสุด
ผู้เป็นนักปราชญ์ ครั้นตรัสดังนี้แล้ว
ได้เสด็จเหาะขึ้นไปยังนภากาศดุจพญาหงส์ในท้องฟ้า ฉะนั้น
[๔๕] ข้าพเจ้าซึ่งพระผู้ทรงเป็นที่พึ่งของสัตว์โลก ทรงพร่ำสอนแล้ว
นอบน้อมพระตถาคตแล้วมีจิตเบิกบาน
เจริญพุทธานุสสติอันยอดเยี่ยมทุกเมื่อ
[๔๖] ด้วยกรรมที่ข้าพเจ้าได้ทำไว้ดีแล้วนั้น
และด้วยการตั้งเจตนาไว้มั่น
ข้าพเจ้าละกายมนุษย์แล้วได้ไปเกิดยังสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
[๔๗] ข้าพเจ้าได้เป็นจอมเทพครองเทวสมบัติ ๘๐ ชาติ
และได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๑,๐๐๐ ชาติ
[๔๘] ข้าพเจ้าได้เป็นพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์นับชาติไม่ถ้วน
ข้าพเจ้าได้เสวยสมบัติอย่างดีนับไม่ถ้วน
นี้เป็นผลแห่งการเจริญพุทธานุสสติ
[๔๙] ข้าพเจ้าเมื่อเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพน้อยภพใหญ่
จะได้โภคสมบัติเป็นอันมาก
ความบกพร่องในโภคะของข้าพเจ้าไม่มีเลย
นี้เป็นผลแห่งการเจริญพุทธานุสสติ
[๕๐] ในกัปที่ ๑๐๐,๐๐๐ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้ทำกรรมไว้ในครั้งนั้น

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๒๘ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๓. สุภูติวรรค] ๒. อุปวาณเถราปทาน
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการเจริญพุทธานุสสติ
[๕๑] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระสุภูติเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
สุภูติเถราปทานที่ ๑ จบ

๒. อุปวาณเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระอุปวาณเถระ
(พระอุปวาณเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๕๒] พระสัมพุทธชินเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ
ทรงถึงความสำเร็จ๑แห่งธรรมทั้งปวง
รุ่งเรืองดังกองไฟ เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว
[๕๓] มหาชนมาประชุมกันบูชาพระตถาคต
สร้างจิตกาธานอย่างงดงามแล้วช่วยกันยกสรีระขึ้นวางไว้
[๕๔] ชนเหล่านั้นทั้งหมดพร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์
ทำพระสรีรกิจแล้วได้รวบรวมพระธาตุ
พากันสร้างพระพุทธสถูปไว้ ณ ที่นั้น
[๕๕] สถูปชั้นที่ ๑ ทำด้วยทองคำ
ชั้นที่ ๒ ทำด้วยแก้วมณี ชั้นที่ ๓ ทำด้วยเงิน
ชั้นที่ ๔ ทำด้วยแก้วผลึก

เชิงอรรถ :
๑ ถึงความสำเร็จ ในที่นี้หมายถึงนิพพาน (ขุ.อป.อ. ๒/๕๒/๔๕)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๒๙ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๓. สุภูติวรรค] ๒. อุปวาณเถราปทาน
[๕๖] ที่พระสถูปนั้น ชั้นที่ ๕ ทำด้วยแก้วทับทิม
ชั้นที่ ๖ ทำด้วยแก้วลาย ชั้นบนทำด้วยรัตนะทุกอย่าง
[๕๗] ร่างร้านทำด้วยแก้วมณี แท่นไพทีทำด้วยรัตนะ
พระสถูปทำด้วยทองคำล้วนสูง ๑ โยชน์
[๕๘] ครั้งนั้น หมู่เทวดาได้มาร่วมประชุมปรึกษากัน ณ ที่นั้นว่า
แม้พวกเราก็จักสร้างพระสถูปถวายพระโลกนาถผู้คงที่บ้าง
[๕๙] พระสารีริกธาตุ ไม่แยกกัน คือรวมเป็นกลุ่มเดียวกัน
พวกเราจักสร้างพระสถูปครอบไว้ที่พระพุทธสถูปนี้
[๖๐] หมู่เทวดาได้ขยายพระสถูป
ให้สูงขึ้นไปอีกหนึ่งโยชน์ด้วยแก้ว ๗ ประการ
พระสถูปนั้นจึงมีความสูง ๒ โยชน์
ซึ่งส่องแสงสว่างขจัดความมืดได้
[๖๑] พวกนาคได้มาร่วมประชุมปรึกษากัน ณ ที่นี้ว่า
มนุษย์และเทวดาเหล่านั้นได้สร้างพระพุทธสถูปแล้ว
[๖๒] พวกเราอย่าได้ประมาทเลย
พวกมนุษย์กับเทวดาไม่ประมาทกันแล้ว
แม้พวกเราก็จักสร้างพระสถูปถวายพระโลกนาถผู้คงที่บ้าง
[๖๓] พวกนาคเหล่านั้นพากันรวบรวมแก้วอินทนิล
แก้วมหานิล และแก้วมณีโชติ ช่วยกันประดับพระพุทธสถูปไว้
[๖๔] พระพุทธเจดีย์ประมาณเท่านั้น
สร้างด้วยแก้วมณีล้วนสูง ๓ โยชน์ ส่องแสงสว่างไสวในเวลานั้น
[๖๕] ฝูงครุฑได้มาร่วมประชุมปรึกษากันในครั้งนั้นว่า
มนุษย์ เทวดา และนาคเหล่านั้นได้สร้างพระพุทธสถูปแล้ว
[๖๖] พวกเราอย่าได้ประมาทเลย
พวกมนุษย์พร้อมเทวดาไม่ประมาทกันแล้ว

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๓๐ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๓. สุภูติวรรค] ๒. อุปวาณเถราปทาน
แม้พวกเราก็จักสร้างพระสถูปถวายพระผู้มีพระภาค
ผู้ทรงเป็นที่พึ่งของสัตว์โลก ผู้คงที่บ้าง
[๖๗] ฝูงครุฑแม้เหล่านั้นได้สร้างพระสถูป
สำเร็จด้วยแก้วมณีล้วน และผ้าคลุมก็เหมือนกัน
ได้สร้างพระพุทธเจดีย์ต่อขึ้นไปให้สูงอีก ๑ โยชน์
[๖๘] พระพุทธสถูปสูงขึ้นไป ๔ โยชน์
รุ่งเรืองอยู่ ส่องทิศทั้งปวงให้สว่างไสว
เหมือนดวงอาทิตย์อุทัย ฉะนั้น
[๖๙] ครั้งนั้น พวกกุมภัณฑ์ได้มาร่วมประชุมปรึกษากันว่า
พวกมนุษย์ เทวดา นาค และครุฑก็เป็นเหมือนกันหมด
ต่างก็ได้พากันสร้างพระสถูปที่อุดม
บูชาพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐที่สุด
[๗๐] พวกเราอย่าได้ประมาทเลย
พวกมนุษย์พร้อมเทวดาไม่ประมาทกันแล้ว
ถึงพวกเราก็จักสร้างพระสถูปบูชาพระโลกนาถ ผู้คงที่บ้าง
จักใช้รัตนะทั้งหลายประดับพระพุทธเจดีย์ให้กว้างออกไป
[๗๑] พวกกุมภัณฑ์แม้เหล่านั้น
ได้ขยายพระพุทธเจดีย์ให้กว้างออกไปอีก ๑ โยชน์
ในครั้งนั้น พระสถูปสูงขึ้นไปเป็น ๕ โยชน์ สว่างไสวอยู่
[๗๒] ครั้งนั้น พวกยักษ์ได้มาร่วมประชุมปรึกษากัน ณ ที่นั้นว่า
พวกมนุษย์ เทวดา นาค กุมภัณฑ์ และครุฑ
[๗๓] ต่างได้พากันสร้างสถูปที่ประเสริฐที่สุด
บูชาพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐที่สุด
พวกเราอย่าได้ประมาทเลย
พวกมนุษย์พร้อมเทวดาไม่ประมาทกันแล้ว

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๓๑ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๓. สุภูติวรรค] ๒. อุปวาณเถราปทาน
[๗๔] แม้พวกเราก็จักสร้างพระสถูปบูชาพระโลกนาถ ผู้คงที่บ้าง
นำแก้วผลึกมาประดับพระพุทธเจดีย์ให้กว้างออกไปอีก
[๗๕] ยักษ์แม้เหล่านั้นได้ขยายพระพุทธเจดีย์ให้กว้างออกไปอีก ๑ โยชน์
ครั้งนั้น พระสถูปสูงขึ้นไปเป็น ๖ โยชน์ สว่างไสวอยู่
[๗๖] ครั้งนั้น พวกคนธรรพ์มาร่วมประชุมปรึกษากันว่า
พวกมนุษย์ เทวดา นาค ครุฑ กุมภัณฑ์ และยักษ์ก็เหมือนกัน
[๗๗] พวกเขาทั้งหมดได้พากันสร้างพระพุทธสถูปแล้ว
ในเรื่องพระสถูปนี้ พวกเรายังไม่ได้สร้างเลย
แม้พวกเราก็จักสร้างพระสถูปบูชาพระโลกนาถ ผู้คงที่บ้าง
[๗๘] ครั้งนั้น พวกคนธรรพ์เหล่านั้น
ได้สร้างแท่นไพที ๗ แห่ง จนถึงทางเดิน
พวกคนธรรพ์สร้างพระสถูปด้วยทองคำล้วน
[๗๙] ในครั้งนั้น พระสถูปสูงขึ้นไปเป็น ๗ โยชน์
ส่องแสงสว่างไสว จนไม่รู้กลางคืนหรือกลางวัน
เพราะมีแสงสว่างตลอดเวลา
[๘๐] ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์พร้อมทั้งดวงดาว
ครอบงำรัศมีของพระสถูปนั้นไม่ได้
ในที่ประมาณ ๑๐๐ โยชน์โดยรอบ แม้ประทีปก็ไม่โชติช่วง
[๘๑] โดยกาลนั้น มนุษย์พวกใดพวกหนึ่งจะบูชาพระสถูป
พวกเขาไม่ต้องขึ้นพระสถูป เพียงโยนเครื่องสักการะขึ้นไปบนอากาศ
[๘๒] ยักษ์ตนหนึ่งชื่อว่าอภิสัมมตะ ที่พวกเทวดาแต่งตั้งไว้
คอยรับธงหรือพวงดอกไม้ไปบูชาให้ยิ่งขึ้น
[๘๓] ชนเหล่านั้นมองไม่เห็นยักษ์ตนนั้น
เห็นแต่พวงดอกไม้ของยักษ์ที่ลอยไปอยู่
ครั้นเห็นเช่นนี้แล้วจึงไป มนุษย์ทั้งหมดย่อมไปเกิดยังสุคติ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๓๒ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๓. สุภูติวรรค] ๒. อุปวาณเถราปทาน
[๘๔] พวกมนุษย์ที่ไม่เฃื่อในคำสอน
และพวกที่เลื่อมใสในศาสนา
มีความต้องการจะเห็นปาฏิหาริย์ จึงพากันบูชาพระสถูป
[๘๕] ครั้งนั้น ข้าพเจ้าเป็นลูกจ้างอยู่ในกรุงหงสวดี
เห็นชนพากันรื่นเริงบันเทิงใจ จึงคิดอย่างนี้ในครั้งนั้นว่า
[๘๖] ชุมชนเหล่านี้ พากันดีใจ ไม่อิ่มถึงสักการะที่ควรทำ
ซึ่งปรากฏที่เรือนแห่งพระธาตุของพระผู้มีพระภาคผู้ยิ่งใหญ่
[๘๗] แม้เราก็จักทำสักการะแด่พระโลกนาถ ผู้คงที่
จักเป็นธรรมทายาทของพระองค์ในอนาคต
[๘๘] ข้าพเจ้าจึงเอาผ้าห่มของข้าพเจ้าที่ช่างย้อมซักไว้อย่างดี
คล้องไว้ที่ปลายไม้ไผ่ แล้วยกเป็นธงไว้ในท้องฟ้า
[๘๙] ยักษ์อภิสัมมตะจับธงของข้าพเจ้านำไปในท้องฟ้า
ข้าพเจ้าเห็นแต่ธงถูกลมสะบัดได้ทำให้เกิดความร่าเริงอย่างยิ่ง
[๙๐] ข้าพเจ้าทำจิตให้เลื่อมใสในธงนั้นแล้ว
เข้าไปหาภิกษุผู้เป็นสมณะรูปหนึ่ง
อภิวาทท่านแล้วได้สอบถามถึงผลในการถวายธง
[๙๑] ภิกษุรูปนั้นกล่าวถึงการที่ข้าพเจ้า
เกิดความเอิบอิ่มใจในการถวายธงให้ข้าพเจ้าฟังว่า
ท่านจักได้เสวยวิบากแห่งการถวายธงนั้นในกาลทุกเมื่อ
[๙๒] กองทัพ ๔ เหล่า
คือพลช้าง พลม้า พลรถ และพลเดินเท้า
จักแวดล้อมท่านเป็นนิตย์
นี้เป็นผลแห่งการถวายธง
[๙๓] เครื่องดนตรี ๖๐,๐๐๐ ชิ้น
กลองที่ประดับตกแต่งอย่างสวยงาม แวดล้อมท่านเป็นนิตย์
นี้เป็นผลแห่งการถวายธง

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๓๓ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๓. สุภูติวรรค] ๒. อุปวาณเถราปทาน
[๙๔] สาวรุ่น ๘๖,๐๐๐ นาง
ล้วนประดับตกแต่งอย่างสวยงาม
สวมใส่ผ้าอาภรณ์อันงดงาม ห้อยตุ้มหูแก้วมณี
[๙๕] มีตากลมโต มีปกติร่าเริง รูปร่างงาม เอวเล็กเอวบาง
จักแวดล้อมท่านเป็นนิตย์
นี้เป็นผลแห่งการถวายธง
[๙๖] ท่านจักรื่นรมย์ในเทวโลกตลอด ๓๐,๐๐๐ กัป
จักเกิดเป็นจอมเทพครองเทวสมบัติ ๘๐ ชาติ
[๙๗] จักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๑,๐๐๐ ชาติ
จักเป็นพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์นับชาติไม่ถ้วน
[๙๘] ในกัปที่ ๑๐๐,๐๐๐ (นับจากกัปนี้ไป)
พระศาสดาพระนามว่าโคดม ตามพระโคตร
ทรงสมภพในราชสกุลโอกกากราช จักอุบัติขึ้นในโลก
[๙๙] ท่านจุติจากเทวโลกแล้ว ถูกกุศลมูลตักเตือน
ประกอบด้วยบุญกรรม
จักเกิดเป็นบุตรของพราหมณ์
[๑๐๐] ท่านจักละสมบัติประมาณ ๘๐ โกฏิ
ทั้งทาสและกรรมกรจำนวนมาก
บวชในศาสนาของพระผู้มีพระภาคพระนามว่าโคดม
[๑๐๑] ท่านจักให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าโคดมศากยะ
ผู้ประเสริฐ ทรงพอพระทัยแล้ว
เป็นสาวกมีนามว่าอุปวาณะ ของพระศาสดา
[๑๐๒] กรรมที่ข้าพเจ้าได้ทำไว้ในกัปที่ ๑๐๐,๐๐๐
ได้แสดงผลแก่ข้าพเจ้าแล้วในอัตภาพนี้
ข้าพเจ้าพ้นดีแล้ว (จากกิเลส)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๓๔ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๓. สุภูติวรรค] ๓. ติสรณคมนิยเถราปทาน
ดุจความเร็วแห่งลูกศรที่หลุดจากแล่งไปดีแล้ว ฉะนั้น
เผากิเลสทั้งหลายได้แล้ว
[๑๐๓] เมื่อข้าพเจ้าเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ
เป็นใหญ่ในทวีปทั้ง ๔
ธงทั้งหลายจักตั้งขึ้นรอบ ๆ ตลอด ๓ โยชน์ ในกาลทุกเมื่อ
[๑๐๔] ในกัปที่ ๑๐๐,๐๐๐ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้ทำกรรมไว้ในครั้งนั้น
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการถวายธง
[๑๐๕] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระอุปวาณเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
อุปวาณเถราปทานที่ ๒ จบ

๓. ติสรณคมนิยเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระติสรณคมนิยเถระ
(พระติสรณคมนิยเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๑๐๖] ข้าพเจ้าเป็นคนเลี้ยงดูมารดาและบิดาอยู่ในกรุงจันทวดี
มารดาและบิดาของข้าพเจ้าเป็นคนตาบอด
ข้าพเจ้าเลี้ยงดูท่านทั้ง ๒ อยู่ในครั้งนั้น
[๑๐๗] ครั้งนั้น ข้าพเจ้านั่งอยู่ในที่สงัดจึงคิดอย่างนี้ว่า
เราเลี้ยงดูมารดาและบิดาอยู่ จึงไม่ได้บวช
[๑๐๘] มวลมนุษย์ถูกความมืดมนอนธการปิดบังไว้แล้ว
ถูกไฟ ๓ กองแผดเผาอยู่
เมื่อเกิดความเป็นเช่นนี้ขึ้นแล้ว ไม่มีใครจะเป็นผู้แนะนำ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๓๕ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๓. สุภูติวรรค] ๓. ติสรณคมนิยเถราปทาน
[๑๐๙] บัดนี้ พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก
ประกาศคำสั่งสอนให้รุ่งเรือง
สัตว์ผู้ใคร่บุญอาจเพื่อจะถอนตนขึ้นได้
[๑๑๐] ข้าพเจ้ารับสรณะ ๓ แล้ว รักษาให้บริบูรณ์
ด้วยกรรมที่ข้าพเจ้าได้ทำไว้ดีแล้วนั้น
ข้าพเจ้าจึงพ้นทุคติได้
[๑๑๑] ข้าพเจ้าได้เข้าไปหาสมณะนามว่านิสภะ
ผู้เป็นอัครสาวกของพระพุทธเจ้าแล้วรับสรณคมน์
[๑๑๒] ครั้งนั้น เหล่าสัตว์มีอายุประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ ปี
ข้าพเจ้าได้รักษาสรณคมน์ให้บริบูรณ์ตลอดระยะเวลาเท่านั้น
[๑๑๓] เมื่อจิตดวงสุดท้ายกำลังเป็นไปอยู่
ข้าพเจ้าระลึกถึงสรณคมน์นั้นได้แล้ว
ด้วยกรรมที่ข้าพเจ้าได้ทำไว้ดีแล้วนั้น
ข้าพเจ้าจึงได้ไปเกิดยังสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
[๑๑๔] เมื่อข้าพเจ้าอยู่ในเทวโลกได้ประกอบแต่บุญกรรม
ไปถึงภูมิประเทศใด ๆ
ย่อมได้เหตุ ๘ ประการ ในภูมิประเทศนั้น ๆ
[๑๑๕] คือ (๑) ข้าพเจ้าได้รับการบูชาทุกทิศ
(๒) เป็นผู้มีปัญญาหลักแหลม
(๓) เทวดาทั้งปวงย่อมประพฤติตาม
(๔) ได้โภคสมบัตินับไม่ถ้วน
[๑๑๖] (๕) เป็นผู้มีผิวพรรณดังทองคำ
(๖) เป็นผู้มีไหวพริบในทุกเรื่อง
(๗) เป็นผู้ไม่หวั่นไหวต่อมิตร
(๘) มียศฟุ้งขจรไป

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๓๖ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๓. สุภูติวรรค] ๓. ติสรณคมนิยเถราปทาน
[๑๑๗] ข้าพเจ้าเป็นจอมเทพครองเทวสมบัติ ๘๐ ชาติ
มีเหล่านางเทพอัปสรห้อมล้อม ได้เสวยทิพยสุข
[๑๑๘] ข้าพเจ้าเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๗๕ ชาติ
ได้เป็นพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์นับชาติไม่ถ้วน
[๑๑๙] เมื่อถึงภพสุดท้าย ข้าพเจ้าประกอบแต่บุญกรรม
ได้เกิดในตระกูลพราหมณมหาศาลมั่งคั่งที่สุดในกรุงสาวัตถี
[๑๒๐] เวลาเย็น (วันหนึ่ง) ข้าพเจ้าต้องการจะเล่น
จึงออกจากนคร มีพวกเด็ก ๆ ห้อมล้อม เข้าไปยังสังฆาราม
[๑๒๑] ณ ที่นั้น ข้าพเจ้าได้พบสมณะรูปหนึ่งผู้หลุดพ้น ไม่มีอุปธิ
ท่านแสดงธรรมแก่ข้าพเจ้า และได้ให้สรณะแก่ข้าพเจ้า
[๑๒๒] ข้าพเจ้านั้นฟังสรณะแล้ว ระลึกถึงสรณะของข้าพเจ้าได้
นั่งอยู่บนอาสนะเดียวได้บรรลุอรหัตตผลแล้ว
[๑๒๓] ข้าพเจ้าเกิดได้ ๗ ขวบ ก็ได้บรรลุอรหัตตผล
พระพุทธเจ้าผู้มีพระจักษุ
ทรงรู้คุณสมบัติของข้าพเจ้าแล้ว จึงประทานอุปสมบทให้
[๑๒๔] ในกัปที่นับมิได้ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้ถึงสรณะทั้งหลาย
กรรมที่ข้าพเจ้าได้ทำไว้ดีแล้วเพียงนั้น
แสดงผลแก่ข้าพเจ้าในอัตภาพสุดท้ายนี้
[๑๒๕] สรณะข้าพเจ้า ก็รักษาไว้ดีแล้ว
ใจข้าพเจ้า ก็ได้ตั้งไว้มั่นแล้ว
ข้าพเจ้าจึงเสวยยศทุกอย่างแล้ว
ได้บรรลุบทที่ไม่หวั่นไหว(คือนิพพาน)
[๑๒๖] บรรดาท่านที่ต้องการจะฟังจงฟังข้าพเจ้ากล่าว
ข้าพเจ้าจักบอกบทอันเป็นประโยชน์ที่ข้าพเจ้าเห็นเองแก่ท่านทั้งหลาย

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๓๗ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๓. สุภูติวรรค] ๓. ติสรณคมนิยเถราปทาน
[๑๒๗] พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก
ศาสนาของพระชินเจ้าแผ่ไปอยู่
พระองค์ทรงลั่นอมตเภรีบรรเทาลูกศรคือความเศร้าโศกได้
[๑๒๘] ท่านทั้งหลายควรทำอธิการ๑
ในนาบุญที่ยอดเยี่ยมตามกำลังของตน
ท่านทั้งหลายจักพบพระนิพพาน
[๑๒๙] ท่านทั้งหลายจงรับสรณะ ๓ จงรักษาศีล ๕
ทำจิตให้เลื่อมใสในพระพุทธเจ้าแล้วจักทำที่สุดทุกข์ได้
[๑๓๐] พวกท่านทุกคนจงถือข้าพเจ้าเป็นตัวอย่าง
รักษาศีลแล้วก็จักบรรลุอรหัตตผลได้โดยไม่นานเลย
[๑๓๑] (พระติสรณคมนิยเถระกราบทูลว่า)
ข้าพระองค์เป็นผู้ได้วิชชา ๓ มีฤทธิ์
ฉลาดในเจโตปริยญาณ ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรมาก
ข้าพระองค์เป็นสาวกของพระองค์
ขอถวายบังคมพระยุคลบาทของพระศาสดา
[๑๓๒] ในกัปที่นับมิได้ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพระองค์ได้ถึงพระพุทธเจ้าว่าเป็นสรณะ
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการถึงสรณะ
[๑๓๓] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพระองค์ได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระติสรณคมนิยเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
ติสรณคมนิยเถราปทานที่ ๓ จบ

เชิงอรรถ :
๑ อธิการ หมายถึงการสะสมบุญอันเป็นการทำที่ยิ่ง (ขุ.อป.อ. ๒/๕/๒๓๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๓๘ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๓. สุภูติวรรค] ๔. ปัญจสีลสมาทานิยเถราปทาน
๔. ปัญจสีลสมาทานิยเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระปัญจสีลสมาทานิยเถระ
(พระปัญจสีลสมาทานิยเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึง
กล่าวว่า)
[๑๓๔] ครั้งนั้น ข้าพเจ้าเป็นลูกจ้างอยู่ในกรุงจันทวดี
มัวขวนขวายในการงานของผู้อื่น จึงไม่ได้บวช
[๑๓๕] (ข้าพเจ้าคิดว่า) มวลมนุษย์ถูกความมืดมนอนธการปิดบังไว้แล้ว
ถูกไฟ ๓๑ กองแผดเผาอยู่
เราจะพรากจากไปได้ด้วยอุบายอย่างไรหนอ
[๑๓๖] ไทยธรรม๒ของเราก็ไม่มี
เราช่างเป็นคนน่าสงสาร เป็นลูกจ้างอยู่
ทางที่ดี เราพึงรักษาศีล ๕ ให้บริบูรณ์
[๑๓๗] ข้าพเจ้าจึงเข้าไปหาภิกษุชื่อว่านิสภะ
ผู้เป็นสาวกของพระมุนีพระนามว่าอโนมทัสสี
แล้วรับสิกขาบท ๕ ข้อ
[๑๓๘] ครั้งนั้น หมู่สัตว์มีอายุประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ ปี
ข้าพเจ้าได้รักษาศีล ๕ ให้บริบูรณ์ตลอดระยะเวลาเท่านั้น
[๑๓๙] เมื่อเวลาใกล้ตายมาถึงเข้า เหล่าเทวดาย่อมให้ข้าพเจ้าดีใจว่า
ท่านผู้นิรทุกข์ รถเทียมม้า ๑,๐๐๐ ตัวคันนี้ปรากฏแล้วเพื่อท่าน
[๑๔๐] เมื่อจิตดวงสุดท้ายยังเป็นไปอยู่
ข้าพเจ้าหวนระลึกถึงศีลของตนเอง

เชิงอรรถ :
๑ ไฟ ๓ กอง ในที่นี้หมายถึงไฟในนรก ไฟในเปรตวิสัย และ ไฟในวัฏสงสาร (ขุ.อป.อ. ๒/๑๓๕/๔๘)
๒ ไทยธรรม หมายถึงวัตถุที่ควรให้มีข้าวและน้ำเป็นต้น (ขุ.อป.อ. ๒/๑๓๖/๔๘)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๓๙ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๓. สุภูติวรรค] ๔. ปัญจสีลสมาทานิยเถราปทาน
ด้วยกรรมที่ข้าพเจ้าได้ทำไว้ดีแล้วนั้น
ข้าพเจ้าจึงได้ไปเกิดยังสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
[๑๔๑] และข้าพเจ้าได้เป็นจอมเทพ
ครองเทวสมบัติถึง ๓๐ ชาติ
มีเหล่านางเทพอัปสรห้อมล้อม ได้เสวยทิพยสุข
[๑๔๒] อนึ่ง ข้าพเจ้าได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๗๕ ชาติ
ได้เป็นพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์นับชาติไม่ถ้วน
[๑๔๓] ข้าพเจ้าถูกกุศลมูลตักเตือนแล้วได้จุติจากเทวโลก
มาเกิดในตระกูลพราหมณมหาศาลมั่งคั่งที่สุดในกรุงเวสาลี
[๑๔๔] เมื่อศาสนาของพระชินเจ้ายังรุ่งเรืองอยู่
มารดาและบิดาของข้าพเจ้าได้รับสิกขาบท ๕ ข้อ
ในเวลาใกล้เข้าพรรษา
[๑๔๕] ข้าพเจ้าร่วมรับศีลกับมารดาและบิดา
หวนระลึกถึงศีลของตนเอง
นั่งบนอาสนะเดียว ได้บรรลุอรหัตตผลแล้ว
[๑๔๖] ข้าพเจ้ามีอายุ ๕ ขวบ ก็ได้บรรลุอรหัตตผล
พระพุทธเจ้าผู้ทรงมีพระจักษุ
ทรงทราบคุณสมบัติของข้าพเจ้าแล้ว
ได้ประทานอุปสมบทให้
[๑๔๗] ในกัปที่นับมิได้ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้ารักษาสิกขาบท ๕ ข้อให้บริบูรณ์แล้ว
จึงไม่ตกวินิบาตนรกเลย
[๑๔๘] ข้าพเจ้านั้นได้เสวยยศเพราะอานุภาพแห่งศีลเหล่านั้น
ข้าพเจ้าเมื่อจะประกาศผลของศีล
ตลอดทั้งโกฏิกัปก็คงจะประกาศได้เพียงส่วนเดียวเท่านั้น

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๔๐ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๓. สุภูติวรรค] ๔. ปัญจสีลสมาทานิยเถราปทาน
[๑๔๙] ข้าพเจ้ารักษาศีล ๕ แล้ว ย่อมได้เหตุ ๓ ประการ
คือเป็นผู้มีอายุยืน มีโภคสมบัติมาก และมีปัญญาเฉียบแหลม
[๑๕๐] เมื่อข้าพเจ้าท่องเที่ยวไปในภพน้อยภพใหญ่
ประกาศคุณของศีลทั้งปวง
และความเพียรเยี่ยงบุรุษที่มีประมาณยิ่ง
ข้าพเจ้าจึงได้ฐานะเหล่านี้
[๑๕๑] สาวกของพระชินเจ้า
ประพฤติอยู่ในศีลมีอานิสงส์นับมิได้
ถ้าจะพึงยินดีในภพ พึงมีผลเช่นไร
[๑๕๒] ศีล ๕ ข้าพเจ้าผู้เป็นลูกจ้าง
มีความเพียรบำเพ็ญดีแล้ว
ข้าพเจ้าจึงพ้นจากเครื่องผูกทั้งปวงได้ในวันนี้เพราะศีลนั้น
[๑๕๓] ในกัปที่นับมิได้ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้ารักษาศีล ๕ แล้ว
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลของศีล ๕
[๑๕๔] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระปัญจสีลสมาทานิยเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วย
ประการฉะนี้
ปัญจสีลสมาทานิยเถราปทานที่ ๔ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๔๑ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๓. สุภูติวรรค] ๕. อันนสังสาวกเถราปทาน
๕. อันนสังสาวกเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระอันนสังสาวกเถระ
(พระอันนสังสาวกเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๑๕๕] พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้มีพระฉวีวรรณดังทองคำ
กำลังเสด็จไปในระหว่างร้านตลาด
มีลักษณะอันประเสริฐ ๓๒ ประการ๑ คล้ายแท่งทองคำ
[๑๕๖] พระนามว่าสิทธัตถะ ดังดวงประทีปส่องโลกให้สว่างโชติช่วง
ผู้มีพระคุณหาประมาณมิได้
หาใครเปรียบเทียบมิได้ ทรงฝึกฝนพระองค์แล้ว
ทรงไว้ซึ่งความรุ่งเรือง
ข้าพเจ้าได้เห็นแล้ว ได้ปีติอย่างยิ่ง

เชิงอรรถ :
๑ ลักษณะอันประเสริฐ ๓๒ ประการ คือ (๑) มีพระบาทราบเสมอกัน (๒) พื้นใต้พระบาททั้ง ๒ มีจักร
ปรากฏข้างละ ๑,๐๐๐ ซี่ มีกงและดุม มีส่วนประกอบครบบริบูรณ์ทุกอย่าง (๓) ทรงมีส้นพระบาทยาว
(๔) มีองคุลียาว (๕) ทรงมีฝ่าพระหัตถ์และฝ่าพระบาทอ่อนนุ่ม (๖) ทรงมีลายดุจตาข่ายที่ฝ่าพระหัตถ์
และฝ่าพระบาท (๗) ทรงมีพระบาทเหมือนสังข์คว่ำ (๘) ทรงมีพระชงฆ์เรียวดุจแข้งเนื้อทราย (๙) เมื่อ
ประทับยืน ไม่ต้องทรงก้มก็ทรงลูบคลำถึงพระชานุได้ด้วยพระหัตถ์ทั้ง ๒ ได้ (๑๐) ทรงมีพระคุยหฐาน
เร้นอยู่ในฝัก (๑๑) ทรงมีพระฉวีรรณงดงามดุจหุ้มด้วยทองคำ (๑๒) ทรงมีพระฉวีวรรณละเอียดจน
ละอองธุลีไม่เกาะติดพระวรกาย (๑๓) ทรงมีพระโลมชาติงอกเส้นเดียวในแต่ละขุม (๑๔) ทรงมีพระโลม
ชาติสีเข้มเหมือนดอกอัญชันขดเป็นลอนเวียนขวามีปลายตั้งขึ้น (๑๕) ทรงมีพระวรกายตรงดุจกายพรหม
(๑๖) ทรง มีพระมังสะพูนเต็มในที่ ๗ แห่ง (คือ หลังพระหัตถ์ทั้ง ๒ หลังพระบาททั้ง ๒ พระอังสะทั้ง
๒ และ ลำพระศอ) (๑๗) ทรงมีส่วนพระวรกายบริบูรณ์ดุจกึ่งกายท่อนหน้าของพญาราชสีห์ (๑๘) ทรงมี
พระปฤษฎางค์เต็มเรียบเสมอกัน (๑๙) ทรงมีพระวรกายเป็นปริมณฑลดุจปริมณฑลต้นไทร พระกายสูง
เท่ากับวาของพระองค์ (๒๐) ทรงมีพระศอกลมงามเต็มเสมอ (๒๑) ทรงมีเส้นประสาทสำหรับรับรสพระ
กระยาหารได้อย่างดี (๒๒) ทรงมีพระหนุดุจคางราชสีห์ (๒๓) ทรงมีพระทนต์ ๔๐ ซี่ (๒๔) ทรงมีพระทนต์
เรียบเสมอกัน (๒๕) ทรงมีพระทนต์ไม่ห่างกัน (๒๖) ทรงมีพระเขี้ยวแก้วขาวงาม (๒๗) ทรงมีพระทนต์
เรียบเสมอกัน (๒๘) ทรงมีพระสุรเสียงดุจเสียงพรหม ตรัสมีสำเนียงดุจนกการเวก (๒๙) ทรงมีพระเนตร
ดำสนิท (๓๐) ทรงมีดวงพระเนตรแจ่มใสดุจลูกโคเพิ่งคลอด (๓๑) ทรงมีพระอุณาโลมระหว่างพระโขนง
สีขาวอ่อนเหมือนนุ่น (๓๒) ทรงมีพระเศียรงดงามดุจประดับด้วยกรอบพระพักตร์ (ที.ปา. ๑๑/๑๙๙/
๑๒๓-๑๒๗)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๔๒ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๓. สุภูติวรรค] ๖. ธูปทายกเถราปทาน
[๑๕๗] ข้าพเจ้าถวายอภิวาทพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว
นิมนต์พระองค์ผู้เป็นมหามุนีให้เสวยแล้ว
พระมุนีทรงประกอบด้วยพระกรุณาในโลก
ทรงอนุโมทนาแก่ข้าพเจ้าในครั้งนั้น
[๑๕๘] ข้าพเจ้าทำจิตให้เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า
ผู้ประกอบด้วยพระมหากรุณา
ผู้ทรงก่อให้เกิดความชื่นชมอย่างยิ่ง
บันเทิงอยู่ในสวรรค์ตลอดกัปหนึ่ง
[๑๕๙] ในกัปที่ ๙๔ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้ถวายทานไว้ครั้งนั้น
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการถวายภิกษา
[๑๖๐] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระอันนสังสาวกเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
อันนสังสาวกเถราปทานที่ ๕ จบ

๖. ธูปทายกเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระธูปทายกเถระ
(พระธูปทายกเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๑๖๑] ข้าพเจ้ามีจิตผ่องใสได้ถวายธูปประจำพระกุฎี
แด่พระผู้มีพระภาคพระนามว่าสิทธัตถะ
ผู้เจริญที่สุดในโลก ผู้คงที่

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๔๓ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๓. สุภูติวรรค] ๗. อุตติยเถราปทาน
[๑๖๒] ข้าพเจ้าเกิดในกำเนิดใด ๆ
คือจะเกิดเป็นเทวดาหรือมนุษย์ก็ตาม
ในกำเนิดนั้น ๆ ข้าพเจ้าย่อมเป็นที่รักของพวกเขาแม้ทั้งหมด
นี้เป็นผลแห่งการถวายธูป
[๑๖๓] ในกัปที่ ๙๔ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้ถวายธูปไว้ครั้งนั้น
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการถวายธูป
[๑๖๔] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระธูปทายกเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
ธูปทายกเถราปทานที่ ๖ จบ

๗. ปุฬินปูชกเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระปุฬินปูชกเถระ
(พระปุฬินปูชกเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๑๖๕] ข้าพเจ้าขนทรายเก่าที่ลานโพธิ์อันประเสริฐ
ของพระผู้มีพระภาคพระนามว่าวิปัสสี
ทิ้งแล้วขนทรายสะอาดมาเกลี่ยไว้แทน
[๑๖๖] ในกัปที่ ๙๑ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้ถวายทรายไว้
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการถวายทราย

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๔๔ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๓. สุภูติวรรค] ๘. อุตติยเถราปทาน
[๑๖๗] ในกัปที่ ๕๓ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิมีพระนามว่ามหาปุฬินะ
ปกครองคน มีพลานุภาพมาก
[๑๖๘] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระปุฬินปูชกเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
ปุฬินปูชกเถราปทานที่ ๗ จบ

๘. อุตติยเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระอุตติยเถระ
(พระอุตติยเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๑๖๙] ครั้งนั้น ข้าพเจ้าเกิดเป็นจระเข้อาศัยอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำจันทภาคา
ข้าพเจ้าขวนขวายหาเหยื่อของตนจึงได้ไปยังท่าน้ำ
[๑๗๐] สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคผู้เป็นพระสยัมภู
ผู้ทรงเป็นบุคคลผู้เลิศ พระนามว่าสิทธัตถะ
พระองค์ประสงค์จะเสด็จข้ามแม่น้ำ จึงเสด็จเข้ามายังท่าน้ำ
[๑๗๑] เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาถึงแล้ว
แม้ข้าพเจ้าก็เข้าไปถึงที่ท่าน้ำนั้น
ข้าพเจ้าเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วกราบทูลคำนี้ว่า
[๑๗๒] ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรมาก
ขอเชิญพระองค์เสด็จขึ้น(หลังข้าพระองค์)เถิด
ข้าพระองค์จักพาพระองค์ข้าม
นั้นเป็นวิสัยของบิดาและปู่ของข้าพระองค์
ข้าแต่พระมหามุนี ขอพระองค์ทรงอนุเคราะห์ด้วยเถิด

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๔๕ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๓. สุภูติวรรค] ๘. อุตติยเถราปทาน
[๑๗๓] พระผู้มีพระภาคผู้มหามุนี
ทรงสดับคำทูลเชิญของข้าพเจ้าแล้วเสด็จขึ้น(หลัง)
ข้าพเจ้ามีจิตร่าเริงเบิกบาน
จึงพาพระผู้มีพระภาคผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลกข้ามไป
[๑๗๔] ที่ฝั่งแม่น้ำฝั่งโน้น พระผู้มีพระภาค
พระนามว่าสิทธัตถะ ผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก
ทรงทำให้ข้าพเจ้าพอใจ ณ ที่นั้นว่า
ท่านจักได้บรรลุอมตธรรม
[๑๗๕] ข้าพเจ้าจุติจากกายนั้นแล้วได้ไปเกิดยังเทวโลก
มีเหล่านางเทพอัปสรห้อมล้อม ได้เสวยทิพยสุข
[๑๗๖] ข้าพเจ้าได้เป็นจอมเทพ ได้ครองเทวสมบัติ ๗ ชาติ
และได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน ๓ ชาติ
[๑๗๗] ข้าพเจ้าประกอบวิเวกอยู่เนือง ๆ
มีปัญญารักษาตนและสำรวมดีแล้ว
ทรงร่างกายซึ่งมีในภพสุดท้ายอยู่ในศาสนา
ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
[๑๗๘] ในกัปที่ ๙๔ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้พาพระผู้มีพระภาคผู้องอาจกว่านรชนข้ามแล้ว
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการพาพระผู้มีพระภาคข้าม
[๑๗๙] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระอุตติยเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
อุตติยเถราปทานที่ ๘ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๔๖ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๓. สุภูติวรรค] ๙. เอกัญชลิกเถราปทาน
๙. เอกัญชลิกเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระเอกัญชลิกเถระ
(พระเอกัญชลิกเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๑๘๐] พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีพระฉวีวรรณดังทองคำ
พระนามว่าวิปัสสี ทรงเปรียบด้วยนายเกวียนผู้เลิศ
ผู้เป็นนรชนผู้ประเสริฐ ทรงเป็นผู้นำโดยวิเศษ
กำลังเสด็จไปในระหว่างร้านตลาด
[๑๘๑] ทรงฝึกผู้ที่ยังไม่ได้รับการฝึก ผู้คงที่
เป็นเจ้าลัทธิใหญ่ มีปัญญามาก
ข้าพระองค์ได้เห็นแล้วจึงเป็นผู้เลื่อมใส
มีใจยินดีแล้วได้ประคองอัญชลี
[๑๘๒] ในกัปที่ ๙๑ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้ประคองอัญชลีไว้ในครั้งนั้น
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการประคองอัญชลี
[๑๘๓] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระเอกัญชลิกเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
เอกัญชลิกเถราปทานที่ ๙ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๔๗ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๓. สุภูติวรรค] ๑๐. โขมทายกเถราปทาน
๑๐. โขมทายกเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระโขมทายกเถระ
(พระโขมทายกเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๑๘๔] ครั้งนั้น ข้าพเจ้าเป็นพ่อค้าอาศัยอยู่ในกรุงพันธุมดี
ได้เลี้ยงดูภรรยาด้วยการค้าขายนั้น และปลูกพืชสมบัติ๑
[๑๘๕] ข้าพเจ้าต้องการบุญกุศล
จึงได้ถวายผ้าเปลือกไม้ผืนหนึ่ง
แด่พระศาสดาทรงพระนามว่าวิปัสสี
ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ซึ่งเสด็จดำเนินอยู่ที่ถนน
[๑๘๖] ในกัปที่ ๙๑ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้ถวายผ้าเปลือกไม้ไว้ในครั้งนั้น
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการถวายผ้าเปลือกไม้
[๑๘๗] ในกัปที่ ๒๗ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้เกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิองค์หนึ่ง
พระนามว่าสินธวสันทนะ
สมบูรณ์ด้วยรัตนะ ๗ ประการ เป็นใหญ่ในทวีปทั้ง ๔
[๑๘๘] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระโขมทายกเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
โขมทายกเถราปทานที่ ๑๐ จบ
สุภูติวรรคที่ ๓ จบบริบูรณ์
ภาณวารที่ ๔ จบ

เชิงอรรถ :
๑ พืชสมบัติ หมายถึงบุญมีทานและศีลเป็นต้น (ขุ.อป.อ. ๒/๑๘๔/๕๕)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๔๘ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๓. สุภูติวรรค] รวมอปทานที่มีในวรรค
รวมอปทานที่มีในวรรคนี้ คือ

๑. สุภูติเถราปทาน ๒. อุปวาณเถราปทาน
๓. ติสรณคมนิยเถราปทาน ๔. ปัญจสีลสมาทานิยเถราปทาน
๕. อันนสังสาวกเถราปทาน ๖. ธูปทายกเถราปทาน
๗. ปุฬินปูชกเถราปทาน ๘. อุตติยเถราปทาน
๙. เอกัญชลิกเถราปทาน ๑๐. โขมทายกเถราปทาน

ในวรรคที่ ๓ มี ๑๐ เรื่องดังว่ามานี้
รวมคาถาทั้งหมดที่ท่านกล่าวไว้มี ๑๘๕ คาถา

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๔๙ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔. กุณฑธานวรรค] ๑. กุณฑธานเถราปทาน
๔. กุณฑธานวรรค
หมวดว่าด้วยเรื่องพระกุณฑธานะเป็นต้น
๑. กุณฑธานเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระกุณฑธานเถระ
(พระกุณฑธานเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๑] ข้าพเจ้ามีจิตเลื่อมใส
มีใจยินดีได้บำรุงพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐที่สุด
ทรงเป็นพระสยัมภู เป็นบุคคลผู้เลิศ
เสด็จหลีกเร้น๑อยู่ ๗ วัน
[๒] ข้าพเจ้ารู้เวลาที่พระองค์จะเสด็จออกจากสมาบัติ
จึงได้ถือกล้วยหวีใหญ่เข้าไปถวาย
แด่พระผู้มีพระภาคผู้เป็นมหามุนีพระนามว่าปทุมุตตระ
[๓] พระผู้มีพระภาคผู้เป็นสัพพัญญู
ผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก เป็นมหามุนี
เมื่อจะทำจิตของข้าพเจ้าให้เลื่อมใส จึงทรงรับแล้วเสวย
[๔] พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเปรียบด้วยนายเกวียนผู้ยอดเยี่ยม
เสวยแล้วประทับนั่งบนอาสนะของพระองค์
ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
[๕] เหล่ายักษ์ที่ประชุมกันอยู่ที่ภูเขานี้
และคณะภูตในป่าทั้งหมดจงฟังคำของเรา
[๖] เราจักพยากรณ์ผู้ที่บำรุงพระพุทธเจ้า
ผู้เป็นดังพญาเนื้อชาติไกรสร
ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าวเถิด

เชิงอรรถ :
๑ เสด็จหลีกเล้น หมายถึงอยู่โดยการเข้านิโรธสมาบัติ (ขุ.อป.อ. ๒/๑/๖๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๕๐ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔. กุณฑธานวรรค] ๑. กุณฑธานเถราปทาน
[๗] ผู้นั้นจักเป็นเทวราช ๑๑ ชาติ
และจักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๓๔ ชาติ
[๘] ในกัปที่ ๑๐๐,๐๐๐ (นับจากกัปนี้ไป)
พระศาสดาพระนามว่าโคดม ตามพระโคตร
ทรงสมภพในราชกุลโอกกากราช จักอุบัติขึ้นในโลก
[๙] ผู้นั้นจักด่าสมณะทั้งหลายผู้มีศีล ผู้ไม่มีอาสวะ
จักได้การขนานนามเพราะวิบากแห่งบาปกรรม
[๑๐] เขาจักมีนามว่ากุณฑธานะ
เป็นสาวกของพระศาสดาพระองค์นั้น
เป็นธรรมทายาท เป็นโอรสที่ธรรมเนรมิต
[๑๑] ข้าพเจ้าขวนขวายวิเวกอยู่เนือง ๆ
มีปกติเข้าฌาน ยินดีในฌาน
ให้พระศาสดาทรงพอพระทัยแล้ว
อยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
[๑๒] พระผู้มีพระภาคชินเจ้ามีเหล่าสาวกแวดล้อม
มีหมู่ภิกษุห้อมล้อม ประทับนั่งในท่ามกลางหมู่ภิกษุแล้ว
ทรงให้ข้าพเจ้าจับสลาก
[๑๓] ข้าพเจ้าห่มผ้าเฉวียงบ่า
อภิวาทพระศาสดาผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก
เมื่อภิกษุทั้งหลายกล่าวอยู่ได้จับสลากเป็นครั้งแรก
ต่อพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคผู้ประเสริฐ
[๑๔] ด้วยกรรมนั้น พระผู้มีพระภาค
ทรงทำหมื่นจักรวาลให้หวั่นไหว
ประทับนั่งในท่ามกลางหมู่ภิกษุ
ทรงตั้งข้าพเจ้าไว้ในตำแหน่งอันเลิศ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๕๑ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔. กุณฑธานวรรค] ๒. สาคตเถราปทาน
[๑๕] ข้าพเจ้ามีความเพียรสำหรับนำพาธุระ
เป็นความเพียรที่นำมาซึ่งธรรมเป็นแดนเกษมจากโยคะ
ข้าพเจ้าทรงร่างกายซึ่งมีในภพสุดท้าย
อยู่ในศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
[๑๖] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระกุณฑธานเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
กุณฑธานเถราปทานที่ ๑ จบ

๒. สาคตเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระสาคตเถระ
(พระสาคตเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๑๗] ครั้งนั้น ข้าพเจ้าได้เป็นพราหมณ์มีนามว่าโสภิตะ
ห้อมล้อมด้วยศิษย์ของตนได้ไปยังอาราม
[๑๘] ในสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคทรงเป็นผู้สูงสุดแห่งบุรุษ
มีหมู่ภิกษุห้อมล้อม เสด็จออกจากประตูอารามแล้วประทับยืนอยู่
[๑๙] ข้าพเจ้าได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ผู้ฝึกพระองค์แล้วมีหมู่ภิกษุผู้ฝึกตนห้อมล้อมแล้ว
จึงทำจิตของตนให้เลื่อมใส
ชมเชยพระผู้มีพระภาคทรงเป็นผู้นำสัตว์โลกว่า
[๒๐] ต้นไม้ทุกชนิดนั้นขึ้นงอกงามบนแผ่นดินได้ ฉันใด
สัตว์ทั้งหลายผู้มีความรู้ ก็ฉันนั้น
ย่อมงอกงามในศาสนาของพระชินเจ้า

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๕๒ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔. กุณฑธานวรรค] ๒. สาคตเถราปทาน
[๒๑] แม้พระองค์ทรงเป็นสัพพัญญู
เปรียบด้วยนายเกวียนทรงแสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
ทรงชักนำชนจำนวนมากออกจากทางผิดแล้วตรัสบอกทางถูก๑
[๒๒] ทรงฝึกพระองค์แล้ว มีหมู่ภิกษุผู้ฝึกตนห้อมล้อมแล้ว
มีปกติเข้าฌาน มีหมู่ภิกษุห้อมล้อมผู้ยินดีในฌาน
มีความเพียร ห้อมล้อมด้วยผู้มีจิตเด็ดเดี่ยว
สงบระงับ ผู้คงที่
[๒๓] พระองค์ประดับด้วยสาวกบริษัท
ทรงงดงามด้วยพระญาณที่เกิดจากบุญ
พระองค์มีพระรัศมีพวยพุ่งดังดวงอาทิตย์อุทัย ฉะนั้น
[๒๔] พระศาสดาพระนามว่าปทุมุตตระ ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
ทอดพระเนตรเห็นข้าพเจ้าผู้มีจิตเลื่อมใสแล้ว
ประทับยืนอยู่ในท่ามกลางหมู่ภิกษุได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
[๒๕] พราหมณ์ใดเกิดความร่าเริงแล้วสรรเสริญเรา
พราหมณ์นั้นจักรื่นรมย์ในเทวโลก ๑๐๐,๐๐๐ กัป
[๒๖] เขาถูกกุศลมูลตักเตือนแล้วจุติจากสวรรค์ชั้นดุสิต
จักบวชในศาสนาของพระผู้มีพระภาคพระนามว่าโคดม
[๒๗] ครั้นบวชในศาสนาแล้วจักได้ความยินดีและความร่าเริง
มีนามว่าสาคตะ เป็นสาวกของพระศาสดา”
[๒๘] ข้าพเจ้าครั้นบวชแล้ว เว้นกายทุจริต
ละวจีทุจริต ชำระอาชีวะให้บริสุทธิ์
[๒๙] ข้าพเจ้าอยู่อย่างนี้ เป็นผู้ฉลาดในเตโชธาตุ (ธาตุไฟ)
กำหนดรู้อาสวะทั้งปวงแล้ว อยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ

เชิงอรรถ :
๑ ทางถูก ในที่นี้หมายถึงอุบายเครื่องบรรลุนิพพานซึ่งเป็นทางของสัตบุรุษ (ขุ.อป.อ. ๒/๒๑/๖๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๕๓ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔. กุณฑธานวรรค] ๓. มหากัจจายนเถราปทาน
[๓๐] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระสาคตเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
สาคตเถราปทานที่ ๒ จบ

๓. มหากัจจายนเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระมหากัจจายนเถระ
(พระมหากัจจายนเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๓๑] พระเจดีย์(วิหารที่ประทับ)ชื่อว่าปทุมะ
ของพระผู้มีพระภาคผู้เป็นที่พึ่งพระนามว่าปทุมุตตระ
ข้าพเจ้าให้ทำแผ่นศิลาไว้ภายใต้แล้วใช้ทองคำไล้ทาแผ่นศิลานั้น
[๓๒] และได้กั้นฉัตรซึ่งทำด้วยรัตนะแล้ว
ถือพัดวาลวีชนีพัดถวายพระพุทธเจ้า
ผู้เป็นเผ่าพันธุ์ของสัตว์โลก ผู้คงที่
[๓๓] ภุมมเทวดา(เทวดาผู้อาศัยอยู่บนแผ่นดิน)
มาประชุมกันทั้งหมดเท่าที่มีในครั้งนั้น
ด้วยหวังว่า พระศาสดาจักตรัสผลแห่งการกั้นฉัตรซึ่งทำด้วยรัตนะ
[๓๔] พวกเราจักฟังพระศาสดาตรัสเรื่องทั้งหมดนั้น
จะพึงเกิดความร่าเริงอย่างยิ่งในศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
[๓๕] พระผู้มีพระภาคผู้เป็นพระสยัมภู
เป็นบุคคลผู้เลิศประทับนั่งบนอาสนะทองแล้ว
มีหมู่ภิกษุห้อมล้อม ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
[๓๖] เราจักพยากรณ์ผู้ที่ได้ถวายอาสนะซึ่งทำด้วยทอง
และกั้นฉัตรซึ่งทำด้วยรัตนะนี้
ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าวเถิด

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๕๔ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔. กุณฑธานวรรค] ๓. มหากัจจายนเถราปทาน
[๓๗] ผู้นั้นจักเป็นจอมเทพครองเทวสมบัติ ๓๐ กัป
จักแผ่รัศมีไป ๑๐๐ โยชน์โดยรอบ
[๓๘] ผู้นั้นจักมาเกิดยังมนุษยโลก เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ
มีพระนามว่าปภัสสระ จักเป็นผู้มีเดชแผ่ไป
[๓๙] ผู้นั้นจักได้เป็นกษัตริย์
ส่องสว่างไป ๘ ศอก โดยรอบทั้งกลางวันกลางคืน
เหมือนดวงอาทิตย์อุทัย ฉะนั้น
[๔๐] ในกัปที่ ๑๐๐,๐๐๐ (นับจากกัปนี้ไป)
พระศาสดาพระนามว่าโคดม ตามพระโคตร
ทรงสมภพในราชสกุลโอกกากราช จักอุบัติขึ้นในโลก
[๔๑] ผู้นั้นถูกกุศลมูลตักเตือนแล้ว
จักจุติจากสวรรค์ชั้นดุสิต
มาเกิดเป็นบุตรของพราหมณ์มีนามว่ากัจจานะ ตามโคตร
[๔๒] ภายหลังเขาออกบวชแล้วจักสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ไม่มีอาสวะ
พระโคดมผู้ส่องโลกให้โชติช่วงจักตั้งเขาไว้ในอตทัคคะ
[๔๓] เขาจักตอบปัญหาที่ถูกถามอย่างย่อได้โดยพิสดาร
และเมื่อตอบปัญหานั้น จักทำอัธยาศัยให้เต็มได้
[๔๔] ข้าพเจ้าเป็นพราหมณ์ผู้อภิชาตบุตรในตระกูลที่มั่งคั่ง
จบมนตร์ สละทรัพย์และข้าวเปลือกแล้ว
ออกบวชเป็นบรรพชิต
[๔๕] เมื่อถูกถามปัญหาแม้โดยย่อ
ข้าพเจ้าก็กล่าวแก้ได้โดยพิสดาร
ทำอัธยาศัยของชนเหล่านั้นให้เต็ม
ให้พระผู้มีพระภาคผู้สูงสุดแห่งเทวดาและมนุษย์ทรงพอพระทัยได้
[๔๖] พระมหาวีระผู้เป็นพระสยัมภู เป็นบุคคลผู้เลิศ
ข้าพเจ้าทำให้ทรงพอพระทัยแล้ว

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๕๕ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔. กุณฑธานวรรค] ๔. กาฬุทายีเถราปทาน
ประทับนั่งในท่ามกลางหมู่ภิกษุแล้ว
ทรงตั้งข้าพเจ้าไว้ในเอตทัคคะ
[๔๗] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระมหากัจจายนเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
มหากัจจายนเถราปทานที่ ๓ จบ

๔. กาฬุทายีเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระกาฬุทายีเถระ
(พระกาฬุทายีเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๔๘] เมื่อพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ
ผู้เจริญที่สุดในโลก ผู้คงที่
เสด็จดำเนินทางไกลเที่ยวจาริกไปในครั้งนั้น
[๔๙] ข้าพเจ้าได้ถือดอกปทุม ดอกอุบล
และดอกมะลิซ้อน ที่บานสะพรั่ง
และถือข้าว(สุก)ชั้นดีมาถวายพระศาสดา
[๕๐] พระมหาวีระเสวยข้าวสุกชั้นดี โภชนะอย่างดี
อนึ่ง กาฬุทายีรับดอกไม้นั้นแล้ว มอบถวายแก่พระชินเจ้า
[๕๑] ผู้ที่ได้ถวายดอกปทุมชั้นดีเยี่ยม
ที่น่าปรารถนา น่าใคร่นี้แก่เรา ชื่อว่าทำสิ่งที่ทำได้ยาก
[๕๒] เราจักพยากรณ์ผู้ที่ได้ใช้ดอกไม้บูชา
และได้ถวายข้าวสุกชั้นดีแก่เรา
ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าวเถิด

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๕๖ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔. กุณฑธานวรรค] ๔. กาฬุทายีเถราปทาน
[๕๓] ผู้นั้นจักครองเทวสมบัติ ๑๘ ชาติ
ดอกอุบล ดอกปทุม และดอกมะลิซ้อน จะมีในเบื้องบนผู้นั้น
[๕๔] ด้วยผลบุญของเขา ผู้คนจักสร้างหลังคา
ประกอบด้วยของหอมที่เป็นทิพย์กั้นไว้ในอากาศ ในเวลานั้น
[๕๕] เขาจักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๒๕ ชาติ
จักเป็นพระเจ้าแผ่นดินครองแผ่นดิน ๕๐๐ ชาติ
[๕๖] ในกัปที่ ๑๐๐,๐๐๐ (นับจากกัปนี้ไป)
พระศาสดาพระนามว่าโคดม ตามพระโคตร
ทรงสมภพในราชสกุลโอกกากราช จักอุบัติขึ้นในโลก
[๕๗] เขายินดียิ่งในกรรมของตน
ถูกกุศลมูลตักเตือนแล้วจักเกิดเป็นเผ่าพันธุ์แห่งพระญาติ
ที่ก่อให้เกิดความเพลิดเพลินแก่พวกเจ้าศากยะ
[๕๘] และภายหลังเขาถูกกุศลมูลตักเตือนแล้วบวช
กำหนดรู้อาสวะทั้งปวงจักเป็นผู้ไม่มีอาสวะแล้วนิพพาน
[๕๙] พระโคดมผู้เป็นเผ่าพันธุ์ของโลก
จักทรงตั้งเขา ผู้บรรลุปฏิสัมภิทา ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว
ไม่มีอาสวะไว้ในเอตทัคคะ
[๖๐] เขามีจิตเด็ดเดี่ยวเพื่อบำเพ็ญเพียร
เป็นผู้สงบระงับ ไม่มีอุปธิ มีนามว่าอุทายี ตามโคตร
จักเป็นสาวกของพระศาสดา
[๖๑] ราคะ โทสะ โมหะ มานะ และมักขะอันข้าพเจ้ากำจัดได้แล้ว
ข้าพเจ้ากำหนดรู้อาสวะทั้งปวงแล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
[๖๒] ข้าพเจ้ามีความเพียร มีปัญญารักษาตน
ทำให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพอพระทัยแล้ว
และพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงยินดี
ได้ทรงตั้งข้าพเจ้าไว้ในตำแหน่งอันเลิศ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๕๗ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔. กุณฑธานวรรค] ๕. โมฆราชเถราปทาน
[๖๓] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระกาฬุทายีเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
กาฬุทายีเถราปทานที่ ๔ จบ

๕. โมฆราชเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระโมฆราชเถระ
(พระโมฆราชเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๖๔] พระผู้มีพระภาค ผู้เป็นพระสยัมภูพระนามว่าอัตถทัสสี
ผู้ไม่ทรงพ่ายแพ้มีหมู่ภิกษุห้อมล้อม
เสด็จดำเนินไปที่ถนน
[๖๕] ข้าพเจ้าก็มีศิษย์ทั้งหลายแวดล้อม ออกจากเรือนไป
ครั้นออกไปแล้วได้พบพระผู้มีพระภาค
ผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลกที่ถนนนั้น
[๖๖] ข้าพเจ้าประคองอัญชลีเหนือเศียรเกล้า
ถวายอภิวาทพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทำจิตของตนให้เลื่อมใสแล้ว
ชมเชยพระองค์ผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลกว่า
[๖๗] สัตว์ทั้งที่มีรูปก็ตาม ไม่มีรูปก็ตาม ที่มีสัญญาก็ตาม
ไม่มีสัญญาก็ตาม มีจำนวนเท่าใด สัตว์จำนวนเท่านั้นทั้งหมด
ย่อมเข้าไปปรากฏภายในพระญาณของพระองค์
[๖๘] เปรียบเหมือนสัตว์น้ำเหล่าใดเหล่าหนึ่งบรรดามี
สัตว์เหล่านั้นย่อมตกอยู่ภายในแหของคนที่เอาแหตาถี่ ๆ
เหวี่ยงคลุมน้ำ ฉะนั้น

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๕๘ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔. กุณฑธานวรรค] ๕. โมฆราชเถราปทาน
[๖๙] อนึ่ง สัตว์เหล่าใดมีเจตนา
สัตว์เหล่านั้นทั้งหมด ทั้งที่มีรูป และไม่มีรูป
ย่อมเข้าไปปรากฏภายในพระญาณของพระองค์
[๗๐] พระองค์ทรงช่วยเหลือสัตว์โลกที่อากูลด้วยความมืดนี้ได้
สัตว์เหล่านั้นได้ฟังธรรมของพระองค์แล้ว
ย่อมข้ามกระแสความสงสัยได้
[๗๑] สัตว์โลกถูกอวิชชาหุ้มห่อไว้แล้ว
ถูกความมืดปกคลุมแล้ว
เมื่อพระญาณของพระองค์โชติช่วงอยู่ ความมืดก็ถูกขจัดแล้ว
[๗๒] พระองค์เป็นผู้มีพระจักษุ
บรรเทาความมืดที่ใหญ่หลวงของสัตว์ทั้งปวงได้
ชนจำนวนมากฟังธรรมของพระองค์แล้วจักนิพพาน
[๗๓] ข้าพเจ้านำน้ำผึ้งรวงที่ไม่มีโทษ
ใส่เต็มหม้อแล้ว ใช้มือทั้ง ๒ ข้างประคอง
น้อมถวายพระผู้มีพระภาคผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
[๗๔] พระผู้มีพระภาคผู้มีความเพียรมาก
ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
ทรงรับด้วยพระหัตถ์ของพระองค์
พระผู้มีพระภาคผู้สัพพัญญู ครั้นเสวยน้ำผึ้งนั้นแล้ว
เสด็จเหาะขึ้นสู่นภากาศ
[๗๕] พระศาสดาพระนามว่าอัตถทัสสี
ผู้องอาจกว่านรชน ประทับยืนอยู่ในอากาศ
เมื่อจะทรงทำจิตของข้าพเจ้าให้เลื่อมใสได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
[๗๖] ผู้ใดชมเชยพระญาณนี้และชมเชยพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐที่สุด
ด้วยจิตที่เลื่อมใสนั้น ผู้นั้นจะไม่ไปเกิดยังทุคติเลย

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๕๙ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔. กุณฑธานวรรค] ๕. โมฆราชเถราปทาน
[๗๗] และผู้นั้นจักครองเทวสมบัติ ๖๔ ชาติ
จักเป็นพระเจ้าประเทศราชครองแผ่นดิน ๑๐๘ ชาติ
[๗๘] จักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๑๐๕ ชาติ
จักครองประเทศราชในแผ่นดินนับชาติไม่ถ้วน
[๗๙] เขาจักเป็นผู้คงแก่เรียน ทรงมนตร์ จบไตรเพท
จักบวชในศาสนาของพระผู้มีพระภาคพระนามว่าโคดม
[๘๐] เขาจักพิจารณาเนื้อความที่ลึกซึ้งละเอียดได้ด้วยญาณ
จักมีนามว่าโมฆราช เป็นสาวกของพระศาสดา
[๘๑] เขาจักสมบูรณ์ด้วยวิชชา ๓
ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ไม่มีอาสวะ
พระพุทธเจ้าพระนามว่าโคดม
ทรงเปรียบด้วยนายเกวียนผู้เลิศ
จักทรงตั้งเขาไว้ในเอตทัคคะ
[๘๒] ข้าพเจ้าละโยคะที่เป็นของมนุษย์ได้แล้ว
ตัดกิเลสเครื่องผูกพันคือภพได้แล้ว
กำหนดรู้อาสวะทั้งปวงแล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
[๘๓] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระโมฆราชเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
โมฆราชเถราปทานที่ ๕ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๖๐ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔. กุณฑธานวรรค] ๖. อธิมุตตเถราปทาน
๖. อธิมุตตเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระอธิมุตตเถระ
(พระอธิมุตตเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๘๔] เมื่อพระผู้มีพระภาคผู้ทรงเป็นที่พึ่ง
ของสัตว์โลกพระนามว่าอัตถทัสสี
ผู้สูงสุดแห่งนรชน เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว
ข้าพเจ้ามีจิตผ่องใส ได้บำรุงภิกษุสงฆ์
[๘๕] ครั้นนิมนต์พระสังฆรัตนะ ผู้ซื่อตรง ผู้มีจิตตั้งมั่นแล้ว
ข้าพเจ้าจึงใช้ต้นอ้อยทำมณฑป
นิมนต์สงฆ์ผู้สูงสุดให้ฉันแล้ว
[๘๖] ข้าพเจ้าเกิดในกำเนิดใด ๆ
คือจะเกิดเป็นเทวดาหรือมนุษย์ก็ตาม
ในกำเนิดนั้น ๆ ข้าพเจ้าย่อมปกครองสัตว์ทั้งปวง
นี้เป็นผลแห่งบุญกรรม
[๘๗] ในกัปที่ ๑๑๘ (นับจากกัปนี้ไป)
ข้าพเจ้าได้ถวายทานไว้ ในครั้งนั้น
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการถวายอ้อย
[๘๘] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระอธิมุตตเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
อธิมุตตเถราปทานที่ ๖ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๖๑ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔. กุณฑธานวรรค] ๗. ลสุณทายกเถราปทาน
๗. ลสุณทายกเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระลสุณทายกเถระ
(พระลสุณทายกเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๘๙] ครั้งนั้น ข้าพเจ้าบวชเป็นดาบส
อาศัยอยู่ในที่ไม่ไกลภูเขาหิมพานต์
ข้าพเจ้าอาศัยกระเทียมเลี้ยงชีวิต
กระเทียมเป็นอาหารของข้าพเจ้า
[๙๐] ข้าพเจ้าใส่กระเทียมเต็มหาบแล้วหาบไปยังสังฆาราม
ข้าพเจ้ามีจิตร่าเริงเบิกบานได้ถวายกระเทียมแด่พระสงฆ์
[๙๑] เพราะถวายกระเทียมแด่พระสงฆ์
ผู้ยินดีในศาสนาของพระผู้มีพระภาคพระนามว่าวิปัสสี
ผู้เลิศกว่านรชน
ข้าพเจ้าจึงบันเทิงในสวรรค์ตลอดกัปหนึ่ง
[๙๒] ในกัปที่ ๙๑ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้ถวายกระเทียมไว้ในครั้งนั้น
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการถวายกระเทียม
[๙๓] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระลสุณทายกเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
ลสุณทายกเถราปทานที่ ๗ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๖๒ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔. กุณฑธานวรรค] ๘. อายาคทายกเถราปทาน
๘. อายาคทายกเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระอายาคทายกเถระ
(พระอายาคทายกเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๙๔] เมื่อพระผู้มีพระภาคผู้ทรงเป็นที่พึ่งของสัตว์โลกพระนามว่าสิขี
ผู้ประเสริฐกว่าเจ้าลัทธิทั้งหลาย เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว
ข้าพเจ้ามีจิตร่าเริงเบิกบานได้ไหว้พระสถูปที่ประเสริฐ
[๙๕] ครั้งนั้น ข้าพเจ้ามีจิตร่าเริงเบิกบาน
ได้ให้นายช่างประเมินราคาแล้วจึงจ่ายทรัพย์
จ้างก่อสร้างศาลาโรงฉัน
[๙๖] ข้าพเจ้าอยู่ในเทวโลกถึง ๘ กัป โดยไม่สับสนกันเลย
ในกัปที่เหลือ ข้าพเจ้าเวียนว่ายตายเกิดสับสนกันไป
[๙๗] ยาพิษย่อมไม่กล้ำกรายในกายข้าพเจ้า
และศัสตราก็ไม่ทำร้ายข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าย่อมไม่ตายในน้ำ
นี้เป็นผลแห่งการสร้างศาลาโรงฉัน
[๙๘] ข้าพเจ้าปรารถนาฝนเมื่อใด
มหาเมฆย่อมโปรยปรายฝนตกลงเมื่อนั้น
แม้เทวดาทั้งหลายก็อยู่ในอำนาจของข้าพเจ้า
นี้เป็นผลแห่งบุญกรรม
[๙๙] ข้าพเจ้าได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ
สมบูรณ์ด้วยรัตนะ ๗ ประการ ๓๐ ชาติ
ใคร ๆ ก็ดูหมิ่นข้าพเจ้าไม่ได้
นี้เป็นผลแห่งบุญกรรม
[๑๐๐] ในกัปที่ ๓๑ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้ให้สร้างศาลาโรงฉันไว้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๖๓ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔. กุณฑธานวรรค] ๙. ธัมมจักกิกเถราปทาน
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการสร้างศาลาโรงฉัน
[๑๐๑] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระอายาคทายกเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
อายาคทายกเถราปทานที่ ๘ จบ

๙. ธัมมจักกิกเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระธัมมจักกิกเถระ
(พระธัมมจักกิกเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๑๐๒] ข้าพเจ้าได้ตั้งธรรมจักร ที่ทำอย่างสวยงามอันวิญญูชนชมเชยไว้
ข้างหน้าพุทธอาสน์ของพระผู้มีพระภาคพระนามว่าสิทธัตถะ
[๑๐๓] ข้าพเจ้ามียวดยาน กำลังพล และพาหนะ
ย่อมงดงามด้วยวรรณะทั้ง ๔๑
คนจำนวนมากย่อมติดตามแวดล้อมข้าพเจ้าเป็นนิตย์
[๑๐๔] ข้าพเจ้ามีดนตรี ๖๐,๐๐๐ ชิ้น
บำรุงบำเรออยู่ทุกเมื่อ ย่อมงดงามด้วยบริวาร
นี้เป็นผลแห่งบุญกรรม
[๑๐๕] ในกัปที่ ๙๔ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้ตั้งธรรมจักรไว้
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการตั้งธรรมจักร

เชิงอรรถ :
๑ ดูเชิงอรรถหน้า ๕๐ ในเล่มนี้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๖๔ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔. กุณฑธานวรรค] ๑๐. กัปปรุกขิยเถราปทาน
[๑๐๖] ในกัปที่ ๑๑ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๘ ชาติ
มีพระนามว่าสหัสสราชา
ผู้เป็นใหญ่ในหมู่ชน มีพลานุภาพมาก
[๑๐๗] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระธัมมจักกิกเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
ธัมมจักกิกเถราปทานที่ ๙ จบ

๑๐. กัปปรุกขิยเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระกัปปรุกขิยเถระ
(พระกัปปรุกขิยเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๑๐๘] ข้าพเจ้าได้ประดิษฐานต้นกัลปพฤกษ์คล้องผ้างดงามวิจิตรหลายผืน
ไว้ตรงหน้าพระสถูปอันประเสริฐที่สุดของพระผู้มีพระภาค
พระนามว่าสิทธัตถะ
[๑๐๙] ข้าพเจ้าเกิดในกำเนิดใด ๆ
คือ จะเกิดเป็นเทวดาหรือมนุษย์ก็ตาม
ในกำเนิดนั้น ๆ ต้นกัลปพฤกษ์ประดิษฐาน
ส่องแสงงดงามที่ประตูของข้าพเจ้า
[๑๑๐] พวกข้าพเจ้า คือ ข้าพเจ้าเอง ชุมนุมชน
และคนบางเหล่าที่มีอายุเท่ากัน (เพื่อน)
ได้นำผ้าจากต้นกัลปพฤกษ์นั้นมานุ่งห่ม
[๑๑๑] ในกัปที่ ๙๔ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าประดิษฐานต้นกัลปพฤกษ์ไว้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๖๕ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔. กุณฑธานวรรค] รวมอปทานที่มีในวรรค
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการประดิษฐานต้นกัลปพฤกษ์ไว้
[๑๑๒] และในกัปที่ ๗ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้เป็นกษัตริย์ผู้จักรพรรดิ ๘ ชาติ
มีพระนามว่าสุเจละ
สมบูรณ์ด้วยรัตนะ ๗ ประการ มีพลานุภาพมาก
[๑๑๓] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระกัปปรุกขิยเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
กัปปรุกขิยเถราปทานที่ ๑๐ จบ
กุณฑธานวรรคที่ ๔ จบบริบูรณ์

รวมอปทานที่มีในวรรคนี้ คือ

๑. กุณฑธานเถราปทาน ๒. สาคตเถราปทาน
๓. มหากัจจายนเถราปทาน ๔. กาฬุทายีเถราปทาน
๕. โมฆราชเถราปทาน ๖. อธิมุตตเถราปทาน
๗. ลสุณทายกเถราปทาน ๘. อายาคทายกเถราปทาน
๙. ธัมมจักกิกเถราปทาน ๑๐. กัปปรุกขิยเถราปทาน

และมีคาถา ๑๑๒ คาถา

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๖๖ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๕. อุปาลิวรรค] ๑. อุปาลิเถราปทาน
๕. อุปาลิวรรค
หมวดว่าด้วยพระอุบาลีเป็นต้น
๑. อุปาลิเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระอุบาลีเถระ
(พระอุบาลีเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๑] พระผู้มีพระภาค ผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก
มีพระขีณาสพ ๑,๐๐๐ องค์แวดล้อม
พระองค์ผู้ขวนขวายวิเวก จึงเสด็จไปเพื่อหลีกเร้น
[๒] ข้าพเจ้านุ่งห่มหนังสัตว์
ถือไม้เท้า ๓ ง่ามเที่ยวไป ได้พบพระผู้มีพระภาค
ผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก มีหมู่ภิกษุห้อมล้อม
[๓] ข้าพเจ้าจึงทำหนังสัตว์เฉวียงบ่า
ประคองอัญชลีไว้เหนือเศียรเกล้า
ถวายอภิวาทพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แล้วชมเชยพระองค์ผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลกว่า
[๔] สัตว์ทั้งหลายที่เกิดในไข่ เกิดในเถ้าไคล
เกิดผุดขึ้น เกิดในครรภ์ และนกมีกาเป็นต้นทั้งหมด
ได้เที่ยวไปในอากาศทุกเมื่อ ฉันใด
[๕] สัตว์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง มีสัญญาก็ตาม
ไม่มีสัญญาก็ตาม สัตว์เหล่านั้นทั้งหมดก็ฉันนั้น
ย่อมเข้าไปปรากฏภายในพระญาณของพระองค์
[๖] อนึ่ง กลิ่นหอมเหล่าใดมีอยู่ที่ภูเขา
ณ ภูเขาหิมพานต์ซึ่งเป็นภูเขาสูงสุด
กลิ่นหอมเหล่านั้นทั้งหมด
ย่อมไม่ควรแม้ส่วนเสี้ยวในศีลของพระองค์เลย

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๖๗ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๕. อุปาลิวรรค] ๑. อุปาลิเถราปทาน
[๗] โลกนี้พร้อมทั้งเทวโลกแล่นเข้าไปสู่ความมืดคือโมหะ
เมื่อพระญาณของพระองค์ส่องแสงโชติช่วงอยู่ ความมืดก็ถูกกำจัดไป
[๘] เมื่อดวงอาทิตย์อัสดงคตแล้ว
สัตว์ทั้งหลายก็ตกอยู่ในความมืด ฉันใด
เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่เสด็จอุบัติขึ้น
สัตว์โลกก็ตกอยู่ในความมืด ฉันนั้น
[๙] ดวงอาทิตย์เมื่ออุทัยขึ้น
ย่อมขจัดความมืดได้ทุกเมื่อ ฉันใด
ข้าแต่พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐที่สุด
พระองค์ก็ทรงขจัดความมืดได้ทุกเมื่อ ฉันนั้น
[๑๐] พระองค์ทรงมีพระทัยเด็ดเดี่ยวเพื่อบำเพ็ญเพียร
ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในโลกพร้อมทั้งเทวโลก
ทรงทำหมู่ชนจำนวนมากให้ยินดี
ด้วยการปรารภการกระทำของพระองค์
[๑๑] พระผู้มีพระภาคผู้มหามุนีพระนามว่าปทุมุตตระ
ผู้เป็นนักปราชญ์ ทรงสดับคำนั้นแล้ว ทรงอนุโมทนาแล้ว
เสด็จเหาะไปในท้องฟ้า
เหมือนพญาหงส์โผบินไปในท้องฟ้า ฉะนั้น
[๑๒] พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่พระนามว่าปทุมุตตระ
เสด็จเหาะขึ้นไปประทับอยู่ในอากาศได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
[๑๓] เราจักพยากรณ์ผู้ที่ชมเชยญาณ
ซึ่งประกอบด้วยข้ออุปมาทั้งหลายนี้
ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าวเถิด
[๑๔] เขาจักเป็นเทวราช ๑๘ ชาติ
จักเป็นพระเจ้าแผ่นดินครองแผ่นดิน ๓๐๐ ชาติ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๖๘ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๕. อุปาลิวรรค] ๑. อุปาลิเถราปทาน
[๑๕] เขาจักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๒๕ ชาติ
จักเป็นพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์ นับชาติไม่ถ้วน
[๑๖] ในกัปที่ ๑๐๐,๐๐๐ (นับจากกัปนี้ไป)
พระศาสดาพระนามว่าโคดม ตามพระโคตร
ทรงสมภพในราชสกุลโอกกากราช จักอุบัติขึ้นในโลก
[๑๗] เขาถูกกุศลมูลตักเตือนแล้วจุติจากสวรรค์ชั้นดุสิตแล้ว
จักเป็นคนต่ำต้อยโดยชาติกำเนิด ชื่อว่าอุบาลี
[๑๘] ภายหลัง เขาบวชแล้ว คลายบาปได้
กำหนดรู้อาสวะทั้งปวงเป็นผู้ไม่มีอาสวะแล้วนิพพาน
[๑๙] อนึ่ง พระโคดมพุทธเจ้าผู้ศากยบุตร มีพระยศยิ่งใหญ่
ทรงยินดีแล้ว จักตั้งเขาไว้ในเอตทัคคะว่า
เป็นผู้เชี่ยวชาญทางพระวินัย
[๒๐] ข้าพเจ้าบวชด้วยศรัทธา
ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ไม่มีอาสวะ
กำหนดรู้อาสวะทั้งปวงแล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
[๒๑] อนึ่ง พระผู้มีพระภาคทรงอนุเคราะห์ข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าก็เป็นผู้เชี่ยวชาญในทางพระวินัย
และปรารภกรรมของตนอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
[๒๒] ข้าพเจ้าสำรวมในพระปาติโมกข์และในอินทรีย์ ๕
ทรงพระวินัยทั้งหมด ซึ่งเป็นบ่อเกิดรัตนะทั้งมวลไว้
[๒๓] พระศาสดาผู้ยอดเยี่ยมในโลก
ทรงทราบคุณสมบัติของข้าพเจ้า
ประทับนั่งในท่ามกลางหมู่ภิกษุแล้ว
ทรงแต่งตั้งข้าพเจ้าไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๖๙ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๕. อุปาลิวรรค] ๒. โสณโกฬิวิสเถราปทาน
[๒๔] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระอุบาลีเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
อุปาลิเถราปทานที่ ๑ จบ

๒. โสณโกฬิวิสเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระโสณโกฬิวิสเถระ
(พระโสณโกฬิวิสเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๒๕] ข้าพเจ้าได้ให้ก่อสร้างที่จงกรมฉาบทาด้วยปูนขาว
ถวายพระผู้มีพระภาคผู้เป็นพระมุนีพระนามว่าอโนมทัสสี
ผู้เจริญที่สุดในโลก ผู้คงที่
[๒๖] ข้าพเจ้าได้ใช้ดอกไม้สีต่าง ๆ ลาดที่จงกรม
และทำให้เป็นเพดานไว้ในอากาศ
แล้วกราบทูลพระพุทธเจ้าผู้สูงสุดให้ทรงใช้สอย
[๒๗] ครั้งนั้น ข้าพเจ้าประคองอัญชลีถวายอภิวาทพระองค์
ผู้มีวัตรดีงาม แล้วมอบถวายศาลายาวแด่พระผู้มีพระภาค
[๒๘] พระผู้มีพระภาคผู้ศาสดา ผู้ยอดเยี่ยมในโลก
ผู้มีพระจักษุ ทรงทราบความดำริของข้าพเจ้า
แล้วทรงรับไว้ด้วยความอนุเคราะห์
[๒๙] พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นทักขิไณยบุคคลในโลก
พร้อมทั้งเทวโลก ครั้นทรงรับแล้ว
จึงประทับนั่งในท่ามกลางหมู่ภิกษุแล้วได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
[๓๐] เราจักพยากรณ์ผู้ที่มีจิตเบิกบาน ซึ่งได้ถวายศาลายาวแก่เรา
ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าวเถิด

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๗๐ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๕. อุปาลิวรรค] ๒. โสณโกฬิวิสเถราปทาน
[๓๑] รถเทียมด้วยม้า ๑,๐๐๐ ตัว จักปรากฏสำหรับผู้นี้
ซึ่งเพียบพร้อมด้วยบุญกรรม ในเวลาใกล้จะตาย
[๓๒] ผู้นี้จักไปยังเทวโลกโดยยานนั้น
เทวดาทั้งหลายจักพลอยบันเทิง ในเมื่อผู้นี้ถึงภพที่ดีแล้ว
[๓๓] เขาจักครองวิมานซึ่งมีค่ามาก ประเสริฐที่สุด
ฉาบทาด้วยดินคือแก้ว ประกอบด้วยเรือนยอดที่ล้ำเลิศ
[๓๔] ผู้นี้จักรื่นรมย์ในเทวโลกถึง ๓๐,๐๐๐ กัป
จักเป็นเทวราชตลอด ๒๕ กัป
[๓๕] และจักเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๗๗ ชาติ
พระเจ้าจักรพรรดิเหล่านั้นแม้ทั้งหมด
มีพระนามว่ายโสธระ๑
[๓๖] ผู้นี้ได้เสวยสมบัติทั้ง ๒ แล้ว สร้างสั่งสมบุญ
จักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิในกัปที่ ๒๘
[๓๗] แม้ในภพนั้นจักมีวิมานอย่างประเสริฐ
ที่วิสสุกรรมเทพบุตรเนรมิตให้
ผู้นี้จักครองบุรีนั้น ซึ่งไม่ว่างเว้นจากเสียง ๑๐ ประการ๒
[๓๘] ในกัปที่นับมิได้ นับจากกัปนี้ไป
เขาจักเป็นพระเจ้าแผ่นดินในแว่นแคว้น
มีฤทธิ์มาก มีพระนามว่าโอกกากราช โดยพระโคตร
[๓๙] นางกษัตริย์ ผู้มีวัยประเสริฐ๓
สูงชาติกว่าหญิงทั้งหมด ๑๖,๐๐๐ คน
จักประสูติพระราชบุตรและพระราชบุตรี ๙ พระองค์

เชิงอรรถ :
๑ ชื่อว่า ยโสธระ เพราะทรงไว้ซึ่งยศคือบริวารสมบัติและทรัพย์สมบัติ (ขุ.อป.อ. ๒/๓๕/๘๑)
๒ ดูเชิงอรรถหน้า ๑๑๓ ในเล่มนี้
๓ ฉบับพม่าและเถรคาถาอรรถกถาภาค ๒/๒๕๖ เป็น ปวรา จ สา นางนั้นประเสริฐ (ขุ.เถร.อ. ๒/๕๒๘)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๗๑ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๕. อุปาลิวรรค] ๒. โสณโกฬิวิสเถราปทาน
[๔๐] นางกษัตริย์ ครั้นประสูติพระราชบุตร
และพระราชบุตรี ๙ พระองค์แล้วจักสวรรคต
และพระเจ้าโอกกากราชจักทรงอภิเษกนางกัญญา
ผู้เป็นที่รักแรกรุ่นดรุณีเป็นพระมเหสี
[๔๑] พระนางกัญญาจักทำให้พระเจ้าโอกกากราช
ทรงพอพระทัยแล้วได้พร
พระนางได้พรแล้วจักให้เนรเทศ
พระราชบุตรและพระราชบุตรี
[๔๒] พระราชบุตรและพระราชบุตรีทั้งหมดนั้น
ถูกเนรเทศแล้วจักไปยังภูเขาสูงสุด
พระราชบุตรทั้งหมดจักสมสู่กับพระกนิษฐภคินี
เพราะกลัวว่าชาติตระกูลจะระคนกัน
[๔๓] ส่วนพระเชษฐกัญญาพระองค์หนึ่งจักถูกพยาธิกลุ้มรุม
กษัตริย์ทั้งหลายจักซ่อนไว้ด้วยคิดว่า
ชาติตระกูลของพวกเราอย่าแตกสลายเลย
[๔๔] กษัตริย์องค์หนึ่งจึงนำพระเชษฐกัญญานั้นมาสมสู่อยู่ด้วยกัน
ความเกิดแห่งวงศ์โอกกากราชจักแยกกันในครั้งนั้น
[๔๕] โอรสของกษัตริย์เหล่านั้นจักมีพระนามว่าโกลิยะ โดยพระชาติ
จักได้เสวยโภคสมบัติ อันเป็นของมนุษย์มิใช่น้อยในภพนั้น
[๔๖] ผู้นี้จุติจากกายนั้นแล้วจักไปเกิดยังเทวโลก
แม้ในเทวโลกนั้นจักได้วิมานอย่างประเสริฐ น่ารื่นรมย์ใจ
[๔๗] เขาถูกกุศลมูลตักเตือนแล้วจักจุติจากเทวโลก
มาเกิดเป็นมนุษย์ มีชื่อว่าโสณะ
[๔๘] จักบำเพ็ญเพียร มีจิตเด็ดเดี่ยว
บำเพ็ญเพียรในศาสนาของพระศาสดา
จักกำหนดรู้อาสวะทั้งปวง เป็นผู้ไม่มีอาสวะแล้วนิพพาน

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๗๒ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๕. อุปาลิวรรค] ๒. โสณโกฬิวิสเถราปทาน
[๔๙] พระผู้มีพระภาคพระนามว่าโคดมศากยะ
ผู้ประเสริฐ ทรงรู้วิเศษ มีความเพียรมาก ทรงเห็นคุณไม่มีที่สุด
จักทรงตั้งเขาไว้ในตำแหน่งอันเลิศ
[๕๐] เมื่อฝนตกแล้ว หญ้ายาวประมาณ ๔ องคุลี
ยืนต้นอยู่ที่พื้นถูกลมพัดโชย
สำหรับพระโยคาวจรผู้ประกอบความเพียร ผู้คงที่
ไม่มีอะไรจะยอดเยี่ยมยิ่งไปกว่าต้นหญ้านั้น๑
[๕๑] ข้าพเจ้าได้ฝึกฝนตน ในการฝึกอย่างสูงสุด
จิตข้าพเจ้าก็ตั้งไว้ดีแล้ว
ภาระทั้งหมดข้าพเจ้าก็ปลงลงแล้ว
ข้าพเจ้าเป็นผู้ไม่มีอาสวะ นิพพานแล้ว
[๕๒] พระผู้มีพระภาคพระนามว่าอังคีรสมหานาค๒
ทรงเป็นอภิชาตบุตร ผู้ดุจพญาราชสีห์
ประทับนั่งในท่ามกลางหมู่ภิกษุแล้ว
ทรงแต่งตั้งข้าพเจ้าไว้ในตำแหน่งอันเลิศ
[๕๓] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระโสณโกฬิวิสเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
โสณโกฬิวิสเถราปทานที่ ๒ จบ

เชิงอรรถ :
๑ เดิมแปลว่า “เมื่อฝนตกในที่ประชุม ๔ นิ้ว หญ้าประมาณหนึ่งองคุลีถูกซัดแล้ว พระผู้มีพระภาคผู้คงที่
ซึ่งประกอบความเพียร ความถึงที่สุด ไม่มียิ่งขึ้นไปกว่านั้น” คำว่า ...องฺคลุมฺห ประมาณหนึ่งองคุลี”
ฉบับพม่าและ ขุ.เถร.อ. ๒/๒๕๗ เป็น “...องฺคณมฺหิ ที่พื้น (เนิน)” คำว่า “ปารมตา เดิมแปลว่า
ความถึงที่สุด” แปลใหม่ว่า “ยอดเยี่ยม”
๒ ชื่อว่าอังคีรส เพราะมีรัศมีเปล่งออกจากพระสรีระ ชื่อว่านาค เพราะไม่ไปยังอบาย ๔ เพราะฉันทาคติ
โทสาคติ โมหาคติ และภยาคติ หรือเพราะประพฤติชั่ว ชื่อว่ามหานาค เพราะเป็นใหญ่อันบุคคลบูชา
แล้วและเป็นผู้ประเสริฐ (อังคีรสมหานาค จึงหมายถึงผู้มีรัศมีเปล่งออกจากพระสรีระเป็นผู้ไม่ไปในอบาย ๔
และเป็นผู้ประเสริฐ)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๗๓ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๕. อุปาลิวรรค] ๓. ภัททิยกาฬิโคธายปุตตเถราปทาน
๓. ภัททิยกาฬิโคธายปุตตเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระภัททิยกาฬิโคธายบุตรเถระ
(พระภัททิยกาฬิโคธายบุตรเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึง
กล่าวว่า)
[๕๔] ประชุมชนทั้งปวงเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระนามว่าปทุมุตตระ ผู้มีพระทัยประกอบด้วยเมตตา
เป็นพระมหามุนี ผู้ทรงเป็นผู้นำชั้นเลิศของสัตว์โลกทั้งปวง
[๕๕] ชนทั้งปวงย่อมถวายอามิส
คือสัตตุก้อน สัตตุผง น้ำ และข้าวแด่พระศาสดา
และในสงฆ์ผู้เป็นเนื้อนาบุญอย่างยอดเยี่ยม
[๕๖] แม้ข้าพเจ้าก็จะนิมนต์พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐที่สุด
และสงฆ์ผู้ยอดเยี่ยม ถวายทานแด่พระผู้มีพระภาค
ผู้เป็นเทพยิ่งกว่าเทพ๑ ผู้คงที่
[๕๗] และข้าพเจ้าส่งคนไปให้นิมนต์พระตถาคต
และภิกษุสงฆ์ทั้งสิ้นผู้เป็นนาบุญอย่างยอดเยี่ยม
[๕๘] ข้าพเจ้าจัดตั้งบัลลังก์ทอง ๑๐๐,๐๐๐ ตัว
ลาดด้วยเครื่องลาดผ้าโกเชาว์ผืนใหญ่
มีขนยาว ด้วยเครื่องลาดลายดอกไม้ยัดด้วยนุ่น
และด้วยผ้าเปลือกไม้และผ้าฝ้าย
เป็นอาสนะที่ควรค่ามากสมควรแด่พระพุทธเจ้า
[๕๙] พระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ
ผู้ทรงรู้แจ้งโลก ผู้เป็นเทพยิ่งกว่าเทพ

เชิงอรรถ :
๑ เทพมีอยู่ ๓ จำพวก คือ สมมติเทพ อุปปัตติเทพ และวิสุทธิเทพ ในที่นี้มีนัยว่า พระผู้มีพระภาคเป็น
ผู้ยิ่งใหญ่กว่าเทพทุกจำพวก (วิสุทฺธิ.ฏีกา. ๑/๑/๙)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๗๔ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๕. อุปาลิวรรค] ๓. ภัททิยกาฬิโคธายปุตตเถราปทาน
ผู้องอาจกว่านรชน มีหมู่ภิกษุห้อมล้อม
เสด็จเข้ามาใกล้ประตู(บ้าน)ของข้าพเจ้า
[๖๐] ข้าพเจ้ามีจิตเลื่อมใส
มีใจยินดีได้ต้อนรับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้ทรงเป็นที่พึ่งของสัตว์โลก
มีพระยศแล้วนำเสด็จมาเรือนของตน
[๖๑] ข้าพเจ้ามีจิตเลื่อมใส มีใจยินดี
ได้อังคาสภิกษุ ๑๐๐,๐๐๐ รูป
และพระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก จนอิ่มหนำด้วยข้าวชั้นดี
[๖๒] พระผู้มีพระภาคพระนามว่าปทุมุตตระ
ผู้ทรงรู้แจ้งโลก ผู้สมควรรับเครื่องบูชา
ประทับนั่งในท่ามกลางหมู่ภิกษุแล้วได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
[๖๓] เราจักพยากรณ์ผู้ที่ถวายอาสนะทองคำ
ลาดด้วยผ้าขนสัตว์๑
ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าวเถิด
[๖๔] เขาจักครองเทวสมบัติ มีเหล่านางเทพอัปสรห้อมล้อม
เสวยสมบัติอยู่ ๗๔ ชาติ
[๖๕] เขาจักเป็นเจ้าประเทศราชครองแผ่นดิน ๑,๐๐๐ ชาติ
จักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๕๑ ชาติ
[๖๖] เขาจักเป็นผู้มีตระกูลสูง ในภพกำเนิดทั้งปวง
ภายหลังเขาถูกกุศลมูลตักเตือนจึงบวช
มีนามว่าภัททิยะ เป็นสาวกของพระศาสดา

เชิงอรรถ :
๑ โคนกตฺถตํ ปูผ้าโกเชาว์สีดำขนยาว ๔ องคุลี (โคนกตฺถโตติ จตุรงฺคุลาธิกโลเมน กาฬโกชเวน อตฺถโต.
องฺ.ติก.อ. ๒/๓๕/๑๓๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๗๕ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๕.อุปาลิวรรค] ๔. สันนิฏฐาปกเถราปทาน
[๖๗] ข้าพเจ้าเป็นผู้หมั่นประกอบวิเวก
อาศัยอยู่ในเสนาสนะที่สงัด
ผลทั้งปวง ข้าพเจ้าก็บรรลุแล้ว
วันนี้ ข้าพเจ้าเป็นผู้สละกิเลสได้แล้ว
[๖๘] พระผู้มีพระภาคผู้เป็นสัพพัญญูผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก
ทรงทราบคุณสมบัติทั้งปวงของข้าพเจ้าแล้ว
ประทับนั่งในท่ามกลางหมู่ภิกษุแล้ว
ทรงแต่งตั้งข้าพเจ้าไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ
[๖๙] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระภัททิยกาฬิโคธายปุตตเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วย
ประการ ฉะนี้
ภัททิยกาฬิโคธายปุตตเถราปทานที่ ๓ จบ

๔. สันนิฏฐาปกเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระสันนิฏฐาปกเถระ
(พระสันนิฏฐาปกเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๗๐] ข้าพเจ้าสร้างกระท่อมอยู่ในป่า ในระหว่างภูเขา
สันโดษตามมีตามได้ด้วยยศและความเสื่อมยศ
[๗๑] พระผู้มีพระภาคพระนามว่าปทุมุตตระ
ทรงรู้แจ้งโลก ผู้สมควรรับเครื่องบูชา
เสด็จมายังสำนักของข้าพเจ้าพร้อมด้วยภิกษุ ๑๐๐,๐๐๐ รูป
[๗๒] พระผู้มีพระภาคผู้มหานาคพระนามว่าปทุมุตตระ เสด็จเข้ามา
ข้าพเจ้าเห็นแล้วให้ปูลาดเครื่องลาดหญ้าถวายพระศาสดา

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๒ หน้า :๑๗๖ }


>>>>> หน้าต่อไป >>>>>





eXTReMe Tracker