"คีโม"กับการพ่ายมะเร็งของ"ธันย์ โสภาคย์"(1)


ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ธันยโสภาคย์ เกษมสันต์
"อยู่กับมะเร็งดีกว่าฆ่ามะเร็ง"


(จากคอลัมน์ในไทยรัฐ"ปั้นชีวิตใหม่ด้วยชีวิจิต" โดย สาทิส อินทรกำแหง /30 ก.ค.2543)
ผมกลับเมืองไทยแล้วครับ ตั้งใจจะเขียนเรื่องความรู้ต่างๆเกี่ยวกับระบบการแพทย์ทางเลือกและการแพทย์แบบผสมผสานต่อทันที
แต่ต้องชะงักไว้ก่อน ขออนุญาติท่านผู้อ่านอีกครั้งหนึ่ง เขียนถึงศาสตราจารย์นายแพทย์ซึ่งผมรักและเคารพอย่างยิ่งผู้หนึ่ง ท่านจากพวกเราไปในขณะที่ผมกำลังรีบเร่งจะหาตั๋วเครื่องบินกลับมา อย่างน้อยก็เพื่อจะทันดูแลท่านวาระสุดท้าย
แต่ไม่ทันการ กว่าผมจะได้ตั๋วกลับมาเป็นวันเดียวกับที่ท่านเสียชีวิตพอดี
ท่านคือ ศาสตราจารย์นายแพทย์ ม.ร.ว.ธันย์โสภาคย์ เกษมสันต์
ท่านจากไปแล้ว ความรู้และประโยชน์ยิ่งใหญ่ที่ท่านฝากทิ้งไว้ให้แก่สังคมไทยนั้น เป็นบุญคุญอย่างยิ่งใหญ่เหลือคณานับ
เมื่อท่านเป็นนายแพทย์ ท่านก็อุทิศตนให้แก่คนไข้อย่างแท้จริง ท่านไม่เคยคิดถึงเรื่องเงินทองเหมือนอย่างนายแพทย์บางคน แต่ที่ท่านสนใจอย่างที่สุดก็คือ ทำอย่างไรจะช่วยให้คนไข้หายและแข็งแรงอย่างเร็วและดีที่สุด
และเมื่อท่านกลายเป็นคนไข้เสียเอง โดยเฉพาะเป็นคนไข้มะเร็งซึ่งแพทย์ทุกคนรู้ดีว่ายากที่จะเอาชนะโรคร้ายได้ ท่านก็ได้ตั้งปณิธานไว้ว่า จะต่อสู้กับมะเร็งด้วยตัวของท่านเอง ด้วยความกล้าหาญและด้วยการตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่า จะอุทิศตัวเองให้เป็นเครื่องทดลองว่า การรักษามะเร็งวิธีที่ดีที่สุดนั้นคืออะไร
และนี่เอง ปณิธานอันสูงส่งซึ่งน่ายกย่องและสรรเสริญอย่างยิ่ง เพราะการจะทำเช่นนั้นได้นั้นต้องการความกล้าหาญไม่กลัวตาย และความกล้าหาญในการที่จะต่อสู้กับคำวิพากษ์วิจารณ์จากวงการแพทย์บางกลุ่มซึ่งพยายามจับผิดคอยให้ร้ายป้ายสีด้วย
อาจารย์ธันย์โสภาคย์ หรือที่ใครๆที่คุ้นเคยเรียกกันว่า"อาจารย์หม่อม" นั้นเป็นทั้งนักวิชาการ นักวิทยาศาสตร์ และเป็นศัลยแพทย์ฝีมือเยี่ยมสูงสุดคนหนึ่งของเมืองไทย ท่านจบแพทย์จากศิริราชแล้ว ท่านก็สอบชิงทุนไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา ท่านเรียนเป็นศัลยแพทย์ เชี่ยวชาญการผ่าตัดทางช่องท้อง และจากการที่ต้องเป็นแพทย์เวรที่ทำงานหนัก ต้องอยู่เวรคืนเว้นคืน ต้องผ่าตัดไม่เว้นแต่ละวันนี่เอง ที่ทำให้อาจารย์หม่อมกลายเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญตั้งแต่อยู่อเมริกาแล้ว
เพราะฉะนั้น ย่อมไม่มีใครสงสัยในเรื่องความรู้และฝีมือในการผ่าตัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมาเป็นอาจารย์ผู้ก่อตั้งแผนกศัลยศาสตร์ด้านกระดูกและข้อของคณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
นอกจากจะสอนนักเรียนแพทย์แล้ว ท่านยังเป็นศัลยแพทย์ประจำโรงพยาบาลสวนดอกหรือโรงพยาบาลมหาราช เชียงใหม่ด้วย และที่โรงพยาบาลที่เชียงใหม่นี่เองที่ท่านต้องรักษาพยาบาลคนไข้มะเร็งทางช่องท้องเป็นจำนวนมาก และก็ที่นี่อีกเหมือนกันที่ท่านได้เรียนรู้ด้วยตัวเองว่า การรักษามะเร็งด้วยวิธีผ่าตัดและตามด้วยการฉายแสงและให้เคมีบำบัดนั้น ไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด ตรงกันข้ามมีช่องว่างซึ่งเป็นปริศนายิ่งใหญ่ซึ่งยังหาคำตอบไม่ได้ว่า ทำไมเมื่อให้การรักษาอย่างดีที่สุดตามกระบวนตามวิธีการแพทย์แล้ว คนไข้ก็ยังเสียชีวิตด้วยมะเร็งเป็นจำนวนมาก
ในขณะเดียวกันอาจารย์หม่อมก็ได้พบความจริงด้วยตนเองว่า การรักษาตามแบบแผน (CONVENTIONAL)การแพทย์ปัจจุบันนั้นเป็นแค่เพียงการชะลอความตาย ไม่ใช่เป็นการรักษาเพื่อให้หายขาด
ความจริงในด้านนี้ยิ่งพิสูจน์ให้เห็นชัดยิ่งขึ้นเมื่ออาจารย์หม่อมเป็นมะเร็งเสียเอง อาจารย์หม่อมป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ และได้รับการผ่าตัดจากแพทย์ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของท่านเองเมื่อปี 2541 การผ่าตัดตามแบบฉบับมะเร็งลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย อย่างอาจารย์หม่อมนั้น ส่วนมากจะต้องตัดลำไส้ส่วนปลายออกทิ้ง และก็ต้องเจาะรูถ่ายอุจจาระให้ถ่ายออกทางหน้าท้อง
การถ่ายทางหน้าท้องนี้เป็นการถ่ายถาวร และต้องถ่ายเช่นนั้นไปตลอดชีวิต เป็นเรื่องที่ยุ่งยากและทุลักทุเล ซึ่งอาจารย์หม่อมรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ทรมานมาก
แต่อาจารย์หม่อมโชคดีที่ไม่ต้องถ่ายทางหน้าท้อง เพราะแพทย์ลูกศิษย์ที่ผ่าตัดนั้น"ฝีมือดี"มาก อาจารย์หม่อมได้เขียนชมเชยไว้ในหนังสือ"เส้นทางสายมะเร็ง"ของท่านว่า "ไม่มีแม้แต่ท่อระบายเลือดที่ช่องท้องที่เรียกว่า"เดรน" เป็นความวิเศษล้นเหลือ เขาทำได้อย่างไรกัน ผลงานของเขาดีกว่า เนี้ยบกว่าผลงานที่อาจารย์เคยทำมาแต่ก่อนอย่างมากมาย"
เพราะฝีมือผ่าตัดที่เยี่ยมยอดของนายแพทย์ลูกศิษย์ของอาจารย์นี่เองที่ทำให้อาจารย์หม่อมเกิดความเชื่อในการรักษามะเร็งตามแผนปัจจุบันอีกครั้งหนึ่ง รู้สึกว่าอาจารย์หม่อมจะสบายใจมากเมื่อตอนฟื้นจากการผ่าตัดและคลำท้องดูแล้ว ปรากฏว่าไม่มีร่องรอยของคอลอสโตมี่(COLOSTOMY)
แต่อาจารย์ยังมีความกังวลอยู่อีกว่าเซลล์มะเร็งในช่องท้องจะถูกผ่าตัดออกไปหมดได้หรือไม่ หรือว่ายังหลงอยู่อีก จากการถามแพทย์ผู้ผ่าตัด ปรากฏว่า เซลล์มะเร็งน่าจะหลงเหลืออยู่ เพราะตอนผ่าตัดนั้น ก้อนมะเร็งถูกผ่าตัดพ้นจากขอบของก้อนเพียงนิดเดียว ถือเป็นระยะที่ยังไม่ปลอดภัย แม้จะผ่าตัดไปแล้ว
สำหรับรายมะเร็งของอาจารย์หม่อม ถ้ามะเร็งยังหลงเหลืออยู่ มันจะเข้าหลอดเลือดดำ แล้วพุ่งตรงไปที่ตับ เพราะฉะนั้นตามหลักการรักษาตามวิธีปัจจุบัน จึงมีทางเหลืออยู่ 2 วิธีคือ ฉายรังสีบำบัดและตามด้วยเคมีบำบัด
นี่คือเรื่องที่อาจารย์หม่อมต้องคิดหนัก เพราะอาจารย์หม่อมได้ศึกษามามากเหลือเกิน เรื่องของรังสีบำบัดและเคมีบำบัด เรื่องรังสีบำบัดนั้นตัดไปเลย เพราะอาจารย์หม่อมรู้ดีว่าเรื่องฉายรังสีที่ลำไส้หลังผ่าตัดนั้น รังสีบำบัดจะทำลายเซลล์บุลำไส้ จนกระทั่งลำไส้อักเสบ บวม ไม่ยอมให้อาหารผ่าน ในที่สุดลำไส้ทั้งขดอาจเกาะติดกันนัวเนียเป็นปัญหาใหญ่
ส่วนในด้านการใช้เคมีบำบัดนั้น อาจารย์หม่อมยังลังเลใจอยู่มาก แม้ว่าแพทย์ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญทางเคมีบำบัดจะชักชวนเป็นการใหญ่ว่า ยาฉีด 5-เอฟยูที่ใช้กันมากนั้นได้ผลดี แต่อาจารย์ก็รู้ดีว่า "ได้ผลดี" นั้นไม่รวมถึงคุณภาพชีวิตระหว่างการใช้ยาว่าต้องทรมานกายและใจเพียงไร นอกไปจากสถิติจากคนไข้มะเร็งที่อาจารย์เคยรักษามา และใช้ยาตัวนี้ไม่ใช่สถิติที่น่าชื่นชมแต่ประการใด อาจารย์จึงได้ตัดสินใจว่าจะลองศึกษาดูวิธีการรักษาแบบอื่นๆดูก่อน
และนั่นเองเป็นโอกาสที่ผมกับอาจารย์หม่อมได้รู้จักกัน เพราะอาจารย์หม่อมต้องการศึกษาว่าการรักษาตามแนวชีวจิตนั้นคืออะไรแน่ และรักษาได้ผลจริงหรือเปล่า
คำถามแรกของอาจารย์ที่ถามผมคือ "อาจารย์คิดว่า ผมควรจะใช้เคมีบำบัดหรือเปล่า"
คำตอบของผมสั้นที่สุด "อาจารย์เป็นหมอ อาจารย์ย่อมรู้ดีกว่าผม อาจารย์ตัดสินใจเองดีกว่าครับ"
ผมเพิ่งทราบว่าคำตอบเช่นนั้นถูกใจอาจารย์มาก และคำตอบนั้นอีกเหมือนกันที่ทำให้เราเป็นเพื่อนกัน คบกันมาได้จนถึงวาระสุดท้ายของอาจารย์
อาจารย์หม่อมเขียนไว้ว่า "ด้วยเหตุนี้ ฉันจึงตัดสินใจไม่รับเคมีบำบัด อันเป็นสิทธิของผู้ป่วยทุกคนในอันที่จะเลือกได้ โดยที่แพทย์จะต้องไม่ขัดขวาง"
แต่ผลสุดท้าย อาจารย์ก็ต้องยอมรับเคมีบำบัดเพราะแพทย์เคมีบำบัดกล่าวว่า "อาจารย์ทรยศต่อวิชาชีพ โดยการไปใช้วิธีรักษานอกระบบ (ชีวจิต)"
อาจารย์ยอมรับเคมีอยู่ 5 คอร์ส เกิดอาการข้างเคียงหลายอย่างในทางร้าย มีอาการทรุดลง อาจารย์จึงเลิกใช้เคมีบำบัด และหันมาใช้วิธีชีวจิต และอาจารย์ก็แข็งแรงสุขสบายทุกอย่าง ไปวิ่งมาราธอนได้ แข่งจักรยานเสือภูเขา ขึ้นดอยสุเทพ ไปไหนทำอะไรก็ได้ แข็งแรงสุขสบายทุกอย่าง
เสร็จแล้วแพทย์เคมีบำบัดผู้นั้นก็มาตามอาจารย์หม่อมไปรับเคมีบำบัดอีก บอกว่าเป็นยาใหม่มีผลดีมาก อาจารย์ก็กลับไปรับเคมีบำบัด อาการทรุดลง จนเสียชีวิต
แต่ทำไมเล่าครับ เมื่ออาจารย์หม่อมเสียชีวิตแพทย์เคมีบำบัดไม่พูดถึงยาเคมีบำบัดตัวใหม่นั้นเลย กลับช่วยกันโหมกระพือข่าวว่า เพราะอาจารย์หม่อมมารักษาชีวจิตจึงเสียชีวิต
เคราะห์ดีที่อาจารย์หม่อมคงจะคาดคะเนล่วงหน้าได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ท่านจึงเขียนหนังสือไว้ล่วงหน้าก่อนท่านจะเสียชีวิต ว่าชีวจิตได้ช่วยท่านไว้อย่างไร และเคมีบำบัดได้ทำลายท่านอย่างไร
ขอโอกาสเขียนต่อคราวหน้าอีกครั้งครับ.

Hosted by www.Geocities.ws

1