"คีโม"กับการพ่ายมะเร็งของ"ธันย์ โสภาคย์"(2/สุดท้าย)


ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ธันยโสภาคย์ เกษมสันต์
"อยู่กับมะเร็งดีกว่าฆ่ามะเร็ง"

ขอเรียนให้ทราบล่วงหน้าไว้ก่อนนะครับว่าบทความชื้นนี้ไม่ต้องการตำหนิติเตียนหรือโต้แย้งเรื่องวิธีรักษามะเร็งของระบบการแพทย์ใดๆทั้งสิ้น ผมต้องการเพียงแต่
1. พูดความจริงเกี่ยวกับการเจ็บป่วยและการรักษาตัวของอาจารย์หม่อม การแถลงถึงความจริงต่างๆนี้ผมไม่ได้เขียนขึ้นมาเอง แต่ทั้งหมดเป็นข้อความจากข้อเขียนของอาจารย์หม่อมซึ่งท่านได้เขียนไว้ในหนังสือรวมเล่ม "เมื่อหมอเป็นมะเร็ง" และในนิตยสาร"ชีวจิต"
และอีกส่วนหนึ่งที่มีค่าสำหรับผมและวงการแพทย์ทั้งหมดอย่างเหลือเกินก็คือ จากบันทึกเทปของอาจารย์หม่อมสองครั้ง ครั้งหนึ่งบันทึกไว้เมื่อต้นปีที่แล้ว และอีกครั้งหนึ่งก่อนท่านจะเสียชีวิตไม่กี่วัน
ทั้งข้อเขียนและบันทึกเทปอาจารย์หม่อมนี้ ผมเห็นว่าเป็นของมีค่าสูงสุดสำหรับวงวิชาการสำหรับการแพทย์ และสำหรับผู้ที่กำลังแสวงหาสัจธรรมเกี่ยวกับชีวิตและความตาย
2. ทั้งอาจารย์หม่อมและตัวผมเองมีจุดยืนร่วมกันและเหมือนกัน เห็นว่าการแพทย์ทางเลือกและผสมผสานนั้นเป็นประโยชน์และมีคุณค่ามหาศาลสำหรับประชาชน ผู้เกี่ยวข้องกับการรักษาพยาบาลและกับแพทย์ทุกคน
สำหรับตัวอาจารย์หม่อมนั้นท่านมีกฏเกณฑ์พิเศษสำหรับการแพทย์ทางเลือก คือ ท่านสนใจในการแพทย์ทางเลือกทุกระบบ แต่ก่อนที่ท่านจะยอมรับและเอามาใช้กับคนไข้และตัวท่านเองนั้น ท่านจะต้องศึกษาและทดลองจนกระทั่งเห็นผลจากการบำบัดนั้นๆ หรือจากยาชนิดนั้นๆ โดยเหตุนี้เราจึงพบ"ความกล้าหาญ"และ"ความเสียสละ"ของอาจารย์หม่อมเป็นพิเศษกว่าแพทย์และนักวิทยาศาสตร์อื่นๆ เพราะท่านยอมเอาตัวท่านเป็นเครื่องทดลองและยอมเสี่ยงกับความตาย แม้แต่ตอนเกือบจะถึงวาระสุดท้ายของอาจารย์หม่อมเอง
สำหรับตัวผมนั้น นอกจากจะชอบทดลองทั้งยาและการบำบัดวิธีต่างๆด้วยตนเองแล้ว ผมยังศึกษาการแพทย์แผนปัจจุบันเพิ่มเติมอีกหลายสาขา และผมจะยืนยันอยุ่ตลอดเวลาทั้งการพูดการเขียนทุกแห่งว่า ในด้านการแพทย์ทางเลือกและการแพทย์แบบผสมผสานนั้นจะต้องยึดเอาการแพทย์แผนปัจจุบันเป็นหลักเสมอไป
โดยเหตุนี้เมื่อตอนแรกๆที่มีข่าวลือและการให้ร้ายป้ายสีว่า ตัวผมหรือชีวจิตนั้นต่อต้านหรือแอนตี้การรักษาแบบปัจจุบัน ผมจึงอดประหลาดใจและตกใจไม่ได้ แต่ต่อมาในระยะหลังๆเมื่อรู้จักแกะดำบางคนในวงการแพทย์ รู้จักความอิจฉาริษยาของสังคมเมืองไทย รู้จักผลประโยชน์จากเงินก้อนมหาศาลของบริษัทยาและวงการยา ผมก็เลิกประหลาดใจ และเตรียมตัวไว้รับกับการให้ร้ายป้ายสี และความสกปรกโสมมจากวงการต่างๆได้อย่างเยือกเย็นกว่าเดิม
อาจารย์หม่อมเขียนและให้สัมภาษณ์ว่า พอผมเป็นมะเร็งปั๊บ ผมศึกษาจากตำราเยอะจากรอบโลก แล้วในที่สุดก็จับหลักได้ว่า การรักษามะเร็งจะได้ผลดีต้องตัดเคมีกับฉายรังสีออก ผ่าตัดดีสำหรับบางราย ยึดหลักอยู่แค่นี้ แล้วสร้างพื้นฐาน Immune Function System
"คือหลักชีวจิตนั่นเอง หลักชีวจิตทั้งนั้น แต่ชีวจิตมันไม่ทำลายก้อนมะเร็งได้ อาจารย์สาทิสก็บอก มะเร็งไม่ต้องทำลายนะ ให้มันอยู่กับที่ แล้วเราก็อยู่กับมัน พอแล้ว แต่ผมไม่ทำอย่างนั้น ดิ้นรน มียาตัวใหม่มา ผมก็ลองคีโมตัวใหม่ ผมผิดพลาดสาหัสสากรรจ์ เขียนลง "ชีวจิต" คนตื่นเต้นทั่วเมือง โทรศัพท์เข้ามาบอกฉัน อยากได้ยานี่บ้าง จะไปซื้อที่ไหน จะบ้าเหรอ ย้ำไปแล้ว ไม่อ่านบรรทัดสุดท้ายว่า ใช้เองไม่ได้ ข้อจำกัด อันตรายมาก"
ยานี้เขาไม่ได้มีการศึกษาระยะยาว แค่ระยะสั้นๆไม่พอหรอก แต่เนื่องจากคนอเมริกันเสียงมันใหญ่ เรียกร้องให้เอายาตัวนี้ออกมาใช้โดยเร็ว เพราะผู้หญิงที่เป็นมะเร็งเต้านมมีมาก ใช้แรกๆก็ดี ดีจนเลื่อมใส ผมศึกษาแค่ 4 เดือน ก็รู้แล้วว่ามันดื้อ มะเร็งแตกออกไป ที่ผมเขียนเรื่อง "วันตับแตก" เพิ่งผ่านไปสองเดือนก่อน อาการก็ทรุดลงๆ คือมีก้อนใหญ่แตกออกเป็นก้อนเล็กๆ จึงชี้ให้เห็นเลยว่ารักษาชีวจิตจะไม่เป็นแบบนี้
เรื่องการอยู่ร่วมกับมะเร็งนั้น เมื่อผมพูดถึงเรื่องนี้ ตอนแรกๆมีแต่คนหัวเราะเยาะ แต่หลักการของผมนั้นมีอยู่ง่ายๆว่า มะเร็งไม่ใช่โรค แต่มันเกิดจากตัวเราเอง มะเร็งคือก้อนเนื้อซึ่งเกิดจากกลุ่มเซลล์เกาะตัวกันเป็นก้อน เดิมทีก็เป็นเซลล์ปกติ หรือเซลล์ดีๆของเรา แต่เสร็จแล้วเซลล์เกิดการกลายพันธุ์ จากเซลล์ดีเป็นเซลล์เนื้อร้าย เกาะกลุ่มโตขึ้นเรื่อยๆ และกระจายไปที่ส่วนต่างๆของร่างกาย ทำให้การทำงานของอวัยวะสำคัญของเราล้มเหลว หรือระบบบางระบบล้มเหลวจนเราต้องสิ้นชีวิตลงไป
สรุปสั้นๆอีกทีว่า เซลล์มะเร็งนั้นแต่ก่อนนี้ก็คือเซลล์ดีๆของเราเอง แล้วเกิดกลายพันธุ์จนเป็นเซลล์มะเร็งเนื้อร้าย
การรักษาตามแนวชีวจิตขั้นต้น เราเริ่มที่การบำรุงภูมิชีวิต หรือ Immune System ของเราก่อน เพราะเราคือภูมิชีวิตสำคัญที่สุดต่อการมีชีวิตสืบไป ถ้าภูมิชีวิตเราดี เราไม่ป่วย ถ้าเราป่วย แปลว่าภูมิชีวิตของเราป่วยด้วย
ขั้นที่สอง เราจะเริ่มแก้อาการเฉพาะหน้า เช่น ผู้ป่วยมะเร็ง อาจจะมีอาการเลือดออกภายใน กินอาหารไม่ได้ หายใจไม่สะดวก หมดแรง เหล่านี้เป็นต้น ขั้นที่สองนี้เราต้องหยุดและแก้อาการต่างๆให้หมดไปหรือดีขึ้น
ขั้นที่สาม เราจะเริ่มบำรุงร่างกายทุกส่วน ทุกระบบให้ดีขึ้น ให้กินได้นอนหลับ
ขั้นที่สี่ เราต้องปรับบำรุงวิถีชีวิต ชีวิตประจำวัน การฟื้นฟูจิตใจ การคลายเครียด การมองโลกในแง่ดี
ขั้นที่ห้า เราต้องสร้างระเบียบวินัยในการดูแลตัวเอง ในการรักษาตัวเอง และในการปฏิบัติตามวิถีชีวิตและชีวิตประจำวันอย่างเคร่งครัด
จากการรักษาปฏิบัติและทำตัวเช่นนี้ เรามีผู้ป่วยมะเร็งที่กลับไปใช้ชีวิตตามปกติ มีชีวิตที่แข็งแรง จิตใจสงบสุขมากมาย นี่ไม่ใช่การโอ้อวด จะเห็นว่าเราไม่เคยพูดแม้แต่คำเดียวว่าเรารักษามะเร็งได้ แต่เราจะพูดว่าเราได้ชี้แนะในการปฏิบัติตัว จนกระทั่งเขาแข็งแรงสุขภาพดี สุขกายสุขใจ สามารถไปใช้ชีวิตตามปกติสุข ทำงานทำการประกอบอาชีพตามปกติสุขทุกประการ
นี่คือการอยู่ร่วมกับมะเร็ง ตามวิธีของชีวจิต
สิ่งที่ผมได้พบด้วยความเสียใจและเสียดายอย่างยิ่งกับผู้ป่วยเป็นมะเร็งหลายคน ก็คือ ท่านเหล่านั้นยังติดใจอยู่กับตัวเลขที่เกี่ยวกับมะเร็ง บางคนจะมาย้ำกับผม ย้ำแล้วย้ำเล่าว่า ตัวเลข CEA ซึ่งเป็นตัวเลขที่ชี้ให้เห็นว่าเซลล์มะเร็งยังอยู่ในตัว และค่าของ CEA ของผู้ป่วยมะเร็งก็ขึ้นสูงอย่างน่าตกใจ เขาก็จะถามผมว่า ถ้าอย่างนี้ก็แปลว่าการรักษามะเร็งไม่ได้ผลใช่ไหม
ผมจะบอกง่ายๆว่า ผมไม่ทราบ เพราะเราไม่ได้รักษามะเร็ง แต่เรารักษาภูมิชีวิต เราไม่ได้ยึดเอาตัวเลข CEA เป็นเรื่องใหญ่ แต่เราจะยึดเอาว่า สุขภาพของคุณเป็นอย่างไร คุณดีขึ้นหรือเปล่า แข็งแรงขึ้นหรือเปล่า และไปใช้ชีวิตตามปกติสุขได้หรือเปล่า เราดูที่ตรงนี้
อาจารย์หม่อมท่านเข้าใจจุดสำคัญของชีวิต เรื่องการอยู่ร่วมกันกับมะเร็งนี้เป็นอย่างดี แต่เมื่อมีหลายคนในวงการแพทย์มาชี้ผลของการทำอัลตราซาวด์ว่าก้อนมะเร็งยังอยู่บ้าง รายงานจากการใช้ยาเคมีตัวใหม่เป็นสัญญาณที่ดีบ้าง อาจารย์หม่อมก็อดหวั่นไหวไปไม่ได้
ท่านบอกว่าท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์เสมอมา หลักฐานการค้นคว้า วิจัยยา และรายงานผลของการใช้ยา ทำให้อาจารย์หม่อมเริ่มให้ความสนใจ และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ท่านเห็นว่าท่านควรจะเป็นผู้หนึ่งที่ร่วมทดลองการใช้ยานี้ ท่านจึงยอมเสี่ยงเอาตัวเองเป็นเครื่องทดลอง เพื่อทดสอบและทดลองในวงการแพทย์
แต่กว่าที่ท่านจะรู้ตัวว่ายาตัวนี้เป็นเป็นอันตรายก็สายไปเสียแล้ว
ท่านกล่าวว่า "ผมจะรอดหรือไม่ ไม่ถือเป็นความผิดหรือถูกของใคร และไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับผมเลย เพราะผมได้เรียนรู้อะไรมากมายจากการเป็นมะเร็ง ชีวิตผมเปลี่ยนไปหมดทั้งด้านสุขภาพ ครอบครัว และสังคม ผมเป็นหนี้บุญคุณมะเร็ง"
วงการแพทย์เมืองไทย จะไม่นึกว่าเป็นหนี้บุญคุณอาจารย์หม่อมบ้างเลยหรือ ความรู้ที่ "อาจารย์หม่อม" อุทิศให้กับวงการแพทย์ ประสบการณ์จากการทดลองและเอาชีวิตของตนเองเข้าเสี่ยงนั้น จะไม่เป็นประโยชน์อันใดกับวงการแพทย์เชียวหรือ ?

Hosted by www.Geocities.ws

1