ชั้นผิวหนังขี้ไคลซึ่งเป็นแผ่นใสคลุมผิวจะช่วยลดการสูญเสียน้ำและน้ำมันหล่อเลี้ยงผิวหนังซึ่งเคลือบผิว
จะมีสารประกอบหลายชนิดช่วยเก็บความชุ่มชื้นของผิวไว้
แต่ในบางคนหนังชั้นขี้ไคลผิดปกติทำให้มีการระเหยน้ำจากผิวหนังมากกว่าปกติ
ผิวจึงแห้ง เช่น โรคหนังแห้งจากพันธุกรรม (congenital ichthyosis)
หรือบางครั้งการชำระล้างซึ่งมากกว่าความจำเป็นจนน้ำมันหล่อเลี้ยงผิวหมดเกลี้ยง
และสารชำระยังระคายต่อเซลล์หนังชั้นขี้ไคล ทำให้คุณภาพผิวนี้เสียไป
ผิวก็จะแห้ง และในภาวะอากาศมีความชื้นต่ำ เช่น ฤดูหนาว
น้ำจะระเหยจากผิวหนังเพิ่มขึ้นก็ทำให้ผิวแห้งได้เช่นกัน
ดังนั้นอุตสาหกรรมของผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นจึงเติบโตมากขึ้น
เพราะผู้บริโภคมีความตื่นตัวตามกระแสสังคมซึ่งนิยมดูแลรักษาผิวให้สะอาดมากเกินควร
และการทำงานในห้องปรับอากาศซึ่งมีความชื้นต่ำจะช่วยเร่งให้ผิวหนังแห้งมากขึ้น
จึงจำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น (moistrizer)
ซึ่งอาจมีชื่อเรียกหลายแบบ ลักษณะของผลิตภัณฑ์อาจเป็นครีม โลชันขุ่น
โลชันใส เจล สเปรย์ และการตั้งชื่อผลิตภัณฑ์มักให้ต้องใจผู้ใช้ เช่น
night cream, replenishing cream, skin protectant, repair serum ฯลฯ
แต่หลักของเครื่องสำอางกลุ่มนี้ใช้เพื่อให้ผิวหนังมีความชุ่มชื้นเพิ่มขึ้นโดย
1. สารช่วยเพิ่มน้ำในชั้นผิวหนัง (hydrophilic
matrix moisturizers)
โดยผสมสารซึ่งอุ้มน้ำในผลิตภัณฑ์เพื่อรักษาผิวแห้ง เช่น
colloidal oatmeal และในปัจจุบันสารที่นิยมใช้คือ hyaluronic acid (HA)
ซึ่งเป็น glycosaminoglycans ในธรรมชาติสารนี้พบสอดแทรกในชั้นหนังแท้
โดยสาร HA จะอุ้มน้ำได้ 1000 เท่า จึงทำให้ผิวหนังวัยรุ่นเต่งตึง
แต่เมื่อวัยสูงขึ้นสาร HA
ในชั้นหนังแท้จะลดลงทั้งคุณภาพและปริมาณผิวหนังจึงเหี่ยวย่น
ในครีมหรือโลชันผิวแห้งจึงนิยมผสมสาร HA
เพื่อช่วยอุ้มน้ำในผิวหนังชั้นขี้ไคล