UFO กับไบเบิล : ภาคสอง

 

 

พระเจ้าหรือนักบินอวกาศ?

ไบเบิลของชาวยิว แตกต่างไปจากไบเบิลตามความเข้าใจของคริสเตียน ทำไมน่ะหรือครับ? ในไบเบิลฉบับเก่าความหมายเชิงเปรียบเปรย และรายละเอียดต่างๆได้ถูกถ่ายทอดอย่างตรงไปตรงมา ในขณะที่ฉบับพันธสัญญาใหม่ที่ชาวคริสเตียนเลื่อมใสศรัทธา ได้มองไบเบิลในเชิงของศาสนา อานุภาพของพระเจ้าสำหรับคริสเตียน คือพลานุภาพขนานแท้ที่ไม่อาจโต้แย้งได้ แต่อย่าลืมนะครับว่า นั่นคือการถ่ายทอดดัดแปลง จากไบเบิลฉบับของโมเสส ซึ่งถ่ายทอดเรื่องราวอย่างตรงไปตรงมา อย่างน้อยๆถ้าเรายึดฉบับดั้งเดิมเป็นหลัก พระยะโฮวาห์ก็มีพื้นฐานแตกต่างจากพระเจ้าที่แท้จริงอย่างมากมายและเห็นได้ชัด

ทุกสิ่งทุกอย่างพาเราเข้าไปสู่ความเชื่ออันหนึ่ง นั่นก็คือ เขาจะต้องมาจากโลกอื่น แต่จะเป็นซีกไหน หรือส่วนไหนของอวกาศเราไม่ทราบ จะจากที่เดียวกับพระเจ้าของชาวสุเมเรี่ยนหรือไม่ เราก็ไม่อาจยืนยันได้ เราทราบเพียงแต่ว่า เขาลงมาจากห้วงท้องฟ้า และปรากฏกายต่อหน้าสายตาของพลโลกได้อย่างไร และจากไบเบิล มีนับเป็นร้อยๆตอนที่เราสามารถบรรยายภาพของพระยะโฮวาห์ได้อย่างแจ่มชัดถนัดถนี่

ในไบเบิล ชื่อยะโฮวาห์ ระบุถึงสิ่งที่แตกต่างกันสองสิ่งอันได้แก่ ตัวของยะโฮวาห์เอง และยานพาหนะที่เขาใช้โดยสารมา คือหมายถึงทั้งภาชนะ และสิ่งที่บรรจุอยู่ในนั้น ความหมายๆผิดที่ทั้งเราและนักวิทยาศาสตร์ รวมทั้งศาสนิกชนเข้าใจ ก้เนื่องมาจากเรายังไม่เห็นคำไข ที่ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์นั่นเองล่ะครับ

ผมสามารถยกตัวอย่าง มาอธิบายเรื่องภาพของพระเจ้าอย่างง่ายๆ โดยอาศัยหลักจิตวิทยาโบราณได้ว่า มนุษย์เห็นเขาและอากาศยานของเขาเป็นพระเจ้าได้อย่างไร มีชาวป่าในปาปัวนิวกีนี และแอฟริกาใต้หลายเผ่า กระทำการบวงสรวงสักการะทุกวัน ในช่วงที่สายการบินมีเครื่องบินผ่านบริเวณนั้น พวกเขาคิดว่าสิ่งที่บินอยู่บนท้องฟ้า คือพระเจ้าที่เสด็จผ่าน แล้วคนโบราณล่ะครับ? มนุษย์โบราณจะคิดอย่างไร เมื่อเห็นยานอวกาศของยะโฮวาห์ แน่ล่ะ ต้องทั้งเคารพทั้งยำเกรง นอกจากนี้ เมื่อมนุษย์โบราณได้เห็นสิ่งที่ออกมาจากยาน ซึ่งมีลักษณะเช่นเดียว หรือ อย่างน้อยก็คล้ายกับมนุษย์ นั่นพอจะสมเหตุสมผลไหม ว่าทำไมคนโบราณจึงเรียกนักบินอวกาศเหล่านั้นว่า..พระเจ้า และอาจไม่แปลกอะไรที่ในบางครั้ง พระเจ้าทั้งสองแบบ ถูกขนานเรียกด้วยนามเดียวกัน

ยานอวกาศของยะโฮวา มีรูปโฉมอย่างไรก็ยากจะวินิจฉัยได้ จากคำบรรยายของอีซีเกล ศาสดาพยากรณ์โบราณ ซึ่งได้เผชิญหน้ากับพระผู้เป็นเจ้า ได้วิศวกรของ NASA ได้เสนอแนวความคิดว่า สิ่งที่เขาเห็น น่าจะเป็นอากาศยานอย่างหนึ่งเสียมากกว่า จากไบเบิล.. บางครั้งยานปรากฏตัวในรูปของทรงกลม หรือเป็นแบบจาน ดังนั้น เมื่อไรก็ตามที่ยานปรากฏตัวในแนวดิ่ง ผู้คนโบราณก็อาจเข้าใจไปได้ว่า นั่นคือใบหน้าของยะโฮวาห์ นอกจากนี้มันยังมีทั้งด้านหน้าและด้านหลัง มีความสว่างเจิดจ้าไม่แน่นอน

"...เป็นกลุ่มควันในยามกลางวัน และเป็นเปลวไฟเฉิดฉายยามกลางคืน" (ไอเสยะ 4.5)

"... และตลอดเวลา พระเจ้าจะออกนำหน้าพวกเขา ในตอนกลางวันจะเป็นกลุ่มเมฆ เป็นลำนำในการเดินทางของพวกเขา ในตอนกลางคืน พวกเขาจะได้แสงสว่างจากเปลวไฟ ซึ่งพุ่งออกมาเป็นลำเช่นกัน" (เอ็กโซดัส 13.21)

ปริศนาที่ว่า ยานอวกาศของยะโฮวาห์ ใช้อะไรในการขับเคลื่อนนั้น ในไบเบิลมิได้ระบุชัด ทั้งนี้ผู้บันทึกเองก็คงไม่ทราบ แต่ไม่ว่ามันจะใช้พลังงานอะไรก็ตาม ยานอวกาศดังกล่าว จะต้องคายรังสีที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ออกมาอย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งนี้จะเห็นได้จาก ในตอนที่ยานลงจอดบนยอดเขาวีนายนั้น อาณาบริเวณรอบๆ จะถูกประกาศเป็นเขตต้องห้ามทันที "... เจ้าจะต้องทำเขตล้อมรอบภูเขา และบอกพวกเขาว่า อย่าได้ย่างกรายขึ้นไปบนภูเขา หรือ แม้แต่จะสัมผัสเชิงเขา ใครก็ตามที่บังอาจ จะถูกฆ่าตายทันที"(เอ็กโซดัส 18.12)

ใช่แล้วครับ ประโยคนี้ยังมีส่วนขยาย ในทำนองที่ว่า นี่มิใช่กฏหรอืเขตหวงห้ามที่ตั้งขึ้น แต่ทว่า สิ่งที่อยู่บนภูเขา มีอันตรายด้วยตัวของมันเอง มีลักษระทำนองเดียวกับรังสี หรือ คลื่นอนุภาค อันอาจเป็นอันตรายแก่ผู้เข้าใกล้ได้ เหลือเชื่อมั๊ยล่ะครับ ใครจะนึกว่า ในไบเบิล ยังมีเรื่องแบบนี้บันทึกอยู่ ได้ รายละเอียดของการใช้ยานอวกาศ ในการทำศึกสงครามยังมีอยู่อีกนะครับ กล่าวคือ ยะโฮวา ได้ส่งมันออกมาช่วยกองทัพอิสราเอลหลายครั้ง และมักจะใช้วิธีการรบแบบเดิมเสมอมา นั่นคือยานอวกาศนำหน้า และกองทันอิสราเอลคอยติดตามอยู่ด้านหลัง ในไบเบิลหลายต่อหลายตอนกล่าวว่า สิ่งอันตรายที่ตัวยานพ่นออกมานั้น อยู่เฉพาะส่วนหน้าของยาน ทหารอิสราเอลที่ติดตามด้านหลัง ไม่จำเป็นต้องกลัวเกรงอันตราย ผิดกับทหารข้าศึก ซึ่งล้มตายไปเหลือคณานับ และในบทที่ 33 ของเอ็กโซดัส ก็มีคำอธิบายอย่างชัดเจนว่า นามของยานอวกาศ และนามของนักบินนั้น ถูกเรียกขานด้วยชื่อเดียวกันจริงๆ

ข้อเท็จจริงอีกประการในไบเบิลก็คือ ในยามที่พระเจ้า หรือ รถศึกของพระเจ้าออกโรง พระองค์ได้แนะนำให้มนุษย์ของพระองค์ หาที่หลบภัยซึ่งส่วนมากเป็นซอกหิน หรือใต้ศิลาแผ่นใหญ่ๆ เป็นไปได้ไหมว่า เพื่อป้องกันอันตรายจากการแผ่รังสี แหละนอกจากใช้แทนอาวุธในยามสงครามแล้ว ยานลำนี้ ยังสามารถปฏิบัติการลำเลียง หรือ ขนส่ง อุปกรณ์ตลอดจนเครื่องไม้เครื่องมือทางวิศวกรรมได้ ทีนี้ลองมาดูอิทธิฤทธิ์อื่นๆของพระเจ้ากันดูไหมครับ ยะโฮวาห์สามารถป่นแผ่นดินให้ราบเป็นหน้ากลองได้ หากเขาต้องการเช่นนั้น อานุภาพของเขามาจากไฟแห่งสรวงสวรรค์ มีข้อความตอนหนึ่งในไอเสยะ 34.9-10 ที่บรรพบุรุษของเราอาจไม่สนใจนัก แต่จุดประกายความคิดให้คนรุ่นใหม่อย่างคุณอย่างผมก็คือ

"แม่น้ำลำธารในเมืองอีดอมจะเปลี่ยนเป็นน้ำมันดิบและกำมะถัน พื้นดินจะกลายเป็นเถ้าถ่านแดงฉานไม่ดับมอดทั้งวันทั้งคืน"

นอกจากนี้ ยังกล่าวถึงเมืองโซดอมและโกโมร่าห์ว่า ห่าไฟและกำมะถันได้ทำลายเมืองเสียพินาศย่อยยับ จากคำบรรยายในคัมภีร์ชวนให้นึกถึงระเบิดปรมาณู หรือไม่ก็นาปาล์ม-ระเบิดเพลิง ซึ่งแน่ล่ะว่าต้องถูกปล่อยลงมาจากยานของยะโฮวาห์อย่างไม่ต้องสงสัย และยานลำนี้กระมังที่ภรรยาของล็อทหันไปเหลือบมองเข้า หล่อนเลยกลายเป็นเสาเกลือไป ปัจจุบันวิทยาศาสตร์ยังตีความไม่แตกว่า เสาเกลือต้นที่ว่านั้นน่าจะหมายถึงอะไร หากเป็นพิษสงของกัมมันตรังสี ที่ฮิโรชิม่าและนางาซากิ ซึ่งเคยโดนบอมบ์ด้วยนิวเคลียร์ ก็ไม่ปรากฏเสาเกลือให้เห็นเลยสักต้น อย่างไรก็ตามที ผมไม่ได้คิดว่าไบเบิลจะกล่าวเรื่องนี้ขึ้นมาลอยๆโดยไม่มีเหตุผล และคัมภีร์เล่มนี้ก็ไม่เคยกล่าวอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าด้วยครับ

การต่อสู้กับทูตสวรรค์

หลายท่านอาจจะสงสัยครับว่า หากยะโฮวาห์ และบรรดาทูตสวรรค์ของเขานักบินอวกาศจากโพ้นพิภพจริงแล้วไซร้ รูปร่างหน้าตาของพวกเขา จะคลับคล้ายกับมนุษย์บนโลกหรือไม่ ประเด็นนี้ไม่เป็นปัญหาเลยครับ เพราะ..."พระเจ้าตรัสกับโมเสสต่อหน้าต่อตา เหมือนคนหนึ่งพูดกับอีกคนหนึ่งเลยทีเดียว" นอกจากนี้พระเจ้าก็ใช่จะอิ่มทิพย์อย่างที่คิดกัน เพราะในบทดิวเทอโรโนมี 4.28 พระเจ้ายังกนอาหารเหมือนมนุษย์เลยครับ

นอกจากนี้ บันทึกเกี่ยวกับสรีระของพระเจ้าและทูตสวรรค์นั้น มีค่อนข้างชัดเจนในเรื่องที่เกี่ยวกับกรณีพิพาทของจาคอปและอีซอ ใครที่ชอบตำนานของชาวฮีบรูว์คงจะคุ้นๆกันอยู่บ้าง เรื่องก็มีอยู่ในเยเนซิสบทที่ 24 ถึง 32 ว่าด้วยการต่อสู้กับจาคอปและเหล่าทูตสวรรค์ ก่อนอื่นเราคงต้องพิจารณาการต่อสู้ว่า มันเป็นการต่อสู้กันแบบธรรมชาติ คือใช้พละกำลังเข้าห้ำหั่นกันล้วนๆ ไม่มีอาวุธหรืออภินิหารมาเกี่ยวข้อง นี่พอจะแสดงเป็นนัยๆได้ไหมครับว่า พระเจ้าก็ไม่ได้มีข้อได้เปรียบทางสรีระ หรือมีข้อแตกต่างจากมนุษย์ด้านพลกำลังมากมายนัก สิ่งที่เขาได้เปรียบ น่าจะเป็นความชาญฉลาด และความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากกว่า ในไบเบิลบรรยายการต่อสู้ระหว่างจาคอปกับทูตสวรรค์เอาไว้ว่า

"ดังนั้นจาคอปก็ถูกทิ้งไว้อย่างโดดเดี่ยว กับชายคนหนึ่งซึ่งปล้ำกับเขาจนสว่างคาตา"

การต่อสู้เป็นไปอย่างธรรมดาๆ มีการบรรยายฉากสำคัญเพียงไม่กี่ฉาก ฝ่ายปรปักษ์ทำร้ายจาคอปจนบาดเจ็บ แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะได้ พอเช้ามืดชายคนนั้นก็เสนอให้เลิกราต่อกัน แต่จาคอปไม่ยอม จนกว่าคู่ต่อสู้จะยกธงขาวและ "ยกย่อง" เขาเสียก่อน สุดท้ายชายลึกลับจึงเปิดเผยตัวเองโดยกล่าวว่า "เจ้าได้ต่อสุ้กับพระเจ้าและคนหลายคน ในที่สุด เจ้าก็ได้รับชัยชนะ" ขณะนั้นสว่างแล้ว จาคอปจึงยืนยันข้อเท็จจริงนี้ได้ เขาเล่าว่า "ข้าได้เห็นพระเจ้าต่อหน้าต่อตา และชีวิตข้าก็ได้รับการอภัยโทษ"

ไม่มีข้อกังขาอีกแล้วสินะครับ คนที่ต่อสู้กับจาคอปนั้นคือยะโฮวาห์ หรือไม่ก็คนของเขาแน่ เรื่องนี้มักทำให้คนที่อ่านไบเบิลต้องสะดุ้งทุกที นอกเสียจากว่า คนที่อ่านมันจะอ่านผ่านๆโดยไม่ระมัดระวังจนข้างข้อความที่ผิดสังเกตนี้ไป ถ้าพระเจ้ามีกฤษดาภินิหารจริงแล้วไซร้ ก็คงไม่สู้เสมอกับมนุษย์ธรรมดาๆอย่างจาคอปหรอกครับ นี่แสดงให้เห็นว่า สรีระร่างกายตลอดจนพลกำลังของพระเจ้าจากอวกาศ อาจจะด้อยกว่ามนุษย์โลกด้วยซ้ำ สาเหตุก้เดากันง่ายๆ มนุษย์นั้นเติบโตจากธรรมชาติ แข็งแรงด้วยการดำรงชีวิตอยู่แบบธรรมชาติ ผิดกับผู้มาจากอวกาศที่มีชีวิตอยู่อย่างสะดวกสบาย ด้วยเครื่องใช้ไม้สอยและเทคโนโลยีที่พร้อมสรรพ อย่างไรก็ดี เขา(หรือพวกเขา) คงมีลักษณะที่แตกต่างจากมนุษย์อยู่บ้าง จึงทำให้มนุษย์จำแนกออกในทันทีเมื่อแรกเห็นว่า เขาคือพระเจ้า

จากรายละเอียดดังกล่าว เราสามารถแยกแยะประเด็นข่าวสารสำคัญออกเป็นสามข้อด้วยกันคือ

ยะโฮวาห์ มีรูปร่างอย่างมนุษย์ทั่วไป และสามารถทำอะไรก็ตามอย่างที่มนุษย์ทั่วไปทำได้ เช่นทุบต้นขาหรือทำให้จาคอปสะโพกคราก

แต่เขาก็มีความแตกต่างกับมนุษย์อยู่บ้าง อาจจะเป็นเครื่องแต่งกาย หรืออะไรอื่นๆที่เรายังไม่ทราบ ดังนั้นจาคอปจึงแยกแยะออกในทันทีทันใดที่ฟ้าสว่าง

ยะโฮวาห์เหนือกว่ามนุษย์ด้านสติปัญญาอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ในเรื่องพลกำลังยังไม่แน่เสมอไป นั่นหมายความว่า หากเผชิญหน้ากันแบบตัวต่อตัว มนุษย์คนใดก็มีสิทธิโค่นเขาลงได้เช่นกัน

ปุจฉาที่ตามมายังมีมากกว่านั้น ทำไมยะโฮวาห์และทูตสวรรค์ จึงต้องการพิสูจน์กำลังกับมนุษย์ เหตุผลสำคัญที่ผู้ศึกษาด้านนี้ได้ให้ไว้ และผมเห็นว่าน่าสนใจดีไม่หยอกก็คือ เพราะมนุษย์คือผลพวงทางเทคโนโลยี ของพวกเขาน่ะซีครับ พวกเขาจึงต้องการทดสอบมนุษย์ในด้านต่างๆ เพื่อเก็บเอาไว้เป็นข้อมูล ในตอนต่อไปผมจะเล่ารายละเอียดของกำเนิดมนุษย์ให้ท่านฟังกันครับ

ความสัมพันธ์อันน่าประหลาด

ผ่านกันมาหลายตอนพอสมควรแล้วนะครับ ก็ขอเน้นย้ำคอนเซ็ปต์ตรงนี้อีกทีละกันว่า ครั้งหนึ่งเมื่อนานแสนนานมาแล้ว ในสมัยที่มนุษย์ยังป่าเถื่อน และดำรงชีวิตอยู่แบบสัตว์ยุคหิน ถึงมนุษย์จะมีข้อได้เปรียบสัตว์อื่นๆอยู่บ้าง เช่น มีสมองที่ใหญ่และซับซ้อนกว่า รู้ว่าเนื้อที่ย่างด้วยไฟนั้น นุ่มและอร่อยกว่าเนื้อดิบๆ มีอวัยวะที่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาขั้นต่างๆต่อไปในอนาคต แต่คงอีกนานครับ กว่าที่มนุษย์ยุคหินเหล่านี้ จะก้าวหน้าไปถึงขั้นก่อกำเนิดอารยธรรมได้ จุดนี้แหละครับที่สำคัญ เพราะว่าบังเอิญเหลือเกิน ที่มีนักท่องอวกาศกลุ่มหนึ่ง ได้ลงมาเยี่ยมเยียนโลกในวาระอันประจวบเหมาะนั้นพอดี ไม่ว่าพวกเขา-นักท่องอวกาศ จะลงมาที่โลกด้วยจุดประสงค์ใดก็ตาม พวกเขาต้องการแรงงานและอาณานิคมครับ เสียดายที่ มนุษย์ในสมัยนั้นยังล้าหลัง และด้อยพัฒนาเกินกว่าจะนำมาเป็นแรงงานชั้นดี และหากต้องรอให้ววัฒนาการไปเองตามธรรมชาติ จะต้องรอไปอีกกี่หมื่นปีก็เหลือจะเดา

"ดังนั้น การแทรกแทรงทางพันธุกรรมจึงเริ่มต้นขึ้น เพื่อให้ได้มาซึ่งแรงงาน และอาณาประชาราษฏ์ที่มีคุณภาพกว่า จึงได้เริ่มต้นขึ้น"

ชาวมายา อินคา อียิปต์ สุเมเรียน หรือแม้แต่ชาวภารตะโบราณ ชนชาติเหล่านี้ต่างมีความเจริญด้านอารยธรรมอย่างเหลือเชื่อ ซึ่งพวกเขาล้วนมีตำนาน และหลักฐานที่น่าฉงนแก่คนรุ่นใหม่อย่างเราเหลือเกินครับ เรายังไม่อาจพิสูจน์ได้อย่างแน่ชัดว่า ไบเบิลของชนชาวฮีบรูว์นั้น เป็นหนังสือออริจินอลเพียวๆ หรือว่าได้รับการตกทอดมาจากทายาทของอารยธรรมอื่น ส่วนยะโฮวาห์-นักท่องอวกาศผู้มากด้วยอำนจนั้น แท้ที่จริง เขาเป็นวงศ์วานว่านเครือของใครกันแน่ ระหว่าง Anannaki เทพของชาวสุเมเรี่ยน หรือ เทพองค์อื่นๆของอาณาจักรอียิปต์โบราณ

ทำไมน่ะหรือครับ?

อับราฮัม ศาสดาพยากรณ์คนสำคัญของฮีบรูว์ มีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับต้นตระกูลของ "เทพ"จากอวกาศของชาวสุเมเรี่ยน ส่วนตัวโมเสสเองนั้นเล่า เขาเคยอาศัยอยู่ในราชสำนักอียิปต์เป็นเวลานานแสนนาน และทั้งสองคนที่อาศัยอยู่ในต่างยุคต่างสมัยกัน ล้วนมีบทบาทอย่างมากกับไบเบิลทั้งสิ้น ซึ่งท่านที่สนใจศึกษาคริสตศาสนามาคงพอจะทราบเรื่องดี ดังนั้นจึงน่าคิดอยู่เหมือนกันว่า ไบเบิลมีความสัมพันธ์กับสองชาตินี้หรือไม่ เพราะเรื่องราวที่ถ่ายทอดมาช่างคลับคล้ายคลับคลากันเหลือเกิน แถมยังมีเรื่องราวการให้กำเนิมนุษยชาติ อันว่าด้วยการแทรกแซงทางพันธุกรรมเหมือนกันอีก ยิ่งชาวสุเมเรียนนะครับ มีภาพการดัดแปลง DNA อย่างชัดแจ้งอย่างรูปด้านล่างนี่ไงครับ 

เป็นไงล่ะครับ ลองทบทวนดูแล้วจะเห็นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างทั้งสองชาตินี้กับไบเบิลแบบลึกๆอยู่ อย่างไรก็ตามครับ เรามาดูกันดีกว่าว่า ยะโฮวาห์และการปั้นแต่งมนุษย์ของเขานั้น มีรายละเอียดที่คล้ายกับชาติอื่นอย่างไรบ้าง

ระหว่างที่เรากำลังพูดถึงไบเบิลอยู่นี้ ขอให้ท่านอย่าลืมเสียล่ะว่า นอกจากยะโฮวาห์จะเป็นเจ้าแห่งนักท่องอวกาศแล้ว เขายังเป็นนักนิเวศวิทยาและนักพันธุศาสตร์ชั้นเยี่ยม ตอนนี้เราจะกล่าวถึงสมัยที่เขาทำงานอยู่บนดาวเคราะห์ที่ชื่อโลก ท่ามกลางมนุษย์ขนรุงรังที่ดูคล้ายสัตว์มากกว่าคน และสมองของพวกนี้ยังพัฒนาไปได้ไม่นานนัก ในที่สุดยะโฮวาห์ ก็ได้ตัดสินใจที่จะอิมพรูฟสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ เพื่อให้มีพัฒนาการที่ดีกว่า ฟังเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์ใช่ไหมล่ะครับ ใครล่ะจะไปนึกว่า เรื่องราวเช่นนี้เคยเกิดขึ้นจริงในอดีต ซึ่งนานเท่าไหร่ก็ไม่มีใครระบุได้แน่ชัด

เราไม่สามารถเดาใจพระเจ้าได้ว่า เขาเอาต้นแบบของมนุษย์มาจากที่ใด แต่อย่างน้อยก็น่าจะแตกต่างจากสิ่งเดิมที่มีอยู่บนโลกบ้าง อย่างน้อยๆสิ่งที่ต้องเปลี่ยนแปลงไปก็น่าจะได้แก่ คุณสมบัติด้านสติปัญญาและคุณสมบัติทางกายภาพบางประการ เป็นต้นว่ามีขนาดที่ใหญ่ขึ้น ไม่มีขนรกรุงรัง สามารถรับรู้คำสั่งและสื่อภาษาได้อย่างดี เสียดายที่ไบเบิลไม่ได้ระบุขั้นตอนเหล่านี้เอาไว้อย่างละเอียด เหมือนในจารึกคูนิฟอร์มของชาวสุเมเรี่ยน แต่ก็กล่าวถึงจุดสำคัญบางอย่างเอาไว้ อย่างเช่นว่า ยะโฮวาห์ได้เอาสารเคมีที่จำเป็นบางชนิดมาจากพื้นดิน แล้วบันดาลให้มันมีลมหายใจขึ้นมา อาจจะเหมือนการนำอินทรีย์สารจากพื้นดินมาสังเคราะห์ก็ได้ ผู้ชำนาญการบางท่านคาดเดาว่า ผู้บันทึกไบเบิล อาจจะบันทึกไว้จากการบอกกล่าว เขาจึงไม่รู้รายละเอียดมากไปกว่านี้ และเป็นไปได้ว่า ยะโฮวาห์มิได้ปรารถนาที่จะเปิดเผยความลับของเขามากไปกว่านี้ เพราะสิ่งที่เขากลัวก็คือ มนุษย์อาจจะเลียนแบบเทคโนโลยีจนสร้างตัวเองขึ้นมาเป็นคู่แข่งของเขาได้ และผมเชื่อเหลือเกินครับว่า เขาไม่ได้ห่วงแต่อดีตเท่านั้น เขายังคอยจับตาดูความเป็นไปของมนุษย์อย่างใจจดใจจ่อ และเป็นห่วงว่า เราจะมีความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากขึ้นทุกวันๆ

 

หน้า2 NEXT >>

 

 

 


 
 
BY ขจรศักดิ์ เลาห์สัฒนะ
Hosted by www.Geocities.ws

1