UFO กับไบเบิล : ภาคแรก

 

 

ทำไมต้องเป็นไบเบิล?

เป็นเวลากว่า 2000 ปีมาแล้วที่คริสตศาสนาถือกำเนิดขึ้น แต่เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าต้นตอและแหล่งความเชื่อของคริสตศาสนามีมานานกว่านั้น และโยงใยกับศาสนาอื่นในตะวันออกกลางอย่างสลับซับซ้อน แรกเริ่มเดิมทีไม่ว่าจะเป็นคริสต์ ยิว อิสลาม ล้วนเชื่อในเรื่องเดียวกัน ในพระเจ้าองค์เดียวกัน จนกระทั่งเวลาล่วงเลยมานี่แหละคนรุ่นหลังจึงทำให้ศาสนาแตกแขนงออกไปเป็นนิกาย เป็นคนละสาย คนละแขนง สาเหตุส่วนหนึ่งนั้นมาจากการแย่งชิงอำนาจทางการเมืองของบรรดาผู้นำ ซึ่งการดึงศรัทธาจากประชาชนให้มาอยู่ฝ่ายตนคงไม่มีเครื่องมืออะไรจะดีกว่าศาสนาใช่มั๊ยครับ

Ufologist ทั้งหลายเชื่อว่า ตะวันออกกลางคือแหล่งแรกที่ UFOs ลงมายังโลกและตั้งรกรากอยู่ชั่วคราว ในจากรึกโบราณของชาวสุเมเรียนก็มีเรื่องของ Anunnaki พระเจ้าผู้มาจากดาว Nibiru บันทึกเอาไว้อย่างละเอียด แน่นอนว่าไม่ใช่แค่ชาวสุเมเรียนเท่านั้น ชนชาติอื่นก็ต้องมีอะไรซักอย่างเกี่ยวกับพระเจ้าจากดาวอื่นบันทึกไว้ นักจานผีวิทยา นักวิชาการ นักโบราณคดี จึงจับมือกันควานลึกเข้าไปในอดีตของตะวันออกกลาง เผื่อจะเจออะไรดีๆมากกว่า และก็เจอจริงๆเสียด้วยสิครับ

เรื่องนี้มีรายละเอียดที่ยาวมาก ชนิดเล่าสามวันสามคืนก็ไม่จบ ครั้นจะเล่าแบบยาวๆ เอารายละเอียดทุกขั้นตอนก็เกรงว่าจะเสียเวลามากกว่าจะเสร็จ ผมจะเก็บเกร็ดเล็กๆน้อยๆที่รวมมาจากหลายๆที่ แล้วซอยเป็นตอนๆเล่าให้ทุกท่านฟังดีกว่านะครับ

คัมภีร์ไบเบิลถือเป็นหลักฐานอย่างดีชิ้นหนึ่งที่บักทึกเรื่องราวให้เราได้ทราบกันว่า อย่างน้อยในจักรวาลอันแสนไพศาลนี้ ก็ยังมีสิ่งมีชีวิตอันทรงภูมิปัญญาอื่นอาศัยอยู่ ไบเบิลถือเป็นวรรณกรรมอมตะชิ้นเอกของโลก มันยั่งยืนมานานมากกว่า 2000 ปี ย้ำ! มากกว่าสองพันปี โดยที่เนื้อหาแทบจะไม่เพี้ยนไปจากเดิม ผู้คัดลอกหรือพิมพ์ซ้ำต่างพยายามรักษาเนื้อหาเดิมชนิดอักษรต่ออักษรไว้อย่างเคร่งครัด ต้องขอบคุณตรงนี้แหละครับที่ทำให้เรา อนุชนรุ่นหลังได้รับข่าวสารที่แฝงมากับพระคัมภีร์ได้แบบแทบไม่ตกหล่น อย่างน้อยก็ต้องขอบคุณผู้รจนาไบเบิล เพราะความขลังและศักดิ์สิทธิในเนื้อหานี้เองที่ทำให้ผู้แปล ผู้คัดลอกมิกล้าทำให้เนื้อหาคลาดเคลื่อน ตรงนี้น่าคิดมั๊ยครับว่าเป็นกุศโลบายที่ชาญฉลาดของผู้รจนาคัมภีร์เสียจริงๆ

ปฐมปริศนา

มีกษัตริย์อียิปต์พระองค์หนึ่ง ซึ่งไม่ปรากฏพระนาม แต่จะขอเรียกง่ายๆว่าฟาโรห์ ตามพระคัมภีร์ไบเบิลได้กล่าวไว้ว่า ฟาโรห์พระองค์นี้ ได้ปล่อยให้ชนชาวฮีบรูว์ หรือ อิสราเอลได้เพิ่มประชากรขึ้นโดยไม่ทันคิด ซึ่งความจริงแล้ว ฟาโรห์องค์ก่อนๆของอียิปต์เอง ได้เป็นผู้ยินยอมให้ชนชาวฮีบรู อพยพเข้ามาตั้งรกรากในอียิปต์ เพียงเพื่ออาศัยทรัพยากรและกำลังคน มาทำกิจการต่างๆในประเทศเท่านั้นเอง

อา... ขึ้นต้นมายังกับนิทานโบราณซักเรื่องเลยนะครับ หลังจากมีปัญหาเรื่องระบบไปซะนาน วันนี้ก็ได้ฤกษ์ update กันเสียที เอาล่ะ แทรกแค่นี้ก็คงพอ (หมอนี่มันชอบนอกเรื่องครับ) เรามาต่อเรื่องของเรากันดีกว่า

เช่นเดียวกับพระบิดา และบรรพบุรุษของพระองค์ ฟาโรห์เป็นนักก่อสร้างที่บ้าดีเดือดเอามากๆ ก็ดูเอาเถิดครับ ว่าอนุสรณ์สถาน ตลอดจนสิ่งก่อสร้างของอียิปต์โบราณนั้น ใช่เล็กน้อยกระจ่อยร่อยที่ไหนกัน เรายากที่จะกล่าวออกมาได้อย่างเต็มปากว่า ระหว่างทะเลสาบโมริส อันเป็นแหล่งกักเก็บน้ำที่เกิดขึ้นด้วยแรงมนุษย์ จุน้ำได้นับร้อยล้านลูกบาสก์ฟุต กับวิหารคาร์นัค วิหารฟีเล่ สิ่งไหนจะน่าอัศจรรย์ใจกว่ากัน ถึงเวลาจะล่วงเลยมานานหลายพันปีแล้ว เราก็ยังไม่แน่ใจว่า เราจะสร้างสรรค์สิ่งมหัศจรรย์แบบนั้นได้ ด้วยเครื่องมือง่ายๆ เช่นกว้านเชือกหรือรอกอย่างชาวอียิปต์โบราณหรือเปล่า...

ฟาโรห์พระองค์นี้ เปรียบได้กับจิ๋นซีฮ่องเต้แห่งอียิปต์ พระองค์ทรงใช้เครื่องจักรอันประกอบด้วย เลือดเนื้อ และ ชีวิตมนุษย์อย่างมากมายสุดคณานับ ชนชาวฮีบรูว์ที่อพยพเข้ามาตั้งรกรากในอียิปต์ จึงเปรียบเสมือนเครื่องจักรมีชีวิตชั้นดี ที่สามารถเพิ่มกำลังกาลผลิตไปได้ตามกาลเวลา แต่การขยายเผ่าพันธุ์ของชาวฮีบรูว์ ก็ได้นำเอาความวิตกร้อนใจมาให้ฟาโรห์มิใช่น้อยเหมือนกันครับ พระองค์ทรงตระหนักด้วยความตระหนกในวันหนึ่งว่า

"ชนชาวอิสราเอลเหล่านี้ มีกำลังพลและความเข้มแข็งมากเกินไปสำหรับเราเสียแล้ว" (เอ็กโซดัส 9.1

ไม่จำเป็นต้องรบกวนให้ขงเบ้งกุนซือคนเก่ง มาชี้แนะหรอกครับว่า สถานการณ์เช่นนี้ มันผิดปกติและน่าตระหนกขนาดไหน ฟาโรห์ทรงแจ้งด้วยปัญญาของพระองค์เองว่า "เราต้องหามาตรการที่จะทำให้พวกมันลดกำลังลง หาไม่แล้ว เราก็จะพบว่า หากเกิดสงครามขึ้น พวกมันจะรวบรวมเป็นกองทัพจู่โจมเรา และลงท้าย พวกมันนั่นแหละ จะกลายเป็นผู้ครอบครองประเทศนี้เสียเอง" (เอ็กโซดัส 1.10)

จากความหวาดระแวง ก็กลายมาเป็นความเกลียดชัง ในที่สุดฟาโรห์ก็คิดมาตรการได้เป็นผลสำเร็จ ขั้นแรก พระองค์ใช้แรงงานทาสชาวฮีบรูว์อย่าหนัก และป่าเถื่อนจนกว่าทาสจะตาย ต่อมาก็เล่นฆ่าทารกชายแรกเกิดเอาเสียดื้อๆ คิดแล้วน่าสลดครับ แม่น้ำไนล์อันเป็นต้นกำเนิดของความมั่งคั่งสมบูรณ์ ได้กลายเป็นผ้าห่อซากศพเล็กๆของทารกแรกเกิดจำนวนนับไม่ถ้วน ที่ลอยขึ้นอืดตามลำน้ำอย่างน่าทุเรศ การฆ่าหมู่เด็กแรกเกิดชาวฮีบรูว์ครั้งแรกในประวัติศาสตร์นี้ เริ่มขึ้นราวๆ 1400 ปีก่อนคริสตกาล แต่อย่างไรก็ตามครับ ด้วยความสะเพร่าของฟาโรห์ ทำให้เด็กชายตัวน้อยคนหนึ่งเล็ดรอดร่างแหออกไปได้ คนผู้นี้แหละครับ คือบุคคลสำคัญที่พลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์มวลมนุษย์ในเวลาต่อมา

จะด้วยสาเหตุใดก็ตามที เด็กชายที่หนีไป ได้รับอภัยโทษโดยฟาโรห์ เมื่อเติบโตขึ้น เขาได้สร้างวีรกรรมอันกล้าหาญ นำพาคนของเขาหลบหนีจากการกดขี่ของชาวอียิปต์ ใช่แล้วครับ เขาคนนั้นคือโมเสส ศาสดาพยากรณ์คนแรก และเป็นผู้นำไบเบิลอันถือเป็นพระวจนะของพระเจ้า ลงมาสู่มนุษย์เป็นครั้งแรก

นี่คือบทตั้งต้นบทแรก อันจะนำไปสู่ปริศนาที่จะตามมา โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับพระคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งนักวิชาการหลายคนสงสัยกันนักกันหนาว่า นอกจากส่วนที่เกี่ยวกับศาสนวิทยาแล้ว ไบเบิล.. ยังมีเงื่อนปมอื่นๆซุกซ่อนอยู่อีก

พระคัมภีร์ไบเบิล

ก่อนอื่นผมขอเกริ่นถึงคัมภีร์ไบเบิลสักเล็กน้อยว่า คัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือที่ขายที่สุดอย่างน่าอัศจรรย์ นับตั้งแต่มีการค้นพบและพิมพ์หนังสือขึ้นมาบนโลกนี้ โอเคครับ ช่วงต้นศตวรรษแรกๆ นักประวัติศาสตร์อาจหาเหตุผลมาอ้างได้ว่า นั่นมาจากอิทธิพลทางศาสนา ซึ่งถือว่า สิ่งที่อยู่ในพระคัมภีร์ คือพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้า ทว่า แม้กระทั่งในยุคอวกาศอย่างปัจจุบัน ความเสื่อมทรามทางศีลธรรมในยุคนี้ ก็หาได้ส่งผลกระทบต่อไบเบิลไม่ พระคัมภีร์ยังอยู่ยงคงกระพันมาจนถึงปัจจุบัน สำหรับคริสเตียนแล้ว อย่างน้อยๆต้องมีไบเบิลหนึ่งฉบับตั้งอยู่ในตู้หนังสือ เหตุผลในการซื้อหาของแต่ละคนก็แตกต่างกัน

แม้กระทั่งในการแปลและเรียบเรียง การคัดลอก ดัดแปลงจากฉบับพันธสัญญาเก่ามาเป็นใหม่ ก็ยังมีการสงวนเนื้อหาสำหรับบางสิ่งบางอย่างเอาไว้ สิ่งที่เหลืออยู่ ถึงจะไม่นับคุณค่าทางศาสนา แต่ก็เปี่ยมประโยชน์กับมนุษยชาติอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของประวัติศาสตร์ ความเร้นลับในเชิงเปรียบเปรย ตลอดจนความงามทางภาษาอันถือเป็นคุณค่าทางวรรณกรรม แต่...

แต่ปัญหามันอยู่ตรงนี้แหละครับ เนื้อหาส่วนใหญ่ของไบเบิลยังคงอยู่ และแทบไม่ผิดเพี้ยนไปจากเริ่มแรกที่ถูกรจนาขึ้นเลย ทำไมล่ะครับ? ตัวอย่างง่ายๆ ก็เช่นบรรดาจารึกที่อยู่ตามถาวรวัตถุ เช่นในวิหารของอียิปต์ หรือจารึกของแถบเมโสโปเตเมีย ที่เราได้ข้อความของมันมาครบถ้วนจนถึงปัจจุบัน ก็ด้วยความคงทนและเพิ่งมีคนเริ่มแกะ และอ่านความหมายออกเมื่อไม่นานมานี้ ต้องอาศัยนักภาษาศาสตร์และนักโบราณคดีจำนวนมาก เราจึงจะถอดความหมายของมันออกมาได้ อย่างเที่ยงตรงและไม่ผิดเพี้ยน แต่ไบเบิลล่ะครับท่าน? ไบเบิลของเราไม่ได้ถูกฝังเอาไว้แล้วขุดขึ้นมา ไม่ได้มีการแปลจารึกโบราณอ่านยากออกมาเป็นภาษาปัจจุบัน มันถูกคัดลอกจากแผ่นหนังโบราณจากแผ่นหนึ่งไปสู่อีกแผ่นหนึ่ง ซึ่งก่อนหน้านั้นมันถุกถ่ายทอดด้วยปากเปล่าครับ ถ่ายทอดสืบต่อกันมาตั้งแต่สมัยมนุษย์ยังมิได้เริ่มอารยธรรมอันศิวิไลซ์

อำนาจอันมหัศจรรย์ใดครับ ที่ส่งผลให้พระคัมภีร์ไบเบิลประสบผลสำเร็จปานนี้?

ทำไมข่าวสารโบร่ำโบราณนี้ จึงสามารถล่องลอยผ่านทะเลเวลา จนกระทั่งมาถึงเราได้อย่างไม่มีสะดุด ทำไมหนังสือเก่าแก่ฉบับนี้จึงประสบผลสำเร็จในการดำรงอยู่ ซึ่งคงความทันสมัยและเป็นปัจจุบันอยู่เสมอ? อะไรกันแน่.. อะไรกันที่ทำให้ไบเบิลยังคงอยู่ในจิตใจ ของคนที่กำลังอยู่ในยุคศาสนาเสื่อมสลายอย่างเรา อำนาจมหัศจรรย์ของพระเจ้าหรือ?

สำหรับท่านที่ไม่ใช่คริสเตียน หรืออาจใช่แต่ไม่เคยจับต้องพระคัมภีร์ไบเบิล ผมจะกล่าวเนื้อหาโดยย่อๆให้ฟังละกันนะครับว่า ไบเบิลนั้นกล่าวถึงอะไรบ้าง ส่วนประกอบทางศาสนาของไบเบิล มีอยู่ครบถ้วนกระบวนความครับ การสร้างโลก สร้างมนุษย์และสรรพชีวิต บทบาทของพระผู้สร้าง แทบจะไม่ต่างไปจากศาสนาอื่นๆเลย ทว่า นั่นมีอยู่ในสิบกว่าบทแรกของเยเนซิสเท่านั้น ที่เหลือ อุทิศให้กับเรื่องราวของชาวยิว ตลอดไปจนบทบาทของพระเจ้า... พระเจ้าซึ่งดูเหมือนจะเป็นคนละองค์กับองค์ที่ส้รางโลกและจักรวาล (เราจะมาดูส่วนนี้กันในตอนหลังนะครับ อดใจสักนิด) ตลอดไปจนสิ่งละอันพันละน้อย ที่ดูๆแล้วไม่เข้ากับเรื่องทางศาสนาเลย

บางทีเรื่องราวของการสร้างโลก น้ำท่วมโลก และวันพิพากษา ซึ่งมีอยู่เพียงน้อยนิดในพระคัมภีร์ อาจเพียงพอแล้วสำหรับคุณค่าในการคงอยู่ของมัน แต่ก็มีบางคนล่ะครับที่คิดว่า ในไบเบิลอาจจะซ่อนอะไรไว้มากกว่านั้น แน่ล่ะ นิทานและบทกวีในไบเบิลล้วนมีคุณค่าทางวรรณคดีอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ในอีเลียด มหารภารตะ หรือกิลกาเมชก็มีเหมือนกันนี่ครับ...

ถ้าจะมีมากกว่านั้นมันคืออะไรกันแน่?

ถึงเวลาที่จะมาศึกษาแล้วล่ะครับว่า ในพระคัมภีร์เล่มสำคัญ อันบันทึกไว้ซึ่งพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้า และเรื่องราวที่ถูกเขียนขึ้นโดยผู้ทรงอานุภาพคนหนึ่งนั้น แท้ที่จริงมีความนัยอะไรแฝงอยู่ คริสตศาสนิกชนบางท่านที่แวะเวียนผ่านมา อาจเถียงหัวชนฝาว่า ไบเบิลไม่ได้มีอะไรทำนองนี้ซะหน่อย ก็ขอออกตัวไว้ตรงนี้เลยว่า ข้อเขียนทั้งหลายแหล่ ผมประมวลจากหลายๆที่ รวมทั้งรวมทั้งศึกษาไบเบิลประกอบด้วย เนื้อหาจะเป็นฉบับพันธสัญญาเดิมอันเป็นของแท้ไม่มีการดัดแปลงครับ เหมือนกับมหาภารตะที่เคยนำเสนอไปแล้ว และโดนด่ายับโดยอาจารย์วรรณคดีจากมหาวิทยาลัยมีชื่อแห่งหนึ่ง กรรมแท้ๆ

 

หน้า2 NEXT >>

 

 


 
 
BY ขจรศักดิ์ เลาห์สัฒนะ
Hosted by www.Geocities.ws

1