อารยธรรมของชาวอินคา (INCAS)

เคยนำเสนอไปแล้วนะครับ ในตอนอาณาจักรสุริยเทพ อารยธรรมอินคาถือเป็นอีกอารยธรรมหนึ่ง ซึ่งมีความก้าวหน้าแบบผิดปกติถ้าเทียบกับอารยธรรมอื่นในสมัยเดียวกัน อารยธรรมนี้เกิดขึ้นราวๆ 2500 ปีก่อนคริสตกาลในบริเวณที่เป็นทวีปอเมริกาใต้ ชาวอินคามีความเชี่ยวชาญทางด้านวิศวกรรมสมัยใหม่จนเหลือเชื่อ มีระบบการปกครอง การทหาร ที่ก้าวหน้าเป็นปึกแผ่น เป็นพวกที่รู้จักใช้เครื่องมืออันทำมาจากทองสัมฤทธิ์อย่างแท้จริง รู้จักสร้างท่อระบายน้ำ รางส่งน้ำแบบดีเยี่ยม มีการสร้างถนนอย่างเป็นระบบ มีปราสาทราชวังและป้อมปราการ ซึ่งสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ มันผิดปกติเอามากๆ เมื่อนักโบราณคดีได้สำรวจอย่างถี่ถ้วน เพราะมันขัดกับความเป็นอยู่ และวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวอินคาเสียเหลือเกิน

แต่เช่นเดียวกับชาวมายาครับ ชาวอินคาไม่เคยใช้ล้อเลื่อนหรือพาหนะที่มีล้อ ตสมหลักฐานที่พบคือ ชาวอินคาใช้กำลังคนล้วนๆนี่แหละครับ ในการลากหรือยกวัตถุต่างๆ ซึ่งทำให้นักวิชาการแปลกใจมาก ว่าชนชาติที่เจริญด้วยอารยธรรมขนาดนี้ ทำไมเรื่องง่ายๆอย่างล้อและเพลาจึงไม่มีใช้กัน และที่แปลกกว่านั้น ชาวอินคาไม่มีตัวอักษรในการเขียนหนังสือเลยครับ เท่าที่พบก็มีแต่ใช้เส้นลวดที่มีขีดหรือจุด เอาไว้เป็นเครื่องมือช่วยจำ และส่วนมาก จะใช้บันทึกสถิติต่างๆที่ใช้ในราชการเท่านั้น

ชาวอินคานับถือกษัตริย์เป็นเทพสมมุติ พวกเขาเชื่อกันว่า พระองค์เสด็จลงมาจากดวงอาทิตย์ และชาวอินคาถือเป็นบุตรหลานแห่งสุริยเทพ บนยอดวิหารที่ชาวอินคาสร้างขึ้น นักโบราณคดีได้พบรูปปั้นของเทพเจ้าผู้สร้างโลก ซึ่งแต่งกายเป็นมนุษย์ธรรมดา มีนามว่า "วีราโคชา" (VIRAQOCHA) ซึ่งถือว่าเป็นเจ้าแห่งจักรวาลทั้งมวล พระองค์เป็นผู้สนใจในกิจกรรมต่างๆของมนุษย์เป็นที่สุดด้วย

(จากภาพ แสดงให้เห็นถึงถนนของชาวอินคา ซึ่งยิ่งใหญ่เป็นอันดับสองรองจากถนนของชาวโรมัน ทั้งที่อินคาเป็นเพียงเผ่าเล็กๆเผ่าหนึ่ง ไม่ใช่มหาอำนาจอย่างโรมันเลยด้วยซ้ำ)

สิ่งที่นักวิชาการเชื่อว่าชาวอินคาได้สร้างขึ้น และสามารถนำไปโยงกับการมาเยือนของมนุษย์ต่างดาวได้ชัดเจนที่สุด เป็นถนน หรือ เส้น หรืออะไรบางอย่าง ที่ถูกสร้างมาตัดกันอย่างสลับซับซ้อน บนที่ราบนาซก้า (NAZCA) ซึ่งปัจจุบันอยู่ในประเทศเปรู ถนนเหล่านี้บางสายขนานกันอย่างดีเยี่ยม บางสายไปจบลงกลางสนามเหมือนรันเวย์ของสนามบิน ซึ่งรอยเหล่านี้ ถ้ามองจากพื้นดินแล้ว ก็จะไม่อาจสังเกตสัญลักษณ์บางอย่างได้เลย แต่ถ้าบังเอิญขึ้นไปมองดูจากท้องฟ้าแล้ว ก็จะเห็นสัญลักษณ์ทางเรขาคณิตเหล่านั้นได้อย่างถนัดชัดเจน ชาวอินคาทำสัญลักษณ์นี้ ให้ใครมองลงมาดูจากบนฟ้าหรือครับ? ในเมื่อหลายพันปีก่อน ยังไม่มีเครื่องบินหรืออากาศยานใดๆใช้กันเลย...

บุคคลกลุ่มแรกที่สังเกตเห็นรูปบนที่ราบนาซก้าเป็นนักบิน ซึ่งบินผ่านแถวนั้นพอดีครับ พวกเขานึกประหลาดใจมาก เพราะสัญลักษณ์ที่เห็นมันใหญ่โตเหลือเกิน รอยเหล่านี้เป็นรูปเส้นตรงก็มี วงกลม รวมทั้งเส้นตรงที่ยาวออกไปเป็นไมล์ๆ บางทีก็เป็นรูปที่คล้ายสัตว์ต่างๆ อาทิ เช่น ปลาวาฬ นก และแมงมุม รวมทั้งรูปร่างมนุษย์สวมหมวกคลุม ภาพที่ใหญ่ที่สุดมีความยาวประมาณ 300 หลา ซึ่งไม่อาจมองเห็นเป็นภาพได้อย่างเด็ดขาด หากไม่มองจากบนอากาศลงมาครับ

ภาพส่วนหนึ่งจากที่ราบนาซก้า

อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน ชื่อ ดร. มาเรีย ริชเช่ ซึ่งทำการศึกษาร่องรอยบนที่ราบนาซก้านี้อย่างละเอียด ได้ให้ความเห็นว่า มันเป็นรอยที่เก่าแก่กว่าอารยธรรมอินคาเสียอีก และสร้างขึ้นโดยชนชาติใดก็ไม่ปรากฏเสียด้วย ชาวอินคาเองจะรู้ว่ามีร่องรอยนี้อยู่หรือเปล่าก็ยังไม่แน่ด้วยซ้ำ เพราะถ้าไม่มองลงมาจากอากาศที่สูงมากๆแล้ว ก็จะไม่ทราบว่า รอยเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ที่ดูประหลาดเหลือเกิน
รอยเหล่านี้สร้างขึ้น โดยใช้หินที่เคลื่อนเอามาจากทะเลทรายในบริเวณใกล้ๆ ดังนั้นมันจึงไม่สึกหรอหรือถูกทำลาย และรอยเหล่านี้ถ้าไม่มองจากอากาศหรือเครื่องบินแล้ว ก็ไม่มีทางที่จะเห็นได้เลย บางทีนะครับ ชาวอินคาอาจจะไม่รู้ความลับเรื่องนี้ก็เป็นได้ เพราะชาวอินคาได้สร้างถนนตัดเข้าไปกลางรอยนี้ เหมือนกับไม่รู้การมีอยู่ของมัน นักวิชาการบางท่านคาดว่า รอยเหล่านี้อาจเป็นสนามบินโบราณก็ได้ ซึ่งจะเป็นสนามบินของใครก็ไม่มีคนทราบ ที่แน่ๆ เพื่อให้เป็นที่สังเกตจากนักบินผู้บังคับยาน ให้สามารถเห็นบริเวณลงจอดได้แต่ไกล จึงจำต้องทำรูปให้มีขนาดใหญ่โตอย่างที่เห็น

ท้ายที่สุด ตำนานทางศาสนาที่น่าสนใจ เกี่ยวกับชนเผ่าปริศนา ซึ่งครอบครองอารยธรรมและดินแดน ก่อนหน้าที่ชาวอินคาจะเข้ามา มีบางส่วนกล่าวไว้ว่า ดาวต่างๆบนฟากฟ้า ล้วนมีผู้คนอาศัยอยู่ พระเจ้าของพวกเขาคือหนึ่งในกลุ่มที่อยู่บนดาวเหล่านั้น และสักวันพระเจ้าจะกลับมาหาพวกเขา จากกลุ่มดาวซึ่งปัจจุบัน เรารู้จักกันในนามของ กลุ่มดาวพลิเดส (PLEIDES)ครับ

ความน่าสนใจบางประการ กับอารยธรรมของอียิปต์

มีเรื่องเล่าต่อๆกันมาว่า สมัยที่ประธานาธิบดี กาเมล อับเดล นัซเซอร์ ยังดำรงตำแหน่งอยู่นั้น เขาได้มีคำสั่งให้เคลื่อนย้ายรูปแกะสลักสูง 80 ฟุต ซึ่งตั้งอยู่ในทะเลทราย ใกล้ๆกับปิระมิดแบบขั้น ไปไว้ในสวนสาธารณะที่กรุงไคโร รูปแกะสลักดังกล่าวได้ตั้งอยู่ในทะเลทรายเป็นเวลานานนับหลายศตวรรษแล้ว รัฐบาลอียิปต์ได้ระดมกำลัง ทั้งคนงานและวิศวกร ที่มีอุปกรณ์สมัยใหม่อย่างครบถ้วน เรียกว่าระดมความรู้ทางวิศวกรรมศาสตร์ทั้งหมดเท่าที่มี แต่ความพยายามทั้งหลายก็ประสบความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง พวกเขาไม่สามารถจะเคลื่อนย้ายรูปปั้นดังกล่าวได้ ทำให้บรรดานักวิชาการด้านไอยคุปต์วิทยา พากันแปลกใจอย่างมากว่า ชาวอียิปต์โบราณ นำรูปสลักดังกล่าว ไปตั้งไว้ในพื้นที่นั้นได้อย่างไร ทั้งที่อุปกรณ์และความรู้ของพวกเขา อยู่ห่างจากเราในยุคศตวรรษที่ 20 อย่างไม่เห็นฝุ่น

ชาวอียิปต์โบราณ สร้างปิระมิดไว้ในประเทศอียิปต์ประมาณ 90 แห่ง ซึ่งตามบทเรียนประวัติศาสตร์เท่าที่พวกเราเรียนมานั้น บอกกับเราไว้ว่า ฟาโรห์ของอียิปต์ได้ใช้แรงงานทาสในการสร้างปิระมิดเหล่านี้ และเชื่อว่าบรรดาปิระมิด สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่สำหรับเก็บพระศพของฟาโรห์ในราชวงศ์ต่างๆ โดยเฉพาะมหาปิระมิดแห่งกิซ่า ซึ่งนับเป็นหนึ่งในเจ็ดมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ แต่จากหลักฐานที่ปรากฏ มหาปิระมิด หาได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อกิจกรรมดังกล่าวแต่อย่างใด จึงทำให้นักโบราณคดีพากันสงสัยว่า พวกเขาสร้างมหาปิระมิดที่กิซ่าขึ้นมา เพื่อกิจการอันใดกันแน่?

หินก้อนใหญ่ๆ ที่ใช้สร้างปิระมิดและมหาวิหารที่อยู่ในแถบนั้น น่าจะนำมาจากเหมืองหินที่อยู่ไกลออกไปเป็นร้อยๆไมล์ และนักโบราณคดีได้ตั้งทฤษฎีว่า ชาวอียิปต์โบราณได้สกัดหินเหล่านี้ และลำเลียงมันล่องแพลงมาตามแม่น้ำไนล์ เมื่อถึงฝั่ง จึงใช้รอกหรือเลื่อนไม้ ลำเลียงมายังบริเวณที่ก่อสร้าง ซึ่งถ้ามองตามทฤษฎีนี้แล้ว ชาวอียิปต์โบราณจะต้องสร้างแพที่มีขนาดใหญ่โตมาก เนื่องจากก้อนหินเหล่านี้ ส่วนมากจะหนักตั้งแต่ 5-10 ตัน และที่น่าประหลาดใจก็คือ นักโบราณคดีไม่เคยพบหลักฐาน เกี่ยวกับแพหรือพาหนะอื่นใดที่คล้ายกัน ปรากฏอยู่ในย่านโบราณสถานดังกล่าวของอียิปต์เลยแม้แต่สักกระผีกชิ้น

จากการบันทึกว่าด้วยการสร้างปิระมิด กล่าวถึงการใช้แรงงานทาสนับแสนคน ซึ่งเป็นไปได้ยากเพราะงานนี้เป็นงานที่สลับซับซ้อนและวุ่นวาย ทั้งในด้านการเลี้ยงดูและด้านการบริหาร ซึ่งวิศวกรผู้เชี่ยวชาญในสาขานี้ได้ลองคำนวณดู และพบว่า หากจะต้องใช้แรงงานทาส และทำงานไปตามบันทึกดังกล่าวแล้ว การสร้างมหาปิระมิดที่เมืองกิซ่า จะต้องใช้เวลา ก่อสร้างถึง 600 ปีเทียวครับ

ชาวอียิปต์โบราณต่างไปจากชาวอินคาที่ไม่มีตัวอักษรใช้ พวกเขาเป็นกลุ่มชนที่ชอบบันทึกเรื่องราวต่างๆเอาไว้ ชนิดว่าแม้เรื่องราวเล็กๆก็ยังมีปรากฏอยู่ในแผ่นกระดาษปาปิรัส แต่เชื่อไหมครับว่า ไม่มีใครพบเอกสารเกี่ยวกับ วิธีการสร้างมหาปิระมิดอย่างแท้จริงเลย หินที่นำมาสร้างมหาปิระมิดก็ถูกตัดและนำมาเรียงไว้เป็นอย่างดี ชนิดที่ว่า แม้แต่กระดาษแผ่นบางๆที่สุด ก็ไม่สามารถสอดเข้าไปได้ ดังนั้น บรรดาผู้ออกแบบและคนงานก่อสร้างปิระมิด จะต้องเป็นผู้มีความรู้และความชำนาญเอามากๆ

นักดาราฟิสิกข์ชื่อ ดร. มอริส เค เจสซุป (Morris K. Jesup) ได้ให้ความเห็นว่า ก้อนหินขนาดมหึมาดังกล่าวควรจะถูกยกมาทางอากาศ โดยยานอวกาศชนิดหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่ายานเหล่านั้น อาจเป็นยานกลุ่มเดียวกับที่เทพเจ้าของชาวอียิปต์โบราณโดยสารมา ดังที่ปรากฏอยู่ในตำนานของพวกเขาก็เป็นได้ ข้อสมมุติของเจสซุปนี้ สามารถจะตอบข้อสงสัยของนักโบราณคดี และบรรดาวิศวกรเกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายหิน และการเรียงหินให้เข้าไปเป็นระเบียบได้

ความลึกลับในปิระมิด ทำให้นักวิทยาศาสตร์พากันสนใจมาก ในปี พ.ศ.2512 นักวิทยาศาสตร์อเมริกัน นำทีมโดย ดร. ลุยส์ ดับเบิลยู อัลวาเรซ ได้เดินทางไปอียิปต์และได้นำอุปกรณ์ตรวจสอบรังสีคอสมิค ไปสำรวจมหาปิระมิดที่กิซ่า ทฤษฎีของนักวิทยาศาสตร์เหล่านี้น่าสนใจมากครับ

กล่าวคือ รังสีคอสมิค สามารถที่จะเจาะทะลุหรือผ่านวัตถุได้ทุกชนิด เมื่อนำเครื่องมือที่ใช้รังสีดังกล่าวเข้ามาช่วยสำรวจ รังสีจะเจาะเข้าไปในห้องต่างๆของมหาปิระมิด แล้วเครื่องมือก็จะรายงานความลึกลับและโครงสร้างต่างๆของมหาปิระมิดออกมาได้ ซึ่งหลังจากพยายามกันแทบเจียนบ้านับเป็นเดือนๆ ดร.อัลวาเรซได้ออกมาแถลงข่าวเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี พ.ศ. 2513 ว่า เครื่องมืออันทันสมัยของเขา ไม่สามารถจะพบสิ่งลึกลับในมหาปิระมิดได้ ราวกับว่า ภายในมหาปิระมิดนั้นมีพลังลึกลับบางอย่างสถิตอย่ จนเครื่องมืออันทันสมัยของเขา ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ... น่าเศร้าเหมือนกันนะครับท่านด็อก..

ยิ่งศึกษาลงลึกไปในรายละเอียด นักวิชาการก็ยิ่งขมวดคิ้วกับปริศนาที่ซุกซ่อนอยู่ โดยเฉพาะความเกี่ยวพันของมหาปิระมิดและเลขฐานสิบ เป็นต้นว่า หากคูณความสูงของมหาปิระมิดด้วยเลขจำนวนพันล้าน จะได้ตัวเลขซึ่งเป็นระยะทางระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ (98,000,000 ไมล์) นอกจากนี้เส้นแวง(Meridian)ที่ตัดผ่านปิระมิด ยังเป็นเส้นที่แบ่งโลกออกเป็นสองส่วนเท่าๆกัน และหากเอาเนื้อที่ของบริเวณฐานมหาปิระมิด หารด้วยสองเท่าของความสูง จะได้เลขที่มีค่าเท่ากับพาย คือ 3.14159

สิ่งที่นักวิชาการสงสัยกันอีกก็คือ นอกจากศูนย์กลางของเมืองใหญ่ๆบางเมืองแล้ว ชาวอียิปต์โบราณส่วนใหญ่ ก็อาศัยอยู่ในกระท่อมทำด้วยโคลน และมีความเป็นอยู่อย่างแร้นแค้น ความรู้ชั้นสูงก็หาได้ยาก แต่เหตุใดเล่า พวกเขาจึงสามารถสร้างปิระมิดอันมโหฬาร ซึ่งต้องอาศัยความรู้ด้านเรขาคณิต และวิศวกรรมชั้นสูงได้ นอกจากนั้น ในวิหารบางแห่งยังมีผู้พบแบตเตอร์ไฟฟ้าโบราณด้วย (เคยเล่าไปแล้วนะครับ ในเรื่องของแบตเตอร์รี่โบราณนี้) พวกเขามีความรู้เหล่านี้ได้อย่างไรกัน?

นักวิชาการบางคนพากันคิดว่า ชาวอียิปต์อาจมีการติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวมาช้านานแล้ว และความรู้ทั้งหลายที่พวกเขาสร้างขึ้น ก็ได้รับการถ่ายทอดมาจากมนุษย์ต่างดาว ที่พวกเขายกย่องให้เป็นพระเจ้านั่นแหละครับ มีจดหมายเหตุที่บันทึกโดยอาลักษณ์ในสมัยของฟาโรห์ ธุทโมซิส(Thuthmosis) ที่3 (1504 - 1450 B.C.) ซึ่งนักวิชาการชื่อ บอริส เดอ รัชเชอร์วิทซ์ แปลเอาไว้ เรื่องของการที่ฟาโรห์กับผู้ติดตามเผชิญกับ UFO โดยมีใจความดังนี้

สิ่งที่ข้าพระองค์เห็นมา มันเป็นลูกไฟรูปวงแหวนขนาดใหญ่ ร่อนไปมาอยู่กลางท้องฟ้า แสงที่มันเปล่งออกมาช่างร้อนแรงดุจเพลิง สุริยันก็ไม่ปาน ยามที่มันบินวกวนรอบตัวเมืองนั้นยังปรากฎกลุ่มหมอกควันที่พวยพุ่งจากตัวมันด้วยพะยะคะ" ชายอียิปต์โบราณกราบ ทูลต่อฟาโรห์ธุธโมซิสที่ 3 (Thuthmosis 3) ในเหตุการณ์ที่ตัวเองประสบมาเมื่อราวประมาณ 1,500 - 1,450 ปีก่อนคริสต์กาล ชายอียิปต์อีกคนที่คุกเข่าอยู่ใกล้กันกล่าวเสริมต่อว่า "ทั้งหมดเป็นเรื่องจริงพะยะค่ะ ผู้คนทั้งเมืองล้วนเป็นพยานได้ เพราะประจักษ์แก่สายตาพวกเขาเหล่านั้นทั่วกัน แต่ไม่มีผู้ใดได้รับอันตรายพะยะค่ะ" ชาย 2 คนยืนยันถึงเหตุการณ์ที่ เพิ่งพบผ่านมา ราวกับปาฏิหาริย์พร้อมประกอบท่าทางให้ดูสมจริง แต่ก็ยังคงแฝงไว้ด้วยความเคารพต่อองค์ราชา ฟาโรห์ธุธโมซิสที่ 3 ประทับนั่งเด่นเป็นสง่าท่ามกลางข้าราชบริพาร พระองค์ทรงครุ่นคิด หวั่นพระทัยไปจนถึงความมั่นคงของราชบัลลังก์

จอมราชันย์จึงประกาศก้องทั่วท้องพระโรงว่า " การนี้ข้าเห็นทีว่าอาจเกิดเหตุร้ายในภายหน้าได้ จักต้องป้องกันไว้ล่วงหน้า เหล่าขุนศึกจงเตรียมไพร่พลให้พร้อมสรรพ เพื่อไม่เป็นการประมาทต่ออาณาจักรของข้า " หลังจากวันนั้นแล้วก็ล่วงมาอีกหนึ่งราตี วัตถุประหลาดที่ชาวเมืองเคยพบเห็นมาแล้ว ปรากฏลำเด่นชัดขึ้นอีกท่ามกลางความมืดมิดของรัตติกาล เหนือพื้นปฐพีที่มันลอยผ่านไปจะเห็นเป็นลำแสงสว่างวาบเป็นวงกว้างไปทั่วบริเวณ สร้างความตื่นตระหนกแก่ชาวเมืองยิ่งนัก แต่ครั้งนี้ มันไม่ได้มาตามลำพัง ยังมียานโลหะสีเงินที่เหมือนกันลอยลำตามหลังมาติด ๆ อีก 3 ลำ เสียงผู้คนที่อยู่เบื้องล่างต่างก็เอะอะอีกทึกดังพอ ๆ กับเสียงเครื่องยนต์ที่เล็ดลอดจากตัวจานบินแม้จะอยู่ในระยะสูงก็ตาม เหล่าทหารองค์รักษ์ต่างก็กรูเข้ารายล้อม ปกป้ององค์ฟาโรห์เจ้าเหนือหัวของตนอย่างสุดความสามารถ บ้างก็คว้างหอกเข้าใส่ บ้างก็ยิงธนูเข้าใส่ โดยมีวัตถุประหลาดสีเงิน 3 ลำลอยเด่นให้เป็นเป้าโจมตี แต่สิ่งที่ทหารทั้งกองทัพทำไปนั้นไม่มีผลเสียหายต่อยานนอกโลกแม้แต่นิดเดียว

เหตุการณ์ดำเนินไปชั่วครู่ ยานทั้ง 4 ก็บ่ายหน้าลอยสูงไปทางทิศใต้ ทิ้งความฉงนให้ชาวเมืองได้ขบคิดเป็นปริศนาว่าสิ่งนั้นคืออะไร มาทำไม จากไหน และเพื่อวัตถุประสงค์ใด ซึ่งทุกคำถามไม่มีใครตอบได้ คล้อยหลังเหตุการณ์นี้ไปไม่กี่วัน ราชาแห่งลุ่มแม่น้ำไนล์ก็ได้จัด ทำพิธีสักการะบูชาต่อเทพเจ้า เพื่อให้ปลอดภัยจากสิ่งประหลาดซึ่งไม่มีใครรู้ว่าเป็นอะไร .....

นั่นคือข้อความที่บันทึกโดยอาลักษณ์ชาวอียิปต์โบราณที่บันทึกในม้วนกระดาษปาปิรัส ในม้วนที่ชื่อ ทัลลี่ (Tulli Papyrus) ที่คนรุ่นหลังไปพบและแปลได้โดยบังเอิญที่พิพิธภัณฑ์วาติกัน (หมายเหตุ - ทัลลี่ปาปิรัสเป็นชื่อที่ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ค้นพบ กระดาษปาปิรัสม้วนนี้)

สรุปแล้ว ชาวอียิปต์โบราณเป็นอีกอารยธรรมหนึ่ง ที่ยังท้าทายนักวิทยาศาสตร์และนักโบราณคดี ถึงความลี้ลับของพวกเขาอยู่ทุกยุคทุกสมัย เพราะนอกจากการสร้างปิระมิดแล้ว ความลับเรื่องเทพเจ้าจากอวกาศของพวกเขา ก็ยังคงเป็นความลับดำมืดที่ถูกกลืนหายไปกับกาลเวลา มาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้

<< BACK หน้า1

 

 

 


 
 
BY ขจรศักดิ์ เลาห์สัฒนะ
Hosted by www.Geocities.ws

1