พระเจ้าจากอวกาศ ตอนที่ 4

 

 

เป็นทั้งจินตนาการ และทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์มานานแสนนานแล้ว ว่าในห้วงอวกาศอันไพศาลนอกโลกของเราออกไปนั้น น่าจะมีสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาอื่นอาศัยอยู่ ประกอบกับช่วงเวลาที่ผ่านมา ทั้งสหรัฐอเมริกาและรัสเซียต่างก็สร้างยานอวกาศที่สามารถเดินทาง ออกไปสำรวจนอกโลกได้ โดยใช้เวลาในการพัฒนาความรู้ทางด้านการบินเพียง 75 ปีเท่านั้น กล่าวคือ เครื่องบินลำแรกของโลกที่บินได้จริงๆ ถูกคิดค้นได้โดยพี่น้องตระกูลไรท์ เมื่อปี พ.ศ. 2446 แค่เวลาไม่ทันข้ามศตวรรษ มนุษย์ก็สามารถส่งยานอวกาศออกไปสำรวจนอกโลกได้ ดังนั้น นักวิทยาศาสตร์จึงพากันคาดคิดว่า ขอเพียงมนุษย์จากโลกอื่น มีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์มากกว่าโลกเราเพียง 100 กว่าปีเท่านั้น พวกเขาก็ย่อมสามารถที่จะ เดินทางไปในอวกาศได้กว้างไกลกว่าพวกเรามาก และบางที บางทีนะครับ ในอดีต พวกเขาอาจจะเคยมาเยือนโลกบ้างแล้วก็ได้

ด้วยความคิดเช่นนี้เอง นักวิทยาศาสตร์และนักโบราณคดีบางกลุ่ม จึงทำการศึกษา สำรวจ ทบทวนประวัติศาสตร์ พงศาวดาร บันทึก จดหมายเหตุ และโบราณสถาน-วัตถุต่างๆ โดยมรการตีความเสียใหม่อย่างถี่ถ้วน เนื่องจากถ้อยคำซึ่งคนโบราณบันทึกไว้ ข้อความส่วนใหญ่จะกำกวม เต็มไปด้วยสัญลักษณ์และอุปมาโวหาร อีกทั้งบางสิ่งไม่ใช่ของที่คนโบราณรู้จัก จึงไม่สามารถใช้ถ้อยคำได้ถูกต้องถนัดชัดเจน

ตัวอย่างที่ว่า ก็ได้แก่ การเรียกยานบินบางชนิดว่ารถทรง ราชรถของเทพ หรือมังกร เป็นต้น ซึ่งเมื่อผ่านการเปรียบเทียบ ตีความ และใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เข้าไปวิเคราะห์ นักวิทยาศาสตร์ที่ทำการศึกษาเรื่องนี้ จึงพากันลงความเห็นเป็นเสียงเดียวว่า โลกเรานี้ น่าจะมีมนุษย์ต่างดาวมาเยือนตั้งแต่ครั้งโบราณกาลแล้วแหละ

ต่อจากนี้ไป จะเป็นหลักฐานบางอย่าง ซึ่งนักวิชาการบางท่าน ได้ค้นพบจากแหล่งหลายๆแหล่ง ซึ่งชวนให้เราคิดคล้อยตามไปไม่น้อยว่า ในอดีต เคยมีมนุษย์ต่างดาวจากโลกอื่น มาเยือนโลกราหูของเรา ได้ทำการสั่งสอน ถ่ายทอดศิลปวิทยาการให้แก่คนโบราณ จนกระทั่งมนุษย์ต่างดาวพวกนั้น ๔ฃถูกยกย่องให้เป็นพระเจ้าไปเลย จริงๆแล้วส่วนที่จำนำมาเล่านี้ เป็นสรุปอย่างย่นย่อนะครับ รายละเอียดจริงๆนั้น ผมแยกแยะเล่าไปเป็นเรื่องๆแล้ว แต่เห็นว่า น่าจะนำมาสรุปอีกทีให้เป็นเรื่องเดียว ลองมาดูกันนะครับว่า มีเรื่องราวน่าสนใจอะไรบ้าง

อะไรอยู่เบื้องหลังอารยธรรมที่ก้าวหน้าจนเกินยุคเหล่านี้ ?

อารยธรรมของชาวสุเมเรี่ยน (SUMERIANS)

เมื่อประมาณ 3000 ปีก่อนคริสตกาล ชาวสุเมเรี่ยนอันเป็นชนชาติโบราณ ที่อาศัยอยู่บริเวณดินแดนเมโสโปเตเมียในตะวันออกใกล้ ได้บันทึกความรุ่งเรืองของพวกตนให้อนุชนรุ่นหลังได้ประจักษ์ โดยผ่านตัวอักษรที่เราเรียกกันว่า อักษรคิวนิฟอร์ม หรือ อักษรรูปลิ่ม แต่จนบัดนี้ นอกจากข้อสัณนิษฐานทางประวัติศาสตร์บางประการ นักวิชาการ ก็ยังไม่ทราบเลยว่าจู่ๆชนเผ่านี้โผล่มาจากไหน เรารู้แต่ว่า อารยธรรมสุเมเรี่ยนขั้นสูงโผล่ขึ้นมาบนโลกนี้แบบปุบปับ ชาวสุเมเรี่ยนจะแสวงหาพระเจ้าของพวกตนบนยอดเขาเสมอ และถ้าบริเวณใดไม่มีภูเขา ชาวสุเมเรี่ยนก็จะสร้างภูเขาเทียมขึ้นมา ดูราวกับไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น พวกเขาก็ต้องได้ใกล้ชิดท้องฟ้า เพื่อติดต่อกับอะไรบางอย่างอยู่เสมอ

นอกจากนี้ ความรู้ทางดาราศาสตร์ของชาวสุเมเรี่ยน ก็จัดอยู่ในขั้นสูงมากจนไม่น่าเชื่อ และด้วยการพัฒนาหอดูดาว ทำให้พวกเขาสามารถคำนวณเวลาในการหมุนของดวงจันทร์ได้ ซึ่งผิดจากการคำนวณของนักดาราศาสตร์ปัจจุบัน ซึ่งใช้วิทยาศาสตร์ทันสมัยเข้าช่วยเพียง 0.4 วินาทีเท่านั้น มหัศจรรย์ดีไหมครับ?

นอกจากนี้ บนเทือกเขาคูยุนจิค (Kuyunjik) ได้มีผู้พบหลักฐานทางคณิตศาสตร์ ซึ่งมีตัวเลขเป็นผลลัพท์ทางการคำนวณถึง 15 หลัก ซึ่งแม้แต่ชาวกรีกโบราณที่ว่าปราดเปรื่อง ก็ยังคำนวณกันได้เพียง 10 หลักเท่านั้น ชาวสุเมเรี่ยนเค้าคำนวณหาอะไรกันครับ มันเป็นจำนวณของอะไรกันแน่ ทำไมมีตัวเลขตามหลังตั้ง 15 หลักแบบนี้ มันมากมายมหาศาลพอที่จะเรียกได้ว่า จำนวนไม่สิ้นสุดเชียวนะนั่น

ลองมาดูพระเจ้าของชาวสุเมเรี่ยนกันบ้างดีกว่า พระเจ้าของพวกเขาไม่ได้มีรูปร่างเป็นมนุษย์อย่างพระเจ้าของชาวกรีก ส่วนใหญ่จะเป็นสัญลักษณ์ซึ่งมันจะเกี่ยวพันกับดวงดาวอยู่เสมอ ดาวบางดวงมีดาวเล็กๆที่มีลักษณะเป็นดาวบริวารล้อมรอบ ที่แหล่งขุดค้นทางโบราณสถานบางแห่ง มีนักโบราณคดีขุดค้นพบภาพเขียนของคนมีรูปดาวอยู่บนศีรษะ บางภาพเป็นคนขี่ลูกบอล(ซึ่งน่าจะเป็นดาวเคราะห์ แล้วคนโบราณอย่างชาวสุเมเรี่ยน ดันรู้อีกนะครับว่าดาวเคราะห์กลม ไม่ได้แบนอย่างที่ชาวยุโรปสมัยก่อนเชื่อกัน)ที่ติดปีก ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีคนพบภาพที่มีลักษณะเหมือนโครงสร้างของอะตอม แถมมีการส่งรังสีอีกต่างหาก เอากะพ่อสิครับ

เรื่องราวของชาวสุเมเรี่ยนยังมีมากกว่านั้น จากหลักฐานบ่งบอกได้ชัดเจนเลยครับว่า คนลุ่มแม่น้ำไทกรีส-ยูเฟรติส โบราณรู้เรื่องดีเกี่ยวกับดาว 12 ดวงในระบบสุริยะจักรวาล พวกเขาสามารถบอกรายละเอียดเกี่ยวกับขนาด ส่วนประกอบ และตำแหน่งของดวงดาวแต่ละดวงได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน แม้แต่ดาวเนปจูนและดาวพูลโตที่เพิ่งถูกค้นพบไม่ถึง 100 ปี แต่ชาวสุเมเรี่ยนได้พบมันก่อนชาวเราเสียตั้งหลายพันปี ในบันทึกยังบอกถึงดวงดาวที่เทพเจ้าของเขามาด้วย นักดาราศาสตร์เชื่อว่าคงจะเป็นกลุ่มดาวคนยิงธนู (Sagittarius) จะเห็นได้ชัดทางซีกโลกใต้ ชาวสุเมเรี่ยนเรียกดาวดวงนี้ว่า "มาร์คัด" ซึ่งหมายถึงพระเจ้านั่นเอง ......

ไม่เพียงแต่มนุษย์ต่างดาวจะมาให้แต่ความรู้อย่างเดียวเท่านั้น ในบางครั้งยังพาชาวโลกออกไปทัศนศึกษานอกโลกด้วย ดังเรื่องที่เกินขึ้นกับกษัตริย์อีธาร (อิลิยาห์) ซึ่งมีเทพเจ้าเป็นเพศชายร่างสูง ผมบลอนด์ ในชุดสีขาวพาพระองค์ขึ้นยานบินล้ำสมัย ซึ่งพาหนะสวรรค์ลำนี้ร่อนจอดลงตรงด้านหลังพระราชวัง ตัวยานได้พาพระองค์พร้อมเทพเจ้าท่องผ่านดวงจันทร์ ดาวอังคาร ดาวศุกร์และดาวอื่น ๆ ในห้วงอวกาศอย่างมากมาย กษัตริย์อีธาร ทรงประทับใจมากที่ได้เห็นโลกทั้งโลก ทั้งมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ หมู่เกาะต่าง ๆ และเทือกเขาที่เรียงลายสลับซับซ้อน ซึ่งพระองค์บอกว่าเหมือนก้อนขนมปังในตระกร้า

ยังมีเรื่องราวอันเต็มไปด้วยปริศนามากมายของชนเผ่านี้ ให้พวกเราคนรุ่นหลังได้ขบคิดกันเล่นๆ รายละเอียดมีอยู่ใน การค้นหาดาวเคาะห์ดวงที่สิบของชาวสุเมเรี่ยน นะครับ ละเอียดยิบเลย สนใจก็ลองเข้าอ่านดูได้ครับ

ชนเผ่ามายา (MAYAS)

ชาวมายา ผู้อาศัยอยู่ในดินแดนยูคาทาน ในเม็กซิโกและกัวเตมาลาในราวศตวรรษที่ 3-16 ก่อนคริสตกาล นับเป็นอีกชนชาติหนึ่งที่มีความก้าวหน้าล้ำยุคจนนักวิชาการต่างๆ พากันส่ายหน้าปวดหัวด้วยความแปลกใจเป็นอันมาก กล่าวคือ ชาวมายามีความเป็นเลิศทางด้านการคำนวณและดาราศาสตร์ สิ่งที่ชาวมายาคิดค้นได้ก็คือ ปฏิทินและการคำนวณบางประการที่ไม่น่าเชื่อว่า ชนเผ่าโบราณอันลึกลับนี้ จะสามารถทำได้ โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์สมัยใหม่อย่าพวกเราเข้าไปช่วยแม้แต่น้อย ปฏิทินของชาวมายาใช้ในระยะวงโคจร 5000 ปี (สงสัยไหมครับว่าทำไมถึงนานขนาดนั้น) และวงโคจรที่ใกล้กับปัจจุบันมากที่สุด จะจบลงในวันที่ 24 ธันวาคม ปี พ.ศ. 2554 (ซึ่งตามความเชื่อของชาวมายาก็คือ พระเจ้า ของพวกเขาจะเสด็จกลับลงมายังโลกนี้อีกครั้ง

ชาวมายาดูจะมีความผูกพันคุ้นเคยกับดาวศุกร์เป็นพิเศษ พวกเขาสามารถคำนวณว่า ปีบนดาวศุกร์มีจำนวณ 584 วัน และวันของโลกเรามี 365.2420 วัน ซึ่งตามการคำนวณในปัจจุบันปรากฏว่า มี 365.2422 วัน นับว่าคลาดเคลื่อนน้อยจนแทบไม่น่าเชื่อ
ในเมือง Chichen มีผู้พบหอดูดาวที่ชาวมายาได้สร้างขึ้น นอกจากนี้ชาวมายายังได้คำนวณปฏิทิน ซึ่งสามารถใช้ต่อเนื่องไปในเวลาข้างหน้าถึง 64 ล้านปี สำหรับเรื่องของวงโคจร การหมุนรอบตัวเอง วันเวลา และแรงกระทำจากดาวศุกร์นั้น นักวิชาการยอมรับว่าเหลือเชื่อมากสำหรับชนเผ่าโบราณพวกนี้ ค่าที่ได้จากการคำนวณน่าจะมาจากอุปกรณ์คำนวณอิเล็คทรอนิคส์ ซึ่งก็ไม่มีหลักฐานปรากฏแต่อย่างใดว่า ชาวมายาสามารถประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมาได้

ดังที่กล่าวไปในหน้าที่แล้วว่า ชาวมายามักจะเกี่ยวพันกับดาวศุกร์อยู่เสมอๆ ลองมาดูสูตรคำนวณดาวศุกร์ของชาวมายาสิครับ ว่าสลับซับซ้อนมากขนาดไหน ดาวซอลคิน (ชื่อเรียกดวงจันทร์ของชาวมายา) มี 260 วัน โลกมี 365 วัน ดาวศุกร์มี 584 วัน สามารถจะหารด้วย 73 ได้ 5 ครั้ง ดังนั้นสูตรดังกล่าวจึงเป็นดังนี้

(ดวงจันทร์) 20 X 13 = 260 x 2 x 73 = 37,960

(ดวงอาทิตย์) 8 x 13 = 104 x 5 x 73 = 37,960

(ดาวศุกร์) 5 x 13 = 65 x 8 x 73 = 37,960

 

ดังนั้นดาวทั้งสาม เมื่อคำนวณแล้วจึงได้ผลเป็น 37,960 วัน ซึ่งตำนานของชาวมายากล่าวไว้ว่า จะครบรอบวันซึ่งพระเจ้าจากห้วงเวหาของพวกเขา กลับมาประทับยังตำหนักใหญ่

ภาพพระเจ้ากำลังขับยานอวกาศของชาวมายาอันโด่งดังครับ..

ผมเคยกล่าวไว้หลายครั้งมาแล้วว่า ตำนานของชนโบราณ ซึ่งมีอารยธรรมล้ำยุคเหล่านี้ ล้วนมีความตรงกันอย่างน่าประหลาดอยู่เรื่องหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น สุเมเรี่ยน อัสซีเรี่ยน บาบิโลน หรือ อียิปต์ ต่างก็มีเนื้อหาที่มีลักษณะตรงกันว่า พระเจ้าได้เสด็จลงมาบนโลก จากห้วงอวกาศอันไกลโพ้น ทรงสั่งสอนศิลปวิทยาการ ทรงเสด็จไปได้ทุกแห่งหนด้วยราชรถเพลิงอันร้อนแรง ทรงมรอาวุธที่มีอานุภาพเหมือนไฟล้างแผ่นดิน และทรงสัญญาเอาไว้ตรงกันซะด้วยสิครับว่า พระเจ้าเหล่านี้ จะทรงกลับมายังโลกในวันใดวันหนึ่งเมื่อถึงเวลา

สิ่งที่น่านำมากล่าวก็คือ ชาวมายารู้จักสร้างถนนหนทางอย่างดี ประมาณว่า โยธาสมัยนี้ก็ยังต้องทึ่ง แต่น่าประหลาดมากครับ เพราะวัฒนธรรมของชาวมายา ไม่ปรากฏว่าพวกเขารู้จักใช้ล้อเลื่อน หรือ ยานพาหนะที่มีล้อมาก่อน จะมีก็แต่สัตว์พื้นเมืองที่คล้ายกับล่อ แล้วทำไมชาวมายาต้องสร้างถนนใหญ่โตขนาดนั้นด้วยเล่าครับ ในเมื่อสร้างไปพวกเค้าก็ไม่เคยที่จะได้ใช้มันเลย

ปิระมิดของชาวมายาแห่งหนึ่งชื่อ เอล คัสติลโล ที่เมือง Chichen เม็กซิโก สถานที่นี้ได้ถูกสร้างขึ้นตามปฏิทินของชาวมายา แต่ละด้านของปิระมิดมีบันได 91 ขั้น รวมกันได้ 364 และถ้าจะนับฐานบนด้วยอีกอันหนึ่ง ก็จะได้ 365 ขั้น ตรงกับวันบนโลกอย่างน่าประหลาด

ปิระมิดของชาวมายาเค้าล่ะ มหัศจรรย์ไม่แพ้มหาปิระมิดที่อียิปต์เลยครับ

ถนนที่ชาวโบราณสร้างขึ้นโดยที่เหล่าผู้สร้างเองนั้น ไม่รู้จักแม้แต่จะใช้ล้อเลื่อน พวกเขาสร้างขึ้นมาทำไมกันครับ มีบันทึกของชาวมายายกล่าวไว้ว่า พวกเขาสร้างขึ้นตามประสงค์ของพระเจ้าด้วย มีภาพวาดภาพหนึ่งในเมืองโคปัน ซึ่งเป็นภาพวาดที่มีชื่อเสียงเอามากๆของชนเผ่ามายา เพราะภาพดังกล่าวมีลักษณะคล้ายมนุษย์อวกาศกำลังบังคับยานอวกาศอยู่ มีอุปกรณ์หน้าปัท คันบังคับครบกัน นักวิชาการหลายคนพิจารณาแล้วก็ลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันครับว่า เป็นรูปของนักบินในพาหนะประเภทยานซักอย่าง


หน้า2 NEXT>>

 

 

 


 
 
BY ขจรศักดิ์ เลาห์สัฒนะ
Hosted by www.Geocities.ws

1