การฝึกสติให้ระลึกรู้ขั้นต้น ตอน ๒
-------------------------------
วิปัสสนาภูมิ
สุสฺสูสํ ลภเต ปญฺญํ ผู้ฟังดี ย่อมเกิดปัญญา
ธมฺโม สุจิณฺโณ สุขามาวหาติ
( ธัมโม สุจิณโณ สุขะมาวะหาติ )
ธรรมที่ประพฤติดีแล้ว ย่อมนำความสุขมาให้
-------------------------
ประการแรก เราควรจะได้รู้ ลักษณะ หน้าที่ และผลของสติ เสียก่อนว่า มันมีเป็นประการใด ลักษณะของสติ นั้น หมายความ ก็มีความระลึกรู้ในอารมณ์เนืองๆ นี่เป็นลักษณะของสติ เมื่อเรามีความระลึกรู้ถึงในอารมณ์เนืองๆ เช่นนี้แล้ว ผลมันจะออกมายังไง นั่นก็คือเป็นผู้ที่ไม่อยู่ในความประมาทนั่นเอง ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญ องค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้มีความห่วงใยเป็นอันมาก ในการที่สติมีความระลึกรู้ในอารมณ์เนืองๆ เป็นผู้ที่ไม่อยู่ในความ ประมาทนี้ แม้ในพระโอวาทก่อนที่จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานก็ได้เตือนสาวกทั้งหลายว่า อย่าอยู่ในความประมาท ความประมาทนั้นมันเป็นเรื่องที่ผู้อยู่แล้วนี่ มันอยู่ในความตายนั่นเอง แต่สตินี่ เมื่อเกิดขึ้นแล้วมันให้ระลึกรู้อยู่เสมอ ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงห่วงใยในสาวกทั้งหลายนักหนา ในเรื่องที่ตกอยู่ในความประมาทนั้น ถ้าเรา จะสรุป โอวาทปาฏิโมกข์ แล้ว เราจะเห็นว่าโอวาทปาฏิโมกข์ทั้ง ๓ ข้อนั้น ต้องมีสติเข้าไปเกี่ยวข้องในทั้ง ๓ ข้อ ข้อแรกที่พระองค์ตรัสไม่ให้สร้างความชั่วหรือกรรมชั่วนั้น เหตุที่ผู้สร้างกรรมชั่วหรือความชั่วนั้น ก็เพราะว่าเป็นผู้ขาด สติ ตกอยู่ในความประมาท จึงได้ล่วงอกุศลกรรมบถ ๑๐ ขึ้นมาได้ ดังนั้นปัจฉิมโอวาทจึงทรงเตือนไว้หนักหนาในปัญหา เรื่องสตินี่ ว่าอย่าอยู่ในความประมาทนั้น เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง นั่นเป็นลักษณะของสติ
นอกจากนั้นแล้ว สติยังเป็นตัวชักนำให้จิตของเรานี่อยู่ในที่ใดที่หนึ่งได้ ทั้งนี้เพราะว่าสตินั้นมันเป็นพี่เลี้ยงของจิต ถ้าเราเอาสติไปตั้งไว้ที่ไหนแล้ว จิตใจของเรานั้นมันก็ไปพัวพันอยู่ในสติด้วย พวกเราทุกคนพึงสังเกตเถอะว่าถ้าเรา ไม่มีสติแล้ว เราจะทำสมาธิให้เกิดขึ้นได้หรือไม่ ทำไม่ได้เลย เว้นแต่มิจฉาสมาธิ เพราะเขาเอาตัวอื่นเข้ามาแทน แต่สัมมาสมาธิ หรือในสมถกรรมฐาน ๔๐ วีธีนั่น จำเป็นอย่างยิ่งจะต้องนำเอาสติมาใช้ในการเจริญสมาธิให้เกิดขึ้น นอกจากนี้แล้วผู้ใดที่ไม่มีสติ ก็ทำให้สมาธิเกิดขึ้นไม่ได้ เมื่อทำให้สมาธิเกิดขึ้นไม่ได้แล้ว บาทฐานของปัญญาซึ่งต้อง ใช้สมาธิมันก็ไม่มี เมื่อบาทฐานของปัญญามันสร้างขึ้นไม่ได้ ปัญญามันก็ไม่เกิด ดังนั้นขอให้เราพิจารณาถึง ความสำคัญของสติ ให้ดีว่า
อกุศลวิบากนั้น ตามปกตินั้นมันจะต้องปรากฏขึ้น ทางตา ๑ หมายถึงเราเห็นรูปที่ไม่ดีที่ไม่พอใจ ที่มันทำความ เคร่งเครียดให้กับจิตใจ ทำความเจ็บช้ำน้ำใจ เหล่านี้ นี่เป็นวิบากที่เกิดขึ้นทางตา
ในทำนองเดียวกัน วิบากที่เกิดขึ้นทางลิ้นนั้น ก็คือรสต่างๆ ที่เราได้ลิ้มไป ถ้าเราได้ลิ้มรสที่พออกพอใจ เราก็มี ความสุขเวทนาหรือโสมนัสเวทนาเกิดขึ้นเป็นความพอใจของเรา ถ้าเราได้รับรสที่ไม่พออกพอใจแล้ว เราก็มีความ ทุกขเวทนาเกิดขึ้น นั่นคือความไม่พอใจ
ประการที่ ๕ ความสำคัญของสติประการที่ ๕ นั่นก็คือ การเตรียมตัวก่อนตาย จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องมีสติ เป็นเครื่องระลึกรู้ ทำไมผมถึงได้บอกว่าการเตรียมตัวก่อนตายจำเป็นต้องใช้สติ เราเคยได้พูดแล้วว่าก่อนที่จะตายนั้น มันจะต้องเกิด จุติจิต เกิดขึ้นก่อน มันถึงจะตาย เมื่อจุติจิตเกิดขึ้นนั้นมันจะต้องมี กรรมอารมณ์ ๑ กรรมนิมิต อารมณ์ ๑ คตินิมิตอารมณ์ ๑ อารมณ์ทั้ง ๓ นี้แหละถ้าเราขาดสติระลึกรู้แล้ว เราก็ไม่แน่ว่าเราจะไปตกอยู่ใน ทุคติภูมิ ขั้นไหนเพราะเหตุไร เพราะว่าการขาดสติระลึกรู้นั้น โมหเจตสิกมันก็เข้ามาแทรกแซง ถ้าไม่มีโมหเจตสิก เข้ามา โลภเจตสิกมันก็เข้ามา หรือโทสเจตสิกมันก็เข้ามา สิ่งเหล่านี้อย่าประมาทว่ามันจะนำเราไปลงในนรกไม่ได้ เราได้ กล่าวกันมาแล้วว่าแม้แต่คนจะตาย กำลังจะตาย มันก็สามารถจะทำกรรมดีหรือกรรมชั่วได้ สิ่งนั้นเราเรียกว่า มโนกรรม เราจะเห็นได้ว่าคนบางคนทำบุญมาตลอดชีวิต เมื่อจวนจะตายขาดสติแว้บเดียวเท่านั้น ก็ได้สร้างอกุศลกรรม เกิดขึ้นในทางมโนกรรม ทั้งนี้เพราะเหตุอะไร เพราะปฏิสนธิจิต นั้นมันขึ้นอยู่กับชวนจิตในมรณาสันวิถี เมื่อจุติจิตบังเกิด ขึ้นแล้วทันทีปฏิสนธิจิตมันถึงจะเกิดขึ้น ดังนั้นการที่เราจะดับจิตไปก่อนตายนั้น เราดับไปในแง่ของกุศลหรืออกุศล ถ้าเรา ดับไปในแง่ของอกุศล เราก็ไม่พ้นทุคติภูมิ เรื่องเหล่านี้ถ้าเราเป็นคนสังเกตสักหน่อยหนึ่ง เราจะเห็นว่าคนที่เข้าอยู่ในขั้นโคม่า เขาจะนิมนต์เอาพระมาสวดมนต์ให้ฟังบ้าง มาเทศน์ให้ฟังบ้าง ท่านนึกหรือว่าพระที่มาเทศน์ก็ดี ที่มาสวดก็ดี หรือบางคน บอกหนทางว่าพระอรหัง พระอรหังนั้น จะช่วยให้เขาพ้นจากทุคติภูมิไปได้ ถ้าเขาขาดสติ ท่านนึกหรือว่ามันจะเป็นไปได้ เช่นนั้น ถ้าเรามาพิจารณาถึง ชวนจิต ในมรณาสันนวิถี หรือวิถีจิตสุดท้ายก่อนตายของคนเข้าขั้นโคม่านั้น ทางตามันก็ดับ ใช้ไม่ได้ ซึ่งเรียกว่าจักษุวิญญาณนั้นดับไปแล้ว ทางหูก็ไม่ได้ยิน เพราะว่าโสตวิญญาณนั้นมันก็ดับไป ทางจมูกมันก็ไม่ได้กลิ่น เพราะฆานวิญญาณมันก็ดับไป ลิ้นมันก็ไม่รู้รส เพราะชิวหาวิญญาณนั้นมันก็ดับไป ร่างกายก็ ปราศจากความรู้สึก เพราะกายวิญญาณมันก็ดับไป คงเหลือตัวเดียวเท่านั้นคือ มโนวิญญาณ เมื่อมโนวิญญาณมันยังไม่ดับ และไม่มีอะไรเป็นพี่เลี้ยง อกุศลเจตสิกมันก็เข้ามาเป็นพี่เลี้ยงแทน เห็นไหม บอกไว้แล้วว่าสติเป็นธรรมฝ่ายขาว ถ้าเรา ขาดสติเสียแล้ว ธรรมฝ่ายดำมันก็เข้ามาแทรกแซง เมื่อเข้ามาแทรกแซงแล้วอะไรจะเกิดขึ้น ฟังต่อไป
จบการฝึกสติให้ระลึกรู้ขั้นต้น ตอน ๒
Next : Page 3>>
Non Copyright 2002. Buddhamamaka Home Page. All Rights Reserved. Comment or suggestion : [email protected]