๑.เตมียชาดก  ๒ ชนกชาดก
 ๓. สุวรรณสามชาดก ๔. เนมิราชชาดก
๕ มโหสถชาดก ๖ ภูริทัตชาดก
๗ จันทชาดก ๘ นารทชาดก
๙ วิทูรชาดก
 

 

เรื่องที่

 ๒ ชนกชาดก

 

ณ เมืองมิถิลาแห่งรัฐวิเทหะ พระเจ้าแผ่นดิน ทรงพระนามว่า พระเจ้ามหาชนก
ทรงมีพระโอรสสององค์คือ เจ้าอริฏฐชนก และ เจ้าโปลชนกเจ้าอริฏฐชนกทรงเป็นอุปราช
ส่วนเจ้าโปลชนกทรง เป็นเสนาบดี
เมื่อพระราชบิดาสวรรคต เจ้าอริฏฐชนกผู้เป็นอุปราช ก็ได้ครองบ้านเมืองต่อมา

เจ้าโปลชนกทรงเป็นอุปราช ทรงเอาใจใส่ดูแลบ้านเมืองช่วยเหลือพระเชษฐาอย่างดียิ่ง
มีอำมาตย์คนหนึ่งไม่พอใจพระเจ้าโปลชนก จึงหาอุบายให้ พระราชาอริฏฐชนกระแวง
พระอนุชา โดยทูลพระราชาว่า เจ้าโปลชนกคิดขบถ จะปลงพระชนม์พระราชา
พระราชาทรงเชื่อคำ อำมาตย์ จึงให้จับเจ้าโปลชนกไปขังไว้

เจ้าโปลชนกเสด็จหนี ไปจากที่คุมขังได้หลบไปอยู่ที่ชายแดนเมืองมิถิลา เจ้าโปลชนก
ทรงคิดว่า เมื่อครั้งที่ยังเป็นอุปราชนั้น มิได้เคยคิดร้ายต่อพระราชา ผู้เป็นพี่เลย
แต่ก็ยังถูกระแวงจนต้องหนีมา ถ้าพระราชาทรงรู้ว่า อยู่ที่ไหนก็คงให้ทหารมาจับไปอีกจนได้

บัดนี้ผู้คนมากมายที่ชายแดนที่เห็นใจและพร้อมที่จะเข้าเป็นพวกด้วย
ควรที่จะรวบรวมผู้คนไปโจมตีเมืองมิถิลาเสียก่อนจึงจะดีกว่า เมื่อคิดดังนั้นแล้ว
เจ้าโปลชนกก็พาสมัครพรรคพวกยกเป็น กองทัพ ไปล้อมเมืองมิถิลา

บรรดาทหารแห่งเมืองมิถิลาพากัน เข้ากับเจ้าโปลชนกอีกเป็นจำนวนมาก เพราะ
เห็นว่าเจ้าโปลชนก เป็นผู้ซื่อสัตย์ และมีความสามารถ แต่กลับถูกพระราชาระแวง และ
จับไปขังไว้โดยไม่ยุติธรรมครั้นเมื่อเจ้าโปลชนกมีผู้คนไพร่พลเข้าสมทบด้วยเป็นจำนวน
มากมายเช่นนี้ พระเจ้าอริฏฐชนกทรงเห็นว่า
ไม่มีทางจะเอาชนะได้ จึงตรัสสั่งพระมเหสีซึ่งกำลังทรงครรภ์แก่ ให้ทรงหลบ
หนีเอาตัวรอด ส่วนพระองค์เองทรงออกทำสงคราม และสิ้นพระชนม์ ในสนามรบ

เจ้าโปลชนกจึงทรงได้เป็นกษัตริย์ครองเมืองมิถิลาสืบต่อมา ฝ่ายพระมเหสีของ
พระเจ้าอริฏฐชนก เสด็จหนีออกจากเมืองตั้งพระทัยจะเสด็จไปอยู่เมืองกาลจัมปากะ
แต่กำลังทรงครรภ์แก่เดินทางไม่ไหว
ด้วยเดชานุภาพแห่งพระโพธิสัตว์ซึ่งอยู่ในพระครรภ์ พระอินทร์จึงเสด็จมาช่วย
ทรงแปลงกายเป็นชายชราขับเกวียนมาที่ศาลาที่ พระนางพักอยู่
ถามขึ้นว่า

"มีใครจะไปเมืองกาลจัมปากะบ้าง"
พระนางดีพระทัยรีบตอบว่า

"ลุงจ๋าา ฉันจะไปจ๊ะ"
พระอินทร์แปลงจึงรับพระนางขึ้นเกวียน พาเดินทางไป เมืองกาลจัมปากะ
ด้วยอานุภาพเทวดา แม้ระยะทาง ไกลถึง ๖0 โยชน์ เกวียนนั้นก็เดินทาง
ไปถึงเมืองในชั่ววันเดียว


พระมเหสีเสด็จไปนั่งพักอยู่ในศาลาแห่งหนึ่งในเมืองนั้น
บังเอิญมีพราหมณ์ทิศาปาโมกข์ผู้หนึ่ง
เดินผ่านมาเห็น พระนางเข้าก็เกิดความเอ็นดูสงสาร จึงเข้าไปไต่ถาม
พระนางก็ตอบว่าหนีมาจากเมืองมิถิลา และไม่มีญาติพี่น้องอยู่ที่เมืองนี้เลย

พราหมาณ์ทิศาปาโมกข์จึงรับพระนางไปอยู่ด้วยที่บ้านของตนอุปการะ
เลี้ยงดูพระนางเหมือนเป็นน้องสาว ไม่นานนัก พระนางก็ประสูติพระโอรส
ทรงตั้งพระนามว่า มหาชนกกุมาร ซึ่งเป็นพระนามของพระอัยกา
ของพระกุมาร มหาชนกกุมารทรงเติบโตขึ้นในเมืองกาลจัมปากะ มีเพื่อนเล่นเด็กๆ
วัยเดียวกันเป็นจำนวนมาก

วันหนึ่ง มหาชนกกุมารโกรธกับเพื่อนเล่น จึงลากเด็กคนนั้นไปด้วย
กำลังมหาศาลเด็กก็ร้องไห้บอกกับคนอื่นๆ ว่า ลูกหญิงม่าย รังแกเอา
มหาชนกกุมาร
ได้ยินก็แปลกพระทัยจึงไปถาม พระมารดาว่า

"ทำไมเพื่อนๆ พูดว่าลูกเป็นลูกแม่ม่ายพ่อของลูกไปไหน"
พระมารดาตอบว่า

"ก็ท่านพราหมณ์ทิศา ปาโมกข์นั่นแหล่ะเป็น พ่อของลูก"
เมื่อมหาชนกกุมารไป บอกเพื่อนทั้งหลาย เด็กเหล่านั้นก็หัวเราะเยาะ
บอกว่า

"ไม่จริง ท่านอาจารย์ทิศาปาโมกข์ไม่ใช่พ่อของเจ้า"
มหาชนกก็กลับมาทูลพระมารดา อ้อนวอนให้บอกความจริง พระมารดาขัดไม่ได้

จึงตรัสเล่าเรื่องทั้งหมดให้พระโอรสทรงทราบ เมื่อพระกุมารทราบว่า

พระองค์ทรงมีความเป็นมาอย่างไรก็ทรงตั้งพระทัย ว่าจะร่ำเรียนวิชาการ
เพื่อให้มีความรู้ความสามารถ จะได้เสด็จไปเอาราชสมบัติเมืองมิถิลาคืนมา
ครั้นมหาชนกกุมารร่ำเรียนวิชาในสำนักพราหมณ์จนเติบใหญ่
พระชนม์ได้ ๑๖ พรรษา จึงทูลพระมารดาว่า

"หม่อมฉันจะเดินทาง ไปค้าขายเมื่อมีทรัพย์สินมากพอแล้ว
จะได้คิดอ่าน เอาบ้านเมืองคืนมา"

พระมารดาทรงนำเอาทรัพย์สินมีค่ามาจากมิถิลา 3 สิ่ง
คือ แก้วมณี แก้วมุกดา และแก้ววิเชียร
อันมี ราคามหาศาล จึงประทานแก้วนั้นให้พระมหาชนกเพื่อนำไปซื้อสินค้า
พระมหาชนกทรงจัดซื้อสินค้าบรรทุกลงเรือร่วมไปกับ พ่อค้าชาวสุวรรณภูมิ

ในระหว่างทาง เกิดพายุใหญ่ โหมกระหน่ำ คลื่นซัดจนเรือจวนจะแตก
บรรดาพ่อค้าและลูกเรือพากัน
ตระหนกตกใจ บวงสรวง อ้อนวอนเทพยดาขอให้รอดชีวิต ฝ่ายมหาชนกกุมาร
เมื่อทรงทราบว่าเรือจะจมแน่แล้ว ก็เสวยอาหารจน อิ่มหนำ
ทรงนำผ้ามาชุบน้ำมันจนชุ่ม แล้วนุ่งผ้านั้นอย่างแน่นหนา
ครั้นเมื่อเรือจมลงเหล่าพ่อค้ากลาสีเรือทั้งปวงก็จมน้ำ
กลายเป็นอาหารของสัตว์น้ำไปหมด

แต่พระมหาชนกทรงมีกำลังจากอาหารที่เสวย มีผ้าชุบน้ำมัน ช่วยไล่สัตว์น้ำและ
ช่วยให้ลอยตัวอยู่ในน้ำได้ดี จึงทรงแหวกว่าย อยู่ในทะเลได้นานถึง 7 วัน

ฝ่ายนางมณีเมขลา เทพธิดาผู้รักษามหาสมุทร เห็นพระมหาชนกว่ายน้ำอยู่เช่นนั้น
จึงลองพระทัยพระมหาชนก

"ใครหนอ ว่ายน้ำอยู่ได้ถึง 7 วัน ทั้งๆที่มองไม่เห็นฝั่ง จะทนว่ายไปทำไมกัน"
พระมหาชนกทรงตอบว่า

"ความเพียรย่อมมีประโยชน์ แม้จะมองไม่เห็นฝั่ง
เราก็จะว่ายไปจนกว่าจะถึงฝั่งเข้าสักวันหนึ่ง"

นางมณีเมขลากล่าวว่า

" มหาสมุทรนี้กว้างใหญ่นักท่านจะพยายามว่ายสักเท่าไรก็คงไม่ถึงฝั่ง
ท่านคงจะ ตายเสียก่อนเป็นแน่"

พระมหาชนกตรัสตอบว่า

" คนที่ทำความเพียรนั้น แม้จะต้องตายไปในขณะกำลังทำ ความเพียรพยายามอยู่ก็จะ
ไม่มีผู้ใดมาตำหนิติเตียนได้เพราะได้ทำหน้าที่เต็มกำลังแล้ว "

นางมณีเมขลาถามต่อว่า

" การทำความพยายามโดยมองไม่เห็น ทางบรรลุเป้าหมายนั้นมีแต่ความยากลำบาก
อาจถึงตายได้ จะต้องเพียรพยายามไปทำไมกัน"
พระมหาชนกตรัสตอบว่า

" แม้จะรู้ว่าสิ่งที่เรา กำลังกระทำนั้นอาจไม่สำเร็จก็ตามถ้าไม่เพียร
พยายามแต่กลับหมดมานะเสียแต่ต้นมือ ย่อมได้รับ ผลร้ายของ
ความเกียจคร้านอย่างแน่นอน ย่อมไม่มีวัน บรรลุถึงเป้าหมายที่ต้องการ
บุคคลควรตั้งความเพียรพยายาม แม้การ
นั้นอาจไม่สำเร็จก็ตามเพราะเรามีความพยายาม ไม่ละความตั้งใจ
เราจึงยังมีชีวิตอยู่ได้ ในทะเลนี้เมื่อคนอื่นได้ตายกัน
ไปหมดแล้ว เราจะพยายามสุดกำลัง เ พื่อไปให้ถึงฝั่งให้จงได้"

นางมณีเมขลาได้ยินดังนั้น ก็เอ่ยสรรเสริญความเพียร
ของมหาชนกกุมารและช่วยอุ้มพามหาชนกกุมาร ไปจนถึงฝั่งเมืองมิถิลา
วางพระองค์ไว้ที่ศาลาในสวนแห่งหนึ่ง ในเมืองมิถิลา

พระราชาโปลชนกไม่มีพระโอรส ทรงมีแต่ พระธิดาผู้ฉลาดเฉลียวเป็นอย่างยิ่ง
พระนามว่า เจ้าหญิงสิวลี ครั้นเมื่อพระองค์ประชวรหนักใกล้จะสวรรคต
บรรดาเสนา ทั้งปวงจึงทูลถามขึ้นว่า เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์แล้วราชสมบัติ
ควรจะตกเป็นของผู้ใด
ในเมื่อไม่ทรงมีพระโอรส พระเจ้าโปลชนก
ตรัสสั่งเสนาว่า

"ท่านทั้งหลายจงมอบ ราชสมบัติให้แก่ผู้มีความสามารถดังต่อไปนี้
ประการแรก

เป็นผู้ที่ทำให้พระราชธิดาของเราพอพระทัยได้

ประการที่สอง
สามารถรู้ว่าด้านไหนเป็นด้านหัวนอนของ บัลลังก์รูปสี่เหลี่ยม

ประการที่สาม
สามารถยกธนูใหญ่ ซึ่งต้องใช้แรงคนธรรมดาถึงพันคนจึงจะยกขึ้นได้

ประการที่สี่
สามารถชี้บอกขุมทรัพย์มหาศาลทั้ง ๑๓ แห่งได้"

แล้วจึงตรัสบอกปัญหาของขุมทรัพย์ทั้ง ๑๓ แห่ง แก่เหล่าอำมาตย์ เช่น
ขุมทรัพย์ที่ดวงอาทิตย์ขึ้น ขุมทรัพย์ที่ดวงอาทิตย์ตก ขุมทรัพย์ที่อยู่ภายใน
ขุมทรัพย์ที่อยู่ภายนอกขุมทรัพย์ที่ไม่ใช่ภายในและภายนอก ขุมทรัพย์ที่ปลายไม้
ขุมทรัพย์ที่ปลายงา ขุมทรัพย์ที่ปลายหาง เป็นต้น เมื่อพระราชาสิ้นพระชนม์

บรรดาเสนาบดีทหาร พลเรือน และประชาราษฎร์ทั้งหลายต่างพยายามที่จะเป็น
ผู้สืบราชสมบัติ แต่ก็ไม่มีผู้ใดสามารถทำให้เจ้าหญิงสีวลีพอพระทัยได้
เพราะล้วนแต่พยายามเอาพระทัยเจ้าหญิงมากเกินไปจนเสียลักษณะของ
ผู้ที่จะปกครองบ้านเมือง
ไม่มีผู้ใดสามารถยก มหาธนูใหญ่ได้ ไม่มีผู้ใดรู้ทิศหัวนอนของบัลลังก์สี่เหลี่ยม
และไม่มีผู้ใดใขปริศนาขุมทรัพย์ได้ ในที่สุดบรรดาเสนาข้าราชบริพารจึงควรตั้ง
พิธีเสี่ยงราชรถ เพื่อหาตัวบุคคลผู้มีบุญญาธิการสมควรครองเมือง

บุษยราชรถเสี่ยงทายนั้นก็แล่นออกจากพระราชวัง ตรงไปที่สวน แล้วหยุดอยู่หน้าศาลาที่
พระมหาชนกทรงนอนอยู่ ปุโรหิตที่ตามราชรถจึงให้ประโคมดนตรีขึ้น
พระมหาชนกได้ยินเสียงประโคม จึงลืมพระเนตรขึ้น เห็นราชรถ ก็ทรงดำริว่า
คงเป็นราชรถเสี่ยงทาย

พระราชาผู้มีบุญเป็นแน่ แต่ก็มิได้แสดงอาการอย่างใดกลับบรรทมต่อไป ปุโรหิตเห็นดังนั้น
ก็คิดว่า บุรุษผู้นี้เป็นผู้มีสติปัญญาไม่ตื่นเต้นตกใจกับสิ่งใดโดยง่าย
จึงเข้าไปตรวจดูพระบาทพระมหาชนก เห็นลักษณะต้องตาม คำโบราณว่าเป็นผู้มีบุญ
จึงให้ประโคมดนตรีขึ้นอีกครั้ง


แล้วเข้าไปทูลอัญเชิญ พระมหาชนกให้ทรงเป็นพระราชาเมืองมิถิลา
พระมหาชนกตรัสถามว่า
พระราชาไปไหนเสีย ปุโรหิตก็กราบทูลว่า พระราชาสวรรคต
ไม่มีพระโอรสมี แต่พระธิดาคือเจ้าหญิงสิวลี แต่องค์เดียว
พระมหาชนกจึงทรงรับเป็นกษัตริย์ครองมิถิลา

ฝ่ายเจ้าหญิงสิวลีได้ทรงทราบว่า
พระมหาชนกได้ราชสมบัติ ก็ประสงค์จะทดลองว่า พระมหาชนก
สมควรเป็นกษัตริย์หรือไม่ จึงให้ราชบุรุษไปทูลเชิญเสด็จมาที่ปราสาทของพระองค์
พระมหาชนกก็เฉยเสีย มิได้ไปตามคำทูล เจ้าหญิงให้คนไปทูล ถึง ๓ ครั้ง
พระมหาชนกก็ไม่สนพระทัย จนถึงเวลาหนึ่งก็ เสด็จไปที่ปราสาทของเจ้าหญิงเอง
โดยไม่ทรงบอกล่วงหน้า เจ้าหญิงตกพระทัยรีบเสด็จมาต้อนรับเชิญ
ไปประทับบนบัลลังก์ พระมหาชนกจึงตรัสถามอำมาตย์ว่า
พระราชาที่สิ้นพระชนม์ตรัสสั่งอะไรไว้บ้าง อำมาตย์ก็ทูลตอบ
พระมหาชนกจึงตรัสสั่งว่า

ข้อที่ ๑
"ที่ว่าทำให้เจ้าหญิงพอพระทัย เจ้าหญิงได้แสดงแล้วว่าพอพระทัยเราจึงได้เสด็จมาต้อนรับเรา"

ข้อที่ ๒
เรื่องปริศนาทิศหัวนอนบัลลังก์นั้น พระมหาชนกทรง
คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถอดเข็มทองคำที่กลัดผ้าโพกพระเศียรออก
ส่งให้เจ้าหญิงให้วางเข็มทองคำไว้ เจ้าหญิงทรงรับเข็มไปวางไว้ บนบัลลังก์สี่เหลี่ยม
พระมหาชนกจึงทรงชี้บอกว่าตรงที่เข็มวาง
อยู่นั้นแหละคือทิศหัวนอนของบัลลังก์ โดยสังเกต จากการที่ เจ้าหญิงทรงวางเข็มทองคำ
จากพระเศียรไว้

ข้อที่ ๓
นั้นก็ตรัสสั่งให้นำมหาธนูมา ทรงยกขึ้นและน้าวอย่าง ง่ายดาย ข้อที่ ๔ เมื่ออำมาตย์กราบทูล
ถึงปัญหาของขุมทรัพย์ทั้ง ๑๓ แห่ง

พระมหาชนกทรงคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ ตรัสบอกคำแก้ปริศนา ขุมทรัพย์ทั้ง ๑๓ แห่งได้หมด
เมื่อสั่งให้คนไปขุดดู ก็พบขุมทรัพย์ ตามที่ตรัสบอกไว้ทุกแห่ง
ผู้คนจึงพากันสรรเสริญปัญญาของ พระมหาชนกกันทั่วทุกแห่งหน
พระมหาชนกโปรดให้เชิญพระมารดาและพราหมณ์ ทิศาปาโมกข์จากเมืองกาลจัมปากะ

ทรงอุปถัมภ์ บำรุงให้สุขสบาย ตลอดมา จากนั้นทรงสร้างโรงทานใหญ่ ๖ทิศในเมืองมิถิล
ทรงบริจาคมหาทานเป็นประจำ เมืองมิถิลาจึงมีแต่ความผาสุกสมบูรณ์ เพราะ
พระราชาทรงอยู่ในทศพิธราชธรรม ต่อมาพระนางสิวลีประสูติพระโอรส
ทรงนามว่า ทีฆาวุกุมาร เมื่อเจริญวัยขึ้น พระบิดาโปรดให้ดำรง ตำแหน่งอุปราช
อยู่มาวันหนึ่ง พระราชามหาชนกเสด็จอุทยานทอดพระเนตร เห็นมะม่วงต้นหนึ่งกิ่งหัก
ใบไม้ร่วง

อีกต้นมีใบแน่นหนา ร่มเย็นเขียวชอุ่ม
จึงตรัสถาม อำมาตย์กราบทูลว่าต้นมะม่วง ที่มีกิ่งหักนั้น เป็นเพราะรสมีผลอร่อย
ผู้ คนจึงพากันสอยบ้าง เด็ดกิ่งและขว้างปาเพื่อเอาบ้าง จนมีสภาพเช่นนั้น

ส่วนอีกต้น ไม่มีผล จึงไม่มีคนสนใจ ใบและกิ่งจึงสมบูรณ์เรียบร้อยดี
พระราชาได้ฟังก็ทรงคิดว่า
ราชสมบัติ เปรียบเหมือน ต้นไม้มีผลอาจถูกทำลาย
แม้ไม่ถูกทำลายก็ต้องคอย ระแวดระวังรักษา เกิดความกังวล เราจะทำตนเป็นผู้
ไม่มีกังวลเหมือนต้นไม้ไม่มีผล เราจะออกบรรพชา สละราชสมบัติเสีย

มิให้เกิดกังวล พระราชาเสด็จกลับมาปราสาท ปลงพระเกศาพระมัสสุ ครองผ้ากาสาวพัสตร์
ครองอัฏฐบริขารครบถ้วน แล้วเสด็จออกจากมหาปราสาทไป

ครั้นพระนางสิวลีทรงทราบ ก็รีบติดตามมา ทรงอ้อนวอนให้ พระราชาเสด็จกลับ
พระองค์ก็ไม่ยินยอม พระนางสิวลีจึงทำอุบายให้อำมาตย์ เผาโรงเรือนเก่าๆ และ กองหญ้า
กองใบไม้ เพื่อให้พระราชาเข้าพระทัยว่าไฟไหม้พระคลังจะได้เสด็จกลับ
พระราชาตรัสว่า
พระองค์เป็นผู้ไม่มีสมบัติแล้ว

สมบัติที่แม้จริงของพระองค์ คือความสุขสงบจากการบรรพชานั้นยังคงอยู่กับพระองค์
ไม่มีผู้ใดทำลายได้ พระนางสิวลีทรงทำอุบายสักเท่าไร
พระราชาก็มิได้สนพระทัย และตรัสให้ประชาชนอภิเษก พระทีฆาวุราชกุมารขึ้นเป็นกษัตริย์
เพื่อปกครองมิถิลาต่อไป

พระนางสิวลีไม่ทรงละความเพียร
พยายามติดตาม พระมหาชนกต่อไปอีก วันรุ่งขึ้นมีสุนัขคาบเนื้อที่เจ้าของเผลอ
วิ่งหนีมาพบผู้คนเข้าก็ตกใจทิ้งชิ้นเนื้อไว้ พระมหาชนกคิดว่า
ก้อนเนื้อนี้เป็นของไม่มีเจ้าของ สมควรที่จะเป็นอาหารของเราได้ จึงเสวยก้อนเนื้อนั้น
พระนางสิวลีทรงเห็นดงนั้น ก็เสียพระทัย อย่างยิ่ง
ที่พระสวามีเสวยเนื้อที่สุนัขทิ้งแล้ว แต่พระมหาชนกว่า นี่แหล่ะเป็นอาหารพิเศษ

ต่อมาทั้งสองพระองค์ทรงพบเด็กหญิงสวมกำไลข้อมือ
ข้างหนึ่งมีกำไลสองอัน อีกข้างมีอันเดียว พระราชาตรัสถามว่า
"ทำไมกำไลข้างที่มีสองอันจึงมีเสียงดัง"
เด็กหญิงตอบว่า
"เพราะกำไลสองอันนั้นกระทบกันจึงเกิดเสียงดัง ส่วนที่มี ข้างเดียวนั้นไม่ได้กระทบกับอะไรจึงไม่มีเสียง"

พระราชาจึง ตรัสแนะให้ พระนางคิดพิจารณาถ้อยคำของเด็กหญิง
กำไลนั้นเปรียบเหมือนคนที่อยู่สองคน ย่อมกระทบกระทั่งกัน ถ้าอยู่คนเดียวก็จะสงบสุข

แต่พระนางสิวลียังคงติดตาม พระราชาไปอีก
จนมาพบนายช่างทำลูกศร นายช่างทูลตอบ คำถามพระราชาว่า


"การที่ต้องหลับตาข้างหนึ่งเวลาดัด ลูกศรนั้น ก็เพราะถ้าลืมตาสองข้างจะไม่เห็นว่าข้างไหนคด ข้างไหนตรง เหมือนคนอยู่สองคนก็จะขัดแย้งกัน ถ้าอยู่คนเดียวก็ไม่ขัดแย้ง กับใคร"


พระราชาตรัสเตือนพระนางสิวลีอีกครั้งหนึ่งว่า พระองค์ประสงค์จะเดินทางไปตามลำพัง
เพื่อแสวงหา ความสงบไม่ประสงค์จะมีเรื่องขัดแย้งกระทบกระทั่ง
หรือความไม่สงบอันเกิดจากการอยู่ร่วมกันกับผู้อื่น อีกต่อไป

พระนางสิวลีได้ฟังพระวาจาดังนั้นก็น้อยพระทัยจึงตรัสว่า
"ต่อไปนี้หม่อมฉนหมดวาสนาจะได้อยู่ร่วมกับ พระองค์อีกแล้ว"
พระราชาจึงเสด็จไปสู่ป่าใหญ่แต่ลำพังเพื่อบำเพ็ญสมาบัติ มิได้กลับมาสู่พระนครอีก
ส่วนพระนางสิวลีเสด็จกลับเข้าสู่ พระราชวัง อภิเษกพระทีฆาวุกุมารขึ้นเป็นพระราชา
แล้วพระนางโปรดให้สร้างเจดีย์ขึ้นในที่ต่างๆ เพื่อรำลึกถึง
พระราชามหาชนก ผู้ทรงมีพระสติปัญญา และที่ยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด
คือ ทรงมีความ เพียรพยายามเป็นเลิศ มิได้เคยเสื่อมถอย จากความเพียร
ทรงตั้งพระทัยที่จะกระทำการโดยเต็มกำลัง ความสามารถ เพราะทรงยึดมั่นว่า
บุคคลควรตั้งความเพียรพยายามไม่ว่ากิจการนั้น จะยากสักเพียงใด ก็ตาม
คนมีปัญญาแม้ได้รับทุกข์ ก็จะไม่สิ้นหวัง ไม่สิ้นความเพียรที่จะพาตนให้พ้นจากความทุกข์นั้นให้
ได้ในที่สุด

Non Copyright 2002. Buddhamamaka Home Page. All Rights Reserved. Comment or suggestion : [email protected]
Hosted by www.Geocities.ws

1