เริ่มจาก ไปที่เมืองจีนหรือข้ามทะเลไปที่อเมริกา
ที่ห่างจากเส้นศูนย์สูตรของโลกขึ้นไปอีกถึงระดับ 40 องศา จะพบท้องฟ้าดังรูปที่แสดงนี้
ดาวเหนือจะอยู่สูงขึ้นมาก (เท่ากับ 40 องศา) ทำให้เดาวประเภทวนอยู่รอบขั้วเหนือได้ชัดเจน
ดาวทางท้องฟ้าทิศใต้ จะยิ่งเอียงลงใกล้ขอบฟ้ามากขึ้น ทำให้ดูยากกว่าที่เชียงใหม่
|
|
ถ้าบุกหิมะฝ่าน้ำแข็งขึ้นไปอีก
จนถึงขั้วโลกเหนือ ก็จะพบท้องฟ้าที่น่าทึ่งมาก คือดาวเหนือจะอยู่ตรงกลางท้องฟ้า
(เพระาเส้นรุ้งมีค่า 90 องศา) และดาวอื่นๆจะหมุนวนไม่มีวันตก แต่จะเห็นได้เพียงครึ่งท้องฟ้าเท่านั้น
ที่ขั้วโลกเวลากลางคืนจะยาวนานถึง 6 เดือน และอีก 6 เดือนที่เหลือ จะเป็นกลางวันตลอดเวลา
ซึ่งน่าจะดีสำหรับการดูดาว ที่มืดถึง 6 เดือนต่อเนื่อง แต่ในความเป็นจริงที่บริเวณขั้วโลก(เหนือ)
อากาศมักจะแปรปรวน มีพายุบ่อยครั้ง คงไม่เป็นสวรรค์ของนักดูดาวสักเท่าไร
|
|
หากเดินทางย้อนกลับไปที่เส้นศูนย์สูตรของโลก
เช่นที่ อินโดนีเซีย อเมริกากลางหรือแอฟริกา เป็นต้น จะพบว่าเป็นที่เดียวที่ดาวจะขึ้นและตกอย่างตรงๆ
ไม่เฉียง เพราะแกนหมุนของท้องฟ้าวางตัวขนานกับพื้นดิน ดาวเหนือคงมองแทบไม่เห็น
เนื่องจากอยู่ติดขอบฟ้าทางทิศเหนือ แต่ที่นี่เป็นที่เดยวที่ดาวทุกส่วนของท้องฟ้า
มีโอกาสแสดงตัวได้โดยไม่ต้องหลบอยู่ใต้ขอบฟ้าตลอดกาล และเป็นที่เดียวที่ดาวทุกดวงจะมีระยะเวลาปรากฏอยู่เหนือขอบฟ้า
เท่ากับระยะเวลาที่อยู่ใต้ขอบฟ้า เช่นเคยที่ที่ดูเหมือนว่าจะดี กลับมีเมฆค่อนข้างมากเสมอ
เพราะเป็นเขตร้อนจัดของโลก (บริเวณที่อากาศจะดีจริงๆ จะอยู่ในเขตอบอุ่น
ประมาณเส้นรุ้งที่ 20 -40 องศาเหนือและใต้ และต้องขึ้นขึ้นกับสภาพภูมิประเทศรอบข้างด้วย)
|
|
และถ้าลงใต้ต่อไป เช่น ออสเตรเลีย อเมริกาใต้ หรือแอฟริกาใต้ ก็จะไม่เห็นดาวเหนืออีกแล้ว ดาวที่ไม่เคยโผล่ขึ้นมาจากขอบฟ้าก็จะสูงเด่นอยู่ทางทิศใต้ (บังเอิญไม่มีดาวสว่างตรงขั้วใต้ของท้องฟ้าให้เห็น ก็เลยไม่มีใครรู้จักกันในนามดาวใต้ และการที่ไม่มีดาวใต้สว่างเหมือนดาวเหนือ นักวิชาการบางคนเชื่อว่า มีส่วนทำให้ไม่เกิดความเจริญแพร่หลายเหมือนซีกโลกเหนือ เพราะในสมัยโบราณ การเดินทางจะต้องพึ่งดาวเหนือมากทีเดียว) การเอียงของแนวการขึ้นตกของดาวก็จะต่างกันออกไป แต่ที่น่าสังเกตอย่างยิ่ง ในทุกๆที่บนดลก (ยกเว้นขั้วโลก) ดาวที่เคลื่อนที่ตามแนวเส้นศูนย์สูตรของท้องฟ้า จะขึ้นตรงทิศตะวันออกพอดี และตกตรงทิศตะวันตกพอดีเหมือนกันเสมอ
|
|