ความเป็นมา ของรถโฟลค

             โดย หม่องฯ


ความเป็นมา ของรถโพลค ที่ว่ากันเป็นรถอมตะ หรือ เจ้าเต่าอมตะ นี้ที่มาๆมาจากไหน แรกเริ่มเดิมที ในประเทศ เยอรมันนีในช่วง ค.ศ.1932 หรือตรงกับ พ.ศ.2475 เกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ แต่จะห่วยแตก เหมือนประเทศไทย ตอนนี้หรือไม่ อุตสาหกรรมต่างๆ เกิดสภาวะทรุดอย่าง หนัก แน่นอน อุตสาหกรรมรถยนต์ ย่อมโดยผลกระทบ อันดับแรก การแก้ปัญหา ต่างๆก็ระดมมันสมองกันอย่างสุดฤิทธิ์สุดเดช ไม่วันแมนโชว์ หรือ ดื้อด้าน เอาตะแบงเข้าทู่ เหมือน เสนาบดี ในประเทศสาระขัน แถบเอเซีย ดร.เฟอร์ดินันต์ ปอร์เช่(Dr.Ferdinand Porsche) วิศวกรมือหนึ่งในอุตสาหกรรมยายยนต์ ที่เจ้าของฝีมือในการออกแบบ และผลิตรถยนต์ Porsche , Auto Union , N.S.U., Audi แม้นกระทั่ง Benz ดร.ปอร์เช่ มีส่วนในการออก แบบให้ทั้งนั้น(แต่ที่ดังๆ และเมืองไทยรู้จักกันมาก ก็ เจ้า Porsche นี่แหละ ที่เป็น รถสปอรต์ที่ทุกคน ฝันที่อยากเป็นจริง เป็นเจ้าของ) ได้เสนอแนวความคิด ที่จะออกแบบรถยนต์ขนาดเล็ก ราคาถูก ประหยัดน้ำมัน แล้วก็คงทน ออกมาขายให้คนระดับล่าง เพื่อออกมาพยุงอุตสาหกรรม รถยนต์ในขณะนั้น แนวความคิดเหล่านี้ ได้ถูกเสนอไปตาม บริษัทผู้ผลิต ต่างๆในเยอรมันนี แนวความคิดเหล่านี้ได้ถูกปฏิเสธ จาก บริษัทต่างๆ แต่ ดร.ปอร์เช่ ก็ไม่ได้ละความพยายาม ได้เสนอแผนเหล่านี้ให้กับรัฐบาลเยอรมันนี เกิดไปถูกใจ และตรงกับแนวคิดของ ฮิตเลอร์ ซึ่งกำลัง เป็นผู้นำประเทศ จึงให้ ดำเนินการ โครงการ และจำลองรถต้นแบบออกมา ทาง ดร.ปอร์เช่ ได้ใช้เวลา ประมาณ1 ปี และได้จำลองรถต้นแบบออก มาเป็น รถแบบ รถ4สูบ 2จังหวะ ตามแนวนอน และการระบายความร้อนด้วยอากาศ ออกมา แต่ผลออกมาไม่เป็นที่พอใจ จึงคิดจะพัฒนาต่อ เนื่องจากเวลามีน้อย จึงได้เปลี่ยน แบบมาประดิษฐ์ 4สูบ4จังหวะ แบบลูกสูบนอนยัน และระบายความร้อนด้วยอากาศแทน ซึ่งรถแบบนี้เมื่อสร้างเสร็จแล้ว ก็ จะตกประมาณคัน ละ 1550 มารค ในสมัยนั้น ไม่ทราบจะคิดเป็น เงินบาท แล้ว จะเป็นเท่าไร แต่ทาง ฮิตเลอร์ ติงว่าแพงเกินไป เพราะแนวความคิดของฮิตเลอร์ ต้องการจะสร้างเพื่อ สำหรับ ประชาชน ราคาต้องใกล้ เคียง ราคา มอเตอร์ไซร์ หลังจากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็มาลงตัว เมื่อ ปี 1936 ดร.ปอร์เช่ ได้สร้างรถต้นแบบ เพื่อทดสอบ มา30คัน โดยใช้ชื่อว่า VW30 ซึ่งมาจากคำว่า Volkswagen ซึ่งแปลว่า รถสำหรับประชาชน บริษัทที่รับจ้าง สร้างคือ บริษัท Daimler Benz และลงมือผลิตได้ จริงจังหลังจากทดสอบ แล้วก็มาพัฒนาเป็นรุ่น VW38 โดยใช้ชื่อเรียกว่า Kraft Wagen ฬห้ตรงกับชื่อเมืองที่ใช้ตั้งโรงงาน ก็ ตกปี1940 แต่ก็ผลิตได้ไม่นานก็เกิดสงครามโลกครั้งที่2 ทำให้ต้องโรงงานต้องหันไปผลิตรถเพื่อใช้กิจทางทหาร โดยใช้ชื่อว่า Kabel Wagen เป็นรถจิ๊ป4ประตู รถนี้สร้างชื่อเสียงในการรบเป็นอย่างมาก เนื่องจากความมหัศจรรย์ ของรถKabel Wagen คือเครื่องยนต์ ระบายความร้อนด้วยอากาศ จึงไม่มีปัญหา ในเรื่องต้องหาน้ำหล่อเย็น แม้นจะอยู่ในอุณหภูมิสูง ในทะเลทราย หรือ อากาศหนาวในแถบรัสเซีย รถอื่นมีปัญหา แต่ เจ้า Kabel Wagen กับ สามารถวิ่งได้สบาย เนื่องจากไม่มีสภาวะจุดแข็งของน้ำในหม้อน้ำ เพราะมันไม่มีหม้อน้ำ แถมน้ำหนักเบา สามารถลุย หิมะ ลุยทะเลทรายได้เป็นอย่างด หาก ติดหล่ม ติด หลุม ก็ แค่คนไม่กี่คนมายกออกสบาย บรื๊อ (ก็ ผม เคยเมา ขับไปปีนขึ้นเกาะกลางถนน  ลง ไม่ได้ ขี้เมาในวงเหล้า ด้วยกัน แค่4คน มาช่วยยกออก..สบายมาก...เนี่ย ขนาดเมาๆ นะ).

 


แต่หลังจากเยอรมันฯได้แพ้สงคราม โรงงานโฟลดก็ เสียหายเบื่องจากสงครามถึงเกือบ60% และตกอยู่ภายใต้การยึดครองของ อังกฤษ มาเริ่มผลิตอีกครั้งก็ ปี1949 โดยแต่งตั้ง ให้ นาย Heinz Nordoff เข้าไปจัดการฟื้นฟู และบริหารโรงงาน แต่ ก็มีเศรษฐีนักเล่นรถแถบยุโรบในสมัยนั้น นิยมซื้อโครงClassis มาต่อตัวถัง ได้ เอาโครงClassis ของรถ

Kabel Wagen มาให้ Wilhelm Karmand นักออกแบบรถชื่อดัง ออกแบบให้ Karmand

ได้ออกแบบรถเต่า แบบหลังคาเปิด ให้ ทางโรงงานผลิต ดู Heinz Nordoff เห็นเกิดชอบอก ชอบใจ เลยวางแผน ผลิตตามแบบนั้นออกมา1000คัน ในปี1955 เป็นที่ชื่นชอบของลูกค้า จนเมื่อ Luigi Segre เจ้าของโรงงงานออกแบบ Ghia Studio ได้ออกแบบ รูปทรงรถโฟลค ให้เป็นแบบ กึ่งสปอรต์ และเพรียวลม ทำให้รถวิ่งเร็วขึ้นอีก 15 กม./ชม. รถรุ่นนี้จึงใช้ชื่อ คามานเกียร์ ตามชื่อนักออกแบบคนแรก รถก็ขายดิบขายดีระเบิดเถิดเถิงกันแหลกราน  จนสามารถ ส่งไปขายถึง อเมริกาที่ เป็นเจ้าแห่งอุตสาหกรรม ผลิตรถของโลก


ก่อนที่รถโพลคจะไปดังอยู่ในเมืองมะกันอันเป็น ถิ่นที่มีการผลิตรถที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของโลก ตอนนั้น  เขามีเรื่องเล่ากันว่า มี กะทาชายคนที่ตั้งบริษัทตัวแทนจำหน่ายรถโฟลคคนแรก ของอเมริกา เกิดดไปจับผลัดจับพลู ได้ เป็นตัวแทน จำหน่าย รถ VWในสมัยนั้น ตอนแรกทุนรอนทุนแรม แกก็ไม่ค่อยมี ตะแกก็พยามยามรวบรวมเงินที่มีอยู่จะไปตั้งห้องแถวจำหน่าย เจ้ารถโฟลค แต่ยังขาดเงินอีกราว 10,000 $ ตะแก  ก็เพียรเดินเวียนไปตามเพื่อนฝูงพ่อค้ารถด้วยกัน เพื่อขอให้มาร่วมทุน ประดาพรรคพวกพากัน ส่ายหัวเวียนเฮด หาว่าเจ้านี่ไม่บ้า ก็เมา แหมคิดอะไรเพี้ยนๆเอารถเสร็งเคร็งอะไรก็ไม่รู้ จะมาขายให้ อเมริกันชน ซึ่งอเมริกา ก็มีเมืองดีทรอยต์ เป็นแหล่งผลิตรถขนาดใหญ่ แล้ว รถอเมริกันยุคนั้นก็ฟู่ฟ่า คันยาวสามวา สี่ศอก 3หุน 4กะเบียด แถมติดคิ้วอะไรต่อมิอะไร ให้แวววับระยับตา แต่จะเอาเจ้ารถเสร็งเคร็งคันเท่าฝ่ามือมาขายแข่ง มันก็ เจ๊งตะแต่เริ่มคิด แล้ว ปรากฏ กระทาชายนายนั้น เดี๋ยวนี้ก็ยังขายรถยี่ห้อVolk อยู่ แต่ได้ ข่าวว่าแกรวยไม่รู้เรื่องไปแล้ว(ไม่ยักกะมีใคร เอาค่าความรวย มาเปรียบเทียบ กะ เฮีย บิลเกต เจ้าของ โปรแกรม Microsoft Windows ว่าใคร รวยกว่าใคร สักเท่าไร)   ประดาเพื่อนผองที่เคยส่ายหน้า กะแกตอนนั้น พากันอิจฉา แล้วบ่นกับตัวเอง ว่าบุญไม่มีๆ ไปตามๆกัน.

 


มีหลายคนสงสัยรถ โฟลคมันเป็นที่นิยมหรือดัง ในอเมริกาได้ไง ราคามันถูกเหรอ ผิดอีกนั้นแหละ ซื้อรถโฟลคกะซื้อรถอเมริกันดีๆได้หลากหลาย ในราคาพอกัน รถโฟลค ประหยัดน้ำมันเหรอ ตอนนั้นเรื่องนี้ไม่ต้องคิด เพราะทรัพยากรทางเชื้อเพลิง ยังมีอีกมหาศาล แล้วก็ราคาถูกยิ่งก่า โค๊ก อีก ทั้งในสายตารถโฟลคเป็นรถประเภทแรงน้อย ค่อยๆไป เรียกว่า บ้อลัด นั่นแหละ  เครื่องอำนวยความสะดวกสบายก็ไม่ค่อยมี ระบบออโต้ง ออโต้ ไม่ต้องคิด  แต่ความที่มันจะดัง  และเป็นที่ชื่นชอบ ก็เพราะการขับรถโฟลคมันเป็นเรื่องที่สนุกๆ ไง เหมือนเด็กได้เล่นของเล่นไง จึงทำให้เป็นที่นิยม เขาจึงเปรียบรถโฟลคว่า เหมือน ของเล่น ของคนรวย (VW is a rich man 's Toy) แล้วท่านทราบ ไหม รถโฟลคขายในอเมริกา ปีแรกเพียง2คันเอง แต่เพิ่มเป็น600กว่าคัน ใน3ปีต่อมา แต่ปี1955 ยอดขายจาก 6,614คัน เป็น 30,928 คัน แต่ปี 1967 ขายได้ถึง 443,396 คัน แถมโรงงานผลิตรถโฟลคตอนนั้น มียอดการผลิตรถ เป็นอันดับ3ของโลก สามารถผลิตรถได้วันละ 10,000คัน ต่อวัน มีคนงาน ถึง 190,000คน และ 37% ของการผลิต จะ ส่งไปขายที่เมืองมะกันดินแดนแห่งการผลิตรถที่ใหญ่ที่สุด  นับว่าเป็นยอดขายเป็นอันดับหนึ่งของรถที่นำเข้ามาขาย แบบนี้จะไม่ให้ เรียก มหัศจรรย์ รถโฟลค ได้ ยังไง. อ้อ ยังมีข้อมูลว่า โรงงานผลิตรถโฟลค ใช้แร่แม็คนีเซียมมากที่สุดในโลก คือ 30,000ตัน ต่อปี หรือ คิดเป็น 10% ของการผลิต แร่แม็คนีเซียม ของโลก(การผสมแร่แม็คนีเซียม ลงไปในเหล็กที่ถลุง จะทำให้ เหล็กที่ผลิตออกมา เป็นเหล็กกล้า  มีความทนทานต่อการเป็นสนิม แข็งแรง ทนทาน ) แล้ว จะไม่ให้ รถโฟลค ทนทานได้ไง ก็ พวกเล่นผสมแร่ นี้ลงไปในเนื้อเหล็ก ตัวถัง อย่างไม่กลัวจน แบบนี้เราๆท่านๆถึงเห็น รถยี่ห้อนี้ ทนแดด ทน ฝน ทนหิมะ ไม่ค่อยต้องทำสี ปะผุกันเท่าไร ก็เพราะแบบนี้เอง ใช้กันที 10กว่า20ปี ค่อยนึกได้ ผิดกับรถในปัจจุบัน บางยี่ห้อ ตัวถังบางทั้งคัน จน คิดว่าเอาสังกะสีมา ต่อเป็นตัวถัง เดินผ่านไม่กล้าหายใจ รดแรง กลัวมันจะบุบ เฮ้อ

สำหรับประเทศไทย บริษัท ประชายนต์ จำกัด เป็นตัวแทนจำหน่าย แต่จะเจ้าแรก หรือ ไม่ตรงนี้ไม่มีข้อมูล แล้ว ลูกค้าที่กลุ่มที่ชื่นชอบ รถโฟลค รู้ไหม พวก ไหน ก็ พวกบรรดา หมอๆ(หมอจริงๆ นะ ที่เรียกว่า แพทย์ นะ ไม่ใช่ หมอตามโรงตะบาล บางก๊อกโคซี่ แถวเพชรบุรีตัดใหม่) จากนั้นก็ นิยมกันเรื่อยมาถึงขนาดตั้งโรงงานผลิต ในประเทศไทย จนมาหยุด หรือ ซา ลง หลัง จาก บริษัท Volkswagen ประกาศหยุดผลิตรถเต่า หรือ Beetle ในปี 1975 นี่ปี 1999 ก็มาผลิต Beetle ออกมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ มองดูแล้ว ว่าจะไม่เป็น รถสำหรับประชาชน อีกแล้ว เพราะราคาที่นำเข้ามาขายใน เมืองไทย ก็ เหยียบเกือบ2 ล้านบาท แต่ก็มีข่าวไม่ได้ กรองมาอีกนั่นแหละว่า โฟลค จะให้ ประเทศทางแถบบราซิล ผลิตรถโฟลค ในสไตร์เก่าออกมาจำหน่ายอีก จริง เท็จอย่างไร ก็ ต้องไปสืบกันเอาเอง ครับ อ้อ แล้ว สำหรับท่านที่พึ่งมาอ่านบทความเหล่า นี้ และพึ่งรู้จัก เจ้าเต่า มหัศจรรย์ ตัวนี้ เวลาเห็น แล้วเกิดชอบอก ชอบใจ อยากได้  ก้ต้องเตรียมเงินกันมาก หน่อย เห็น รถโฟลคเก่าๆ 20-30 ปี ที่วิ่งอยู่กันเดี๋ยวนี้ ในเมืองไทย  เขาซื้อขายกัน คันละเป็น แสน หรือ หลายแสน เชียวนา คันที่สภาพเดิมๆ ดี บางทีๆ ท่านเอารถเก๋งญี่ปุ่น คันใหม่ๆ มาแลก บางทีเจ้าของเค้า ยังเมิน เลย โธ่ ก็รถประเภท Collection  ของรัก ของหวง ยิ่งกว่าเมีย(น้อย) อีก 

Next  Page2             

 Go To Main MENU

1