ค้นว่าอยู่เล่มใด แล้วกด [ctrl]+f หรือใช้คำสั่งของเครื่องหาตำแหน่งในเล่มอีกทีนะครับ



จัดรูปหน้าใหม่
เพื่อความสะดวก และสวยงาม
(เฉพาะหน้าจอใหญ่ เช่น คอมพิวเตอร์)
กรุณาคลิก จัดรูปหน้าใหม่
เพื่อให้กรอบ
ค้นข้อความ ปรากฎที่ด้านซ้ายของหน้า

พระไตรปิฎกภาษาไทย
ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ๔๕ เล่ม (ปกสีฟ้า)
ทั้งออนไลน์และออฟไลน์
ที่มาของข้อมูล : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับ มจร.
MCUTRAI Version 1.0

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๔๒-๒ อภิธรรมปิฎกที่ ๐๙ ปัฏฐาน ภาค ๓

พระอภิธรรมปิฎก
ธัมมานุโลม ทุกปัฏฐาน
_____________
ขอนอบน้อมพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๑.รูปีทุกะ ๑.ปฏิจจวาร

นอาเสวนปัจจัย มี ๙ วาระ
นกัมมปัจจัย มี ๒ วาระ
นวิปากปัจจัย มี ๕ วาระ
นอาหารปัจจัย มี ๑ วาระ
นอินทรียปัจจัย มี ๑ วาระ
นฌานปัจจัย มี ๒ วาระ
นมัคคปัจจัย มี ๙ วาระ
นสัมปยุตตปัจจัย มี ๓ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ วาระ
โนนัตถิปัจจัย มี ๓ วาระ
โนวิคตปัจจัย มี ๓ วาระ

ปัจจนียะ จบ

๓. ปัจจยานุโลมปัจจนียะ
เหตุทุกนัย

[๙๙] นอารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๓ วาระ
นอธิปติปัจจัย ” มี ๙ วาระ
นอนันตรปัจจัย ” มี ๓ วาระ
นสมนันตรปัจจัย ” มี ๓ วาระ
นอัญญมัญญปัจจัย ” มี ๓ วาระ
นอุปนิสสยปัจจัย ” มี ๓ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย ” มี ๙ วาระ
นปัจฉาชาตปัจจัย ” มี ๙ วาระ
นอาเสวนปัจจัย ” มี ๙ วาระ
นกัมมปัจจัย ” มี ๑ วาระ
นวิปากปัจจัย ” มี ๕ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๑๖๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๑.รูปีทุกะ ๑.ปฏิจจวาร

นสัมปยุตตปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๓ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย ” มี ๑ วาระ
โนนัตถิปัจจัย ” มี ๓ วาระ
โนวิคตปัจจัย ” มี ๓ วาระ

อนุโลมปัจจนียะ จบ

๔. ปัจจยปัจจนียานุโลม
นเหตุทุกนัย

[๑๐๐] อารัมมณปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๓ วาระ
อนันตรปัจจัย ” มี ๓ วาระ
สมนันตรปัจจัย ” มี ๓ วาระ
สหชาตปัจจัย ” มี ๙ วาระ
อัญญมัญญปัจจัย ” มี ๖ วาระ
นิสสยปัจจัย ” มี ๙ วาระ
อุปนิสสยปัจจัย ” มี ๓ วาระ
ปุเรชาตปัจจัย ” มี ๑ วาระ
อาเสวนปัจจัย ” มี ๑ วาระ
กัมมปัจจัย ” มี ๙ วาระ
วิปากปัจจัย ” มี ๙ วาระ
อาหารปัจจัย ” มี ๙ วาระ
อินทรียปัจจัย ” มี ๙ วาระ
ฌานปัจจัย ” มี ๙ วาระ
มัคคปัจจัย ” มี ๑ วาระ
สัมปยุตตปัจจัย ” มี ๓ วาระ
วิปปยุตตปัจจัย ” มี ๙ วาระ
อัตถิปัจจัย ” มี ๙ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๑๖๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๑.รูปีทุกะ ๓.ปัจจยวาร

นัตถิปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๓ วาระ
วิคตปัจจัย ” มี ๓ วาระ
อวิคตปัจจัย ” มี ๙ วาระ

ปัจจนียานุโลม จบ
(สหชาตวารเหมือนกับปฏิจจวาร)

๑๑. รูปีทุกะ ๓. ปัจจยวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๑๐๑] สภาวธรรมที่เป็นรูปทำสภาวธรรมที่เป็นรูปให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะ
เหตุปัจจัย ได้แก่ ... ทำมหาภูตรูป ๑ ฯลฯ (เหมือนกับปฏิจจวาร) (๑)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปทำสภาวธรรมที่เป็นรูปให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย
ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่เป็นรูปทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๒)
สภาวธรรมที่เป็นรูปและที่ไม่เป็นรูปทำสภาวธรรมที่เป็นรูปให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น
เพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่เป็นรูปทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น จิตต-
สมุฏฐานรูปทำมหาภูตรูปให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (วาระที่เหลือ
ก็อย่างนี้ พึงจำแนกปวัตติกาลและปฏิสนธิกาล) (๓)

อารัมมณปัจจัย
[๑๐๒] สภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปทำสภาวธรรมที่เป็นรูปให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะ
อารัมมณปัจจัย ได้แก่ จักขุวิญญาณทำจักขายตนะให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ
กายวิญญาณทำกายายตนะให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ขันธ์ที่ไม่เป็นรูปทำหทัยวัตถุให้เป็น
ปัจจัยเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปทำสภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะ
อารัมมณปัจจัย ได้แก่ ... ทำขันธ์ ๑ ที่ไม่เป็นรูป ฯลฯ ทำขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๑๖๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๑.รูปีทุกะ ๓.ปัจจยวาร
สภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปทำสภาวธรรมที่เป็นรูปและที่ไม่เป็นรูปให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น
เพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ ทำขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยจักขุวิญญาณและ
ทำจักขายตนะให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ทำขันธ์ ๒ ฯลฯ ที่สหรคตด้วยกาย-
วิญญาณ ฯลฯ ขันธ์ ๓ ทำขันธ์ ๑ ที่ไม่เป็นรูปและทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น
ฯลฯ ทำขันธ์ ๒ ฯลฯ (ย่อ) (๓)

๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๑๐๓] เหตุปัจจัย มี ๙ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๓ วาระ
อธิปติปัจจัย มี ๙ วาระ
อนันตรปัจจัย มี ๓ วาระ
สมนันตรปัจจัย มี ๓ วาระ
สหชาตปัจจัย มี ๙ วาระ
อัญญมัญญปัจจัย มี ๖ วาระ
นิสสยปัจจัย มี ๙ วาระ
อุปนิสสยปัจจัย มี ๓ วาระ
ปุเรชาตปัจจัย มี ๓ วาระ
อาเสวนปัจจัย มี ๓ วาระ
กัมมปัจจัย มี ๙ วาระ ฯลฯ
มัคคปัจจัย มี ๙ วาระ
สัมปยุตตปัจจัย มี ๓ วาระ
วิปปยุตตปัจจัย มี ๙ วาระ
อัตถิปัจจัย มี ๙ วาระ
นัตถิปัจจัย มี ๓ วาระ
วิคตปัจจัย มี ๓ วาระ
อวิคตปัจจัย มี ๙ วาระ

อนุโลม จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๑๖๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๑.รูปีทุกะ ๓.ปัจจยวาร
๒. ปัจจยปัจจนียะ ๑. วิภังควาร
นเหตุปัจจัย
[๑๐๔] สภาวธรรมที่เป็นรูปทำสภาวธรรมที่เป็นรูปให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะ
นเหตุปัจจัย ได้แก่ ... ทำมหาภูตรูป ๑ ฯลฯ สำหรับเหล่าอสัญญสัตตพรหม ...
ทำมหาภูตรูป ๑ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปทำสภาวธรรมที่เป็นรูปให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะนเหตุ-
ปัจจัย ได้แก่ จักขุวิญญาณทำจักขายตนะให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ กายวิญญาณ
ทำกายายตนะให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ขันธ์ที่ไม่มีเหตุซึ่งไม่เป็นรูปทำหทัยวัตถุให้เป็น
ปัจจัยเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะที่เป็นอเหตุกะ ฯลฯ โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา
และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่เป็นรูปและที่ไม่เป็นรูปทำสภาวธรรมที่เป็นรูปให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น
เพราะนเหตุปัจจัย (พึงเพิ่มปวัตติกาลและปฏิสนธิกาล) (๓)
[๑๐๕] สภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปทำสภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น
เพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ ... ทำขันธ์ ๑ ที่ไม่มีเหตุซึ่งไม่เป็นรูป ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ
ฯลฯ โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วยอุทธัจจะทำขันธ์ที่สหรคตด้วย
วิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วยอุทธัจจะให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่เป็นรูปทำสภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะนเหตุ-
ปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปทำขันธ์ที่ไม่มีเหตุซึ่งไม่เป็นรูปให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น
ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๒)
สภาวธรรมที่เป็นรูปและที่ไม่เป็นรูปทำสภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น
เพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปทำขันธ์ ๑ ที่ไม่มีเหตุซึ่ง
ไม่เป็นรูปให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ทำขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๓)
[๑๐๖] สภาวธรรมที่เป็นรูปทำสภาวธรรมที่เป็นรูปและที่ไม่เป็นรูปให้เป็นปัจจัย
เกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปทำขันธ์ที่ไม่มีเหตุซึ่งไม่เป็นรูป
และทำมหาภูตรูปให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปทำสภาวธรรมที่เป็นรูปและที่ไม่เป็นรูปให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น
เพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ ทำขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยจักขุวิญญาณและทำ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๑๖๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๑.รูปีทุกะ ๓.ปัจจยวาร
จักขายตนะให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ทำขันธ์ ๒ ฯลฯ ที่สหรคตด้วยกายวิญญาณ
ฯลฯ ขันธ์ ๓ ทำขันธ์ ๑ ที่ไม่เป็นรูปและทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ
ทำขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคต
ด้วยอุทธัจจะทำขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และทำ
หทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่เป็นรูปและที่ไม่เป็นรูปทำสภาวธรรมที่เป็นรูปและที่ไม่เป็นรูปให้เป็น
ปัจจัยเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ ทำขันธ์ ๑ ที่ไม่มีเหตุซึ่งไม่เป็นรูป
และทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ทำขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปทำ
ขันธ์ที่ไม่เป็นรูปและทำมหาภูตรูปให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๓)

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๑๐๗] นเหตุปัจจัย มี ๙ วาระ
นอารัมมณปัจจัย มี ๓ วาระ
นอธิปติปัจจัย มี ๙ วาระ
นอนันตรปัจจัย มี ๓ วาระ
นสมนันตรปัจจัย มี ๓ วาระ
นอัญญมัญญปัจจัย มี ๓ วาระ
นอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย มี ๙ วาระ
นปัจฉาชาตปัจจัย มี ๙ วาระ
นอาเสวนปัจจัย มี ๙ วาระ
นกัมมปัจจัย มี ๔ วาระ
นวิปากปัจจัย มี ๙ วาระ
นอาหารปัจจัย มี ๑ วาระ
นอินทรียปัจจัย มี ๑ วาระ
นฌานปัจจัย มี ๔ วาระ
นมัคคปัจจัย มี ๙ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๑๖๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๑.รูปีทุกะ ๓.ปัจจยวาร

นสัมปยุตตปัจจัย มี ๓ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ วาระ
โนนัตถิปัจจัย มี ๓ วาระ
โนวิคตปัจจัย มี ๓ วาระ

ปัจจนียะ จบ

๓. ปัจจยานุโลมปัจจนียะ
เหตุทุกนัย

[๑๐๘] นอารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๓ วาระ

(ย่อ พึงเพิ่มทุกวาระ)

นกัมมปัจจัย ” มี ๓ วาระ
นวิปากปัจจัย ” มี ๙ วาระ
นสัมปยุตตปัจจัย ” มี ๓ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย ” มี ๑ วาระ
โนนัตถิปัจจัย ” มี ๓ วาระ
โนวิคตปัจจัย ” มี ๓ วาระ

อนุโลมปัจจนียะ จบ

๔. ปัจจยปัจจนียานุโลม
นเหตุทุกนัย

[๑๐๙] อารัมมณปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๓ วาระ

(พึงเพิ่มทุกวาระ) ฯลฯ

ฌานปัจจัย ” มี ๙ วาระ
มัคคปัจจัย ” มี ๓ วาระ ฯลฯ
อวิคตปัจจัย ” มี ๙ วาระ

ปัจจนียานุโลม จบ
(นิสสยวารเหมือนกับปัจจยวาร)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๑๖๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๑.รูปีทุกะ ๗.ปัญหาวาร
๑๑. รูปีทุกะ ๕. สังสัฏฐวาร
๑. ปัจจยานุโลมเป็นต้น
[๑๑๐] สภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปเกิดระคนกับสภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปเพราะเหตุ-
ปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ เกิดระคนกับขันธ์ ๑ ที่ไม่เป็นรูป ฯลฯ เกิดระคนกับ
ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ

เหตุปัจจัย มี ๑ วาระ ฯลฯ
อวิคตปัจจัย มี ๑ วาระ

(การนับปัจจนียะเป็นต้นและสัมปยุตตวารพึงเพิ่มไว้ทั้งหมดอย่างนี้ มีเพียง
วาระเดียวเท่านั้น)

๑๑. รูปีทุกะ ๗. ปัญหาวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๑๑๑] สภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปโดย
เหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่ไม่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์โดยเหตุปัจจัย ใน
ปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นรูปโดยเหตุปัจจัย ได้แก่
เหตุที่ไม่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
(๒)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นรูปและที่ไม่เป็นรูปโดย
เหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่ไม่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูป
โดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๑๖๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๑.รูปีทุกะ ๗.ปัญหาวาร
อารัมมณปัจจัย
[๑๑๒] สภาวธรรมที่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปโดยอารัมมณ-
ปัจจัย ได้แก่ บุคคลเห็นแจ้งจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ อิตถินทรีย์ ฯลฯ ปุริสินทรีย์
ฯลฯ ชีวิตินทรีย์ ฯลฯ อาโปธาตุ ฯลฯ กวฬิงการาหารโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง
ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ
รูปายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณโดยอารัมมณปัจจัย ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะเป็น
ปัจจัยแก่กายวิญญาณโดยอารัมมณปัจจัย ขันธ์ที่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ
ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ อนาคตังสญาณ และอาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย (๑)
[๑๑๓] สภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปโดย
อารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถแล้วพิจารณากุศล
นั้น พิจารณากุศลที่เคยสั่งสมไว้ดีแล้ว ฯลฯ ออกจากฌาน ฯลฯ พระอริยะออกจาก
มรรคแล้วพิจารณามรรค พิจารณาผล พิจารณานิพพาน นิพพานเป็นปัจจัยแก่
โคตรภู โวทาน มรรค ผล และอาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย พระอริยะพิจารณา
กิเลสที่ละได้แล้ว ฯลฯ พิจารณากิเลสที่ข่มได้แล้ว ฯลฯ พิจารณากิเลสที่เคยเกิด
ขึ้น ฯลฯ บุคคลเห็นแจ้งขันธ์ที่ไม่เป็นรูปโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัสจึงเกิด
ขึ้น บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้มีความพรั่งพร้อมด้วยจิตที่ไม่เป็นรูปด้วยเจโตปริยญาณ
อากาสานัญจายตนะเป็นปัจจัยแก่วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะเป็น
ปัจจัยแก่เนวสัญญานาสัญญายตนะ ฯลฯ ขันธ์ที่ไม่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ
เจโตปริยญาณ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ยถากัมมูปคญาณ อนาคตังสญาณ และ
อาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย (๑)

อธิปติปัจจัย
[๑๑๔] สภาวธรรมที่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปโดยอธิปติปัจจัย
มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลยินดีเพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ กวฬิง-
การาหารให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทำความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้น
นั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๑๖๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๑.รูปีทุกะ ๗.ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปโดยอธิปติปัจจัย
มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติและสหชาตาธิปติ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน ฯลฯ (ย่อ) นิพพานเป็นปัจจัยแก่มรรค
และผลโดยอธิปติปัจจัย บุคคลยินดีเพลิดเพลินขันธ์ที่ไม่เป็นรูปให้เป็นอารมณ์อย่าง
หนักแน่น ฯลฯ ราคะจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่ไม่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์โดย
อธิปติปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นรูปโดยอธิปติปัจจัย มี
อย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่ไม่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่จิตต-
สมุฏฐานรูปโดยอธิปติปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นรูปและที่ไม่เป็นรูปโดย
อธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่ไม่เป็นรูปเป็น
ปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดยอธิปติปัจจัย (๓)

อนันตรปัจจัยเป็นต้น
[๑๑๕] สภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปโดย
อนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่เป็นรูปซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่เป็นรูปซึ่ง
เกิดหลัง ๆ ฯลฯ ผลสมาบัติโดยอนันตรปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสมนันตรปัจจัย
(สหชาตปัจจัย มี ๗ วาระ ในที่นี้ ไม่มีฆฏนา อัญญมัญญปัจจัย มี ๖ วาระ
นิสสยปัจจัย มี ๗ วาระ ในที่นี้ ไม่มีฆฏนา)

อุปนิสสยปัจจัย
[๑๑๖] สภาวธรรมที่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปโดยอุป-
นิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะและปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยอุตุ โภชนะ เสนาสนะแล้ว ให้ทาน ฯลฯ
ทำลายสงฆ์ อุตุ โภชนะ และเสนาสนะเป็นปัจจัยแก่ศรัทธา ฯลฯ ผลสมาบัติโดย
อุปนิสสยปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๑๗๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๑.รูปีทุกะ ๗.ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปโดยอุปนิสสยปัจจัย
มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยศรัทธาแล้วให้ทาน อาศัยศีล ฯลฯ ทุกข์
ทางกายแล้วให้ทาน ฯลฯ ทำลายสงฆ์ ศรัทธา ฯลฯ ทุกข์ทางกายเป็นปัจจัยแก่
ศรัทธา ฯลฯ ผลสมาบัติโดยอุปนิสสยปัจจัย (๑)

ปุเรชาตปัจจัย
[๑๑๗] สภาวธรรมที่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปโดยปุเรชาต-
ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาตะและวัตถุปุเรชาตะ
อารัมมณปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลเห็นแจ้งจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ
กวฬิงการาหารโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วย
ทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รูปายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ
โผฏฐัพพายตนะเป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ ฯลฯ
วัตถุปเรชาตะ ได้แก่ จักขายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ กายา-
ยตนะเป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ ฯลฯ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่เป็นรูปโดย
ปุเรชาตปัจจัย (๑)

ปัจฉาชาตปัจจัย
[๑๑๘] สภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นรูปโดยปัจฉาชาต-
ปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่เป็นรูปซึ่งเกิดภายหลังเป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อนโดย
ปัจฉาชาตปัจจัย (๑)

อาเสวนปัจจัย
[๑๑๙] สภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปโดยอาเสวน-
ปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่เป็นรูปซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่เป็นรูปซึ่งเกิด
หลังๆ โดยอาเสวนปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๑๗๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๑.รูปีทุกะ ๗.ปัญหาวาร
กัมมปัจจัย
[๑๒๐] สภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปโดยกัมม-
ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและนานาขณิกะ
สหชาตะ ได้แก่ เจตนาที่ไม่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์โดยกัมมปัจจัย
ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่ไม่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นวิบากโดยกัมม-
ปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นรูปโดยกัมมปัจจัย มี ๒
อย่าง คือ สหชาตะและนานาขณิกะ
สหชาตะ ได้แก่ เจตนาที่ไม่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดยกัมม-
ปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่ไม่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปโดยกัมมปัจจัย
(๒)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นรูปและที่ไม่เป็นรูปโดย
กัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและนานาขณิกะ
สหชาตะ ได้แก่ เจตนาที่ไม่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตต-
สมุฏฐานรูปโดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่ไม่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นวิบากและ
กฏัตตารูปโดยกัมมปัจจัย (๓)

วิปากปัจจัยและอาหารปัจจัย
[๑๒๑] สภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปโดยวิปาก-
ปัจจัย มี ๓ วาระ
สภาวธรรมที่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นรูปโดยอาหารปัจจัย ได้แก่
กวฬิงการาหารเป็นปัจจัยแก่กายนี้โดยอาหารปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปโดยอาหารปัจจัย
มี ๓ วาระ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๑๗๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๑.รูปีทุกะ ๗.ปัญหาวาร
อินทรียปัจจัย
[๑๒๒] สภาวธรรมที่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นรูปโดยอินทรียปัจจัย
ได้แก่ รูปชีวิตินทรีย์เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปโดยอินทรียปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปโดยอินทรียปัจจัย ได้แก่
จักขุนทรีย์เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ กายินทรีย์เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ
โดยอินทรียปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปโดยอินทรียปัจจัย
มี ๓ วาระ
สภาวธรรมที่เป็นรูปและที่ไม่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปโดย
อินทรียปัจจัย ได้แก่ จักขุนทรีย์และจักขุวิญญาณเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่สหรคตด้วย
จักขุวิญญาณโดยอินทรียปัจจัย ฯลฯ กายินทรีย์ ฯลฯ

ฌานปัจจัยเป็นต้น
[๑๒๓] สภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปโดย
ฌานปัจจัย มี ๓ วาระ เป็นปัจจัยโดยมัคคปัจจัย มี ๓ วาระ เป็นปัจจัยโดย
สัมปยุตตปัจจัย มี ๑ วาระ

วิปปยุตตปัจจัย
[๑๒๔] สภาวธรรมที่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปโดยวิปปยุตต-
ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปุเรชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่เป็นรูปโดย
วิปปยุตตปัจจัย
ปุเรชาตะ ได้แก่ จักขายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ กายายตนะ
เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ ฯลฯ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่เป็นรูปโดย
วิปปยุตตปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๑๗๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๑.รูปีทุกะ ๗.ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นรูปโดยวิปปยุตตปัจจัย
มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปัจฉาชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดยวิปปยุตต-
ปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่ไม่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปโดยวิปปยุตตปัจจัย
ขันธ์ที่ไม่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุโดยวิปปยุตตปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อนโดย
วิปปยุตตปัจจัย (๑)

อัตถิปัจจัยเป็นต้น
[๑๒๕] สภาวธรรมที่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นรูปโดยอัตถิปัจจัย
มี ๓ อย่าง คือ สหชาตะ อาหาระ และอินทรียะ
สหชาตะ ได้แก่ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ (พึงเพิ่มข้อความจนถึงอสัญญสัตต-
พรหม)
กวฬิงการาหารเป็นปัจจัยแก่กายนี้โดยอัตถิปัจจัย รูปชีวิตินทรีย์เป็นปัจจัยแก่
กฏัตตารูปโดยอัตถิปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปโดยอัตถิปัจจัย มี ๒
อย่าง คือ สหชาตะและปุเรชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่เป็นรูปโดย
อัตถิปัจจัย
ปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลเห็นแจ้งจักษุ ฯลฯ กวฬิงการาหารโดยเป็นสภาวะ
ไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพ-
โสตธาตุ รูปายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะเป็นปัจจัย
แก่กายวิญญาณ ฯลฯ จักขายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ กายายตนะ
เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ ฯลฯ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่เป็นรูปโดย
อัตถิปัจจัย (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๑๗๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๑.รูปีทุกะ ๗.ปัญหาวาร
[๑๒๖] สภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปโดยอัตถิ-
ปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่ไม่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ
ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นรูปโดยอัตถิปัจจัย มี ๒
อย่าง คือ สหชาตะและปัจฉาชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดยอัตถิปัจจัย
ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อนโดยอัตถิ-
ปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นรูปและที่ไม่เป็นรูปโดย
อัตถิปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่ไม่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป
โดยอัตถิปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๓)
[๑๒๗] สภาวธรรมที่เป็นรูปและที่ไม่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นรูป
โดยอัตถิปัจจัย มี ๔ อย่าง คือ สหชาตะ ปัจฉาชาตะ อาหาระ และอินทรียะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่เป็นรูปและมหาภูตรูปเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป
โดยอัตถิปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่เป็นรูปและกวฬิงการาหารเป็นปัจจัยแก่กายนี้โดย
อัตถิปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่เป็นรูปและรูปชีวิตินทรีย์เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูป
โดยอัตถิปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เป็นรูปและที่ไม่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปโดย
อัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปุเรชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยจักขุวิญญาณและจักขายตนะเป็น
ปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัตถิปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ที่สหรคตด้วยกายวิญญาณ
ฯลฯ ขันธ์ ๑ ที่ไม่เป็นรูปและหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัตถิปัจจัย ฯลฯ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๑๗๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๑.รูปีทุกะ ๗.ปัญหาวาร
ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่ไม่เป็นรูปและหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่
ขันธ์ ๓ ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ (๒)
... เป็นปัจจัยโดยนัตถิปัจจัย เป็นปัจจัยโดยวิคตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอวิคต-
ปัจจัย

๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๑๒๘] เหตุปัจจัย มี ๓ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๒ วาระ
อธิปติปัจจัย มี ๔ วาระ
อนันตรปัจจัย มี ๑ วาระ
สมนันตรปัจจัย มี ๑ วาระ
สหชาตปัจจัย มี ๗ วาระ
อัญญมัญญปัจจัย มี ๖ วาระ
นิสสยปัจจัย มี ๗ วาระ
อุปนิสสยปัจจัย มี ๒ วาระ
ปุเรชาตปัจจัย มี ๑ วาระ
ปัจฉาชาตปัจจัย มี ๑ วาระ
อาเสวนปัจจัย มี ๑ วาระ
กัมมปัจจัย มี ๓ วาระ
วิปากปัจจัย มี ๓ วาระ
อาหารปัจจัย มี ๔ วาระ
อินทรียปัจจัย มี ๖ วาระ
ฌานปัจจัย มี ๓ วาระ
มัคคปัจจัย มี ๓ วาระ
สัมปยุตตปัจจัย มี ๑ วาระ
วิปปยุตตปัจจัย มี ๒ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๑๗๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๑.รูปีทุกะ ๗.ปัญหาวาร

อัตถิปัจจัย มี ๗ วาระ
นัตถิปัจจัย มี ๑ วาระ
วิคตปัจจัย มี ๑ วาระ
อวิคตปัจจัย มี ๗ วาระ

อนุโลม จบ

๒. ปัจจนียุทธาร
[๑๒๙] สภาวธรรมที่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นรูปโดยสหชาตปัจจัย
อาหารปัจจัย และอินทรียปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปโดยอารัมมณปัจจัย
สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และปุเรชาตปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปโดยอารัมมณปัจจัย
สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และกัมมปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นรูปโดยสหชาตปัจจัย
ปัจฉาชาตปัจจัย และกัมมปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นรูปและที่ไม่เป็นรูปโดย
สหชาตปัจจัยและกัมมปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่เป็นรูปและที่ไม่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นรูป มี ๔
อย่าง คือ สหชาตะ ปัจฉาชาตะ อาหาระ และอินทรียะ (๑)
สภาวธรรมที่เป็นรูปและที่ไม่เป็นรูปเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นรูป มี ๒
อย่าง คือ สหชาตะและปุเรชาตะ (๒)

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๑๓๐] นเหตุปัจจัย มี ๗ วาระ
นอารัมมณปัจจัย มี ๗ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๑๗๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๑.รูปีทุกะ ๗.ปัญหาวาร

นอธิปติปัจจัย มี ๗ วาระ
นอนันตรปัจจัย มี ๗ วาระ
นสมนันตรปัจจัย มี ๗ วาระ
นสหชาตปัจจัย มี ๖ วาระ
นอัญญมัญญปัจจัย มี ๖ วาระ
นนิสสยปัจจัย มี ๖ วาระ
นอุปนิสสยปัจจัย มี ๗ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย มี ๗ วาระ ฯลฯ
นมัคคปัจจัย มี ๗ วาระ
นสัมปยุตตปัจจัย มี ๖ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย มี ๕ วาระ
โนอัตถิปัจจัย มี ๔ วาระ
โนนัตถิปัจจัย มี ๗ วาระ
โนวิคตปัจจัย มี ๗ วาระ
โนอวิคตปัจจัย มี ๔ วาระ

ปัจจนียะ จบ

๓. ปัจจยานุโลมปัจจนียะ
เหตุทุกนัย

[๑๓๑] นอารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๓ วาระ
นอธิปติปัจจัย ” มี ๓ วาระ
นอนันตรปัจจัย ” มี ๓ วาระ
นสมนันตรปัจจัย ” มี ๓ วาระ
นอัญญมัญญปัจจัย ” มี ๑ วาระ
นอุปนิสสยปัจจัย ” มี ๓ วาระ

(ทุกปัจจัย มีปัจจัยละ ๓ วาระ)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๑๗๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๒.โลกิยทุกะ ๑.ปฏิจจวาร

นสัมปยุตตปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๑ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย ” มี ๑ วาระ
โนนัตถิปัจจัย ” มี ๑ วาระ
โนวิคตปัจจัย ” มี ๑ วาระ

อนุโลมปัจจนียะ จบ

๔. ปัจจยปัจจนียานุโลม
นเหตุทุกนัย

[๑๓๒] อารัมมณปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๒ วาระ
อธิปติปัจจัย ” มี ๔ วาระ

(พึงเพิ่มอนุโลมมาติกา)
อวิคตปัจจัย ” มี ๗ วาระ
ปัจจนียานุโลม จบ
รูปีทุกะ จบ

๑๒. โลกิยทุกะ ๑. ปฏิจจวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๑๓๓] สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะอาศัยสภาวธรรมที่เป็นโลกิยะเกิดขึ้นเพราะ
เหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นโลกิยะเกิดขึ้น
ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ หทัยวัตถุอาศัยขันธ์เกิดขึ้น
ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น ... อาศัยมหาภูตรูป ๑ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปและ
กฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๑๗๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๒.โลกิยทุกะ ๑.ปฏิจจวาร
[๑๓๔] สภาวธรรมที่เป็นโลกุตตระอาศัยสภาวธรรมที่เป็นโลกุตตระเกิดขึ้นเพราะ
เหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นโลกุตตระเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์
๒ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะอาศัยสภาวธรรมที่เป็นโลกุตตระเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย
ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่เป็นโลกุตตระเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะและที่เป็นโลกุตตระอาศัยสภาวธรรมที่เป็นโลกุตตระ
เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็น
โลกุตตระเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๓)
สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะอาศัยสภาวธรรมที่เป็นโลกิยะและที่เป็นโลกุตตระเกิดขึ้น
เพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่เป็นโลกุตตระและอาศัย
มหาภูตรูปเกิดขึ้น (ย่อ) (๑)

๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๑๓๕] เหตุปัจจัย มี ๕ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๒ วาระ
อธิปติปัจจัย มี ๕ วาระ
อนันตรปัจจัย มี ๒ วาระ
สมนันตรปัจจัย มี ๒ วาระ
สหชาตปัจจัย มี ๕ วาระ
อัญญมัญญปัจจัย มี ๒ วาระ
นิสสยปัจจัย มี ๕ วาระ
อุปนิสสยปัจจัย มี ๒ วาระ
ปุเรชาตปัจจัย มี ๒ วาระ
อาเสวนปัจจัย มี ๒ วาระ
กัมมปัจจัย มี ๕ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๑๘๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๒.โลกิยทุกะ ๑.ปฏิจจวาร

วิปากปัจจัย มี ๕ วาระ
อาหารปัจจัย มี ๕ วาระ
อินทรียปัจจัย มี ๕ วาระ
ฌานปัจจัย มี ๕ วาระ
มัคคปัจจัย มี ๕ วาระ
สัมปยุตตปัจจัย มี ๒ วาระ
วิปปยุตตปัจจัย มี ๕ วาระ
อัตถิปัจจัย มี ๕ วาระ
นัตถิปัจจัย มี ๒ วาระ
วิคตปัจจัย มี ๒ วาระ
อวิคตปัจจัย มี ๕ วาระ

อนุโลม จบ

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๑. วิภังควาร
นเหตุปัจจัย
[๑๓๖] สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะอาศัยสภาวธรรมที่เป็นโลกิยะเกิดขึ้นเพราะ
นเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่มีเหตุซึ่งเป็น
โลกิยะเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะที่เป็นอเหตุกะ ฯลฯ
(พึงเพิ่มข้อความจนถึงอสัญญสัตตพรหม) โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคต
ด้วยอุทธัจจะอาศัยขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเกิดขึ้น (ย่อ)

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๑๓๗] นเหตุปัจจัย มี ๑ วาระ
นอารัมมณปัจจัย มี ๓ วาระ
นอธิปติปัจจัย มี ๒ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๑๘๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๒.โลกิยทุกะ ๑.ปฏิจจวาร

นอนันตรปัจจัย มี ๓ วาระ
นสมนันตรปัจจัย มี ๓ วาระ
นอัญญมัญญปัจจัย มี ๓ วาระ
นอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย มี ๔ วาระ
นปัจฉาชาตปัจจัย มี ๕ วาระ
นอาเสวนปัจจัย มี ๕ วาระ

(ในสุทธนัยที่เป็นโลกุตตระซึ่งมีนอาเสวนปัจจัยเป็นมูล พึงกำหนดว่า เป็น
วิบาก ที่เหลือเป็นไปตามปกตินั่นเอง)

นกัมมปัจจัย มี ๒ วาระ
นวิปากปัจจัย มี ๕ วาระ
นอาหารปัจจัย มี ๕ วาระ
นอินทรียปัจจัย มี ๑ วาระ
นฌานปัจจัย มี ๑ วาระ
นมัคคปัจจัย มี ๑ วาระ
นสัมปยุตตปัจจัย มี ๓ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ วาระ
โนนัตถิปัจจัย มี ๓ วาระ
โนวิคตปัจจัย มี ๓ วาระ

ปัจจนียะ จบ

๓. ปัจจยานุโลมปัจจนียะ
เหตุทุกนัย

[๑๓๘] นอารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๓ วาระ
นอธิปติปัจจัย “ มี ๒ วาระ

(บทที่มีนอนันตรปัจจัยเป็นต้นเหมือนกับปัจจนียะ) ฯลฯ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๑๘๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๒.โลกิยทุกะ ๓.ปัจจยวาร

นวิปากปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๕ วาระ
นสัมปยุตตปัจจัย ” มี ๓ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย ” มี ๒ วาระ
โนนัตถิปัจจัย ” มี ๓ วาระ
โนวิคตปัจจัย ” มี ๓ วาระ

อนุโลมปัจจนียะ จบ

๔. ปัจจยปัจจนียานุโลม
นเหตุทุกนัย

[๑๓๙] อารัมมณปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๑ วาระ
อนันตรปัจจัย ” มี ๑ วาระ ฯลฯ
อวิคตปัจจัย ” มี ๑ วาระ

ปัจจนียานุโลม จบ
(สหชาตวารเหมือนกับปฏิจจวาร)

๑๒. โลกิยทุกะ ๓. ปัจจยวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๑๔๐] สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะทำสภาวธรรมที่เป็นโลกิยะให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น
เพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ... ทำขันธ์ ๑ ที่เป็นโลกิยะ ฯลฯ ทำมหาภูตรูป ๑ ฯลฯ
จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปทำมหาภูตรูปให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น
ขันธ์ที่เป็นโลกิยะทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่เป็นโลกุตตระทำสภาวธรรมที่เป็นโลกิยะให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะ
เหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่เป็นโลกุตตระทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๑๘๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๒.โลกิยทุกะ ๓.ปัจจยวาร
สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะและที่เป็นโลกุตตระทำสภาวธรรมที่เป็นโลกิยะให้เป็น
ปัจจัยเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่เป็นโลกุตตระทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัย
เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปทำมหาภูตรูปให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๓)
[๑๔๑] สภาวธรรมที่เป็นโลกุตตระทำสภาวธรรมที่เป็นโลกุตตระให้เป็นปัจจัย
เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย มี ๓ วาระ
สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะทำสภาวธรรมที่เป็นโลกิยะและที่เป็นโลกุตตระให้เป็น
ปัจจัยเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปทำขันธ์ที่เป็นโลกุตตระและ
ทำมหาภูตรูปให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรมที่เป็นโลกุตตระทำสภาวธรรมที่เป็นโลกิยะและที่เป็นโลกุตตระให้เป็น
ปัจจัยเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ ทำขันธ์ ๑ ที่เป็นโลกุตตระและทำ
หทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ทำขันธ์ ๒ ฯลฯ (๒)
สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะและที่เป็นโลกุตตระทำสภาวธรรมที่เป็นโลกิยะและที่เป็น
โลกุตตระให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ ทำขันธ์ ๑ ที่เป็น
โลกุตตระและทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ทำขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตต-
สมุฏฐานรูปทำขันธ์ที่เป็นโลกุตตระและทำมหาภูตรูปให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (ย่อ) (๓)

๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๑๔๒] เหตุปัจจัย มี ๙ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๔ วาระ
อธิปติปัจจัย มี ๙ วาระ
อนันตรปัจจัย มี ๔ วาระ
สมนันตรปัจจัย มี ๔ วาระ
สหชาตปัจจัย มี ๙ วาระ
อัญญมัญญปัจจัย มี ๔ วาระ
นิสสยปัจจัย มี ๙ วาระ
อุปนิสสยปัจจัย มี ๔ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๑๘๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๒.โลกิยทุกะ ๓.ปัจจยวาร

ปุเรชาตปัจจัย มี ๔ วาระ
อาเสวนปัจจัย มี ๔ วาระ
กัมมปัจจัย มี ๙ วาระ
วิปากปัจจัย มี ๙ วาระ ฯลฯ
มัคคปัจจัย มี ๙ วาระ
สัมปยุตตปัจจัย มี ๔ วาระ
วิปปยุตตปัจจัย มี ๙ วาระ
อัตถิปัจจัย มี ๙ วาระ
นัตถิปัจจัย มี ๔ วาระ
วิคตปัจจัย มี ๔ วาระ
อวิคตปัจจัย มี ๙ วาระ

อนุโลม จบ

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๑. วิภังควาร
นเหตุปัจจัย
[๑๔๓] สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะทำสภาวธรรมที่เป็นโลกิยะให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น
เพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ ... ทำขันธ์ ๑ ที่ไม่มีเหตุซึ่งเป็นโลกิยะฯลฯ (พึงเพิ่ม
ข้อความจนถึงอสัญญสัตตพรหม) จักขุวิญญาณทำจักขายตนะให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น
ฯลฯ กายวิญญาณทำกายายตนะให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ขันธ์ที่ไม่มีเหตุซึ่งเป็นโลกิยะ
ทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วย
อุทธัจจะทำขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาที่สหรคตด้วยอุทธัจจะและทำหทัยวัตถุให้เป็น
ปัจจัยเกิดขึ้น (ย่อ)

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๑๔๔] นเหตุปัจจัย มี ๑ วาระ
นอารัมมณปัจจัย มี ๓ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๑๘๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๒.โลกิยทุกะ ๑.ปฏิจจวาร

นอธิปติปัจจัย มี ๔ วาระ
นอนันตรปัจจัย มี ๓ วาระ ฯลฯ
นอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย มี ๔ วาระ
นปัจฉาชาตปัจจัย มี ๙ วาระ
นอาเสวนปัจจัย มี ๙ วาระ

(โลกุตตระและอรูป พึงกำหนดว่าเป็นวิบาก)

นกัมมปัจจัย มี ๔ วาระ
นวิปากปัจจัย มี ๙ วาระ
นอาหารปัจจัย มี ๑ วาระ
นอินทรียปัจจัย มี ๑ วาระ
นฌานปัจจัย มี ๑ วาระ
นมัคคปัจจัย มี ๑ วาระ
นสัมปยุตตปัจจัย มี ๓ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ วาระ
โนนัตถิปัจจัย มี ๓ วาระ
โนวิคตปัจจัย มี ๓ วาระ

ปัจจนียะ จบ

๓. ปัจจยานุโลมปัจจนียะ
เหตุทุกนัย

[๑๔๕] นอารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๓ วาระ
นอธิปติปัจจัย ” มี ๔ วาระ
นอนันตรปัจจัย ” มี ๓ วาระ

(บทที่มีนสมนันตรบทเป็นต้นเหมือนกับปัจจนียะ)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๑๘๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๒.โลกิยทุกะ ๕.สังสัฏฐวาร

นวิปากปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๙ วาระ
นสัมปยุตตปัจจัย ” มี ๓ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย ” มี ๒ วาระ
โนนัตถิปัจจัย ” มี ๓ วาระ
โนวิคตปัจจัย ” มี ๓ วาระ

อนุโลมปัจจนียะ จบ

๔. ปัจจยปัจจนียานุโลม
นเหตุทุกนัย

[๑๔๖] อารัมมณปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๑ วาระ
อนันตรปัจจัย ” มี ๑ วาระ ฯลฯ
อวิคตปัจจัย ” มี ๑ วาระ

ปัจจนียานุโลม จบ
(นิสสยวารเหมือนกับปัจจยวาร)

๑๒. โลกิยทุกะ ๕. สังสัฏฐวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๑๔๗] สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะเกิดระคนกับสภาวธรรมที่เป็นโลกิยะเพราะ
เหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ เกิดระคนกับขันธ์ ๑ ที่เป็นโลกิยะ ฯลฯ เกิดระคนกับ
ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่เป็นโลกุตตระเกิดระคนกับสภาวธรรมที่เป็นโลกุตตระเพราะเหตุ
ปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ เกิดระคนกับขันธ์ ๑ ที่เป็นโลกุตตระ ฯลฯ เกิดระคนกับขันธ์
๒ ฯลฯ (๑) (พึงขยายสังสัฏฐวารให้พิสดารอย่างนี้ พร้อมทั้งการนับ มี ๒ วาระ)
(สัมปยุตตวารเหมือนกับสังสัฏฐวาร)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๑๘๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๒.โลกิยทุกะ ๗.ปัญหาวาร
๑๒. โลกิยทุกะ ๗. ปัญหาวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๑๔๘] สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะโดยเหตุ-
ปัจจัย ได้แก่ เหตุที่เป็นโลกิยะเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดย
เหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่เป็นโลกุตตระเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นโลกุตตระโดยเหตุปัจจัย
มี ๓ วาระ

อารัมมณปัจจัย
[๑๔๙] สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะโดย
อารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถแล้วพิจารณากุศล
นั้น พิจารณากุศลที่เคยสั่งสมไว้ดีแล้ว ออกจากฌาน ฯลฯ พระอริยะพิจารณา
โคตรภู พิจารณาโวทาน พิจารณากิเลสที่ละได้แล้ว พิจารณากิเลสที่ข่มได้แล้ว รู้
กิเลสที่เคยเกิดขึ้น บุคคลเห็นแจ้งจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ ขันธ์ที่เป็นโลกิยะ
โดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟัง
เสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รู้จิตของบุคคผู้มีความพรั่งพร้อมด้วยจิตที่เป็นโลกิยะด้วย
เจโตปริยญาณ อากาสานัญจายตนะเป็นปัจจัยแก่วิญญาณัญจายตนะ ฯลฯ
อากิญจัญญายตนะเป็นปัจจัยแก่เนวสัญญานาสัญญายตนะ ฯลฯ รูปายตนะเป็น
ปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะเป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ ขันธ์ที่
เป็นโลกิยะเป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ เจโตปริยญาณ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
ยถากัมมูปคญาณ อนาคตังสญาณ และอาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย (๑)
[๑๕๐] สภาวธรรมที่เป็นโลกุตตระเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นโลกุตตระ
โดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ นิพพานเป็นปัจจัยแก่มรรคและผลโดยอารัมมณปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๑๘๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๒.โลกิยทุกะ ๗.ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่เป็นโลกุตตระเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะโดยอารัมมณ-
ปัจจัย ได้แก่ พระอริยะออกจากมรรคแล้ว พิจารณามรรค พิจารณาผล
พิจารณานิพพาน นิพพานเป็นปัจจัยแก่โคตรภู โวทานและอาวัชชนจิตโดย
อารัมมณปัจจัย พระอริยะรู้จิตของบุคคลผู้มีความพรั่งพร้อมด้วยจิตที่เป็นโลกุตตระ
ด้วยเจโตปริยญาณ ขันธ์ที่เป็นโลกุตตระเป็นปัจจัยแก่เจโตปริยญาณ ปุพเพ-
นิวาสานุสสติญาณ อนาคตังสญาณ และอาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย (๒)

อธิปติปัจจัย
[๑๕๑] สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะโดย
อธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติและสหชาตาธิปติ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถแล้ว ฯลฯ
พิจารณากุศลที่เคยสั่งสมไว้ดีแล้ว ฯลฯ ออกจากฌานแล้ว ฯลฯ พระเสขะ
พิจารณาโคตรภูให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น พิจารณาโวทานให้เป็นอารมณ์อย่าง
หนักแน่น บุคคลยินดีเพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ ขันธ์ที่เป็นโลกิยะ
ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทำความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้นให้
เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่เป็นโลกิยะเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และ
จิตตสมุฏฐานรูปโดยอธิปติปัจจัย (๑)
[๑๕๒] สภาวธรรมที่เป็นโลกุตตระเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นโลกุตตระ
โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติและสหชาตาธิปติ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ นิพพานเป็นปัจจัยแก่มรรคและผลโดยอธิปติปัจจัย
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่เป็นโลกุตตระเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์
โดยอธิปติปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เป็นโลกุตตระเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะโดยอธิปติปัจจัย
มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติและสหชาตาธิปติ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๑๘๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๒.โลกิยทุกะ ๗.ปัญหาวาร
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ พระอริยะออกจากมรรคแล้ว พิจารณามรรคให้เป็น
อารมณ์อย่างหนักแน่น พิจารณาผลให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น พิจารณา
นิพพานให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น นิพพานเป็นปัจจัยแก่โคตรภูและโวทานโดย
อธิปติปัจจัย
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่เป็นโลกุตตระเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป
โดยอธิปติปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่เป็นโลกุตตระเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะและที่เป็น
โลกุตตระโดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรรมที่เป็น
โลกุตตระเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดยอธิปติปัจจัย (๓)

อนันตรปัจจัย
[๑๕๓] สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะโดย
อนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่เป็นโลกิยะซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็น
โลกิยะซึ่งเกิดหลัง ๆ ฯลฯ อนุโลมเป็นปัจจัยแก่โคตรภู อนุโลมเป็นปัจจัยแก่โวทาน
โดยอนันตรปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นโลกุตตระโดยอนันตรปัจจัย
ได้แก่ โคตรภูเป็นปัจจัยแก่มรรค โวทานเป็นปัจจัยแก่มรรค อนุโลมเป็นปัจจัยแก่
ผลสมาบัติ เนวสัญญานาสัญญายตนะของท่านผู้ออกจากนิโรธเป็นปัจจัยแก่ผล-
สมาบัติโดยอนันตรปัจจัย (๒)
[๑๕๔] สภาวธรรมที่เป็นโลกุตตระเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นโลกุตตระ
โดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่เป็นโลกุตตระซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่
เป็นโลกุตตระซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย มรรคเป็นปัจจัยแก่ผล ผลเป็น
ปัจจัยแก่ผลโดยอนันตรปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เป็นโลกุตตระเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะโดยอนันตรปัจจัย
ได้แก่ ผลเป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะโดยอนันตรปัจจัย (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๑๙๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๒.โลกิยทุกะ ๗.ปัญหาวาร
สมนันตรปัจจัยเป็นต้น
[๑๕๕] สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะโดย
สมนันตรปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย (มี ๕ วาระ ไม่มีฆฏนา ) เป็นปัจจัย
โดยอัญญมัญญปัจจัย มี ๒ วาระ เป็นปัจจัยโดยนิสสยปัจจัย มี ๗ วาระ

อุปนิสสยปัจจัย
[๑๕๖] สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะโดย
อุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และปกตูป-
นิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยศรัทธาที่เป็นโลกิยะแล้วให้ทาน ฯลฯ ทำ
วิปัสสนาให้เกิดขึ้น ทำอภิญญาให้เกิดขึ้น ทำสมาบัติให้เกิดขึ้น มีมานะ ถือทิฏฐิ
อาศัยศีลที่เป็นโลกิยะ ฯลฯ เสนาสนะแล้วให้ทาน ฯลฯ ทำลายสงฆ์ ศรัทธาที่เป็น
โลกิยะ ฯลฯ เสนาสนะเป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นโลกิยะ ฯลฯ ทุกข์ทางกายโดย
อุปนิสสยปัจจัย กรรมที่เป็นกุศลและอกุศลเป็นปัจจัยแก่วิบากโดยอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นโลกุตตระโดยอุปนิสสย-
ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะและปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บริกรรมปฐมมรรคเป็นปัจจัยแก่ปฐมมรรคโดยอุปนิสสย-
ปัจจัย ฯลฯ บริกรรมจตุตถมรรคเป็นปัจจัยแก่จตุตถมรรคโดยอุปนิสสยปัจจัย (๒)
[๑๕๗] สภาวธรรมที่เป็นโลกุตตระเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นโลกุตตระ
โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และ
ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ปฐมมรรคเป็นปัจจัยแก่ทุติยมรรคโดยอุปนิสสยปัจจัย
ฯลฯ ตติยมรรคเป็นปัจจัยแก่จตุตถมรรคโดยอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เป็นโลกุตตระเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะโดยอุปนิสสย-
ปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๑๙๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๒.โลกิยทุกะ ๗.ปัญหาวาร
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ พระอริยะอาศัยมรรคแล้วทำสมาบัติที่ยังไม่เกิดให้
เกิดขึ้น เข้าสมาบัติที่เกิดขึ้นแล้ว เห็นแจ้งสังขารโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง เป็นทุกข์
เป็นอนัตตา มรรคของพระอริยะ ฯลฯ มรรคของพระอริยะเหล่านั้น ฯลฯ เป็น
ปัจจัยแก่ความเป็นผู้ฉลาดในฐานะและมิใช่ฐานะโดยอุปนิสสยปัจจัย ผลสมาบัติเป็น
ปัจจัยแก่สุขทางกายโดยอุปนิสสยปัจจัย (๒)

ปุเรชาตปัจจัย
[๑๕๘] สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะโดยปุเร-
ชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาตะและวัตถุปุเรชาตะ
อารัมมณปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลเห็นแจ้งจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุโดยเป็น
สภาวะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วย
ทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รูปายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ
โผฏฐัพพายตนะเป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณโดยปุเรชาตปัจจัย
วัตถุปุเรชาตะ ได้แก่ จักขายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ กายา-
ยตนะเป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ ฯลฯ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นโลกิยะโดย
ปุเรชาตปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นโลกุตตระโดยปุเรชาตปัจจัย
มีอย่างเดียว คือ วัตถุปุเรชาตะ ได้แก่ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นโลกุตตระ
โดยปุเรชาตปัจจัย (๒)

ปัจฉาชาตปัจจัย
[๑๕๙] สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะโดย
ปัจฉาชาตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่เป็นโลกิยะซึ่งเกิดภายหลังเป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิด
ก่อนโดยปัจฉาชาตปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เป็นโลกุตตระเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะโดยปัจฉาชาต-
ปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่เป็นโลกุตตระซึ่งเกิดภายหลังเป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อน
โดยปัจฉาชาตปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๑๙๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๒.โลกิยทุกะ ๗.ปัญหาวาร
อาเสวนปัจจัย
[๑๖๐] สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะโดย
อาเสวนปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่เป็นโลกิยะซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นโลกิยะ
ซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอาเสวนปัจจัย อนุโลมเป็นปัจจัยแก่โคตรภู ฯลฯ อนุโลมเป็น
ปัจจัยแก่โวทานโดยอาเสวนปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นโลกุตตระโดยอาเสวน-
ปัจจัย ได้แก่ โคตรภูเป็นปัจจัยแก่มรรค ฯลฯ โวทานเป็นปัจจัยแก่มรรคโดย
อาเสวนปัจจัย (๒)

กัมมปัจจัย
[๑๖๑] สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะโดย
กัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและนานาขณิกะ
สหชาตะ ได้แก่ เจตนาที่เป็นโลกิยะเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตต-
สมุฏฐานรูปโดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่เป็นโลกิยะเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นวิบากและ
กฏัตตารูปโดยกัมมปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เป็นโลกุตตระเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นโลกุตตระโดยกัมมปัจจัย
มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและนานาขณิกะ
สหชาตะ ได้แก่ เจตนาที่เป็นโลกุตตระเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์โดยกัมม-
ปัจจัย
นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่เป็นโลกุตตระเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นวิบากโดย
กัมมปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เป็นโลกุตตระเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะโดยกัมมปัจจัย
ได้แก่ เจตนาที่เป็นโลกุตตระเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดยกัมมปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่เป็นโลกุตตระเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะและที่เป็น
โลกุตตระโดยกัมมปัจจัย ได้แก่ เจตนาที่เป็นโลกุตตระเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์
และจิตตสมุฏฐานรูปโดยกัมมปัจจัย (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๑๙๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๒.โลกิยทุกะ ๗.ปัญหาวาร
วิปากปัจจัย
[๑๖๒] สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะโดย
วิปากปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เป็นวิบากซึ่งเป็นโลกิยะเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และ
จิตตสมุฏฐานรูปโดยวิปากปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่เป็นโลกุตตระเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นโลกุตตระโดยวิปากปัจจัย
มี ๓ วาระ

อาหารปัจจัย
[๑๖๓] สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะโดย
อาหารปัจจัย ได้แก่ อาหารที่เป็นโลกิยะเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตต-
สมุฏฐานรูปโดยอาหารปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ กวฬิงการาหารเป็นปัจจัยแก่
กายนี้โดยอาหารปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เป็นโลกุตตระเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นโลกุตตระโดยอาหาร-
ปัจจัย มี ๓ วาระ

อินทรียปัจจัย
[๑๖๔] สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะโดย
อินทรียปัจจัย (พึงเพิ่มปฏิสนธิ) จักขุนทรีย์เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ
กายินทรีย์เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณโดยอินทรียปัจจัย รูปชีวิตินทรีย์เป็นปัจจัยแก่
กฏัตตารูปโดยอินทรียปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เป็นโลกุตตระเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นโลกุตตระโดยอินทรีย-
ปัจจัย มี ๓ วาระ

ฌานปัจจัยเป็นต้น
[๑๖๕] สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะโดย
ฌานปัจจัย มี ๑ วาระ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๑๙๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๒.โลกิยทุกะ ๗.ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่เป็นโลกุตตระ ฯลฯ มี ๓ วาระ เป็นปัจจัยโดยมัคคปัจจัย
สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะ มี ๑ วาระ สภาวธรรมที่เป็นโลกุตตระ มี ๓ วาระ
สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะโดยสัมปยุตตปัจจัย
มี ๑ วาระ
สภาวธรรมที่เป็นโลกุตตระ ฯลฯ มี ๑ วาระ

วิปปยุตตปัจจัย
[๑๖๖] สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะโดย
วิปปยุตตปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ สหชาตะ ปุเรชาตะ และปัจฉาชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่เป็นโลกิยะเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดยวิปปยุตต-
ปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ ขันธ์เป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุโดยวิปปยุตตปัจจัย
หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์โดยวิปปยุตตปัจจัย
ปุเรชาตะ ได้แก่ จักขายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ กายายตนะ
เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ ฯลฯ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นโลกิยะโดย
วิปปยุตตปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่เป็นโลกิยะเป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อนโดย
วิปปยุตตปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นโลกุตตระโดยวิปปยุตต-
ปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาตะ ได้แก่ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นโลกุตตระ
โดยวิปปยุตตปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่เป็นโลกุตตระเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะโดยวิปปยุตต-
ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปัจฉาชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่เป็นโลกุตตระเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดย
วิปปยุตตปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่เป็นโลกุตตระเป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อนโดย
วิปปยุตตปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๑๙๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๒.โลกิยทุกะ ๗.ปัญหาวาร
อัตถิปัจจัยเป็นต้น
[๑๖๗] สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะโดยอัตถิ-
ปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาตะ ปุเรชาตะ ปัจฉาชาตะ อาหาระ และอินทรียะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เป็นโลกิยะเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตต-
สมุฏฐานรูป ฯลฯ (พึงเพิ่มข้อความจนถึงอสัญญสัตตพรหม)
ปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลเห็นแจ้งจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ (ปัจจัยนี้เหมือน
กับปุเรชาตปัจจัย) หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นโลกิยะโดยอัตถิปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่เป็นโลกิยะเป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อนโดยอัตถิ-
ปัจจัย กวฬิงการาหารเป็นปัจจัยแก่กายนี้โดยอัตถิปัจจัย รูปชีวิตินทรีย์เป็นปัจจัย
แก่กฏัตตารูปโดยอัตถิปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นโลกุตตระโดยอัตถิปัจจัย
มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาตะ ได้แก่ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นโลกุตตระโดย
อัตถิปัจจัย (๒)
[๑๖๘] สภาวธรรมที่เป็นโลกุตตระเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นโลกุตตระ
โดยอัตถิปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เป็นโลกุตตระเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัตถิปัจจัย
ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่เป็นโลกุตตระเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะโดยอัตถิปัจจัย
มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปัจฉาชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่เป็นโลกุตตระเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดยอัตถิ-
ปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่เป็นโลกุตตระเป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อนโดย
อัตถิปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่เป็นโลกุตตระเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะและที่เป็น
โลกุตตระโดยอัตถิปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เป็นโลกุตตระเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และ
จิตตสมุฏฐานรูปโดยอัตถิปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๑๙๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๒.โลกิยทุกะ ๗.ปัญหาวาร
[๑๖๙] สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะและที่เป็นโลกุตตระเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่เป็นโลกิยะโดยอัตถิปัจจัย มี ๔ อย่าง คือ สหชาตะ ปัจฉาชาตะ อาหาระ
และอินทรียะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่เป็นโลกุตตระและมหาภูตรูปเป็นปัจจัยแก่จิตต-
สมุฏฐานรูปโดยอัตถิปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่เป็นโลกุตตระและกวฬิงการาหารเป็นปัจจัยแก่กาย
นี้โดยอัตถิปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่เป็นโลกุตตระและรูปชีวิตินทรีย์เป็นปัจจัยแก่
กฏัตตารูปโดยอัตถิปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะและที่เป็นโลกุตตระเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็น
โลกุตตระโดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปุเรชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เป็นโลกุตตระและหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓
โดยอัตถิปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ เป็นปัจจัยโดยนัตถิปัจจัย เป็นปัจจัยโดย
วิคตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอวิคตปัจจัย (๒)

๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๑๗๐] เหตุปัจจัย มี ๔ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๗ วาระ
อธิปติปัจจัย มี ๔ วาระ
อนันตรปัจจัย มี ๔ วาระ
สมนันตรปัจจัย มี ๔ วาระ
สหชาตปัจจัย มี ๕ วาระ
อัญญมัญญปัจจัย มี ๒ วาระ
นิสสยปัจจัย มี ๗ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๑๙๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๒.โลกิยทุกะ ๗.ปัญหาวาร

อุปนิสสยปัจจัย มี ๔ วาระ
ปุเรชาตปัจจัย มี ๒ วาระ
ปัจฉาชาตปัจจัย มี ๒ วาระ
อาเสวนปัจจัย มี ๒ วาระ
กัมมปัจจัย มี ๔ วาระ
วิปากปัจจัย มี ๔ วาระ
อาหารปัจจัย มี ๔ วาระ
อินทรียปัจจัย มี ๔ วาระ
ฌานปัจจัย มี ๔ วาระ
มัคคปัจจัย มี ๔ วาระ
สัมปยุตตปัจจัย มี ๒ วาระ
วิปปยุตตปัจจัย มี ๓ วาระ
อัตถิปัจจัย มี ๗ วาระ
นัตถิปัจจัย มี ๔ วาระ
วิคตปัจจัย มี ๔ วาระ
อวิคตปัจจัย มี ๗ วาระ

อนุโลม จบ

๒. ปัจจนียุทธาร
[๑๗๑] สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะโดย
อารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย ปุเรชาตปัจจัย ปัจฉาชาตปัจจัย
กัมมปัจจัย อาหารปัจจัย และอินทรียปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นโลกุตตระโดยอุปนิสสย-
ปัจจัยและปุเรชาตปัจจัย (๒)
[๑๗๒] สภาวธรรมที่เป็นโลกุตตระเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นโลกุตตระ
โดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย และอุปนิสสยปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๑๙๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๒.โลกิยทุกะ ๗.ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่เป็นโลกุตตระเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะโดยอารัมมณ-
ปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และปัจฉาชาตปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่เป็นโลกุตตระเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะและที่เป็น
โลกุตตระโดยสหชาตปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะและที่เป็นโลกุตตระเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็น
โลกิยะโดยสหชาตปัจจัย ปัจฉาชาตปัจจัย อาหารปัจจัย และอินทรียปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เป็นโลกิยะและที่เป็นโลกุตตระเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็น
โลกุตตระโดยสหชาตปัจจัยและปุเรชาตปัจจัย (๒)

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๑๗๓] นเหตุปัจจัย มี ๗ วาระ ฯลฯ
นสมนันตรปัจจัย มี ๗ วาระ
นสหชาตปัจจัย มี ๕ วาระ
นอัญญมัญญปัจจัย มี ๕ วาระ
นนิสสยปัจจัย มี ๕ วาระ
นอุปนิสสยปัจจัย มี ๗ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย มี ๖ วาระ
นปัจฉาชาตปัจจัย มี ๗ วาระ ฯลฯ
นมัคคปัจจัย มี ๗ วาระ
นสัมปยุตตปัจจัย มี ๕ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย มี ๔ วาระ
โนอัตถิปัจจัย มี ๔ วาระ
โนนัตถิปัจจัย มี ๗ วาระ
โนวิคตปัจจัย มี ๗ วาระ
โนอวิคตปัจจัย มี ๔ วาระ

ปัจจนียะ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๑๙๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๒.โลกิยทุกะ ๗.ปัญหาวาร
๓. ปัจจยานุโลมปัจจนียะ
เหตุทุกนัย

[๑๗๔] นอารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๔ วาระ ฯลฯ
นสมนันตรปัจจัย ” มี ๔ วาระ
นอัญญมัญญปัจจัย ” มี ๒ วาระ
นอุปนิสสยปัจจัย ” มี ๔ วาระ ฯลฯ
นมัคคปัจจัย ” มี ๔ วาระ
นสัมปยุตตปัจจัย ” มี ๒ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย ” มี ๒ วาระ
โนนัตถิปัจจัย ” มี ๔ วาระ
โนวิคตปัจจัย ” มี ๔ วาระ

อนุโลมปัจจนียะ จบ

๔. ปัจจยปัจจนียานุโลม
นเหตุทุกนัย

[๑๗๕] อารัมมณปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๓ วาระ
อธิปติปัจจัย ” มี ๔ วาระ

(พึงเพิ่มอนุโลมมาติกา)
อวิคตปัจจัย ” มี ๗ วาระ
ปัจจนียานุโลม จบ
โลกิยทุกะ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๐๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๓.เกนจิวิญเญยยทุกะ ๑.ปฏิจจวาร
๑๓. เกนจิวิญเญยยทุกะ ๑. ปฏิจจวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๑๗๖] สภาวธรรมที่จิตบางดวงรู้ได้อาศัยสภาวธรรมที่จิตบางดวงรู้ได้เกิดขึ้น
เพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่จิตบาง
ดวงรู้ได้เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ หทัยวัตถุอาศัยขันธ์
เกิดขึ้น ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น มหาภูตรูป ๓ อาศัยมหาภูตรูป ๑ เกิดขึ้น ฯลฯ
จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่จิตบางดวงรู้ไม่ได้อาศัยสภาวธรรมที่จิตบางดวงรู้ได้เกิดขึ้นเพราะ
เหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปที่จิตบางดวงรู้ไม่ได้อาศัยขันธ์ ๑ ที่
จิตบางดวงรู้ได้เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ หทัยวัตถุ
อาศัยขันธ์เกิดขึ้น ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น ... อาศัยมหาภูตรูป ๑ ฯลฯ
จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่จิตบางดวงรู้ได้และที่จิตบางดวงรู้ไม่ได้อาศัยสภาวธรรมที่จิตบาง
ดวงรู้ได้เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปที่จิตบางดวง
รู้ได้และที่จิตบางดวงรู้ไม่ได้อาศัยขันธ์ ๑ ที่จิตบางดวงรู้ได้เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัย
ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ หทัยวัตถุอาศัยขันธ์เกิดขึ้น ขันธ์อาศัย
หทัยวัตถุเกิดขึ้น ... อาศัยมหาภูตรูป ๑ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่
เป็นอุปาทายรูปอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น (๓)
[๑๗๗] สภาวธรรมที่จิตบางดวงรู้ไม่ได้อาศัยสภาวธรรมที่จิตบางดวงรู้ไม่ได้
เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปที่จิตบางดวงรู้ไม่ได้
อาศัยขันธ์ ๑ ที่จิตบางดวงรู้ไม่ได้เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ
ฯลฯ หทัยวัตถุอาศัยขันธ์เกิดขึ้น ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น ... อาศัยมหาภูตรูป ๑
ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๐๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๓.เกนจิวิญเญยยทุกะ ๑.ปฏิจจวาร
สภาวธรรมที่จิตบางดวงรู้ได้อาศัยสภาวธรรมที่จิตบางดวงรู้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะ
เหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปที่จิตบางดวงรู้ได้อาศัยขันธ์ ๑ ที่จิต
บางดวงรู้ไม่ได้เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ หทัยวัตถุ
อาศัยขันธ์เกิดขึ้น ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น ... อาศัยมหาภูตรูป ๑ ฯลฯ
จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่จิตบางดวงรู้ได้และที่จิตบางดวงรู้ไม่ได้อาศัยสภาวธรรมที่จิตบาง
ดวงรู้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปที่จิตบาง
ดวงรู้ได้และที่จิตบางดวงรู้ไม่ได้อาศัยขันธ์ ๑ ที่จิตบางดวงรู้ไม่ได้เกิดขึ้น ฯลฯ
อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ หทัยวัตถุอาศัยขันธ์เกิดขึ้น ขันธ์
อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น ... อาศัยมหาภูตรูป ๑ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปและ
กฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น (๓)
[๑๗๘] สภาวธรรมที่จิตบางดวงรู้ได้อาศัยสภาวธรรมที่จิตบางดวงรู้ได้และที่
จิตบางดวงรู้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปที่
จิตบางดวงรู้ได้อาศัยขันธ์ ๑ ที่จิตบางดวงรู้ได้และที่จิตบางดวงรู้ไม่ได้เกิดขึ้น ฯลฯ
อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ หทัยวัตถุอาศัยขันธ์เกิดขึ้น ขันธ์
อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น ... อาศัยมหาภูตรูป ๑ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปและ
กฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่จิตบางดวงรู้ไม่ได้อาศัยสภาวธรรมที่จิตบางดวงรู้ได้และที่จิตบางดวง
รู้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปที่จิตบางดวง
รู้ไม่ได้อาศัยขันธ์ ๑ ที่จิตบางดวงรู้ได้และที่จิตบางดวงรู้ไม่ได้เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัย
ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ หทัยวัตถุอาศัยขันธ์เกิดขึ้น ขันธ์อาศัย
หทัยวัตถุเกิดขึ้น ... อาศัยมหาภูตรูป ๑ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่
เป็นอุปาทายรูปอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่จิตบางดวงรู้ได้และที่จิตบางดวงรู้ไม่ได้อาศัยสภาวธรรมที่จิตบาง
ดวงรู้ได้และที่จิตบางดวงรู้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตต-
สมุฏฐานรูปที่จิตบางดวงรู้ได้และที่จิตบางดวงรู้ไม่ได้อาศัยขันธ์ ๑ ที่จิตบางดวงรู้ได้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๐๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๓.เกนจิวิญเญยยทุกะ ๗.ปัญหาวาร
และที่จิตบางดวงรู้ไม่ได้เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
หทัยวัตถุอาศัยขันธ์เกิดขึ้น ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น ... อาศัยมหาภูตรูป ๑ ฯลฯ
จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น (ย่อ) (๓)

๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร

[๑๗๙] เหตุปัจจัย มี ๙ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๙ วาระ ฯลฯ
อวิคตปัจจัย มี ๙ วาระ

อนุโลม จบ

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒. สังขยาวาร

[๑๘๐] นเหตุปัจจัย มี ๙ วาระ
นอารัมมณปัจจัย มี ๙ วาระ ฯลฯ
โนวิคตปัจจัย มี ๙ วาระ

(การนับวาระทั้ง ๔ อย่าง บริบูรณ์แล้วอย่างนี้)
(พึงขยายสหชาตวาร ปัจจยวาร นิสสยวาร สังสัฏฐวาร และสัมปยุตตวาร
ให้พิสดารอย่างนี้ ในปัจจยวารพึงแสดงหทัยวัตถุและอายตนะ ๕ พึงเพิ่มนัยนั้น ๆ
ตามที่จะหาได้)

๑๓. เกนจิวิญเญยยทุกะ ๗. ปัญหาวาร
๑. ปัจจยานุโลมเป็นต้น
[๑๘๑] สภาวธรรมที่จิตบางดวงรู้ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่จิตบางดวงรู้ได้
โดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่จิตบางดวงรู้ได้เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตต-
สมุฏฐานรูปโดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (ย่อ)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๐๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๔.อาสวทุกะ ๑.ปฏิจจวาร

เหตุปัจจัย มี ๙ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๙ วาระ ฯลฯ
อวิคตปัจจัย มี ๙ วาระ

อนุโลม จบ

นเหตุปัจจัย มี ๙ วาระ ฯลฯ
โนวิคตปัจจัย มี ๙ วาระ

(การนับวาระทั้ง ๔ อย่างบริบูรณ์แล้วอย่างนี้)
ปัจจนียะ จบ
เกนจิวิญเญยยทุกะ จบ
จูฬันตรทุกะ จบ

๓. อาสวโคจฉกะ
๑๔. อาสวทุกะ ๑. ปฏิจจวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๑] สภาวธรรมที่เป็นอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่เป็นอาสวะเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย
ได้แก่ ทิฏฐาสวะและอวิชชาสวะอาศัยกามาสวะเกิดขึ้น กามาสวะและอวิชชาสวะ
อาศัยทิฏฐาสวะเกิดขึ้น กามาสวะและทิฏฐาสวะอาศัยอวิชชาสวะเกิดขึ้น อวิชชาสวะ
อาศัยภวาสวะเกิดขึ้น อวิชชาสวะอาศัยทิฏฐาสวะเกิดขึ้น (พึงทำเป็นจักกนัยแม้แต่
ละอย่าง ๆ) (๑)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่เป็นอาสวะเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย
ได้แก่ ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอาสวะและจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยอาสวะเกิดขึ้น (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๐๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๔.อาสวทุกะ ๑.ปฏิจจวาร
สภาวธรรมที่เป็นอาสวะและที่ไม่เป็นอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่เป็นอาสวะเกิดขึ้น
เพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะ สัมปยุตตขันธ์ และจิตต-
สมุฏฐานรูปอาศัยกามาสวะเกิดขึ้น (พึงผูกเป็นจักกนัย) (๓)
[๒] สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะเกิดขึ้นเพราะ
เหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่เป็นอาสวะเกิดขึ้น
ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ หทัยวัตถุอาศัยขันธ์เกิดขึ้น
ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น ... อาศัยมหาภูตรูป ๑ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปและ
กฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่เป็นอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย
ได้แก่ อาสวะ ๔ อาศัยขันธ์ที่ไม่เป็นอาสวะเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่เป็นอาสวะและที่ไม่เป็นอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะ
เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาสวะและจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑
ที่ไม่เป็นอาสวะเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๓)
[๓] สภาวธรรมที่เป็นอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่เป็นอาสวะและที่ไม่เป็นอาสวะ
เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ทิฏฐาสวะและอวิชชาสวะอาศัยกามาสวะและ
สัมปยุตตขันธ์เกิดขึ้น (พึงผูกเป็นจักกนัย) (๑)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่เป็นอาสวะและที่ไม่เป็นอาสวะ
เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่
เป็นอาสวะและอาศัยอาสวะเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๒)
สภาวธรรมที่เป็นอาสวะและที่ไม่เป็นอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่เป็นอาสวะและ
ที่ไม่เป็นอาสวะเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะ
และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่เป็นอาสวะและอาศัยกามาสวะเกิดขึ้น ฯลฯ
อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (พึงผูกเป็นจักกนัย ย่อ) (๓)

๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร

[๔] เหตุปัจจัย มี ๙ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๙ วาระ

(ทุกปัจจัย มีปัจจัยละ ๙ วาระ)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๐๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๔.อาสวทุกะ ๑.ปฏิจจวาร

วิปากปัจจัย มี ๑ วาระ
อาหารปัจจัย มี ๙ วาระ ฯลฯ
อวิคตปัจจัย มี ๙ วาระ

อนุโลม จบ

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๑. วิภังควาร
นเหตุปัจจัย
[๕] สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะเกิดขึ้นเพราะ
นเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่มีเหตุซึ่งไม่เป็น
อาสวะเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะที่เป็นอเหตุกะ ฯลฯ
หทัยวัตถุอาศัยขันธ์เกิดขึ้น ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น ... อาศัยมหาภูตรูป ๑ ฯลฯ
(พึงเพิ่มข้อความจนถึงอสัญญสัตตพรหม) (๑)
สภาวธรรมที่เป็นอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย
ได้แก่ โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วยอุทธัจจะอาศัยขันธ์ที่สหรคตด้วย
วิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเกิดขึ้น (๒)

นอารัมมณปัจจัย
[๖] สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่เป็นอาสวะเกิดขึ้นเพราะ
นอารัมมณปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยอาสวะเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะเกิดขึ้นเพราะ
นอารัมมณปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่ไม่เป็นอาสวะเกิดขึ้น ใน
ปฏิสนธิขณะ ฯลฯ หทัยวัตถุอาศัยขันธ์เกิดขึ้น ... อาศัยมหาภูตรูป ๑ ฯลฯ
(พึงเพิ่มข้อความจนถึงอสัญญสัตตพรหม) (๑)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่เป็นอาสวะและที่ไม่เป็นอาสวะ
เกิดขึ้นเพราะนอารัมมณปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยอาสวะและสัมปยุตต-
ขันธ์เกิดขึ้น (ย่อ) (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๐๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๔.อาสวทุกะ ๑.ปฏิจจวาร
๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๗] นเหตุปัจจัย มี ๒ วาระ
นอารัมมณปัจจัย มี ๓ วาระ
นอธิปติปัจจัย มี ๙ วาระ
นอนันตรปัจจัย มี ๓ วาระ
นสมนันตรปัจจัย มี ๓ วาระ
นอัญญมัญญปัจจัย มี ๓ วาระ
นอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย มี ๙ วาระ
นปัจฉาชาตปัจจัย มี ๙ วาระ
นอาเสวนปัจจัย มี ๙ วาระ
นกัมมปัจจัย มี ๓ วาระ
นวิปากปัจจัย มี ๙ วาระ
นอาหารปัจจัย มี ๑ วาระ
นอินทรียปัจจัย มี ๑ วาระ
นฌานปัจจัย มี ๑ วาระ
นมัคคปัจจัย มี ๑ วาระ
นสัมปยุตตปัจจัย มี ๓ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย มี ๙ วาระ
โนนัตถิปัจจัย มี ๓ วาระ
โนวิคตปัจจัย มี ๓ วาระ

ปัจจนียะ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๐๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๔.อาสวทุกะ ๑.ปฏิจจวาร
๓. ปัจจยานุโลมปัจจนียะ
เหตุทุกนัย

[๘] นอารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๓ วาระ
นอธิปติปัจจัย ” มี ๙ วาระ
นอนันตรปัจจัย ” มี ๓ วาระ
นสมนันตรปัจจัย ” มี ๓ วาระ
นอัญญมัญญปัจจัย ” มี ๓ วาระ
นอุปนิสสยปัจจัย ” มี ๓ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย ” มี ๙ วาระ
นปัจฉาชาตปัจจัย ” มี ๙ วาระ
นอาเสวนปัจจัย ” มี ๙ วาระ
นกัมมปัจจัย ” มี ๓ วาระ
นวิปากปัจจัย ” มี ๙ วาระ
นสัมปยุตตปัจจัย ” มี ๓ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย ” มี ๙ วาระ
โนนัตถิปัจจัย ” มี ๓ วาระ
โนวิคตปัจจัย ” มี ๓ วาระ

อนุโลมปัจจนียะ จบ

๔. ปัจจยปัจจนียานุโลม
นเหตุทุกนัย

[๙] อารัมมณปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๒ วาระ
อนันตรปัจจัย ” มี ๒ วาระ ฯลฯ
วิปากปัจจัย ” มี ๑ วาระ ฯลฯ
มัคคปัจจัย ” มี ๑ วาระ ฯลฯ
อวิคตปัจจัย ” มี ๒ วาระ

ปัจจนียานุโลม จบ
(สหชาตวารเหมือนกับปฏิจจวาร)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๐๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๔.อาสวทุกะ ๓.ปัจจยวาร
๑๔. อาสวทุกะ ๓. ปัจจยวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๑๐] สภาวธรรมที่เป็นอาสวะทำสภาวธรรมที่เป็นอาสวะให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น
เพราะเหตุปัจจัย (บทที่มีอาสวะเป็นมูล มี ๓ วาระ เหมือนกับปฏิจจวาร)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะทำสภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น
เพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปทำขันธ์ ๑ ที่ไม่เป็นอาสวะ
ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ทำขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ หทัยวัตถุ
ทำขันธ์ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ขันธ์ทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูป
และกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปทำมหาภูตรูปให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ขันธ์ที่ไม่เป็น
อาสวะทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่เป็นอาสวะทำสภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น
เพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ อาสวะทำขันธ์ที่ไม่เป็นอาสวะให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น อาสวะ
ทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่เป็นอาสวะและที่ไม่เป็นอาสวะทำสภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะ
ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาสวะและจิตตสมุฏฐานรูปทำ
ขันธ์ ๑ ที่ไม่เป็นอาสวะให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ทำขันธ์ ๒ ฯลฯ อาสวะและ
สัมปยุตตขันธ์ทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๓)
[๑๑] สภาวธรรมที่เป็นอาสวะทำสภาวธรรมที่เป็นอาสวะและที่ไม่เป็นอาสวะ
ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ทิฏฐาสวะและอวิชชาสวะทำกามาสวะ
และสัมปยุตตขันธ์ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (พึงผูกเป็นจักกนัย) ทิฏฐาสวะและอวิชชาสวะ
ทำกามาสวะและหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (พึงผูกเป็นจักกนัย) (๑)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะทำสภาวธรรมที่เป็นอาสวะและที่ไม่เป็นอาสวะให้
เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปทำขันธ์ ๑
ที่ไม่เป็นอาสวะและทำอาสวะให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ทำขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ที่
ไม่เป็นอาสวะทำอาสวะและหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๐๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๔.อาสวทุกะ ๓.ปัจจยวาร
สภาวธรรมที่เป็นอาสวะและที่ไม่เป็นอาสวะทำสภาวธรรมที่เป็นอาสวะและ
ที่ไม่เป็นอาสวะให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ ทิฏฐาสวะ
อวิชชาสวะ และจิตตสมุฏฐานรูปทำขันธ์ ๑ ที่ไม่เป็นอาสวะและทำกามาสวะให้
เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ทำขันธ์ ๒ ฯลฯ (พึงผูกเป็นจักกนัย) ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะ
และสัมปยุตตขันธ์ทำกามาสวะและหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (พึงผูกเป็นจักกนัย
ย่อ) (๓)

๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร

[๑๒] เหตุปัจจัย มี ๙ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๙ วาระ
อธิปติปัจจัย มี ๙ วาระ ฯลฯ
วิปากปัจจัย มี ๑ วาระ ฯลฯ
อวิคตปัจจัย มี ๙ วาระ

อนุโลม จบ

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๑. วิภังควาร
นเหตุปัจจัย
[๑๓] สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะทำสภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะให้เป็นปัจจัย
เกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปทำขันธ์ ๑ ที่ไม่มี
เหตุซึ่งไม่เป็นอาสวะให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ทำขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ
ที่เป็นอเหตุกะ ฯลฯ (พึงเพิ่มข้อความจนถึงอสัญญสัตตพรหม) จักขุวิญญาณ
ทำจักขายตนะให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ กายวิญญาณทำกายายตนะให้เป็นปัจจัย
เกิดขึ้น ขันธ์ที่ไม่มีเหตุซึ่งไม่เป็นอาสวะทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่เป็นอาสวะทำสภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะ
นเหตุปัจจัย ได้แก่ โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วยอุทธัจจะทำขันธ์ที่
สหรคตด้วยวิจิกิจฉาที่สหรคตด้วยอุทธัจจะและทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๑๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๔.อาสวทุกะ ๕.สังสัฏฐวาร
๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒. สังขยาวาร

[๑๔] นเหตุปัจจัย มี ๒ วาระ
นอารัมมณปัจจัย มี ๓ วาระ
นอธิปติปัจจัย มี ๙ วาระ ฯลฯ
นกัมมปัจจัย มี ๓ วาระ ฯลฯ
นวิปปยุตตปัจจัย มี ๙ วาระ
โนนัตถิปัจจัย มี ๓ วาระ
โนวิคตปัจจัย มี ๓ วาระ

(พึงนับจำนวนทั้งหมดอย่างนี้)
(นิสสยวารเหมือนกับปัจจยวาร)

๑๔. อาสวทุกะ ๕. สังสัฏฐวาร
๑-๔. ปัจจยานุโลมเป็นต้น
[๑๕] สภาวธรรมที่เป็นอาสวะเกิดระคนกับสภาวธรรมที่เป็นอาสวะเพราะเหตุ-
ปัจจัย ได้แก่ ทิฏฐาสวะและอวิชชาสวะเกิดระคนกับกามาสวะ (พึงผูกเป็นจักกนัย
ย่อ)

เหตุปัจจัย มี ๙ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๙ วาระ

(ทุกปัจจัย มีปัจจัยละ ๙ วาระ)

วิปากปัจจัย มี ๑ วาระ ฯลฯ
อวิคตปัจจัย มี ๙ วาระ
นเหตุปัจจัย มี ๒ วาระ
นอธิปติปัจจัย มี ๙ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย มี ๙ วาระ
นปัจฉาชาตปัจจัย มี ๙ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๑๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๔.อาสวทุกะ ๗.ปัญหาวาร

นอาเสวนปัจจัย มี ๙ วาระ
นกัมมปัจจัย มี ๓ วาระ
นวิปากปัจจัย มี ๙ วาระ
นฌานปัจจัย มี ๑ วาระ
นมัคคปัจจัย มี ๑ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย มี ๙ วาระ

(การนับและสัมปยุตตวารเหมือนกับสังสัฏฐวาร)

๑๔. อาสวทุกะ ๗. ปัญหาวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๑๖] สภาวธรรมที่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นอาสวะโดยเหตุปัจจัย
ได้แก่ กามาสวะเป็นปัจจัยแก่ทิฏฐาสวะและอวิชชาสวะโดยเหตุปัจจัย ภวาสวะ เป็น
ปัจจัยแก่อวิชชาสวะโดยเหตุปัจจัย (พึงผูกเป็นจักกนัย) (๑)
สภาวธรรมที่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะโดยเหตุ-
ปัจจัย ได้แก่ เหตุที่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดย
เหตุปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นอาสวะและที่ไม่เป็นอาสวะ
โดยเหตุปัจจัย ได้แก่ กามาสวะเป็นปัจจัยแก่ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะ สัมปยุตตขันธ์
และจิตตสมุฏฐานรูปโดยเหตุปัจจัย (๓)
[๑๗] สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะโดย
เหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูป
โดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๑๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๔.อาสวทุกะ ๗.ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นอาสวะโดยเหตุปัจจัย
ได้แก่ เหตุที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตอาสวะโดยเหตุปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นอาสวะและที่ไม่เป็น
อาสวะโดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์
อาสวะและจิตตสมุฏฐานรูปโดยเหตุปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่เป็นอาสวะและที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็น
อาสวะโดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่เป็นอาสวะและที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่
สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดยเหตุปัจจัย (๑)

อารัมมณปัจจัย
[๑๘] สภาวธรรมที่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นอาสวะโดย
อารัมมณปัจจัย ได้แก่ เพราะปรารภอาสวะ อาสวะจึงเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะโดยอารัมมณ-
ปัจจัย ได้แก่ เพราะปรารภอาสวะ ขันธ์ที่ไม่เป็นอาสวะจึงเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นอาสวะและที่ไม่เป็น
อาสวะโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ เพราะปรารภอาสวะ อาสวะและสัมปยุตตขันธ์
จึงเกิดขึ้น (๓)
[๑๙] สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะโดย
อารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถ ฯลฯ พิจารณา
กุศลที่เคยสั่งสมไว้ดีแล้ว ฯลฯ ออกจากฌาน ฯลฯ พระอริยะออกจากมรรคแล้ว
พิจารณามรรค พิจารณาผล พิจารณานิพพาน นิพพานเป็นปัจจัยแก่โคตรภู
โวทาน มรรค ผล และอาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย พระอริยะพิจารณากิเลส
ที่ไม่เป็นอาสวะซึ่งละได้แล้ว ฯลฯ พิจารณากิเลสที่ข่มได้แล้ว รู้กิเลสที่เคยเกิด
ขึ้น เห็นแจ้งจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ ขันธ์ที่ไม่เป็นอาสวะโดยเป็นสภาวะไม่
เที่ยง ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพ-
โสตธาตุ รู้จิตของบุคคลผู้มีความพรั่งพร้อมด้วยจิตที่ไม่เป็นอาสวะด้วยเจโตปริยญาณ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๑๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๔.อาสวทุกะ ๗.ปัญหาวาร
อากาสานัญจายตนะเป็นปัจจัยแก่วิญญาณัญจายตนะ ฯลฯ อากิญจัญญายตนะ
เป็นปัจจัยแก่เนวสัญญานาสัญญายตนะ ฯลฯ รูปายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ
ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะเป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ ฯลฯ ขันธ์ที่ไม่เป็นอาสวะเป็น
ปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ เจโตปริยญาณ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ยถากัมมูปคญาณ
อนาคตังสญาณ และอาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นอาสวะโดยอารัมมณ-
ปัจจัย ได้แก่ บุคคลให้ทาน ฯลฯ ยินดีเพลิดเพลินกุศลนั้น เพราะปรารภความ
ยินดีเพลิดเพลินกุศลนั้น อาสวะจึงเกิดขึ้น บุคคลสมาทานศีล ฯลฯ รักษาอุโบสถ
ฯลฯ พิจารณากุศลที่เคยสั่งสมไว้ดีแล้ว ฯลฯ ออกจากฌาน ฯลฯ ยินดี
เพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุและขันธ์ที่ไม่เป็นอาสวะ เพราะปรารภความ
ยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้น อาสวะจึงเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นอาสวะและที่ไม่เป็น
อาสวะโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลให้ทาน ฯลฯ (เหมือนกับข้อความตอน
ที่ ๒) บุคคลยินดีเพลิดเพลินขันธ์ที่ไม่เป็นอาสวะ เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลิน
ขันธ์นั้น อาสวะและสัมปยุตตขันธ์จึงเกิดขึ้น (๓)
[๒๐] สภาวธรรมที่เป็นอาสวะและที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่เป็นอาสวะโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ เพราะปรารภอาสวะและสัมปยุตตขันธ์
อาสวะจึงเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่เป็นอาสวะและที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็น
อาสวะโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ เพราะปรารภอาสวะและสัมปยุตตขันธ์ ขันธ์ที่
ไม่เป็นอาสวะจึงเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่เป็นอาสวะและที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็น
อาสวะและที่ไม่เป็นอาสวะโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ เพราะปรารภอาสวะและ
สัมปยุตตขันธ์ อาสวะและสัมปยุตตขันธ์จึงเกิดขึ้น (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๑๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๔.อาสวทุกะ ๗.ปัญหาวาร
อธิปติปัจจัย
[๒๑] สภาวธรรมที่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นอาสวะโดยอธิปติ-
ปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ เพราะทำอาสวะให้เป็นอารมณ์
อย่างหนักแน่น อาสวะจึงเกิดขึ้น (มี ๓ วาระ เหมือนกับอารัมมณปัจจัย พึงทำ
ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะโดยอธิปติ-
ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติและสหชาตาธิปติ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถ ฯลฯ
พิจารณากุศลที่เคยสั่งสมไว้ดีแล้ว ฯลฯ ออกจากฌาน ฯลฯ พระอริยะออกจาก
มรรค ฯลฯ พิจารณาผล ฯลฯ พิจารณานิพพานให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ
นิพพานเป็นปัจจัยแก่โคตรภู โวทาน มรรค และผลโดยอธิปติปัจจัย บุคคลยินดี
เพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ และขันธ์ที่ไม่เป็นอาสวะให้เป็นอารมณ์อย่าง
หนักแน่น เพราะทำความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์อย่าง
หนักแน่น ราคะจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์
และจิตตสมุฎฐานรูปโดยอธิปติปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นอาสวะโดยอธิปติปัจจัย
มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติและสหชาตาธิปติ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน ฯลฯ ยินดีเพลิดเพลินขันธ์ที่ไม่เป็น
อาสวะให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทำความยินดีเพลิดเพลินขันธ์นั้นให้เป็น
อารมณ์อย่างหนักแน่น อาสวะจึงเกิดขึ้น
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตอาสวะ
โดยอธิปติปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นอาสวะและที่ไม่เป็น
อาสวะโดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติและสหชาตาธิปติ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๑๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๔.อาสวทุกะ ๗.ปัญหาวาร
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน ฯลฯ ยินดีเพลิดเพลินขันธ์ที่ไม่เป็น
อาสวะให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทำความยินดีเพลิดเพลินขันธ์นั้นให้เป็น
อารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์
อาสวะและจิตตสมุฏฐานรูปโดยอธิปติปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่เป็นอาสวะและที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นอาสวะ
โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลยินดีเพลิดเพลิน
อาสวะและสัมปยุตตขันธ์ให้เป็นอารมณ์อย่างหนันแน่น ฯลฯ อาสวะจึงเกิดขึ้น (มี
๓ วาระ พึงทำให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น)

อนันตรปัจจัย
[๒๒] สภาวธรรมที่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นอาสวะโดย
อนันตรปัจจัย ได้แก่ อาสวะที่เกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่อาสวะที่เกิดหลัง ๆ โดย
อนันตรปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะโดยอนันตรปัจจัย
ได้แก่ อาสวะที่เกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่เป็นอาสวะซึ่งเกิดหลัง ๆ โดย
อนันตรปัจจัย อาสวะเป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะโดยอนันตรปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นอาสวะและที่ไม่เป็น
อาสวะโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ อาสวะที่เกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่อาสวะและ
สัมปยุตตขันธ์ซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย (๓)
[๒๓] สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะโดย
อนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่เป็นอาสวะซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่
เป็นอาสวะซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย อนุโลมเป็นปัจจัยแก่โคตรภู ฯลฯ
ผลสมาบัติโดยอนันตรปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นอาสวะโดยอนันตรปัจจัย
ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่เป็นอาสวะซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นอาสวะซึ่งเกิดหลัง ๆ
โดยอนันตรปัจจัย อาวัชชนจิตเป็นปัจจัยแก่อาสวะโดยอนันตรปัจจัย (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๑๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๔.อาสวทุกะ ๗.ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นอาสวะและที่ไม่เป็น
อาสวะโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่เป็นอาสวะซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่
อาสวะและสัมปยุตตขันธ์ซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย (๓)
[๒๔] สภาวธรรมที่เป็นอาสวะและที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็น
อาสวะโดยอนันตรปัจจัย มี ๓ วาระ

สมนันตรปัจจัยเป็นต้น
[๒๕] สภาวธรรมที่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นอาสวะโดย
สมนันตรปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย มี ๙ วาระ เป็นปัจจัยโดยอัญญมัญญ-
ปัจจัย มี ๙ วาระ เป็นปัจจัยโดยนิสสยปัจจัย มี ๙ วาระ (พึงแสดงหทัยวัตถุด้วย)

อุปนิสสยปัจจัย
[๒๖] สภาวธรรมที่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นอาสวะโดย
อุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และ
ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูนิสสยะ ได้แก่ อาสวะเป็นปัจจัยแก่อาสวะโดยอุปนิสสยปัจจัย (มี ๓
วาระ)
[๒๗] สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะโดย
อุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และ
ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยศรัทธาแล้วให้ทาน ฯลฯ ทำสมาบัติให้
เกิดขึ้น มีมานะ ถือทิฏฐิ อาศัยศีล ฯลฯ เสนาสนะแล้วให้ทาน ฯลฯ ทำลาย
สงฆ์ ศรัทธา ฯลฯ เสนาสนะเป็นปัจจัยแก่ศรัทธา ฯลฯ ผลสมาบัติโดย
อุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นอาสวะโดยอุปนิสสย-
ปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยะ
ฯลฯ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๑๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๔.อาสวทุกะ ๗.ปัญหาวาร
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยศรัทธาแล้วมีมานะ ถือทิฏฐิ อาศัยศีล ฯลฯ
ทำลายสงฆ์ ศรัทธา ฯลฯ เสนาสนะเป็นปัจจัยแก่ราคะ ฯลฯ ความปรารถนา
โดยอุปนิสสยปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นอาสวะและที่ไม่เป็น
อาสวะโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ
และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยศรัทธาแล้วมีมานะ ถือทิฏฐิ อาศัยศีล ฯลฯ
เสนาสนะ ฯลฯ ฆ่าสัตว์ ฯลฯ ทำลายสงฆ์ ศรัทธา ฯลฯ เสนาสนะเป็นปัจจัยแก่
ราคะ ฯลฯ ความปรารถนาโดยอุปนิสสยปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่เป็นอาสวะและที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็น
อาสวะโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ
และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ มี ๓ วาระ

ปุเรชาตปัจจัย
[๒๘] สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะโดย
ปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาตะและวัตถุปุเรชาตะ
อารัมมณปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลพิจารณาจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ (พึงขยาย
ให้พิสดารอย่างนี้) โผฏฐัพพายตนะเป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณโดยปุเรชาตปัจจัย
วัตถุปุเรชาตะ ได้แก่ จักขายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ กายา-
ยตนะเป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่เป็นอาสวะโดย
ปุเรชาตปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นอาสวะโดยปุเรชาตปัจจัย
มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาตะและวัตถุปุเรชาตะ
อารัมมณปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลยินดีเพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ
เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้น อาสวะจึงเกิดขึ้น
วัตถุปุเรชาตะ ได้แก่ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่อาสวะโดยปุเรชาตปัจจัย (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๑๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๔.อาสวทุกะ ๗.ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นอาสวะและที่ไม่เป็น
อาสวะโดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาตะและวัตถุปุเรชาตะ
อารัมมณปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลยินดีเพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ เพราะ
ปรารภความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้น อาสวะและสัมปยุตตขันธ์จึงเกิดขึ้น
วัตถุปุเรชาตะ ได้แก่ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่อาสวะและขันธ์ที่สัมปยุตด้วย
อาสวะโดยปุเรชาตปัจจัย (๓)

ปัจฉาชาตปัจจัย
[๒๙] สภาวธรรมที่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะโดย
ปัจฉาชาตปัจจัย ได้แก่ อาสวะที่เกิดภายหลังเป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อนโดย
ปัจฉาชาตปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะโดยปัจฉา-
ชาตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่เป็นอาสวะซึ่งเกิดภายหลังเป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อน
โดยปัจฉาชาตปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เป็นอาสวะและที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็น
อาสวะโดยปัจฉาชาตปัจจัย ได้แก่ อาสวะและสัมปยุตตขันธ์ที่เกิดภายหลังเป็น
ปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อนโดยปัจฉาชาตปัจจัย (๑)

อาเสวนปัจจัย
[๓๐] สภาวธรรมที่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นอาสวะโดย
อาเสวนปัจจัย มี ๙ วาระ

กัมมปัจจัย
[๓๑] สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะโดย
กัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและนานาขณิกะ
สหชาตะ ได้แก่ เจตนาที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตต-
สมุฏฐานรูปโดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๑๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๔.อาสวทุกะ ๗.ปัญหาวาร
นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นวิบากและ
กฏัตตารูปโดยกัมมปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นอาสวะโดยกัมมปัจจัย
ได้แก่ เจตนาที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตอาสวะโดยกัมมปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นอาสวะและที่ไม่เป็น
อาสวะโดยกัมมปัจจัย ได้แก่ เจตนาที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์
อาสวะ และจิตตสมุฏฐานรูปโดยกัมมปัจจัย (๓)

วิปากปัจจัยและอาหารปัจจัย
[๓๒] สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะโดย
วิปากปัจจัย มี ๑ วาระ
สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะโดยอาหาร-
ปัจจัย ได้แก่ อาหารที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูป
โดยอาหารปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ กวฬิงการาหารเป็นปัจจัยแก่กายนี้โดย
อาหารปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นอาสวะโดยอาหารปัจจัย
ได้แก่ อาหารที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตอาสวะโดยอาหารปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นอาสวะและที่ไม่เป็น
อาสวะโดยอาหารปัจจัย ได้แก่ อาหารที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์
อาสวะ และจิตตสมุฏฐานรูปโดยอาหารปัจจัย (๓)

อินทรียปัจจัยเป็นต้น
[๓๓] สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะโดย
อินทรียปัจจัย ได้แก่ อินทรีย์ที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และ
จิตตสมุฏฐานรูปโดยอินทรียปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ จักขุนทรีย์เป็นปัจจัยแก่
จักขุวิญญาณ ฯลฯ กายินทรีย์เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณโดยอินทรียปัจจัย

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๒๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๔.อาสวทุกะ ๗.ปัญหาวาร
รูปชีวิตินทรีย์เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปโดยอินทรียปัจจัย มี ๓ วาระ เป็นปัจจัย
โดยฌานปัจจัย มี ๓ วาระ เป็นปัจจัยโดยมัคคปัจจัย มี ๙ วาระ เป็นปัจจัย
โดยสัมปยุตตปัจจัย มี ๙ วาระ

วิปปยุตตปัจจัย
[๓๔] สภาวธรรมที่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะโดย
วิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปัจฉาชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ อาสวะเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดยวิปปยุตตปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ อาสวะเป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อนโดยวิปปยุตตปัจจัย (๑)
[๓๕] สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะโดย
วิปปยุตตปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ สหชาตะ ปุเรชาตะ และปัจฉาชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดยวิปป-
ยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ ขันธ์เป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุโดยวิปปยุตตปัจจัย
หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์โดยวิปปยุตตปัจจัย
ปุเรชาตะ ได้แก่ จักขายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ กายายตนะ
เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ ฯลฯ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่เป็นอาสวะโดย
วิปปยุตตปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อนโดย
วิปปยุตตปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นอาสวะโดยวิปปยุตต-
ปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาตะ ได้แก่ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่อาสวะโดย
วิปปยุตตปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นอาสวะและที่ไม่เป็น
อาสวะโดยวิปปยุตตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาตะ ได้แก่ หทัยวัตถุเป็น
ปัจจัยแก่อาสวะและสัมปยุตตขันธ์โดยวิปปยุตตปัจจัย (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๒๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๔.อาสวทุกะ ๗.ปัญหาวาร
[๓๖] สภาวธรรมที่เป็นอาสวะและที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
ไม่เป็นอาสวะโดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปัจฉาชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ อาสวะและสัมปยุตตขันธ์เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดย
วิปปยุตตปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ อาสวะและสัมปยุตตขันธ์เป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อน
โดยวิปปยุตตปัจจัย (๑)

อัตถิปัจจัย
[๓๗] สภาวธรรมที่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นอาสวะโดยอัตถิ-
ปัจจัย ได้แก่ กามาสวะเป็นปัจจัยแก่ทิฏฐาสวะและอวิชชาสวะโดยอัตถิปัจจัย (พึง
ผูกเป็นจักกนัย) (๑)
สภาวธรรมที่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะโดยอัตถิปัจจัย
มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปัจฉาชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ อาสวะเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดย
อัตถิปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ อาสวะเป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อนโดยอัตถิปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นอาสวะและที่ไม่เป็นอาสวะ
โดยอัตถิปัจจัย ได้แก่ กามาสวะเป็นปัจจัยแก่ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะ สัมปยุตตขันธ์
และจิตตสมุฏฐานรูปโดยอัตถิปัจจัย (พึงผูกเป็นจักกนัย) (๓)
[๓๘] สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะโดย
อัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาตะ ปุเรชาตะ ปัจฉาชาตะ อาหาระ และอินทรียะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ ฯลฯ (พึง
เพิ่มข้อความจนถึงอสัญญสัตตพรหม)
ปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลเห็นแจ้งจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง
ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๒๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๔.อาสวทุกะ ๗.ปัญหาวาร
รูปายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะเป็นปัจจัยแก่กาย-
วิญญาณ ฯลฯ จักขายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ กายายตนะเป็นปัจจัย
แก่กายวิญญาณ ฯลฯ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่เป็นอาสวะโดยอัตถิปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อนโดย
อัตถิปัจจัย กวฬิงการาหารเป็นปัจจัยแก่กายนี้โดยอัตถิปัจจัย รูปชีวิตินทรีย์เป็น
ปัจจัยแก่กฏัตตารูปโดยอัตถิปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นอาสวะโดยอัตถิปัจจัย
มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปุเรชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่อาสวะโดยอัตถิปัจจัย
ปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลยินดีเพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ เพราะ
ปรารภความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้น อาสวะจึงเกิดขึ้น หทัยวัตถุเป็นปัจจัย
แก่อาสวะโดยอัตถิปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นอาสวะและที่ไม่เป็น
อาสวะโดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปุเรชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ อาสวะ
และจิตตสมุฏฐานรูปโดยอัตถิปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ (พึงผูกเป็นจักกนัย) (๓)
[๓๙] สภาวธรรมที่เป็นอาสวะและที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
เป็นอาสวะโดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปุเรชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ กามาสวะและสัมปยุตตขันธ์เป็นปัจจัยแก่ทิฏฐาสวะและ
อวิชชาสวะโดยอัตถิปัจจัย (พึงผูกเป็นจักกนัย) กามาสวะและหทัยวัตถุเป็นปัจจัย
แก่ทิฏฐาสวะและอวิชชาสวะโดยอัตถิปัจจัย (พึงผูกเป็นจักกนัย) (๑)
สภาวธรรมที่เป็นอาสวะและที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็น
อาสวะโดยอัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาตะ ปุเรชาตะ ปัจฉาชาตะ อาหาระ
และอินทรียะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่ไม่เป็นอาสวะและอาสวะเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓
และจิตตสมุฏฐานรูปโดยอัตถิปัจจัย

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๒๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๔.อาสวทุกะ ๗.ปัญหาวาร
สหชาตะ ได้แก่ อาสวะและมหาภูตรูปเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดย
อัตถิปัจจัย อาสวะและหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่เป็นอาสวะโดยอัตถิปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ อาสวะและกวฬิงการาหารเป็นปัจจัยแก่กายนี้โดย
อัตถิปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ อาสวะและรูปชีวิตินทรีย์เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปโดย
อัตถิปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่เป็นอาสวะและที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็น
อาสวะและที่ไม่เป็นอาสวะโดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปุเรชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่ไม่เป็นอาสวะและกามาสวะเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓
ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะ และจิตตสมุฏฐานรูปโดยอัตถิปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ
(พึงผูกเป็นจักกนัย)
สหชาตะ ได้แก่ กามาสวะและหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะ
และสัมปยุตตขันธ์โดยอัตถิปัจจัย (พึงผูกเป็นจักกนัย) (๓)

๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๔๐] เหตุปัจจัย มี ๗ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๙ วาระ
อธิปติปัจจัย มี ๙ วาระ
อนันตรปัจจัย มี ๙ วาระ
สมนันตรปัจจัย มี ๙ วาระ
สหชาตปัจจัย มี ๙ วาระ
อัญญมัญญปัจจัย มี ๙ วาระ
นิสสยปัจจัย มี ๙ วาระ
อุปนิสสยปัจจัย มี ๙ วาระ
ปุเรชาตปัจจัย มี ๓ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๒๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๔.อาสวทุกะ ๗.ปัญหาวาร

ปัจฉาชาตปัจจัย มี ๓ วาระ
อาเสวนปัจจัย มี ๙ วาระ
กัมมปัจจัย มี ๓ วาระ
วิปากปัจจัย มี ๑ วาระ
อาหารปัจจัย มี ๓ วาระ ฯลฯ
มัคคปัจจัย มี ๙ วาระ
สัมปยุตตปัจจัย มี ๙ วาระ
วิปปยุตตปัจจัย มี ๕ วาระ
อัตถิปัจจัย มี ๙ วาระ
นัตถิปัจจัย มี ๙ วาระ
วิคตปัจจัย มี ๙ วาระ
อวิคตปัจจัย มี ๙ วาระ

อนุโลม จบ

๒. ปัจจนียุทธาร
[๔๑] สภาวธรรมที่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นอาสวะโดย
อารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย และอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะโดยอารัมมณ-
ปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และปัจฉาชาตปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นอาสวะและที่ไม่เป็นอาสวะ
โดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย และอุปนิสสยปัจจัย (๓)
[๔๒] สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะโดย
อารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย ปุเรชาตปัจจัย ปัจฉาชาตปัจจัย
กัมมปัจจัย อาหารปัจจัย และอินทรียปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นอาสวะโดยอารัมมณ-
ปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และปุเรชาตปัจจัย (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๒๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๔.อาสวทุกะ ๗.ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นอาสวะและที่ไม่เป็น
อาสวะโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และปุเรชาตปัจจัย (๓)
[๔๓] สภาวธรรมที่เป็นอาสวะและที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
เป็นอาสวะโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย และอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เป็นอาสวะและที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็น
อาสวะโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และปัจฉาชาตปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่เป็นอาสวะและที่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นอาสวะ
และที่ไม่เป็นอาสวะโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย และอุปนิสสยปัจจัย (๓)

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒. สังขยาวาร

[๔๔] นเหตุปัจจัย มี ๙ วาระ
นอารัมมณปัจจัย มี ๙ วาระ
นอธิปติปัจจัย มี ๙ วาระ

(ทุกปัจจัย มีปัจจัยละ ๙ วาระ)
โนอวิคตปัจจัย มี ๙ วาระ

ปัจจนียะ จบ

๓. ปัจจยานุโลมปัจจนียะ
เหตุทุกนัย

[๔๕] นอารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๗ วาระ
นอธิปติปัจจัย ” มี ๗ วาระ
นอนันตรปัจจัย ” มี ๗ วาระ
นสมนันตรปัจจัย ” มี ๗ วาระ
นอัญญมัญญปัจจัย ” มี ๓ วาระ
นอุปนิสสยปัจจัย ” มี ๗ วาระ

(ทุกปัจจัยมีปัจจัยละ ๗ วาระ)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๒๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๕. สาสวทุกะ ๑. ปฏิจจวาร

นมัคคปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๗ วาระ
นสัมปยุตตปัจจัย ” มี ๓ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย ” มี ๗ วาระ
โนนัตถิปัจจัย ” มี ๗ วาระ
โนวิคตปัจจัย ” มี ๗ วาระ

อนุโลมปัจจนียะ จบ

๔. ปัจจยปัจจนียานุโลม
นเหตุทุกนัย

[๔๖] อารัมมณปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๙ วาระ
อธิปติปัจจัย ” มี ๙ วาระ

(บทอนุโลมบริบูรณ์แล้ว)
อวิคตปัจจัย ” มี ๙ วาระ
ปัจจนียานุโลม จบ
อาสวะทุกะ จบ

๑๕. สาสวทุกะ ๑. ปฏิจจวาร
เหตุปัจจัย
[๔๗] สภาวธรรมที่เป็นอารมณ์ของอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่เป็นอารมณ์ของ
อาสวะเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่
เป็นอารมณ์ของอาสวะเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
หทัยวัตถุอาศัยขันธ์เกิดขึ้น ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น ... อาศัยมหาภูตรูป ๑ ฯลฯ
จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๒๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๖.อาสวสัมปยุตตทุกะ ๑.ปฏิจจวาร
สภาวธรรมที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่ไม่เป็นอารมณ์ของ
อาสวะเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่เป็นอารมณ์ของ
อาสวะเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่เป็นอารมณ์ของอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่ไม่เป็นอารมณ์ของ
อาสวะเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่ไม่เป็นอารมณ์
ของอาสวะเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่เป็นอารมณ์ของอาสวะและที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะอาศัยสภาว-
ธรรมที่ไม่เป็นอาสวะเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป
อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๓)
สภาวธรรมที่เป็นอารมณ์ของอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่เป็นอารมณ์ของอาสวะ
และที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูป
อาศัยขันธ์ที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะและอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น (๑)
(พึงทำสาสวทุกะให้เหมือนโลกิยทุกะในจูฬันตรทุกะ ไม่มีข้อแตกต่างกัน)
สาสวทุกะ จบ

๑๖. อาสวสัมปยุตตทุกะ ๑. ปฏิจจวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๔๘] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะ
เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สัมปยุตด้วยอาสวะเกิดขึ้น
ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะเกิดขึ้น
เพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอาสวะเกิดขึ้น
โมหะและจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา
และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเกิดขึ้น (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๒๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๖.อาสวสัมปยุตตทุกะ ๑.ปฏิจจวาร
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะและที่วิปปยุตจากอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่
สัมปยุตด้วยอาสวะเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป
อาศัยขันธ์ ๑ ที่สัมปยุตด้วยอาสวะเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ ๓ โมหะ
และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยโทมนัสที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและ
ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๓)
[๔๙] สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะ
เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่วิปปยุต
จากอาสวะเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยโมหะที่สหรคต
ด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเกิดขึ้น ในปฏิสนธิ-
ขณะ ฯลฯ หทัยวัตถุอาศัยขันธ์เกิดขึ้น ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น มหาภูตรูป ๓
อาศัยมหาภูตรูป ๑ เกิดขึ้น มหาภูตรูป ๑ อาศัยมหาภูตรูป ๓ เกิดขึ้น มหาภูตรูป
๒ อาศัยมหาภูตรูป ๒ เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูป
อาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะเกิดขึ้น
เพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ สัมปยุตตขันธ์อาศัยโมหะที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคต
ด้วยวิจิกิจฉา และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะและที่วิปปยุตจากอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่
วิปปยุตจากอาสวะเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐาน-
รูปอาศัยโมหะที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และที่สหรคตด้วย
อุทธัจจะเกิดขึ้น (๓)
[๕๐] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะ
และที่วิปปยุตจากอาสวะเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑
และโมหะที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ
เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะและที่
วิปปยุตจากอาสวะเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่สัมปยุต
ด้วยอาสวะและอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์และโมหะที่
สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเกิดขึ้น (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๒๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๖.อาสวสัมปยุตตทุกะ ๑.ปฏิจจวาร
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะและที่วิปปยุตจากอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่
สัมปยุตด้วยอาสวะและที่วิปปยุตจากอาสวะเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓
และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ และโมหะที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วย
วิจิกิจฉา และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเกิดขึ้น ... อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๓)

อารัมมณปัจจัย
[๕๑] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะ
เกิดขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สัมปยุตด้วยอาสวะ
เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะเกิดขึ้น
เพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่ โมหะอาศัยขันธ์ที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วย
วิจิกิจฉา และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะและที่วิปปยุตจากอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่
สัมปยุตด้วยอาสวะเกิดขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และโมหะอาศัย
ขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ
เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๓)
[๕๒] สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะ
เกิดขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่วิปปยุตจากอาสวะ
เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุ
เกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะเกิดขึ้น
เพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่ สัมปยุตตขันธ์อาศัยโมหะที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่
สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะและที่
วิปปยุตจากอาสวะเกิดขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ และ
โมหะที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเกิดขึ้น
ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๓๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๖.อาสวสัมปยุตตทุกะ ๑.ปฏิจจวาร
อธิปติปัจจัย
[๕๓] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะ
เกิดขึ้นเพราะอธิปติปัจจัย มี ๓ วาระ
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะเกิดขึ้น
เพราะอธิปติปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่วิปปยุตจาก
อาสวะเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยโมหะที่สหรคตด้วย
โทมนัสเกิดขึ้น ... อาศัยมหาภูตรูป ๑ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปที่เป็นอุปาทายรูป
อาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะเกิดขึ้น
เพราะอธิปติปัจจัย ได้แก่ สัมปยุตตขันธ์อาศัยโมหะที่สหรคตด้วยโทมนัสเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะและที่วิปปยุตจากอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่
วิปปยุตจากอาสวะเกิดขึ้นเพราะอธิปติปัจจัย ได้แก่ สัมปยุตตขันธ์และจิตต-
สมุฏฐานรูปอาศัยโมหะที่สหรคตด้วยโทมนัสเกิดขึ้น (๓)
[๕๔] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะ
และที่วิปปยุตจากอาสวะเกิดขึ้นเพราะอธิปติปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑
และโมหะที่สหรคตด้วยโทมนัสเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะและที่
วิปปยุตจากอาสวะเกิดขึ้นเพราะอธิปติปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่
สัมปยุตด้วยอาสวะและอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์และ
โมหะที่สหรคตด้วยโทมนัสเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะและที่วิปปยุตจากอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่
สัมปยุตด้วยอาสวะและที่วิปปยุตจากอาสวะเกิดขึ้นเพราะอธิปติปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓
และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ และโมหะที่สหรคตด้วยโทมนัสเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัย
ขันธ์ ๒ ฯลฯ (๓)
(พึงขยายปัจจัยทั้งหมดให้พิสดารอย่างนี้ ย่อ)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๓๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๖.อาสวสัมปยุตตทุกะ ๑.ปฏิจจวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๕๕] เหตุปัจจัย มี ๙ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๖ วาระ
อธิปติปัจจัย มี ๙ วาระ
อนันตรปัจจัย มี ๖ วาระ
สมนันตรปัจจัย มี ๖ วาระ
สหชาตปัจจัย มี ๙ วาระ
อัญญมัญญปัจจัย มี ๖ วาระ
นิสสยปัจจัย มี ๙ วาระ
อุปนิสสยปัจจัย มี ๖ วาระ
ปุเรชาตปัจจัย มี ๖ วาระ
อาเสวนปัจจัย มี ๖ วาระ
กัมมปัจจัย มี ๙ วาระ
วิปากปัจจัย มี ๑ วาระ
อาหารปัจจัย มี ๙ วาระ
อินทรียปัจจัย มี ๙ วาระ
ฌานปัจจัย มี ๙ วาระ
มัคคปัจจัย มี ๙ วาระ
สัมปยุตตปัจจัย มี ๖ วาระ
วิปปยุตตปัจจัย มี ๙ วาระ
อัตถิปัจจัย มี ๙ วาระ
นัตถิปัจจัย มี ๖ วาระ
วิคตปัจจัย มี ๖ วาระ
อวิคตปัจจัย มี ๙ วาระ

อนุโลม จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๓๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๖.อาสวสัมปยุตตทุกะ ๑.ปฏิจจวาร
๒. ปัจจยปัจจนียะ ๑. วิภังควาร
นเหตุปัจจัย
[๕๖] สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะ
เกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ
อาศัยขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะเกิดขึ้น
เพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่มีเหตุซึ่ง
วิปปยุตจากอาสวะเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะที่เป็นอเหตุกะ
ฯลฯ (พึงเพิ่มข้อความจนถึงอสัญญสัตตพรหม) (๑)

นอารัมมณปัจจัย
[๕๗] สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะ
เกิดขึ้นเพราะนอารัมมณปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่สัมปยุตด้วย
อาสวะเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะเกิดขึ้น
เพราะนอารัมมณปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่วิปปยุตจากอาสวะ
เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยโมหะที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา
และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ หทัยวัตถุอาศัยขันธ์เกิดขึ้น
... อาศัยมหาภูตรูป ๑ ฯลฯ (พึงเพิ่มข้อความจนถึงอสัญญสัตตพรหม) (๑)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะและ
ที่วิปปยุตจากอาสวะเกิดขึ้นเพราะนอารัมมณปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัย
ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอาสวะและอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปอาศัย
ขันธ์และโมหะที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และที่สหรคตด้วย
อุทธัจจะเกิดขึ้น (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๓๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๖.อาสวสัมปยุตตทุกะ ๑.ปฏิจจวาร
นอธิปติปัจจัย
[๕๘] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะ
เกิดขึ้นเพราะนอธิปติปัจจัย (ย่อ)

นปุเรชาตปัจจัยเป็นต้น
[๕๙] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะ
เกิดขึ้นเพราะนปุเรชาตปัจจัย ได้แก่ ในอรูปาวจรภูมิ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่
สัมปยุตด้วยอาสวะเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะเกิดขึ้น
เพราะนปุเรชาตปัจจัย ได้แก่ ในอรูปาวจรภูมิ โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่
สหรคตด้วยอุทธัจจะอาศัยขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเกิดขึ้น
จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอาสวะเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะและที่วิปปยุตจากอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่
สัมปยุตด้วยอาสวะเกิดขึ้นเพราะนปุเรชาตปัจจัย ได้แก่ ในอรูปาวจรภูมิ ขันธ์ ๓
และโมหะอาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเกิดขึ้น
ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๓)
[๖๐] สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะ
เกิดขึ้นเพราะนปุเรชาตปัจจัย ได้แก่ ในอรูปาวจรภูมิ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่
วิปปยุตจากอาสวะเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์
ที่วิปปยุตจากอาสวะเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยโมหะที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่
สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
(พึงเพิ่มข้อความจนถึงอสัญญสัตตพรหม) (๑)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะเกิดขึ้น
เพราะนปุเรชาตปัจจัย ได้แก่ ในอรูปาวจรภูมิ สัมปยุตตขันธ์อาศัยโมหะที่สหรคต
ด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเกิดขึ้น (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๓๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๖.อาสวสัมปยุตตทุกะ ๑.ปฏิจจวาร
[๖๑] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะ
และที่วิปปยุตจากอาสวะเกิดขึ้นเพราะนปุเรชาตปัจจัย ได้แก่ ในอรูปาวจรภูมิ ขันธ์
๓ อาศัยขันธ์ ๑ และโมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเกิดขึ้น
ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะและที่
วิปปยุตจากอาสวะเกิดขึ้นเพราะนปุเรชาตปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่
สัมปยุตด้วยอาสวะและอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์และโมหะ
ที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเกิดขึ้น (๒)
(เพราะนปัจฉาชาตปัจจัย มี ๙ วาระ เพราะนอาเสวนปัจจัย มี ๙ วาระ)

นกัมมปัจจัยเป็นต้น
[๖๒] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะ
เกิดขึ้นเพราะนกัมมปัจจัย ได้แก่ สัมปยุตตเจตนาอาศัยขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอาสวะ
เกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะเกิดขึ้น
เพราะนกัมมปัจจัย ได้แก่ วิปปยุตตเจตนาอาศัยขันธ์ที่วิปปยุตจากอาสวะเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะเกิดขึ้น
เพราะนกัมมปัจจัย ได้แก่ สัมปยุตตเจตนาอาศัยโมหะที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่
สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะและที่
วิปปยุตจากอาสวะเกิดขึ้นเพราะนกัมมปัจจัย ได้แก่ สัมปยุตตเจตนาอาศัยขันธ์
และโมหะที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ
เกิดขึ้นเพราะนวิปากปัจจัย เพราะนอาหารปัจจัย เพราะนอินทรียปัจจัย เพราะ
นฌานปัจจัย เพราะนมัคคปัจจัย เพราะนสัมปยุตตปัจจัย เพราะนวิปปยุตตปัจจัย
เพราะโนนัตถิปัจจัย เพราะโนวิคตปัจจัย

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๓๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๖.อาสวสัมปยุตตทุกะ ๑.ปฏิจจวาร
๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๖๓] นเหตุปัจจัย มี ๒ วาระ
นอารัมมณปัจจัย มี ๓ วาระ
นอธิปติปัจจัย มี ๙ วาระ
นอนันตรปัจจัย มี ๓ วาระ
นสมนันตรปัจจัย มี ๓ วาระ
นอัญญมัญญปัจจัย มี ๓ วาระ
นอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย มี ๗ วาระ
นปัจฉาชาตปัจจัย มี ๙ วาระ
นอาเสวนปัจจัย มี ๙ วาระ
นกัมมปัจจัย มี ๔ วาระ
นวิปากปัจจัย มี ๙ วาระ
นอาหารปัจจัย มี ๑ วาระ
นอินทรียปัจจัย มี ๑ วาระ
นฌานปัจจัย มี ๑ วาระ
นมัคคปัจจัย มี ๑ วาระ
นสัมปยุตตปัจจัย มี ๓ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย lมี ๖ วาระ
โนนัตถิปัจจัย มี ๓ วาระ
โนวิคตปัจจัย มี ๓ วาระ

ปัจจนียะ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๓๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๖.อาสวสัมปยุตตทุกะ ๑.ปฏิจจวาร
๓. ปัจจยานุโลมปัจจนียะ
เหตุทุกนัย

[๖๔] นอารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๓ วาระ ฯลฯ
นปุเรชาตปัจจัย ” มี ๖ วาระ ฯลฯ
นวิปากปัจจัย ” มี ๙ วาระ ฯลฯ
นสัมปยุตตปัจจัย ” มี ๓ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย ” มี ๔ วาระ
โนนัตถิปัจจัย ” มี ๓ วาระ
โนวิคตปัจจัย ” มี ๓ วาระ

อนุโลมปัจจนียะ จบ

๔. ปัจจยปัจจนียานุโลม
นเหตุทุกนัย

[๖๕] อารัมมณปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๒ วาระ
อนันตรปัจจัย ” มี ๒ วาระ
สมนันตรปัจจัย ” มี ๒ วาระ ฯลฯ
กัมมปัจจัย ” มี ๒ วาระ
วิปากปัจจัย ” มี ๑ วาระ
อาหารปัจจัย ” มี ๒ วาระ ฯลฯ
มัคคปัจจัย ” มี ๑ วาระ
สัมปยุตตปัจจัย ” มี ๒ วาระ
วิปปยุตตปัจจัย ” มี ๒ วาระ ฯลฯ
วิคตปัจจัย ” มี ๒ วาระ
อวิคตปัจจัย ” มี ๒ วาระ

(สหชาตวารเหมือนกับปฏิจจวาร)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๓๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๖.อาสวสัมปยุตตทุกะ ๓.ปัจจยวาร
๑๖. อาสวสัมปยุตตทุกะ ๓. ปัจจยวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๖๖] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะทำสภาวธรรมที่สัมปยุตด้วอาสวะให้เป็น
ปัจจัยเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย มี ๓ วาระ (เหมือนกับปฏิจจวาร)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะทำสภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะให้เป็นปัจจัย
เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปทำขันธ์ ๑ ที่วิปปยุต
จากอาสวะให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ทำขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปทำโมหะที่
สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะให้เป็น
ปัจจัยเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ หทัยวัตถุทำขันธ์ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ขันธ์
ทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ... ทำมหาภูตรูป ๑ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป
และกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปทำมหาภูตรูปให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ขันธ์ที่วิปปยุต
จากอาสวะทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น โมหะที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคต
ด้วยวิจิกิจฉา และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะทำสภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะให้เป็นปัจจัย
เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอาสวะทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัย
เกิดขึ้น สัมปยุตตขันธ์ทำโมหะที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และที่
สหรคตด้วยอุทธัจจะให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะและที่วิปปยุตจากอาสวะทำสภาวธรรมที่วิปปยุต
จากอาสวะให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอาสวะทำ
หทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปทำมหาภูตรูปให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น
สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปทำโมหะที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา
และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ขันธ์และโมหะที่สหรคตด้วยโทมนัส
ทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๓๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๖.อาสวสัมปยุตตทุกะ ๓.ปัจจยวาร
[๖๗] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะทำสภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะและ
ที่วิปปยุตจากอาสวะให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ ทำขันธ์ ๑
ที่สัมปยุตด้วยอาสวะและทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ทำขันธ์ ๒ ฯลฯ
ขันธ์ ๓ ทำขันธ์ ๑ และโมหะที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และ
ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ทำขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะทำสภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะและที่วิปปยุต
จากอาสวะให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปทำขันธ์ที่
สัมปยุตด้วยอาสวะและทำมหาภูตรูปให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปทำขันธ์
และโมหะที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ
ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น โมหะที่สหรคตด้วยโทมนัสทำขันธ์ที่สหรคตด้วยโทมนัสและทำ
หทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะและที่วิปปยุตจากอาสวะทำสภาวธรรมที่สัมปยุต
ด้วยอาสวะและที่วิปปยุตจากอาสวะให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่
ขันธ์ ๓ ทำขันธ์ ๑ ที่สัมปยุตด้วยอาสวะและทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ
ทำขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปทำขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอาสวะและทำมหาภูตรูป
ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปทำขันธ์ ๑ และโมหะที่สหรคต
ด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น
ฯลฯ ทำขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ ๓ และโมหะทำขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยโทมนัสและ
ทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ทำขันธ์ ๒ ฯลฯ (๓)

อารัมมณปัจจัยเป็นต้น
[๖๘] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะทำสภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะให้เป็น
ปัจจัยเกิดขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย มี ๓ วาระ (เหมือนกับปฏิจจวาร)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะทำสภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะให้เป็นปัจจัย
เกิดขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ ทำขันธ์ ๑ ที่วิปปยุตจากอาสวะและ
ทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ทำขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ ขันธ์
ทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น จักขุวิญญาณทำจักขายตนะให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๓๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๖.อาสวสัมปยุตตทุกะ ๓.ปัจจยวาร
ฯลฯ กายวิญญาณทำกายายตนะให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ขันธ์ที่วิปปยุตจากอาสวะทำ
หทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น โมหะที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา
และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะทำสภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะให้เป็นปัจจัย
เกิดขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอาสวะทำหทัยวัตถุให้เป็น
ปัจจัยเกิดขึ้น สัมปยุตตขันธ์ทำโมหะที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา
และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะและที่วิปปยุตจากอาสวะทำสภาวธรรมที่วิปปยุต
จากอาสวะให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่ ขันธ์และโมหะที่
สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะทำหทัยวัตถุ
ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๓)
[๖๙] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะทำสภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะและ
ที่วิปปยุตจากอาสวะให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ ทำ
ขันธ์ ๑ ที่สัมปยุตด้วยอาสวะและทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ทำขันธ์ ๒
ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะทำสภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะและที่วิปปยุต
จากอาสวะให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่ โมหะที่สหรคตด้วย
โทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะทำขันธ์ที่สหรคตด้วย
โทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และทำหทัยวัตถุให้เป็น
ปัจจัยเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะและที่วิปปยุตจากอาสวะทำสภาวธรรมที่สัมปยุต
ด้วยอาสวะและที่วิปปยุตจากอาสวะให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่
ขันธ์ ๓ และโมหะทำขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และ
ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ทำขันธ์ ๒ ฯลฯ
เพราะอธิปติปัจจัย เพราะอนันตรปัจจัย ฯลฯ เพราะอวิคตปัจจัย (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๔๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๖.อาสวสัมปยุตตทุกะ ๓.ปัจจยวาร
๑.ปัจจยาโลม ๒.สังขยาวาร

[๗๐] เหตุปัจจัย มี ๙ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๙ วาระ

(ทุกปัจจัย มีปัจจัยละ ๙ วาระ)

กัมมปัจจัย มี ๙ วาระ
วิปากปัจจัย มี ๑ วาระ ฯลฯ
อวิคตปัจจัย มี ๙ วาระ

อนุโลม จบ

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๑. วิภังควาร
นเหตุปัจจัย
[๗๑] สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะทำสภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะให้เป็น
ปัจจัยเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคต
ด้วยอุทธัจจะทำขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วยอุทธัจจะให้เป็นปัจจัย
เกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะทำสภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะให้เป็นปัจจัย
เกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปทำขันธ์ ๑ ที่ไม่มีเหตุ
ซึ่งวิปปยุตจากอาสวะให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ทำขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ
ที่เป็นอเหตุกะ ฯลฯ (พึงเพิ่มข้อความจนถึงอสัญญสัตตพรหม) จักขุวิญญาณทำ
จักขายตนะให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ กายวิญญาณทำกายายตนะให้เป็นปัจจัยเกิด
ขึ้น ขันธ์ที่ไม่มีเหตุซึ่งวิปปยุตจากอาสวะทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น โมหะที่
สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วยอุทธัจจะทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะทำสภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะและที่วิปปยุต
จากอาสวะให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา
และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะทำขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ
และทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๑) (ย่อ)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๔๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๖.อาสวสัมปยุตตทุกะ ๓.ปัจจยวาร
๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๗๒] นเหตุปัจจัย มี ๓ วาระ
นอารัมมณปัจจัย มี ๓ วาระ
นอธิปติปัจจัย มี ๙ วาระ
นอนันตรปัจจัย มี ๓ วาระ
นสมนันตรปัจจัย มี ๓ วาระ
นอัญญมัญญปัจจัย มี ๓ วาระ
นอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย มี ๗ วาระ
นปัจฉาชาตปัจจัย มี ๙ วาระ
นอาเสวนปัจจัย มี ๙ วาระ
นกัมมปัจจัย มี ๔ วาระ
นวิปากปัจจัย มี ๙ วาระ
นอาหารปัจจัย มี ๑ วาระ
นอินทรียปัจจัย มี ๑ วาระ
นฌานปัจจัย มี ๑ วาระ
นมัคคปัจจัย มี ๑ วาระ
นสัมปยุตตปัจจัย มี ๓ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย มี ๖ วาระ
โนนัตถิปัจจัย มี ๓ วาระ
โนวิคตปัจจัย มี ๓ วาระ

(พึงทำการนับ ๒ อย่างแม้นอกนี้อย่างนี้)
(นิสสยวารเหมือนกับปัจจยวาร)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๔๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๖.อาสวสัมปยุตตทุกะ ๕.สังสัฏฐวาร
๑๖. อาสวสัมปยุตตทุกะ ๕. สังสัฏฐวาร
๑. ปัจจยานุโลมเป็นต้น
[๗๓] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะเกิดระคนกับสภาวธรรมที่สัมปยุตด้วย
อาสวะเพราะเหตุปัจจัย (ย่อ)

เหตุปัจจัย มี ๖ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๖ วาระ
อธิปติปัจจัย มี ๖ วาระ

(ทุกปัจจัย มีปัจจัยละ ๖ วาระ)
วิปากปัจจัย มี ๑ วาระ ฯลฯ
อวิคตปัจจัย มี ๖ วาระ
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะเกิดระคนกับสภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะ
เพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ
เกิดระคนกับขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ (๑)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะเกิดระคนกับสภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะ
เพราะนเหตุปัจจัย ฯลฯ

นเหตุปัจจัย มี ๒ วาระ
นอธิปติปัจจัย มี ๖ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย มี ๖ วาระ
นปัจฉาชาตปัจจัย มี ๖ วาระ
นอาเสวนปัจจัย มี ๖ วาระ
นกัมมปัจจัย มี ๔ วาระ
นวิปากปัจจัย มี ๖ วาระ
นฌานปัจจัย มี ๑ วาระ
นมัคคปัจจัย มี ๑ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย มี ๖ วาระ

(พึงทำการนับ ๒ อย่างแม้นอกนี้อย่างนี้)
(สัมปยุตตวารเหมือนกับสังสัฏฐวาร)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๔๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๖.อาสวสัมปยุตตทุกะ ๗.ปัญหาวาร
๑๖. อาสวสัมปยุตตทุกะ ๗. ปัญหาวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๗๔] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วย
อาสวะโดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์
โดยเหตุปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะ
โดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดย
เหตุปัจจัย โทสะเป็นปัจจัยแก่โมหะและจิตตสมุฏฐานรูปโดยเหตุปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะ
และที่วิปปยุตจากอาสวะโดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัย
แก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดยเหตุปัจจัย โทสะเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต-
ขันธ์ โมหะ และจิตตสมุฏฐานรูปโดยเหตุปัจจัย (๓)
[๗๕] สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุตจาก
อาสวะโดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และ
จิตตสมุฏฐานรูปโดยเหตุปัจจัย โมหะที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา
และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ
ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะโดย
เหตุปัจจัย ได้แก่ โมหะที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และที่
สหรคตด้วยอุทธัจจะเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์โดยเหตุปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะ
และที่วิปปยุตจากอาสวะโดยเหตุปัจจัย ได้แก่ โมหะที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่
สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และ
จิตตสมุฏฐานรูปโดยเหตุปัจจัย (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๔๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๖.อาสวสัมปยุตตทุกะ ๗.ปัญหาวาร
[๗๖] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะและที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะโดยเหตุปัจจัย ได้แก่ โทสะและโมหะเป็นปัจจัยแก่
ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอาสวะโดยเหตุปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะและที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่วิปปยุตจากอาสวะโดยเหตุปัจจัย ได้แก่ โทสะและโมหะเป็นปัจจัยแก่จิตต-
สมุฏฐานรูปโดยเหตุปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะและที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่สัมปยุตด้วยอาสวะและที่วิปปยุตจากอาสวะโดยเหตุปัจจัย ได้แก่ โทสะและโมหะ
เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดยเหตุปัจจัย (๓)

อารัมมณปัจจัย
[๗๗] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วย
อาสวะโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ เพราะปรารภขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอาสวะ ขันธ์ที่
สัมปยุตด้วยอาสวะจึงเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะ
โดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ เพราะปรารภขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอาสวะ ขันธ์และโมหะที่
วิปปยุตจากอาสวะจึงเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะ
และที่วิปปยุตจากอาสวะโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ เพราะปรารภขันธ์ที่สัมปยุต
ด้วยอาสวะ ขันธ์และโมหะที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และที่
สหรคตด้วยอุทธัจจะจึงเกิดขึ้น (๓)
[๗๘] สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุตจาก
อาสวะโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถแล้ว
พิจารณากุศลนั้น พิจารณากุศลที่เคยสั่งสมไว้ดีแล้ว ฯลฯ ออกจากฌาน ฯลฯ พระ
อริยะออกจากมรรคแล้วพิจารณามรรค พิจารณาผล พิจารณานิพพาน นิพพาน
เป็นปัจจัยแก่โคตรภู โวทาน มรรค ผล และอาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๔๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๖.อาสวสัมปยุตตทุกะ ๗.ปัญหาวาร
พระอริยะพิจารณากิเลสที่วิปปยุตจากอาสวะซึ่งละได้แล้ว พิจารณากิเลสที่ข่มได้แล้ว
พิจารณากิเลสที่เคยเกิดขึ้น ฯลฯ บุคคลเห็นแจ้งจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ ขันธ์
ที่วิปปยุตจากอาสวะโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา (ในที่นี้ไม่มีความ
ยินดี) บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รู้จิตของบุคคลผู้มี
ความพรั่งพร้อมด้วยจิตที่วิปปยุตจากอาสวะด้วยเจโตปริยญาณ อากาสานัญจา-
ยตนะเป็นปัจจัยแก่วิญญาณัญจายตนะ ฯลฯ อากิญจัญญายตนะเป็นปัจจัยแก่
เนวสัญญานาสัญญายตนะ ฯลฯ รูปายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ
โผฏฐัพพายตนะเป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ ฯลฯ ขันธ์ที่วิปปยุตจากอาสวะเป็น
ปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ เจโตปริยญาณ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ยถากัมมูปคญาณ
อนาคตังสญาณ อาวัชชนจิต และโมหะโดยอารัมมณปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะ
โดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถแล้ว ยินดี
เพลิดเพลินกุศลนั้น เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินกุศลนั้น ราคะจึงเกิดขึ้น
ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น วิจิกิจฉา ฯลฯ อุทธัจจะ ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น บุคคลยินดี
เพลิดเพลินกุศลที่เคยสั่งสมไว้ดีแล้ว ฯลฯ ออกจากฌานแล้วพิจารณาฌาน ฯลฯ
ยินดีเพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ ขันธ์ที่วิปปยุตจากอาสวะ เพราะ
ปรารภความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้น ราคะ ฯลฯ ทิฏฐิ ฯลฯ โทมนัส ฯลฯ
วิจิกิจฉา ฯลฯ อุทธัจจะจึงเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะ
และที่วิปปยุตจากอาสวะโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ เพราะปรารภจักษุ ฯลฯ
หทัยวัตถุ ฯลฯ ขันธ์ที่วิปปยุตจากอาสวะ ขันธ์และโมหะที่สหรคตด้วยโทมนัส
ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะจึงเกิดขึ้น (๓)
[๗๙] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะและที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ เพราะปรารภขันธ์และ
โมหะที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ขันธ์
ที่สัมปยุตด้วยอาสวะจึงเกิดขึ้น (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๔๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๖.อาสวสัมปยุตตทุกะ ๗.ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะและที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่วิปปยุตจากอาสวะโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ เพราะปรารภขันธ์และโมหะที่สหรคต
ด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ขันธ์ที่วิปปยุตจาก
อาสวะและโมหะจึงเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะและที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่สัมปยุตด้วยอาสวะและที่วิปปยุตจากอาสวะโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ เพราะ
ปรารภขันธ์และโมหะที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และที่สหรคตด้วย
อุทธัจจะ ขันธ์และโมหะที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และที่
สหรคตด้วยอุทธัจจะจึงเกิดขึ้น (๓)

อธิปติปัจจัย
[๘๐] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วย
อาสวะโดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติและสหชาตาธิปติ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ เพราะทำขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอาสวะให้เป็นอารมณ์อย่าง
หนักแน่น ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอาสวะจึงเกิดขึ้น
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต-
ขันธ์โดยอธิปติปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะโดย
อธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่สัมปยุตด้วย
อาสวะเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดยอธิปติปัจจัย อธิบดีธรรมที่สหรคตด้วย
โทมนัสเป็นปัจจัยแก่โมหะและจิตตสมุฏฐานรูปโดยอธิปติปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะ
และที่วิปปยุตจากอาสวะโดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่
อธิบดีธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดย
อธิปติปัจจัย อธิบดีธรรมที่สหรคตด้วยโทมนัสเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ โมหะ
และจิตตสมุฏฐานรูปโดยอธิปติปัจจัย (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๔๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๖.อาสวสัมปยุตตทุกะ ๗.ปัญหาวาร
[๘๑] สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุตจาก
อาสวะโดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติและสหชาตาธิปติ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถแล้ว
พิจารณากุศลนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น พิจารณากุศลที่เคยสั่งสมไว้ดีแล้ว
ฯลฯ ออกจากฌานแล้วพิจารณาฌาน ฯลฯ พระอริยะออกจากมรรคแล้วพิจารณา
มรรค ฯลฯ พิจารณาผล ฯลฯ พิจารณานิพพานให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น
นิพพานเป็นปัจจัยแก่โคตรภู โวทาน มรรค และผลโดยอธิปติปัจจัย
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต-
ขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดยอธิปติปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะ
โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทาน
ศีล รักษาอุโบสถแล้วยินดีเพลิดเพลินกุศลนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะ
ทำความยินดีเพลิดเพลินกุศลนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะจึงเกิดขึ้น
ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น บุคคลยินดีเพลิดเพลินกุศลที่เคยสั่งสมไว้ดีแล้ว ฯลฯ ออกจากฌาน
ฯลฯ ยินดีเพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ ขันธ์ที่วิปปยุตจากอาสวะให้
เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทำความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้นให้เป็น
อารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น (๒)

อนันตรปัจจัย
[๘๒] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วย
อาสวะโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอาสวะซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัย
แก่ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอาสวะซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะโดย
อนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และที่
สหรคตด้วยอุทธัจจะซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่โมหะที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่
สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย
ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะโดยอนันตรปัจจัย (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๔๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๖.อาสวสัมปยุตตทุกะ ๗.ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะและ
ที่วิปปยุตจากอาสวะโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคต
ด้วยวิจิกิจฉา และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์และ
โมหะที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะซึ่ง
เกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย (๓)
[๘๓] สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุตจาก
อาสวะโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ โมหะที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา
และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่โมหะที่สหรคตด้วยโทมนัส
ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย
ขันธ์ที่วิปปยุตจากอาสวะซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่วิปปยุตจากอาสวะซึ่ง
เกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย อนุโลมเป็นปัจจัยแก่โคตรภู ฯลฯ ผลสมาบัติโดย
อนันตรปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะ
โดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ โมหะที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และ
ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่สหรคตด้วยโทมนัส
ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย
อาวัชชนจิตเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอาสวะโดยอนันตรปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะ
และที่วิปปยุตจากอาสวะโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ โมหะที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่
สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์
และโมหะที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ
ซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย อาวัชชนจิตเป็นปัจจัยแก่ขันธ์และโมหะที่สหรคต
ด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะโดยอนันตรปัจจัย (๓)
[๘๔] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะและที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์และโมหะที่สหรคต
ด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็น
ปัจจัยแก่ขันธ์ที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ
ซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๔๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๖.อาสวสัมปยุตตทุกะ ๗.ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะและที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่วิปปยุตจากอาสวะโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์และโมหะที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่
สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่โมหะที่
สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะซึ่งเกิดหลัง ๆ
โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์และโมหะที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา
และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะโดยอนันตรปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะและที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่สัมปยุตด้วยอาสวะและที่วิปปยุตจากอาสวะโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์และ
โมหะที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะซึ่งเกิด
ก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์และโมหะที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา
และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย (๓)

สมนันตรปัจจัยเป็นต้น
[๘๕] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วย
อาสวะโดยสมนันตรปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย มี ๙ วาระ เป็นปัจจัย
โดยอัญญมัญญปัจจัย มี ๖ วาระ เป็นปัจจัยโดยนิสสยปัจจัย มี ๙ วาระ

อุปนิสสยปัจจัย
[๘๖] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วย
อาสวะโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ
และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่สัมปยุต
ด้วยอาสวะโดยอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะ
โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะและปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่ขันธ์และโมหะที่
วิปปยุตจากอาสวะโดยอุปนิสสยปัจจัย (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๕๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๖.อาสวสัมปยุตตทุกะ ๗.ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะ
และที่วิปปยุตจากอาสวะโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ
และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่ขันธ์และโมหะ
ที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะโดยอุปนิสสย-
ปัจจัย (๓)
[๘๗] สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุตจาก
อาสวะโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ
และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยศรัทธาแล้วให้ทาน ฯลฯ อาศัยศีล ฯลฯ
ปัญญา ฯลฯ สุขทางกาย ฯลฯ เสนาสนะ ฯลฯ โมหะแล้วให้ทาน ฯลฯ ทำ
สมาบัติให้เกิดขึ้น ศรัทธา ฯลฯ ปัญญา สุขทางกาย ทุกข์ทางกาย และโมหะ
เป็นปัจจัยแก่ศรัทธา ฯลฯ โมหะโดยอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะ
โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และ
ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยศรัทธาแล้วมีมานะ ถือทิฏฐิ อาศัยศีล
ฯลฯ ปัญญา สุขทางกาย ทุกข์ทางกาย อุตุ โภชนะ เสนาสนะ และโมหะ
แล้วฆ่าสัตว์ ฯลฯ ทำลายสงฆ์ ศรัทธา ฯลฯ โมหะเป็นปัจจัยแก่ราคะ ฯลฯ
ความปรารถนาโดยอุปนิสสยปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะ
และที่วิปปยุตจากอาสวะโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ
และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ศรัทธา ฯลฯ ศีล ฯลฯ โมหะเป็นปัจจัยแก่ขันธ์และ
โมหะที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะโดย
อุปนิสสยปัจจัย (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๕๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๖.อาสวสัมปยุตตทุกะ ๗.ปัญหาวาร
[๘๘] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะและที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูป-
นิสสยะและปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ขันธ์และโมหะที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วย
วิจิกิจฉา และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอาสวะโดย
อุปนิสสยปัจจัย (พึงอ้างบทที่เป็นมูล) ขันธ์และโมหะที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่
สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่สัมปยุตด้วย
อาสวะโดยอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะและที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่สัมปยุตด้วยอาสวะและที่วิปปยุตจากอาสวะโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ
อนันตรูปนิสสยะและปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ขันธ์และโมหะที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วย
วิจิกิจฉา และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเป็นปัจจัยแก่ขันธ์และโมหะที่สหรคตด้วยโทมนัส
ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะโดยอุปนิสสยปัจจัย (๒)

ปุเรชาตปัจจัย
[๘๙] สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุตจาก
อาสวะโดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาตะและวัตถุปุเรชาตะ
อารัมมณปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลเห็นแจ้งจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุโดยเป็น
สภาวะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วย
ทิพพโสตธาตุ รูปายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะเป็น
ปัจจัยแก่กายวิญญาณโดยปุเรชาตปัจจัย
วัตถุปุเรชาตะ ได้แก่ จักขายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ กายา-
ยตนะเป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ ฯลฯ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์และโมหะที่
วิปปยุตจากอาสวะโดยปุเรชาตปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๕๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๖.อาสวสัมปยุตตทุกะ ๗.ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะ
โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาตะและวัตถุปุเรชาตะ
อารัมมณปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลยินดีเพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ
เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้น ราคะจึงเกิดขึ้น ฯลฯ โทมนัส
จึงเกิดขึ้น
วัตถุปุเรชาตะ ได้แก่ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอาสวะโดย
ปุเรชาตปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะ
และที่วิปปยุตจากอาสวะโดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาตะ
และวัตถุปุเรชาตะ
อารัมมณปุเรชาตะ ได้แก่ เพราะปรารภจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ขันธ์ และ
โมหะที่สหรคตด้วยโทมนัสที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วยอุทธัจจะจึงเกิดขึ้น
วัตถุปุเรชาตะ ได้แก่ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์และโมหะที่สหรคตด้วย
โทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะโดยปุเรชาตปัจจัย (๓)

ปัจฉาชาตปัจจัย
[๙๐] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุตจาก
อาสวะโดยปัจฉาชาตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่สัมปยุต
ด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อนโดยปัจฉาชาตปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะโดย
ปัจฉาชาตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์และโมหะที่วิปปยุต
จากอาสวะเป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อนโดยปัจฉาชาตปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะและที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่วิปปยุตจากอาสวะโดยปัจฉาชาตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปัจฉาชาตะ ได้แก่
ขันธ์และโมหะที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ
เป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อนโดยปัจฉาชาตปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๕๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๖.อาสวสัมปยุตตทุกะ ๗.ปัญหาวาร
อาเสวนปัจจัย
[๙๑] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วย
อาสวะโดยอาเสวนปัจจัย มี ๙ วาระ (อาวัชชนจิตและวุฏฐานะไม่มี)

กัมมปัจจัย
[๙๒] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วย
อาสวะโดยกัมมปัจจัย ได้แก่ เจตนาที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์
โดยกัมมปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะ
โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและนานาขณิกะ
สหชาตะ ได้แก่ เจตนาที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป
โดยกัมมปัจจัย เจตนาที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และที่สหรคต
ด้วยอุทธัจจะเป็นปัจจัยแก่โมหะและจิตตสมุฏฐานรูปโดยกัมมปัจจัย
นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็น
วิบากและกฏัตตารูปโดยกัมมปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะและ
ที่วิปปยุตจากอาสวะโดยกัมมปัจจัย ได้แก่ เจตนาที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัย
แก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดยกัมมปัจจัย เจตนาที่สหรคตด้วยโทมนัส
ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ โมหะ
และจิตตสมุฏฐานรูปโดยกัมมปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะโดย
กัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและนานาขณิกะ
สหชาตะ ได้แก่ เจตนาที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และ
จิตตสมุฏฐานรูปโดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นวิบาก
และกฏัตตารูปโดยกัมมปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๕๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๖.อาสวสัมปยุตตทุกะ ๗.ปัญหาวาร
วิปากปัจจัย
[๙๓] สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุตจาก
อาสวะโดยวิปากปัจจัย มี ๑ วาระ

อาหารปัจจัย
[๙๔] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วย
อาสวะโดยอาหารปัจจัย ได้แก่ อาหารที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต-
ขันธ์โดยอาหารปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะ
โดยอาหารปัจจัย ได้แก่ อาหารที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป
โดยอาหารปัจจัย อาหารที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และที่สหรคต
ด้วยอุทธัจจะเป็นปัจจัยแก่โมหะและจิตตสมุฏฐานรูปโดยอาหารปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะ
และที่วิปปยุตจากอาสวะโดยอาหารปัจจัย ได้แก่ อาหารที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็น
ปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดยอาหารปัจจัย อาหารที่สหรคตด้วย
โทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์
โมหะและจิตตสมุฏฐานรูปโดยอาหารปัจจัย (๓)
[๙๕] สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุตจาก
อาสวะโดยอาหารปัจจัย ได้แก่ อาหารที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตขันธ์
และจิตตสมุฏฐานรูปโดยอาหารปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ กวฬิงการาหารเป็น
ปัจจัยแก่กายนี้โดยอาหารปัจจัย (๑)

อินทรียปัจจัยเป็นต้น
[๙๖] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วย
อาสวะโดยอินทรียปัจจัย มี ๔ วาระ เป็นปัจจัยโดยฌานปัจจัย มี ๔ วาระ เป็น
ปัจจัยโดยมัคคปัจจัย มี ๔ วาระ เป็นปัจจัยโดยสัมปยุตตปัจจัย มี ๖ วาระ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๕๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๖.อาสวสัมปยุตตทุกะ ๗.ปัญหาวาร
วิปปยุตตปัจจัย
[๙๗] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุตจาก
อาสวะโดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปัจฉาชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดย
วิปปยุตตปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อน
โดยวิปปยุตตปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะ
โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ สหชาตะ ปุเรชาตะ และปัจฉาชาตะ (ย่อ
พึงขยายให้พิสดาร) (๑)
[๙๘] สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วย
อาสวะโดยวิปปยุตตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาตะ ได้แก่ หทัยวัตถุเป็นปัจจัย
แก่ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอาสวะโดยวิปปยุตตปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะ
และที่วิปปยุตจากอาสวะโดยวิปปยุตตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาตะ ได้แก่
หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์และโมหะที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและ
ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะโดยวิปปยุตตปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะและที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่วิปปยุตจากอาสวะโดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปัจฉาชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์และโมหะที่สหรคตด้วยโทมนัสที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา
และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดยวิปปยุตตปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์และโมหะที่สหรคตด้วยโทมนัสที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา
และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อนโดยวิปปยุตตปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๕๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๖.อาสวสัมปยุตตทุกะ ๗.ปัญหาวาร
อัตถิปัจจัย
[๙๙] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วย
อาสวะโดยอัตถิปัจจัย มี ๑ วาระ (๑)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะ
โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปัจฉาชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดย
อัตถิปัจจัย ขันธ์ที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และที่สหรคตด้วย
อุทธัจจะเป็นปัจจัยแก่โมหะและจิตตสมุฏฐานรูปโดยอัตถิปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อน
โดยอัตถิปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะ
และที่วิปปยุตจากอาสวะโดยอัตถิปัจจัย (ปัจจัยนี้เหมือนกับสหชาตปัจจัย) (๓)
[๑๐๐] สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุตจาก
อาสวะโดยอัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาตะ ปุเรชาตะ ปัจฉาชาตะ อาหาระ
และอินทรียะ (ย่อ พึงขยายให้พิสดาร) (๑)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะ
โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปุเรชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ โมหะที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และที่
สหรคตด้วยอุทธัจจะเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์โดยอัตถิปัจจัย
ปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลยินดีเพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ เพราะปรารภ
ความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้น ราคะจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น วิจิกิจฉาจึง
เกิดขึ้น อุทธัจจะจึงเกิดขึ้น โทมนัสจึงเกิดขึ้น หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่สัมปยุต
ด้วยอาสวะโดยอัตถิปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะ
และที่วิปปยุตจากอาสวะโดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปุเรชาตะ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๕๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๖.อาสวสัมปยุตตทุกะ ๗.ปัญหาวาร
สหชาตะ ได้แก่ โมหะที่สหรคตด้วยโทมนัสที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่
สหรคตด้วยอุทธัจจะเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดยอัตถิปัจจัย
ปุเรชาตะ ได้แก่ เพราะปรารภจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ขันธ์และโมหะที่
สหรคตด้วยโทมนัสที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วยอุทธัจจะจึงเกิดขึ้น (๓)
[๑๐๑] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะและที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะโดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและ
ปุเรชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่สัมปยุตด้วยอาสวะและหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่
ขันธ์ ๓ โดยอัตถิปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ ๑ และโมหะที่สหรคตด้วย
โทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดย
อัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะและที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่วิปปยุตจากอาสวะโดยอัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาตะ ปุเรชาตะ ปัจฉาชาตะ
อาหาระ และอินทรียะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอาสวะและมหาภูตรูปเป็นปัจจัยแก่จิตต-
สมุฏฐานรูปโดยอัตถิปัจจัย ขันธ์และโมหะที่สหรคตด้วยโทมนัสที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา
และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ที่
สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และ
หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่โมหะโดยอัตถิปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอาสวะและกวฬิงการาหารเป็นปัจจัย
แก่กายนี้โดยอัตถิปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอาสวะและรูปชีวิตินทรีย์เป็นปัจจัยแก่
กฏัตตารูปโดยอัตถิปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะและที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่สัมปยุตด้วยอาสวะและที่วิปปยุตจากอาสวะโดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ
สหชาตะและปุเรชาตะ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๕๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๖.อาสวสัมปยุตตทุกะ ๗.ปัญหาวาร
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ ๑ และโมหะที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วย
วิจิกิจฉา และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปโดย
อัตถิปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยโทมนัสที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่
สหรคตด้วยอุทธัจจะ และหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และโมหะ ฯลฯ ขันธ์ ๒
ฯลฯ (๓)

๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๑๐๒] เหตุปัจจัย มี ๙ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๙ วาระ
อธิปติปัจจัย มี ๕ วาระ
อนันตรปัจจัย มี ๙ วาระ
สมนันตรปัจจัย มี ๙ วาระ
สหชาตปัจจัย มี ๙ วาระ
อัญญมัญญปัจจัย มี ๖ วาระ
นิสสยปัจจัย มี ๙ วาระ
อุปนิสสยปัจจัย มี ๙ วาระ
ปุเรชาตปัจจัย มี ๓ วาระ
ปัจฉาชาตปัจจัย มี ๓ วาระ
อาเสวนปัจจัย มี ๙ วาระ
กัมมปัจจัย มี ๔ วาระ
วิปากปัจจัย มี ๑ วาระ
อาหารปัจจัย มี ๔ วาระ
อินทรียปัจจัย มี ๔ วาระ
ฌานปัจจัย มี ๔ วาระ
มัคคปัจจัย มี ๔ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๕๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๖.อาสวสัมปยุตตทุกะ ๗.ปัญหาวาร

สัมปยุตตปัจจัย มี ๖ วาระ
วิปปยุตตปัจจัย มี ๕ วาระ
อัตถิปัจจัย มี ๙ วาระ
นัตถิปัจจัย มี ๙ วาระ
วิคตปัจจัย มี ๙ วาระ
อวิคตปัจจัย มี ๙ วาระ

๒. ปัจจนียุทธาร
[๑๐๓] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุต
ด้วยอาสวะโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย และอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะโดย
อารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย ปัจฉาชาตปัจจัย และกัมมปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะ
และที่วิปปยุตจากอาสวะโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย และอุปนิสสยปัจจัย (๓)
[๑๐๔] สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุตจาก
อาสวะโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย ปุเรชาตปัจจัย ปัจฉา-
ชาตปัจจัย กัมมปัจจัย อาหารปัจจัย และอินทรียปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะ
โดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และปุเรชาตปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะ
และที่วิปปยุตจากอาสวะโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และ
ปุเรชาตปัจจัย (๓)
[๑๐๕] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะและที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัย
แก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย และอุป-
นิสสยปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๖๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๖.อาสวสัมปยุตตทุกะ ๗.ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะและที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่วิปปยุตจากอาสวะโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และ
ปัจฉาชาตปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะและที่วิปปยุตจากอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่สัมปยุตด้วยอาสวะและที่วิปปยุตจากอาสวะโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย
และอุปนิสสยปัจจัย (๓)

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๑๐๖] นเหตุปัจจัย มี ๙ วาระ
นอารัมมณปัจจัย มี ๙ วาระ
นอธิปติปัจจัย มี ๙ วาระ

(ทุกปัจจัย มีปัจจัยละ ๙ วาระ)
โนอวิคตปัจจัย มี ๙ วาระ

๓. ปัจจยานุโลมปัจจนียะ
เหตุทุกนัย

[๑๐๗] นอารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๙ วาระ
นอธิปติปัจจัย ” มี ๙ วาระ ฯลฯ
นสมนันตรปัจจัย ” มี ๙ วาระ
นอัญญมัญญปัจจัย ” มี ๓ วาระ
นอุปนิสสยปัจจัย ” มี ๙ วาระ ฯลฯ
นมัคคปัจจัย ” มี ๙ วาระ
นสัมปยุตตปัจจัย ” มี ๓ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย ” มี ๖ วาระ
โนนัตถิปัจจัย ” มี ๙ วาระ
โนวิคตปัจจัย ” มี ๙ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๖๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๗.อาสวสาสวทุกะ ๑.ปฏิจจวาร
๔. ปัจจยปัจจนียานุโลม
นเหตุทุกนัย

[๑๐๘] อารัมมณปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๙ วาระ
อธิปติปัจจัย ” มี ๕ วาระ ฯลฯ
อวิคตปัจจัย ” มี ๙ วาระ

ปัจจนียานุโลม จบ
อาสวสัมปยุตตทุกะ จบ

๑๗. อาสวสาสวทุกะ ๑. ปฏิจจวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๑๐๙] สภาวธรรมที่เป็นอาสวะและเป็นอารมณ์ของอาสวะอาศัยสภาวธรรม
ที่เป็นอาสวะและเป็นอารมณ์ของอาสวะเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ทิฏฐาสวะและ
อวิชชาสวะอาศัยกามาสวะเกิดขึ้น (พึงผูกเป็นจักกนัย) อวิชชาสวะอาศัยภวาสวะ
เกิดขึ้น (พึงผูกเป็นจักกนัย) อวิชชาสวะอาศัยทิฏฐาสวะเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่เป็นอารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่เป็น
อาสวะและเป็นอารมณ์ของอาสวะเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ สัมปยุตตขันธ์
และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยอาสวะเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่เป็นอาสวะเป็นอารมณ์ของอาสวะและที่เป็นอารมณ์ของอาสวะ
แต่ไม่เป็นอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่เป็นอาสวะและเป็นอารมณ์ของอาสวะเกิดขึ้น
เพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะ สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูป
อาศัยกามาสวะเกิดขึ้น ... อาศัยภวาสวะ ... (พึงผูกเป็นจักกนัย) (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๖๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๗.อาสวสาสวทุกะ ๑.ปฏิจจวาร
[๑๑๐] สภาวธรรมที่เป็นอารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะอาศัยสภาวธรรม
ที่เป็นอารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และ
จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะเกิดขึ้น ฯลฯ
อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ หทัยวัตถุอาศัยขันธ์เกิดขึ้น ขันธ์อาศัย
หทัยวัตถุเกิดขึ้น ... อาศัยมหาภูตรูป ๑ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่เป็นอาสวะและเป็นอารมณ์ของอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่เป็นอารมณ์
ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ อาสวะอาศัยขันธ์ที่เป็น
อารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่เป็นอาสวะเป็นอารมณ์ของอาสวะและที่เป็นอารมณ์ของอาสวะ
แต่ไม่เป็นอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่เป็นอารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะเกิดขึ้น
เพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาสวะและจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่
เป็นอารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๓)
[๑๑๑] สภาวธรรมที่เป็นอาสวะและเป็นอารมณ์ของอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่
เป็นอาสวะเป็นอารมณ์ของอาสวะและที่เป็นอารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะเกิดขึ้น
เพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ทิฏฐาสวะและอวิชชาสวะอาศัยกามาสวะและสัมปยุตตขันธ์
เกิดขึ้น (พึงผูกเป็นจักกนัยอย่างนี้) (๑)
สภาวธรรมที่เป็นอารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่เป็น
อาสวะเป็นอารมณ์ของอาสวะและที่เป็นอารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะเกิดขึ้น
เพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอารมณ์
ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะและอาศัยอาสวะเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๒)
สภาวธรรมที่เป็นอาสวะเป็นอารมณ์ของอาสวะและที่เป็นอารมณ์ของอาสวะแต่
ไม่เป็นอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่เป็นอาสวะเป็นอารมณ์ของอาสวะและที่เป็นอารมณ์ของ
อาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะ
และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอารมณ์ของอาสวะ แต่ไม่เป็นอาสวะและ
อาศัยกามาสวะเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (พึงผูกเป็นจักกนัย ย่อ) (๓)
(ปฏิจจวาร สหชาตวาร ปัจจยวาร นิสสยวาร สังสัฏฐวาร และสัมปยุตตวาร
ก็มีอย่างนี้ พึงทำเหมือนอาสวทุกะ ไม่มีข้อแตกต่างกัน)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๖๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๗.อาสวสาสวทุกะ ๗.ปัญหาวาร
๑๗. อาสวสาสวทุกะ ๗. ปัญหาวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
(เหตุปัจจัย และอารัมมณปัจจัย ในปัญหาวาร ไม่พึงเพิ่มโลกุตตระ แต่พึง
เพิ่มคำว่า พระเสขะพิจารณาโคตรภู พิจารณาโวทาน แม้อธิปติปัจจัย ผู้รู้ทราบ
เนื้อความทั้งหมดแล้วพึงเพิ่ม)

อนันตรปัจจัย
[๑๑๒] สภาวธรรมที่เป็นอาสวะและเป็นอารมณ์ของอาสวะเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่เป็นอาสวะและเป็นอารมณ์ของอาสวะโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ อาสวะ
ที่เกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่อาสวะที่เกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เป็นอาสวะและเป็นอารมณ์ของอาสวะเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็น
อารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ อาสวะที่เกิดก่อน ๆ
เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะซึ่งเกิดหลัง ๆ โดย
อนันตรปัจจัย อาสวะเป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะโดยอนันตรปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่เป็นอาสวะและเป็นอารมณ์ของอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
เป็นอาสวะเป็นอารมณ์ของอาสวะและที่เป็นอารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะโดย
อนันตรปัจจัย ได้แก่ อาสวะที่เกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่อาสวะและสัมปยุตตขันธ์
ซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย (๓)
[๑๑๓] สภาวธรรมที่เป็นอารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่เป็นอารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์
ที่เป็นอารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็น
อารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย อนุโลมเป็น
ปัจจัยแก่โคตรภู อนุโลมเป็นปัจจัยแก่โวทาน อาวัชชนจิตเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็น
อารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะโดยอนันตรปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๖๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๗.อาสวสาสวทุกะ ๗.ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่เป็นอารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่เป็นอาสวะและเป็นอารมณ์ของอาสวะโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่เป็นอารมณ์
ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่อาสวะที่เกิดหลัง ๆ โดย
อนันตรปัจจัย อาวัชชนจิตเป็นปัจจัยแก่อาสวะโดยอนันตรปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่เป็นอารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
เป็นอาสวะ เป็นอารมณ์ของอาสวะ และที่เป็นอารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะ
โดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะซึ่งเกิดก่อน ๆ
เป็นปัจจัยแก่อาสวะและสัมปยุตตขันธ์ที่เกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย อาวัชชนจิต
เป็นปัจจัยแก่อาสวะและสัมปยุตตขันธ์โดยอนันตรปัจจัย (๓)
[๑๑๔] สภาวธรรมที่เป็นอาสวะเป็นอารมณ์ของอาสวะและที่เป็นอารมณ์ของ
อาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นอาสวะและเป็นอารมณ์ของ
อาสวะโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ อาสวะและสัมปยุตตขันธ์ที่เกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัย
แก่อาสวะที่เกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เป็นอาสวะเป็นอารมณ์ของอาสวะและที่เป็นอารมณ์ของอาสวะ
แต่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นอารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะ
โดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ อาสวะและสัมปยุตตขันธ์ที่เกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์
ที่เป็นอารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย อาสวะ
และสัมปยุตตขันธ์เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะโดยอนันตรปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่เป็นอาสวะเป็นอารมณ์ของอาสวะและที่เป็นอารมณ์ของอาสวะแต่
ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นอาสวะเป็นอารมณ์ของอาสวะและที่เป็น
อารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ อาสวะและสัมปยุตตขันธ์
ที่เกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่อาสวะและสัมปยุตตขันธ์ที่เกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย
(พึงขยายให้พิสดารทั้งหมดอย่างนี้) (๓)
(แม้ในอาสวทุกะก็พึงทำอนันตรปัจจัยให้เหมือนกับทุกะนี้ อาวัชชนจิตและ
วุฏฐานะท่านยกขึ้นแสดงไว้แล้วอย่างนี้ ย่อ ทุกอย่างบริบูรณ์แล้ว พึงทำให้เหมือน
กับอาสวทุกะ ไม่มีข้อที่แตกต่างกัน)
อาสวสาสวทุกะ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๖๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๘.อาสวอาสวสัมปยุตตทุกะ ๑.ปฏิจจวาร
๑๘. อาสวอาสวสัมปยุตตทุกะ ๑. ปฏิจจวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๑๑๕] สภาวธรรมที่เป็นอาสวะและสัมปยุตด้วยอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่
เป็นอาสวะและสัมปยุตด้วยอาสวะเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ทิฏฐาสวะและ
อวิชชาสวะอาศัยกามาสวะเกิดขึ้น (พึงผูกเป็นจักกนัย) อวิชชาสวะอาศัยภวาสวะ
เกิดขึ้น (พึงผูกเป็นจักกนัย) อวิชชาสวะอาศัยทิฏฐาสวะเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่เป็นอาสวะ
และสัมปยุตด้วยอาสวะเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ สัมปยุตตขันธ์อาศัยอาสวะ
เกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่เป็นอาสวะสัมปยุตด้วยอาสวะและที่สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็น
อาสวะ อาศัยสภาวธรรมที่เป็นอาสวะและสัมปยุตด้วยอาสวะเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย
ได้แก่ ทิฏฐาสวะอวิชชาสวะและสัมปยุตตขันธ์อาศัยกามาสวะที่สัมปยุตด้วยอาสวะ
เกิดขึ้น (พึงผูกเป็นจักกนัยทั้งหมด) (๓)
[๑๑๖] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่
สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัย
ขันธ์ ๑ ที่สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่เป็นอาสวะและสัมปยุตด้วยอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่สัมปยุตด้วย
อาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ อาสวะอาศัยขันธ์ที่สัมปยุต
ด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่เป็นอาสวะสัมปยุตด้วยอาสวะและที่สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็น
อาสวะอาศัยสภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย
ได้แก่ ขันธ์ ๓ และอาสวะอาศัยขันธ์ ๑ ที่สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะเกิดขึ้น
ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๖๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๘.อาสวอาสวสัมปยุตตทุกะ ๑.ปฏิจจวาร
[๑๑๗] สภาวธรรมที่เป็นอาสวะและสัมปยุตด้วยอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่เป็น
อาสวะสัมปยุตด้วยอาสวะและที่สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะเกิดขึ้นเพราะ
เหตุปัจจัย ได้แก่ ทิฏฐาสวะและอวิชชาสวะอาศัยกามาสวะและสัมปยุตตขันธ์เกิดขึ้น
(พึงผูกเป็นจักกนัยทั้งหมด) (๑)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่เป็นอาสวะ
สัมปยุตด้วยอาสวะและที่สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย
ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะและอาศัยอาสวะ
เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๒)
สภาวธรรมที่เป็นอาสวะสัมปยุตด้วยอาสวะและที่สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็น
อาสวะอาศัยสภาวธรรมที่เป็นอาสวะสัมปยุตด้วยอาสวะและที่สัมปยุตด้วยอาสวะแต่
ไม่เป็นอาสวะเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ ทิฏฐาสวะและอวิชชาสวะอาศัย
ขันธ์ ๑ ที่สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะและอาศัยกามาสวะเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัย
ขันธ์ ๒ ฯลฯ (๓)
(พึงผูกเป็นจักกนัย พึงเพิ่มปัจจัยทั้งหมดอย่างนี้)

๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๑๑๘] เหตุปัจจัย มี ๙ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๙ วาระ
อธิปติปัจจัย มี ๙ วาระ

(ทุกปัจจัย มีปัจจัยละ ๙ วาระ ย่อ)

กัมมปัจจัย มี ๙ วาระ (ไม่มีวิบาก)
อาหารปัจจัย มี ๙ วาระ ฯลฯ
อวิคตปัจจัย มี ๙ วาระ

อนุโลม จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๖๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๘.อาสวอาสวสัมปยุตตทุกะ ๗.ปัญหาวาร
๒. ปัจจยปัจจนียะ ๑. วิภังควาร
นอธิปติปัจจัยเป็นต้น
[๑๑๙] สภาวธรรมที่เป็นอาสวะและสัมปยุตด้วยอาสวะอาศัยสภาวธรรมที่เป็น
อาสวะและสัมปยุตด้วยอาสวะเกิดขึ้นเพราะนอธิปติปัจจัย (บทที่มีนเหตุปัจจัยเป็น
มูลไม่มี) เพราะนปุเรชาตปัจจัย เพราะนปัจฉาชาตปัจจัย (ย่อ)

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๑๒๐] นอธิปติปัจจัย มี ๙ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย มี ๙ วาระ
นปัจฉาชาตปัจจัย มี ๙ วาระ
นอาเสวนปัจจัย มี ๙ วาระ
นกัมมปัจจัย มี ๓ วาระ
นวิปากปัจจัย มี ๙ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย มี ๙ วาระ

(การนับ ๒ อย่างนอกนี้ สหชาตวาร ปัจจยวาร นิสสยวาร และสังสัฏฐวาร
บริบูรณ์แล้วอย่างนี้ เหมือนกับปฏิจจวาร)

๑๘. อาสวอาสวสัมปยุตตทุกะ ๗. ปัญหาวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๑๒๑] สภาวธรรมที่เป็นอาสวะและสัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่เป็นอาสวะและสัมปยุตด้วยอาสวะโดยเหตุปัจจัย มี ๓ วาระ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๖๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๘.อาสวอาสวสัมปยุตตทุกะ ๗.ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะโดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่สัมปยุตด้วยอาสวะ
แต่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์โดยเหตุปัจจัย (๑)

อารัมมณปัจจัยเป็นต้น
[๑๒๒] สภาวธรรมที่เป็นอาสวะและสัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่เป็นอาสวะและสัมปยุตด้วยอาสวะโดยอารัมมณปัจจัย มี ๓ วาระ
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ เพราะปรารภขันธ์ที่
สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะ ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะจึง
เกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
เป็นอาสวะและสัมปยุตด้วยอาสวะโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ เพราะปรารภขันธ์ที่
สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะ อาสวะจึงเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็น
อาสวะสัมปยุตด้วยอาสวะและที่สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะโดยอารัมมณปัจจัย
ได้แก่ เพราะปรารภขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะ อาสวะและขันธ์ที่
สัมปยุตด้วยอาสวะจึงเกิดขึ้น (๓)
สภาวธรรมที่เป็นอาสวะสัมปยุตด้วยอาสวะและที่สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็น
อาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นอาสวะและสัมปยุตด้วยอาสวะโดยอารัมมณปัจจัย
มี ๓ วาระ
... เพราะอธิปติปัจจัย (พึงทำให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เหมือนกับ
อารัมมณปัจจัย)
... เพราะอนันตรปัจจัย (เหมือนกับอารัมมณปัจจัยนั่นเอง พึงเพิ่มคำว่า ที่
เกิดก่อน ๆ ไว้)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๖๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๘.อาสวอาสวสัมปยุตตทุกะ ๗.ปัญหาวาร
... เพราะสมนันตรปัจจัย เพราะสหชาตปัจจัย เพราะอัญญมัญญปัจจัย
เพราะนิสสยปัจจัย
... เพราะอุปนิสสยปัจจัย (เหมือนกับอารัมมณปัจจัยนั่นเอง ไม่มีการจำแนก
ไว้ มี ๓ วาระ พึงเพิ่มอุปนิสสยปัจจัยทั้งหมด)

กัมมปัจจัยเป็นต้น
[๑๒๓] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาว-
ธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะโดยกัมมปัจจัย มี ๓ วาระ เป็นปัจจัย
โดยอาหารปัจจัย มี ๓ วาระ เป็นปัจจัยโดยอินทรียปัจจัย มี ๓ วาระ เป็นปัจจัย
โดยฌานปัจจัย มี ๓ วาระ เป็นปัจจัยโดยมัคคปัจจัย มี ๙ วาระ เป็นปัจจัย
โดยสัมปยุตตปัจจัย มี ๙ วาระ เป็นปัจจัยโดยอัตถิปัจจัย มี ๙ วาระ เป็น
ปัจจัยโดยนัตถิปัจจัย มี ๙ วาระ เป็นปัจจัยโดยวิคตปัจจัย มี ๙ วาระ เป็น
ปัจจัยโดยอวิคตปัจจัย มี ๙ วาระ

๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๑๒๔] เหตุปัจจัย มี ๔ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๙ วาระ
อธิปติปัจจัย มี ๙ วาระ
อนันตรปัจจัย มี ๙ วาระ
สมนันตรปัจจัย มี ๙ วาระ
สหชาตปัจจัย มี ๙ วาระ
อัญญมัญญปัจจัย มี ๙ วาระ
นิสสยปัจจัย มี ๙ วาระ
อุปนิสสยปัจจัย มี ๙ วาระ
อาเสวนปัจจัย มี ๙ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๗๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๘.อาสวอาสวสัมปยุตตทุกะ ๗.ปัญหาวาร

กัมมปัจจัย มี ๓ วาระ
อาหารปัจจัย มี ๓ วาระ
อินทรียปัจจัย มี ๓ วาระ
ฌานปัจจัย มี ๓ วาระ
มัคคปัจจัย มี ๙ วาระ
สัมปยุตตปัจจัย มี ๙ วาระ
อัตถิปัจจัย มี ๙ วาระ
นัตถิปัจจัย มี ๙ วาระ
วิคตปัจจัย มี ๙ วาระ
อวิคตปัจจัย มี ๙ วาระ

๒. ปัจจนียุทธาร
[๑๒๕] สภาวธรรมที่เป็นอาสวะและสัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่เป็นอาสวะและสัมปยุตด้วยอาสวะโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย และ
อุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เป็นอาสวะและสัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุต
ด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย และอุปนิสสย-
ปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่เป็นอาสวะและสัมปยุตด้วยอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็น
อาสวะสัมปยุตด้วยอาสวะและที่สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะโดยอารัมมณปัจจัย
สหชาตปัจจัย และอุปนิสสยปัจจัย (๓)
[๑๒๖] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาว-
ธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย และ
อุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็น
อาสวะและสัมปยุตด้วยอาสวะโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย และอุปนิสสย-
ปัจจัย (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๗๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๘.อาสวอาสวสัมปยุตตทุกะ ๗.ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
เป็นอาสวะสัมปยุตด้วยอาสวะและที่สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะโดย
อารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย และอุปนิสสยปัจจัย (๓)
[๑๒๗] สภาวธรรมที่เป็นอาสวะสัมปยุตด้วยอาสวะและที่สัมปยุตด้วยอาสวะ
แต่ไม่เป็นอาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นอาสวะและสัมปยุตด้วยอาสวะโดย
อารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย และอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เป็นอาสวะสัมปยุตด้วยอาสวะและที่สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็น
อาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะโดยอารัมมณ-
ปัจจัย สหชาตปัจจัย และอุปนิสสยปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่เป็นอาสวะสัมปยุตด้วยอาสวะและที่สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็น
อาสวะเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นอาสวะสัมปยุตด้วยอาสวะและที่สัมปยุตด้วยอาสวะ
แต่ไม่เป็นอาสวะโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย และอุปนิสสยปัจจัย (๓)

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๑๒๘] นเหตุปัจจัย มี ๙ วาระ
นอารัมมณปัจจัย มี ๙ วาระ

(ทุกปัจจัย มีปัจจัยละ ๙ วาระ)
โนอวิคตปัจจัย มี ๙ วาระ

๓. ปัจจยานุโลมปัจจนียะ
เหตุทุกนัย

[๑๒๙] นอารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๔ วาระ ฯลฯ
นสมนันตรปัจจัย ” มี ๔ วาระ
นอุปนิสสยปัจจัย ” มี ๔ วาระ ฯลฯ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๗๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๑๙.อาสววิปปยุตตสาสวทุกะ ๑.ปฏิจจวาร

นมัคคปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๔ วาระ ฯลฯ
นวิปปยุตตปัจจัย ” มี ๔ วาระ
โนนัตถิปัจจัย ” มี ๔ วาระ
โนวิคตปัจจัย ” มี ๔ วาระ

๔. ปัจจยปัจจนียานุโลม

[๑๓๐] อารัมมณปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๙ วาระ
อธิปติปัจจัย ” มี ๙ วาระ

(พึงนับบทที่เป็นอนุโลม) ฯลฯ
อวิคตปัจจัย ” มี ๙ วาระ
อาสวอาสวสัมปยุตตทุกะ จบ

๑๙. อาสววิปปยุตตสาสวทุกะ ๑. ปฏิจจวาร
เหตุปัจจัย
[๑๓๑] สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะแต่เป็นอารมณ์ของอาสวะอาศัยสภาว-
ธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะแต่เป็นอารมณ์ของอาสวะเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่
ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่วิปปยุตจากอาสวะแต่เป็นอารมณ์ของ
อาสวะเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ หทัยวัตถุอาศัย
ขันธ์เกิดขึ้น ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น ... อาศัยมหาภูตรูป ๑ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอาสวะและที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะอาศัยสภาวธรรม
ที่วิปปยุตจากอาสวะและไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย มี ๓ วาระ
(พึงขยายให้พิสดารเหมือนโลกิยทุกะในจูฬันตรทุกะ ไม่มีข้อแตกต่างกัน ย่อ)
อาสววิปปยุตตสาสวทุกะ จบ
อาสวโคจฉกะ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๗๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๒๐.สัญโญชนทุกะ ๑.ปฏิจจวาร
๔. สัญโญชนโคจฉกะ
๒๐. สัญโญชนทุกะ ๑. ปฏิจจวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๑] สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์อาศัยสภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์เกิดขึ้นเพราะ
เหตุปัจจัย ได้แก่ ทิฏฐิสังโยชน์และอวิชชาสังโยชน์อาศัยกามราคสังโยชน์เกิดขึ้น
สีลัพพตปรามาสสังโยชน์และอวิชชาสังโยชน์อาศัยกามราคสังโยชน์เกิดขึ้น มาน-
สังโยชน์และอวิชชาสังโยชน์อาศัยกามราคสังโยชน์เกิดขึ้น อวิชชาสังโยชน์อาศัย
กามราคสังโยชน์เกิดขึ้น อิสสาสังโยชน์และอวิชชาสังโยชน์อาศัยปฏิฆสังโยชน์เกิดขึ้น
มัจฉริยสังโยชน์และอวิชชาสังโยชน์อาศัยปฏิฆสังโยชน์เกิดขึ้น อวิชชาสังโยชน์อาศัย
ปฏิฆสังโยชน์เกิดขึ้น ภวราคสังโยชน์และอวิชชาสังโยชน์อาศัยมานสังโยชน์เกิดขึ้น
อวิชชาสังโยชน์อาศัยภวราคสังโยชน์เกิดขึ้น อวิชชาสังโยชน์อาศัยวิจิกิจฉาสังโยชน์
เกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นสังโยชน์อาศัยสภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย
ได้แก่ สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยสังโยชน์เกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์และที่ไม่เป็นสังโยชน์อาศัยสภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์
เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ทิฏฐิสังโยชน์ อวิชชาสังโยชน์ สัมปยุตตขันธ์ และ
จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยกามราคสังโยชน์เกิดขึ้น (พึงผูกเป็นจักกนัย) (๓)
[๒] สภาวธรรมที่ไม่เป็นสังโยชน์อาศัยสภาวธรรมที่ไม่เป็นสังโยชน์เกิดขึ้นเพราะ
เหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่เป็นสังโยชน์
เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ หทัยวัตถุอาศัยขันธ์
เกิดขึ้น ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น ... อาศัยมหาภูตรูป ๑ ฯลฯ จิตต-
สมุฏฐานรูป และกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๗๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๒๐.สัญโญชนทุกะ ๑.ปฏิจจวาร
สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์อาศัยสภาวธรรมที่ไม่เป็นสังโยชน์เกิดขึ้นเพราะ
เหตุปัจจัย ได้แก่ สังโยชน์อาศัยขันธ์ที่ไม่เป็นสังโยชน์เกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์และที่ไม่เป็นสังโยชน์อาศัยสภาวธรรมที่ไม่เป็นสังโยชน์
เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ สังโยชน์และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑
ที่ไม่เป็นสังโยชน์เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๓)
[๓] สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์อาศัยสภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์และที่ไม่เป็น
สังโยชน์เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ทิฏฐิสังโยชน์และอวิชชาสังโยชน์อาศัย
กามราคสังโยชน์และสัมปยุตตขันธ์เกิดขึ้น (พึงผูกเป็นจักกนัย) (๑)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นสังโยชน์อาศัยสภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์และที่ไม่เป็นสังโยชน์
เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่เป็น
สังโยชน์และอาศัยสังโยชน์เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๒)
สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์และที่ไม่เป็นสังโยชน์อาศัยสภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์และ
ที่ไม่เป็นสังโยชน์เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ ทิฏฐิสังโยชน์อวิชชาสังโยชน์
และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่เป็นสังโยชน์และอาศัยกามราคสังโยชน์
เกิดขึ้น ฯลฯ (พึงผูกเป็นจักกนัย) (๓)
(ในอารัมมณปัจจัย รูปไม่มี อธิปติปัจจัยเหมือนกับเหตุปัจจัย วิจิกิจฉาสังโยชน์
ไม่มี)
... เพราะอนันตรปัจจัย ฯลฯ เพราะอวิคตปัจจัย

๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๔] เหตุปัจจัย มี ๙ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๙ วาระ
อธิปติปัจจัย มี ๙ วาระ
อนันตรปัจจัย มี ๙ วาระ

(ทุกปัจจัย มีปัจจัยละ ๙ วาระ)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๗๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๒๐.สัญโญชนทุกะ ๑.ปฏิจจวาร

วิปากปัจจัย มี ๑ วาระ
อาหารปัจจัย มี ๙ วาระ ฯลฯ
อวิคตปัจจัย มี ๙ วาระ

อนุโลม จบ

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๑. วิภังควาร
นเหตุปัจจัย
[๕] สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์อาศัยสภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์เกิดขึ้นเพราะ
นเหตุปัจจัย ได้แก่ อวิชชาสังโยชน์อาศัยวิจิกิจฉาสังโยชน์เกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นสังโยชน์อาศัยสภาวธรรมที่ไม่เป็นสังโยชน์เกิดขึ้นเพราะนเหตุ-
ปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่มีเหตุซึ่งไม่เป็นสังโยชน์
เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (พึงเพิ่มข้อความจนถึงอสัญญสัตตพรหม) (๑)
สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์อาศัยสภาวธรรมที่ไม่เป็นสังโยชน์เกิดขึ้นเพราะนเหตุ-
ปัจจัย ได้แก่ อวิชชาสังโยชน์อาศัยขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วย
อุทธัจจะเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์อาศัยสภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์และที่ไม่เป็นสังโยชน์
เกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ อวิชชาสังโยชน์อาศัยวิจิกิจฉาสังโยชน์และสัมปยุตต-
ขันธ์เกิดขึ้น (๓)
(ย่อ เหมือนกับอาสวโคจฉกะ พึงยกนอารัมมณปัจจัยทั้งหมดขึ้นแสดง)

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒.สังขยาวาร
สุทธนัย

[๖] นเหตุปัจจัย มี ๔ วาระ
นอารัมมณปัจจัย มี ๓ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๗๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๒๐.สัญโญชนทุกะ ๑.ปฏิจจวาร

นอธิปติปัจจัย มี ๙ วาระ
นอนันตรปัจจัย มี ๓ วาระ
นสมนันตรปัจจัย มี ๓ วาระ
นอัญญมัญญปัจจัย มี ๓ วาระ
นอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย มี ๙ วาระ
นปัจฉาชาตปัจจัย มี ๙ วาระ
นอาเสวนปัจจัย มี ๙ วาระ
นกัมมปัจจัย มี ๓ วาระ
นวิปากปัจจัย มี ๙ วาระ
นอาหารปัจจัย มี ๑ วาระ
นอินทรียปัจจัย มี ๑ วาระ
นฌานปัจจัย มี ๑ วาระ
นมัคคปัจจัย มี ๑ วาระ
นสัมปยุตตปัจจัย มี ๓ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย มี ๙ วาระ
โนนัตถิปัจจัย มี ๓ วาระ
โนวิคตปัจจัย มี ๓ วาระ

ปัจจนียะ จบ

๓. ปัจจยานุโลมปัจจนียะ
เหตุทุกนัย

[๗] นอารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๓ วาระ
นอธิปติปัจจัย ” มี ๙ วาระ

(พึงนับทุกปัจจัยอย่างนี้)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๗๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๒๐.สัญโญชนทุกะ ๓.ปัจจยวาร
๔. ปัจจยปัจจนียานุโลม
นเหตุทุกนัย

[๘] อารัมมณปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๔ วาระ

(ทุกปัจจัย มีปัจจัยละ ๔ วาระ)

วิปากปัจจัย ” มี ๑ วาระ
อาหารปัจจัย ” มี ๔ วาระ ฯลฯ
มัคคปัจจัย ” มี ๓ วาระ
สัมปยุตตปัจจัย ” มี ๔ วาระ ฯลฯ
อวิคตปัจจัย ” มี ๔ วาระ

ปัจจนียานุโลม จบ

๒๐. สัญโญชนทุกะ ๒. สหชาตวาร
[๙] สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์เกิดร่วมกับสภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์เพราะ
เหตุปัจจัย (เหมือนกับปฏิจจวาร)

๒๐. สัญโญชนทุกะ ๓. ปัจจยวาร
๑. ปัจจยานุโลมเป็นต้น
เหตุปัจจัย
[๑๐] สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์ทำสภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น
เพราะเหตุปัจจัย มี ๓ วาระ (เหมือนกับปฏิจจวาร)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นสังโยชน์ทำสภาวธรรมที่ไม่เป็นสังโยชน์ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น
เพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปทำขันธ์ ๑ ที่ไม่เป็นสังโยชน์

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๗๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๒๐.สัญโญชนทุกะ ๓.ปัจจยวาร
ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ทำขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ หทัยวัตถุทำ
ขันธ์ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ขันธ์ทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ... ทำมหาภูตรูป ๑
ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปทำมหาภูตรูปให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น
ขันธ์ที่ไม่เป็นสังโยชน์ทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์ทำสภาวธรรมที่ไม่เป็นสังโยชน์ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะ
เหตุปัจจัย ได้แก่ สังโยชน์ทำขันธ์ที่ไม่เป็นสังโยชน์ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น สังโยชน์
ทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์และที่ไม่เป็นสังโยชน์ทำสภาวธรรมที่ไม่เป็นสังโยชน์
ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ สังโยชน์และจิตตสมุฏฐานรูป
ทำขันธ์ ๑ ที่ไม่เป็นสังโยชน์ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ทำขันธ์ ๒ ฯลฯ สังโยชน์
ทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปทำมหาภูตรูปให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น
สังโยชน์และสัมปยุตตขันธ์ทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๓)
[๑๑] สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์ทำสภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์และที่ไม่เป็นสังโยชน์
ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ทิฏฐิสังโยชน์และอวิชชาสังโยชน์ทำ
กามราคสังโยชน์และสัมปยุตตขันธ์ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ทิฏฐิสังโยชน์และอวิชชา-
สังโยชน์ทำกามราคสังโยชน์และหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (พึงผูกเป็นจักกนัย) (๑)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นสังโยชน์ทำสภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์และที่ไม่เป็นสังโยชน์
ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปทำขันธ์ ๑
ที่ไม่เป็นสังโยชน์และทำสังโยชน์ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ทำขันธ์ ๒ ฯลฯ (พึงผูก
เป็นจักกนัย) ขันธ์ที่ไม่เป็นสังโยชน์ทำสังโยชน์และหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์และที่ไม่เป็นสังโยชน์ทำสภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์และที่
ไม่เป็นสังโยชน์ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ ทิฏฐิสังโยชน์
อวิชชาสังโยชน์และจิตตสมุฏฐานรูปทำขันธ์ ๑ ที่ไม่เป็นสังโยชน์และทำกามราคสังโยชน์
ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ... ทำขันธ์ ๒ ฯลฯ (พึงผูกเป็นจักกนัย) ทิฏฐิสังโยชน์
อวิชชาสังโยชน์ และสัมปยุตตขันธ์ทำกามราคสังโยชน์และหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิด
ขึ้น (พึงผูกเป็นจักกนัย ย่อ ) (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๗๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๒๐.สัญโญชนทุกะ ๗.ปัญหาวาร

[๑๒] เหตุปัจจัย มี ๙ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๙ วาระ

(ทุกปัจจัย มีปัจจัยละ ๙ วาระ)

วิปากปัจจัย มี ๑ วาระ ฯลฯ
อวิคตปัจจัย มี ๙ วาระ
[๑๓] นเหตุปัจจัย มี ๔ วาระ

(ในที่ที่มีหทัยวัตถุได้พึงทำให้ไม่แตกต่างกัน)

นอารัมมณปัจจัย มี ๓ วาระ ฯลฯ
โนวิคตปัจจัย มี ๓ วาระ

(พึงเพิ่มการนับ ๒ อย่างนอกนี้ และนิสสยวารอย่างนี้)

๒๐. สัญโญชนทุกะ ๕. สังสัฏฐวาร
๑. ปัจจยานุโลม
เหตุปัจจัย
[๑๔] สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์เกิดระคนกับสภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์เพราะ
เหตุปัจจัย ได้แก่ ทิฏฐิสังโยชน์และอวิชชาสังโยชน์เกิดระคนกับกามราคสังโยชน์ (มี
๙ วาระอย่างนี้ พึงเพิ่มเฉพาะที่เป็นอรูป)
(สังสัฏฐวารและสัมปยุตตวารพึงทำอย่างนี้)

๒๐. สัญโญชนทุกะ ๗. ปัญหาวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๑๕] สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์โดย
เหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่เป็นสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตสังโยชน์โดยเหตุปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๘๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๒๐.สัญโญชนทุกะ ๗.ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นสังโยชน์โดยเหตุปัจจัย
ได้แก่ เหตุที่เป็นสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดยเหตุ-
ปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์และที่ไม่เป็น
สังโยชน์โดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่เป็นสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์
สังโยชน์ และจิตตสมุฏฐานรูปโดยเหตุปัจจัย (๓)
[๑๖] สภาวธรรมที่ไม่เป็นสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นสังโยชน์
โดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่ไม่เป็นสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตต-
สมุฏฐานรูปโดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)

อารัมมณปัจจัย
[๑๗] สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์โดย
อารัมมณปัจจัย ได้แก่ เพราะปรารภสังโยชน์ สังโยชน์จึงเกิดขึ้น (พึงเพิ่มบทที่
เป็นมูล) เพราะปรารภสังโยชน์ ขันธ์ที่ไม่เป็นสังโยชน์จึงเกิดขึ้น (พึงเพิ่มบทที่เป็น
มูล) เพราะปรารภสังโยชน์ สังโยชน์และสัมปยุตตขันธ์จึงเกิดขึ้น (๓)
[๑๘] สภาวธรรมที่ไม่เป็นสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นสังโยชน์
โดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถแล้ว
พิจารณากุศลนั้น พิจารณากุศลที่เคยสั่งสมไว้ดีแล้ว ออกจากฌานแล้วพิจารณา
ฌาน พระอริยะออกจากมรรคแล้วพิจารณามรรค พิจารณาผล พิจารณานิพพาน
นิพพานเป็นปัจจัยแก่โคตรภู โวทาน มรรค ผล และอาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย
พระอริยะพิจารณากิเลสที่ไม่เป็นสังโยชน์ซึ่งละได้แล้ว พิจารณากิเลสที่ข่มได้แล้ว
ฯลฯ รู้กิเลสที่เคยเกิดขึ้น บุคคลเห็นแจ้งจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ ขันธ์ที่ไม่เป็น
สังโยชน์โดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ
ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รู้จิตของผู้มีความพรั่งพร้อมด้วยจิตที่ไม่เป็นสังโยชน์
ด้วยเจโตปริยญาณ อากาสานัญจายตนะเป็นปัจจัยแก่วิญญาณัญจายตนะ ฯลฯ
อากิญจัญญายตนะเป็นปัจจัยแก่เนวสัญญานาสัญญายตนะ ฯลฯ รูปายตนะเป็น

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๘๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๒๐.สัญโญชนทุกะ ๗.ปัญหาวาร
ปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะเป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ ฯลฯ ขันธ์
ที่ไม่เป็นสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ เจโตปริยญาณ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
ยถากัมมูปคญาณ อนาคตังสญาณ และอาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์โดย
อารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถ ฯลฯ พิจารณา
กุศลที่เคยสั่งสมไว้ดีแล้ว ฯลฯ ออกจากฌาน ฯลฯ ยินดีเพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ
หทัยวัตถุ ฯลฯ ขันธ์ที่ไม่เป็นสังโยชน์ เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินจักษุ
เป็นต้นนั้น ราคะจึงเกิดขึ้น ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์และที่ไม่เป็น
สังโยชน์โดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถ ฯลฯ
พิจารณากุศลที่เคยสั่งสมไว้ดีแล้ว ฯลฯ ออกจากฌาน ฯลฯ ยินดีเพลิดเพลินจักษุ
ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ ขันธ์ที่ไม่เป็นสังโยชน์ เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลิน
จักษุเป็นต้นนั้น สังโยชน์และขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์จึงเกิดขึ้น (๓)
สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์และที่ไม่เป็นสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็น
สังโยชน์โดยอารัมมณปัจจัย มี ๓ วาระ (พึงเพิ่มเฉพาะที่ปรารภไว้)

อธิปติปัจจัย
[๑๙] สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์โดย
อธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลทำสังโยชน์ให้เป็น
อารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ มี ๓ วาระ (มีอารมณ์อย่างหนักแน่น)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นสังโยชน์โดย
อธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติและสหชาตาธิปติ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล ฯลฯ มี ๓ วาระ (พึง
เพิ่มอารัมมณาธิปติและสหชาตาธิปติแม้ทั้ง ๓ วาระ พึงจำแนกแม้ทั้ง ๓ วาระ)
สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์และที่ไม่เป็นสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็น
สังโยชน์โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลทำ
สังโยชน์และสัมปยุตตขันธ์ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ มี ๓ วาระ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๘๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๒๐.สัญโญชนทุกะ ๗.ปัญหาวาร
อนันตรปัจจัย
[๒๐] สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์โดย
อนันตรปัจจัย ได้แก่ สังโยชน์ที่เกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่สังโยชน์ที่เกิดหลัง ๆ โดย
อนันตรปัจจัย มี ๓ วาระ
สภาวธรรมที่ไม่เป็นสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นสังโยชน์โดย
อนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่เป็นสังโยชน์ซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่
เป็นสังโยชน์ซึ่งเกิดหลัง ๆ ฯลฯ ผลสมาบัติโดยอนันตรปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์โดยอนันตร-
ปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่เป็นสังโยชน์ซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่สังโยชน์ที่เกิดหลัง ๆ
โดยอนันตรปัจจัย อาวัชชนจิตเป็นปัจจัยแก่สังโยชน์โดยอนันตรปัจจัย (พึงเพิ่มแม้
ทั้ง ๒ วาระอย่างนี้) (๒)
สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์และที่ไม่เป็นสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็น
สังโยชน์โดยอนันตรปัจจัย มี ๓ วาระ

สมนันตรปัจจัยเป็นต้น
[๒๑] สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์โดย
สมนันตรปัจจัย มี ๙ วาระ เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย มี ๙ วาระ เป็นปัจจัย
โดยอัญญมัญญปัจจัย มี ๙ วาระ เป็นปัจจัยโดยนิสสยปัจจัย มี ๙ วาระ

อุปนิสสยปัจจัย
[๒๒] สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์โดย
อุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และ
ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ สังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สังโยชน์โดยอุปนิสสยปัจจัย (แม้ทั้ง
๓ วาระก็พึงแสดงอย่างนี้)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๘๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๒๐.สัญโญชนทุกะ ๗.ปัญหาวาร
[๒๓] สภาวธรรมที่ไม่เป็นสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นสังโยชน์
โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และ
ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยศรัทธาแล้วให้ทาน ฯลฯ ทำสมาบัติให้
เกิดขึ้น มีมานะ ถือทิฏฐิ อาศัยศีล ฯลฯ ปัญญา ฯลฯ ราคะ ฯลฯ ความ
ปรารถนา ฯลฯ เสนาสนะแล้วให้ทาน ฯลฯ ทำลายสงฆ์ ศรัทธา ฯลฯ เสนาสนะ
เป็นปัจจัยแก่ศรัทธา ฯลฯ ผลสมาบัติโดยอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์โดยอุปนิสสย-
ปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยศรัทธาแล้วมีมานะ ถือทิฏฐิ อาศัยศีล
ฯลฯ เสนาสนะแล้วฆ่าสัตว์ ฯลฯ ทำลายสงฆ์ ศรัทธา ฯลฯ เสนาสนะเป็น
ปัจจัยแก่ราคะ ฯลฯ ความปรารถนาโดยอุปนิสสยปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์และที่ไม่เป็น
สังโยชน์โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ
และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยศรัทธาแล้วมีมานะ ถือทิฏฐิ อาศัยศีล
ฯลฯ เสนาสนะแล้วฆ่าสัตว์ ฯลฯ ทำลายสงฆ์ ศรัทธา ฯลฯ เสนาสนะเป็น
ปัจจัยแก่สังโยชน์และสัมปยุตตขันธ์โดยอุปนิสสยปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์และที่ไม่เป็นสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็น
สังโยชน์โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ วาระ

ปุเรชาตปัจจัย
[๒๔] สภาวธรรมที่ไม่เป็นสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นสังโยชน์
โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาตะและวัตถุปุเรชาตะ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๘๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๒๐.สัญโญชนทุกะ ๗.ปัญหาวาร
อารัมมณปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลเห็นแจ้งจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุโดยเป็น
สภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วย
ทิพพโสตธาตุ รูปายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะเป็น
ปัจจัยแก่กายวิญญาณ ฯลฯ
วัตถุปุเรชาตะ ได้แก่ จักขายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ กายา-
ยตนะเป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ ฯลฯ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่เป็นสังโยชน์
โดยปุเรชาตปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์โดยปุเรชาต-
ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาตะและวัตถุปุเรชาตะ
อารัมมณปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลยินดีเพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ
เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้น ราคะจึงเกิดขึ้น ฯลฯ โทมนัส
จึงเกิดขึ้น
วัตถุปุเรชาตะ ได้แก่ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่สังโยชน์โดยปุเรชาตปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์และที่ไม่เป็น
สังโยชน์โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาตะและวัตถุปุเรชาตะ
อารัมมณปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลยินดีเพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ เพราะ
ปรารภความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้น สังโยชน์และสัมปยุตตขันธ์จึงเกิดขึ้น
วัตถุปุเรชาตะ ได้แก่ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่สังโยชน์และสัมปยุตตขันธ์โดย
ปุเรชาตปัจจัย (๓)

ปัจฉาชาตปัจจัย
[๒๕] สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นสังโยชน์โดย
ปัจฉาชาตปัจจัย มี ๑ วาระ
สภาวธรรมที่ไม่เป็นสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นสังโยชน์โดย
ปัจฉาชาตปัจจัย ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์และที่ไม่เป็นสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็น
สังโยชน์โดยปัจฉาชาตปัจจัย ฯลฯ (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๘๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๒๐.สัญโญชนทุกะ ๗.ปัญหาวาร
อาเสวนปัจจัย
[๒๖] สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์โดย
อาเสวนปัจจัย มี ๙ วาระ

กัมมปัจจัยเป็นต้น
[๒๗] สภาวธรรมที่ไม่เป็นสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นสังโยชน์
โดยกัมมปัจจัย มี ๓ วาระ เป็นปัจจัยโดยวิปากปัจจัย มี ๑ วาระ เป็นปัจจัย
โดยอาหารปัจจัย มี ๓ วาระ เป็นปัจจัยโดยอินทรียปัจจัย มี ๓ วาระ เป็น
ปัจจัยโดยฌานปัจจัย มี ๓ วาระ เป็นปัจจัยโดยมัคคปัจจัย มี ๙ วาระ เป็น
ปัจจัยโดยสัมปยุตตปัจจัย มี ๙ วาระ

วิปปยุตตปัจจัย
[๒๘] สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นสังโยชน์โดย
วิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปัจฉาชาตะ (พึงจำแนกไว้) (๑)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นสังโยชน์โดย
วิปปยุตตปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ สหชาตะ ปุเรชาตะ และปัจฉาชาตะ (พึงจำแนก
ไว้) (๑)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์โดยวิปปยุตต-
ปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาตะ ได้แก่ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่สังโยชน์โดย
วิปปยุตตปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์และที่ไม่เป็น
สังโยชน์โดยวิปปยุตตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาตะ ได้แก่ หทัยวัตถุเป็น
ปัจจัยแก่สังโยชน์และสัมปยุตตขันธ์โดยวิปปยุตตปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์และที่ไม่เป็นสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็น
สังโยชน์โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปัจฉาชาตะ (พึง
จำแนกไว้) (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๘๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๒๐.สัญโญชนทุกะ ๗.ปัญหาวาร
อัตถิปัจจัย
[๒๙] สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์โดย
อัตถิปัจจัย มี ๑ วาระ (เหมือนกับปฏิจจวาร) (๑)
สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นสังโยชน์โดยอัตถิปัจจัย
มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปัจฉาชาตะ (ย่อ) (๒)
สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์และที่ไม่เป็น
สังโยชน์โดยอัตถิปัจจัย (เหมือนกับปฏิจจวาร) (๓)
[๓๐] สภาวธรรมที่ไม่เป็นสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นสังโยชน์
โดยอัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาตะ ปุเรชาตะ ปัจฉาชาตะ อาหาระ
และอินทรียะ (ย่อ) (๑)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์โดยอัตถิปัจจัย
มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปุเรชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่เป็นสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตสังโยชน์โดย
อัตถิปัจจัย
ปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลยินดีเพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ เพราะ
ปรารภความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้น ราคะจึงเกิดขึ้น ฯลฯ โทมนัสจึง
เกิดขึ้น หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่สังโยชน์โดยอัตถิปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์และที่ไม่เป็น
สังโยชน์โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปุเรชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ สภาวธรรมที่ไม่เป็นสังโยชน์ ฯลฯ (ย่อ เหมือนกับอาสว-
ทุกะ) (๓)
[๓๑] สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์และที่ไม่เป็นสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่เป็นสังโยชน์โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปุเรชาตะ (เหมือน
กับอาสวทุกะ) (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๘๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๒๐.สัญโญชนทุกะ ๗.ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์และที่ไม่เป็นสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่
เป็นสังโยชน์โดยอัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาตะ ปุเรชาตะ ปัจฉาชาตะ อาหาระ
และอินทรียะ (พึงจำแนกเหมือนกับอาสวทุกะ) (๒)
สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์และที่ไม่เป็นสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็น
สังโยชน์และที่ไม่เป็นสังโยชน์โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปุเรชาตะ
(พึงจำแนกเหมือนกับอาสวทุกะ) (๓)

๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๓๒] เหตุปัจจัย มี ๔ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๙ วาระ
อธิปติปัจจัย มี ๙ วาระ
อนันตรปัจจัย มี ๙ วาระ
สมนันตรปัจจัย มี ๙ วาระ
สหชาตปัจจัย มี ๙ วาระ
อัญญมัญญปัจจัย มี ๙ วาระ
นิสสยปัจจัย มี ๙ วาระ
อุปนิสสยปัจจัย มี ๙ วาระ
ปุเรชาตปัจจัย มี ๓ วาระ
ปัจฉาชาตปัจจัย มี ๓ วาระ
อาเสวนปัจจัย มี ๙ วาระ
กัมมปัจจัย มี ๓ วาระ
วิปากปัจจัย มี ๑ วาระ
อาหารปัจจัย มี ๓ วาระ
อินทรียปัจจัย มี ๓ วาระ
ฌานปัจจัย มี ๓ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๘๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๒๐.สัญโญชนทุกะ ๗.ปัญหาวาร

มัคคปัจจัย มี ๙ วาระ
สัมปยุตตปัจจัย มี ๙ วาระ
วิปปยุตตปัจจัย มี ๕ วาระ
อัตถิปัจจัย มี ๙ วาระ
นัตถิปัจจัย มี ๙ วาระ
วิคตปัจจัย มี ๙ วาระ
อวิคตปัจจัย มี ๙ วาระ

อนุโลม จบ

๒. ปัจจนียุทธาร
[๓๓] สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์โดย
อารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย และอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นสังโยชน์โดย
อารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และปัจฉาชาตปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์และที่ไม่เป็น
สังโยชน์โดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย และอุปนิสสยปัจจัย (๓)
[๓๔] สภาวธรรมที่ไม่เป็นสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นสังโยชน์
โดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย ปุเรชาตปัจจัย ปัจฉาชาตปัจจัย
กัมมปัจจัย อาหารปัจจัย และอินทรียปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์โดย
อารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และปุเรชาตปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์และที่ไม่เป็น
สังโยชน์โดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และปุเรชาตปัจจัย (๓)
[๓๕] สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์และที่ไม่เป็นสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่เป็นสังโยชน์โดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย และอุปนิสสยปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๘๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๒๐.สัญโญชนทุกะ ๗.ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์และที่ไม่เป็นสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
ไม่เป็นสังโยชน์โดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และปัจฉาชาต-
ปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์และที่ไม่เป็นสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
เป็นสังโยชน์และที่ไม่เป็นสังโยชน์โดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย และอุปนิสสย-
ปัจจัย (๓)

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒. สังขยาวาร

[๓๖] นเหตุปัจจัย มี ๙ วาระ
นอารัมมณปัจจัย มี ๙ วาระ

(ทุกปัจจัย มีปัจจัยละ ๙ วาระ)
โนอวิคตปัจจัย มี ๙ วาระ

๓. ปัจจยานุโลมปัจจนียะ
เหตุทุกนัย

[๓๗] นอารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๔ วาระ ฯลฯ
นสมนันตรปัจจัย ” มี ๔ วาระ
นอัญญมัญญปัจจัย ” มี ๒ วาระ
นอุปนิสสยปัจจัย ” มี ๔ วาระ ฯลฯ
นมัคคปัจจัย ” มี ๔ วาระ
นสัมปยุตตปัจจัย ” มี ๒ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย ” มี ๔ วาระ
โนนัตถิปัจจัย ” มี ๔ วาระ
โนวิคตปัจจัย ” มี ๔ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๙๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๒๒.สัญโญชนสัมปยุตตทุกะ ๑.ปฏิจจวาร
๔. ปัจจยปัจจนียานุโลม
นเหตุทุกนัย

[๓๘] อารัมมณปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๙ วาระ
อธิปติปัจจัย ” มี ๙ วาระ

(พึงแจกอนุโลมมาติกา)
อวิคตปัจจัย ” มี ๙ วาระ
สัญโญชนทุกะ จบ

๒๑. สัญโญชนิยทุกะ ๑. ปฏิจจวารเป็นต้น
[๓๙] สภาวธรรมที่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์อาศัยสภาวธรรมที่เป็นอารมณ์ของ
สังโยชน์เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑
ที่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
หทัยวัตถุอาศัยขันธ์เกิดขึ้น ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น ... อาศัยมหาภูตรูป ๑ ฯลฯ
(เหมือนกับโลกิยทุกะในจูฬันตรทุกะ ไม่มีข้อแตกต่างกัน)
สัญโญชนิยทุกะ จบ

๒๒. สัญโญชนสัมปยุตตทุกะ ๑. ปฏิจจวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๔๐] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์อาศัยสภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์
เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์เกิดขึ้น
ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๙๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๒๒.สัญโญชนสัมปยุตตทุกะ ๑.ปฏิจจวาร
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์อาศัยสภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์เกิดขึ้น
เพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์เกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์และที่วิปปยุตจากสังโยชน์อาศัยสภาวธรรมที่
สัมปยุตด้วยสังโยชน์เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป
อาศัยขันธ์ ๑ ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๓)
[๔๑] สภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์อาศัยสภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์
เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่วิปปยุต
จากสังโยชน์เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยโมหะที่สหรคต
ด้วยอุทธัจจะเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ อาศัยมหาภูตรูป ๑ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์อาศัยสภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์เกิดขึ้น
เพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ สัมปยุตตขันธ์อาศัยโมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์และที่วิปปยุตจากสังโยชน์อาศัยสภาวธรรมที่
วิปปยุตจากสังโยชน์เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐาน-
รูปอาศัยโมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเกิดขึ้น (๓)
[๔๒] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์อาศัยสภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์
และที่วิปปยุตจากสังโยชน์เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ และ
โมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์อาศัยสภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์และที่
วิปปยุตจากสังโยชน์เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่
สัมปยุตด้วยสังโยชน์และอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์และ
โมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์และที่วิปปยุตจากสังโยชน์อาศัยสภาวธรรมที่
สัมปยุตด้วยสังโยชน์และที่วิปปยุตจากสังโยชน์เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓
และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ และโมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเกิดขึ้น ฯลฯ
อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๙๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๒๒.สัญโญชนสัมปยุตตทุกะ ๑.ปฏิจจวาร
อารัมมณปัจจัย
[๔๓] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์อาศัยสภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์
เกิดขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่ ... อาศัยขันธ์ ๑ ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์ ฯลฯ
อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์อาศัยสภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์เกิดขึ้น
เพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่ โมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะอาศัยขันธ์ที่สหรคตด้วย
อุทธัจจะเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์และที่วิปปยุตจากสังโยชน์อาศัยสภาวธรรมที่
สัมปยุตด้วยสังโยชน์เกิดขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และโมหะอาศัย
ขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๓)
[๔๔] สภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์อาศัยสภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์
เกิดขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่วิปปยุตจากสังโยชน์
เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุ
เกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์อาศัยสภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์เกิดขึ้น
เพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่ สัมปยุตตขันธ์อาศัยโมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ
เกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์อาศัยสภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์และ
ที่วิปปยุตจากสังโยชน์เกิดขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑
และโมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)

อธิปติปัจจัย
[๔๕] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์อาศัยสภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์
เกิดขึ้นเพราะอธิปติปัจจัย มี ๓ วาระ
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์อาศัยสภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์เกิดขึ้น
เพราะอธิปติปัจจัย มี ๑ วาระ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๙๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๒๒.สัญโญชนสัมปยุตตทุกะ ๑.ปฏิจจวาร
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์อาศัยสภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์และที่
วิปปยุตจากสังโยชน์เกิดขึ้นเพราะอธิปติปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่
สัมปยุตด้วยสังโยชน์และอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น (๑) (ย่อ)

๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๔๖] เหตุปัจจัย มี ๙ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๖ วาระ
อธิปติปัจจัย มี ๕ วาระ
อนันตรปัจจัย มี ๖ วาระ
สมนันตรปัจจัย มี ๖ วาระ
สหชาตปัจจัย มี ๙ วาระ
อัญญมัญญปัจจัย มี ๖ วาระ
นิสสยปัจจัย มี ๙ วาระ
อุปนิสสยปัจจัย มี ๖ วาระ
ปุเรชาตปัจจัย มี ๖ วาระ
อาเสวนปัจจัย มี ๖ วาระ
กัมมปัจจัย มี ๙ วาระ
วิปากปัจจัย มี ๑ วาระ
อาหารปัจจัย มี ๙ วาระ
อินทรียปัจจัย มี ๙ วาระ
ฌานปัจจัย มี ๙ วาระ
มัคคปัจจัย มี ๙ วาระ
สัมปยุตตปัจจัย มี ๖ วาระ
วิปปยุตตปัจจัย มี ๙ วาระ
อัตถิปัจจัย มี ๙ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๙๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๒๒.สัญโญชนสัมปยุตตทุกะ ๑.ปฏิจจวาร

นัตถิปัจจัย มี ๖ วาระ
วิคตปัจจัย มี ๖ วาระ
อวิคตปัจจัย มี ๙ วาระ

อนุโลม จบ

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๑. วิภังควาร
นเหตุปัจจัย
[๔๗] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์อาศัยสภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์
เกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาอาศัยขันธ์ที่สหรคตด้วย
วิจิกิจฉาเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์อาศัยสภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์เกิดขึ้น
เพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ โมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะอาศัยขันธ์ที่สหรคตด้วย
อุทธัจจะเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์อาศัยสภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์เกิดขึ้น
เพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ ... อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่มีเหตุซึ่งวิปปยุตจากสังโยชน์ ฯลฯ
(พึงเพิ่มข้อความจนถึงอสัญญสัตตพรหม ย่อ) (๑)

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๔๘] นเหตุปัจจัย มี ๓ วาระ
นอารัมมณปัจจัย มี ๓ วาระ
นอธิปติปัจจัย มี ๙ วาระ
นอนันตรปัจจัย มี ๓ วาระ
นสมนันตรปัจจัย มี ๓ วาระ
นอัญญมัญญปัจจัย มี ๓ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๙๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๒๒.สัญโญชนสัมปยุตตทุกะ ๑.ปฏิจจวาร

นอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย มี ๗ วาระ
นปัจฉาชาตปัจจัย มี ๙ วาระ
นอาเสวนปัจจัย มี ๙ วาระ
นกัมมปัจจัย มี ๔ วาระ
นวิปากปัจจัย มี ๙ วาระ
นอาหารปัจจัย มี ๑ วาระ
นอินทรียปัจจัย มี ๑ วาระ
นฌาณปัจจัย มี ๑ วาระ
นมัคคปัจจัย มี ๑ วาระ
นสัมปยุตตปัจจัย มี ๓ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย มี ๖ วาระ
โนนัตถิปัจจัย มี ๓ วาระ
โนวิคตปัจจัย มี ๓ วาระ

ปัจจนียะ จบ

๓. ปัจจยานุโลมปัจจนียะ
เหตุทุกนัย

[๔๙] นอารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๓ วาระ
นอธิปติปัจจัย ” มี ๙ วาระ ฯลฯ
นอุปนิสสยปัจจัย ” มี ๓ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย ” มี ๖ วาระ
นปัจฉาชาตปัจจัย ” มี ๙ วาระ
นอาเสวนปัจจัย ” มี ๙ วาระ
นกัมมปัจจัย ” มี ๔ วาระ
นวิปากปัจจัย ” มี ๙ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๙๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๒๒.สัญโญชนสัมปยุตตทุกะ ๓.ปัจจยวาร

นสัมปยุตตปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๓ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย ” มี ๔ วาระ
โนนัตถิปัจจัย ” มี ๓ วาระ
โนวิคตปัจจัย ” มี ๓ วาระ

๔. ปัจจยปัจจนียานุโลม
นเหตุทุกนัย

[๕๐] อารัมมณปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๓ วาระ ฯลฯ
วิปากปัจจัย ” มี ๑ วาระ
อาหารปัจจัย ” มี ๓ วาระ ฯลฯ
มัคคปัจจัย ” มี ๒ วาระ ฯลฯ
อวิคตปัจจัย ” มี ๓ วาระ

(สหชาตวารเหมือนกับปฏิจจวาร)

๒๒. สัญโญชนสัมปยุตตทุกะ ๓. ปัจจยวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๕๑] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์ทำสภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์
ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย มี ๓ วาระ (เหมือนกับปฏิจจวาร)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์ทำสภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์ให้เป็น
ปัจจัยเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ (พึงเพิ่มข้อความจนถึงปฏิสนธิ) ... ทำ
มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ ขันธ์ที่วิปปยุตจากสังโยชน์ทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น
โมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๙๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๒๒.สัญโญชนสัมปยุตตทุกะ ๓.ปัจจยวาร
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์ทำสภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์ให้เป็น
ปัจจัยเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์ทำหทัยวัตถุให้เป็น
ปัจจัยเกิดขึ้น สัมปยุตตขันธ์ทำโมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์และที่วิปปยุตจากสังโยชน์ทำสภาวธรรมที่
วิปปยุตจากสังโยชน์ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่สัมปยุตด้วย
สังโยชน์ทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปทำมหาภูตรูปให้เป็น
ปัจจัยเกิดขึ้น สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปทำโมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะให้
เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๓)
[๕๒] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์ทำสภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์
และที่วิปปยุตจากสังโยชน์ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ ทำ
ขันธ์ ๑ ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์และทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ทำ
ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ ๓ ทำขันธ์ ๑ และโมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะให้เป็นปัจจัย
เกิดขึ้น ฯลฯ ทำขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์ทำสภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์และที่
วิปปยุตจากสังโยชน์ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปทำ
ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์และทำมหาภูตรูปให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูป
ทำขันธ์และโมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์และที่วิปปยุตจากสังโยชน์ทำสภาวธรรมที่
สัมปยุตด้วยสังโยชน์และที่วิปปยุตจากสังโยชน์ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่
ขันธ์ ๓ ทำขันธ์ ๑ ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์และทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ
ทำขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปทำขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์และทำมหาภูตรูป
ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปทำขันธ์ ๑ และโมหะที่สหรคต
ด้วยอุทธัจจะให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ทำขันธ์ ๒ ฯลฯ (๓)

อารัมมณปัจจัย
[๕๓] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์ทำสภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์
ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย มี ๓ วาระ (เหมือนกับปฏิจจวาร)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๙๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๒๒.สัญโญชนสัมปยุตตทุกะ ๓.ปัจจยวาร
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์ทำสภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์ให้เป็น
ปัจจัยเกิดขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่ (พึงเพิ่มข้อความจนถึงปฏิสนธิ) ขันธ์ที่
วิปปยุตจากสังโยชน์ทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น จักขุวิญญาณทำจักขายตนะ
ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ กายวิญญาณทำกายายตนะให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ขันธ์ที่
วิปปยุตจากสังโยชน์ทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น โมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ
ทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์ทำสภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์ให้เป็น
ปัจจัยเกิดขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์ทำหทัยวัตถุ
ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น สัมปยุตตขันธ์ทำโมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะให้เป็นปัจจัย
เกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์และที่วิปปยุตจากสังโยชน์ทำสภาวธรรมที่
วิปปยุตจากสังโยชน์ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่ ขันธ์และ
โมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๓)
[๕๔] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์ทำสภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์
และที่วิปปยุตจากสังโยชน์ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓
ทำขันธ์ ๑ ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์และทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ทำ
ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ ๓ ทำขันธ์ ๑ และโมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะให้เป็นปัจจัย
เกิดขึ้น ฯลฯ ทำขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์ทำสภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์และที่
วิปปยุตจากสังโยชน์ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่ โมหะที่สหรคต
ด้วยอุทธัจจะทำขันธ์ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะและทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์และที่วิปปยุตจากสังโยชน์ทำสภาวธรรมที่
สัมปยุตด้วยสังโยชน์และที่วิปปยุตจากสังโยชน์ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย
ได้แก่ ขันธ์ ๓ และโมหะทำขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะและทำหทัยวัตถุให้
เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ทำขันธ์ ๒ ฯลฯ (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๒๙๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๒๒.สัญโญชนสัมปยุตตทุกะ ๓.ปัจจยวาร
อธิปติปัจจัยเป็นต้น
[๕๕] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์ทำสภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์
ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะอธิปติปัจจัย ฯลฯ เพราะอวิคตปัจจัย ฯลฯ

๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๕๖] เหตุปัจจัย มี ๙ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๙ วาระ
อธิปติปัจจัย มี ๙ วาระ

(ทุกปัจจัย มีปัจจัยละ ๙ วาระ)

วิปากปัจจัย มี ๑ วาระ
อาหารปัจจัย มี ๙ วาระ ฯลฯ
อวิคตปัจจัย มี ๙ วาระ

อนุโลม จบ

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๑. วิภังควาร
นเหตุปัจจัย
[๕๗] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์ทำสภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์
ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาทำขันธ์ที่
สหรคตด้วยวิจิกิจฉาให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์ทำสภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์ให้เป็น
ปัจจัยเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ โมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะทำขันธ์ที่
สหรคตด้วยอุทธัจจะให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๒)
[๕๘] สภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์ทำสภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์
ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ ... ทำขันธ์ ๑ ที่ไม่มีเหตุซึ่งวิปปยุต

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๓๐๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๒๒.สัญโญชนสัมปยุตตทุกะ ๓.ปัจจยวาร
จากสังโยชน์ ฯลฯ (พึงเพิ่มข้อความจนถึงอสัญญสัตตพรหม) จักขุวิญญาณทำ
จักขายตนะให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ กายวิญญาณทำกายายตนะให้เป็นปัจจัย
เกิดขึ้น ขันธ์ที่ไม่มีเหตุซึ่งวิปปยุตจากสังโยชน์และโมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะทำ
หทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์ทำสภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์ให้เป็น
ปัจจัยเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาทำหทัยวัตถุให้
เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๒)
[๕๙] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์ทำสภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์และ
ที่วิปปยุตจากสังโยชน์ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ โมหะที่สหรคต
ด้วยวิจิกิจฉาทำขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์ทำสภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์และ
ที่วิปปยุตจากสังโยชน์ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ โมหะที่สหรคต
ด้วยอุทธัจจะทำขันธ์ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น
(ย่อ) (๒)

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๖๐] นเหตุปัจจัย มี ๖ วาระ
นอารัมมณปัจจัย มี ๓ วาระ
นอธิปติปัจจัย มี ๙ วาระ
นอนันตรปัจจัย มี ๓ วาระ
นสมนันตรปัจจัย มี ๓ วาระ
นอัญญมัญญปัจจัย มี ๓ วาระ
นอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย มี ๗ วาระ
นปัจฉาชาตปัจจัย มี ๙ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๓๐๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๒๒.สัญโญชนสัมปยุตตทุกะ ๓.ปัจจยวาร

นอาเสวนปัจจัย มี ๙ วาระ
นกัมมปัจจัย มี ๔ วาระ
นวิปากปัจจัย มี ๙ วาระ
นอาหารปัจจัย มี ๑ วาระ
นอินทรียปัจจัย มี ๑ วาระ
นฌานปัจจัย มี ๑ วาระ
นมัคคปัจจัย มี ๑ วาระ
นสัมปยุตตปัจจัย มี ๓ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย มี ๖ วาระ
โนนัตถิปัจจัย มี ๓ วาระ
โนวิคตปัจจัย มี ๓ วาระ

๓. ปัจจยานุโลมปัจจนียะ
เหตุทุกนัย

[๖๑] นอารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๓ วาระ
นอธิปติปัจจัย ” มี ๙ วาระ (ย่อ พึงทำอย่างนี้)

๔. ปัจจยปัจจนียานุโลม
นเหตุทุกนัย

[๖๒] อารัมมณปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๖ วาระ

(ทุกปัจจัยมีปัจจัยละ ๖ วาระ)

วิปากปัจจัย ” มี ๑ วาระ
อาหารปัจจัย ” มี ๖ วาระ ฯลฯ
มัคคปัจจัย ” มี ๖ วาระ ฯลฯ
อวิคตปัจจัย ” มี ๖ วาระ

(นิสสยวารเหมือนกับปัจจยวาร)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๓๐๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๒๒.สัญโญชนสัมปยุตตทุกะ ๕.สังสัฏฐวาร
๒๒. สัญโญชนสัมปยุตตทุกะ ๕. สังสัฏฐวาร
๑. ปัจจยานุโลมเป็นต้น
[๖๓] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์เกิดระคนกับสภาวธรรมที่สัมปยุต
ด้วยสังโยชน์เพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ เกิดระคนกับขันธ์ ๑ ที่สัมปยุตด้วย
สังโยชน์ ฯลฯ เกิดระคนกับขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์เกิดระคนกับสภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์
เพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ เกิดระคนกับขันธ์ ๑ ที่วิปปยุตจากสังโยชน์ ฯลฯ
เกิดระคนกับขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์เกิดระคนกับสภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์
เพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ สัมปยุตตขันธ์เกิดระคนกับโมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ (๒)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์เกิดระคนกับสภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์
และที่วิปปยุตจากสังโยชน์เพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ เกิดระคนกับขันธ์ ๑
และโมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ฯลฯ เกิดระคนกับขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑) (ย่อ)

[๖๔] เหตุปัจจัย มี ๔ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๖ วาระ
อธิปติปัจจัย มี ๒ วาระ
อนันตรปัจจัย มี ๖ วาระ
สมนันตรปัจจัย มี ๖ วาระ ฯลฯ
อวิคตปัจจัย มี ๖ วาระ
[๖๕] นเหตุปัจจัย มี ๓ วาระ
นอธิปติปัจจัย มี ๖ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย มี ๖ วาระ
นปัจฉาชาตปัจจัย มี ๖ วาระ
นอาเสวนปัจจัย มี ๖ วาระ
นกัมมปัจจัย มี ๔ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๓๐๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๒๒.สัญโญชนสัมปยุตตทุกะ ๗.ปัญหาวาร

นวิปากปัจจัย มี ๖ วาระ
นฌานปัจจัย มี ๑ วาระ
นมัคคปัจจัย มี ๑ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย มี ๖ วาระ

(พึงเพิ่มการนับ ๒ อย่างนอกนี้และสัมปยุตตวาร)

๒๒. สัญโญชนสัมปยุตตทุกะ ๗. ปัญหาวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๖๖] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วย
สังโยชน์โดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์
โดยเหตุปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์ เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์
โดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดย
เหตุปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์
และที่วิปปยุตจากสังโยชน์โดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์เป็นปัจจัย
แก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดยเหตุปัจจัย (๓)
[๖๗] สภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุตจาก
สังโยชน์โดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่วิปปยุตจากสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์
และจิตตสมุฏฐานรูปโดยเหตุปัจจัย โมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเป็นปัจจัยแก่จิตต-
สมุฏฐานรูปโดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๓๐๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๒๒.สัญโญชนสัมปยุตตทุกะ ๗.ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์ เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์
โดยเหตุปัจจัย ได้แก่ โมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์โดย
เหตุปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์
และที่วิปปยุตจากสังโยชน์โดยเหตุปัจจัย ได้แก่ โมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเป็น
ปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดยเหตุปัจจัย (๓)

อารัมมณปัจจัย
[๖๘] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุต
ด้วยสังโยชน์โดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ เพราะปรารภขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์
ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์จึงเกิดขึ้น (พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล) เพราะปรารภขันธ์ที่
สัมปยุตด้วยสังโยชน์ ขันธ์และโมหะที่วิปปยุตจากสังโยชน์จึงเกิดขึ้น (พึงเพิ่มบทที่
เป็นมูล) เพราะปรารภขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์ ขันธ์และโมหะที่สหรคตด้วย
อุทธัจจะจึงเกิดขึ้น (๓)
[๖๙] สภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุตจาก
สังโยชน์โดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถแล้ว
พิจารณากุศลนั้น พิจารณากุศลที่เคยสั่งสมไว้ดีแล้ว ออกจากฌานแล้วพิจารณา
ฌาน พระอริยะออกจากมรรคแล้วพิจารณามรรค พิจารณาผล พิจารณานิพพาน
นิพพานเป็นปัจจัยแก่โคตรภู โวทาน มรรค ผล และอาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย
พระอริยะพิจารณากิเลสที่วิปปยุตจากสังโยชน์ซึ่งละได้แล้ว พิจารณากิเลสที่ข่มได้
แล้ว รู้กิเลสที่เคยเกิดขึ้น บุคคลเห็นแจ้งจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ ขันธ์และ
โมหะที่วิปปยุตจากสังโยชน์ โดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ เห็นรูปด้วยทิพพจักขุ
ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รู้จิตของบุคคลผู้มีความพรั่งพร้อมด้วยจิตที่วิปปยุตจาก
สังโยชน์ด้วยเจโตปริยญาณ อากาสานัญจายตนะเป็นปัจจัยแก่วิญญาณัญจายตนะ
ฯลฯ รูปายตนะ ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะ ฯลฯ ขันธ์ที่วิปปยุตจากสังโยชน์เป็นปัจจัย
แก่อิทธิวิธญาณ เจโตปริยญาณ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ยถากัมมูปคญาณ
อนาคตังสญาณ อาวัชชนจิตและโมหะโดยอารัมมณปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๓๐๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๒๒.สัญโญชนสัมปยุตตทุกะ ๗.ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์ เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์
โดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถ ฯลฯ พิจารณา
กุศลที่เคยสั่งสมไว้ดีแล้ว ฯลฯ ออกจากฌานแล้วพิจารณาฌาน ฯลฯ ยินดี
เพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ ขันธ์และโมหะที่วิปปยุตจากสังโยชน์
เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้น ราคะจึงเกิดขึ้น ฯลฯ โทมนัส
จึงเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์
และที่วิปปยุตจากสังโยชน์ โดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ เพราะปรารภจักษุ ฯลฯ
หทัยวัตถุ ฯลฯ ขันธ์และโมหะที่วิปปยุตจากสังโยชน์ ขันธ์และโมหะที่สหรคตด้วย
อุทธัจจะจึงเกิดขึ้น (๓)
[๗๐] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์และที่วิปปยุตจากสังโยชน์เป็นปัจจัย
แก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์โดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ เพราะปรารภขันธ์
และโมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์จึงเกิดขึ้น (พึงเพิ่มบท
ที่เป็นมูล) เพราะปรารภขันธ์และโมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ขันธ์และโมหะที่
วิปปยุตจากสังโยชน์จึงเกิดขึ้น (พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล) เพราะปรารภขันธ์และโมหะที่
สหรคตด้วยอุทธัจจะ ขันธ์และโมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะจึงเกิดขึ้น (๓)

อธิปติปัจจัย
[๗๑] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วย
สังโยชน์โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติและสหชาตาธิปติ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลยินดีเพลิดเพลินราคะ ฯลฯ ทิฏฐิ ฯลฯ ให้เป็น
อารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทำความยินดีเพลิดเพลินราคะเป็นต้นนั้นให้เป็น
อารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่
สัมปยุตตขันธ์โดยอธิปติปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์ เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์
โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่สัมปยุต
ด้วยสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดยอธิปติปัจจัย (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๓๐๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๒๒.สัญโญชนสัมปยุตตทุกะ ๗.ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์
และที่วิปปยุตจากสังโยชน์โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่
อธิบดีธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดย
อธิปติปัจจัย (๓)
[๗๒] สภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุตจาก
สังโยชน์โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติและสหชาตาธิปติ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถแล้วพิจารณา
กุศลนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น พิจารณากุศลที่เคยสั่งสมไว้ดีแล้ว ฯลฯ
ออกจากฌาน ฯลฯ พระอริยะออกจากมรรค ฯลฯ พิจารณาผล พิจารณา
นิพพาน นิพพานเป็นปัจจัยแก่โคตรภู โวทาน มรรค และผลโดยอธิปติปัจจัย
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่
สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดยอธิปติปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์ เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์
โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทาน
ศีล รักษาอุโบสถแล้วยินดีเพลิดเพลินกุศลนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะ
ทำความยินดีเพลิดเพลินกุศลนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะจึงเกิดขึ้น
ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น ยินดีเพลิดเพลินกุศลที่เคยสั่งสมไว้ดีแล้ว ฯลฯ ออกจากฌาน
ฯลฯ ยินดีเพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ ขันธ์ที่วิปปยุตจากสังโยชน์ให้
เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทำความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้นให้เป็น
อารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น (๒)

อนันตรปัจจัย
[๗๓] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วย
สังโยชน์โดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์ซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็น
ปัจจัยแก่ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์ซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๓๐๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๒๒.สัญโญชนสัมปยุตตทุกะ ๗.ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์
โดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่
โมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ที่สัมปยุตด้วย
สังโยชน์เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะโดยอนันตรปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์
และที่วิปปยุตจากสังโยชน์โดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะซึ่ง
เกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์และโมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะซึ่งเกิดหลัง ๆ โดย
อนันตรปัจจัย (๓)
[๗๔] สภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุตจาก
สังโยชน์โดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ โมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็น
ปัจจัยแก่โมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ที่วิปปยุต
จากสังโยชน์ซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่วิปปยุตจากสังโยชน์ซึ่งเกิดหลัง ๆ
ฯลฯ ผลสมาบัติโดยอนันตรปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์ เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์
โดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ โมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่
ขันธ์ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย อาวัชชนจิตเป็นปัจจัย
แก่ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์โดยอนันตรปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์
และที่วิปปยุตจากสังโยชน์โดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ โมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะซึ่ง
เกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์และโมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะซึ่งเกิดหลัง ๆ โดย
อนันตรปัจจัย อาวัชชนจิตเป็นปัจจัยแก่ขันธ์และโมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะโดย
อนันตรปัจจัย (๓)
[๗๕] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์และที่วิปปยุตจากสังโยชน์เป็นปัจจัย
แก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์โดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์และโมหะ
ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะซึ่งเกิด
หลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๓๐๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๒๒.สัญโญชนสัมปยุตตทุกะ ๗.ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์และที่วิปปยุตจากสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาว-
ธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์โดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์และโมหะที่สหรคตด้วย
อุทธัจจะซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่โมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะซึ่งเกิดหลัง ๆ โดย
อนันตรปัจจัย ขันธ์และโมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะโดย
อนันตรปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์และที่วิปปยุตจากสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์และที่วิปปยุตจากสังโยชน์ โดยอนันตรปัจจัย ได้แก่
ขันธ์และโมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์และโมหะที่
สหรคตด้วยอุทธัจจะซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย (๓)

สมนันตรปัจจัยเป็นต้น
[๗๖] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วย
สังโยชน์โดยอนันตรปัจจัย มี ๙ วาระ เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย มี ๙ วาระ
เป็นปัจจัยโดยอัญญมัญญปัจจัย มี ๖ วาระ เป็นปัจจัยโดยนิสสยปัจจัย มี ๙ วาระ

อุปนิสสยปัจจัย
[๗๗] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วย
สังโยชน์โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ
และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่สัมปยุต
ด้วยสังโยชน์ โดยอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์ เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์
โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะและปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่ขันธ์และโมหะ
ที่วิปปยุตจากสังโยชน์โดยอุปนิสสยปัจจัย (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๓๐๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๒๒.สัญโญชนสัมปยุตตทุกะ ๗.ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์
และที่วิปปยุตจากสังโยชน์โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ
และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่ขันธ์และโมหะ
ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะโดยอุปนิสสยปัจจัย (๓)
[๗๘] สภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุตจาก
สังโยชน์โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ
และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยศรัทธาแล้วให้ทาน ฯลฯ ทำสมาบัติให้
เกิดขึ้น อาศัยศีล ฯลฯ ปัญญา ... สุขทางกาย ... ทุกข์ทางกาย ... อุตุ ...
โภชนะ ... เสนาสนะและโมหะแล้วให้ทาน ฯลฯ ทำสมาบัติให้เกิดขึ้น ศรัทธา
ฯลฯ เสนาสนะ และโมหะเป็นปัจจัยแก่ศรัทธา ฯลฯ ผลสมาบัติและโมหะโดย
อุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์ เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์
โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และ
ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยศรัทธาแล้ว มีมานะ ถือทิฏฐิ อาศัย
ศีล ฯลฯ ปัญญา ... สุขทางกาย ... ทุกข์ทางกาย ... อุตุ ... โภชนะ ...
เสนาสนะและโมหะแล้วฆ่าสัตว์ ฯลฯ ทำลายสงฆ์ ศรัทธา ฯลฯ เสนาสนะและ
โมหะเป็นปัจจัยแก่ราคะ ฯลฯ ความปรารถนาโดยอุปนิสสยปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์
และที่วิปปยุตจากสังโยชน์โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ
และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ศรัทธา ฯลฯ ปัญญา ... สุขทางกาย ฯลฯ เสนาสนะ
และโมหะเป็นปัจจัยแก่ขันธ์และโมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะโดยอุปนิสสยปัจจัย (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๓๑๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๒๒.สัญโญชนสัมปยุตตทุกะ ๗.ปัญหาวาร
[๗๙] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์และที่วิปปยุตจากสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูป-
นิสสยะและปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ขันธ์และโมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเป็นปัจจัยแก่ขันธ์
ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์โดยอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์และที่วิปปยุตจากสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูป-
นิสสยะและปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ขันธ์และโมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเป็นปัจจัยแก่ขันธ์
และโมหะที่วิปปยุตจากสังโยชน์โดยอุปนิสสยปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์และที่วิปปยุตจากสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์และที่วิปปยุตจากสังโยชน์โดยอุปนิสสยปัจจัย มี
๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะและปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ขันธ์และโมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเป็นปัจจัยแก่ขันธ์
และโมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะโดยอุปนิสสยปัจจัย (๓)

ปุเรชาตปัจจัย
[๘๐] สภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุตจาก
สังโยชน์โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาตะและวัตถุปุเรชาตะ
อารัมมณปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลเห็นแจ้งจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุโดยเป็นสภาวะ
ไม่เที่ยง ฯลฯ เห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รูปายตนะเป็น
ปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะเป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ ฯลฯ
วัตถุปุเรชาตะ ได้แก่ จักขายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ กายา-
ยตนะเป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ ฯลฯ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์และโมหะที่
วิปปยุตจากสังโยชน์โดยปุเรชาตปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๓๑๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๒๒.สัญโญชนสัมปยุตตทุกะ ๗.ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์ เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์
โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาตะและวัตถุปุเรชาตะ
อารัมมณปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลยินดีเพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ
เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้น ราคะจึงเกิดขึ้น ฯลฯ โทมนัส
จึงเกิดขึ้น
วัตถุปุเรชาตะ ได้แก่ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์โดย
ปุเรชาตปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์
และที่วิปปยุตจากสังโยชน์โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาตะ
และวัตถุปุเรชาตะ
อารัมมณปุเรชาตะ ได้แก่ เพราะปรารภจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ขันธ์ และ
โมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะจึงเกิดขึ้น
วัตถุปุเรชาตะ ได้แก่ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์และโมหะที่สหรคตด้วย
อุทธัจจะโดยปุเรชาตปัจจัย (๓)

ปัจฉาชาตปัจจัย
[๘๑] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุตจาก
สังโยชน์โดยปัจฉาชาตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์ซึ่งเกิดภายหลังเป็น
ปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อนโดยปัจฉาชาตปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์
โดยปัจฉาชาตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์และโมหะที่วิปปยุตจากสังโยชน์ซึ่งเกิดภายหลัง
เป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อนโดยปัจฉาชาตปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์และที่วิปปยุตจากสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาว-
ธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์โดยปัจฉาชาตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์และโมหะที่สหรคตด้วย
อุทธัจจะซึ่งเกิดภายหลังเป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อนโดยปัจฉาชาตปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๓๑๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๒๒.สัญโญชนสัมปยุตตทุกะ ๗.ปัญหาวาร
อาเสวนปัจจัย
[๘๒] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุต
ด้วยสังโยชน์โดยอาเสวนปัจจัย มี ๙ วาระ (อาวัชชนจิตและวุฏฐานะไม่มี)

กัมมปัจจัย
[๘๓] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุต
ด้วยสังโยชน์โดยกัมมปัจจัย ได้แก่ เจตนาที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่ขันธ์
ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์โดยกัมมปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์
โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและนานาขณิกะ
สหชาตะ ได้แก่ เจตนาที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป
โดยกัมมปัจจัย เจตนาที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเป็นปัจจัยแก่โมหะและจิตตสมุฏฐานรูป
โดยกัมมปัจจัย
นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็น
วิบากและกฏัตตารูปโดยกัมมปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์
และที่วิปปยุตจากสังโยชน์โดยกัมมปัจจัย ได้แก่ เจตนาที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์เป็น
ปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดยกัมมปัจจัย เจตนาที่สหรคตด้วย
อุทธัจจะเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ โมหะ และจิตตสมุฏฐานรูปโดยกัมมปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์
โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและนานาขณิกะ
สหชาตะ ได้แก่ เจตนาที่วิปปยุตจากสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และ
จิตตสมุฏฐานรูปโดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่วิปปยุตจากสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นวิบากและ
กฏัตตารูปโดยกัมมปัจจัย

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๓๑๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๒๒.สัญโญชนสัมปยุตตทุกะ ๗.ปัญหาวาร
วิปากปัจจัย
[๘๔] สภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุตจาก
สังโยชน์โดยวิปากปัจจัย มี ๑ วาระ

อาหารปัจจัยเป็นต้น
[๘๕] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วย
สังโยชน์โดยอาหารปัจจัย มี ๔ วาระ เป็นปัจจัยโดยอินทรียปัจจัย มี ๔ วาระ
เป็นปัจจัยโดยฌานปัจจัย มี ๔ วาระ เป็นปัจจัยโดยมัคคปัจจัย มี ๔ วาระ
เป็นปัจจัยโดยสัมปยุตตปัจจัย มี ๖ วาระ

วิปปยุตตปัจจัย
[๘๖] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุตจาก
สังโยชน์โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปัจฉาชาตะ (ย่อ) (๑)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์
โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ สหชาตะ ปุเรชาตะ และปัจฉาชาตะ (ย่อ) (๑)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์
โดยวิปปยุตตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาตะ ได้แก่ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่
ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์โดยวิปปยุตตปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์
และที่วิปปยุตจากสังโยชน์โดยวิปปยุตตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาตะ ได้แก่
หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์และโมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะโดยวิปปยุตตปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์และที่วิปปยุตจากสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะ
และปัจฉาชาตะ (ย่อ) (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๓๑๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๒๒.สัญโญชนสัมปยุตตทุกะ ๗.ปัญหาวาร
อัตถิปัจจัยเป็นต้น
[๘๗] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุต
ด้วยสังโยชน์โดยอัตถิปัจจัย มี ๑ วาระ (เหมือนกับปฏิจจวาร) (๑)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์
โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปัจฉาชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดย
อัตถิปัจจัย ขันธ์ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเป็นปัจจัยแก่โมหะและจิตตสมุฏฐานรูปโดย
อัตถิปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อน
โดยอัตถิปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์
และที่วิปปยุตจากสังโยชน์โดยอัตถิปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์เป็น
ปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปโดยอัตถิปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ ๑
ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โมหะ และจิตตสมุฏฐานรูปโดยอัตถิ-
ปัจจัย ฯลฯ (๓)
[๘๘] สภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุตจาก
สังโยชน์โดยอัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาตะ ปุเรชาตะ ปัจฉาชาตะ อาหาระ
และอินทรียะ (ย่อ พึงขยายให้พิสดาร) (๑)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์
โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปุเรชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ โมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์โดย
อัตถิปัจจัย
ปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลยินดีเพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ เพราะ
ปรารภความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้น ราคะจึงเกิดขึ้น ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น
หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์โดยอัตถิปัจจัย (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๓๑๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๒๒.สัญโญชนสัมปยุตตทุกะ ๗.ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์
และที่วิปปยุตจากสังโยชน์โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปุเรชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ โมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และ
จิตตสมุฏฐานรูปโดยอัตถิปัจจัย
ปุเรชาตะ ได้แก่ เพราะปรารภจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ขันธ์และโมหะที่
สหรคตด้วยอุทธัจจะจึงเกิดขึ้น หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์และโมหะที่สหรคตด้วย
อุทธัจจะโดยอัตถิปัจจัย (๓)
[๘๙] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์และที่วิปปยุตจากสังโยชน์เป็นปัจจัย
แก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะ
และปุเรชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์และหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่
ขันธ์ ๓ โดยอัตถิปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ ๑ และโมหะที่สหรคตด้วย
อุทธัจจะเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัตถิปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์และที่วิปปยุตจากสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์โดยอัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาตะ ปุเรชาตะ
ปัจฉาชาตะ อาหาระ และอินทรียะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์และโมหะที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์และมหาภูตรูปเป็น
ปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดยอัตถิปัจจัย ขันธ์และโมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเป็น
ปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะและหทัยวัตถุ
เป็นปัจจัยแก่โมหะโดยอัตถิปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์และโมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเป็นปัจจัยแก่กายนี้
ที่เกิดก่อนโดยอัตถิปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์และกวฬิงการาหารเป็นปัจจัย
แก่กายนี้โดยอัตถิปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์และรูปชีวิตินทรีย์เป็นปัจจัย
แก่กฏัตตารูปโดยอัตถิปัจจัย (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๓๑๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๒๒.สัญโญชนสัมปยุตตทุกะ ๗.ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์และที่วิปปยุตจากสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์และที่วิปปยุตจากสังโยชน์โดยอัตถิปัจจัย มี ๒
อย่าง คือ สหชาตะและปุเรชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ ๑ และโมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓
และจิตตสมุฏฐานรูปโดยอัตถิปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะและหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่
ขันธ์ ๓ และโมหะโดยอัตถิปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ เป็นปัจจัยโดยนัตถิปัจจัย
เป็นปัจจัยโดยวิคตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอวิคตปัจจัย (๓)

๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๙๐] เหตุปัจจัย มี ๖ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๙ วาระ
อธิปติปัจจัย มี ๕ วาระ
อนันตรปัจจัย มี ๙ วาระ
สมนันตรปัจจัย มี ๙ วาระ
สหชาตปัจจัย มี ๙ วาระ
อัญญมัญญปัจจัย มี ๖ วาระ
นิสสยปัจจัย มี ๙ วาระ
อุปนิสสยปัจจัย มี ๙ วาระ
ปุเรชาตปัจจัย มี ๓ วาระ
ปัจฉาชาตปัจจัย มี ๓ วาระ
อาเสวนปัจจัย มี ๙ วาระ
กัมมปัจจัย มี ๔ วาระ
วิปากปัจจัย มี ๑ วาระ
อาหารปัจจัย มี ๔ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๓๑๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๒๒.สัญโญชนสัมปยุตตทุกะ ๗.ปัญหาวาร

อินทรียปัจจัย มี ๔ วาระ
ฌานปัจจัย มี ๔ วาระ
มัคคปัจจัย มี ๔ วาระ
สัมปยุตตปัจจัย มี ๖ วาระ
วิปปยุตตปัจจัย มี ๕ วาระ
อัตถิปัจจัย มี ๙ วาระ
นัตถิปัจจัย มี ๙ วาระ
วิคตปัจจัย มี ๙ วาระ
อวิคตปัจจัย มี ๙ วาระ

อนุโลม จบ

๒. ปัจจนียุทธาร
[๙๑] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุต
ด้วยสังโยชน์โดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย และอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์
โดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย ปัจฉาชาตปัจจัย และกัมม-
ปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์
และที่วิปปยุตจากสังโยชน์โดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย และอุปนิสสย-
ปัจจัย (๓)
[๙๒] สภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุต
จากสังโยชน์โดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย ปุเรชาตปัจจัย
ปัจฉาชาตปัจจัย กัมมปัจจัย อาหารปัจจัย และอินทรียปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วย
สังโยชน์โดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และปุเรชาตปัจจัย (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๓๑๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๒๒.สัญโญชนสัมปยุตตทุกะ ๗.ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์
และที่วิปปยุตจากสังโยชน์โดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และ
ปุเรชาตปัจจัย (๓)
[๙๓] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์และที่วิปปยุตจากสังโยชน์เป็นปัจจัย
แก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์โดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย และ
อุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์และที่วิปปยุตจากสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากสังโยชน์โดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย
และปัจฉาชาตปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์และที่วิปปยุตจากสังโยชน์เป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์และที่วิปปยุตจากสังโยชน์โดยอารัมมณปัจจัย
สหชาตปัจจัยและอุปนิสสยปัจจัย (๓)

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒. สังขยาวาร

[๙๔] นเหตุปัจจัย มี ๙ วาระ
นอารัมมณปัจจัย มี ๙ วาระ

(ทุกปัจจัยมีปัจจัยละ ๙ วาระ)

โนวิคตปัจจัย มี ๙ วาระ
โนอวิคตปัจจัย มี ๙ วาระ

๓. ปัจจยานุโลมปัจจนียะ
เหตุทุกนัย

[๙๕] นอารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๖ วาระ ฯลฯ
นสมนันตรปัจจัย ” มี ๖ วาระ
นอัญญมัญญปัจจัย ” มี ๒ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๓๑๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๒๓.สัญโญชนสัญโญชนิยทุกะ ๑.ปฏิจจวาร

นอุปนิสสยปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๖ วาระ ฯลฯ
นมัคคปัจจัย ” มี ๖ วาระ
นสัมปยุตตปัจจัย ” มี ๒ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย ” มี ๓ วาระ
โนนัตถิปัจจัย ” มี ๖ วาระ
โนวิคตปัจจัย ” มี ๖ วาระ

๔. ปัจจยปัจจนียานุโลม

[๙๖] อารัมมณปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๙ วาระ
อธิปติปัจจัย ” มี ๕ วาระ

(พึงนับบทที่เป็นอนุโลม)
อวิคตปัจจัย ” มี ๙ วาระ
สัญโญชนสัมปยุตตทุกะ จบ

๒๓. สัญโญชนสัญโญชนิยทุกะ ๑. ปฏิจจวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๙๗] สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์และเป็นอารมณ์ของสังโยชน์อาศัยสภาวธรรมที่
เป็นสังโยชน์และเป็นอารมณ์ของสังโยชน์เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ทิฏฐิสังโยชน์
และอวิชชาสังโยชน์อาศัยกามราคสังโยชน์เกิดขึ้น (พึงผูกเป็นจักกนัย) (๑)
สภาวธรรมที่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์อาศัยสภาวธรรมที่เป็น
สังโยชน์และเป็นอารมณ์ของสังโยชน์เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ สัมปยุตตขันธ์
และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยสังโยชน์เกิดขึ้น (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๓๒๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๒๓.สัญโญชนสัญโญชนิยทุกะ ๑.ปฏิจจวาร
สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์เป็นอารมณ์ของสังโยชน์และที่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์
แต่ไม่เป็นสังโยชน์อาศัยสภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์และเป็นอารมณ์ของสังโยชน์เกิดขึ้น
เพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ทิฏฐิสังโยชน์ อวิชชาสังโยชน์ สัมปยุตตขันธ์ และจิตต-
สมุฏฐานรูปอาศัยกามราคสังโยชน์เกิดขึ้น (พึงผูกเป็นจักกนัย) (๓)
[๙๘] สภาวธรรมที่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์อาศัยสภาวธรรม
ที่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓
และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์
เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (พึงเพิ่มข้อความจน
ถึงมหาภูตรูป) (๑)
สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์และเป็นอารมณ์ของสังโยชน์อาศัยสภาวธรรมที่เป็น
อารมณ์ของสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ สังโยชน์อาศัย
ขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์เกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์เป็นอารมณ์ของสังโยชน์และที่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์
แต่ไม่เป็นสังโยชน์อาศัยสภาวธรรมที่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์เกิดขึ้น
เพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ สังโยชน์และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็น
อารมณ์ของสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๓)
[๙๙] สภาวธรรมที่เป็นสังโยชน์และเป็นอารมณ์ของสังโยชน์อาศัยสภาวธรรม
ที่เป็นสังโยชน์เป็นอารมณ์ของสังโยชน์และที่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์
เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ทิฏฐิสังโยชน์ และอวิชชาสังโยชน์อาศัยกามราค-
สังโยชน์และสัมปยุตตขันธ์เกิดขึ้น (พึงผูกเป็นจักกนัย) (๑)
สภาวธรรมที่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์อาศัยสภาวธรรมที่
เป็นสังโยชน์เป็นอารมณ์ของสังโยชน์และที่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์
เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็น
อารมณ์ของสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์และอาศัยสังโยชน์เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒
ฯลฯ (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า :๓๒๑ }


>>>>> หน้าต่อไป >>>>>





eXTReMe Tracker