ค้นว่าอยู่เล่มใด แล้วกด [ctrl]+f หรือใช้คำสั่งของเครื่องหาตำแหน่งในเล่มอีกทีนะครับ



จัดรูปหน้าใหม่
เพื่อความสะดวก และสวยงาม
(เฉพาะหน้าจอใหญ่ เช่น คอมพิวเตอร์)
กรุณาคลิก จัดรูปหน้าใหม่
เพื่อให้กรอบ
ค้นข้อความ ปรากฎที่ด้านซ้ายของหน้า

พระไตรปิฎกภาษาไทย
ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ๔๕ เล่ม (ปกสีฟ้า)
ทั้งออนไลน์และออฟไลน์
ที่มาของข้อมูล : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับ มจร.
MCUTRAI Version 1.0

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๕-๔ อภิธรรมปิฎกที่ ๐๒ วิภังค์

พระอภิธรรมปิฎก
วิภังค์
_____________
ขอนอบน้อมพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๖.ญาณวิภังค์] ๘. อัฏฐกนิทเทส
แม้ในอดีตกาล ความรู้ว่า เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี เมื่อชาติไม่มี
ก็รู้ว่าชรามรณะไม่มี
แม้ในอนาคตกาล ความรู้ว่า เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี เมื่อชาติไม่
มี ก็รู้ว่าชรามรณะไม่มี ความรู้ว่า แม้ธัมมฐิติญาณของบุคคลนั้นก็มีความสิ้นไปเป็น
ธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา มีความคลายไปเป็นธรรมดา มีความดับไปเป็น
ธรรมดา ความรู้ว่า เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี ฯลฯ ความรู้ว่า เพราะอุปาทาน
เป็นปัจจัย ภพจึงมี ฯลฯ ความรู้ว่า เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี ฯลฯ
ความรู้ว่า เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี ฯลฯ ความรู้ว่า เพราะผัสสะเป็น
ปัจจัย เวทนาจึงมี ฯลฯ ความรู้ว่า เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี ฯลฯ
ความรู้ว่า เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะจึงมี ฯลฯ ความรู้ว่า เพราะวิญญาณ
เป็นปัจจัย นามรูปจึงมี ฯลฯ ความรู้ว่า เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี ฯลฯ
ความรู้ว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี เมื่ออวิชชาไม่มี ก็รู้ว่าสังขารไม่มี
แม้ในอดีตกาล ความรู้ว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี ความรู้ว่า
เมื่ออวิชชาไม่มี สังขารก็ไม่มี
แม้ในอนาคตกาล ความรู้ว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี ความรู้ว่า
เมื่ออวิชชาไม่มี ก็รู้ว่าสังขารไม่มี ความรู้ว่า แม้ธัมมฐิติญาณของบุคคลนั้นก็มีความ
สิ้นไปเป็นธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา มีความคลายไปเป็นธรรมดา มี
ความดับไปเป็นธรรมดา เหล่านี้ชื่อว่าญาณวัตถุ ๗๗๑
ญาณวัตถุหมวดละ ๗ มีด้วยประการฉะนี้ (๑)

๘. อัฏฐกนิทเทส
[๘๐๗] บรรดาญาณวัตถุหมวดละ ๘ นั้น ปัญญาในมรรค ๔ ผล ๔ เป็นไฉน
ปัญญาในมรรค ๔ ผล ๔ คือ

เชิงอรรถ :
๑ สํ.นิ. ๑๖/๓๔/๕๘, อภิ.วิ.อ. ๘๐๖/๔๕๒

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๑๘ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๖.ญาณวิภังค์] ๑๐.ทสกนิทเทส

๑. ปัญญาในโสดาปัตติมรรค ๒. ปัญญาในโสดาปัตติผล
๓. ปัญญาในสกทาคามิมรรค ๔. ปัญญาในสกทาคามิผล
๕. ปัญญาในอนาคามิมรรค ๖. ปัญญาในอนาคามิผล
๗. ปัญญาในอรหัตตมรรค ๘. ปัญญาในอรหัตตผล

เหล่านี้ชื่อว่าปัญญาในมรรค ๔ ผล ๔
ญาณวัตถุหมวดละ ๘ มีด้วยประการฉะนี้ (๑)

๙. นวกนิทเทส
[๘๐๘] บรรดาญาณวัตถุหมวดละ ๙ นั้น ปัญญาในอนุปุพพวิหารสมาบัติ
๙ เป็นไฉน
ปัญญาในอนุปุพพวิหารสมาบัติ ๙ คือ

๑. ปัญญาในปฐมฌานสมาบัติ ๒. ปัญญาในทุติยฌานสมาบัติ
๓. ปัญญาในตติยฌานสมาบัติ ๔. ปัญญาในจตุตถฌานสมาบัติ
๕. ปัญญาในอากาสานัญจายตนสมาบัติ ๖. ปัญญาในวิญญาณัญจายตนสมาบัติ
๗. ปัญญาในอากิญจัญญายตนสมาบัติ ๘. ปัญญาในเนวสัญญานาสัญญาย
ตนสมาบัติ

๙. ปัจจเวกขณญาณของโยคาวจรบุคคลผู้ออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ
เหล่านี้ชื่อว่าปัญญาในอนุปุพพวิหารสมาบัติ ๙
ญาณวัตถุหมวดละ ๙ มีด้วยประการฉะนี้ (๑)

๑๐. ทสกนิทเทส
๑. ฐานาฐานญาณ
(ปรีชาหยั่งรู้ฐานะและอฐานะ)๑
[๘๐๙] บรรดาญาณวัตถุหมวดละ ๑๐ นั้น พระตถาคตทรงทราบธรรมที่
เป็นฐานะโดยความเป็นฐานะและธรรมที่ไม่เป็นฐานะโดยความไม่เป็นฐานะ
ตามความเป็นจริง เป็นไฉน

เชิงอรรถ :
๑ คำว่า “ฐานะ” หมายถึงสิ่งที่เป็นไปได้ คือทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วเป็นต้น “อฐานะ” หมายถึงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
คือทำดีได้ชั่ว ทำชั่วได้ดีเป็นต้น (อภิ.วิ.อ. ๘๐๙/๔๕๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๑๙ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๖.ญาณวิภังค์] ๑๐.ทสกนิทเทส
พระตถาคตในโลกนี้ทรงทราบว่า ข้อที่บุคคลผู้โสดาบันถึงพร้อมด้วยมัคค-
ทิฏฐิ๑ จะพึงยึดถือสังขารอะไร ๆ โดยความเป็นสภาวะที่เที่ยง นี้ไม่ใช่ฐานะไม่ใช่
โอกาสที่จะมีได้ พระองค์ทรงทราบว่า ข้อที่ปุถุชนจะพึงยึดถือสังขารอะไร ๆ โดย
ความเป็นสภาวะที่เที่ยง นี้แลเป็นฐานะที่มีได้เป็นได้
พระตถาคตในโลกนี้ทรงทราบว่า ข้อที่บุคคลผู้โสดาบันถึงพร้อมด้วยมัคคทิฏฐิ
จะพึงยึดถือสังขารอะไร ๆ โดยความเป็นสภาวะที่เป็นสุข นี้ไม่ใช่ฐานะไม่ใช่โอกาสที่
จะมีได้ พระองค์ทรงทราบว่า ข้อที่ปุถุชนจะพึงยึดถือสังขารอะไร ๆ โดยความเป็น
สภาวะที่เป็นสุข นี้แลเป็นฐานะที่มีได้เป็นได้
พระตถาคตในโลกนี้ทรงทราบว่า ข้อที่บุคคลผู้โสดาบันถึงพร้อมด้วยมัคคทิฏฐิ
จะพึงยึดถือธรรมอะไร ๆ โดยความเป็นสภาวะที่เป็นตัวตน นี้ไม่ใช่ฐานะไม่ใช่โอกาส
ที่จะมีได้ พระองค์ทรงทราบว่า ข้อที่ปุถุชนจะพึงยึดถือธรรมอะไร ๆ โดยความเป็น
สภาวะที่เป็นตัวตน นี้แลเป็นฐานะที่มีได้เป็นได้
พระตถาคตในโลกนี้ทรงทราบว่า ข้อที่บุคคลผู้โสดาบันถึงพร้อมด้วยมัคคทิฏฐิ
จะพึงฆ่ามารดา นี้ไม่ใช่ฐานะไม่ใช่โอกาสที่จะมีได้ พระองค์ทรงทราบว่า ข้อที่ปุถุชน
จะพึงฆ่ามารดา นี้แลเป็นฐานะที่มีได้เป็นได้
พระตถาคตในโลกนี้ทรงทราบว่า ข้อที่บุคคลผู้โสดาบันถึงพร้อมด้วยมัคคทิฏฐิ
จะพึงฆ่าบิดา ฯลฯ ฆ่าพระอรหันต์ ฯลฯ มีจิตคิดประทุษร้ายทำพระโลหิตของ
พระตถาคตให้ห้อขึ้น ฯลฯ ทำสงฆ์ให้แตกกัน ฯลฯ นับถือศาสดาอื่น ฯลฯ
บังเกิดในภพที่ ๘๑ นี้ไม่ใช่ฐานะไม่ใช่โอกาสที่จะมีได้ พระองค์ทรงทราบว่า ข้อที่
ปุถุชนจะพึงบังเกิดในภพที่ ๘ นี้แลเป็นฐานะที่มีได้เป็นได้
พระตถาคตในโลกนี้ทรงทราบว่า ข้อที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒ พระ
องค์จะพึงอุบัติขึ้นพร้อม ๆ กันในโลกธาตุอันเดียวกัน นี้ไม่ใช่ฐานะไม่ใช่โอกาสที่จะ
มีได้ พระองค์ทรงทราบว่า ข้อที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะพึงอุบัติขึ้นพระองค์
เดียวในโลกธาตุเดียว นี้แลเป็นฐานะที่มีได้เป็นได้

เชิงอรรถ :
๑ หมายถึงพระอริยสาวกผู้โสดาบัน (อภิ.วิ.อ. ๘๐๙/๔๕๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๒๐ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๖.ญาณวิภังค์] ๑๐.ทสกนิทเทส
พระตถาคตในโลกนี้ทรงทราบว่า ข้อที่พระเจ้าจักรพรรดิ ๒ องค์จะพึงอุบัติขึ้น
พร้อม ๆ กันในโลกธาตุอันเดียวกัน นี้ไม่ใช่ฐานะไม่ใช่โอกาสที่จะมีได้ พระองค์ทรง
ทราบว่า ข้อที่พระเจ้าจักรพรรดิจะพึงอุบัติขึ้นพระองค์เดียวในโลกธาตุเดียว นี้แล
เป็นฐานะที่มีได้เป็นได้
พระตถาคตในโลกนี้ทรงทราบว่า ข้อที่สตรีจะพึงเป็นพระอรหันตสัมมา-
สัมพุทธเจ้า นี้ไม่ใช่ฐานะไม่ใช่โอกาสที่จะมีได้ พระองค์ทรงทราบว่า ข้อที่บุรุษจะ
พึงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ นี้แลเป็นฐานะที่มีได้เป็นได้
พระตถาคตในโลกนี้ทรงทราบว่า ข้อที่สตรีจะพึงเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ นี้ไม่
ใช่ฐานะไม่ใช่โอกาสที่จะมีได้ พระองค์ทรงทราบว่า ข้อที่บุรุษจะพึงเป็นพระเจ้า
จักรพรรดิ นี้แลเป็นฐานะที่มีได้เป็นได้
พระตถาคตในโลกนี้ทรงทราบว่า ข้อที่สตรีจะพึงเกิดเป็นพระอินทร์ เป็นมาร
เป็นพรหม นี้ไม่ใช่ฐานะไม่ใช่โอกาสที่จะมีได้ พระองค์ทรงทราบว่า ข้อที่บุรุษจะพึง
เกิดเป็นพระอินทร์ เป็นมาร เป็นพรหม นี้แลเป็นฐานะที่มีได้เป็นได้
พระตถาคตในโลกนี้ทรงทราบว่า ข้อที่กายทุจริตจะพึงเกิดผลที่น่าปรารถนา
น่าใคร่ น่าพอใจ นี้ไม่ใช่ฐานะไม่ใช่โอกาสที่จะมีได้ พระองค์ทรงทราบว่า ข้อที่
กายทุจริตจะพึงเกิดผลที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ นี้แลเป็นฐานะที่มี
ได้เป็นได้
พระตถาคตในโลกนี้ทรงทราบว่า ข้อที่วจีทุจริต ฯลฯ มโนทุจริตจะพึงเกิด
ผลที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ นี้ไม่ใช่ฐานะไม่ใช่โอกาสที่จะมีได้ พระองค์
ทรงทราบว่า ข้อที่วจีทุจริต ฯลฯ มโนทุจริตจะพึงเกิดผลที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่
ไม่น่าพอใจ นี้แลเป็นฐานะที่มีได้เป็นได้
พระตถาคตในโลกนี้ทรงทราบว่า ข้อที่กายสุจริตจะพึงเกิดผลที่ไม่น่าปรารถนา
ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ นี้ไม่ใช่ฐานะไม่ใช่โอกาสที่จะมีได้ พระองค์ทรงทราบว่า ข้อ
ที่กายสุจริตจะพึงเกิดผลที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ นี้แลเป็นฐานะที่มีได้
เป็นได้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๒๑ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๖.ญาณวิภังค์] ๑๐.ทสกนิทเทส
พระตถาคตในโลกนี้ทรงทราบว่า ข้อที่วจีสุจริต ฯลฯ มโนสุจริตจะพึงเกิดผล
ที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ นี้ไม่ใช่ฐานะไม่ใช่โอกาสที่จะมีได้
พระองค์ทรงทราบว่า ข้อที่วจีสุจริต ฯลฯ มโนสุจริตจะพึงเกิดผลที่น่าปรารถนา
น่าใคร่ น่าพอใจ นี้แลเป็นฐานะที่มีได้เป็นได้
พระตถาคตในโลกนี้ทรงทราบว่า ข้อที่บุคคลผู้มีความพรั่งพร้อมด้วยกาย-
ทุจริต หลังจากตายแล้วจะพึงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพราะกายทุจริตนั้นเป็นเหตุ
เป็นปัจจัย นี้ไม่ใช่ฐานะไม่ใช่โอกาสที่จะมีได้ พระองค์ทรงทราบว่า ข้อที่บุคคลผู้มี
ความพรั่งพร้อมด้วยกายทุจริต หลังจากตายแล้วจะพึงเข้าถึงอบาย ทุคคติ วินิบาต
นรก เพราะกายทุจริตนั้นเป็นเหตุเป็นปัจจัย นี้แลเป็นฐานะที่มีได้เป็นได้
พระตถาคตในโลกนี้ทรงทราบว่า ข้อที่บุคคลผู้มีความพรั่งพร้อมด้วยวจีทุจริต
ฯลฯ บุคคลผู้มีความพรั่งพร้อมด้วยมโนทุจริต หลังจากตายแล้วจะพึงเข้าถึงสุคติ
โลกสวรรค์ เพราะวจีทุจริตและมโนทุจริตนั้นเป็นเหตุเป็นปัจจัย นี้ไม่ใช่ฐานะไม่ใช่
โอกาสที่จะมีได้ พระองค์ทรงทราบว่า ข้อที่บุคคลผู้มีความพรั่งพร้อมด้วยวจีทุจริต
ฯลฯ บุคคลผู้มีความพรั่งพร้อมด้วยมโนทุจริต หลังจากตายแล้วจะพึงเข้าถึงอบาย
ทุคคติ วินิบาต นรก เพราะวจีทุจริตและมโนทุจริตนั้นเป็นเหตุเป็นปัจจัย นี้แล
เป็นฐานะที่มีได้เป็นได้
พระตถาคตในโลกนี้ทรงทราบว่า ข้อที่บุคคลผู้มีความพรั่งพร้อมด้วยกายสุจริต
หลังจากตายแล้วจะพึงเข้าถึงอบาย ทุคคติ วินิบาต นรก เพราะกายสุจริตนั้น
เป็นเหตุเป็นปัจจัย นี้ไม่ใช่ฐานะไม่ใช่โอกาสที่จะมีได้ พระองค์ทรงทราบว่า ข้อที่
บุคคลผู้มีความ พรั่งพร้อมด้วยกายสุจริต หลังจากตายแล้วจะพึงเข้าถึงสุคติโลก
สวรรค์ เพราะกายสุจริตนั้นเป็นเหตุเป็นปัจจัย นี้แลเป็นฐานะที่มีได้เป็นได้
พระตถาคตในโลกนี้ทรงทราบว่า ข้อที่บุคคลผู้มีความพรั่งพร้อมด้วยวจีสุจริต
ฯลฯ บุคคลผู้มีความพรั่งพร้อมด้วยมโนสุจริต หลังจากตายแล้วจะพึงเข้าถึงอบาย
ทุคคติ วินิบาต นรก เพราะวจีสุจริตและมโนสุจริตนั้นเป็นเหตุเป็นปัจจัย นี้ไม่ใช่
ฐานะไม่ใช่โอกาสที่จะมีได้ พระองค์ทรงทราบว่า ข้อที่บุคคลผู้มีความพรั่งพร้อม
ด้วยวจีสุจริต ฯลฯ บุคคลผู้มีความพรั่งพร้อมด้วยมโนสุจริต หลังจากตายแล้วจะ
พึงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพราะวจีสุจริตและมโนสุจริตนั้นเป็นเหตุเป็นปัจจัย นี้แล
เป็นฐานะที่มีได้เป็นได้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๒๒ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๖.ญาณวิภังค์] ๑๐.ทสกนิทเทส
พระตถาคตในโลกนี้ทรงทราบว่า สภาวธรรมใด ๆ เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้
สภาวธรรมใด ๆ เกิดขึ้น สภาวธรรมนั้น ๆ เป็นฐานะ สภาวธรรมใด ๆ ไม่เป็น
เหตุไม่เป็นปัจจัยให้สภาวธรรมใด ๆ เกิดขึ้น สภาวธรรมนั้น ๆ ไม่เป็นฐานะ ปัญญา
กิริยาที่รู้ชัด ฯลฯ ความไม่หลง ความเลือกเฟ้นธรรม สัมมาทิฏฐิในสภาวธรรม
ที่เป็นฐานะและสภาวธรรมที่ไม่เป็นฐานะเหล่านั้น นี้ชื่อว่าพระตถาคตทรงทราบ
สภาวธรรมที่เป็นฐานะโดยความเป็นฐานะ และสภาวธรรมที่ไม่เป็นฐานะโดยความ
ไม่เป็นฐานะตามความเป็นจริง (๑)

๒. กัมมวิปากญาณ
(ปรีชาหยั่งรู้ผลของกรรม)
[๘๑๐] พระตถาคตทรงทราบผลของกรรมสมาทานที่เป็นอดีต อนาคต
และปัจจุบันตามความเป็นจริง โดยฐานะ โดยเหตุ เป็นไฉน
พระตถาคตในโลกนี้ทรงทราบว่า กรรมสมาทานที่เป็นบาปบางอย่างอันคติ-
สมบัติห้ามไว้จึงไม่ให้ผลก็มี กรรมสมาทานที่เป็นบาปบางอย่างอันอุปธิสมบัติห้ามไว้
จึงไม่ให้ผลก็มี กรรมสมาทานที่เป็นบาปบางอย่างอันกาลสมบัติห้ามไว้จึงไม่ให้ผลก็มี
กรรมสมาทานที่เป็นบาปบางอย่างอันปโยคสมบัติห้ามไว้จึงไม่ให้ผลก็มี
กรรมสมาทานที่เป็นบาปบางอย่างอาศัยคติวิบัติจึงให้ผลก็มี กรรมสมาทานที่
เป็นบาปบางอย่างอาศัยอุปธิวิบัติจึงให้ผลก็มี กรรมสมาทานที่เป็นบาปบางอย่างอาศัย
กาลวิบัติจึงให้ผลก็มี กรรมสมาทานที่เป็นบาปบางอย่างอาศัยปโยควิบัติจึงให้ผลก็มี
กรรมสมาทานที่เป็นบุญบางอย่างอันคติวิบัติห้ามไว้จึงไม่ให้ผลก็มี กรรม
สมาทานที่เป็นบุญบางอย่างอันอุปธิวิบัติห้ามไว้จึงไม่ให้ผลก็มี กรรมสมาทานที่เป็น
บุญบางอย่างอันกาลวิบัติห้ามไว้จึงไม่ให้ผลก็มี กรรมสมาทานที่เป็นบุญบางอย่าง
อันปโยควิบัติห้ามไว้จึงไม่ให้ผลก็มี
กรรมสมาทานที่เป็นบุญบางอย่างอาศัยคติสมบัติจึงให้ผลก็มี กรรมสมาทานที่
เป็นบุญบางอย่างอาศัยอุปธิสมบัติจึงให้ผลก็มี กรรมสมาทานที่เป็นบุญบางอย่างอาศัย
กาลสมบัติจึงให้ผลก็มี กรรมสมาทานที่เป็นบุญบางอย่างอาศัยปโยคสมบัติจึงให้ผลก็มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๒๓ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๖.ญาณวิภังค์] ๑๐.ทสกนิทเทส
ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ฯลฯ ความไม่หลงงมงาย ความเลือกเฟ้นธรรม สัมมา-
ทิฏฐิในกรรมสมาทานนั้น นี้ชื่อพระตถาคตทรงทราบวิบากของกรรมสมาทานที่เป็น
อดีต อนาคต และปัจจุบันตามความเป็นจริงโดยฐานะ โดยเหตุ (๒)

๓. สัพพัตถคามินีปฏิปทาญาณ
(ปรีชาหยั่งรู้ทางที่จะนำไปสู่ภูมิทั้งปวง)
[๘๑๑] พระตถาคตทรงทราบทางไปสู่ภูมิทั้งปวงตามความเป็นจริง เป็น
ไฉน
พระตถาคตในโลกนี้ทรงทราบว่า ทางนี้ ปฏิปทานี้ ให้ไปสู่นรก ทรงทราบว่า
ทางนี้ ปฏิปทานี้ ให้ไปสู่กำเนิดสัตว์เดรัจฉาน ทรงทราบว่า ทางนี้ ปฏิปทานี้ให้
ไปสู่วิสัยแห่งเปรต ทรงทราบว่า ทางนี้ ปฏิปทานี้ให้ไปสู่มนุษยโลก ทรงทราบว่า
ทางนี้ ปฏิปทานี้ให้ไปสู่เทวโลก ทรงทราบว่า ทางนี้ ปฏิปทานี้ให้ไปสู่นิพพาน
ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ฯลฯ ความไม่หลงงมงาย ความเลือกเฟ้นธรรม
สัมมาทิฏฐิในทางไปสู่ภูมิทั้งปวงนั้น นี้ชื่อว่าพระตถาคตทรงทราบทางไปสู่ภูมิทั้งปวง
ตามความเป็นจริง (๓)

๔. นานาธาตุญาณ
(ปรีชาหยั่งรู้สัตว์ที่มีธาตุแตกต่างกัน)
[๘๑๒] พระตถาคตทรงทราบโลกที่เป็นอเนกธาตุและนานาธาตุตาม
ความเป็นจริง เป็นไฉน
พระตถาคตในโลกนี้ทรงทราบความเป็นต่าง ๆ กันแห่งขันธ์ ทรงทราบความ
เป็น ต่าง ๆ กันแห่งอายตนะ ทรงทราบความเป็นต่าง ๆ กันแห่งธาตุ ทรงทราบ
ความเป็นต่าง ๆ กันแห่งโลกที่เป็นอเนกธาตุและที่เป็นนานาธาตุ
ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ฯลฯ ความไม่หลงงมงาย ความเลือกเฟ้นธรรม สัมมา-
ทิฏฐิในโลกที่เป็นอเนกธาตุและที่เป็นนานาธาตุนั้น นี้ชื่อว่าพระตถาคตทรงทราบโลก
ที่เป็นอเนกธาตุและที่เป็นนานาธาตุตามความเป็นจริง๑ (๔)

เชิงอรรถ :
๑ อภิ.วิ.อ. ๘๑๒/๔๙๑-๒

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๒๔ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๖.ญาณวิภังค์] ๑๐.ทสกนิทเทส
๕. นานาธิมุตติกญาณ
(ปรีชาหยั่งรู้สัตว์ที่มีอัธยาศัยแตกต่างกัน)
[๘๑๓] พระตถาคตทรงทราบความที่สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้มีอัธยาศัยต่าง ๆ
กันตามความเป็นจริง เป็นไฉน
พระตถาคตในโลกนี้ทรงทราบว่า สัตว์ทั้งหลายที่มีอัธยาศัยทรามก็มี สัตว์ทั้ง
หลายที่มีอัธยาศัยประณีตก็มี เหล่าสัตว์ที่มีอัธยาศัยทรามย่อมคบหาสมาคมเข้าไป
หาบ่อย ๆ ซึ่งเหล่าสัตว์ที่มีอัธยาศัยทราม เหล่าสัตว์ที่มีอัธยาศัยประณีตก็คบหา
สมาคมเข้าหาบ่อย ๆ ซึ่งเหล่าสัตว์ที่มีอัธยาศัยประณีต
แม้แต่ในอดีตกาล สัตว์ทั้งหลายที่มีอัธยาศัยทรามได้คบหาสมาคมเข้าหา
บ่อย ๆ ซึ่งเหล่าสัตว์ผู้มีอัธยาศัยทรามมาแล้ว สัตว์ทั้งหลายที่มีอัธยาศัยประณีตก็
ได้คบหาสมาคมเข้าหาบ่อย ๆ ซึ่งเหล่าสัตว์ที่มีอัธยาศัยประณีตมาแล้ว
แม้ในอนาคตกาล สัตว์ทั้งหลายที่มีอัธยาศัยทราม ก็จักคบหาสมาคมเข้าหา
บ่อย ๆ ซึ่งเหล่าสัตว์ที่มีอัธยาศัยทราม สัตว์ทั้งหลายที่มีอัธยาศัยประณีตก็จักคบหา
สมาคมเข้าหาบ่อย ๆ ซึ่งเหล่าสัตว์ที่มีอัธยาศัยประณีต
ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ฯลฯ ความไม่หลงงมงาย ความเลือกเฟ้นธรรม
สัมมาทิฏฐิในความที่สัตว์ทั้งหลายมีอัธยาศัยต่าง ๆ กันนั้น นี้ชื่อว่าพระตถาคตทรง
ทราบความที่สัตว์ทั้งหลายมีอัธยาศัยต่าง ๆ กันตามความเป็นจริง (๕)

๖. อินทริยปโรปริยัตติญาณ
(ปรีชาหยั่งรู้สัตว์ที่มีอินทรีย์แก่กล้า และไม่แก่กล้า)
[๘๑๔] (๖) พระตถาคตทรงทราบความแก่กล้าและไม่แก่กล้าแห่ง
อินทรีย์ของสัตว์เหล่าอื่นของบุคคลเหล่าอื่นตามความเป็นจริง เป็นไฉน
พระตถาคตในโลกนี้ทรงทราบอาสยะ อนุสัย จริต อธิมุตติ๑ ของสัตว์ทั้งหลาย
ทรงทราบสัตว์ทั้งหลายผู้มีธุลีคือกิเลสน้อย มีธุลีคือกิเลสมาก มีอินทรีย์แก่กล้า มี

เชิงอรรถ :
๑ อาสยะ ได้แก่ ทิฏฐิและยถาภูตญาณอันเป็นที่อาศัยอยู่ของเหล่าสัตว์
อนุสัย ได้แก่ กิเลสที่นอนเนื่องซึ่งยังละไม่ได้
จริต ได้แก่ กุศลและอกุศลที่กายกรรมเป็นต้นปรุงแต่ง
อธิมุตติ ได้แก่ อัธยาศัยของเหล่าสัตว์ (อภิ.วิ.อ. ๘๑๔/๔๙๓-๔)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๒๕ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๖.ญาณวิภังค์] ๑๐.ทสกนิทเทส
อินทรีย์อ่อน มีอาการดี มีอาการชั่ว แนะนำให้เข้าใจได้ง่าย แนะนำให้เข้าใจได้ยาก
ควรบรรลุธรรมและไม่ควรบรรลุธรรม
[๘๑๕] อาสยะของสัตว์ทั้งหลาย เป็นไฉน
ความเห็นว่า โลกเที่ยง โลกไม่เที่ยง โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด ชีวะเป็น
อย่างหนึ่ง สรีระก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ชีวะกับสรีระเป็นอย่างเดียวกัน ชีวะกับสรีระเป็น
คนละอย่างกัน หลังจากตายแล้วตถาคตเกิดอีก หลังจากตายแล้วตถาคตไม่เกิดอีก
หลังจากตายแล้วตถาคตเกิดอีกก็ใช่ จะว่าไม่เกิดอีกก็ใช่ หลังจากตายแล้วตถาคต
เกิดอีกก็มิใช่ จะว่าไม่เกิดอีกก็มิใช่ สัตว์ทั้งหลายผู้อาศัยภวทิฏฐิหรือวิภวทิฏฐิดัง
กล่าวมานี้ หรือสัตว์ทั้งหลายผู้ไม่เข้าไปอาศัยที่สุดทั้ง ๒ นี้ ได้อนุโลมิกขันติ๑ ใน
สภาวธรรมทั้งหลายที่เป็นปัจจัยของกันและกันและอาศัยกันและกันเกิดขึ้นก็มี ญาณ
รู้ตามความเป็นจริง๒ นี้ชื่อว่าอาสยะของสัตว์ทั้งหลาย
[๘๑๖] อนุสัยของสัตว์ทั้งหลาย เป็นไฉน
อนุสัย ๗ คือ

๑. กามราคานุสัย (อนุสัยคือกามราคะ) ๒. ปฏิฆานุสัย (อนุสัยคือปฏิฆะ)
๓. มานานุสัย (อนุสัยคือมานะ) ๔. ทิฏฐานุสัย (อนุสัยคือทิฏฐิ)
๕. วิจิกิจฉานุสัย (อนุสัยคือวิจิกิจฉา) ๖. ภวราคานุสัย (อนุสัยคือภวราคะ)
๗. อวิชชานุสัย (อนุสัยคืออวิชชา)

ราคานุสัยของสัตว์ทั้งหลายย่อมนอนเนื่องอยู่ในปิยรูปสาตรูป๓ ในโลก ปฏิฆานุสัย
ของสัตว์ทั้งหลายย่อมนอนเนื่องอยู่ในอัปปิยรูปอสาตรูปในโลก อวิชชาตกไปใน
สภาวธรรมทั้ง ๒ นี้ ด้วยอาการอย่างนี้ มานะ ทิฏฐิ และวิจิกิจฉา พึงเห็นว่าตั้ง
อยู่ในฐานะแห่งเดียวกันกับอวิชชานั้น นี้ชื่อว่าอนุสัยของสัตว์ทั้งหลาย

เชิงอรรถ :
๑ อนุโลมขันติ ได้แก่ วิปัสสนาญาณ (อภิ.วิ.อ. ๘๑๕/๔๙๔)
๒ ญาณรู้ตามความเป็นจริง ได้แก่ มรรคญาณ (อภิ.วิ.อ. ๘๑๕/๔๙๔)
๓ สภาวะที่น่ารัก น่าชื่นใจ มุ่งเอาส่วนที่เป็นอิฏฐารมณ์ ซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่งตัณหา (อภิ.วิ.อ. ๘๑๖/๔๙๕)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๒๖ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๖.ญาณวิภังค์] ๑๐.ทสกนิทเทส
[๘๑๗] จริตของสัตว์ทั้งหลาย เป็นไฉน
ปุญญาภิสังขาร (สภาพที่ปรุงแต่งกรรมฝ่ายดี) อปุญญาภิสังขาร (สภาพที่
ปรุงแต่งกรรมฝ่ายชั่ว) อาเนญชาภิสังขาร (สภาพที่ปรุงแต่งภพอันมั่นคง) ที่
เป็นกามาวจรภูมิ หรือที่เป็นรูปาวจรภูมิและอรูปาวจรภูมิ นี้ชื่อว่าจริตของสัตว์
ทั้งหลาย
[๘๑๘] อัธยาศัยของสัตว์ทั้งหลาย เป็นไฉน
สัตว์ทั้งหลายที่มีอัธยาศัยทรามก็มี สัตว์ทั้งหลายที่มีอัธยาศัยประณีตก็มี
เหล่าสัตว์ที่มีอัธยาศัยทรามย่อมคบหาสมาคมเข้าไปหาเหล่าสัตว์ที่มีอัธยาศัยทราม
เหล่าสัตว์ที่มีอัธยาศัยประณีตก็ย่อมคบหาสมาคมเข้าไปหาเหล่าสัตว์ที่มีอัธยาศัยประณีต
แม้ในอดีตกาล สัตว์ทั้งหลายที่มีอัธยาศัยทรามก็ได้คบหาสมาคมเข้าไปหา
เหล่าสัตว์ที่มีอัธยาศัยทรามมาแล้ว สัตว์ทั้งหลายที่มีอัธยาศัยประณีตก็ได้คบหา
สมาคมเข้าไปหาเหล่าสัตว์ที่มีอัธยาศัยประณีตมาแล้ว
แม้ในอนาคตกาล สัตว์ทั้งหลายที่มีอัธยาศัยทรามก็จักคบหาสมาคมเข้าไปหา
เหล่าสัตว์ที่มีอัธยาศัยทราม สัตว์ทั้งหลายที่มีอัธยาศัยประณีตก็จักคบหาสมาคม
เข้าไปหาเหล่าสัตว์ที่มีอัธยาศัยประณีต นี้ชื่อว่าอัธยาศัยของสัตว์ทั้งหลาย
[๘๑๙] สัตว์ทั้งหลายที่มีธุลีคือกิเลสในปัญญาจักษุมาก เหล่านั้นเป็นไฉน
กิเลสวัตถุ ๑๐ คือ

๑. โลภะ (ความอยากได้) ๒. โทสะ (ความคิดประทุษร้าย)
๓. โมหะ (ความหลง) ๔. มานะ (ความถือตัว)
๕. ทิฏฐิ (ความเห็นผิด) ๖. วิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัย)
๗. ถีนะ (ความท้อแท้) ๘. อุทธัจจะ (ความฟุ้งซ่าน)
๙. อหิริกะ (ความไม่ละอาย) ๑๐. อโนตตัปปะ (ความไม่เกรงกลัว)

กิเลสวัตถุ ๑๐ เหล่านี้อันสัตว์เหล่าใดส้องเสพ เจริญ ทำให้มากเพิ่มพูนขึ้นแล้ว
สัตว์เหล่านี้นั้นชื่อว่าผู้มีธุลีคือกิเลสในปัญญาจักษุมาก

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๒๗ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๖.ญาณวิภังค์] ๑๐.ทสกนิทเทส
[๘๒๐] สัตว์ทั้งหลายที่มีธุลีคือกิเลสในปัญญาจักษุน้อย เหล่านั้นเป็นไฉน
กิเลสวัตถุ ๑๐ เหล่านี้สัตว์เหล่าใดไม่ส้องเสพ ไม่เจริญ ไม่ทำให้มาก ไม่
เพิ่มพูนขึ้นแล้ว สัตว์เหล่านี้นั้นชื่อว่ามีธุลีคือกิเลสในปัญญาจักษุน้อย
[๘๒๑] สัตว์ทั้งหลายที่มีอินทรีย์อ่อน เหล่านั้นเป็นไฉน
อินทรีย์ ๕๑ คือ
๑. สัทธินทรีย์ (อินทรีย์คือศรัทธา) ๒. วิริยินทรีย์ (อินทรีย์คือวิริยะ)
๓. สตินทรีย์ (อินทรีย์คือสติ) ๔. สมาธินทรีย์ (อินทรีย์คือสมาธิ)
๕. ปัญญินทรีย์ (อินทรีย์คือปัญญา)
อินทรีย์ ๕ เหล่านี้อันสัตว์เหล่าใดไม่ส้องเสพ ไม่เจริญ ไม่ทำให้มาก ไม่
ทำให้เพิ่มพูนขึ้นแล้ว สัตว์เหล่านี้นั้นชื่อว่าผู้มีอินทรีย์อ่อน
[๘๒๒] สัตว์ทั้งหลายที่มีอินทรีย์แก่กล้า เหล่านั้นเป็นไฉน
อินทรีย์ ๕ เหล่านี้อันสัตว์เหล่าใดส้องเสพ เจริญ ทำให้มาก เพิ่มพูนขึ้นแล้ว
สัตว์เหล่านี้นั้นชื่อว่าผู้มีอินทรีย์แก่กล้า
[๘๒๓] สัตว์ทั้งหลายผู้มีอาการชั่ว เหล่านั้นเป็นไฉน
สัตว์เหล่านั้นใดมีอาสวะชั่ว มีอนุสัยชั่ว มีจริตชั่ว มีอัธยาศัยชั่ว มีธุลีคือ
กิเลสในปัญญาจักษุมาก มีอินทรีย์อ่อน สัตว์เหล่านี้นั้นชื่อว่าผู้มีอาการชั่ว
[๘๒๔] สัตว์ทั้งหลายผู้มีอาการดี เหล่านั้นเป็นไฉน
สัตว์เหล่านั้นใดที่มีอาสยะดี มีจริตดี มีอัธยาศัยดี มีธุลีคือกิเลสในปัญญา
จักษุน้อย มีอินทรีย์แก่กล้า สัตว์เหล่านั้นนี้ชื่อว่าผู้มีอาการดี
[๘๒๕] สัตว์ทั้งหลายผู้ที่แนะนำให้เข้าใจได้ยาก เหล่านั้นเป็นไฉน
ก็สัตว์เหล่าใดมีอาการชั่ว สัตว์เหล่านั้นแลชื่อว่าผู้แนะนำให้เข้าใจได้ยาก
ส่วนสัตว์เหล่าใดมีอาการดี สัตว์เหล่านั้นแลชื่อว่าผู้แนะนำให้เข้าใจได้ง่าย
[๘๒๖] สัตว์ทั้งหลายผู้ไม่ควรบรรลุธรรม เหล่านั้นเป็นไฉน

เชิงอรรถ :
๑ สภาพที่เป็นใหญ่ในกิจของตน เช่นศรัทธาเป็นใหญ่ในการครอบงำความไม่มีศรัทธาเป็นต้น

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๒๘ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๖.ญาณวิภังค์] ๑๐.ทสกนิทเทส
สัตว์เหล่านั้นใดประกอบด้วยเครื่องกางกั้นคือกรรม ประกอบด้วยเครื่องกางกั้น
คือกิเลส ประกอบด้วยเครื่องกางกั้นคือวิบาก เป็นผู้ไม่มีศรัทธา ไม่มีฉันทะ มี
ปัญญาทราม ไม่ควรที่จะหยั่งลงสู่มรรคคือสัมมัตตนิยาม๑ในสภาวธรรมที่เป็นกุศล
ทั้งหลาย สัตว์เหล่านี้นั้นชื่อว่าผู้ไม่ควรบรรลุธรรม
[๘๒๗] สัตว์ทั้งหลายผู้ควรบรรลุธรรม เหล่านั้นเป็นไฉน
สัตว์เหล่านั้นใดไม่ประกอบด้วยเครื่องกางกั้นคือกรรม ไม่ประกอบด้วยเครื่อง
กางกั้นคือกิเลส ไม่ประกอบด้วยเครื่องกางกั้นคือวิบาก มีศรัทธา มีฉันทะ มี
ปัญญา ควรที่จะหยั่งลงสู่มรรคคือสัมมัตตนิยามในสภาวธรรมที่เป็นกุศลทั้งหลาย
สัตว์เหล่านี้นั้นชื่อว่าผู้ควรบรรลุธรรม
ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ฯลฯ ความไม่หลงงมงาย ความเลือกเฟ้นธรรม
สัมมาทิฏฐิในความแก่กล้าและไม่แก่กล้าแห่งอินทรีย์ของสัตว์ทั้งหลายนั้น นี้ชื่อว่า
พระตถาคตทรงทราบความแก่กล้าและไม่แก่กล้าแห่งอินทรีย์ของสัตว์เหล่าอื่นของบุคคล
เหล่าอื่นตามความเป็นจริง (๖)

๗. ฌานาทิสังกิเลสาทิญาณ
(ปรีชาหยั่งรู้ความเศร้าหมอง ผ่องแผ้วและการออกจากฌานเป็นต้นตามเป็นจริง)
[๘๒๘] พระตถาคตทรงทรงทราบความเศร้าหมอง ความผ่องแผ้ว แห่ง
ฌาน วิโมกข์ สมาธิ สมาบัติ และความออกจากฌานเป็นต้นนั้นตามความ
เป็นจริง เป็นไฉน
โยคาวจรบุคคลผู้เจริญฌาน ๔ จำพวกชื่อว่าฌายี คือ โยคาวจรบุคคลผู้เจริญ
ฌานบางคนสำคัญฌานที่ตนได้แล้วนั่นแหละผิดจากว่ายังไม่ได้ก็มี โยคาวจรบุคคลผู้
เจริญฌานบางคนสำคัญฌานที่ตนยังไม่ได้นั่นแหละผิดไปว่าได้แล้วก็มี โยคาวจร-
บุคคลผู้เจริญฌานบางคนสำคัญฌานที่ตนได้แล้วนั่นแหละว่าได้แล้วก็มี โยคาวจร-
บุคคลผู้เจริญฌานบางคนสำคัญฌานที่ตนยังไม่ได้นั่นแหละว่ายังไม่ได้ก็มี เหล่านี้ชื่อ
ว่าโยคาวจรบุคคลผู้เจริญฌาน ๔ จำพวก

เชิงอรรถ :
๑ มรรค คือข้อกำหนดถึงความเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ๑๐ ประการ ๘ ข้อข้างต้นตรงกับมรรค ๘ เพิ่มอีก ๒ ข้อ คือ
สัมมาญาณ (รู้ชอบ) และสัมมาวิมุตติ (พ้นชอบ) เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อเสขธรรม (ธรรมของพระอเสขะ)
(ที.ป. ๑๑/๓๔๘/๒๔๐,๓๖๐/๒๘๒, อภิ.วิ.อ. ๘๒๖/๔๙๗)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๒๙ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๖.ญาณวิภังค์] ๑๐.ทสกนิทเทส
โยคาวจรบุคคลผู้เจริญฌานอีก ๔ จำพวก คือ โยคาวจรบุคคลผู้เจริญฌาน
บางคนเข้าฌานได้ช้าแต่ออกได้เร็วก็มี โยคาวจรบุคคลผู้เจริญฌานบางคนเข้าฌาน
เร็วแต่ออกช้าก็มี โยคาวจรบุคคลผู้เจริญฌานบางคนเข้าฌานได้ช้าและออกช้าก็มี
โยคาวจรบุคคลผู้เจริญฌานบางคนเข้าฌานได้เร็วและออกได้เร็วก็มี เหล่านี้ชื่อว่า
โยคาวจรบุคคล ๔ จำพวก
โยคาวจรบุคคลผู้เจริญฌานอีก ๔ จำพวก คือ โยคาวจรบุคคลผู้เจริญฌาน
บางคนเป็นผู้ฉลาดในการกำหนดสมาธิในสมาธิ แต่ไม่ฉลาดในการกำหนดสมาบัติ
ในสมาธิก็มี โยคาวจรบุคคลผู้เจริญฌานบางคนเป็นผู้ฉลาดในการกำหนดสมาบัติ
ในสมาธิ แต่ไม่ฉลาดในการกำหนดสมาธิในสมาธิก็มี โยคาวจรบุคคลผู้เจริญฌาน
บางคนเป็นผู้ฉลาดในการกำหนดสมาธิในสมาธิและฉลาดในการกำหนดสมาบัติใน
สมาธิก็มี โยคาวจรบุคคลผู้เจริญฌานบางคนเป็นผู้ไม่ฉลาดในการกำหนดสมาธิใน
สมาธิ ไม่ฉลาดในการกำหนดสมาบัติในสมาธิก็มี เหล่านี้ชื่อว่าโยคาวจรบุคคลผู้
เจริญฌาน ๔ จำพวก
คำว่า ฌาน ได้แก่ ฌาน ๔ คือ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถ-
ฌาน
คำว่า วิโมกข์ ได้แก่ วิโมกข์ ๘ คือ โยคาวจรบุคคลผู้ได้รูปฌานโดยทำ
บริกรรมในรูปภายในตนย่อมเห็นรูปทั้งหลาย นี้ชื่อว่าวิโมกข์ข้อที่ ๑
โยคาวจรบุคคลผู้ได้อรูปฌานโดยทำบริกรรมในรูปภายในตนย่อมเห็นรูปทั้งหลาย
ในภายนอกตน นี้ชื่อว่าวิโมกข์ข้อที่ ๒
โยคาวจรบุคคลเป็นผู้น้อมจิตไปว่า งามแท้ นี้ชื่อว่าวิโมกข์ข้อที่ ๓
เพราะก้าวล่วงรูปสัญญาได้โดยประการทั้งปวง เพราะความดับไปแห่งปฏิฆสัญญา
และเพราะไม่ได้มนสิการซึ่งนานัตตสัญญา โยคาวจรบุคคลจึงบรรลุอากาสานัญจา-
ยตนฌาน โดยบริกรรมว่า อากาศไม่มีที่สุดดังนี้อยู่ นี้ชื่อว่าวิโมกข์ข้อที่ ๔
เพราะก้าวล่วงอากาสานัญจายตนะได้โดยประการทั้งปวง โยคาวจรบุคคลจึง
บรรลุวิญญาณัญจายตนฌาน โดยบริกรรมว่า วิญญาณไม่มีที่สุด ดังนี้อยู่ นี้ชื่อว่า
วิโมกข์ข้อที่ ๕


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๓๐ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๖.ญาณวิภังค์] ๑๐.ทสกนิทเทส
เพราะก้าวล่วงวิญญาณัญจายตนะได้โดยประการทั้งปวง โยคาวจรบุคคลจึง
บรรลุอากิญจัญญายตนฌาน โดยบริกรรมว่าอะไร ๆ ก็ไม่มี ดังนี้อยู่ นี้ชื่อว่าวิโมกข์
ข้อที่ ๖
เพราะก้าวล่วงอากิญจัญญายตนะได้โดยประการทั้งปวง โยคาวจรบุคคลจึง
บรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนฌานอยู่ นี้ชื่อว่าวิโมกข์ข้อที่ ๗
เพราะก้าวล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนะได้โดยประการทั้งปวง โยคาวจร-
บุคคลจึงบรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่ นี้ชื่อว่าวิโมกข์ข้อที่ ๘
คำว่า สมาธิ ได้แก่ สมาธิ ๓ คือ

๑. สวิตักกสวิจารสมาธิ (สมาธิที่มีทั้งวิตกและวิจาร)
๒. อวิตักกวิจารปัตตสมาธิ (สมาธิที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร)
๓. อวิตักกอวิจารสมาธิ (สมาธิที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร)

คำว่า สมาบัติ ได้แก่ อนุปุพพวิหารสมาบัติ ๙ คือ

๑. ปฐมฌานสมาบัติ ๒. ทุติยฌานสมาบัติ
๓. ตติยฌานสมาบัติ ๔. จตุตถฌานสมาบัติ
๕. อากาสานัญจายตนสมาบัติ ๖. วิญญาณัญจายตนสมาบัติ
๗. อากิญจัญญายตนสมาบัติ ๘. เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ
๙. สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ๑

บทว่า ความเศร้าหมอง ได้แก่ สภาวธรรมที่เป็นฝ่ายเสื่อม
บทว่า ความผ่องแผ้ว ได้แก่ สภาวธรรมที่เป็นฝ่ายคุณวิเศษ
บทว่า ความออก ได้แก่ แม้ความผ่องแผ้ว ก็ชื่อว่าความออก แม้ความ
ออกจากสมาธินั้น ๆ ก็ชื่อว่าความออก

เชิงอรรถ :
๑ สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ หมายถึงสมาบัติที่ดับสัญญาและเวทนามี ๒ คือ อสัญญสมาบัติ และนิโรธ-
สมาบัติ ที่เป็นอสัญญสมาบัติมีแก่ปุถุชน ที่เป็นนิโรธสมาบัติ มีเฉพาะแต่พระอนาคามีและพระอรหันต์
ผู้ชำนาญในสมาบัติ ๘ ข้างต้นแล้วเท่านั้นจึงจะเข้าได้ (อภิ.ปญฺจ.อ. ๗๓๕/๒๘๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๓๑ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๖.ญาณวิภังค์] ๑๐.ทสกนิทเทส
ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ฯลฯ ความไม่หลงงมงาย ความเลือกเฟ้นธรรม สัมมา-
ทิฏฐิในความเศร้าหมอง ความผ่องแผ้ว ความออกจากฌาน นี้ชื่อว่าพระตถาคต
ทรงทราบความเศร้าหมอง ความผ่องแผ้ว แห่งฌาน วิโมกข์ สมาธิ สมาบัติ
และความออกจากฌานเป็นต้นนั้นตามความเป็นจริง (๗)

๘. ปุพเพนิวาสนานุสสติญาณ
(ปรีชาหยั่งรู้ทำให้ระลึกภพที่เคยอยู่ในหนหลังได้)
[๘๒๙] พระตถาคตทรงทราบการระลึกชาติในหนหลังตามความเป็นจริง
เป็นไฉน
พระตถาคตในโลกนี้ทรงระลึกชาติในหนหลังได้หลาย ๆ ชาติ คือ ๑ ชาติบ้าง
๒ ชาติบ้าง ๓ ชาติบ้าง ๔ ชาติบ้าง ๕ ชาติบ้าง ๑๐ ชาติบ้าง ๒๐ ชาติบ้าง ๓๐
ชาติบ้าง ๔๐ ชาติบ้าง ๕๐ ชาติบ้าง ๑๐๐ ชาติบ้าง ๑,๐๐๐ ชาติบ้าง ๑๐๐,๐๐๐
ชาติบ้าง หลายสังวัฏฏกัปบ้าง หลายวิวัฏฏกัปบ้าง หลายสังวัฏฏวิวัฏฏกัปบ้างว่า
เราอยู่ในภพโน้น เป็นผู้มีชื่ออย่างนี้ มีโคตรอย่างนี้ มีวรรณะอย่างนี้ มีอาหารอย่างนี้
เสวยสุขและทุกข์อย่างนี้ มีกำหนดอายุอย่างนี้ เรานั้นจุติจากชาตินั้นแล้วจึงไปเกิด
ในภพโน้น เราอยู่ในภพนั้น เป็นผู้มีชื่ออย่างนี้ มีโคตรอย่างนี้ มีวรรณะอย่างนี้ มี
อาหารอย่างนี้ เสวยสุขและทุกข์อย่างนี้ มีกำหนดอายุอย่างนี้ เรานั้นจุติจากชาติ
นั้นแล้วจึงมาเกิดในภพนี้ พระตถาคตทรงระลึกชาติในหนหลังได้หลาย ๆ ชาติพร้อม
ทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้
ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ฯลฯ ความไม่หลง ความเลือกเฟ้นธรรม สัมมาทิฏฐิ
ในการระลึกชาตินั้น นี้ชื่อว่าพระตถาคตทรงทราบการระลึกชาติหนหลังตามความ
เป็นจริง (๘)

๙. จุตูปปาตญาณ
(ปรีชาหยั่งรู้จุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลายอันเป็นไปตามธรรม)
[๘๓๐] พระตถาคตทรงทราบความจุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลายตาม
ความเป็นจริง เป็นไฉน


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๓๒ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๖.ญาณวิภังค์] ๑๐.ทสกนิทเทส
พระตถาคตในโลกนี้ทรงมีทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของสามัญมนุษย์ ทรง
เห็นสัตว์ผู้กำลังจุติ อุบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณเลว ไปสุคติ ไปทุคติ
ย่อมทรงทราบเหล่าสัตว์ผู้เป็นไปตามกรรมว่า สัตว์ผู้เจริญเหล่านี้ประกอบด้วยกาย-
ทุจริต ประกอบด้วยวจีทุจริต ประกอบด้วยมโนทุจริต กล่าวใส่ร้ายพระอริยะ เป็น
มิจฉาทิฏฐิ สมาทานมิจฉาทิฏฐิกรรม สัตว์เหล่านั้นหลังจากตายแล้วก็เข้าถึงอบาย
ทุคติ วินิบาต นรก หรือสัตว์ผู้เจริญเหล่านี้ประกอบด้วยกายสุจริต ประกอบด้วย
วจีสุจริต ประกอบด้วยมโนสุจริต ไม่กล่าวใส่ร้ายพระอริยะ เป็นสัมมาทิฏฐิ สมาทาน
สัมมาทิฏฐิกรรม สัตว์เหล่านั้นหลังจากตายแล้วจึงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ พระ
ตถาคตทรงมีทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงสามัญมนุษย์ ทรงเห็นเหล่าสัตว์ผู้กำลังจุติ
อุบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณเลว ไปสุคติ ไปทุคติ ทรงทราบเหล่า
สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม
ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ฯลฯ ความไม่หลงงมงาย ความเลือกเฟ้นธรรม
สัมมาทิฏฐิในการจุติและอุบัติแห่งสัตว์ทั้งหลายนั้น นี้ชื่อว่าพระตถาคตทรงทราบการ
จุติและอุบัติแห่งสัตว์ทั้งหลายตามความเป็นจริง (๙)

๑๐. อาสวักขยญาณ
(ปรีชาหยั่งรู้ความสิ้นไปแห่งอาสวะ)
[๘๓๑] พระตถาคตทรงทราบความสิ้นอาสวะตามความเป็นจริง เป็นไฉน
พระตถาคตในโลกนี้ทรงทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติและปัญญาวิมุตติอันหาอาสวะมิได้
เพราะความสิ้นไปแห่งอาสวะด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยพระองค์เอง เข้าถึงอยู่ในทิฏฐิธรรม
ด้วยอาการอย่างนี้
ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ฯลฯ ความไม่หลงงมงาย ความเลือกเฟ้นธรรม
สัมมาทิฏฐิในความสิ้นอาสวะนั้น นี้ชื่อว่าพระตถาคตทรงทราบความสิ้นอาสวะตาม
ความเป็นจริง (๑๐)

ญาณวิภังค์ จบบริบูรณ์

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๓๓ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗. ขุททกวัตถุวิภังค์] ๑. เอกกมาติกา
๑๗. ขุททกวัตถุวิภังค์
๑. เอกกมาติกา

[๘๓๒] (๑) ชาติมทะ (ความเมาเพราะอาศัยชาติ) (๘๔๓)
(๒) โคตตมทะ (ความเมาเพราะอาศัยโคตร) (๘๔๔)
(๓) อาโรคยมทะ (ความเมาในความไม่มีโรค) (๘๔๔)
(๔) โยพพนมทะ (ความเมาในความเป็นหนุ่มสาว) (๘๔๔)
(๕) ชีวิตมทะ (ความเมาในชีวิต) (๘๔๔)
(๖) ลาภมทะ (ความเมาในลาภ) (๘๔๔)
(๗) สักการมทะ (ความเมาในสักการะ) (๘๔๔)
(๘) ครุการมทะ (ความเมาในความเคารพ) (๘๔๔)
(๙) ปุเรกขารมทะ (ความเมาในความเป็นหัวหน้า) (๘๔๔)
(๑๐) ปริวารมทะ (ความเมาในบริวาร) (๘๔๔)
(๑๑) โภคมทะ (ความเมาในโภคสมบัติ) (๘๔๔)
(๑๒) วัณณมทะ (ความเมาเพราะอาศัยผิวพรรณและคุณความดี) (๘๔๔)
(๑๓) สุตมทะ (ความเมาในการการสดับตรับฟัง) (๘๔๔)
(๑๔) ปฏิภาณมทะ (ความเมาในปฏิภาณ) (๘๔๔)
(๑๕) รัตตัญญูมทะ (ความเมาในความเป็นผู้รัตตัญญู) (๘๔๔)


(๑๖) ปิณฑปาติกมทะ (ความเมาในการถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร) (๘๔๔)
(๑๗) อนวัญญาตมทะ ความเมาเพราะไม่ถูกใครดูหมิ่น (๘๔๔)
(๑๘) อิริยาปถมทะ ความเมาในอิริยาบถ (๘๔๔)
(๑๙) อิทธิมทะ ความเมาในฤทธิ์ (๘๔๔)


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๓๔ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗. ขุททกวัตถุวิภังค์] ๑. เอกกมาติกา

(๒๐) ยสมทะ (ความเมาในยศ) (๘๔๔)
(๒๑) สีลมทะ (ความเมาในศีล) (๘๔๔)
(๒๒) ฌานมทะ (ความเมาในฌาน) (๘๔๔)
(๒๓) สิปปมทะ (ความเมาในศิลปะ) (๘๔๔)
(๒๔) อาโรหมทะ (ความเมาในความมีทรวดทรงสูง) (๘๔๔)
(๒๕) ปริณาหมทะ (ความเมาในความมีทรวดทรงสันทัด) (๘๔๔)
(๒๖) สัณฐานมทะ (ความเมาในความมีทรวดทรงงาม) (๘๔๔)
(๒๗) ปาริปูริมทะ (ความเมาในความมีร่างกายสมบูรณ์) (๘๔๔)
(๒๘) มทะ (ความเมา) (๘๔๕)
(๒๙) ปมาทะ (ความประมาท) (๘๔๖)
(๓๐) ถัมภะ (ความหัวดื้อ) (๘๔๗)
(๓๑) สารัมภะ (ความแข่งดี) (๘๔๘)
(๓๒) อติริจฉตา (ความอยากได้เกินประมาณ) (๘๔๙)
(๓๓) มหิจฉตา (ความมักมาก) (๘๕๐)
(๓๔) ปาปิจฉตา (ความปรารถนาลามก) (๘๕๑)
(๓๕) สิงคะ (ความยั่วยวน) (๘๕๒)
(๓๖) ตินติณะ (การพูดเกียดกัน) (๘๕๓)
(๓๗) จาปัลยะ (การชอบตกแต่ง) (๘๕๔)
(๓๘) อสภาควุตติ (ความประพฤติไม่เหมาะสม) (๘๕๕)
(๓๙) อรติ (ความไม่ยินดี) (๘๕๖)
(๔๐) ตันที (ความโงกง่วง) (๘๕๗)
(๔๑) วิชัมภิตา (ความบิดกาย) (๘๕๘)


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๓๕ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗. ขุททกวัตถุวิภังค์] ๑. เอกกมาติกา

(๔๒) ภัตตสัมมทะ (ความเมาในอาหาร) (๘๕๙)
(๔๓) เจตโสลีนัตตะ (ความหดหู่จิต) (๘๖๐)
(๔๔) กุหนา (ความหลอกลวง) (๘๖๑)
(๔๕) ลปนา (การพูดประจบ) (๘๖๒)
(๔๖) เนมิตติกตา (การทำนิมิต) (๘๖๓)
(๔๗) นิปเปสิกตา (การพูดลบล้างความดีของคนอื่น) (๘๖๔)
(๔๘) ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา (การแลกเปลี่ยนลาภด้วยลาภ) (๘๖๕)
(๔๙) ความถือตัวว่า เป็นผู้เลิศกว่าเขา (๘๖๖)
(๕๐) ความถือตัวว่า เป็นผู้เสมอเขา (๘๖๗)
(๕๑) ความถือตัวว่า เป็นผู้ด้อยกว่าเขา (๘๖๘)
(๕๒) เป็นผู้เลิศกว่าเขา ถือตัวว่าเลิศกว่าเขา (๘๖๙)
(๕๓) เป็นผู้เลิศกว่าเขา ถือตัวว่าเสมอเขา (๘๗๐)
(๕๔) เป็นผู้เลิศกว่าเขา ถือตัวว่าด้อยกว่าเขา (๘๗๑)
(๕๕) เป็นผู้เสมอเขา ถือตัวว่าเลิศกว่าเขา (๘๗๒)
(๕๖) เป็นผู้เสมอเขา ถือตัวว่าเสมอเขา (๘๗๓)
(๕๗) เป็นผู้เสมอเขา ถือตัวว่าด้อยกว่าเขา (๘๗๔)
(๕๘) เป็นผู้ด้อยกว่าเขา ถือตัวว่าเลิศกว่าเขา (๘๗๕)
(๕๙) เป็นผู้ด้อยกว่าเขา ถือตัวว่าเสมอเขา (๘๗๖)
(๖๐) เป็นผู้ด้อยกว่าเขา ถือตัวว่าด้อยกว่าเขา (๘๗๗)
(๖๑) มานะ (ความถือตัว) (๘๗๘)
(๖๒) อติมานะ (ความดูหมิ่นผู้อื่น (๘๗๙)
(๖๓) มานาติมานะ (ความเย่อหยิ่งถือตัว) (๘๘๐)


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๓๖ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๒.ทุกมาติกา

(๖๔) โอมานะ (ความดูหมิ่นตนเอง) (๘๘๑)
(๖๕) อธิมานะ (ความสำคัญว่าได้บรรลุ) (๘๘๒)
(๖๖) อัสมิมานะ (ความสำคัญว่ามีตัวตน) (๘๘๓)
(๖๗) มิจฉามานะ (ความถือตัวผิด) (๘๘๔)
(๖๘) ญาติวิตักกะ (ความตรึกถึงญาติ) (๘๘๕)
(๖๙) ชนปทวิตักกะ (ความตรึกถึงชนบท) (๘๘๖)
(๗๐) อมรวิตักกะ (ความตรึกเพื่อเอาตัวรอด) (๘๘๗)

(๗๑) ปรานุททยตาปฏิสังยุตตวิตักกะ (ความตรึกเกี่ยวด้วยความ
เอ็นดูผู้อื่น) (๘๘๘)
(๗๒) ลาภสักการสิโลกปฏิสังยุตตวิตักกะ (ความตรึกเกี่ยวด้วยลาภ
สักการะและชื่อเสียง) (๘๘๙)
(๗๓) อนวัญญัตติปฏิสังยุตตวิตักกะ (ความตรึกเกี่ยวด้วยความไม่
ต้องการให้ใครดูหมิ่น) (๘๙๐)
เอกกมาติกา จบ

๒. ทุกมาติกา

[๘๓๓] (๑) โกธะ (ความโกรธ) (๘๙๑)
อุปนาหะ (ความผูกโกรธ) (๘๙๑)
(๒) มักขะ (ความลบหลู่) (๘๙๒)
ปลาสะ (ความตีตัวเสมอ) (๙๘๒)
(๓) อิสสา (ความริษยา) (๘๙๓)
มัจฉริยะ (ความตระหนี่) (๘๙๓)
(๔) มายา (ความเจ้าเล่ห์) (๘๙๔)
สาเถยยะ (ความโอ้อวด) (๘๙๔)


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๓๗ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๒.ทุกมาติกา

(๕) อวิชชา (ความไม่รู้) (๘๙๕)
ภวตัณหา (ความปรารถนาภพ) (๘๙๕)
(๖) ภวทิฏฐิ (ความเห็นว่าเกิดอีก) (๘๙๖)
วิภวทิฏฐิ (ความเห็นว่าไม่เกิดอีก) (๘๙๖)
(๗) สัสสตทิฏฐิ (ความเห็นว่าเที่ยง) (๘๙๗)
อุจเฉททิฏฐิ (ความเห็นว่าขาดสูญ) (๘๙๗)
(๘) อันตวาทิฏฐิ (ความเห็นว่ามีที่สุด) (๘๙๘)
อนันตวาทิฏฐิ (ความเห็นว่าไม่มีที่สุด) (๘๙๘)
(๙) ปุพพันตานุทิฏฐิ (ความเห็นปรารภส่วนอดีต) (๘๙๙)
อปรันตานุทิฏฐิ (ความเห็นปรารภส่วนอนาคต) (๘๙๙)


(๑๐) อหิริกะ (ความไม่ละอายต่อการประพฤติทุจริต) (๙๐๐)
อโนตตัปปะ (ความไม่สะดุ้งกลัวต่อการประพฤติทุจริต) (๙๐๐)


(๑๑) โทวจัสสตา (ความเป็นผู้ว่ายาก) (๙๐๑)
ปาปมิตตตา (ความเป็นผู้มีมิตรชั่ว) (๙๐๑)
(๑๒) อนัชชวะ (ความไม่ซื่อตรง) (๙๐๒)
อมัททวะ (ความไม่อ่อนโยน) (๙๐๒)
(๑๓) อขันติ (ความไม่อดทน) (๙๐๓)
อโสรัจจะ (ความไม่เสงี่ยม) (๙๐๓)
(๑๔) อสาขัลยะ (ความไม่มีวาจานิ่มนวล) (๙๐๔)
อัปปฏิสันถาระ (ความไม่มีปฏิสันถาร) (๙๐๔)


(๑๕) ความเป็นผู้ไม่คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย (๙๐๕)
ความไม่รู้จักประมาณในการบริโภค (๙๐๕)


(๑๖) มุฏฐสัจจะ (ความหลงลืมสติ) (๙๐๖)
อสัมปชัญญะ (ความเป็นผู้ไม่มีสัมปชัญญะ) (๙๐๖)


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๓๘ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๓.ติกมาติกา

(๑๗) สีลวิปัตติ (ความวิบัติแห่งศีล) (๙๐๗)
ทิฏฐิวิปัตติ (ความวิบัติแห่งทิฏฐิ) (๙๐๗)
(๑๘) อัชฌัตตสัญโญชนะ (สังโยชน์ภายใน) (๙๐๘)
พหิทธาสัญโญชนะ (สังโยชน์ภายนอก) (๙๐๘)

ทุกมาติกา จบ

๓. ติกมาติกา

[๘๓๔] (๑) อกุศลมูล (รากเหง้าแห่งอกุศล) ๓ (๙๐๙)
(๒) อกุศลวิตก (ความตรึกที่เป็นอกุศล) ๓ (๙๑๐)
(๓) อกุศลสัญญา (การกำหนดหมายที่เป็นอกุศล) ๓ (๙๑๑)
(๔) อกุศลธาตุ (ธาตุที่เป็นอกุศล) ๓ (๙๑๒)
(๕) ทุจริต (ความประพฤติชั่ว) ๓ (๙๑๓)
(๖) อาสวะ (สภาวะที่หมักดองสันดาน) ๓ (๙๑๔)
(๗) สังโยชน์ (กิเลสเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพ) ๓ (๙๑๕)
(๘) ตัณหา (ความทะยานอยาก) ๓ (๙๑๖)


(๙) ตัณหา ๓ อีกนัยหนึ่ง (๙๑๗)
(๑๐) ตัณหา ๓ แม้อีกนัยหนึ่ง (๙๑๘)
(๑๑) เอสนา (ความพอใจ) ๓ (๙๑๙)
(๑๒) วิธา ๓ (๙๒๐)
(๑๓) ภัย ๓ (๙๒๑)
(๑๔) ตมะ (ความมืด) ๓ (๙๒๒)
(๑๕) ติตถายตนะ (ถิ่นเกิดของทิฏฐิ) ๓ (๙๒๓)


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๓๙ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๓.ติกมาติกา

(๑๖) กิญจนะ (กิเลสเครื่องกังวล) ๓ (๙๒๔)
(๑๗) อังคณะ (กิเลสเพียงดังเนิน) ๓ (๙๒๔)
(๑๘) มละ (มลทิน) ๓ (๙๒๔)
(๑๙) วิสมะ (ความประพฤติไม่สม่ำเสมอ) ๓ (๙๒๔)


(๒๐) วิสมะ ๓ อีกนัยหนึ่ง (๙๒๔)
(๒๑) อัคคิ (ไฟ) ๓ (๙๒๔)
(๒๒) กสาวะ (กิเลสดุจน้ำฝาด) ๓ (๙๒๔)
(๒๓) กสาวะ ๓ อีกนัยหนึ่ง (๙๒๔)

(๒๔) อัสสาททิฏฐิ (ความเห็นผิดที่ประกอบด้วยความยินดี ) (๙๒๕)

อัตตานุทิฏฐิ (ความเห็นผิดว่ามีตัวตน) (๙๒๕)
มิจฉาทิฏฐิ (ความเห็นผิด) (๙๒๕)
(๒๕) อรติ (ความไม่ยินดี) (๙๒๖)
วิเหสา (ความเบียดเบียน) (๙๒๖)
อธรรมจริยา (ความประพฤติไม่เป็นธรรม) (๙๒๖)
(๒๖) โทวจัสสตา (ความเป็นผู้ว่ายาก) (๙๒๗)
ปาปมิตตตา (ความเป็นผู้มีมิตรชั่ว) (๙๒๗)
นานัตตสัญญา (สัญญาที่แตกต่างกัน) (๙๒๗)
(๒๗) อุทธัจจะ (ความฟุ้งซ่าน) (๙๒๘)
โกสัชชะ (ความเกียจคร้าน) (๙๒๘)
ปมาทะ (ความประมาท) (๙๒๘)
(๒๘) อสันตุฏฐิตา (ความไม่สันโดษ) (๙๒๙)
อสัมปชัญญตา (ความไม่มีสัมปชัญญะ) (๙๒๙)
มหิจฉตา (ความมักมาก) (๙๒๙)


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๔๐ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๓.ติกมาติกา

(๒๙) อหิริกะ (ความไม่ละอายต่อการประพฤติทุจริต) (๙๓๐)
อโนตตัปปะ (ความไม่สะดุ้งกลัวต่อการประพฤติทุจริต) (๙๓๐)
ปมาทะ (ความประมาท) (๙๓๐)


(๓๐) อนาทริยะ (ความไม่เอื้อเฟื้อ) (๙๓๑)
โทวจัสสตา (ความเป็นผู้ว่ายาก) (๙๓๑)
ปาปมิตตตา (ความเป็นผู้มีมิตรชั่ว) (๙๓๑)
(๓๑) อัสสัทธิยะ (ความไม่เชื่อ) (๙๓๒)
อวทัญญุตา (ความเป็นผู้ไม่โอบอ้อมอารี) (๙๓๒)
โกสัชชะ (ความเกียจคร้าน) (๙๓๒)
(๓๒) อุทธัจจะ (ความฟุ้งซ่าน) (๙๓๓)
อสังวร (ความไม่สำรวม) (๙๓๓)
ทุสสีลยะ (ความเป็นผู้ทุศีล) (๙๓๓)


(๓๓) อริยานัง อทัสสนกัมยตา (ความไม่อยากเห็นพระอริยะ) (๙๓๔)
สัทธัมมัง อโสตุกัมยตา (ความไม่อยากฟังพระสัทธรรม) (๙๓๔)
อุปารัมภจิตตตา (ความคิดแข่งดี) (๙๓๔)
(๓๔) มุฏฐัสสัจจะ (ความเป็นผู้มีสติฟั่นเฟือน) (๙๓๕)
อสัมปชัญญะ (ความเป็นผู้ไม่มีสัมปชัญญะ) (๙๓๕)
เจตโสวิกเขปะ (ความฟุ้งซ่านแห่งจิต) (๙๓๕)
(๓๕) อโยนิโสมนสิการ (การไม่พิจารณาโดยแยบคาย) (๙๓๖)
กุมมัคคเสวนา (การยึดถือทางผิด) (๙๓๖)
เจตโสลีนัตตะ (ความหดหู่จิต) (๙๓๖)

ติกมาติกา จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๔๑ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๔. จตุกกมาติกา
๔. จตุกกมาติกา

[๘๓๕] (๑) อาสวะ (สภาวะที่หมักดองในสันดาน) ๔ (๙๓๗)
(๒) คันถะ (กิเลสเครื่องร้อยรัดใจ) ๔ (๙๓๘)
(๓) โอฆะ (กิเลสดุจห้วงน้ำ) ๔ (๙๓๘)
(๔) โยคะ (กิเลสเป็นเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพ) ๔ (๙๓๘)
(๕) อุปาทาน (ความยึดมั่น) ๔ (๙๓๘)
(๖) ตัณหุปาทาน (ความยึดมั่นด้วยตัณหา) ๔ (๙๓๙)


(๗) อคติคมนะ (การถึงอคติ) ๔ (๙๓๙)
(๘) วิปริเยสะ (การแสวงหาผิด) ๔ (๙๓๙)
(๙) อนริยโวหาร (โวหารของผู้มิใช่พระอริยะ) ๔ (๙๓๙)
(๑๐) อนริยโวหาร ๔ อีกนัยหนึ่ง (๙๓๙)
(๑๑) ทุจริต (ความประพฤติชั่ว) ๔ (๙๓๙)
(๑๒) ทุจริต ๔ อีกนัยหนึ่ง (๙๓๙)
(๑๓) ภัย ๔ (๙๓๙)
(๑๔) ภัย ๔ อีกนัยหนึ่ง (๙๓๙)
(๑๕) ภัย ๔ อื่นอีกนัยหนึ่ง (๙๓๙)
(๑๖) ภัย ๔ อื่นต่อไปอีกนัยหนึ่ง (๙๓๙)
(๑๗) ทิฏฐิ (ความเห็นผิด) ๔ (๙๓๙)

จตุกกมาติกา จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๔๒ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๖.ฉักกมาติกา
๕. ปัญจกมาติกา

[๘๓๖] (๑) โอรัมภาคิยสังโยชน์ (สังโยชน์เบื้องต่ำ) ๕ (๙๔๐)
(๒) อุทธัมภาคิยสังโยชน์ (สังโยชน์เบื้องสูง) ๕ (๙๔๐)


(๓) มัจฉริยะ (ความตระหนี่) ๕ (๙๔๐)
(๔) สังคะ (กิเลสเครื่องข้อง) ๕ (๙๔๐)
(๕) สัลละ (กิเลสดุจลูกศร) ๕ (๙๔๐)
(๖) เจโตขีละ (กิเลสดุจตะปูตรึงใจ) ๕ (๙๔๑)


(๗) เจตโสวินิพันธะ (กิเลสเครื่องผูกพันใจ) ๕ (๙๔๑)
(๘) นิวรณ์ (กิเลสเครื่องกั้นความดี) ๕ (๙๔๑)
(๙) อนันตริยกรรม (กรรมหนัก) ๕ (๙๔๑)


(๑๐) ทิฏฐิ (ความเห็นผิด) ๕ (๙๔๑)
(๑๑) เวร (ความแค้นเคือง) ๕ (๙๔๒)
(๑๒) พยสนะ (ความพินาศ) ๕ (๙๔๒)


(๑๓) โทษแห่งความไม่อดทน ๕ (๙๔๒)
(๑๔) ภัย ๕ (๙๔๒)

(๑๕) ทิฏฐธัมมนิพพานวาทะ (วาทะว่านิพพานมีในชีวิตปัจจุบัน) ๕
(๙๔๓)
ปัญจกมาติกา จบ

๖. ฉักกมาติกา
[๘๓๗] (๑) วิวาทมูล (เหตุก่อวิวาท) ๖ (๙๔๔)
(๒) ฉันทราคเคหสิตธรรม (สภาวธรรมคือฉันทราคะซึ่งอาศัย
กามคุณ) (๙๔๔)
(๓) วิโรธวัตถุ ๖ (๙๔๔)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๔๓ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๗. สัตตกมาติกา

(๔) ตัณหากาย (กองตัณหา) ๖ (๙๔๔)
(๕) อคารวะ (ความไม่เคารพ) ๖ (๙๔๕)
(๖) ปริหานิยธรรม (ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความเสื่อม) ๖ (๙๔๕)
(๗) ปริหานิยธรรม ๖ อีกนัยหนึ่ง (๙๔๖)
(๘) โสมนัสสุปวิจาร (ความครุ่นคิดเกี่ยวด้วยโสมนัส) ๖ (๙๔๖)
(๙) โทมนัสสุปวิจาร (ความครุ่นคิดเกี่ยวด้วยโทมนัส) ๖ (๙๔๖)
(๑๐) อุเปกขูปวิจาร (ความครุ่นคิดเกี่ยวด้วยอุเบกขา) ๖ (๙๔๖)
(๑๑) เคหสิตโสมนัส (โสมนัสที่อาศัยกามคุณ) ๖ (๙๔๗)
(๑๒) เคหสิตโทมนัส (โทมนัสที่อาศัยกามคุณ) ๖ (๙๔๗)
(๑๓) เคหสิตอุเบกขา (อุเบกขาที่อาศัยกามคุณ) ๖ (๙๔๖)
(๑๔) ทิฏฐิ (ความเห็นผิด) ๖ (๙๔๘)

ฉักกมาติกา จบ

๗. สัตตกมาติกา

[๘๓๘] (๑) อนุสัย (กิเลสที่นอนเนื่อง) ๗ (๙๔๙)
(๒) สังโยชน์ (กิเลสที่ประกอบสัตว์ไว้ในภพ) ๗ (๙๔๙)
(๓) ปริยุฏฐาน (กิเลสเครื่องกลุ้มรุมใจ) ๗ (๙๔๙)
(๔) อสัทธรรม (ธรรมของคนพาล) ๗ (๙๕๐)
(๕) ทุจริต (ความประพฤติชั่ว) ๗ (๙๕๐)
(๖) มานะ (ความถือตัว) ๗ (๙๕๐)
(๗) ทิฏฐิ (ความเห็นผิด) ๗ (๙๕๑)

สัตตกมาติกา จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๔๔ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๙.นวกมาติกา
๘. อัฏฐกมาติกา

[๘๓๙] (๑) กิเลสวัตถุ (สิ่งก่อความเศร้าหมอง) ๘ (๙๕๒)
(๒) กุสีตวัตถุ (เหตุเกิดความเกียจคร้าน) ๘ (๙๕๒)

(๓) จิตกระทบในโลกธรรม ๘ (๙๕๔)

(๔) อนริยโวหาร (คำพูดของผู้มิใช่พระอริยะ) ๘ (๙๕๕)
(๕) มิจฉัตตะ (ความเห็นผิด) ๘ (๙๕๖)
(๖) บุรุษโทษ (โทษของคน) ๘ (๙๕๗)
(๗) อสัญญีวาทะ (วาทะว่าอัตตาไม่มีสัญญา) ๘ (๙๕๘)

(๘) เนวสัญญีนาสัญญีวาทะ (วาทะว่ามีสัญญาก็ไม่ใช่ไม่มีสัญญา
ก็ไม่ใช่) ๘ (๙๕๘)
อัฏฐกมาติกา จบ

๙. นวกมาติกา

[๘๔๐] (๑) อาฆาตวัตถุ (เรื่องให้เกิดความอาฆาต) ๙ (๙๖๑)
(๒) ปุริสมละ (มลทินของคน) ๙ (๙๖๒)
(๓) มานะ (ความถือตัว) ๙ (๙๖๓)
(๔) ตัณหามูลกธรรม (ธรรมที่มีตัณหาเป็นมูล) ๙ (๙๖๔)
(๕) อิญชิตะ ๙ (๙๖๔)
(๖) มัญญิตะ ๙ (๙๖๕)
(๗) ผันทิตะ ๙ (๙๖๕)
(๘) ปปัญจิตะ ๙ (๙๖๕)
(๙) สังขตะ ๙ (๙๖๕)

นวกมาติกา จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๔๕ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๑.เอกกนิทเทส
๑๐. ทสกมาติกา

[๘๔๑] (๑) กิเลสวัตถุ (สิ่งก่อความเศร้าหมอง) ๑๐ (๙๖๖)
(๒) อาฆาตวัตถุ (สิ่งก่อความอาฆาต) ๑๐ (๙๖๗)
(๓) อกุศลกรรมบถ (ทางแห่งอกุศลกรรม) ๑๐ (๙๖๘)
(๔) สังโยชน์ (กิเลสที่ประกอบสัตว์ไว้ในภพ) ๑๐ (๙๖๙)
(๕) มิจฉัตตะ (ความเห็นผิด) ๑๐ (๙๗๐)
(๖) มิจฉาทิฏฐิมีวัตถุ (ความเห็นผิดมี ๑๐ อย่าง) ๑๐ (๙๗๑)

(๗) อันตัคคาหิกทิฏฐิมีวัตถุ (ความเห็นที่ยึดเอาที่สุดมี ๑๐ อย่าง) ๑๐
(๙๗๒)

ทสกมาติกา จบ
[๘๔๒] ตัณหาวิจริตอาศัยอายตนะภายใน ๑๘ อาศัยอายตนะภายนอก ๑๘
รวมเข้าด้วยกันเป็นตัณหาวิจริต ๓๖
ตัณหาวิจริตที่เป็นอดีต ๓๖ ที่เป็นอนาคต ๓๖ ที่เป็นปัจจุบัน ๓๖ รวม
เข้าด้วยกันเป็นตัณหาวิจริต ๑๐๘ ด้วยประการฉะนี้
ทิฏฐิ ๖๒ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไว้ในพรหมชาลสูตร
มาติกา จบ

๑. เอกกนิทเทส
[๘๔๓] บรรดาเอกกมาติกาเหล่านั้น ชาติมทะ เป็นไฉน
ความเมา กิริยาที่เมา ภาวะที่เมา ความถือตัว กิริยาที่ถือตัว ภาวะที่ถือตัว
ความลำพองตน ความทะนงตน ความเชิดชูตนเป็นดุจธง ความเห่อเหิม ความที่
จิตต้องการเชิดชูตนเป็นดุจธงเพราะอาศัยชาติ นี้เรียกว่า ชาติมทะ (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๔๖ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๑.เอกกนิทเทส
[๘๔๔] โคตตมทะ เป็นไฉน
ความเมา ฯลฯ ความที่จิตต้องการเชิดชูตนเป็นดุจธงเพราะอาศัยโคตร นี้
เรียกว่า โคตตมทะ (๒)
อาโรคยมทะ เป็นไฉน
ความเมา ฯลฯ ความที่จิตต้องการเชิดชูตนเป็นดุจธงเพราะอาศัยความไม่มีโรค
นี้เรียกว่า อาโรคยมทะ (๓)
โยพพนมทะ เป็นไฉน
ความเมา ฯลฯ ความที่จิตต้องการเชิดชูตนเป็นดุจธงเพราะอาศัยความเป็น
หนุ่มเป็นสาว นี้เรียกว่า โยพพนมทะ (๔)
ชีวิตมทะ เป็นไฉน
ความเมา ฯลฯ ความที่จิตต้องการเชิดชูตนเป็นดุจธงเพราะอาศัยชีวิต นี้เรียก
ว่า ชีวิตมทะ (๕)
ลาภมทะ เป็นไฉน
ความเมา ฯลฯ ความที่จิตต้องการเชิดชูตนเป็นดุจธงเพราะอาศัยลาภ นี้เรียก
ว่า ลาภมทะ (๖)
สักการมทะ เป็นไฉน
ความเมา ฯลฯ ความที่จิตต้องการเชิดชูตนเป็นดุจธงเพราะอาศัยสักการะ
นี้เรียกว่า สักการมทะ (๗)
ครุการมทะ เป็นไฉน
ความเมา ฯลฯ ความที่จิตต้องการเชิดชูตนเป็นดุจธงเพราะอาศัยความเคารพ
นี้เรียกว่า ครุการมทะ (๘)
ปุเรกขารมทะ เป็นไฉน
ความเมา ฯลฯ ความที่จิตต้องการเชิดชูตนเป็นดุจธงเพราะอาศัยความเป็น
หัวหน้า นี้เรียกว่า ปุเรกขารมทะ (๙)


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๔๗ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๑.เอกกนิทเทส
ปริวารมทะ เป็นไฉน
ความเมา ฯลฯ ความที่จิตต้องการเชิดชูตนเป็นดุจธงเพราะอาศัยบริวาร นี้
เรียกว่า ปริวารมทะ (๑๐)
โภคมทะ เป็นไฉน
ความเมา ฯลฯ ความที่จิตต้องการเชิดชูตนเป็นดุจธงเพราะอาศัยโภคะ นี้
เรียกว่า โภคมทะ (๑๑)
วัณณมทะ เป็นไฉน
ความเมา ฯลฯ ความที่จิตต้องการเชิดชูตนเป็นดุจธงเพราะอาศัยความยกย่อง
นี้เรียกว่า วัณณมทะ (๑๒)
สุตมทะ เป็นไฉน
ความเมา ฯลฯ ความที่จิตต้องการเชิดชูตนเป็นดุจธงเพราะอาศัยการสดับ
ตรับฟังมาก นี้เรียกว่า สุตมทะ (๑๓)
ปฏิภาณมทะ เป็นไฉน
ความเมา ฯลฯ ความที่จิตต้องการเชิดชูตนเป็นดุจธงเพราะอาศัยปฏิภาณ
นี้เรียกว่า ปฏิภาณมทะ (๑๔)
รัตตัญญูมทะ เป็นไฉน
ความเมา ฯลฯ ความที่จิตต้องการเชิดชูตนเป็นดุจธงเพราะอาศัยความเป็น
ผู้รัตตัญญู นี้เรียกว่า รัตตัญญูมทะ (๑๕)
ปิณฑปาติกมทะ เป็นไฉน
ความเมา ฯลฯ ความที่จิตต้องการเชิดชูตนเป็นดุจธงเพราะอาศัยความเป็น
ผู้ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร นี้เรียกว่า ปิณฑปาติกมทะ (๑๖)
อนวัญญาตมทะ เป็นไฉน
ความเมา ฯลฯ ความที่จิตต้องการเชิดชูตนเป็นดุจธงเพราะอาศัยความที่ไม่
มีใครดูหมิ่น นี้เรียกว่า อนวัญญาตมทะ (๑๗)
อิริยาปถมทะ เป็นไฉน
ความเมา ฯลฯ ความที่จิตต้องการเชิดชูตนเป็นดุจธงเพราะอาศัยอิริยาบถ
นี้เรียกว่า อิริยาปถมทะ (๑๘)


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๔๘ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๑.เอกกนิทเทส
อิทธิมทะ เป็นไฉน
ความเมา ฯลฯ ความที่จิตต้องการเชิดชูตนเป็นดุจธงเพราะอาศัยฤทธิ์ นี้
เรียกว่า อิทธิมทะ (๑๙)
ยสมทะ เป็นไฉน
ความเมา ฯลฯ ความที่จิตต้องการเชิดชูตนเป็นดุจธงเพราะอาศัยยศ นี้
เรียกว่า ยสมทะ (๒๐)
สีลมทะ เป็นไฉน
ความเมา ฯลฯ ความที่จิตต้องการเชิดชูตนเป็นดุจธงเพราะอาศัยศีล นี้
เรียกว่า สีลมทะ (๒๑)
ฌานมทะ เป็นไฉน
ความเมา ฯลฯ ความที่จิตต้องการเชิดชูตนเป็นดุจธงเพราะอาศัยฌาน นี้
เรียกว่า ฌานมทะ (๒๒)
สิปปมทะ เป็นไฉน
ความเมา ฯลฯ ความที่จิตต้องการเชิดชูตนเป็นดุจธงเพราะอาศัยศิลปะ นี้
เรียกว่า สิปปมทะ (๒๓)
อาโรหมทะ เป็นไฉน
ความเมา ฯลฯ ความที่จิตต้องการเชิดชูตนเป็นดุจธงเพราะอาศัยความเป็น
ผู้มีทรวดทรงสูง นี้เรียกว่า อาโรหมทะ (๒๔)
ปริณาหมทะ เป็นไฉน
ความเมา ฯลฯ ความที่จิตต้องการเชิดชูตนเป็นดุจธงเพราะอาศัยความมี
ทรวดทรงสันทัด นี้เรียกว่า ปริณาหมทะ (๒๕)
สัณฐานมทะ เป็นไฉน
ความเมา ฯลฯ ความที่จิตต้องการเชิดชูตนเป็นดุจธงเพราะอาศัยความมี
ทรวดทรงงาม นี้เรียกว่า สัณฐานมทะ (๒๖)
ปาริปูริมทะ เป็นไฉน


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๔๙ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๑.เอกกนิทเทส
ความเมา กิริยาที่เมา ภาวะที่เมา ความถือตัว กิริยาที่ถือตัว ภาวะที่ถือตัว
ความลำพองตน ความทะนงตน ความเชิญชูตนเป็นดุจธง ความเห่อเหิม ความ
ที่จิตต้องการเชิดชูตนเป็นดุจธงเพราะอาศัยความมีร่างกายสมบูรณ์ นี้เรียกว่า
ปาริปูริมทะ (๒๗)
[๘๔๕] มทะ เป็นไฉน
ความเมา กิริยาที่เมา ภาวะที่เมา ความถือตัว กิริยาที่ถือตัว ภาวะที่ถือตัว
ความลำพองตน ความทะนงตน ความเชิดชูตนเป็นดุจธง ความเห่อเหิม ความที่
จิตต้องการเชิดชูตนเป็นดุจธง นี้เรียกว่า มทะ (๒๘)
[๘๔๖] ปมาทะ เป็นไฉน
ความปล่อยจิตไป การเพิ่มพูนความปล่อยจิตไปในกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต
หรือในกามคุณ ๕ หรือการทำโดยไม่เคารพ การทำไม่ให้ติดต่อ การทำที่ไม่มั่นคง
ความประพฤติย่อหย่อน ความทอดทิ้งฉันทะ ความทอดทิ้งธุระ ความไม่เสพ
ความไม่เจริญ ความไม่ทำให้มาก ความตั้งใจไม่จริง ความไม่หมั่นประกอบ
ความประมาทในการเจริญสภาวธรรมที่เป็นกุศลทั้งหลาย ความประมาท กิริยาที่
ประมาท ภาวะที่ประมาท มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า ปมาทะ (๒๙)
[๘๔๗] ถัมภะ เป็นไฉน
ความหัวดื้อ กิริยาที่หัวดื้อ ภาวะที่หัวดื้อ ความแข็งกระด้าง ความหยาบคาย
ความเป็นผู้มีจิตแข็งกระด้าง ความไม่อ่อนโยน นี้เรียกว่า ถัมภะ (๓๐)
[๘๔๘] สารัมภะ เป็นไฉน
ความแข่งดี ความแข่งดีตอบ กิริยาที่แข่งดี กิริยาที่แข่งดีตอบ ภาวะที่แข่งดี
ตอบ นี้เรียกว่า สารัมภะ (๓๑)
[๘๔๙] อติริจฉตา เป็นไฉน
ความอยากได้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปของภิกษุผู้ไม่สันโดษด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ
และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร หรือด้วยกามคุณ ๕ ตามมีตามได้ ความอยากได้
ความปรารถนา ความอยากได้เกินประมาณ ความกำหนัด ความกำหนัดนัก ความ
กำหนัดนักแห่งจิต มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า อติริจฉตา (๓๒)


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๕๐ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๑.เอกกนิทเทส
[๘๕๐] มหิจฉตา เป็นไฉน
ความอยากได้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปของภิกษุผู้ไม่สันโดษด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ
และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร หรือด้วยกามคุณ ๕ ตามมีตามได้ ความอยากได้
ความปรารถนา ความอยากได้เกินประมาณ ความกำหนัด ความกำหนัดนัก
ความกำหนัดนักแห่งจิต มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า มหิจฉตา (๓๓)
[๘๕๑] ปาปิจฉตา เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นผู้ไม่มีศรัทธาปรารถนาว่า ขอประชาชนจงเข้าใจเราว่า
เป็นผู้มีศรัทธา เป็นผู้ทุศีลปรารถนาว่า ขอประชาชนจงเข้าใจเราว่า เป็นผู้มีศีล
เป็นผู้มีสุตะน้อยปรารถนาว่า ขอประชาชนจงเข้าใจเราว่า เป็นผู้มีสุตะมาก เป็นผู้
ยินดีในการคลุกคลีด้วยหมู่ปรารถนาว่า ขอประชาชนจงเข้าใจเราว่า เป็นผู้ชอบสงัด
เป็นผู้เกียจคร้านปรารถนาว่า ขอประชาชนจงเข้าใจเราว่า เป็นผู้บำเพ็ญเพียร
เป็นผู้มีสติหลงลืมปรารถนาว่า ขอประชาชนจงเข้าใจเราว่า เป็นผู้มีสติตั้งมั่น เป็นผู้
มีจิตไม่เป็นสมาธิปรารถนาว่า ขอประชาชนจงเข้าใจเราว่า เป็นผู้มีจิตเป็นสมาธิ เป็น
ผู้มีปัญญาทรามปรารถนาว่า ขอประชาชนจงเข้าใจเราว่า เป็นผู้มีปัญญา เป็นผู้ยังไม่
สิ้นอาสวะปรารถนาว่า ขอประชาชนจงเข้าใจเราว่า เป็นผู้สิ้นอาสวะ ความอยากได้
ความปรารถนา ความปรารถนาลามก ความกำหนัด ความกำหนัดนัก ความ
กำหนัดนักแห่งจิต มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า ปาปิจฉตา๑ (๓๔)
[๘๕๒] สิงคะ เป็นไฉน
ความยั่วยวน ความน่ารัก ความสวยสง่า ความเพริดพริ้ง ความมีเสน่ห์
ความไฉไล นี้เรียกว่า สิงคะ (๓๕)
[๘๕๓] ตินติณะ เป็นไฉน
การพูดเกียดกัน กิริยาที่พูดเกียดกัน ภาวะที่พูดเกียดกัน ความละโมบ
กิริยาที่ละโมบ ภาวะที่ละโมบ ความถ่อมตนเพื่อที่จะได้ ความต้องการสิ่งที่ประณีต
นี้เรียกว่า ตินติณะ (๓๖)

เชิงอรรถ :
๑ ภาวะแห่งผู้ปรารถนาลามก ว่าโดยลักษณะ คือยกย่องคุณที่ไม่มีและไม่รู้จักประมาณในการรับ (อภิ.วิ.อ..
๘๕๑/๕๑๕)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๕๑ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๑.เอกกนิทเทส
[๘๕๔] จาปัลยะ เป็นไฉน
การตกแต่งจีวร การตกแต่งบาตร การตกแต่งเสนาสนะ การประดับร่างกาย
ที่เปื่อยเน่านี้ หรือบริขารภายนอก การประเทืองผิว การเล่นหัว ความร่าเริง
ความกำหนัดยินดี ภาวะที่กำหนัดยินดี การตกแต่ง กิริยาที่ชอบตกแต่ง นี้เรียกว่า
จาปัลยะ (๓๗)
[๘๕๕] อสภาควุตติ เป็นไฉน
ความไม่ประพฤติตาม ความประพฤติขัดขืน ความไม่เอื้อเฟื้อ ภาวะที่ไม่
เอื้อเฟื้อ ความไม่เคารพ ความไม่ยำเกรงในบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ผู้ที่ควรเคารพ เช่น
มารดาบิดา พี่ชาย พี่สาว อาจารย์ อุปัชฌาย์ พระพุทธเจ้า หรือพระสาวก
นี้เรียกว่า อสภาควุตติ (๓๘)
[๘๕๖] อรติ เป็นไฉน
ความไม่ยินดี กิริยาที่ไม่ยินดี ความไม่ยินดียิ่ง กิริยาที่ไม่ยินดียิ่ง ความ
รำคาญ ความกระวนกระวายใจในเสนาสนะที่สงัด หรือในสภาวธรรมที่เป็นอธิกุศล๑
คือสมถะและวิปัสสนาอย่างใดอย่างหนึ่ง นี้เรียกว่า อรติ (๓๙)
[๘๕๗] ตันที เป็นไฉน
ความง่วงซึม กิริยาที่ง่วงซึม ภาวะที่ง่วงซึม ความเกียจคร้าน กิริยาที่
เกียจคร้าน ภาวะที่เกียจคร้าน นี้เรียกว่า ตันที๒ (๔๐)
[๘๕๘] วิชัมภิตา เป็นไฉน
ความบิดกาย กิริยาที่บิดกาย การโน้มกายไปข้างหน้า การโน้มกายมาข้าง
หลัง การโน้มกายไปรอบ ๆ การตั้งกายให้สูงขึ้น ความไม่สำราญทางกาย นี้เรียกว่า
วิชัมภิตา (๔๑)
[๘๕๙] ภัตตสัมมทะ เป็นไฉน

เชิงอรรถ :
๑ อภิ.วิ.อ. ๘๕๖/๕๑๗
๒ หมายถึงเกียจคร้านโดยกำเนิด (อภิ.วิ.อ. ๘๕๗/๕๑๗)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๕๒ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๑.เอกกนิทเทส
ความเมาเพราะอาหาร ความอึดอัดลำบากเพราะอาหาร ความเร่าร้อน
กระวนกระวายเพราะอาหาร ความหนักเนื้อหนักตัวเพราะอาหาร ของผู้รับประทาน
อาหารแล้ว นี้เรียกว่า ภัตตสัมมทะ (๔๒)
[๘๖๐] เจตโสลีนัตตะ เป็นไฉน
ความไม่คล่องแห่งจิต ความไม่ควรแก่การงานแห่งจิต ความท้อแท้ ความ
ทดถอย ความหดหู่ กิริยาที่หดหู่ ภาวะที่หดหู่ ความท้อถอย กิริยาที่ท้อถอย
ภาวะที่จิตท้อถอย นี้เรียกว่า เจตโสลีนัตตะ (๔๓)
[๘๖๑] กุหนา เป็นไฉน
ความหลอกลวงด้วยการเสพปัจจัย ความหลอกลวงด้วยการกระซิบในที่ใกล้
หรือการวางท่าทางอิริยาบถ๑ กิริยาที่วางท่าทางอิริยาบถ ความดำรงอิริยาบถด้วยดี
การปั้นสีหน้า ภาวะที่ปั้นสีหน้า ความหลอกลวง กิริยาที่หลอกลวง ภาวะที่
หลอกลวงของภิกษุผู้มุ่งลาภสักการะและชื่อเสียง ผู้ปรารถนาลามก ถูกความ
อยากครอบงำ นี้เรียกว่า กุหนา (๔๔)
[๘๖๒] ลปนา เป็นไฉน
การทักทายผู้อื่น การพูดแนะนำตนเอง การพูดปลอบโยน การพูดยกย่อง
การพูดยกย่องให้สูงขึ้นทุกส่วน การพูดเอาใจคนอื่น การพูดเอาใจคนอื่นบ่อย ๆ
การพูดแนะนำ การพูดแนะนำบ่อย ๆ การพูดยกย่องเพื่อต้องการจะให้เขารัก การ
พูดทำตนให้ต่ำลง การพูดทีเล่นทีจริงเหมือนแกงถั่ว การรับเลี้ยงเด็ก ของภิกษุผู้
มุ่งลาภสักการะและชื่อเสียง ผู้มีความปรารถนาลามก ถูกความอยากครอบงำ นี้
เรียกว่า ลปนา (๔๕)
[๘๖๓] เนมิตติกตา เป็นไฉน
การทำนิมิต๒ ความฉลาดในการทำนิมิต การพูดเกี่ยวข้องด้วยปัจจัย การ
พูดเป็นเลศนัย การพูดเลียบเคียงชนเหล่าอื่น ของภิกษุผู้มุ่งลาภสักการะและชื่อเสียง
ผู้มีความปรารถนาลามก ถูกความอยากครอบงำ นี้เรียกว่า เนมิตติกตา (๔๖)

เชิงอรรถ :
๑ คำว่า “อิริยาบถ” หมายถึงอิริยาบถ ๔ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน (อภิ.วิ.อ. ๘๖๑/๕๒๑)
๒ คำว่า “ทำนิมิต” ในที่นี้หมายถึงความฉลาดในการกระทำทางกายและวาจาเพื่อให้คนอื่นให้ทาน (อภิ.วิ.อ.
๘๖๓/๕๒๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๕๓ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๑.เอกกนิทเทส
[๘๖๔] นิปเปสิกตา เป็นไฉน
การด่า การพูดข่ม การพูดนินทา การพูดตำหนิโทษ การพูดตำหนิโทษหนัก
ขึ้น การพูดเหยียดหยาม การพูดเหยียดหยามให้หนักยิ่งขึ้น การพูดให้เสียชื่อเสียง
การพูดให้เสียชื่อเสียงอย่างร้ายแรง การนำเรื่องเที่ยวไปประจาน การพูดสรรเสริญ
ต่อหน้านินทาลับหลัง๑ ของภิกษุผู้มุ่งลาภสักการะและชื่อเสียง ผู้ปรารถนาลามก
ถูกความอยากครอบงำ นี้เรียกว่า นิปเปสิกตา (๔๗)
[๘๖๕] ลาเภนลาภังนิชิคีสนตา เป็นไฉน
ภิกษุผู้มุ่งลาภสักการะและชื่อเสียง ผู้มีความปรารถนาลามก ถูกความอยาก
ครอบงำ นำอามิสที่ได้จากข้างนี้ไปให้ข้างโน้น หรือที่ได้จากข้างโน้นไปให้ข้างนี้
การแสวงหา การเสาะแสวงหา การเสาะแสวงหาบ่อย ๆ กิริยาที่แสวงหา กิริยา
ที่เสาะแสวงหา กิริยาที่เสาะแสวงหาบ่อย ๆ ซึ่งอามิสด้วยอามิส มีลักษณะเช่นว่านี้
นี้เรียกว่า ลาเภนลาภังนิชิคีสนตา (๔๘)
[๘๖๖] ความถือตัวว่าเป็นผู้เลิศกว่าเขา เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ถือตัวโดยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ โดยชาติ โดยโคตร
โดยความเป็นบุตรของผู้มีตระกูล โดยความเป็นผู้มีรูปงาม โดยทรัพย์ โดยความ
เป็นใหญ่ โดยหน้าที่การงาน โดยศิลปะ โดยวิทยฐานะ โดยการศึกษา หรือโดย
ปฏิภาณ ความถือตัว กิริยาที่ถือตัว ภาวะที่ถือตัว ความลำพองตน ความทะนงตน
การเชิดชูตนเป็นดุจธง ความเห่อเหิม ความที่จิตต้องการเป็นดุจธง มีลักษณะเช่นว่านี้
นี้เรียกว่า ความถือตัวว่าเป็นผู้เลิศกว่าเขา (๔๙)
[๘๖๗] ความถือตัวว่าเป็นผู้เสมอเขา เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ถือตัวโดยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ โดยชาติ โดย
โคตร โดยความเป็นบุตรของผู้มีตระกูล โดยความเป็นผู้มีรูปงาม โดยทรัพย์ โดย
ความเป็นใหญ่ โดยหน้าที่การงาน โดยศิลปะ โดยวิทยฐานะ โดยการศึกษา หรือ

เชิงอรรถ :
๑ คำบาลีว่า “ปรปิฏฺฐิมํสิกตา” อรรถกถาขยายความว่า “ปุรโต มธุรํ ภณิตฺวา ปรมฺมุเข อวณฺณภาสิตา”
ต่อหน้าพูดจาอ่อนหวาน ลับหลังพูดนินทา ติเตียน (อภิ.วิ.อ. ๘๖๔/๕๒๔)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๕๔ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๑.เอกกนิทเทส
โดยปฏิภาณ ความถือตัว กิริยาที่ถือตัว ภาวะที่ถือตัว ความลำพองตน ความ
ทะนงตน ความเชิดชูตนเป็นดุจธง ความเห่อเหิม ความที่จิตต้องการเป็นดุจธง
มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า ความถือตัวว่าเป็นผู้เสมอเขา (๕๐)
[๘๖๘] ความถือตัวว่าเป็นผู้ด้อยกว่าเขา เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ดูหมิ่นตนเองโดยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ โดยชาติ
โดยโคตร โดยความเป็นบุตรของผู้มีตระกูล โดยความเป็นผู้มีรูปงาม โดยทรัพย์
โดยความเป็นใหญ่ โดยหน้าที่การงาน โดยศิลปะ โดยวิทยฐานะ โดยการศึกษา
หรือโดยปฏิภาณ ความดูหมิ่น กิริยาที่ดูหมิ่น ภาวะที่ดูหมิ่น ความเกลียดตน
ความเกลียดตนยิ่ง ภาวะที่เกลียดตนเป็นอย่างยิ่ง ความดูถูกตน ความดูถูกตนว่า
ต่ำต้อย ความดูแคลนตน มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า ความถือตัวว่าเป็นผู้ด้อย
กว่าเขา (๕๑)
[๘๖๙] เป็นผู้เลิศกว่าเขา ถือตัวว่าเลิศกว่าเขา เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นผู้เลิศกว่าเขา ถือตัวว่าเลิศกว่าคนอื่น ๆ โดยเหตุ
อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ โดยชาติ โดยโคตร โดยความเป็นบุตรของผู้มีตระกูล โดย
ความเป็นผู้มีรูปงาม โดยทรัพย์ โดยความเป็นใหญ่ โดยหน้าที่การงาน โดยศิลปะ
โดยวิทยฐานะ โดยการศึกษา หรือโดยปฏิภาณ เขาอาศัยการถือตัวว่าเลิศกว่าคน
อื่น ๆ เช่นนี้แล้วถือตัว ความถือตัว กิริยาที่ถือตัว ภาวะที่ถือตัว ความลำพองตน
ความทะนงตน ความเชิดชูตนเป็นดุจธง ความเห่อเหิม ความที่จิตต้องการเป็นดุจธง
มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า เป็นผู้เลิศกว่าเขา ถือตัวว่าเลิศกว่าเขา (๕๒)
[๘๗๐] เป็นผู้เลิศกว่าเขา ถือตัวว่าเสมอเขา เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นผู้เลิศกว่าเขา ถือตัวว่าเสมอกับคนอื่น ๆ โดยเหตุ
อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ โดยชาติ โดยโคตร โดยความเป็นบุตรของผู้มีตระกูล โดย
ความเป็นผู้มีรูปงาม โดยทรัพย์ โดยความเป็นใหญ่ โดยหน้าที่การงาน โดยศิลปะ
โดยวิทยฐานะ โดยการศึกษา หรือโดยปฏิภาณ เขาอาศัยความถือตัวว่าเสมอกับ
คนอื่น ๆ เช่นนี้แล้วถือตัว ความถือตัว กิริยาที่ถือตัว ภาวะที่ถือตัว ความลำพองตน
ความทะนงตน ความเชิดชูตนเป็นดุจธง ความเห่อเหิม ความที่จิตต้องการเป็นดุจธง
มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า เป็นผู้เลิศกว่าเขา ถือตัวว่าเสมอเขา (๕๓)


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๕๕ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๑.เอกกนิทเทส
[๘๗๑] เป็นผู้เลิศกว่าเขา ถือตัวว่าด้อยกว่าเขา เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นผู้เลิศกว่าเขา ถือตัวว่าด้อยกว่าคนอื่น ๆ โดยเหตุ
อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ โดยชาติ โดยโคตร โดยความเป็นบุตรของผู้มีตระกูล โดย
ความเป็นผู้มีรูปงาม โดยทรัพย์ โดยความเป็นใหญ่ โดยหน้าที่การงาน โดย
ศิลปะ โดยวิทยฐานะ โดยการศึกษา หรือโดยปฏิภาณ เขาอาศัยความถือตัวว่า
ด้อยกว่าคนอื่น ๆ เช่นนั้นแล้วดูหมิ่นตน ความดูหมิ่นตน กิริยาที่ดูหมิ่นตน ภาวะ
ที่ดูหมิ่นตน ความเกลียดตน กิริยาที่เกลียดตนยิ่ง ภาวะที่เกลียดตนเป็นอย่างยิ่ง
ความดูถูกตน ความดูถูกตนว่าต่ำต้อย ความดูแคลนตน มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้
เรียกว่า เป็นผู้เลิศกว่าเขา ถือตัวว่าด้อยกว่าเขา (๕๔)
[๘๗๒] เป็นผู้เสมอเขา ถือตัวว่าเลิศกว่าเขา เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นผู้เสมอเขา ถือตัวว่าเลิศกว่าคนอื่น ๆ โดยเหตุอย่าง
ใดอย่างหนึ่ง คือ โดยชาติ โดยโคตร โดยความเป็นบุตรของผู้มีตระกูล ฯลฯ
เขาอาศัยความถือตัวว่าเลิศกว่าคนอื่น ๆ เช่นนั้นแล้วถือตัว ความถือตัว กิริยาที่
ถือตัว ภาวะที่ถือตัว ความลำพองตน ความทะนงตน ความเชิดชูตนเป็นดุจธง
ความเห่อเหิม ความที่จิตต้องการเป็นดุจธง มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า เป็นผู้
เสมอเขา ถือตัวว่าเลิศกว่าเขา (๕๕)
[๘๗๓] เป็นผู้เสมอเขา ถือตัวว่าเสมอเขา เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นผู้เสมอเขา ถือตัวว่าเสมอกับคนอื่น ๆ โดยเหตุอย่าง
ใดอย่างหนึ่ง คือ โดยชาติ โดยโคตร โดยความเป็นบุตรของผู้มีตระกูล ฯลฯ เขา
อาศัยความถือตัวว่าเสมอกับคนอื่น ๆ เช่นนั้นแล้วถือตัว ความถือตัว กิริยาที่ถือตัว
ภาวะที่ถือตัว ความลำพองตน ความทะนงตน ความเชิดชูตนเป็นดุจธง ความ
เห่อเหิม ความที่จิตต้องการเป็นดุจธง มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า เป็นผู้เสมอเขา
ถือตัวว่าเสมอเขา (๕๖)
[๘๗๔] เป็นผู้เสมอเขา ถือตัวว่าด้อยกว่าเขา เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นผู้เสมอเขา ถือตัวว่าด้อยกว่าคนอื่น ๆ โดยเหตุ
อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ โดยชาติ โดยโคตร โดยความเป็นบุตรของผู้มีตระกูล ฯลฯ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๕๖ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๑.เอกกนิทเทส
เขาอาศัยความถือตัวว่าด้อยกว่าคนอื่น ๆ เช่นนั้นแล้วดูหมิ่นตน ความดูหมิ่นตน
กิริยาที่ดูหมิ่นตน ภาวะที่ดูหมิ่นตน ความเกลียดตน กิริยาที่เกลียดตนยิ่ง ภาวะ
ที่เกลียดตนเป็นอย่างยิ่ง ความดูถูกตน ความดูถูกตนว่าต่ำต้อย ความดูแคลนตน
มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า เป็นผู้เสมอเขา ถือตัวว่าด้อยกว่าเขา (๕๗)
[๘๗๕] เป็นผู้ด้อยกว่าเขา ถือตัวว่าเลิศกว่าเขา เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นผู้ด้อยกว่าเขา ถือตัวว่าเลิศกว่าคนอื่น ๆ โดยเหตุ
อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ โดยชาติ โดยโคตร โดยความเป็นบุตรของผู้มีตระกูล ฯลฯ
เขาอาศัยความถือตัวว่าเลิศกว่าคนอื่น ๆ เช่นนั้นแล้วถือตัว ความถือตัว กิริยาที่
ถือตัว ภาวะที่ถือตัว ความลำพองตน ความทะนงตน ความเชิดชูตนเป็นดุจธง
ความที่จิตต้องการเป็นดุจธง มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า เป็นผู้ด้อยกว่าเขา ถือ
ตัวว่าเลิศกว่าเขา (๕๘)
[๘๗๖] เป็นผู้ด้อยกว่าเขา ถือตัวว่าเสมอเขา เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นผู้ด้อยกว่าเขา ถือตัวว่าเสมอกับคนอื่น ๆ โดยเหตุ
อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ โดยชาติ โดยโคตร โดยความเป็นบุตรของผู้มีตระกูล ฯลฯ
เขาอาศัยความถือตัวว่าเสมอกับคนอื่น ๆ เช่นนั้นแล้วถือตัว ความถือตัว กิริยาที่
ถือตัว ภาวะที่ถือตัว ความลำพองตน ความทะนงตน ความเชิดชูตนเป็นดุจธง
ความเห่อเหิม ความที่จิตต้องการเป็นดุจธง มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า เป็นผู้
ด้อยกว่าเขา ถือตัวว่าเสมอเขา (๕๙)
[๘๗๗] เป็นผู้ด้อยกว่าเขา ถือตัวว่าด้อยกว่าเขา เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นผู้ด้อยกว่าเขา ถือตัวว่าด้อยกว่าคนอื่น ๆ โดยเหตุ
อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ โดยชาติ โดยโคตร โดยความเป็นบุตรของผู้มีตระกูล
ฯลฯ เขาอาศัยความถือตัวว่าด้อยกว่าคนอื่น ๆ เช่นนั้นแล้วดูหมิ่นตน ความดูหมิ่น
ตน กิริยาที่ดูหมิ่นตน ภาวะที่ดูหมิ่นตน ความเกลียดตน กิริยาที่เกลียดตน ภาวะ
ที่เกลียดตน ความดูถูกตน ความดูถูกตนว่าต่ำต้อย ความดูแคลนตน มีลักษณะ
เช่นว่านี้ นี้เรียกว่า เป็นผู้ด้อยกว่าเขา ถือตัวว่าด้อยกว่าเขา (๖๐)
[๘๗๘] มานะ เป็นไฉน


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๕๗ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๑.เอกกนิทเทส
ความถือตัว กิริยาที่ถือตัว ภาวะที่ถือตัว ความลำพองตน ความทะนงตน
ความเชิดชูตนเป็นดุจธง ความเห่อเหิม ความที่จิตต้องการเป็นดุจธง นี้เรียกว่า
มานะ (๖๑)
[๘๗๙] อติมานะ เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ดูหมิ่นคนอื่น ๆ โดยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ โดย
ชาติ โดยโคตร โดยความเป็นบุตรของผู้มีตระกูล ฯลฯ ความถือตัว กิริยาที่ถือตัว
ภาวะที่ถือตัว ความลำพองตน ความทะนงตน ความเชิดชูตนเป็นดุจธง ความ
เห่อเหิม ความที่จิตต้องการเป็นดุจธง มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า อติมานะ (๖๒)
[๘๘๐] มานาติมานะ เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้เบื้องต้นถือตัวว่าเสมอกับคนอื่น ๆ ต่อมาถือตัวว่าเลิศ
กว่าคนอื่น ๆ โดยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ โดยชาติ โดยโคตร โดยความเป็น
บุตรของผู้มีตระกูล ฯลฯ ความถือตัว กิริยาที่ถือตัว ภาวะที่ถือตัว ความลำพองตน
ความทะนงตน ความเชิดชูตนเป็นดุจธง ความเห่อเหิม ความที่จิตต้องการเป็นดุจธง
มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า มานาติมานะ (๖๓)
[๘๘๑] โอมานะ เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ดูหมิ่นตนเองโดยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ โดยชาติ
โดยโคตร โดยความเป็นบุตรของผู้มีตระกูล โดยความเป็นผู้มีรูปงาม โดยทรัพย์
โดยความเป็นใหญ่ โดยหน้าที่การงาน โดยศิลปะ โดยวิทยฐานะ โดยการศึกษา
หรือโดยปฏิภาณ ความดูหมิ่นตน กิริยาที่ดูหมิ่นตน ภาวะที่ดูหมิ่นตน ความ
เกลียดตน กิริยาที่เกลียดตน ภาวะที่เกลียดตน ความดูถูกตนว่าต่ำต้อย ความ
ดูแคลนตน มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า โอมานะ (๖๔)
[๘๘๒] อธิมานะ เป็นไฉน
ความสำคัญธรรมที่ตนยังไม่ได้บรรลุว่าบรรลุแล้ว ความสำคัญกิจที่ตนยังไม่
ได้ทำว่าทำแล้ว ความสำคัญธรรมที่ตนยังไม่ได้บรรลุว่าบรรลุแล้ว ความสำคัญ
ธรรมที่ตน ยังไม่ได้ทำให้แจ้งว่าทำให้แจ้งแล้ว ความถือตัว กิริยาที่ถือตัว ภาวะที่
ถือตัว ความลำพองตน ความทะนงตน ความเชิดชูตนเป็นดุจธง ความเห่อเหิม
ความที่จิตต้องการเป็นดุจธง มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า อธิมานะ (๖๕)


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๕๘ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๑.เอกกนิทเทส
[๘๘๓] อัสมิมานะ เป็นไฉน
ความสำคัญว่าเราเป็นรูป ความพอใจว่าเราเป็นรูป ความเข้าใจว่าเราเป็นรูป
ความสำคัญว่าเราเป็นเวทนา ฯลฯ เราเป็นสัญญา ฯลฯ เราเป็นสังขาร ฯลฯ เรา
เป็นวิญญาณ ความพอใจว่าเราเป็นวิญญาณ ความเข้าใจว่าเราเป็นวิญญาณ ความ
ถือตัว กิริยาที่ถือตัว ภาวะที่ถือตัว ความลำพองตน ความทะนงตน ความเชิดชู
ตนเป็นดุจธง ความเห่อเหิม ความที่จิตต้องการเป็นดุจธง มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้
เรียกว่า อัสมิมานะ (๖๖)
[๘๘๔] มิจฉามานะ เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ถือตัวโดยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ โดยหน้าที่การงาน
โดยศิลปะ โดยวิทยฐานะ โดยการศึกษา โดยปฏิภาณ โดยศีล โดยพรต โดยศีล
และพรต หรือโดยทิฏฐิ๑ อันลามก ความถือตัว กิริยาที่ถือตัว ภาวะที่ถือตัว
ความลำพองตน ความทะนงตน ความเชิดชูตนเป็นดุจธง ความเห่อเหิม ความที่
จิตต้องการเป็นดุจธง มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า มิจฉามานะ (๖๗)
[๘๘๕] ญาติวิตักกะ เป็นไฉน
ความตรึก ความตรึกโดยอาการต่าง ๆ ความดำริผิดที่อาศัยเรือน๒ ปรารภ
หมู่ญาติ นี้เรียกว่า ญาติวิตักกะ (๖๘)
[๘๘๖] ชนปทวิตักกะ เป็นไฉน
ความตรึก ความตรึกโดยอาการต่าง ๆ ความดำริผิดที่อาศัยเรือน๒ ปรารภ
ชนบท นี้เรียกว่า ชนปทวิตักกะ (๖๙)
[๘๘๗] อมรวิตักกะ เป็นไฉน
ความตรึก ความตรึกโดยอาการต่าง ๆ ความดำริผิดที่อาศัยเรือน๒ ประกอบ
ด้วยทุกรกิริยา หรือประกอบด้วยทิฏฐิ นี้เรียกว่า อมรวิตักกะ (๗๐)

เชิงอรรถ :
๑ หมายถึงทิฏฐิอย่างใดอย่างหนึ่งในทิฏฐิ ๖๒ (อภิ.วิ.อ. ๘๘๔/๕๓๐)
๒ คำว่า “อาศัยเรือน” ในอรรถกถาขยายว่า ได้แก่กามคุณ ๕ (อภิ.วิ.อ.๘๘๕/๔๓๕)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๕๙ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๒.ทุกนิทเทส
[๘๘๘] ปรานุททยตาปฏิสังยุตตวิตักกะ เป็นไฉน
สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้อยู่คลุกคลีกับคฤหัสถ์มีความรื่นเริงร่วมกัน มี
ความโศกเศร้าร่วมกัน ถึงคราวเขาสุขก็พลอยสุขด้วย ถึงคราวเขาทุกข์ก็พลอยทุกข์
ด้วย เมื่อเขามีกิจที่จะพึงทำเกิดขึ้นก็พยายามช่วยทำด้วยตนเอง ความตรึก ความ
ตรึกโดยอาการต่าง ๆ ความดำริผิดที่อาศัยเรือน๑ ในเพราะการอยู่คลุกคลีด้วยคฤหัสถ์
นั้น นี้เรียกว่า ปรานุททยตาปฏิสังยุตตวิตักกะ (๗๑)
[๘๘๙] ลาภสักการสิโลกปฏิสังยุตตวิตักกะ เป็นไฉน
ความตรึก ความตรึกโดยอาการต่าง ๆ ความดำริผิดที่อาศัยเรือน๑ ปรารภ
ลาภสักการะและชื่อเสียง นี้เรียกว่า ลาภสักการสิโลกปฏิสังยุตตวิตักกะ (๗๒)
[๘๙๐] อนวัญญัตติปฏิสังยุตตวิตักกะ เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้รำพึงว่า คนเหล่าอื่นอย่าได้ดูหมิ่นเราโดยเหตุอย่างใด
อย่างหนึ่ง คือ โดยชาติ โดยโคตร โดยความเป็นบุตรของผู้มีตระกูล โดยความ
เป็นผู้มีรูปงาม โดยทรัพย์ โดยความเป็นใหญ่ โดยหน้าที่การงาน โดยศิลปะ
โดยวิทยฐานะ โดยการศึกษา หรือโดยปฏิภาณ ความตรึก ความตรึกโดยอาการ
ต่าง ๆ ความดำริผิดที่อาศัยเรือน๑ ในเพราะความไม่อยากให้ใครดูหมิ่นนั้น นี้เรียก
ว่า อนวัญญัตติปฏิสังยุตตวิตักกะ (๗๓)
เอกกนิทเทส จบ

๒. ทุกนิทเทส
[๘๙๑] บรรดามาติกาเหล่านั้น โกธะ เป็นไฉน
ความโกรธ กิริยาที่โกรธ ภาวะที่โกรธ ความคิดประทุษร้าย กิริยาที่คิด
ประทุษร้าย ภาวะที่คิดประทุษร้าย ความคิดปองร้าย กิริยาที่คิดปองร้าย ภาวะที่
คิดปองร้าย ความยินร้าย ความยินร้ายตอบ ความดุร้าย ความเกรี้ยวกราด
ความที่จิตไม่เบิกบาน นี้เรียกว่า โกธะ (๑)

เชิงอรรถ :
๑ คำว่า “เรือน” ในที่นี้หมายถึงกามคุณ ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ (อภิ.วิ.อ. ๘๙๐/๕๓๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๖๐ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๒.ทุกนิทเทส
อุปนาหะ เป็นไฉน
ความโกรธครั้งแรกชื่อว่าความโกรธ ความโกรธในเวลาต่อมาชื่อว่าความผูก
โกรธ ความผูกโกรธ กิริยาที่ผูกโกรธ ภาวะที่ผูกโกรธ การไม่หยุดโกรธ การตั้งความ
โกรธไว้ การดำรงความโกรธไว้ การโผลงไปตามความโกรธ การตามไปผูกความโกรธ
ไว้ การทำความผูกโกรธไว้ให้มั่น มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า อุปนาหะ (๑)
[๘๙๒] มักขะ เป็นไฉน
ความลบหลู่คุณท่าน กิริยาที่ลบหลู่คุณท่าน ภาวะที่ลบหลู่คุณท่าน ความดู
หมิ่น การทำความดูหมิ่น นี้เรียกว่า มักขะ
ปลาสะ เป็นไฉน
ความตีเสมอ กิริยาที่ตีเสมอ ภาวะที่ตีเสมอ สภาวธรรมที่เป็นอาหารแห่ง
การตีเสมอโดยนำเอาความชนะของตนมาอ้าง เหตุแห่งความวิวาท ความแข่งดี
ความไม่ยอมสละ นี้เรียกว่า ปลาสะ (๒)
[๘๙๓] อิสสา เป็นไฉน
ความริษยา กิริยาที่ริษยา ภาวะที่ริษยา ความเกลียดชัง กิริยาที่เกลียดชัง
ภาวะที่เกลียดชัง ในเมื่อคนอื่นได้ลาภสักการะ ได้รับความเคารพ ความนับถือ
การกราบไหว้ และการบูชา นี้เรียกว่า อิสสา
มัจฉริยะ เป็นไฉน
มัจฉริยะ ๕ คือ

๑. อาวาสมัจฉริยะ (ตระหนี่ที่อยู่)
๒. กุลมัจฉริยะ (ตระหนี่ตระกูล)
๓. ลาภมัจฉริยะ (ตระหนี่ลาภ)
๔. วัณณมัจฉริยะ (ตระหนี่วรรณะหรือคุณความดี)
๕. ธัมมมัจฉริยะ (ตระหนี่ธรรม)

ความตระหนี่ กิริยาที่ตระหนี่ ภาวะที่ตระหนี่ ความหวงแหน ความ
เหนียวแน่น ความปกปิด ความมีจิตหวงแหน มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า
มัจฉริยะ (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๖๑ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๒.ทุกนิทเทส
[๘๙๔] มายา เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ประพฤติทุจริตด้วยกาย วาจา และใจแล้วตั้งความปรารถนา
ลามกไว้เพราะมีความต้องการจะปกปิดทุจริตนั้นเป็นเหตุ คือ ปรารถนาว่า ขอใคร
อย่าได้รู้ทันเรา ดำริว่า ขอใครอย่าได้รู้ทันเรา พูดว่า ขอใครอย่าได้รู้ทันเรา
ขวนขวายด้วยกายว่า ขอใครอย่าได้รู้ทันเรา ความเจ้าเล่ห์ ความเป็นคนเจ้าเล่ห์
กิริยาที่หลอกให้หลง ความลวง ความโกง ความกลบเกลื่อน ความหลีกเลี่ยง
ความซ่อน ความซ่อนบัง ความปกปิด ความปิดบัง การกระทำไม่ชัดเจน การไม่
ทำให้แจ้ง การปกปิดมิดชิด การกระทำที่ชั่ว มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า มายา
สาเถยยะ เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นผู้โอ้อวด เป็นผู้โอ้อวดจัด ความโอ้อวด กิริยาที่
โอ้อวด ภาวะที่โอ้อวด ความกระด้าง การพูดเป็นเหลี่ยมคู ภาวะที่กระด้างใน
บุคคลนั้น นี้เรียกว่า สาเถยยะ (๔)
[๘๙๕] อวิชชา เป็นไฉน
ความไม่รู้ ความไม่เห็น ฯลฯ ลิ่มคืออวิชชา อกุศลมูลคือโมหะ นี้เรียกว่า
อวิชชา
ภวตัณหา เป็นไฉน
ความพอใจในภพ ความยินดีในภพ ความเพลิดเพลินในภพ ความปรารถนา
ภพ ความเยื่อใยในภพ ความเร่าร้อนเพราะภพ ความสยบในภพ ความหมกมุ่น
ในภพ นี้เรียกว่า ภวตัณหา (๕)
[๘๙๖] ภวทิฏฐิ เป็นไฉน
ความเห็นว่า อัตตาและโลกจักมี ดังนี้ ทิฏฐิ ความเห็นผิด ฯลฯ ความ
ยึดถือโดยวิปลาส มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า ภวทิฏฐิ
วิภวทิฏฐิ เป็นไฉน
ความเห็นว่า อัตตาและโลกจักไม่มี ดังนี้ ทิฏฐิ ความเห็นผิด ฯลฯ ความ
ยึดถือโดยวิปลาส มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า วิภวทิฏฐิ (๖)


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๖๒ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๒.ทุกนิทเทส
[๘๙๗] สัสสตทิฏฐิ เป็นไฉน
ความเห็นว่า อัตตาและโลกเที่ยง ดังนี้ ทิฏฐิ ความเห็นผิด ฯลฯ ความ
ยึดถือโดยวิปลาส มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า สัสสตทิฏฐิ
อุจเฉททิฏฐิ เป็นไฉน
ความเห็นว่า อัตตาและโลกขาดสูญ ดังนี้ ทิฏฐิ ความเห็นผิด ฯลฯ
ความยึดถือโดยวิปลาส มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า อุจเฉททิฏฐิ (๗)
[๘๙๘] อันตวาทิฏฐิ เป็นไฉน
ความเห็นว่า อัตตาและโลกมีที่สุด ดังนี้ ทิฏฐิ ความเห็นผิด ฯลฯ ความ
ยึดถือโดยวิปลาส มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า อันตวาทิฏฐิ
อนันตวาทิฏฐิ เป็นไฉน
ความเห็นว่า อัตตาและโลกไม่มีที่สุด ดังนี้ ทิฏฐิ ความเห็นผิด ฯลฯ
ความยึดถือโดยวิปลาส มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า อนันตวาทิฏฐิ (๘)
[๘๙๙] ปุพพันตานุทิฏฐิ เป็นไฉน
ทิฏฐิ ธรรมชาติที่นับว่าทิฏฐิ ฯลฯ ความยึดถือโดยวิปลาส ปรารภส่วน
อดีตเกิดขึ้น นี้เรียกว่า ปุพพันตานุทิฏฐิ
อปรันตานุทิฏฐิ เป็นไฉน
ทิฏฐิ ธรรมชาติที่นับว่าทิฏฐิ ฯลฯ ความยึดถือโดยวิปลาส ปรารภส่วน
อนาคตเกิดขึ้น นี้เรียกว่า อปรันตานุทิฏฐิ (๙)
[๙๐๐] อหิริกะ เป็นไฉน
ความไม่ละอายต่อการประพฤติทุจริตอันเป็นสิ่งที่ควรละอาย ความไม่ละอาย
ต่อการประกอบบาปอกุศลธรรมทั้งหลาย นี้เรียกว่า อหิริกะ
อโนตตัปปะ เป็นไฉน
ความไม่เกรงกลัวต่อการประพฤติทุจริตอันเป็นสิ่งที่ควรเกรงกลัว ความไม่
เกรงกลัวต่อการประกอบบาปอกุศลธรรมทั้งหลาย นี้เรียกว่า อโนตตัปปะ (๑๐)


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๖๓ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๒.ทุกนิทเทส
[๙๐๑] โทวจัสสตา เป็นไฉน
ความเป็นผู้ว่ายาก กิริยาที่เป็นผู้ว่ายาก ภาวะที่เป็นผู้ว่ายาก ความยึดถือ
ข้างขัดขืน ความพอใจทางโต้แย้ง ความไม่เอื้อเฟื้อ กิริยาที่ไม่เอื้อเฟื้อ ความไม่เคารพ
ความไม่เชื่อฟังในเมื่อถูกว่ากล่าวโดยชอบธรรม นี้เรียกว่า โทวจัสสตา
ปาปมิตตตา เป็นไฉน
บุคคลเหล่าใดไม่มีศรัทธา ไม่มีศีล มีการศึกษาน้อย มีความตระหนี่ มี
ปัญญาทราม การเสพ การเสพเป็นนิตย์ การเสพด้วยดี การคบ การคบด้วยดี
ความภักดี ความจงรักภักดีต่อบุคคลเหล่านั้น ความเป็นผู้ร่วมพวกกับบุคคลเหล่า
นั้น นี้เรียกว่า ปาปมิตตตา (๑๑)
[๙๐๒] อนัชชวะ เป็นไฉน
ความไม่ซื่อตรง ภาวะที่ไม่ซื่อตรง ความคด ความงอ ความโกง นี้เรียกว่า
อนัชชวะ
อมัททวะ เป็นไฉน
ความไม่อ่อนโยน ภาวะที่ไม่อ่อน ความกระด้าง ความหยาบคาย ภาวะที่
กระด้าง ความแข็งกระด้าง ความมีจิตแข็งกระด้าง ความไม่อ่อนโยน นี้เรียกว่า
อมัททวะ (๑๒)
[๙๐๓] อขันติ เป็นไฉน
ความไม่อดทน ภาวะที่ไม่อดทน ความไม่อดกลั้น ความดุร้าย ความ
เกรี้ยวกราด ความที่จิตไม่เบิกบาน นี้เรียกว่า อขันติ
อโสรัจจะ เป็นไฉน
ความล่วงละเมิดทางกาย ความล่วงละเมิดทางวาจา ความล่วงละเมิดทาง
กายและทางวาจา นี้เรียกว่า ความไม่เสงี่ยม ความเป็นผู้ทุศีลแม้ทั้งหมดเรียกว่า
อโสรัจจะ (๑๓)
[๙๐๔] อสาขัลยะ เป็นไฉน


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๖๔ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๒.ทุกนิทเทส
วาจาใดเป็นปม หยาบคาย เผ็ดร้อนต่อผู้อื่น กระทบกระทั่งผู้อื่น ใกล้ต่อ
ความโกรธ ไม่เป็นไปเพื่อสมาธิ บุคคลเป็นผู้พูดวาจาเช่นนั้น ความเป็นผู้มีวาจาไม่
อ่อนหวาน ความเป็นผู้มีวาจาไม่ละมุนละมัย ความเป็นผู้มีวาจาหยาบ ในลักษณะ
ดังกล่าวนั้น นี้เรียกว่า อสาขัลยะ
อัปปฏิสันถาร เป็นไฉน
ปฏิสันถาร ๒ คือ อามิสปฏิสันถาร และธัมมปฏิสันถาร บุคคลบางคนใน
โลกนี้เป็นผู้ไม่ทำการปฏิสันถารด้วยอามิสปฏิสันถาร หรือด้วยธัมมปฏิสันถาร นี้
เรียกว่า อัปปฏิสันถาร (๑๔)
[๙๐๕] ความเป็นผู้ไม่คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้เห็นรูปด้วยจักษุแล้วรวบถือ แยกถือ ซึ่งเมื่อไม่สำรวม
แล้วก็จะเป็นเหตุให้บาปอกุศลธรรมคืออภิชฌาและโทมนัสครอบงำได้ ไม่ปฏิบัติเพื่อ
สำรวมในจักขุนทรีย์ ไม่รักษาจักขุนทรีย์ ไม่ถึงความสำรวมในจักขุนทรีย์ ฟังเสียง
ด้วยหู ฯลฯ สูดกลิ่นด้วยจมูก ฯลฯ ลิ้มรสด้วยลิ้น ฯลฯ ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย
ฯลฯ รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจแล้วรวบถือ แยกถือ ซึ่งเมื่อไม่สำรวมแล้วก็จะเป็นเหตุให้
บาปอกุศลธรรมคืออภิชฌาและโทมนัสครอบงำได้ ไม่ปฏิบัติเพื่อสำรวมในมนินทรีย์
นั้น ไม่รักษามนินทรีย์ ไม่ถึงความสำรวมในมนินทรีย์ ความไม่คุ้มครอง กิริยาที่
ไม่คุ้มครอง ความไม่รักษา ความไม่สำรวมในอินทรีย์ ๖ เหล่านี้ นี้เรียกว่า ความ
เป็นผู้ไม่คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย
ความเป็นผู้ไม่รู้จักประมาณในการบริโภค เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ไม่พิจารณาโดยแยบคายย่อมบริโภคอาหารเพื่อเล่น เพื่อ
ความมัวเมา เพื่อให้ผิวพรรณสวยงาม เพื่อความอ้วนพี ความไม่สันโดษ ความไม่
รู้จักประมาณ ความไม่พิจารณาในโภชนะนั้น นี้เรียกว่า ความเป็นผู้ไม่รู้จักประมาณ
ในการบริโภค (๑๕)
[๙๐๖] มุฏฐัสสัจจะ เป็นไฉน
ความระลึกไม่ได้ ความหวนระลึกไม่ได้ ความระลึกย้อนหลังไม่ได้ ความระลึก
ไม่ได้ ภาวะที่ระลึกไม่ได้ ภาวะที่ทรงจำไม่ได้ ความเลื่อนลอย ความหลงลืมสติ
นี้เรียกว่า มุฏฐัสสัจจะ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๖๕ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๓.ติกนิทเทส
อสัมปชัญญะ เป็นไฉน
ความไม่รู้ ความไม่เห็น ฯลฯ ลิ่มคืออวิชชา อกุศลมูลคือโมหะ นี้เรียกว่า
อสัมปชัญญะ (๑๖)
[๙๐๗] สีลวิบัติ เป็นไฉน
ความล่วงละเมิดทางกาย ความล่วงละเมิดทางวาจา ความล่วงละเมิดทาง
กายและทางวาจา นี้เรียกว่า สีลวิบัติ ความเป็นผู้ทุศีลแม้ทั้งหมดชื่อว่าสีลวิบัติ
ทิฏฐิวิบัติ เป็นไฉน
ความเห็นว่า ทานที่บุคคลให้แล้วไม่มีผล การบูชาไม่มีผล ฯลฯ สมณ-
พราหมณ์ผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบทำให้แจ้งโลกนี้และโลกหน้าด้วยปัญญาอันยิ่งด้วย
ตนเองแล้วสอนให้ผู้อื่นรู้ ไม่มีในโลก ดังนี้ ทิฏฐิ ความเห็นผิด ความยึดถือ
โดยวิปลาส มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า ทิฏฐิวิบัติ มิจฉาทิฏฐิแม้ทั้งหมดเรียกว่า
ทิฏฐิวิบัติ (๑๗)
[๙๐๘] อัชฌัตตสัญโญชนะ เป็นไฉน
สังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ ชื่อว่าอัชฌัตตสัญโญชนะ๑
(พหิทธสัญโญชนะ เป็นไฉน)
สังโยชน์เบื้องสูง ๕ ชื่อว่าพหิทธสัญโญชนะ๒ (๑๘)
ทุกนิทเทส จบ

๓. ติกนิทเทส
[๙๐๙] บรรดามาติกาเหล่านั้น อกุศลมูล ๓ เป็นไฉน
อกุศลมูล ๓ คือ โลภะ โทสะ และโมหะ

เชิงอรรถ :
๑ คือสังโยชน์ในกามภพ (อภิ.วิ.อ. ๙๐๘/๕๓๕)
๒ คือสังโยชน์ในรูปภพและอรูปภพ (อภิ.วิ.อ. ๙๐๘/๕๓๕)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๖๖ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๓.ติกนิทเทส
บรรดาอกุศลมูล ๓ นั้น โลภะ เป็นไฉน
ความกำหนัด ความกำหนัดนัก ความคล้อยตามอารมณ์ ความยินดี ความ
เพลิดเพลิน ความกำหนัดด้วยอำนาจความเพลิดเพลิน ความกำหนัดนักแห่งจิต
ความอยาก ความสยบ ความหมกมุ่น ความใคร่ ความรักใคร่ ความข้องอยู่
ความจมอยู่ ความหวั่นไหว ความหลอกลวง ธรรมชาติที่ยังสัตว์ให้เกิด ธรรมชาติ
ที่ยังสัตว์ให้เกิดพร้อม ธรรมชาติที่ร้อยรัด ธรรมชาติที่มีข่าย ธรรมชาติที่ซ่านไป
ธรรมชาติที่ซ่านไปในอารมณ์ต่าง ๆ ธรรมชาติที่เป็นกระแส ธรรมชาติที่แผ่ไป
ธรรมชาติที่ประมวลมา ธรรมชาติที่เป็นเพื่อนใจ ธรรมชาติที่ตั้งความปรารถนา
ธรรมชาติที่นำไปสู่ภพ ตัณหาเหมือนป่า ตัณหาเหมือนหมู่ไม้ที่ตั้งอยู่ในป่า ความ
เชยชิด ความเยื่อใย ความห่วงใย ความผูกพัน ความหวัง กิริยาที่หวัง ภาวะที่หวัง
ความหวังรูป ความหวังเสียง ความหวังกลิ่น ความหวังรส ความหวังโผฏฐัพพะ
ความหวังลาภ ความหวังทรัพย์ ความหวังบุตร ความหวังชีวิต ธรรมชาติที่อยากได้
ธรรมชาติที่อยากได้ทั่ว ธรรมชาติที่อยากได้ยิ่ง กิริยาที่อยากได้ ภาวะที่อยากได้
ความละโมบ กิริยาที่ละโมบ ภาวะที่ละโมบ ธรรมชาติที่เป็นเหตุซมซานไป ความ
ใคร่ในอารมณ์ที่ดี ความกำหนัดในฐานะที่ไม่ควร ความโลภเกินขนาด ความติดใจ
กิริยาที่ติดใจ ความปรารถนา ความกระหยิ่ม ความปรารถนาจัด กามตัณหา
ภวตัณหา วิภวตัณหา ตัณหาในรูปภพ ตัณหาในอรูปภพ ตัณหาในนิโรธ (คือ
ราคะที่สหรคตด้วยอุจเฉททิฏฐิ) รูปตัณหา สัททตัณหา คันธตัณหา รสตัณหา
โผฏฐัพพตัณหา ธรรมตัณหา โอฆะ โยคะ คันถะ อุปาทาน อาวรณ์ นิวรณ์
เครื่องปิดบัง เครื่องผูกมัด อุปกิเลส อนุสัย ปริยุฏฐานะ ตัณหาเหมือนเถาวัลย์
ความปรารถนาวัตถุมีอย่างต่าง ๆ รากเหง้าแห่งทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ แดนเกิดแห่ง
ทุกข์ บ่วงแห่งมาร เบ็ดแห่งมาร แดนแห่งมาร ตัณหาเหมือนแม่น้ำ ตัณหา
เหมือนข่าย ตัณหาเหมือนเชือกผูก ตัณหาเหมือนสมุทร อภิชฌา อกุศลมูลคือโลภะ
นี้เรียกว่า โลภะ
โทสะ เป็นไฉน
ความอาฆาตเกิดขึ้นว่า ผู้นี้เคยทำความเสื่อมเสียแก่เรา ผู้นี้กำลังทำความ
เสื่อมเสียแก่เรา ผู้นี้จักทำความเสื่อมเสียแก่เรา ความอาฆาตเกิดขึ้นว่า ผู้นี้เคยทำ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๖๗ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๓.ติกนิทเทส
ความเสื่อมเสียแก่คนผู้เป็นที่รัก เป็นที่ชอบพอของเรา ผู้นี้กำลังทำความเสื่อมเสีย
แก่คนผู้เป็นที่รัก เป็นที่ชอบพอของเรา ผู้นี้จักทำความเสื่อมเสียแก่คนผู้เป็นที่รัก
เป็นที่ชอบพอของเรา
ความอาฆาตเกิดขึ้นว่า ผู้นี้เคยทำประโยชน์แก่คนผู้ไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่ชอบ
พอของเรา ผู้นี้กำลังทำประโยชน์แก่คนผู้ไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่ชอบพอของเรา ผู้นี้
จักทำประโยชน์แก่คนผู้ไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่ชอบพอของเรา หรือความอาฆาตเกิด
ขึ้นในฐานะที่ไม่สมควร จิตอาฆาต ความขัดเคือง ความกระทบ ความแค้น ความ
เคือง ความพลุ้งพล่าน โทสะ ความคิดประทุษร้าย ความมุ่งคิดประทุษร้าย ความ
ขุ่นจิต ธรรมชาติที่ประทุษร้ายใจ ความโกรธ กิริยาที่โกรธ ภาวะที่โกรธ ความคิด
ประทุษร้าย กิริยาที่คิดประทุษร้าย ภาวะที่คิดประทุษร้าย ความคิดปองร้าย กิริยา
ที่คิดปองร้าย ภาวะที่คิดปองร้าย ความพิโรธ ความแค้น ความดุร้าย ความ
เกรี้ยวกราด ความไม่แช่มชื่นแห่งจิต มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า โทสะ
โมหะ เป็นไฉน
ความไม่รู้ในทุกข์ ความไม่รู้ในทุกขสมุทัย ความไม่รู้ในทุกขนิโรธ ความไม่รู้
ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ความไม่รู้ในส่วนอดีต ความไม่รู้ในส่วนอนาคต ความ
ไม่รู้ทั้งในส่วนอดีตและส่วนอนาคต ความไม่รู้ในสภาวธรรมที่เป็นปัจจัยของกันและ
กัน และอิงอาศัยกันเกิดขึ้น ความไม่รู้ ความไม่เห็น ฯลฯ ลิ่มคืออวิชชา อกุศลมูล
คือโมหะมีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า โมหะ
เหล่านี้ชื่อว่าอกุศลมูล ๓ (๑)
[๙๑๐] อกุศลวิตก ๓ เป็นไฉน
อกุศลวิตก ๓ คือ

๑. กามวิตก (ความตรึกเกี่ยวด้วยกาม)
๒. พยาปาทวิตก (ความตรึกเกี่ยวด้วยความพยาบาท)
๓. วิหิงสาวิตก (ความตรึกเกี่ยวด้วยความเบียดเบียน)

บรรดาวิตก ๓ นั้น กามวิตก เป็นไฉน

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๖๘ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๓.ติกนิทเทส
ความตรึก ความตรึกโดยอาการต่าง ๆ ความดำริผิด ที่เกี่ยวด้วยกาม นี้
เรียกว่า กามวิตก
พยาปาทวิตก เป็นไฉน
ความตรึก ความตรึกโดยอาการต่าง ๆ ความดำริผิด ที่เกี่ยวด้วยความ
พยาบาท นี้เรียกว่า พยาปาทวิตก
วิหิงสาวิตก เป็นไฉน
ความตรึก ความตรึกโดยอาการต่าง ๆ ความดำริผิด ที่เกี่ยวด้วยความ
เบียดเบียน นี้เรียกว่า วิหิงสาวิตก
เหล่านี้ชื่อว่าอกุศลวิตก ๓ (๒)
[๙๑๑] อกุศลสัญญา ๓ เป็นไฉน
อกุศลสัญญา ๓ คือ
๑. กามสัญญา ๒. พยาปาทสัญญา
๓. วิหิงสาสัญญา
บรรดาสัญญา ๓ นั้น กามสัญญา เป็นไฉน
ความจำได้ กิริยาที่จำได้ ภาวะที่จำได้ ที่เกี่ยวด้วยกาม นี้เรียกว่า กาม-
สัญญา
พยาปาทสัญญา เป็นไฉน
ความจำได้ กิริยาที่จำได้ ภาวะที่จำได้ ที่เกี่ยวกับความพยาบาท นี้เรียกว่า
พยาปาทสัญญา
วิหิงสาสัญญา เป็นไฉน
ความจำได้ กิริยาที่จำได้ ภาวะที่จำได้ ที่เกี่ยวด้วยความเบียดบียน นี้เรียกว่า
วิหิงสาสัญญา
เหล่านี้ชื่อว่าอกุศลสัญญา ๓ (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๖๙ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๓.ติกนิทเทส
[๙๑๒] อกุศลธาตุ ๓ เป็นไฉน
อกุศลธาตุ ๓ คือ
๑. กามธาตุ ๒. พยาปาทธาตุ
๓. วิหิงสาธาตุ
บรรดาอกุศลธาตุ ๓ นั้น กามธาตุ เป็นไฉน
กามวิตกชื่อว่ากามธาตุ พยาปาทวิตกชื่อว่าพยาปาทธาตุ วิหิงสาวิตกชื่อว่า
วิหิงสาธาตุ
บรรดาวิตก ๓ นั้น กามวิตก เป็นไฉน
ความตรึก ความตรึกโดยอาการต่าง ๆ ความดำริผิด ที่เกี่ยวด้วยกาม นี้
เรียกว่า กามวิตก
พยาปาทวิตก เป็นไฉน
ความตรึก ความตรึกโดยอาการต่าง ๆ ความดำริผิด ที่เกี่ยวด้วยความ
พยาบาท นี้เรียกว่า พยาปาทวิตก
วิหิงสาวิตก เป็นไฉน
ความตรึก ความตรึกโดยอาการต่าง ๆ ความดำริผิด ที่เกี่ยวด้วยความเบียด
เบียน นี้เรียกว่า วิหิงสาวิตก
เหล่านี้ชื่อว่าอกุศลธาตุ ๓ (๔)
[๙๑๓] ทุจริต ๓ เป็นไฉน
ทุจริต ๓ คือ
๑. กายทุจริต ๒. วจีทุจริต
๓. มโนทุจริต
บรรดาทุจริต ๓ นั้น กายทุจริต เป็นไฉน
ปาณาติบาต อทินนาทาน และกาเมสุมิจฉาจาร นี้เรียกว่า กายทุจริต
วจีทุจริต เป็นไฉน
มุสาวาท ปิสุณวาจา ผรุสวาจา สัมผัปปลาปะ นี้เรียกว่า วจีทุจริต

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๗๐ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๓.ติกนิทเทส
มโนทุจริต เป็นไฉน
อภิชฌา พยาบาท มิจฉาทิฏฐิ นี้เรียกว่า มโนทุจริต
กายทุจริต เป็นไฉน
กายกรรมที่เป็นอกุศลชื่อว่ากายทุจริต วจีกรรมที่เป็นอกุศลชื่อว่าวจีทุจริต
มโนกรรมที่เป็นอกุศลชื่อว่ามโนทุจริต
บรรดาทุจริต ๓ นั้น กายกรรมที่เป็นอกุศล เป็นไฉน
กายสัญเจตนาที่เป็นอกุศลชื่อว่ากายกรรมที่เป็นอกุศล วจีสัญเจตนาที่เป็นอกุศล
ชื่อว่าวจีกรรมที่เป็นอกุศล มโนสัญเจตนาที่เป็นอกุศลชื่อว่ามโนกรรมที่เป็นอกุศล
เหล่านี้ชื่อว่าทุจริต ๓ (๕)
[๙๑๔] อาสวะ ๓ เป็นไฉน
อาสวะ ๓ คือ

๑. กามาสวะ (อาสวะคือกาม)
๒. ภวาสวะ (อาสวะคือภพ)
๓. อวิชชาสวะ (อาสวะคืออวิชชา)

บรรดาอาสวะ ๓ นั้น กามาสวะ เป็นไฉน
ความพอใจในกาม ความกำหนัดในกาม ความเพลิดเพลินในกาม ความ
อยากในกาม ความเยื่อใยในกาม ความเร่าร้อนเพราะกาม ความสยบในกาม
ความหมกมุ่นในกาม นี้เรียกว่า กามาสวะ
ภวาสวะ เป็นไฉน
ความพอใจในภพ ฯลฯ ความหมกมุ่นในภพ ในภพทั้งหลาย นี้เรียกว่า
ภวาสวะ
อวิชชาสวะ เป็นไฉน
ความไม่รู้ในทุกข์ ฯลฯ ลิ่มคืออวิชชา อกุศลมูลคือโมหะ นี้เรียกว่า อวิชชาสวะ
เหล่านี้ชื่อว่าอาสวะ ๓ (๖)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๗๑ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๓.ติกนิทเทส
[๙๑๕] สังโยชน์ ๓ เป็นไฉน
สังโยชน์ ๓ คือ

๑. สักกายทิฏฐิ (ความเห็นว่าเป็นตัวของตน)
๒. วิจิกิจฉา (ความสงสัย ลังเล ไม่แน่ใจ)
๓. สีลัพพตปรามาส (ความถือมั่นศีลพรต)

บรรดาสังโยชน์ ๓ นั้น สักกายทิฏฐิ เป็นไฉน
ปุถุชนในโลกนี้ผู้ไม่ได้สดับ ไม่ได้เห็นพระอริยะ ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยะ
ไม่ได้รับการแนะนำในธรรมของพระอริยะ ไม่ได้เห็นสัตบุรุษ ไม่ฉลาดในธรรมของ
สัตบุรุษ ไม่ได้รับการแนะนำในธรรมของสัตบุรุษ ย่อมพิจารณาเห็นรูปเป็นตนหรือ
เห็นตนมีรูป เห็นรูปในตนหรือเห็นตนในรูป ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาเป็นตน ฯลฯ
เห็นสัญญาเป็นตน ฯลฯ เห็นสังขารเป็นตน ฯลฯ เห็นวิญญาณเป็นตนหรือ
พิจารณาเห็นตนมีวิญญาณ เห็นวิญญาณในตนหรือเห็นตนในวิญญาณ ทิฏฐิ ความ
เห็นผิด ฯลฯ ความยึดถือโดยวิปลาส มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า สักกายทิฏฐิ
วิจิกิจฉา เป็นไฉน
ปุถุชนเคลือบแคลงสงสัยในพระศาสดา ย่อมเคลือบแคลงสงสัยในพระธรรม
ย่อมเคลือบแคลงสงสัยในพระสงฆ์ ย่อมเคลือบแคลงสงสัยในสิกขา ย่อมเคลือบ
แคลงสงสัยในส่วนอดีต ย่อมเคลือบแคลงสงสัยในส่วนอนาคต ย่อมเคลือบแคลง
สงสัยในส่วนอดีตและส่วนอนาคต ย่อมเคลือบแคลงสงสัยในสภาวธรรมที่เป็น
ปัจจัยของกันและกันและอิงอาศัยกันและกันเกิดขึ้น ความเคลือบแคลง กิริยาที่
เคลือบแคลง ภาวะที่เคลือบแคลง ความกระด้างแห่งจิต ความลังเลใจ มีลักษณะ
เช่นว่านี้ นี้เรียกว่า วิจิกิจฉา
สีลัพพตปรามาส เป็นไฉน
สมณพราหมณ์ภายนอกแต่ศาสนานี้ มีความเห็นว่า ความบริสุทธิ์มีได้ด้วยศีล
ด้วยพรต ด้วยศีลและพรต ดังนี้ ทิฏฐิ ความเห็นผิด ฯลฯ ความยึดถือโดยวิปลาส
มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า สีลัพพตปรามาส
เหล่านี้ชื่อว่าสังโยชน์ ๓ (๗)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๗๒ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๓.ติกนิทเทส
[๙๑๖] ตัณหา ๓ เป็นไฉน
ตัณหา ๓ คือ

๑. กามตัณหา (ความทะยานอยากในกาม)
๒. ภวตัณหา (ความทะยานอยากในภพ)
๓. วิภวตัณหา (ความทะยานอยากในวิภพ)

บรรดาตัณหา ๓ นั้น ภวตัณหา เป็นไฉน
ความกำหนัด ความกำหนัดนัก ความกำหนัดนักแห่งจิตที่สหรคตด้วยภวทิฏฐิ
นี้เรียกว่า ภวตัณหา
วิภวตัณหา เป็นไฉน
ความกำหนัด ความกำหนัดนัก ความกำหนัดนักแห่งจิตที่สหรคตด้วย
อุจเฉททิฏฐิ นี้เรียกว่า วิภวตัณหา ตัณหาที่เหลือชื่อว่ากามตัณหา
บรรดาตัณหา ๓ นั้น กามตัณหา เป็นไฉน
ความกำหนัด ความกำหนัดนัก ความกำหนัดนักแห่งจิตที่เกี่ยวด้วยกามธาตุ
นี้เรียกว่า กามตัณหา
ความกำหนัด ความกำหนัดนัก ความกำหนัดนักแห่งจิตที่เกี่ยวกับรูปธาตุและ
อรูปธาตุ นี้เรียกว่า ภวตัณหา
ความกำหนัด ความกำหนัดนัก ความกำหนัดนักแห่งจิตที่สหรคตด้วย
อุจเฉททิฏฐิ นี้เรียกว่า วิภวตัณหา
เหล่านี้ชื่อว่าตัณหา ๓ (๘)
[๙๑๗] ตัณหา ๓ อีกนัยหนึ่ง เป็นไฉน
ตัณหา ๓ คือ
๑. กามตัณหา ๒. รูปตัณหา
๓. อรูปตัณหา
บรรดาตัณหา ๓ นั้น กามตัณหา เป็นไฉน

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๗๓ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๓.ติกนิทเทส
ความกำหนัด ความกำหนัดนัก ความกำหนัดนักแห่งจิตที่เกี่ยวด้วยกามธาตุ
นี้เรียกว่า กามตัณหา
รูปตัณหา เป็นไฉน
ความกำหนัด ความกำหนัดนัก ความกำหนัดนักแห่งจิตที่เกี่ยวด้วยรูปธาตุ
นี้เรียกว่า รูปตัณหา
อรูปตัณหา เป็นไฉน
ความกำหนัด ความกำหนัดนัก ความกำหนัดนักแห่งจิตที่เกี่ยวด้วยอรูปธาตุ
นี้เรียกว่า อรูปตัณหา
เหล่านี้ชื่อว่าตัณหา ๓ (๙)
[๙๑๘] ตัณหา ๓ อีกนัยหนึ่ง เป็นไฉน
ตัณหา ๓ คือ
๑. รูปตัณหา ๒. อรูปตัณหา
๓. นิโรธตัณหา
บรรดาตัณหา ๓ นั้น รูปตัณหา เป็นไฉน
ความกำหนัด ความกำหนัดนัก ความกำหนัดนักแห่งจิตที่เกี่ยวด้วยรูปธาตุ
นี้เรียกว่า รูปตัณหา
อรูปตัณหา เป็นไฉน
ความกำหนัด ความกำหนัดนัก ความกำหนัดนักแห่งจิตที่เกี่ยวด้วยอรูปธาตุ
นี้เรียกว่า อรูปตัณหา
นิโรธตัณหา เป็นไฉน
ความกำหนัด ความกำหนัดนัก ความกำหนัดนักแห่งจิตที่สหรคตด้วย
อุจเฉททิฏฐิ นี้เรียกว่า นิโรธตัณหา
เหล่านี้ชื่อว่าตัณหา ๓ (๑๐)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๗๔ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๓.ติกนิทเทส
[๙๑๙] เอสนา ๓ เป็นไฉน
เอสนา ๓ คือ
๑. กาเมสนา ๒. ภเวสนา
๓. พรหมจริเยสนา
บรรดาเอสนา ๓ นั้น กาเมสนา เป็นไฉน
ความพอใจในกาม ฯลฯ ความหมกมุ่นในกาม นี้เรียกว่า กาเมสนา
ภเวสนา เป็นไฉน
ความพอใจในภพ ฯลฯ ความหมกมุ่นในภพ นี้เรียกว่า ภเวสนา
พรหมจริเยสนา เป็นไฉน
ความเห็นว่า โลกเที่ยง โลกไม่เที่ยง ฯลฯ หลังจากตายแล้ว ตถาคตเกิด
อีกก็ไม่ใช่ จะว่าไม่เกิดอีกก็ไม่ใช่ ดังนี้ ทิฏฐิ ความเห็นผิด ฯลฯ ความยึดถือโดย
วิปลาส มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า พรหมจริเยสนา
บรรดาเอสนา ๓ นั้น กาเมสนา เป็นไฉน
ความกำหนัดในกาม กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมที่เป็นอกุศลซึ่งตั้งอยู่
ในฐานเดียวกันกับความกำหนัดในกามนั้น นี้เรียกว่า กาเมสนา๑
ภเวสนา เป็นไฉน
ความกำหนัดในภพ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมที่เป็นอกุศลซึ่งตั้งอยู่ใน
ฐานเดียวกันกับความกำหนัดในภพนั้น นี้เรียกว่า ภเวสนา
พรหมจริเยสนา เป็นไฉน
ความเห็นที่ถือว่า โลกมีที่สุด กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมที่เป็นอกุศล ซึ่ง
ตั้งอยู่ในฐานเดียวกันกับความเห็นที่ถือว่าโลกมีที่สุดนั้น นี้เรียกว่า พรหมจริเยสนา
เหล่านี้ชื่อว่าเอสนา ๓ (๑๑)

เชิงอรรถ :
๑ สสฺสโต โลโกติอาทินา นเยน วุตฺตา ทิฏฺฐิคติกสมฺมตสฺส พฺรหฺมอริยสฺส คเวสนา ทิฏฺฐิ พฺรหฺมจริเยสนาติ
เวทิตพฺพา (อภิ.วิ.อ. ๙๑๙/๕๓๖)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๗๕ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๓.ติกนิทเทส
[๙๒๐] วิธา ๓ เป็นไฉน
วิธา ๓ คือ ความถือตัวว่า
๑. เป็นผู้เลิศกว่าเขา ๒. เป็นผู้เสมอเขา
๓. เป็นผู้ด้อยกว่าเขา
เหล่านี้เรียกว่า วิธา ๓ (๑๒)
[๙๒๑] ภัย ๓ เป็นไฉน
ภัย ๓ คือ

๑. ชาติภัย (ภัยเกิดเพราะอาศัยชาติ)
๒. ชราภัย (ภัยเกิดเพราะอาศัยชรา)
๓. มรณภัย (ภัยเกิดเพราะอาศัยความตาย)

บรรดาภัย ๓ นั้น ชาติภัย เป็นไฉน
ความกลัว ความขยาด ความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้า ความ
สะดุ้งแห่งจิต เพราะอาศัยความเกิด นี้เรียกว่า ชาติภัย
ชราภัย เป็นไฉน
ความกลัว ความขยาด ความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้า ความ
สะดุ้งแห่งจิต เพราะอาศัยชรา นี้เรียกว่า ชราภัย
มรณภัย เป็นไฉน
ความกลัว ความขยาด ความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้า ความ
สะดุ้งแห่งจิต เพราะอาศัยความตาย นี้เรียกว่า มรณภัย
เหล่านี้ชื่อว่าภัย ๓ (๑๓)
[๙๒๒] ตมะ๑ ๓ เป็นไฉน
ตมะ ๓ คือ

เชิงอรรถ :
๑ ตมนฺธกาโร สมฺโมโห อวิชฺโชโฆ มหพฺภโยติ วจนโต อวิชชา ตโม นาม (อภิ.วิ.อ. ๙๒๒/๕๓๗)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๗๖ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๓.ติกนิทเทส
๑. บุคคลเคลือบแคลงสงสัย ไม่น้อมใจเชื่อ ไม่เลื่อมใส ปรารภ
อดีตกาล
๒. เคลือบแคลงสงสัย ไม่น้อมใจเชื่อ ไม่เลื่อมใส ปรารภอนาคตกาล
๓. เคลือบแคลงสงสัย ไม่น้อมใจเชื่อ ไม่เลื่อมใส ปรารภปัจจุบันกาล
เหล่านี้ชื่อว่าตมะ ๓ (๑๔)
[๙๒๓] ติตถายตนะ ๓๑ เป็นไฉน
ติตถายตนะ ๓ คือ
๑. สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้เป็นผู้มีวาทะอย่างนี้ มีความ
เห็นอย่างนี้ว่า คนเรานี้เสวยสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ไม่ทุกข์ไม่สุขบ้าง
อย่างใดอย่างหนึ่ง การเสวยสุขทุกข์หรือไม่สุขไม่ทุกข์ทั้งหมดนั้น
เพราะเคยการทำเหตุมาก่อน
๒. สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้เป็นผู้มีวาทะอย่างนี้ มีความ
เห็นอย่างนี้ว่า คนเรานี้เสวยสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ไม่ทุกข์ไม่สุขบ้าง
อย่างใดอย่างหนึ่ง การเสวยสุขทุกข์หรือไม่ทุกข์ไม่สุขทั้งหมดนั้น
เพราะเหตุคือผู้เป็นใหญ่สร้างให้
๓. สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้เป็นผู้มีวาทะอย่างนี้ มีความ
เห็นอย่างนี้ว่า คนเรานี้เสวยสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ไม่ทุกข์ไม่สุขบ้าง
อย่างใดอย่างหนึ่ง การเสวยสุขทุกข์หรือไม่ทุกข์ไม่สุขทั้งหมดนั้น
เพราะไม่มีเหตุไม่มีปัจจัย
เหล่านี้ชื่อว่าติตถายตนะ ๓ (๑๕)
[๙๒๔] กิญจนะ ๓๒ เป็นไฉน
กิญจนะ ๓ คือ
๑. กิญจนะคือราคะ ๒. กิญจนะคือโทสะ
๓. กิญจนะคือโมหะ
เหล่านี้ชื่อว่ากิญจนะ ๓ (๑๖)

เชิงอรรถ :
๑ ถิ่น หรือบ่อเกิดทิฏฐิ ๖๒ (อภิ.วิ.อ. ๙๒๓/๕๓๘) ๒ อภิ.วิ.อ. ๙๒๔/๕๓๙

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๗๗ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๓.ติกนิทเทส
อังคณะ ๓๑ เป็นไฉน
อังคณะ ๓ คือ
๑. อังคณะคือราคะ (กิเลสเพียงดังเนินคือราคะ)
๒. อังคณะคือโทสะ (กิเลสเพียงดังเนินคือโทสะ)
๓. อังคณะคือโมหะ (กิเลสเพียงดังเนินคือโมหะ)
เหล่านี้ชื่อว่าอังคณะ ๓ (๑๗)
มละ ๓๒ เป็นไฉน
มละ ๓ คือ
๑. มละคือราคะ (มลทินคือราคะ)
๒. มละคือโทสะ (มลทินคือโทสะ)
๓. มละคือโมหะ (มลทินคือโมหะ)
เหล่านี้ชื่อว่ามละ ๓ (๑๘)
วิสมะ ๓๓ เป็นไฉน
วิสมะ ๓ คือ
๑. วิสมะคือราคะ (ความประพฤติไม่สม่ำเสมอคือราคะ)
๒. วิสมะคือโทสะ (ความประพฤติไม่สม่ำเสมอคือโทสะ)
๓. วิสมะคือโมหะ (ความประพฤติไม่สม่ำเสมอคือโมหะ)
เหล่านี้ชื่อว่าวิสมะ ๓ (๑๙)
วิสมะ ๓ อีกนัยหนึ่ง เป็นไฉน
วิสมะ ๓ คือ
๑. วิสมะทางกาย ๒. วิสมะทางวาจา
๓. วิสมะทางใจ
เหล่านี้ชื่อว่าวิสมะ ๓ (๒๐)

เชิงอรรถ :
๑ แปลว่า กิเลสเพียงดังเนิน คือ ราคะ โทสะ และโมหะ (อภิ.วิ.อ. ๙๒๔/๕๓๙)
๒ มละเป็นมลทินทำจิตให้เศร้าหมอง ซึ่งได้แก่ ราคะ โทสะ และโมหะ (อภิ.วิ.อ. ๙๒๔/๕๓๙)
๓ คำว่า “วิสมะ” หมายถึงความประพฤติที่ไม่สม่ำเสมอ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๗๘ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๓.ติกนิทเทส
อัคคิ๑ ๓ เป็นไฉน
อัคคิ ๓ คือ
๑. อัคคิคือราคะ (ไฟคือราคะ)
๒. อัคคิคือโทสะ (ไฟคือโทสะ)
๓. อัคคิคือโมหะ (ไฟคือโมหะ)
เหล่านี้ชื่อว่าอัคคิ ๓ (๒๑)
กสาวะ ๓ เป็นไฉน
กสาวะ ๓ คือ
๑. กสาวะคือราคะ (กิเลสเพียงดังน้ำฝาดคือราคะ)
๒. กสาวะคือโทสะ (กิเลสเพียงดังน้ำฝาดคือโทสะ)
๓. กสาวะคือโมหะ (กิเลสเพียงดังน้ำฝาดคือโมหะ)
เหล่านี้ชื่อว่ากสาวะ ๓ (๒๒)
กสาวะ ๓ อีกนัยหนึ่ง เป็นไฉน
กสาวะ ๓ คือ
๑. กสาวะทางกาย ๒. กสาวะทางวาจา
๓. กสาวะทางใจ
เหล่านี้ชื่อว่ากสาวะ ๓ (๒๓)
[๙๒๕] อัสสาททิฏฐิ๒ เป็นไฉน
สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้เป็นผู้มีวาทะอย่างนี้ เป็นผู้มีความเห็น
อย่างนี้ว่า กามทั้งหลายไม่มีโทษ ดังนี้ จึงบริโภคกาม นี้เรียกว่า อัสสาททิฏฐิ
อัตตานุทิฏฐิ เป็นไฉน
ปุถุชนในโลกนี้ผู้ไม่ได้สดับ ไม่ได้เห็นพระอริยะ ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยะ
ไม่ได้รับการแนะนำในธรรมของพระอริยะ ไม่ได้เห็นสัตบุรุษ ไม่ฉลาดในธรรมของ

เชิงอรรถ :
๑ แปลว่า ไฟ ท่านเปรียบกิเลสเหมือนไฟ (อภิ.วิ.อ. ๙๒๔/๕๓๙)
๒ ความเห็นผิดที่สัมปยุตด้วยความยินดี (อภิ.วิ.อ. ๙๒๕/๕๔๐)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๗๙ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๓.ติกนิทเทส
สัตบุรุษ ไม่ได้รับการแนะนำในธรรมของสัตบุรุษ ย่อมพิจารณาเห็นรูปเป็นตนหรือ
เห็นตนมีรูป เห็นรูปในตน หรือเห็นตนในรูป ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาเป็นตน ฯลฯ
สัญญาเป็นตน ฯลฯ สังขารเป็นตน ฯลฯ วิญญาณเป็นตน หรือย่อมพิจารณา
เห็นตนมีวิญญาณ เห็นวิญญาณในตน หรือเห็นตนในวิญญาณ ทิฏฐิ ความเห็นผิด
ฯลฯ ความยึดถือโดยวิปลาส มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า อัตตานุทิฏฐิ
มิจฉาทิฏฐิ เป็นไฉน
ความเห็นว่า ทานที่บุคคลให้แล้วไม่มีผล การบูชาไม่มีผล ฯลฯ สมณะ
หรือพราหมณ์ผู้รู้ยิ่งเห็นจริงประจักษ์แจ้งซึ่งโลกนี้และโลกหน้าด้วยตนเองแล้วประกาศ
ให้ผู้อื่นรู้ได้ไม่มีในโลกนี้ ดังนี้ ทิฏฐิ ความเห็นผิด ฯลฯ ความยึดถือโดยวิปลาส
มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า มิจฉาทิฏฐิ สัสสตทิฏฐิชื่อว่าอัสสาททิฏฐิ สักกายทิฏฐิ
ชื่อว่าอัตตานุทิฏฐิ อุจเฉททิฏฐิชื่อว่ามิจฉาทิฏฐิ (๒๔)
[๙๒๖] อรติ เป็นไฉน
ความไม่ยินดี กิริยาที่ไม่ยินดี ความไม่ยินดียิ่ง กิริยาที่ไม่ยินดียิ่ง ความกระสัน
ความดิ้นรนในเสนาสนะที่สงัด หรือในสภาวธรรมทั้งหลายที่เป็นอธิกุศลอย่างใด
อย่างหนึ่ง นี้เรียกว่า อรติ
วิเหสา เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้เบียดเบียนสัตว์ทั้งหลายด้วยฝ่ามือ ด้วยก้อนดิน ด้วย
ท่อนไม้ ด้วยศัสตรา ด้วยเชือก อย่างใดอย่างหนึ่ง ความบีบคั้น ความรบกวน
ความเบียดเบียน ความเบียดเบียนหนักขึ้น การทำให้เดือดร้อน การทำให้เดือด
ร้อนอย่างหนัก การทำร้ายสัตว์อื่น มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า วิเหสา
อธรรมจริยา เป็นไฉน
ความประพฤติไม่เป็นธรรมทางกาย ความประพฤติไม่สม่ำเสมอทางกาย
ความประพฤติไม่เป็นธรรมทางวาจา ความประพฤติไม่สม่ำเสมอทางวาจา ความ
ประพฤติไม่เป็นธรรมทางใจ ความประพฤติไม่สม่ำเสมอทางใจ นี้เรียกว่า อธรรม-
จริยา (๒๕)


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๘๐ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๓.ติกนิทเทส
[๙๒๗] โทวจัสสตา เป็นไฉน
ความเป็นผู้ว่ายาก กิริยาที่เป็นผู้ว่ายาก ภาวะที่เป็นผู้ว่ายาก ความยึดถือ
ข้างขัดขืน ความพอใจในการโต้แย้ง กิริยาที่ไม่เอื้อเฟื้อ ความไม่เอื้อเฟื้อ ความ
ไม่เคารพ ความไม่เชื่อฟังในเมื่อถูกว่ากล่าวโดยชอบธรรม นี้เรียกว่า โทวจัสสตา
ปาปมิตตตา เป็นไฉน
บุคคลเหล่าใดไม่มีศรัทธา ไม่มีศีล เป็นผู้มีสุตะน้อย มีความตระหนี่ มี
ปัญญาทราม การเสพ การเสพเป็นนิตย์ การเสพด้วยดี การคบ การคบด้วยดี
ความภักดี ความจงรักภักดี ความเป็นผู้โน้มไปตามบุคคลเหล่านั้น นี้เรียกว่า
ปาปมิตตตา
นานัตตสัญญา เป็นไฉน
สัญญาที่เกี่ยวด้วยกาม สัญญาที่เกี่ยวด้วยความพยาบาท สัญญาที่เกี่ยวด้วย
ความเบียดเบียน นี้เรียกว่า นานัตตสัญญา สัญญาที่เป็นอกุศลแม้ทั้งหมดชื่อว่า
นานัตตสัญญา (๒๖)
[๙๒๘] อุทธัจจะ เป็นไฉน
ความฟุ้งซ่าน ความไม่สงบ ความซัดส่าย ความพล่านไปแห่งจิต นี้เรียกว่า
อุทธัจจะ
โกสัชชะ เป็นไฉน
ความปล่อยจิต การเพิ่มพูนความปล่อยจิตไปในกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต
หรือในกามคุณ ๕ การทำโดยไม่เคารพ การทำโดยไม่ติดต่อ การทำโดยไม่มั่นคง
ความประพฤติย่อหย่อน ความทอดทิ้งฉันทะ ความทอดทิ้งธุระ ความไม่เสพ
ความไม่ทำให้เจริญ ความไม่ทำให้มาก ความไม่ตั้งใจมั่น ความไม่หมั่นประกอบ
ความประมาทในการเจริญสภาวธรรมทั้งหลายที่เป็นกุศล นี้เรียกว่า โกสัชชะ
ปมาทะ เป็นไฉน
ความปล่อยจิต การเพิ่มพูนความปล่อยจิตไปในกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต
หรือในกามคุณ ๕ การทำโดยไม่เคารพ การทำโดยไม่ติดต่อ การทำที่ไม่มั่นคง


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๘๑ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๓.ติกนิทเทส
ความประพฤติย่อหย่อน ความทอดทิ้งฉันทะ ความทอดทิ้งธุระ ความไม่เสพ
ความไม่ทำให้เจริญ ความไม่ทำให้มาก ความไม่ตั้งใจมั่น ความไม่หมั่นประกอบ
ความประมาทในการเจริญสภาวธรรมทั้งหลายที่เป็นกุศล ความประมาท กิริยาที่
ประมาท ภาวะที่ประมาท มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า ปมาทะ (๒๗)
[๙๒๙] อสันตุฏฐิตา เป็นไฉน
ความอยากได้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปของบุคคลผู้ไม่สันโดษด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ
และคิลานปัจจัยเภสัชบริขารตามมีตามได้ หรือด้วยกามคุณ ๕ ความอยาก ความ
ปรารถนา ความไม่สันโดษ ความกำหนัด ความกำหนัดนัก ความกำหนัดนักแห่ง
จิต มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า อสันตุฏฐิตา
อสัมปชัญญตา เป็นไฉน
ความไม่รู้ ความไม่เห็น ฯลฯ ลิ่มคืออวิชชา อกุศลมูลคือโมหะ นี้เรียกว่า
อสัมปชัญญตา
มหิจฉตา เป็นไฉน
ความอยากได้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปของบุคคลผู้ไม่สันโดษด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ
และคิลานปัจจัยเภสัชบริขารตามมีตามได้ หรือด้วยกามคุณ ๕ ความอยาก ความ
ปรารถนา ความมักมาก ความกำหนัด ความกำหนัดนัก ความกำหนัดนักแห่ง
จิต มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า มหิจฉตา (๒๘)
[๙๓๐] อหิริกะ เป็นไฉน
ความไม่ละอายต่อการประพฤติทุจริตอันเป็นสิ่งที่ควรละอาย ความไม่ละอาย
ต่อการประกอบบาปอกุศลธรรมทั้งหลาย นี้เรียกว่า อหิริกะ
อโนตตัปปะ เป็นไฉน
ความไม่เกรงกลัวการประพฤติทุจริตอันเป็นสิ่งที่ควรเกรงกลัว ความไม่เกรงกลัว
ต่อกการประกอบบาปอกุศลธรรมทั้งหลาย นี้เรียกว่า อโนตตัปปะ
ปมาทะ เป็นไฉน


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๘๒ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๓.ติกนิทเทส
ความปล่อยจิต การเพิ่มพูนความปล่อยจิตไปในกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต
หรือในกามคุณ ๕ การทำโดยไม่เคารพ การทำโดยไม่ติดต่อ การทำโดยไม่มั่นคง
ความประพฤติย่อหย่อน ความทอดทิ้งฉันทะ ความทอดทิ้งธุระ ความไม่เสพ
ความไม่ทำให้เจริญ ความไม่ทำให้มาก ความไม่ตั้งใจมั่น ความไม่หมั่นประกอบ
ความประมาท ในการเจริญสภาวธรรมทั้งหลายที่เป็นกุศล ความประมาท กิริยา
ที่ประมาท ภาวะที่ประมาท มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า ปมาทะ (๒๙)
[๙๓๑] อนาทริยะ เป็นไฉน
ความไม่เอื้อเฟื้อ กิริยาที่ไม่เอื้อเฟื้อ ความไม่เคารพ ความไม่เชื่อฟัง ความ
ไม่เชื่อถือ กิริยาที่ไม่เชื่อถือ ภาวะที่ไม่เชื่อถือ ความไม่มีศีล ความไม่ยำเกรง นี้
เรียกว่า อนาทริยะ
โทวจัสสตา เป็นไฉน
ความที่เป็นผู้ว่ายาก กิริยาที่เป็นผู้ว่ายาก ภาวะที่เป็นผู้ว่ายาก ความถือรั้น
ความพอใจในการโต้แย้ง ความไม่เอื้อเฟื้อ ภาวะที่ไม่เอื้อเฟื้อ ความไม่เคารพ
ความไม่เชื่อฟังในเมื่อถูกว่ากล่าวโดยชอบธรรม นี้เรียกว่า โทวจัสสตา
ปาปมิตตตา เป็นไฉน
บุคคลเหล่าใดไม่มีศรัทธา ไม่มีศีล เป็นผู้มีสุตะน้อย มีความตระหนี่ มี
ปัญญาทราม การเสพ การเสพเป็นนิตย์ การเสพด้วยดี การเสพเฉพาะ การคบ
การคบด้วยดี ความภักดี ความจงรักภักดี ความเป็นผู้โน้มไปตามบุคคลเหล่านั้น
นี้เรียกว่า ปาปมิตตตา (๓๐)
[๙๓๒] อัสสัทธิยะ เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นผู้ไม่มีศรัทธา ไม่เชื่อพระพุทธเจ้า พระธรรม หรือ
พระสงฆ์ ความไม่เชื่อ กิริยาที่ไม่เชื่อ กิริยาที่ไม่ปักใจเชื่อ ความไม่เลื่อมใสยิ่ง มี
ลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า อัสสัทธิยะ
อวทัญญุตา เป็นไฉน
ความตระหนี่มี ๕ อย่างคือ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๘๓ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๓.ติกนิทเทส

๑. อาวาสมัจฉริยะ (ตระหนี่ที่อยู่)
๒. กุลมัจฉริยะ (ตระหนี่ตระกูล)
๓. ลาภมัจฉริยะ (ตระหนี่ลาภ)
๔. วัณณมัจฉริยะ (ตระหนี่วรรณะ)
๕. ธัมมมัจฉริยะ (ตระหนี่ธรรม)

ความตระหนี่ กิริยาที่ตระหนี่ ภาวะที่ตระหนี่ ความหวงแหน ความถี่เหนียว
ความปกปิด ภาวะที่จิตหวงแหน มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า อวทัญญุตา
โกสัชชะ เป็นไฉน
ความปล่อยจิต การเพิ่มพูนความปล่อยจิตไปในกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต
หรือในกามคุณ ๕ การไม่ทำโดยเคารพ การไม่ทำโดยติดต่อ การทำโดยไม่มั่นคง
ความประพฤติย่อหย่อน ความทอดทิ้งฉันทะ ความทอดทิ้งธุระ ความไม่เสพ ความ
ไม่ทำให้เจริญ ความไม่ทำให้มาก ความไม่ตั้งใจมั่น ความไม่หมั่นประกอบ ความ
ประมาทในการเจริญสภาวธรรมที่เป็นกุศล นี้เรียกว่า โกสัชชะ (๓๑)
[๙๓๓] อุทธัจจะ เป็นไฉน
ความฟุ้งซ่าน ความไม่สงบแห่งจิต ความซัดส่าย ความพล่านไปแห่งจิต นี้
เรียกว่า อุทธัจจะ
อสังวร เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้เห็นรูปด้วยตาแล้วรวบถือ แยกถือ ไม่ปฏิบัติเพื่อสำรวมใน
จักขุนทรีย์ ซึ่งเมื่อไม่ปฏิบัติแล้วก็จะเป็นเหตุให้บาปอกุศลธรรมคืออภิชฌาและโทมนัส
ครอบงำได้ ไม่รักษาจักขุนทรีย์ ไม่ถึงความสำรวมในจักขุนทรีย์ ฟังเสียด้วยหู ฯลฯ
สูดกลิ่นด้วยจมูก ฯลฯ ลิ้มรสด้วยลิ้น ฯลฯ ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย ฯลฯ รู้
ธรรมารมณ์ด้วยใจแล้วรวบถือ แยกถือ ไม่ปฏิบัติเพื่อสำรวมในมนินทรีย์ ซึ่งเมื่อไม่
สำรวมแล้วก็จะเป็นเหตุให้บาปอกุศลธรรมคืออภิชฌาและโทมนัสครอบงำได้ ไม่รักษา
มนินทรีย์ ไม่ถึงความสำรวมในมนินทรีย์ นี้เรียกว่า อสังวร
ทุสสีลยะ เป็นไฉน

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๘๔ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๓.ติกนิทเทส
ความล่วงละเมิดทางกาย ความล่วงละเมิดทางวาจา ความล่วงละเมิดทาง
กายและทางวาจา นี้เรียกว่า ทุสสีลยะ (๓๒)
[๙๓๔] อริยานัง อทัสสนกัมยตา เป็นไฉน
บรรดาบุคคลเหล่านั้น พระอริยะ เป็นไฉน
พระพุทธเจ้าและสาวกของพระพุทธเจ้าเรียกว่า พระอริยะ ความไม่ต้องการจะ
พบ ความไม่ต้องการจะเห็น ความไม่ต้องการจะเข้าใกล้ ความไม่ต้องการจะสมาคม
กับพระอริยะเหล่านี้ นี้เรียกว่า อริยานัง อทัสสนกัมยตา
สัทธัมมัง อโสตุกัมยตา เป็นไฉน
บรรดาบทเหล่านั้น สัทธรรม เป็นไฉน
สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕
โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้เรียกว่า สัทธรรม
ความไม่ต้องการจะฟัง ความไม่ต้องการจะสดับ ความไม่ต้องการจะเรียน
ความไม่ต้องการจะทรงจำสัทธรรมนี้ นี้เรียกว่า สัทธัมมัง อโสตุกัมยตา
อุปารัมภจิตตตา เป็นไฉน
บรรดาบทเหล่านั้น อุปารัมภจิตตตา เป็นไฉน
ความคิดแข่งดี ความคิดแข่งดีเนือง ๆ กิริยาที่คิดแข่งดี กิริยาที่คิดแข่งดี
เนือง ๆ ภาวะที่คิดแข่งดีเนือง ๆ ความดูถูก ความดูหมิ่น ความดูแคลน ความ
เป็นผู้คอยแสวงหาโทษ นี้เรียกว่า อุปารัมภจิตตตา (๓๓)
[๙๓๕] มุฏฐัสสัจจะ เป็นไฉน
ความระลึกไม่ได้ ความหวนระลึกไม่ได้ ความย้อนระลึกไม่ได้ ความระลึกไม่ได้
ภาวะที่ระลึกไม่ได้ ความทรงจำไม่ได้ ความเลื่อนลอย ความหลงลืม นี้เรียกว่า
มุฏฐัสสัจจะ
อสัมปชัญญะ เป็นไฉน
ความไม่รู้ ความไม่เห็น ฯลฯ ลิ่มคืออวิชชา อกุศลมูลคือโมหะ นี้เรียกว่า
อสัมปชัญญะ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๘๕ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๔.จตุกกนิทเทส
เจตโสวิกเขปะ เป็นไฉน
ความฟุ้งซ่านแห่งจิต ความไม่สงบแห่งจิต ความซัดส่ายแห่งจิต ความพล่าน
ไปแห่งจิต นี้เรียกว่า เจตโสวิกเขปะ (๓๔)
[๙๓๖] อโยนิโสมนสิการ เป็นไฉน
ความไม่ใส่ใจโดยแยบคายในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง ความไม่ใส่ใจโดยแยบคายใน
สิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข ความไม่ใส่ใจโดยแยบคายในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนว่าเป็นตัวตน
ความไม่ใส่ใจโดยแยบคายในสิ่งที่ไม่งามว่างาม หรือความนึก ความนึกเนือง ๆ
ความคำนึง ความพิจารณา ความใคร่ครวญแห่งจิตโดยผิดจากความจริง นี้เรียกว่า
อโยนิโสมนสิการ
กุมมัคคเสวนา เป็นไฉน
บรรดาสภาวธรรมเหล่านั้น กุมมัคคะ เป็นไฉน
มิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกัปปะ มิจฉาวาจา มิจฉากัมมันตะ มิจฉาอาชีวะ
มิจฉาวายามะ มิจฉาสติ มิจฉาสมาธิ นี้เรียกว่า กุมมัคคะ
การเสพ การเสพเป็นนิตย์ การเสพด้วยดี การคบ การคบด้วยดี ความภักดี
ความจงรักภักดี ความเป็นผู้โน้มน้าวไปตามทางผิด นี้เรียกว่า กุมมัคคเสวนา
เจตโสลีนัตตะ เป็นไฉน
ความที่จิตไม่คล่องแคล่ว ไม่ควรแก่การงาน ความท้อแท้ ความท้อถอย
ความย่อหย่อน กิริยาที่ย่อหย่อน ภาวะที่ย่อหย่อน ความซึมเซา กิริยาที่ซึมเซา
ภาวะที่จิตซึมเซา นี้เรียกว่า เจตโสลีนัตตะ (๓๕)
ติกนิทเทส จบ

๔. จตุกกนิทเทส
[๙๓๗] บรรดาจตุกกมาติกาเหล่านั้น อาสวะ ๔ เป็นไฉน
อาสวะ ๔ คือ
๑. กามาสวะ (อาสวะคือกาม) ๒. ภวาสวะ (อาสวะคือภพ)
๓. ทิฏฐาสวะ (อาสวะคือทิฏฐิ) ๔. อวิชชาสวะ (อาสวะคืออวิชชา)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๘๖ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๔.จตุกกนิทเทส
บรรดาอาสวะ ๔ นั้น กามาสวะ เป็นไฉน
ความพอใจในกาม ฯลฯ ความหมกมุ่นในกาม นี้เรียกว่า กามาสวะ
ภวาสวะ เป็นไฉน
ความพอใจในภพ ฯลฯ ความหมกมุ่นในภพ นี้เรียกว่า ภวาสวะ
ทิฏฐาสวะ เป็นไฉน
ความเห็นว่า โลกเที่ยง ฯลฯ หลังจากตายแล้ว ตถาคตเกิดอีกก็ไม่ใช่ จะ
ว่าไม่เกิดอีกก็ไม่ใช่ ทิฏฐิ ความเห็นผิด ความยึดถือโดยวิปลาส มีลักษณะเช่นว่านี้
นี้เรียกว่า ทิฏฐาสวะ
มิจฉาทิฏฐิแม้ทั้งหมดชื่อว่าทิฏฐาสวะ
อวิชชาสวะ เป็นไฉน
ความไม่รู้ในทุกข์ ฯลฯ ลิ่มคืออวิชชา อกุศลมูลคือโมหะ นี้เรียกว่า อวิชชาสวะ
เหล่านี้ชื่อว่าอาสวะ ๔ (๑)
[๙๓๘] คันถะ ๔ เป็นไฉน
คันถะ ๔ คือ
๑. อภิชฌากายคันถะ ๒. พยาบาทกายคันถะ
๓. สีลัพพตปรามาสกายคันถะ ๔. อิทังสัจจาภินิเวสกายคันถะ
บรรดาคันถะ ๔ นั้น อภิชฌากายคันถะ เป็นไฉน
ความกำหนัด ความกำหนัดนัก ฯลฯ ความเพ่งเล็ง อกุศลมูลคือโลภะ นี้
เรียกว่า อภิชฌากายคันถะ
พยาปาทกายคันถะ เป็นไฉน
ความอาฆาตเกิดขึ้นว่า ผู้นี้ได้ทำความเสื่อมเสียแก่เรา ฯลฯ ความดุร้าย
ความเกรี้ยวกราด ความที่จิตไม่เบิกบาน นี้เรียกว่า พยาปาทกายคันถะ
สีลัพพตปรามาสกายคันถะ เป็นไฉน

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๘๗ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๔.จตุกกนิทเทส
สมณพราหมณ์ภายนอกแต่ศาสนานี้มีความเห็นว่า ความบริสุทธิ์มีได้ด้วยศีล
ด้วยพรต ด้วยศีลและพรต ดังนี้ ทิฏฐิ ความเห็นผิด ฯลฯ ความยึดถือโดย วิปลาส
มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า สีลัพพตปรามาสกายคันถะ
อิทังสัจจาภินิเวสกายคันถะ เป็นไฉน
ความเห็นว่า โลกเที่ยง นี้เท่านั้นจริง อย่างอื่นเปล่า หรือโลกไม่เที่ยง นี้เท่า
นั้นจริง อย่างอื่นเปล่า ฯลฯ ความเห็นว่า หลังจากตายแล้ว ตถาคตเกิดอีกก็มิใช่
จะว่าไม่เกิดอีกก็มิใช่ นี้เท่านั้นจริง อย่างอื่นเปล่า ดังนี้ ทิฏฐิ ความเห็นผิด ฯลฯ
ความยึดถือโดยวิปลาส มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า อิทังสัจจาภินิเวสกายคันถะ
เว้นสีลัพพตปรามาสกายคันถะแล้ว มิจฉาทิฏฐิแม้ทั้งหมดชื่อว่าอิทังสัจจา-
ภินิเวสกายคันถะ
เหล่านี้ชื่อว่าคันถะ ๔ (๒)
โอฆะ ๔ ฯลฯ โยคะ ๔ ฯลฯ อุปาทาน ๔ เป็นไฉน
อุปาทาน ๔ คือ

๑. กามุปาทาน (ความถือมั่นกาม)
๒. ทิฏฐุปาทาน (ความถือมั่นทิฏฐิ)
๓. สีลัพพตุปาทาน (ความถือมั่นศีลพรต)
๔. อัตตวาทุปาทาน (ความถือมั่นวาทะว่ามีตัวตน)

บรรดาอุปาทาน ๔ เหล่านั้น กามุปาทาน เป็นไฉน
ความพอใจในกาม ฯลฯ ความหมกมุ่นในกาม นี้เรียกว่า กามุปาทาน
ทิฏฐุปาทาน เป็นไฉน
ความเห็นว่า ทานที่บุคคลให้แล้วไม่มีผล การบูชาไม่มีผล ฯลฯ สมณพราหมณ์
ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบรู้ยิ่งเห็นจริงแจ้งประจักษ์โลกนี้และโลกหน้าด้วยตนเองแล้วสอน
ให้ผู้อื่นรู้ไม่มีอยู่ในโลก ดังนี้ ทิฏฐิ ความเห็นผิด ฯลฯ ความยึดโดยวิปลาส มี
ลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า ทิฏฐุปาทาน
เว้นสีลัพพตุปาทานและอัตตวาทุปาทานแล้ว มิจฉาทิฏฐิแม้ทั้งหมดชื่อว่า
ทิฏฐุปาทาน

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๘๘ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๔.จตุกกนิทเทส
สีลัพพตุปาทาน เป็นไฉน
สมณพราหมณ์ภายนอกแต่ศาสนานี้ มีความเห็นว่า ความบริสุทธิ์มีได้ด้วยศีล
ด้วยพรต ด้วยศีลและพรต ดังนี้ ทิฏฐิ ความเห็นผิด ฯลฯ ความยึดถือโดย
วิปลาส มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า สีลัพพตุปาทาน
อัตตวาทุปาทาน เป็นไฉน
ปุถุชนในโลกนี้ผู้มีสุตะน้อย ไม่ได้เห็นพระอริยะ ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยะ
ไม่ได้รับการแนะนำในธรรมของพระอริยะ ไม่ได้เห็นสัตบุรุษ ไม่ฉลาดในธรรมของ
สัตบุรุษ ไม่ได้รับการแนะนำในธรรมของสัตบุรุษ ย่อมพิจารณาเห็นรูปเป็นตน
หรือเห็นตนมีรูป เห็นรูปในตน หรือเห็นตนในรูป เห็นเวทนาเป็นตน ฯลฯ เห็น
สัญญาเป็นตน ฯลฯ เห็นสังขารเป็นตน ฯลฯ เห็นวิญญาณเป็นตน หรือย่อม
พิจารณาเห็นตนมีวิญญาณ เห็นวิญญาณในตน หรือเห็นตนในวิญญาณ ดังนี้
ทิฏฐิ ความเห็นผิด ฯลฯ ความยึดถือโดยวิปลาส มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า
อัตตวาทุปาทาน
เหล่านี้ชื่อว่าอุปาทาน ๔ (๕)
[๙๓๙] ตัณหุปาทาน เป็นไฉน
ตัณหาเมื่อเกิดแก่ภิกษุ ย่อมเกิดเพราะจีวรเป็นเหตุ เพราะบิณฑบาตเป็นเหตุ
เพราะเสนาสนะเป็นเหตุ หรือเพราะคิลานปัจจัยอันมีน้ำมัน น้ำผึ้ง และน้ำอ้อย
เป็นต้นที่ประณีตและประณีตยิ่งด้วยประการฉะนี้เป็นเหตุ
เหล่านี้เรียกว่า ตัณหุปาทาน (๖)
อคติคมนะ ๔ เป็นไฉน
บุคคลย่อมถึงความลำเอียงเพราะรักใคร่กัน เพราะเกลียดชัง เพราะเขลา
เพราะกลัว
ความลำเอียง การถึงความลำเอียง การลำเอียงเพราะรักใคร่กัน ความ
ลำเอียงเพราะเป็นพรรคพวกกัน ความหันเหไปเหมือนน้ำไหล มีลักษณะเช่นว่านี้
เหล่านี้เรียกว่า อคติคมนะ ๔ (๗)


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๘๙ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๔.จตุกกนิทเทส
วิปริเยสะ ๔ เป็นไฉน
การแสวงหาผิดด้วยอำนาจความเข้าใจ ความคิด และความเห็นว่าเที่ยงใน
สิ่งที่ไม่เที่ยง ว่าเป็นสุขในสิ่งที่เป็นทุกข์ ว่าเป็นตัวตนในสิ่งที่ไม่เป็นตัวตน และว่า
งามในสิ่งที่ไม่งาม นี้ชื่อว่าวิปริเยสะ ๔ (๘)
อนริยโวหาร ๔ เป็นไฉน
อนริยโวหาร ๔ คือ

๑. เรื่องที่ไม่เห็นพูดว่าเห็น ๒. เรื่องที่ไม่ได้ยินพูดว่าได้ยิน
๓. เรื่องที่ไม่รู้พูดว่ารู้ ๔. เรื่องที่ไม่รู้แจ้งพูดว่ารู้แจ้ง

เหล่านี้เรียกว่า อนริยโวหาร ๔ (๙)
อนริยโวหาร ๔ อีกนัยหนึ่ง เป็นไฉน
อนริยโวหาร ๔ อีกนัยหนึ่ง คือ

๑. เรื่องที่เห็นพูดว่าไม่เห็น ๒. เรื่องที่ได้ยินพูดว่าไม่ได้ยิน
๓. เรื่องที่รู้พูดว่าไม่รู้ ๔. เรื่องที่รู้แจ้งพูดว่าไม่รู้แจ้ง

เหล่านี้เรียกว่า อนริยโวหาร ๔ (๑๐)
ทุจริต ๔ เป็นไฉน
ทุจริต ๔ คือ
๑. ปาณาติบาต (ฆ่าสัตว์) ๒. อทินนาทาน (ลักทรัพย์)
๓. กาเมสุมิจฉาจาร (ประพฤติผิดในกาม)
๔. มุสาวาท (พูดเท็จ)
เหล่านี้เรียกว่า ทุจริต ๔ (๑๑)
ทุจริต ๔ อีกนัยหนึ่ง เป็นไฉน
ทุจริต ๔ อีกนัยหนึ่ง คือ

๑. มุสาวาท (พูดเท็จ) ๒. ปิสุณวาจา (พูดส่อเสียด)
๓. ผรุสวาจา (พูดคำหยาบ) ๔. สัมผัปปลาปะ (พูดเพ้อเจ้อ)

เหล่านี้เรียกว่า ทุจริต ๔ (๑๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๙๐ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๔.จตุกกนิทเทส
ภัย ๔ เป็นไฉน
ภัย ๔ คือ

๑. ชาติภัย (ภัยที่เกิดเพราะอาศัยชาติ)
๒. ชราภัย (ภัยที่เกิดเพราะอาศัยชรา)
๓. พยาธิภัย (ภัยที่เกิดเพราะอาศัยพยาธิ)
๔. มรณภัย (ภัยที่เกิดเพราะอาศัยความตาย)

เหล่านี้เรียกว่า ภัย ๔ (๑๓)
ภัย ๔ อีกนัยหนึ่ง เป็นไฉน
ภัย ๔ คือ

๑. ราชภัย (ภัยเกิดแต่พระราชา)
๒. โจรภัย (ภัยเกิดแต่โจร)
๓. อัคคิภัย (ภัยเกิดแต่ไฟ)
๔. อุทกภัย (ภัยเกิดแต่น้ำท่วม)

เหล่านี้เรียกว่า ภัย ๔ (๑๔)
ภัย ๔ อีกนัยหนึ่ง เป็นไฉน
ภัย ๔ คือ

๑. อูมิภัย (ภัยเกิดแต่คลื่น)
๒. กุมภีลภัย (ภัยเกิดแต่จระเข้)
๓. อาวัฏฏภัย (ภัยเกิดแต่น้ำวน)
๔. สุสุกาภัย (ภัยเกิดแต่ปลาร้าย)

เหล่านี้เรียกว่า ภัย ๔ (๑๕)
ภัย ๔ อีกนัยหนึ่ง เป็นไฉน
ภัย ๔ คือ

๑. อัตตานุวาทภัย (ภัยเกิดจากการติเตียนตนเอง)
๒. ปรานุวาทภัย (ภัยเกิดจากการถูกผู้อื่นติเตียน)
๓. ทัณฑภัย (ภัยเกิดจากการถูกลงอาชญา)
๔. ทุคคติภัย (ภัยเกิดจากทุคติ)

เหล่านี้เรียกว่า ภัย ๔ (๑๖)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๙๑ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๕.ปัญจกนิทเทส
ทิฏฐิ ๔ เป็นไฉน
ความเห็นเกิดขึ้นโดยจริงแท้มั่นคงว่า สุขทุกข์ตนทำขึ้นเอง และสุขทุกข์คนอื่น
ทำให้
ความเห็นเกิดขึ้นโดยจริงแท้มั่นคงว่า สุขทุกข์เป็นสิ่งที่ตนทำขึ้นเองและผู้อื่นทำให้
สุขทุกข์ไม่ใช่ตนเองและผู้อื่นทำให้ แต่เกิดขึ้นเองโดยเฉพาะ
เหล่านี้ชื่อว่าทิฏฐิ ๔ (๑๗)
จตุกกนิทเทส จบ

๕. ปัญจกนิทเทส
[๙๔๐] บรรดาปัญจกมาติกานั้น โอรัมภาคิยสังโยชน์๑ ๕ เป็นไฉน
โอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ คือ

๑. สักกายทิฏฐิ (ความเห็นว่าเป็นตัวของตน)
๒. วิจิกิจฉา (ความสงสัย ลังเล ไม่แน่ใจ)
๓. สีลัพพตปรามาส (ความยึดมั่นศีลพรต)
๔. กามฉันทะ (ความกำหนัดในกามคุณ)
๕. พยาบาท (ความขัดเคือง แค้นใจ)

เหล่านี้ชื่อว่าโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ (๑)
อุทธัมภาคิยสังโยชน์ ๕ เป็นไฉน
อุทธัมภาคิยสังโยชน์ ๕ คือ

๑. รูปราคะ (ความกำหนัดในรูป)
๒. อรูปราคะ (ความกำหนัดในอรูป)
๓. มานะ (ความเย่อหยิ่งถือตัว)
๔. อุทธัจจะ (ความฟุ้งซ่าน)
๕. อวิชชา (ความไม่รู้ตามความเป็นจริง)

เหล่านี้ชื่อว่าอุทธัมภาคิยสังโยชน์ ๕ (๒)

เชิงอรรถ :
๑ สังโยชน์เบื้องต่ำเป็นอย่างหยาบ เป็นไปในภพต่ำ คือกามภพ (อภิ.วิ.อ. ๙๔๐/๕๔๕)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๙๒ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๕.ปัญจกนิทเทส
มัจฉริยะ ๕ เป็นไฉน
มัจฉริยะ ๕ คือ

๑. อาวาสมัจฉริยะ (ตระหนี่ที่อยู่)
๒. กุลมัจฉริยะ (ตระหนี่ตระกูล)
๓. ลาภมัจฉริยะ (ตระหนี่ลาภ)
๔. วัณณมัจฉริยะ (ตระหนี่วรรณะ)
๕. ธัมมมัจฉริยะ (ตระหนี่ธรรม)

เหล่านี้เรียกว่า มัจฉริยะ ๕ (๓)
สังคะ ๕ เป็นไฉน
สังคะ ๕ คือ

๑. สังคะคือราคะ (เครื่องข้องคือราคะ)
๒. สังคะคือโทสะ (เครื่องข้องคือโทสะ)
๓. สังคะคือโมหะ (เครื่องข้องคือโมหะ)
๔. สังคะคือมานะ (เครื่องข้องคือมานะ)
๕. สังคะคือทิฏฐิ (เครื่องข้องคือทิฏฐิ)

เหล่านี้ชื่อว่าสังคะ ๕ (๔)
สัลละ ๕ เป็นไฉน
สัลละ ๕ คือ

๑. สัลละคือราคะ (ลูกศรคือราคะ)
๒. สัลละคือโทสะ (ลูกศรคือโทสะ)
๓. สัลละคือโมหะ (ลูกศรคือโมหะ)
๔. สัลละคือมานะ (ลูกศรคือมานะ)
๕. สัลละคือทิฏฐิ (ลูกศรคือทิฏฐิ)

เหล่านี้ชื่อว่าสัลละ ๕ (๕)
[๙๔๑] เจโตขีละ ๕ เป็นไฉน

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๙๓ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๕.ปัญจกนิทเทส
เจโตขีละ ๕ คือ
๑. บุคคลย่อมเคลือบแคลงสงสัย ไม่น้อมใจเชื่อ ไม่เลื่อมใสในพระศาสดา
๒. บุคคลย่อมเคลือบแคลงสงสัย ไม่น้อมใจเชื่อ ไม่เลื่อมใสในพระธรรม
๓. บุคคลย่อมเคลือบแคลงสงสัย ไม่น้อมใจเชื่อ ไม่เลื่อมใสในพระสงฆ์
๔. บุคคลย่อมเคลือบแคลงสงสัย ไม่น้อมใจเชื่อ ไม่เลื่อมใสในสิกขา
๕. บุคคลย่อมมีจิตขุ่นเคือง ไม่พอใจ มีจิตกระทบกระทั่ง มีจิต
กระด้างในเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย
เหล่านี้ชื่อว่าเจโตขีละ ๕ (๖)
เจตโสวินิพันธะ ๕ เป็นไฉน
เจตโสวินิพันธะ ๕ คือ
๑. บุคคลผู้ยังไม่ปราศจากความกำหนัด ยังไม่ปราศจากความพอใจ
ยังไม่ปราศจากความรัก ยังไม่ปราศจากความกระหาย ยังไม่
ปราศจากความเร่าร้อน ยังไม่ปราศจากความอยากในกาม
๒. บุคคลผู้ยังไม่ปราศจากความกำหนัด ยังไม่ปราศจากความพอใจ
ยังไม่ปราศจากความรัก ยังไม่ปราศจากความกระหาย ยังไม่
ปราศจากจากความเร่าร้อน ยังไม่ปราศจากความอยากในกาย
๓. บุคคลผู้ยังไม่ปราศจากความกำหนัด ยังไม่ปราศจากความพอใจ
ยังไม่ปราศจากความรัก ยังไม่ปราศจากความกระหาย ยังไม่
ปราศจากความเร่าร้อน ยังไม่ปราศจากความอยากในรูป
๔. บุคคลบริโภคอาหารเต็มท้องตามความต้องการแล้ว ประกอบ
ขวนขวาย หาสุขในการนอน สุขในการเอน สุขในการหลับอยู่
๕. บุคคลปรารถนาจะเกิดในหมู่เทพหมู่หนึ่งแล้วประพฤติพรหม
จรรย์ด้วยผูกใจว่า เราจักเป็นเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่ หรือเทวดาผู้
มีศักดิ์น้อยองค์ใดองค์หนึ่งด้วยศีล๑นี้ ด้วยวัตรนี้ ด้วยตบะนี้
หรือด้วยพรหมจรรย์นี้
เหล่านี้ชื่อว่าเจตโสวินิพันธะ ๕ (๗)

เชิงอรรถ :
๑ คำว่า “ศีล” ในที่นี้หมายถึงปาริสุทธิศีล ๔ คือ ปาติโมกขสังวรศีล อินทริยสังวรศีล อาชีวปาริสุทธิศีล
และปัจจยสันนิสิตศีล (อภิ.วิ.อ. ๙๔๑/๕๔๗)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๙๔ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๕.ปัญจกนิทเทส
นิวรณ์ ๕ เป็นไฉน
นิวรณ์ ๕ คือ

๑. กามฉันทนิวรณ์ (ธรรมเป็นเครื่องกั้นความดีคือกามฉันทะ)
๒. พยาปาทนิวรณ์ (ธรรมเป็นเครื่องกั้นความดีคือพยาบาท)
๓. ถีนมิทธนิวรณ์ (ธรรมเป็นเครื่องกั้นความดีคือถีนมิทธะ)
๔. อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์ (ธรรมเป็นเครื่องกั้นความดีคืออุจธัจจ-
กุกกุจจะ)
๕. วิจิกิจฉานิวรณ์ (ธรรมเป็นเครื่องกั้นความดีคือวิจิกิจฉา)

เหล่านี้ชื่อว่านิวรณ์ ๕ (๘)
อนันตริยกรรม ๕ เป็นไฉน
อนันตริยกรรม ๕ คือ

๑. มาตุฆาต (ฆ่ามารดา)
๒. ปิตุฆาต (ฆ่าบิดา)
๓. อรหันตฆาต (ฆ่าพระอรหันต์)
๔. โลหิตุปบาท (มีจิตประทุษร้ายทำร้ายพระพุทธเจ้าจน
ถึงยังพระโลหิตให้ห้อด้วยจิตคิดร้าย)
๕. สังฆเภท (ทำลายสงฆ์ให้แตกกัน)

เหล่านี้ชื่อว่าอนันตริยกรรม ๕ (๙)
ทิฏฐิ ๕ เป็นไฉน
ทิฏฐิ ๕ คือ
๑. สมณะหรือพราหมณ์พวกหนึ่งกล่าวยืนยันดังนี้ว่า อัตตามี
สัญญา หลังจากตายแล้วเป็นสภาวะที่เที่ยง
๒. สมณะหรือพราหมณ์พวกหนึ่งกล่าวยืนยันดังนี้ว่า อัตตาไม่
มีสัญญา หลังจากตายแล้วเป็นสภาวะที่เที่ยง
๓. สมณะหรือพราหมณ์พวกหนึ่งกล่าวยืนยันดังนี้ว่า อัตตามี
สัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ หลังจากตายแล้วเป็น
สภาวะที่เที่ยง

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๙๕ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๕.ปัญจกนิทเทส
๔. สมณะหรือพราหมณ์พวกหนึ่งย่อมบัญญัติความขาดสูญ
ความไม่ปรากฏ ความไม่มีแห่งสัตว์ที่ยังปรากฏมีอยู่
๕. สมณะหรือพราหมณ์พวกหนึ่งกล่าวยืนยันนิพพานในปัจจุบัน
เหล่านี้เรียกว่า ทิฏฐิ ๕ (๑๐)
[๙๔๒] เวร ๕ เป็นไฉน
เวร ๕ คือ

๑. ปาณาติบาต (ฆ่าสัตว์)
๒. อทินนาทาน (ลักทรัพย์)
๓. กาเมสุมิจฉาจาร (ประพฤติผิดในกาม)
๔. มุสาวาท (พูดเท็จ)
๕. สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐาน (ดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็น
ที่ตั้งแห่งความประมาท)

เหล่านี้ชื่อว่าเวร ๕ (๑๑)
พยสนะ ๕ เป็นไฉน
พยสนะ ๕ คือ

๑. ญาติพยสนะ (ความพินาศแห่งญาติ)
๒. โภคพยสนะ (ความพินาศแห่งโภคทรัพย์)
๓. โรคพยสนะ (ความพินาศเพราะโรค)
๔. สีลพยสนะ (ความพินาศแห่งศีล)
๕. ทิฏฐิพยสนะ (ความพินาศแห่งทิฏฐิ)

เหล่านี้ชื่อว่าพยสนะ ๕ (๑๒)
โทษแห่งความไม่อดทน ๕ เป็นไฉน
โทษแห่งความไม่อดทน ๕ คือ
๑. ไม่เป็นที่รักไม่เป็นที่ชอบใจของชนมาก
๒. มีเวรมาก
๓. มีโทษมาก

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๙๖ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๕.ปัญจกนิทเทส
๔. หลงลืมสติตาย
๕. หลังจากตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
เหล่านี้ชื่อว่าโทษแห่งความไม่อดทน ๕ (๑๓)
ภัย ๕ เป็นไฉน
ภัย ๕ คือ

๑. อาชีวกภัย (ภัยเกิดแต่การเลี้ยงชีพ)
๒. อสิโลกภัย (ภัยเกิดแต่การติเตียน)
๓. ปริสสารัชชภัย (ภัยคือความขลาดกลัวเมื่อเข้าสู่ที่ประชุม)
๔. มรณภัย (ภัยเกิดแก่มรณะ)
๕. ทุคคติภัย (ภัยเกิดแต่ทุคติ)

เหล่านี้ชื่อว่าภัย ๕ (๑๔)
[๙๔๓] ทิฏฐธัมมนิพพานวาทะ ๕ เป็นไฉน
ทิฏฐธัมมนิพพานวาทะ ๕ คือ
๑. สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้มีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า ท่าน
ผู้เจริญ เพราะเหตุที่อัตตานี้เอิบอิ่มเพลิดเพลินอยู่ด้วยกามคุณ ๕ จึงชื่อว่า
บรรลุนิพพานในปัจจุบันอันเป็นบรมธรรม สมณะหรือพราหมณ์พวกหนึ่ง
บัญญัตินิพพานในปัจจุบันว่าเป็นบรมธรรมของสัตว์อย่างนี้
๒. สมณะหรือพราหมณ์อื่นกล่าวกะสมณะหรือพราหมณ์นั้นอย่างนี้ว่า ท่าน
ผู้เจริญ อัตตาที่ท่านกล่าวถึงนี้มีอยู่จริง เราไม่ปฏิเสธว่าไม่มี แต่อัตตานี้ไม่
ใช่บรรลุนิพพานในปัจจุบันอันเป็นบรมธรรมเพราะเหตุเพียงเท่านี้ เพราะ
เหตุไร เพราะกามทั้งหลายไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรผันไปเป็นธรรมดา
เพราะกามเหล่านั้นแปรผันเป็นอย่างอื่น ความเศร้าโศก ความคร่ำครวญ
ความทุกข์ ความโทมนัส และความคับแค้นใจจึงเกิดขึ้น เพราะเหตุที่อัตตา
นี้สงัดจากกาม ฯลฯ บรรลุปฐมฌานอยู่ จึงชื่อว่าบรรลุนิพพานในปัจจุบัน
อันเป็นบรมธรรม สมณะหรือพราหมณ์พวกหนึ่งบัญญัตินิพพานใน
ปัจจุบันว่าเป็นบรมธรรมของสัตว์อย่างนี้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๙๗ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๕. ปัญจกนิทเทส
๓. สมณะหรือพราหมณ์อื่นกล่าวกะสมณะหรือพราหมณ์นั้นอย่างนี้ว่า ท่าน
ผู้เจริญ อัตตาที่ท่านกล่าวถึงนี้มีอยู่จริง เราไม่ปฏิเสธว่าไม่มี แต่อัตตานี้
ไม่ใช่บรรลุนิพพานในปัจจุบันอันเป็นบรมธรรมด้วยเหตุเพียงเท่านี้ เพราะ
เหตุไร เพราะวิตกวิจารที่มีอยู่ในปฐมฌานนั้น บัณฑิตกล่าวว่ายังเป็นของ
หยาบอยู่ เพราะวิตกและวิจารสงบไปแล้ว อัตตานี้จึงบรรลุทุติยฌานที่
ผ่องใส ฯลฯ จึงชื่อว่าบรรลุนิพพานในปัจจุบันอันเป็นบรมธรรม สมณะ
หรือพราหมณ์พวกหนึ่งบัญญัตินิพพานในปัจจุบันว่าเป็นบรมธรรมของ
สัตว์อย่างนี้
๔. สมณะหรือพราหมณ์อื่นกล่าวกะสมณะหรือพราหมณ์นั้นอย่างนี้ว่า อัตตา
ที่ท่านกล่าวถึงนี้มีอยู่จริง เราไม่ปฏิเสธว่าไม่มี แต่อัตตานี้ไม่ใช่บรรลุ
นิพพานในปัจจุบันอันเป็นบรมธรรมด้วยเหตุเพียงเท่านี้ เพราะเหตุไร
เพราะปีติและความลำพองใจที่มีอยู่ในทุติยฌานนั้น บัณฑิตจึงกล่าวว่ายัง
หยาบอยู่ เพราะปีติจางคลายไป อัตตานี้ ฯลฯ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ อัตตา
นี้จึงชื่อว่าบรรลุนิพพานในปัจจุบันอันเป็นบรมธรรม สมณะหรือพราหมณ์
พวกหนึ่งบัญญัตินิพพานในปัจจุบันว่าเป็นบรมธรรมของสัตว์อย่างนี้
๕. สมณะหรือพราหมณ์อื่นกล่าวกะสมณะหรือพราหมณ์นั้นอย่างนี้ว่า ท่านผู้
เจริญ อัตตาที่ท่านกล่าวถึงนี้มีอยู่จริง เราไม่ปฏิเสธว่าไม่มี แต่อัตตานี้ไม่
ใช่บรรลุนิพพานในปัจจุบันอันเป็นบรมธรรมด้วยเหตุเพียงเท่านี้ เพราะ
เหตุไร เพราะจิตยังคำนึงถึงสุขมีอยู่ในตติยฌานนั้น บัญฑิตกล่าวว่ายัง
หยาบอยู่ เพราะเหตุที่ละสุขและทุกข์เสียได้ อัตตานี้ ฯลฯ จึงบรรลุ
จตุตถฌานที่ไม่มีทุกข์ไม่มีสุขอยู่ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล อัตตานี้จึงชื่อว่า
บรรลุนิพพานในปัจจุบันเป็นบรมธรรม สมณะหรือพราหมณ์พวกหนึ่ง
บัญญัตินิพพานในปัจจุบันว่าเป็นบรมธรรมของสัตว์อย่างนี้๑
เหล่านี้เรียกว่า ทิฏฐธัมมนิพพานวาทะ ๕ (๑๕)
ปัญจกนิทเทส จบ

เชิงอรรถ :
๑ ที.สี. ๙/๙๔-๙๘/๓๖-๓๘

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๙๘ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๖.ฉักกนิทเทส
๖. ฉักกนิทเทส
[๙๔๔] บรรดาฉักกมาติกาเหล่านั้น วิวาทมูล ๖ เป็นไฉน
วิวาทมูล ๖ คือ

๑. โกธะ (โกรธ)
๒. มักขะ (ลบหลู่คุณท่าน)
๓. อิสสา (ริษยา)
๔. สาเถยยะ (โอ้อวด)
๕. ปาปิจฉตา (ปรารถนาลามก)
๖. สันทิฏฐิปรมาสิตา (ยึดถือแต่ความเห็นของตน)

เหล่านี้ชื่อว่าวิวาทมูล ๖ (๑)
ฉันทราคเคหสิตธรรม ๖ เป็นไฉน
ฉันทราคเคหสิตธรรม ๖ คือ
๑. ความกำหนัด ความกำหนัดนัก ความกำหนัดนักแห่งจิต
ที่อาศัยกามคุณในรูปที่น่าชอบใจ
๒. ความกำหนัด ฯลฯ ในเสียงที่น่าชอบใจ
๓. ความกำหนัด ฯลฯ ในกลิ่นที่น่าชอบใจ
๔. ความกำหนัด ฯลฯ ในรสที่น่าชอบใจ
๕. ความกำหนัด ฯลฯ ในโผฏฐัพพะที่น่าชอบใจ
๖. ความกำหนัด ฯลฯ ความกำหนัดนัก ความกำหนัดนัก
แห่งจิตที่อาศัยกามคุณในธรรมารมณ์ที่น่าชอบใจ
เหล่านี้เรียกว่า ฉันทราคเคหสิตธรรม ๖ (๒)
วิโรธวัตถุ ๖ เป็นไฉน
วิโรธวัตถุ ๖ คือ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๙๙ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๖.ฉักกนิทเทส
๑. ความอาฆาต ความกระทบแห่งจิต ฯลฯ ความดุร้าย
ความเกรี้ยวกราด ความที่จิตไม่เบิกบานในรูปที่ไม่น่าชอบใจ
๒. ความอาฆาต ฯลฯ ในเสียงที่ไม่น่าชอบใจ
๓. ความอาฆาต ฯลฯ ในกลิ่นที่ไม่น่าชอบใจ
๔. ความอาฆาต ฯลฯ ในรสที่ไม่น่าชอบใจ
๕. ความอาฆาต ฯลฯ ในโผฏฐัพพะที่ไม่น่าชอบใจ
๖. ความอาฆาต ฯลฯ ความกระทบกระทั่งแห่งจิต ฯลฯ
ความดุร้าย ความเกรี้ยวกราด ความที่จิตไม่เบิกบานใน
ธรรมารมณ์ที่ไม่น่าชอบใจ
เหล่านี้เรียกว่า วิโรธวัตถุ ๖ (๓)
ตัณหากาย ๖ เป็นไฉน
ตัณหากาย ๖ คือ

๑. รูปตัณหา (ตัณหาในรูป)
๒. สัททตัณหา (ตัณหาในเสียง)
๓. คันธตัณหา (ตัณหาในกลิ่น)
๔. รสตัณหา (ตัณหาในรส)
๕. โผฏฐัพพตัณหา (ตัณหาในโผฏฐัพพะ)
๖. ธัมมตัณหา (ตัณหาในธรรม)

เหล่านี้ชื่อว่าตัณหากาย ๖ (๔)
[๙๔๕] อคารวะ ๖ เป็นไฉน
อคารวะ ๖ คือ
๑. บุคคลไม่เคารพ ไม่ยำเกรงในพระศาสดา
๒. บุคคลไม่เคารพ ไม่ยำเกรงในพระธรรม
๓. บุคคลไม่เคารพ ไม่ยำเกรงในพระสงฆ์
๔. บุคคลไม่เคารพ ไม่ยำเกรงในสิกขา
๕. บุคคลไม่เคารพ ไม่ยำเกรงในความไม่ประมาท
๖. บุคคลไม่เคารพ ไม่ยำเกรงในปฏิสันถาร
เหล่านี้ชื่อว่าอคารวะ ๖ (๕)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๐๐ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๖.ฉักกนิทเทส
ปริหานิยธรรม ๖ เป็นไฉน
ปริหานิยธรรม ๖ คือ
๑. กัมมารามตา (ความยินดีในการงาน)
๒. ภัสสารามตา (ความยินดีในการสนทนา)
๓. นิททารามตา (ความยินดีในการนอนหลับ)
๔. สังคณิการามตา (ความยินดีในการคลุกคลีด้วยหมู่)
๕. สังสัคคารามตา (ความยินดีในการติดต่อเกี่ยวข้อง)
๖. ปปัญจารามตา (ความยินดีในธรรมเป็นเหตุเนิ่นช้า)
เหล่านี้ชื่อว่าปริหานิยธรรม ๖ (๖)
[๙๔๖] ปริหานิยธรรม ๖ อีกนัยหนึ่ง เป็นไฉน
ปริหานิยธรรม ๖ อีกนัยหนึ่ง คือ

๑. กัมมารามตา (ความยินดีในการทำงาน)
๒. ภัสสารามตา (ความยินดีในการสนทนา)
๓. นิททารามตา (ความยินดีในการนอนหลับ)
๔. สังคณิการามตา (ความยินดีในการคลุกคลีด้วยหมู่)
๕. โทวจัสสตา (ความเป็นผู้ว่ายาก)
๖. ปาปมิตตตา (ความเป็นผู้มีมิตรชั่ว)

เหล่านี้ชื่อว่าปริหานิยธรรม ๖ (๗)
โสมนัสสุปวิจาร๑ ๖ เป็นไฉน
โสมนัสสุปวิจาร ๖ คือ
๑. บุคคลเห็นรูปทางตาแล้วครุ่นคิดถึงรูปอันเป็นที่ตั้งแห่งโสมนัส
๒. บุคคลฟังเสียงทางหู ฯลฯ
๓. บุคคลดมกลิ่นทางจมูก ฯลฯ
๔. บุคคลลิ้มรสทางลิ้น ฯลฯ

เชิงอรรถ :
๑ โสมนสฺเสน สทฺธึ อุปจรนฺตีติ โสมนสฺสุปวิจารา (อภิ.วิ.อ. ๙๔๖/๕๕๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๐๑ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๖.ฉักกนิทเทส
๕. บุคคลถูกต้องโผฏฐัพพะทางกาย ฯลฯ
๖. บุคคลรู้ธรรมารมณ์ทางใจแล้วครุ่นคิดถึงธรรมารมณ์อันเป็นที่ตั้ง
แห่งโสมนัส
เหล่านี้ชื่อว่าโสมนัสสุปวิจาร ๖ (๘)
โทมนัสสุปวิจาร ๖ เป็นไฉน
โทมนัสสุปวิจาร ๖ คือ
๑. บุคคลเห็นรูปทางตาแล้ว ครุ่นคิดถึงรูปอันเป็นที่ตั้งแห่งโทมนัส
๒. บุคคลฟังเสียงทางหู ฯลฯ
๓. บุคคลดมกลิ่นทางจมูก ฯลฯ
๔. บุคคลลิ้มรสทางลิ้น ฯลฯ
๕. บุคคลถูกต้องโผฏฐัพพะทางกาย ฯลฯ
๖. บุคคลรู้ธรรมารมณ์ทางใจแล้ว ครุ่นคิดถึงธรรมารมณ์อันเป็น
ที่ตั้งแห่งโทมนัส
เหล่านี้ชื่อว่าโทมนัสสุปวิจาร ๖ (๙)
อุเปกขูปวิจาร ๖ เป็นไฉน
อุเปกขูปวิจาร ๖ คือ
๑. บุคคลเห็นรูปทางตาแล้ว ครุ่นคิดถึงรูปอันเป็นที่ตั้งแห่งอุเบกขา
๒. บุคคลฟังเสียงทางหู ฯลฯ
๓. บุคคลดมกลิ่นทางจมูก ฯลฯ
๔. บุคคลลิ้มรสทางลิ้น ฯลฯ
๕. บุคคลถูกต้องโผฏฐัพพะทางกาย ฯลฯ
๖. บุคคลรู้ธรรมารมณ์ทางใจแล้วครุ่นคิดถึงธรรมารมณ์อันเป็น
ที่ตั้งแห่งอุเบกขา
เหล่านี้ชื่อว่าอุเปกขูปวิจาร ๖

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๐๒ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๖.ฉักกนิทเทส
[๙๔๗] เคหสิตโสมนัส๑ ๖ เป็นไฉน
เคหสิตโสมนัส ๖ คือ
๑. ความสำราญทางใจ ความสุขทางใจ ความเสวยอารมณ์ที่
สำราญเป็นสุข อันเกิดแต่เจโตสัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์ที่
สบายเป็นสุข อันเกิดแต่เจโตสัมผัสที่อาศัยกามคุณในรูป
อันเป็นที่ชอบใจ
๒. ความสำราญทางใจ ฯลฯ ในเสียงอันเป็นที่ชอบใจ
๓. ความสำราญทางใจ ฯลฯ ในกลิ่นอันเป็นที่ชอบใจ
๔. ความสำราญทางใจ ฯลฯ ในรสอันเป็นที่ชอบใจ
๕. ความสำราญทางใจ ฯลฯ ในโผฏฐัพพะอันเป็นที่ชอบใจ
๖. ความสำราญทางใจ ความสุขทางใจ ความเสวยอารมณ์
ที่สำราญเป็นสุข อันเกิดแต่เจโตสัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์
ที่สำราญเป็นสุข อันเกิดแต่เจโตสัมผัสที่อาศัยกามคุณใน
ธรรมารมณ์ อันเป็นที่ชอบใจ
เหล่านี้ชื่อว่าเคหสิตโสมนัส ๖ (๑๑)
เคหสิตโทมนัส๒ ๖ เป็นไฉน
เคหสิตโทมนัส ๖ คือ
๑. ความไม่สำราญทางใจ ความทุกข์ทางใจ ความเสวยอารมณ์
ที่ไม่สำราญเป็นทุกข์ อันเกิดแต่เจโตสัมผัส กิริยาที่เสวย
อารมณ์ที่ไม่สำราญเป็นทุกข์ อันเกิดแต่เจโตสัมผัสที่อาศัย
กามคุณในรูปอันไม่เป็นที่ชอบใจ

เชิงอรรถ :
๑ โสมนัส หมายถึงสุขทางใจที่อาศัยกามคุณ ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (อภิ.วิ.อ. ๙๔๗/๕๕๑)
๒ โทมนัสคือทุกข์ทางใจที่อาศัยกามคุณ ๕ (อภิ.วิ.อ. ๙๔๗/๕๕๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๐๓ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๖. ฉักกนิเทส
๒. ความไม่สำราญทางใจ ฯลฯ ในเสียงอันไม่เป็นที่ชอบใจ
๓. ความไม่สำราญทางใจ ฯลฯ ในกลิ่นอันไม่เป็นที่ชอบใจ
๔. ความไม่สำราญทางใจ ฯลฯ ในรสอันไม่เป็นที่ชอบใจ
๕. ความไม่สำราญทางใจ ฯลฯ ในโผฏฐัพพะอันไม่เป็นที่ชอบใจ
๖. ความไม่สำราญทางใจ ความทุกข์ทางใจ ความเสวย
อารมณ์ที่ไม่สำราญเป็นทุกข์ อันเกิดแต่เจโตสัมผัส กิริยา
ที่เสวยอารมณ์ที่ไม่สำราญเป็นทุกข์ อันเกิดแต่เจโตสัมผัสที่
อาศัยกามคุณในธรรมารมณ์อันไม่เป็นที่ชอบใจ
เหล่านี้ชื่อว่าเคหสิตโทมนัส ๖ (๑๒)
เคหสิตุเปกขา๑ ๖ เป็นไฉน
เคหสิตุเปกขา ๖ คือ
๑. ความสำราญทางใจก็มิใช่ ความไม่สำราญทางใจก็มิใช่ ความ
เสวยอารมณ์ที่ไม่ทุกข์ไม่สุข อันเกิดแต่เจโตสัมผัส กิริยาเสวย
อารมณ์ที่ไม่ทุกข์ไม่สุข อันเกิดแต่เจโตสัมผัสที่อาศัยกามคุณ
ในรูปอันเป็นที่ตั้งแห่งอุเบกขา
๒. ความสำราญทางใจก็มิใช่ ฯลฯ ในเสียงอันเป็นที่ตั้งแห่งอุเบกขา
๓. ความสำราญทางใจก็มิใช่ ฯลฯ ในกลิ่นอันเป็นที่ตั้งแห่งอุเบกขา
๔. ความสำราญทางใจก็มิใช่ ฯลฯ ในรสอันเป็นที่ตั้งแห่งอุเบกขา
๕. ความสำราญทางใจก็มิใช่ ฯลฯ ในโผฏฐัพพะอันเป็นที่ตั้งแห่ง
อุเบกขา
๖. ความสำราญทางใจก็มิใช่ ความไม่สำราญทางใจก็มิใช่ ความ
เสวยอารมณ์ที่ไม่ทุกข์ไม่สุข อันเกิดแต่เจโตสัมผัส กิริยาเสวย
อารมณ์ที่ไม่ทุกข์ไม่สุข อันเกิดแต่เจโตสัมผัสที่อาศัยกามคุณ
ในธรรมารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งอุเบกขา
เหล่านี้ชื่อว่าเคหสิตุเปกขา ๖ (๑๓)

เชิงอรรถ :
๑ อุเปกขาเวทนาที่สัมปยุตด้วยความไม่รู้ ได้แก่ อัญญาณุเปกขาที่อาศัยกามคุณ ๕ (อภิ.วิ.อ. ๙๔๗/๕๕๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๐๔ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๗.สัตตกนิทเทส
[๙๔๘] ทิฏฐิ๑ ๖ เป็นไฉน
ทิฏฐิ ๖ คือ
๑. ความเห็นเกิดขึ้นแก่ผู้นี้โดยแน่แท้มั่นคงว่า อัตตาของเรามีอยู่
๒. ความเห็นเกิดขึ้นแก่ผู้นี้โดยแน่แท้มั่นคงว่า อัตตาของเราไม่มี
๓. ความเห็นเกิดขึ้นแก่ผู้นี้โดยแน่แท้มั่นคงว่า เรารู้จักอัตตาได้
ด้วยอัตตา (ความมีตัวตน)
๔. ความเห็นเกิดขึ้นแก่ผู้นี้โดยแน่แท้มั่นคงว่า เรารู้จักอนัตตา
(ความไม่มีตัวตน) ได้ด้วยอัตตา (ความมีตัวตน)
๕. ความเห็นเกิดขึ้นแก่ผู้นี้โดยแน่แท้มั่นคงว่า เรารู้จักอัตตาได้
ด้วยอนัตตา (ความไม่มีตัวตน)
๖. ความเห็นเกิดขึ้นแก่ผู้นี้โดยแน่แท้มั่นคงว่า อัตตาของเรานี้นั้น
เป็นผู้กล่าว เป็นผู้รู้ เสวยผลแห่งกรรมดีและกรรมชั่วในภพ
นั้น ๆ สิ้นกาลนาน อัตตานั้นไม่เกิด ไม่มีมาแล้วในอดีต
อัตตานั้นไม่เกิด จักไม่มีในอนาคต อัตตาเป็นสภาวะที่เที่ยง
ยั่งยืน มั่นคง มีความไม่แปรผันไปเป็นธรรมดา
เหล่านี้ชื่อว่าทิฏฐิ ๖ (๑๔)
ฉักกนิทเทส จบ

๗. สัตตกนิทเทส
[๙๔๙] บรรดาสัตตกมาติกาเหล่านั้น อนุสัย ๗ เป็นไฉน
อนุสัย ๗ คือ
๑. กามราคานุสัย (กิเลสที่นอนเนื่องในสันดานคือกามราคะ)
๒. ปฏิฆานุสัย (กิเลสที่นอนเนื่องในสันดานคือปฏิฆะ)
๓. มานานุสัย (กิเลสที่นอนเนื่องในสันดานคือมานะ)

เชิงอรรถ :
๑ ทิฏฐิ ความเห็นผิด ในที่นี้หมายถึงสัสสตทิฏฐิและอุจเฉททิฏฐิ (อภิ.วิ.อ. ๙๔๘/๕๕๑-๕๕๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๐๕ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๗.สัตตกนิทเทส

๔. ทิฏฐานุสัย (กิเลสที่นอนเนื่องในสันดานคือทิฏฐิ)
๕. วิจิกิจฉานุสัย (กิเลสที่นอนเนื่องในสันดานคือวิจิกิจฉา)
๖. ภวราคานุสัย (กิเลสที่นอนเนื่องในสันดานคือภวราคะ)
๗. อวิชชานุสัย (กิเลสที่นอนเนื่องในสันดานคืออวิชชา)

เหล่านี้ชื่อว่าอนุสัย ๗ (๑)
สังโยชน์ ๗ เป็นไฉน
สังโยชน์ ๗ คือ

๑. กามราคสังโยชน์ (กิเลสเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพคือกามราคะ)
๒. ปฏิฆสังโยชน์ (กิเลสเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพคือปฏิฆะ)
๓. มานสังโยชน์ (กิเลสเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพคือมานะ)
๔. ทิฏฐิสังโยชน์ (กิเลสเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพคือทิฏฐิ)
๕. วิจิกิจฉาสังโยชน์ (กิเลสเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพคือวิจิกิจฉา)
๖. ภวราคสังโยชน์ (กิเลสเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพคือภวราคะ)
๗. อวิชชาสังโยชน์ (กิเลสเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพคืออวิชชา)

เหล่านี้ชื่อว่าสังโยชน์ ๗ (๒)
ปริยุฏฐานะ ๗ เป็นไฉน
ปริยุฏฐานะ ๗ คือ

๑. กามปริยุฏฐานะ (กิเลสเป็นเครื่องครอบงำจิตคือกาม)
๒. ปฏิฆปริยุฏฐานะ (กิเลสเป็นเครื่องครอบงำจิตคือปฏิฆะ)
๓. มานปริยุฏฐานะ (กิเลสเป็นเครื่องครอบงำจิตคือมานะ)
๔. ทิฏฐิปริยุฏฐานะ (กิเลสเป็นเครื่องครอบงำจิตคือทิฏฐิ)
๕. วิจิกิจฉาปริยุฏฐานะ (กิเลสเป็นเครื่องครอบงำจิตคือวิจิกิจฉา)
๖. ภวราคปริยุฏฐานะ (กิเลสเป็นเครื่องครอบงำจิตคือภวราคะ)
๗. อวิชชาปริยุฏฐานะ (กิเลสเป็นเครื่องครอบงำจิตคืออวิชชา)

เหล่านี้ชื่อว่าปริยุฏฐานะ ๗ (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๐๖ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๗.สัตตกนิทเทส
[๙๕๐] อสัทธรรม ๗ เป็นไฉน
อสัทธรรม ๗ คือ

๑. เป็นผู้ไม่มีศรัทธา ๒. ไม่มีหิริ
๓. ไม่มีโอตตัปปะ ๔. มีสุตะน้อย
๕. เกียจคร้าน ๖. หลงลืมสติ
๗. มีปัญญาทราม

เหล่านี้ชื่อว่าอสัทธรรม ๗ (๔)
ทุจริต ๗ เป็นไฉน
ทุจริต ๗ คือ

๑. ปาณาติบาต (ฆ่าสัตว์)
๒. อทินนาทาน (ลักทรัพย์)
๓. กาเมสุมิจฉาจาร (ประพฤติผิดในกาม)
๔. มุสาวาท (พูดเท็จ)
๕. ปิสุณวาจา (พูดส่อเสียด)
๖. ผรุสวาจา (พูดคำหยาบ)
๗. สัมผัปปลาปะ (พูดเพ้อเจ้อ)

เหล่านี้ชื่อว่าทุจริต ๗ (๕)
มานะ ๗ เป็นไฉน
มานะ ๗ คือ

๑. มานะ (ความถือตัว)
๒. อติมานะ (ความถือตัวจัด)
๓. มานาติมานะ (ความเย่อหยิ่ง)
๔. โอมานะ (ความดูหมิ่นตนเอง)
๕. อธิมานะ (ความสำคัญว่าได้บรรลุ)
๖. อัสมิมานะ (ความสำคัญว่ามีตัวตน)
๗. มิจฉามานะ (ความถือตัวผิด)

เหล่านี้ชื่อว่ามานะ ๗ (๖)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๐๗ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๗.สัตตกนิทเทส
[๙๕๑] ทิฏฐิ ๗ เป็นไฉน
ทิฏฐิ ๗ คือ
๑. สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้มีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า ท่าน
ผู้เจริญ เพราะอัตตานี้มีรูปสำเร็จมาจากมหาภูตรูป ๔ เกิดจากบิดามารดา
หลังจากตายแล้วย่อมขาดสูญ พินาศ ไม่เกิดอีก เพราะเหตุเพียงเท่านี้
อัตตานี้จึงขาดสูญโดยสิ้นเชิง สมณะหรือพราหมณ์พวกหนึ่งบัญญัติความ
ขาดสูญ ความพินาศ และความไม่เกิดขึ้นอีกของสัตว์อย่างนี้
๒. สมณะหรือพราหมณ์อื่น กล่าวกับสมณะหรือพราหมณ์นั้นอย่างนี้ว่า ท่าน
ผู้เจริญ อัตตาที่ท่านกล่าวถึงนี้มีอยู่จริง เราไม่ปฏิเสธว่าไม่มี แต่อัตตานี้
จะไม่ใช่ขาดสูญโดยสิ้นเชิง เพราะเหตุเพียงเท่านี้ ยังมีอัตตาอื่นที่เป็นทิพย์๑
มีรูปเป็นกามาวจร๒ บริโภคข้าวเป็นอาหาร ท่านยังไม่รู้ไม่เห็น แต่เรา
รู้เห็น เพราะอัตตานั้นแล หลังจากตายแล้วย่อมขาดสูญ พินาศ ไม่เกิด
อีก เพราะเหตุเพียงเท่านี้แล อัตตานี้จึงขาดสูญโดยสิ้นเชิง สมณะหรือ
พราหมณ์พวกหนึ่งบัญญัติความขาดสูญ ความพินาศ และความไม่เกิด
อีกของสัตว์ อย่างนี้
๓. สมณะหรือพราหมณ์อื่นกล่าวกับสมณะหรือพราหมณ์นั้นอย่างนี้ว่า ท่าน
ผู้เจริญ อัตตาที่ท่านกล่าวถึงนี้มีอยู่จริง เราไม่ปฏิเสธว่าไม่มี แต่อัตตานี้ไม่
ใช่ขาดสูญโดยสิ้นเชิง เพราะเหตุเพียงเท่านี้ ยังมีอัตตาอื่นที่เป็นทิพย์มีรูป
สำเร็จด้วยใจ มีอวัยวะครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่องมีอยู่จริง ท่านยังไม่รู้
ไม่เห็น แต่เรารู้เห็น เพราะอัตตานั้นแล หลังจากตายแล้วย่อมขาดสูญ
พินาศไป ไม่เกิดอีก เพราะเหตุเพียงเท่านี้แล อัตตานี้จึงขาดสูญโดยสิ้นเชิง
สมณะหรือพราหมณ์พวกหนึ่งบัญญัติความขาดสูญ ความพินาศ และ
ความไม่เกิดอีกของสัตว์อย่างนี้

เชิงอรรถ :
๑ อัตตาที่เป็นทิพย์ หมายถึงอัตตาที่เกิดในเทวโลก (อภิ.วิ.อ. ๙๕๑/๕๕๓)
๒ เทวดาชั้นกามาวจร ๖ ชั้น คือ จาตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ ดุสิต นิมมานรดี และปรนิมมิตวสวัสดี (ที.สี.อ.
๘๖/๑๑๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๐๘ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๗.สัตตกนิทเทส
๔. สมณะหรือพราหมณ์อื่นกล่าวกับสมณะหรือพราหมณ์นั้นอย่างนี้ว่า ท่าน
ผู้เจริญ อัตตาที่ท่านกล่าวถึงนี้มีอยู่จริง เราไม่ปฏิเสธว่าไม่มี แต่อัตตานี้
ไม่ใช่ขาดสูญโดยสิ้นเชิง เพราะเหตุเพียงเท่านี้ ยังมีอัตตาอื่นที่เข้าถึง
อากาสานัญจายตนฌาน โดยกำหนดว่า อากาศหาที่สุดมิได้ เพราะล่วง
รูปสัญญา ดับปฏิฆสัญญา ไม่กำหนดนานัตตสัญญาโดยประการทั้งปวง
ท่านยังไม่รู้ไม่เห็น แต่เรารู้เห็น เพราะอัตตานั้นแล หลังจากตายแล้ว
ย่อมขาดสูญ พินาศ ไม่เกิดอีก เพราะเหตุเพียงเท่านี้แล อัตตานี้จึง
ขาดสูญโดยสิ้นเชิง สมณะหรือพราหมณ์พวกหนึ่งบัญญัติความขาดสูญ ความ
พินาศ และความไม่เกิดอีกของสัตว์อย่างนี้
๕. สมณะหรือพราหมณ์อื่นกล่าวกับสมณะหรือพราหมณ์นั้นอย่างนี้ว่า ท่านผู้
เจริญ อัตตาที่ท่านกล่าวถึงนี้มีอยู่จริง เราไม่ปฏิเสธว่าไม่มี แต่อัตตานี้
ไม่ใช่ขาดสูญโดยสิ้นเชิง เพราะเหตุเพียงเท่านี้ ยังมีอัตตาอื่นที่เข้าถึง
วิญญาณัญจายตนฌาน โดยกำหนดว่า วิญญาณหาที่สุดมิได้ เพราะล่วง
อากาสานัญจายตนะเสียได้โดยประการทั้งปวง ท่านยังไม่รู้ไม่เห็น แต่เรา
รู้เห็น เพราะอัตตานั้นแล หลังจากตายแล้วย่อมขาดสูญ พินาศ ไม่เกิด
อีก เพราะเหตุเพียงเท่านี้แล อัตตานี้จึงขาดสูญโดยสิ้นเชิง สมณะหรือ
พราหมณ์พวกหนึ่งบัญญัติความขาดสูญ ความพินาศ และความไม่เกิด
อีกของสัตว์อย่างนี้
๖. สมณะหรือพราหมณ์อื่นกล่าวกับสมณะหรือพราหมณ์นั้นอย่างนี้ว่า ท่าน
ผู้เจริญ อัตตาที่ท่านกล่าวถึงนี้มีอยู่จริง เราไม่ปฏิเสธว่าไม่มี แต่อัตตานี้
ไม่ใช่ขาดสูญโดยสิ้นเชิง เพราะเหตุเพียงเท่านี้ ยังมีอัตตาอื่นที่เข้าถึง
อากิญจัญญายตนฌาน โดยกำหนดว่า อะไร ๆ ก็ไม่มี เพราะล่วง
วิญญาณัญจายตนะเสียได้โดยประการทั้งปวง ท่านยังไม่รู้ไม่เห็น แต่เรา
รู้เห็น เพราะอัตตานั้นแล หลังจากตายแล้วย่อมขาดสูญ พินาศ ไม่เกิด
อีก เพราะเหตุเพียงเท่านี้แล อัตตานี้จึงขาดสูญโดยสิ้นเชิง สมณะหรือ
พราหมณ์พวกหนึ่งบัญญัติความขาดสูญ ความพินาศ และความไม่เกิด
อีกของสัตว์อย่างนี้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๐๙ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๘.อัฏฐกนิทเทส
๗. สมณะหรือพราหมณ์อื่นกล่าวกับสมณะหรือพราหมณ์นั้นอย่างนี้ว่า ท่าน
ผู้เจริญ อัตตาที่ท่านกล่าวถึงนี้มีอยู่จริง เราไม่ปฏิเสธว่าไม่มี แต่อัตตา
นี้ไม่ใช่ขาดสูญโดยสิ้นเชิง เพราะเหตุเพียงเท่านี้ ยังมีอัตตาอื่นที่เข้าถึง
เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน เพราะล่วงอากิญจัญญายตนะเสียได้โดย
ประการทั้งปวง ท่านยังไม่รู้ไม่เห็น แต่เรารู้เห็น เพราะอัตตานั้นแล หลัง
จากตายแล้ว ย่อมขาดสูญ พินาศ ไม่เกิดอีก เพราะเหตุเพียงเท่านี้แล
อัตตานี้จึงขาดสูญโดยสิ้นเชิง สมณะหรือพราหมณ์พวกหนึ่งบัญญัติความ
ขาดสูญ ความพินาศ และความไม่เกิดอีกของสัตว์อย่างนี้
เหล่านี้ชื่อว่าทิฏฐิ ๗
สัตตกนิทเทส จบ

๘. อัฏฐกนิทเทส
[๙๕๒] บรรดาอัฏฐกมาติกาเหล่านั้น กิเลสวัตถุ ๘ เป็นไฉน
กิเลสวัตถุ ๘ คือ

๑. โลภะ (ความโลภ) ๒. โทสะ (ความคิดประทุษร้าย)
๓. โมหะ (ความหลง) ๔. มานะ (ความถือตัว)
๕. ทิฏฐิ (ความเห็นผิด) ๖. วิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัย)
๗. ถีนะ (ความหดหู่ท้อแท้) ๘. อุทธัจจะ (ความฟุ้งซ่าน)

เหล่านี้ชื่อว่ากิเลสวัตถุ ๘
[๙๕๓] กุสีตวัตถุ ๘ เป็นไฉน
กุสีตวัตถุ ๘ คือ
๑. ภิกษุในธรรมวินัยนี้มีการงานที่ต้องทำ เธอมีความคิดอย่างนี้ว่า เราจักต้อง
ทำการงาน แต่เมื่อเรากำลังทำการงานอยู่จักลำบากกาย เอาละ เรานอนดี
กว่า เธอจึงนอน ไม่เริ่มความเพียรเพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่
ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งธรรมที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง นี้ชื่อว่ากุสีตวัตถุข้อที่ ๑

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๑๐ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๘.อัฏฐกนิทเทส
๒. ภิกษุทำการงานแล้ว เธอมีความคิดอย่างนี้ว่า เราได้ทำการงานแล้ว เมื่อ
เรากำลังทำการงานอยู่กายก็ลำบาก เอาละ เรานอนดีกว่า เธอจึงนอน ไม่
เริ่มความเพียรเพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำ
ให้แจ้งธรรมที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง นี้ชื่อว่ากุสีตวัตถุข้อที่ ๒
๓. ภิกษุต้องเดินทาง เธอมีความคิดอย่างนี้ว่า เราจักต้องเดินทางแน่ เมื่อ
เรากำลังเดินทางกายจักลำบาก เอาละ เรานอนดีกว่า เธอจึงนอน ไม่เริ่ม
ความเพียรเพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำ
ให้แจ้งธรรมที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง นี้ชื่อว่ากุสีตวัตถุข้อที่ ๓
๔. ภิกษุเดินทางแล้ว เธอมีความคิดอย่างนี้ว่า เราได้เดินทางแล้วนะ เมื่อ
เรากำลังเดินทางอยู่กายก็ลำบาก เอาละ เรานอนดีกว่า เธอจึงนอน ไม่เริ่ม
ความเพียรเพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ เพื่อ
ทำให้แจ้งธรรมที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง นี้ชื่อว่ากุสีตวัตถุข้อที่ ๔
๕. ภิกษุเที่ยวไปบิณฑบาตยังบ้านหรือนิคม ไม่ได้โภชนะหยาบหรือประณีต
เพียงพอแก่ความต้องการ เธอมีความคิดอย่างนี้ว่า เราเที่ยวไปบิณฑบาต
ยังบ้านหรือนิคมก็ไม่ได้โภชนะหยาบหรือประณีตเพียงพอแก่ความต้องการ
กายของเรานั้นเหน็ดเหนื่อย ไม่ควรแก่การงาน เอาละ เรานอนดีกว่า เธอจึง
นอน ไม่เริ่มความเพียรเพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ
เพื่อทำให้แจ้งธรรมที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง นี้ชื่อว่ากุสีตวัตถุข้อที่ ๕
๖. ภิกษุเที่ยวไปบิณฑบาตยังบ้านหรือนิคม ได้โภชนะหยาบหรือประณีต
เพียงพอแก่ความต้องการ เธอมีความคิดอย่างนี้ว่า เรานะเที่ยวไป
บิณฑบาตยังบ้านหรือนิคมได้โภชนะหยาบหรือประณีตเพียงพอแก่ความ
ต้องการแล้ว กายของเราหนัก ไม่ควรแก่การงาน จะเป็นเหมือนถั่วหมัก
เอาละ เรานอนดีกว่า เธอจึงนอน ไม่เริ่มความเพียรเพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อ
บรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งธรรมที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง นี้ชื่อว่า
กุสีตวัตถุข้อที่ ๖
๗. ภิกษุเกิดอาพาธขึ้นเล็กน้อย เธอมีความคิดอย่างนี้ว่า เราเกิดอาพาธขึ้น
เล็กน้อย มีข้ออ้างที่จะนอน เอาละ เรานอนดีกว่า เธอจึงนอน ไม่เริ่มความ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๑๑ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๘.อัฏฐกนิทเทส
เพียรเพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้ง
ธรรมที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง นี้ชื่อว่ากุสีตวัตถุข้อที่ ๗
๘. ภิกษุหายไข้แล้วแต่หายยังไม่นาน เธอมีความคิดอย่างนี้ว่า เราหายไข้แล้ว
แต่หายยังไม่นาน กายของเรานั้นยังอ่อนเพลีย ไม่ควรแก่การงาน เอาละ
เรานอนดีกว่า เธอจึงนอน ไม่เริ่มความเพียรเพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อ
บรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งธรรมที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง นี้ชื่อว่า
กุสีตวัตถุข้อที่ ๘
เหล่านี้ชื่อว่ากุสีตวัตถุ ๘
[๙๕๔] จิตกระทบในโลกธรรม ๘ เป็นไฉน
จิตกระทบในโลกธรรม ๘ คือ

๑. ความยินดีในลาภ ๒. ความยินร้ายในความเสื่อมลาภ
๓. ความยินดีในยศ ๔. ความยินร้ายในความเสื่อมยศ
๕. ความยินดีในการสรรเสริญ ๖. ความยินร้ายในการนินทา
๗. ความยินดีในสุข ๘. ความยินร้ายในทุกข์

เหล่านี้ชื่อว่าจิตกระทบในโลกธรรม ๘ เหล่านี้
[๙๕๕] อนริยโวหาร ๘ เป็นไฉน
อนริยโวหาร ๘ คือ

๑. เมื่อไม่เห็น พูดว่าเห็น ๒. เมื่อไม่ได้ยิน พูดว่าได้ยิน
๓. เมื่อไม่รู้ พูดว่ารู้ ๔. เมื่อไม่เข้าใจ พูดว่าเข้าใจ
๕. เมื่อเห็น พูดว่าไม่เห็น ๖. เมื่อได้ยิน พูดว่าไม่ได้ยิน
๗. เมื่อรู้ พูดว่าไม่รู้ ๘. เมื่อเข้าใจ พูดว่าไม่เข้าใจ

เหล่านี้ชื่อว่าอนริยโวหาร ๘
[๙๕๖] มิจฉัตตะ ๘ เป็นไฉน
มิจฉัตตะ ๘ คือ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๑๒ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๘.อัฏฐกนิทเทส

๑. มิจฉาทิฏฐิ (เห็นผิด) ๒. มิจฉาสังกัปปะ (ดำริผิด)
๓. มิจฉาวาจา (เจรจาผิด) ๔. มิจฉากัมมันตะ (การงานผิด)
๕. มิจฉาอาชีวะ (เลี้ยงชีพผิด) ๖. มิจฉาวายามะ (พยายามผิด)
๗. มิจฉาสติ (ระลึกผิด) ๘. มิจฉาสมาธิ (ตั้งจิตมั่นผิด)

เหล่านี้ชื่อว่ามิจฉัตตะ ๘
[๙๕๗] บุรุษโทษ ๘ เป็นไฉน
บุรุษโทษ ๘ คือ
๑. ภิกษุในธรรมวินัยนี้โจทภิกษุด้วยอาบัติ ภิกษุผู้ถูกโจทด้วยอาบัตินั้นแก้ตัว
โดยการอ้างว่าไม่มีสติอย่างนี้ว่า เราระลึกไม่ได้ เราระลึกไม่ได้ นี้ชื่อว่า
บุรุษโทษข้อที่ ๑
๒. ภิกษุโจทภิกษุด้วยอาบัติ ภิกษุผู้ถูกโจทด้วยอาบัตินั้นโต้ตอบผู้โจทว่า
การพูดกับท่านผู้โง่เขลา ไม่ฉลาดจะมีประโยชน์อะไร แม้ท่านก็ยังเข้าใจ
ผมว่าควรว่ากล่าว นี้ชื่อว่าบุรุษโทษข้อที่ ๒
๓. ภิกษุโจทภิกษุด้วยอาบัติ ภิกษุผู้ถูกโจทด้วยอาบัตินั้นกลับปรับอาบัติแก่ภิกษุ
ผู้โจทนั่นว่า ถึงท่านก็ต้องอาบัติชื่อนี้ ท่านจงแสดงอาบัตินั้นเสียก่อน นี้
ชื่อว่าบุรษโทษข้อที่ ๓
๔. ภิกษุโจทภิกษุด้วยอาบัติ ภิกษุผู้ถูกโจทด้วยอาบัตินั้นยกเหตุอื่น ๆ มาพูด
กลบเกลื่อน พูดชักให้เขวไปนอกเรื่อง เคือง แสดงความโกรธ เคืองและ
อาการไม่พอใจ นี้ชื่อว่าบุรุษโทษข้อที่ ๔
๕. ภิกษุโจทภิกษุด้วยอาบัติ ภิกษุผู้ถูกโจทด้วยอาบัตินั้นโบกมือปฏิเสธในท่าม
กลางสงฆ์ นี้ชื่อว่าบุรุษโทษข้อที่ ๕
๖. ภิกษุโจทภิกษุด้วยอาบัติ ภิกษุผู้ถูกโจทด้วยอาบัตินั้นนิ่งเฉยเสียด้วยคิดว่า
เราไม่ต้องอาบัติเลย แต่ความจริงเราต้องอาบัติ แกล้งสงฆ์ให้ลำบาก นี้
ชื่อว่าบุรุษโทษข้อที่ ๖
๗. ภิกษุโจทภิกษุด้วยอาบัติ ภิกษุผู้ถูกโจทด้วยอาบัตินั้น ไม่เอื้อเฟื้อสงฆ์ ไม่
เอื้อเฟื้อโจท หลีกไปตามชอบใจ ทั้งที่ยังมีอาบัติติดตัวอยู่ นี้ชื่อว่าบุรุษ
โทษข้อที่ ๗

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๑๓ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๘.อัฏฐกนิทเทส
๘. ภิกษุโจทภิกษุด้วยอาบัติ ภิกษุผู้ถูกโจทด้วยอาบัตินั้นกล่าวอย่างนี้ว่า
ทำไมหนอ ท่านจึงวุ่นวายกับกระผมนัก บัดนี้กระผมจักลาสิกขาไปเป็น
คฤหัสถ์ เธอก็ลาสิกขาไปเป็นคฤหัสถ์แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า พระคุณเจ้า
บัดนี้แลท่านคงพอใจ นี้ชื่อว่าบุรุษโทษข้อที่ ๘
เหล่านี้ชื่อว่าบุรุษโทษ ๘
[๙๕๘] อสัญญีวาทะ ๘ เป็นไฉน
สมณะหรือพราหมณ์พวกหนึ่งย่อมบัญญัติว่า
๑. อัตตาที่มีรูป ยั่งยืน๑ หลังจากตายแล้ว ไม่มีสัญญา
๒. อัตตาที่ไม่มีรูป ยั่งยืน หลังจากตายแล้ว ไม่มีสัญญา
๓. อัตตาทั้งที่มีรูปและไม่มีรูป ยั่งยืน หลังจากตายแล้ว ไม่มีสัญญา
๔. อัตตามีรูปก็มิใช่ ไม่มีรูปก็มิใช่ ยั่งยืน หลังจากตายแล้ว ไม่มีสัญญา
๕. อัตตามีที่สุด ยั่งยืน หลังจากตายแล้ว ไม่มีสัญญา
๖. อัตตาไม่มีที่สุด ยั่งยืน หลังจากตายแล้ว ไม่มีสัญญา
๗. อัตตามีที่สุดและไม่มีที่สุด ยั่งยืน หลังจากตายแล้ว ไม่มีสัญญา
๘. อัตตามีที่สุดก็มิใช่ ไม่มีที่สุดก็มิใช่ ยั่งยืน หลังจากตายแล้ว ไม่มีสัญญา
เหล่านี้ชื่อว่าอสัญญีวาทะ ๘
[๙๕๙] เนวสัญญีนาสัญญีวาทะ ๘ เป็นไฉน
สมณะหรือพราหมณ์พวกหนึ่งย่อมบัญญัติว่า
๑. อัตตามีรูป ยั่งยืน หลังจากตายแล้ว มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่
๒. อัตตาไม่มีรูป ยั่งยืน หลังจากตายแล้ว มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่
๓. อัตตาที่มีรูปและไม่มีรูป ยั่งยืน หลังจากตายแล้ว มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มี
สัญญาก็มิใช่
๔. อัตตามีรูปก็มิใช่ ไม่มีรูปก็มิใช่ ยั่งยืน หลังจากตายแล้ว มีสัญญาก็มิใช่
ไม่มีสัญญาก็มิใช่

เชิงอรรถ :
๑ คำว่า ยั่งยืน ตรงกับคำบาลีว่า อโรโค แปลว่า ไม่มีโรค ไม่มีการทรุดโทรม หรือไม่มีความเปลี่ยนแปลง

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๑๔ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๙.นวกกนิทเทส
๕. อัตตามีที่สุด ยั่งยืน หลังจากตายแล้ว มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่
๖. อัตตาไม่มีที่สุด ยั่งยืน หลังจากตายแล้ว มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญา
ก็มิใช่
๗. อัตตามีที่สุดและไม่มีที่สุด ยั่งยืน หลังจากตายแล้ว มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มี
สัญญาก็มิใช่
๘. อัตตามีที่สุดก็มิใช่ ไม่มีที่สุดก็มิใช่ ยั่งยืน หลังจากตายแล้ว มีสัญญาก็
มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่
เหล่านี้ชื่อว่าเนวสัญญีนาสัญญีวาทะ ๘
อัฏฐกนิทเทส จบ

๙. นวกนิทเทส
[๙๖๐] บรรดานวกมาติกาเหล่านั้น อาฆาตวัตถุ ๙ เป็นไฉน
อาฆาตวัตถุ ๙ คือ

๑. ความอาฆาตเกิดขึ้นว่า ผู้นี้ได้ทำความเสื่อมเสียแก่เรา
๒. ความอาฆาตเกิดขึ้นว่า ผู้นี้กำลังทำความเสื่อมเสียแก่เรา
๓. ความอาฆาตเกิดขึ้นว่า ผู้นี้จักทำความเสื่อมเสียแก่เรา
๔. ความอาฆาตเกิดขึ้นว่า ผู้นี้ได้ทำความเสื่อมเสียแก่คนผู้เป็นที่รักที่
ชอบพอของเรา
๕. ความอาฆาตเกิดขึ้นว่า ผู้นี้กำลังทำความเสื่อมเสียแก่คนผู้เป็นที่รัก
ที่ชอบพอของเรา
๖. ความอาฆาตเกิดขึ้นว่า ผู้นี้จักทำความเสื่อมเสียแก่คนผู้เป็นที่รักที่
ชอบพอของเรา
๗. ความอาฆาตเกิดขึ้นว่า ผู้นี้ได้ทำประโยชน์แก่คนผู้ไม่เป็นที่รักไม่
เป็นที่ชอบพอของเรา


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๑๕ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๙.นวกนิทเทส

๘. ความอาฆาตเกิดขึ้นว่า ผู้นี้กำลังทำประโยชน์แก่คนผู้ไม่เป็นที่รักไม่
เป็นที่ชอบพอของเรา
๙. ความอาฆาตเกิดขึ้นว่า ผู้นี้จักทำประโยชน์แก่คนผู้ไม่เป็นที่รักไม่เป็น
ที่ชอบพอของเรา

เหล่านี้ชื่อว่าอาฆาตวัตถุ ๙
[๙๖๑] ปุริสมละ ๙ เป็นไฉน
ปุริสมละ ๙ คือ

๑. โกธะ (ความโกรธ)
๒. มักขะ (ความลบหลู่คุณท่าน)
๓. อิสสา (ความริษยา)
๔. มัจฉริยะ (ความตระหนี่)
๕. มายา (ความเจ้าเล่ห์)
๖. สาเถยยะ (ความโอ้อวด)
๗. มุสาวาท (การพูดเท็จ)
๘. ปาปิจฉตา (ความปรารถนาลามก)
๙. มิจฉาทิฏฐิ (ความเห็นผิด)

เหล่านี้ชื่อว่าปุริสมละ ๙
[๙๖๒] มานะ ๙ เป็นไฉน
มานะ ๙ คือ

๑. เป็นผู้เลิศกว่าเขา ถือตัวว่าเลิศกว่าเขา
๒. เป็นผู้เลิศกว่าเขา ถือตัวว่าเสมอเขา
๓. เป็นผู้เลิศกว่าเขา ถือตัวว่าด้อยกว่าเขา
๔. เป็นผู้เสมอเขา ถือตัวว่าเลิศกว่าเขา
๕. เป็นผู้เสมอเขา ถือตัวว่าเสมอเขา
๖. เป็นผู้เสมอเขา ถือตัวว่าด้อยกว่าเขา
๗. เป็นผู้ด้อยกว่าเขา ถือตัวว่าเลิศกว่าเขา


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๑๖ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๙.นวกนิทเทส
๘. เป็นผู้ด้อยกว่าเขา ถือตัวว่าเสมอเขา
๙. เป็นผู้ด้อยกว่าเขา ถือตัวว่าด้อยกว่าเขา
เหล่านี้ชื่อว่ามานะ ๙
[๙๖๓] ตัณหามูลกธรรม ๙ เป็นไฉน
ตัณหามูลกธรรม ๙ คือ

๑. เพราะอาศัยตัณหา การแสวงหาจึงเกิดขึ้น
๒. เพราะอาศัยการแสวงหา การได้จึงเกิดขึ้น
๓. เพราะอาศัยการได้ การวินิจฉัยจึงเกิดขึ้น
๔. เพราะอาศัยการวินิจฉัย ฉันทราคะจึงเกิดขึ้น
๕. เพราะอาศัยฉันทราคะ ความหลงใหลจึงเกิดขึ้น
๖. เพราะอาศัยความหลงใหล ความหวงแหนจึงเกิดขึ้น
๗. เพราะอาศัยความหวงแหน ความตระหนี่จึงเกิดขึ้น
๘. เพราะอาศัยความตระหนี่ การรักษาจึงเกิดขึ้น

๙. เพราะอาศัยการรักษา สภาวธรรมที่เป็นบาปเป็นอกุศลหลายประการ คือ
การถือท่อนไม้ การถือศัสตรา การทะเลาะ การแก่งแย่ง การวิวาท
การพูดขึ้นมึงกู การพูดส่อเสียด การพูดเท็จจึงเกิดขึ้น
เหล่านี้ชื่อว่าตัณหามูลกธรรม ๙
[๙๖๔] อิญชิตะ ๙ เป็นไฉน
อิญชิตะ ๙ คือ
๑. ความหวั่นไหวว่า เรามี
๒. ความหวั่นไหวว่า เราเป็น
๓. ความหวั่นไหวว่า เราเป็นสิ่งนี้
๔. ความหวั่นไหวว่า เราจักมี
๕. ความหวั่นไหวว่า เราจักเป็นสัตว์มีรูป
๖. ความหวั่นไหวว่า เราจักเป็นสัตว์ไม่มีรูป
๗. ความหวั่นไหวว่า เราจักเป็นสัตว์มีสัญญา

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๑๗ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๑๐.ทสกนิทเทส
๘. ความหวั่นไหวว่า เราจักเป็นสัตว์ไม่มีสัญญา
๙. ความหวั่นไหวว่า เราจักเป็นสัตว์มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่
เหล่านี้ชื่อว่าอิญชิตะ ๙
[๙๖๕] มัญญิตะ ๙ ฯลฯ ผันทิตะ ๙ ฯลฯ ปปัญจิตะ ๙ ฯลฯ
สังขตะ ๙ เป็นไฉน
สังขตะ ๙ คือ
๑. ความปรุงแต่งว่า เรามี
๒. ความปรุงแต่งว่า เราเป็น
๓. ความปรุงแต่งว่า เราเป็นสิ่งนี้
๔. ความปรุงแต่งว่า เราจักมี
๕. ความปรุงแต่งว่า เราจักเป็นสัตว์มีรูป
๖. ความปรุงแต่งว่า เราจักเป็นสัตว์ไม่มีรูป
๗. ความปรุงแต่งว่า เราจักเป็นสัตว์มีสัญญา
๘. ความปรุงแต่งว่า เราจักเป็นสัตว์ไม่มีสัญญา
๙. ความปรุงแต่งว่า เราจักเป็นสัตว์มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่
เหล่านี้ชื่อว่าสังขตะ ๙
นวกนิทเทส จบ

๑๐. ทสกนิทเทส
[๙๖๖] บรรดาทสกมาติกาเหล่านั้น กิเลสวัตถุ ๑๐ เป็นไฉน
กิเลสวัตถุ ๑๐ คือ

๑. โลภะ (ความโลภ) ๒. โทสะ (ความคิดประทุษร้าย)
๓. โมหะ (ความหลง) ๔. มานะ (ความถือตัว)
๕. ทิฏฐิ (ความเห็นผิด) ๖. วิจิกิจฉา (ความสงสัย)
๗. ถีนะ (ความหดหู่) ๘. อุทธัจจะ (ความฟุ้งซ่าน)
๙. อหิริกะ (ความไม่ละอายบาป) ๑๐. อโนตตัปปะ (ความไม่เกรงกลัวบาป)

เหล่านี้ชื่อว่ากิเลสวัตถุ ๑๐

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๑๘ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๑๐.ทสกนิทเทส
[๙๖๗] อาฆาตวัตถุ ๑๐ เป็นไฉน
อาฆาตวัตถุ ๑๐ คือ

๑. ความอาฆาตเกิดขึ้นว่า ผู้นี้ได้ทำสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่เรา
๒. ความอาฆาตเกิดขึ้นว่า ผู้นี้กำลังทำสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่เรา
๓. ความอาฆาตเกิดขึ้นว่า ผู้นี้จักทำสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่เรา
๔. ความอาฆาตเกิดขึ้นว่า ผู้นี้ได้ทำสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่คนผู้เป็น
ที่รักที่ชอบพอของเรา
๕. ความอาฆาตเกิดขึ้นว่า ผู้นี้กำลังทำสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่คนผู้
เป็นที่รักที่ชอบพอของเรา
๖. ความอาฆาตเกิดขึ้นว่า ผู้นี้จักทำสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่คนผู้เป็น
ที่รักที่ชอบพอของเรา
๗. ความอาฆาตเกิดขึ้นว่า ผู้นี้ได้ทำประโยชน์แก่คนผู้ไม่เป็นที่รักไม่
เป็นที่ชอบพอของเรา
๘. ความอาฆาตเกิดขึ้นว่า ผู้นี้กำลังทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่คนผู้ไม่เป็น
ที่รักไม่เป็นที่ชอบพอของเรา
๙. ความอาฆาตเกิดขึ้นว่า ผู้นี้จักทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่คนผู้ไม่เป็น
ที่รักไม่เป็นที่ชอบพอของเรา

๑๐. ความอาฆาตเกิดขึ้นในฐานะอันไม่สมควร
เหล่านี้ชื่อว่าอาฆาตวัตถุ ๑๐
[๙๖๘] อกุศลกรรมบถ ๑๐ เป็นไฉน
อกุศลกรรมบถ ๑๐ คือ

๑. ปาณาติบาต (ฆ่าสัตว์) ๒. อทินนาทาน (ลักทรัพย์)
๓. กาเมสุมิจฉาจาร (ประพฤติผิดในกาม) ๔. มุสาวาท (พูดเท็จ)
๕. ปิสุณวาจา (พูดส่อเสียด) ๖. ผรุสวาจา (พูดคำหยาบ)
๗. สัมผัปปลาปะ (พูดเพ้อเจ้อ) ๘. อภิชฌา (เพ่งเล็งอยากได้ของเขา)
๙. พยาบาท (ปองร้ายเขา) ๑๐. มิจฉาทิฏฐิ (เห็นผิดจากคลองธรรม)

เหล่านี้ชื่อว่าอกุศลกรรมบถ ๑๐

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๑๙ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๑๐.ทสกนิทเทส
[๙๖๙] สังโยชน์ ๑๐ เป็นไฉน
สังโยชน์ ๑๐ คือ

๑. กามราคสังโยชน์ (กิเลสเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพคือกามราคะ)
๒. ปฏิฆสังโยชน์ (กิเลสเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพคือปฏิฆะ)
๓. มานสังโยชน์ (กิเลสเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพคือมานะ)
๔. ทิฏฐิสังโยชน์ (กิเลสเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพคือทิฏฐิ)
๕. วิจิกิจฉาสังโยชน์ (กิเลสเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพคือวิจิกิจฉา)
๖. สีลัพพตปรามาสสังโยชน์ (กิเลสเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพคือสีลัพ-
พตปรามาส)
๗. ภวราคสังโยชน์ (กิเลสเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพคือภวราคะ)
๘. อิสสาสังโยชน์ (กิเลสเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพคืออิสสา)
๙. มัจฉริยสังโยชน์ (กิเลสเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพคือมัจฉริยะ
๑๐. อวิชชาสังโยชน์ (กิเลสเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพคืออวิชชา)

เหล่านี้ชื่อว่าสังโยชน์ ๑๐
[๙๗๐] มิจฉัตตะ ๑๐ เป็นไฉน
มิจฉัตตะ ๑๐ คือ

๑. มิจฉาทิฏฐิ (เห็นผิด) ๒. มิจฉาสังกัปปะ (ดำริผิด)
๓. มิจฉาวาจา (เจรจาผิด) ๔. มิจฉากัมมันตะ (กระทำผิด)
๕. มิจฉาอาชีวะ (เลี้ยงชีพผิด) ๖. มิจฉาวายามะ (พยายามผิด)
๗. มิจฉาสติ (ระลึกผิด) ๘. มิจฉาสมาธิ (ตั้งจิตมั่นผิด)
๙. มิจฉาญาณะ (รู้ผิด) ๑๐. มิจฉาวิมุตติ (พ้นผิด)

เหล่านี้ชื่อว่ามิจฉัตตะ ๑๐
[๙๗๑] มิจฉาทิฏฐิมีวัตถุ ๑๐ เป็นไฉน
มิจฉาทิฏฐิมีวัตถุ ๑๐ คือ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๒๐ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ๑๐.ทสกนิทเทส

๑. ความเห็นว่า ทานที่บุคคลให้แล้วไม่มีผล
๒. ความเห็นว่า การบูชาไม่มีผล
๓. ความเห็นว่า การเซ่นสรวงไม่มีผล
๔. ความเห็นว่า ผลวิบากของกรรมดีและกรรมชั่วไม่มี
๕. ความเห็นว่า โลกนี้ไม่มี
๖. ความเห็นว่า โลกหน้าไม่มี
๗. ความเห็นว่า มารดาไม่มีคุณ
๘. ความเห็นว่า บิดาไม่มีคุณ
๙. ความเห็นว่า สัตว์ผู้เป็นโอปปาติกะไม่มี
๑๐. ความเห็นว่า สมณะพราหมณ์ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ รู้ยิ่ง
เห็นจริงแจ้งประจักษ์ซึ่งโลกนี้และโลกหน้าด้วย
ตนเองแล้วประกาศให้ผู้อื่นรู้ไม่มีในโลก

นี้ชื่อว่ามิจฉาทิฏฐิมีวัตถุ ๑๐
[๙๗๒] อันตัคคาหิกทิฏฐิมีวัตถุ ๑๐ เป็นไฉน
อันตัคคาหิกทิฏฐิมีวัตถุ ๑๐ คือ

๑. ความเห็นว่า โลกเที่ยง
๒. ความเห็นว่า โลกไม่เที่ยง
๓. ความเห็นว่า โลกมีที่สุด
๔. ความเห็นว่า โลกไม่มีที่สุด
๕. ความเห็นว่า ชีวะกับสรีระเป็นอย่างเดียวกัน
๖. ความเห็นว่า ชีวะกับสรีระเป็นคนละอย่างกัน
๗. ความเห็นว่า หลังจากตายแล้ว ตถาคต๑ เกิดอีก
๘. ความเห็นว่า หลังจากตายแล้ว ตถาคตไม่เกิดอีก
๙. ความเห็นว่า หลังจากตายแล้ว ตถาคตเกิดอีกก็มี ไม่
เกิดอีกก็มี


เชิงอรรถ :
๑ ตถาคต ในที่นี้เป็นคำที่ลัทธิอื่น ๆ ใช้กันก่อนพุทธกาล หมายถึงอัตตา (อาตมัน) ไม่ได้หมายถึงพระพุทธเจ้า
อรรถกถาอธิบายว่า หมายถึง สัตตะ (ที.สี.อ. ๖๕/๑๐๘)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๒๑ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ตัณหาวิจริตนิทเทส
๑๐. ความเห็นว่า หลังจากตายแล้ว ตถาคตเกิดอีกก็มิใช่ จะว่า
ไม่เกิดอีกก็มิใช่
นี้ชื่อว่าอันตัคคาหิกทิฏฐิมีวัตถุ ๑๐
ทสกนิทเทส จบ

ตัณหาวิจริตนิทเทส
[๙๗๓] บรรดามาติกานั้น ตัณหาวิจริต ๑๘ อาศัยเบญจขันธ์ภายใน
เป็นไฉน
ตัณหาวิจริต ๑๘ อาศัยเบญจขันธ์ภายใน คือ
๑. ตัณหาว่า เรามี
๒. ตัณหาว่า เราเป็นอย่างนี้
๓. ตัณหาว่า เราเป็นอย่างนั้น
๔. ตัณหาว่า เราเป็นโดยประการอื่น
๕. ตัณหาว่า เราจักเป็น
๖. ตัณหาว่า เราจักเป็นอย่างนี้
๗. ตัณหาว่า เราจักเป็นอย่างนั้น
๘. ตัณหาว่า เราจักเป็นโดยประการอื่น
๙. ตัณหาว่า เราเป็นผู้เที่ยง
๑๐. ตัณหาว่า เราเป็นผู้ไม่เที่ยง
๑๑. ตัณหาว่า เราพึงเป็น
๑๒. ตัณหาว่า เราพึงเป็นอย่างนี้
๑๓. ตัณหาว่า เราพึงเป็นอย่างนั้น
๑๔. ตัณหาว่า เราพึงเป็นโดยประการอื่น
๑๕. ตัณหาว่า เราพึงเป็นบ้าง
๑๖. ตัณหาว่า เราพึงเป็นอย่างนี้บ้าง
๑๗. ตัณหาว่า เราพึงเป็นอย่างนั้นบ้าง
๑๘. ตัณหาว่า เราพึงเป็นโดยประการอื่น

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๒๒ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ตัณหาวิจริตนิทเทส
[๙๗๔] ตัณหาว่า เรามี เป็นอย่างไร
บุคคลไม่แยกสภาวธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง คือรูป ฯลฯ เวทนา ฯลฯ สัญญา
ฯลฯ สังขาร ฯลฯ วิญญาณออกจากกันแล้ว ได้ฉันทะว่าเรามี ได้มานะว่าเรามี
ได้ทิฏฐิว่าเรามี เมื่อสภาวธรรมทั้ง ๓ นั้นมีอยู่ สภาวธรรมเครื่องเนิ่นช้าเหล่านี้ก็มี
ว่าเราเป็นอย่างนี้ เราเป็นอย่างนั้น หรือเราเป็นโดยประการอื่นก็มี (๑)
ตัณหาว่า เราเป็นอย่างนี้ เป็นอย่างไร
ตัณหาว่า เราเป็นกษัตริย์หรือเป็นพราหมณ์ เป็นแพศย์หรือเป็นศูทร เป็น
คฤหัสถ์หรือเป็นบรรพชิต เป็นเทวดาหรือเป็นมนุษย์ เป็นพรหมที่มีรูปหรือเป็น
พรหมที่ไม่มีรูป เป็นพรหมที่มีสัญญาหรือเป็นพรหมที่ไม่มีสัญญา หรือเป็นพรหม
มีสัญญาก็มิใช่ไม่มีสัญญาก็มิใช่ อย่างนี้ตัณหาว่า เราเป็นอย่างนี้ก็มี (๒)
ตัณหาว่า เราเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างไร
ตัณหาที่เกิดขึ้นเพราะเปรียบเทียบกับคนอื่นว่า เขาเป็นกษัตริย์ เราก็เป็น
กษัตริย์เหมือนกัน เขาเป็นพราหมณ์ เราก็เป็นพราหมณ์เหมือนกัน เขาเป็นแพศย์
เราก็เป็นแพศย์เหมือนกัน เขาเป็นศูทร เราก็เป็นศูทรเหมือนกัน เขาเป็นคฤหัสถ์
เราก็เป็นคฤหัสถ์เหมือนกัน เขาเป็นบรรพชิต เราก็เป็นบรรพชิตเหมือนกัน เขา
เป็นเทวดา เราก็เป็นเทวดาเหมือนกัน เขาเป็นมนุษย์ เราก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน
เขาเป็นพรหมมีรูป เราก็เป็นพรหมมีรูปเหมือนกัน เขาเป็นพรหมไม่มีรูป เราก็เป็น
พรหมไม่มีรูปเหมือนกัน เขาเป็นพรหมมีสัญญา เราก็เป็นพรหมมีสัญญาเหมือนกัน
เขาเป็นพรหมไม่มีสัญญา เราก็เป็นพรหมไม่มีสัญญาเหมือนกัน หรือว่าเขาเป็น
พรหมมีสัญญาก็มิใช่ไม่มีสัญญาก็มิใช่ เราก็เป็นพรหมมีสัญญาก็มิใช่ไม่มีสัญญาก็
มิใช่เหมือนกัน อย่างนี้ตัณหาว่า เราเป็นอย่างนั้นก็มี (๓)
ตัณหาว่า เราเป็นโดยประการอื่น เป็นอย่างไร
ตัณหาที่เกิดขึ้นเพราะเปรียบเทียบกับคนอื่นว่า เขาเป็นกษัตริย์ แต่เราไม่ได้
เป็นกษัตริย์เหมือนเขา เขาเป็นพราหมณ์ แต่เราไม่ได้เป็นพราหมณ์เหมือนเขา
เขาเป็นแพศย์ แต่เราไม่ได้เป็นแพศย์เหมือนเขา เขาเป็นศูทรแต่เราไม่ได้เป็นศูทร
เหมือนเขา เขาเป็นคฤหัสถ์ แต่เราไม่ได้เป็นคฤหัสถ์เหมือนเขา เขาเป็นบรรพชิต


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๒๓ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ตัณหาวิจริตนิทเทส
แต่เราไม่ได้เป็นบรรพชิตเหมือนเขา เขาเป็นเทวดา แต่เราไม่ได้เป็นเทวดาเหมือนเขา
เขาเป็นมนุษย์ แต่เราไม่ได้เป็นมนุษย์เหมือนเขา เขาเป็นพรหมมีรูป แต่เราไม่ได้เป็น
พรหมมีรูปเหมือนเขา เขาเป็นพรหมมีสัญญา แต่เราไม่ได้เป็นพรหมมีสัญญาเหมือนเขา
หรือว่าเขาเป็นพรหมมีสัญญาก็มิใช่ไม่มีสัญญาก็มิใช่ แต่เราไม่ได้เป็นพรหมมีสัญญา
ก็มิใช่ไม่มีสัญญาก็มิใช่เหมือนเขา อย่างนี้ตัณหาว่า เราเป็นโดยประการอื่นก็มี (๔)
ตัณหาว่า เราจักเป็น เป็นอย่างไร
บุคคลไม่แยกสภาวธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง คือรูป ฯลฯ เวทนา ฯลฯ สัญญา
ฯลฯ สังขาร ฯลฯ วิญญาณออกจากกันแล้ว ได้ฉันทะว่าเราจักเป็น ได้มานะว่า
เราจักเป็น ได้ทิฏฐิว่าเราจักเป็น เมื่อสภาวธรรมทั้ง ๓ นั้นมีอยู่ สภาวธรรมเครื่อง
เนิ่นช้าเหล่านี้ก็มีว่า เราจักเป็นอย่างนี้ เราจักเป็นอย่างนั้น หรือว่าเราจักเป็นโดย
ประการอื่นก็มี (๕)
ตัณหาว่า เราจักเป็นอย่างนี้ เป็นอย่างไร
ตัณหาว่า เราจักเป็นกษัตริย์หรือจักเป็นพราหมณ์ จักเป็นแพศย์หรือจักเป็น
ศูทร จักเป็นคฤหัสถ์หรือจักเป็นบรรพชิต จักเป็นเทวดาหรือจักเป็นมนุษย์ จักเป็น
พรหมมีรูปหรือจักเป็นพรหมไม่มีรูป จักเป็นพรหมมีสัญญาหรือจักเป็นพรหมไม่มีสัญญา
จักเป็นพรหมมีสัญญาก็มิใช่หรือจักเป็นพรหมไม่มีสัญญาก็มิใช่ อย่างนี้ตัณหาว่า
เราจักเป็นอย่างนี้ก็มี (๖)
ตัณหาว่า เราจักเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างไร
ตัณหาที่เกิดขึ้นเพราะเปรียบเทียบกับคนอื่นว่า เขาเป็นกษัตริย์ เราก็จักเป็น
กษัตริย์เหมือนกัน เขาเป็นพราหมณ์ เราก็จักเป็นพราหมณ์เหมือนกัน ฯลฯ หรือว่า
เขาเป็นพรหมมีสัญญาก็มิใช่ไม่มีสัญญาก็มิใช่ เราก็จักเป็นพรหมมีสัญญาก็มิใช่ไม่มี
สัญญาก็มิใช่เหมือนกัน อย่างนี้ตัณหาว่า เราจักเป็นอย่างนั้นก็มี (๗)
ตัณหาว่า เราจักเป็นโดยประการอื่น เป็นอย่างไร
ตัณหาที่เกิดขึ้นเพราะเปรียบเทียบกับคนอื่นว่า เขาเป็นกษัตริย์ แต่เราจักไม่
เป็นกษัตริย์เหมือนเขา เขาเป็นพราหมณ์ แต่เราจักไม่เป็นพราหมณ์เหมือนเขา ฯลฯ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๒๔ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ตัณหาวิจริตนิทเทส
หรือว่าเขาเป็นพรหมมีสัญญาก็มิใช่ไม่มีสัญญาก็มิใช่ แต่เราจักไม่เป็นพรหมมี
สัญญาก็มิใช่ไม่มีสัญญาก็มิใช่เหมือนเขา อย่างนี้ตัณหาว่า เราจักเป็นโดยประการอื่น
ก็มี (๘)
ตัณหาว่า เราเป็นผู้เที่ยง เป็นอย่างไร
บุคคลไม่แยกสภาวธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง คือรูป ฯลฯ เวทนา ฯลฯ สัญญา
ฯลฯ สังขาร ฯลฯ วิญญาณออกจากกันแล้ว มีตัณหาว่า เราเที่ยง เรายั่งยืน
เราคงทน เราไม่มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา อย่างนี้ตัณหาว่า เราเป็นผู้เที่ยง
ก็มี (๙)
ตัณหาว่า เราเป็นผู้ไม่เที่ยง เป็นอย่างไร
บุคคลไม่จำแนกสภาวธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง คือรูป ฯลฯ เวทนา ฯลฯ
สัญญา ฯลฯ สังขาร ฯลฯ วิญญาณออกจากกันแล้ว มีตัณหาว่า เราจักขาดสูญ
จักพินาศ จักไม่มี อย่างนี้ตัณหาว่า เราเป็นผู้ไม่เที่ยงก็มี (๑๐)
ตัณหาว่า เราพึงเป็น เป็นอย่างไร
บุคคลไม่แยกสภาวธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง คือรูป ฯลฯ เวทนา ฯลฯ สัญญา
ฯลฯ สังขาร ฯลฯ วิญญาณออกจากกันแล้ว ได้ฉันทะว่าเราพึงเป็น ได้มานะ
ว่าเราพึงเป็น ได้ทิฏฐิว่าเราพึงเป็น เมื่อสภาวธรรมทั้ง ๓ นั้นมีอยู่ สภาวธรรม
เครื่องเนิ่นช้าเหล่านี้ก็มีว่า เราพึงเป็นอย่างนี้ เราพึงเป็นอย่างนั้น หรือว่าเราพึง
เป็นโดยประการอื่นก็มี (๑๑)
ตัณหาว่า เราพึงเป็นอย่างนี้ เป็นอย่างไร
ตัณหาว่า เราพึงเป็นกษัตริย์หรือเป็นพราหมณ์ พึงเป็นแพศย์หรือเป็นศูทร
พึงเป็นคฤหัสถ์หรือเป็นบรรพชิต พึงเป็นเทวดาหรือเป็นมนุษย์ พึงเป็นพรหมมีรูป
หรือเป็นพรหมไม่มีรูป พึงเป็นพรหมมีสัญญาหรือเป็นพรหมไม่มีสัญญา หรือพึงเป็น
ผู้มีสัญญาก็มิใช่ไม่มีสัญญาก็มิใช่ อย่างนี้ตัณหาว่า เราพึงเป็นอย่างนี้ก็มี (๑๒)
ตัณหาว่า เราพึงเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างไร
ตัณหาที่เกิดขึ้นเพราะเปรียบเทียบกับคนอื่นว่า เขาเป็นกษัตริย์ เราก็พึงเป็น
กษัตริย์เหมือนกัน เขาเป็นพราหมณ์เราก็พึงเป็นพราหมณ์เหมือนกัน ฯลฯ หรือว่า


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๒๕ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ตัณหาวิจริตนิทเทส
เขาเป็นพรหมมีสัญญาก็มิใช่ไม่มีสัญญาก็มิใช่ เราก็พึงเป็นพรหมมีสัญญาก็มิใช่ไม่มี
สัญญาก็มิใช่เหมือนกัน อย่างนี้ตัณหาว่า เราพึงเป็นอย่างนั้นก็มี (๑๓)
ตัณหาว่า เราพึงเป็นโดยประการอื่น เป็นอย่างไร
ตัณหาที่เกิดขึ้นเพราะเปรียบเทียบกับคนอื่นว่า เขาเป็นกษัตริย์ แต่เราไม่พึง
เป็นกษัตริย์เหมือนเขา เขาเป็นพราหมณ์แต่เราไม่พึงเป็นพราหมณ์เหมือนเขา ฯลฯ
หรือว่าเขาเป็นพรหมมีสัญญาก็มิใช่ไม่มีสัญญาก็มิใช่ แต่เราไม่พึงเป็นพรหมมี
สัญญาก็มิใช่ไม่มีสัญญาก็มิใช่เหมือนเขา อย่างนี้ตัณหาว่า เราพึงเป็นโดยประการ
อื่นก็มี (๑๔)
ตัณหาว่า เราพึงเป็นบ้าง เป็นอย่างไร
บุคคลไม่แยกสภาวธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง คือรูป ฯลฯ เวทนา ฯลฯ สัญญา
ฯลฯ สังขาร ฯลฯ วิญญาณออกจากกันแล้ว ได้ฉันทะว่าเราพึงเป็นบ้าง ได้
มานะว่าเราก็พึงเป็นบ้าง ได้ทิฏฐิว่าเราก็พึงเป็นบ้าง เมื่อสภาวธรรมทั้ง ๓ นั้นมีอยู่
สภาวธรรมเครื่องเนิ่นช้าเหล่านี้ก็มีว่า เราพึงเป็นอย่างนี้บ้าง เราพึงเป็นอย่างนั้นบ้าง
หรือว่าเราพึงเป็นโดยประการอื่นบ้างก็มี (๑๕)
ตัณหาว่า เราพึงเป็นอย่างนี้บ้าง เป็นอย่างไร
ตัณหาว่า เราพึงเป็นกษัตริย์ หรือเป็นพราหมณ์บ้าง พึงเป็นแพศย์หรือเป็น
ศูทรบ้าง พึงเป็นคฤหัสถ์หรือเป็นบรรพชิตบ้าง พึงเป็นเทวดาหรือเป็นมนุษย์บ้าง
พึงเป็นพรหมมีรูป หรือเป็นพรหมไม่มีรูปบ้าง หรือพึงเป็นพรหมมีสัญญา จะพึง
เป็นพรหมไม่มีสัญญาบ้าง หรือเป็นพรหมมีสัญญาก็มิใช่ไม่มีสัญญาก็มิใช่บ้าง
อย่างนี้ตัณหาว่า เราพึงเป็นอย่างนี้บ้างก็มี (๑๖)
ตัณหาว่า เราพึงเป็นอย่างนั้นบ้าง เป็นอย่างไร
ตัณหาที่เกิดขึ้นเพราะเปรียบเทียบกับคนอื่นว่า เขาเป็นกษัตริย์ เราก็พึงเป็น
กษัตริย์เหมือนเขาบ้าง เขาเป็นพราหมณ์ เราก็พึงเป็นพราหมณ์เหมือนเขาบ้าง ฯลฯ
หรือว่าเขาเป็นพรหมมีสัญญาก็มิใช่ไม่มีสัญญาก็มิใช่ เราก็พึงเป็นพรหมมีสัญญาก็มิใช่
ไม่มีสัญญาก็มิใช่เหมือนเขาบ้าง อย่างนี้ตัณหาว่า เราพึงเป็นอย่างนั้นบ้างก็มี (๑๗)


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๒๖ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ตัณหาวิจริตนิทเทส
ตัณหาว่า เราพึงเป็นโดยประการอื่นบ้าง เป็นอย่างไร
ตัณหาที่เกิดขึ้นเพราะเปรียบเทียบกับคนอื่นว่า เขาเป็นกษัตริย์ แต่เราไม่พึง
เป็นกษัตริย์เหมือนเขาบ้าง เขาเป็นพราหมณ์ แต่เราไม่พึงเป็นพราหมณ์เหมือนเขา
บ้าง ฯลฯ หรือว่าเขาเป็นพรหมมีสัญญาก็มิใช่ไม่มีสัญญาก็มิใช่ แต่เราไม่พึงเป็น
พรหมมีสัญญาก็มิใช่ไม่มีสัญญาก็มิใช่เหมือนเขาบ้าง อย่างนี้ตัณหาว่า เราพึงเป็น
โดยประการอื่นบ้างก็มี (๑๘)
เหล่านี้เรียกว่า ตัณหาวิจริต ๑๘ อาศัยเบญจขันธ์ภายใน
[๙๗๕] ตัณหาวิจริต ๑๘ อาศัยเบญจขันธ์ภายนอก เป็นไฉน
ตัณหาวิจริต ๑๘ อาศัยเบญจขันธ์ภายนอก คือ
๑. ตัณหาว่า เราเป็นด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้
๒. ตัณหาว่า เราเป็นอย่างนี้ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้
๓. ตัณหาว่า เราเป็นอย่างนั้นด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้
๔. ตัณหาว่า เราเป็นโดยประการอื่นด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้
๕. ตัณหาว่า เราจักเป็นด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้
๖. ตัณหาว่า เราจักเป็นอย่างนี้ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้
๗. ตัณหาว่า เราจักเป็นอย่างนั้นด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้
๘. ตัณหาว่า เราจักเป็นโดยประการอื่นด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้
๙. ตัณหาว่า เราเป็นผู้เที่ยงด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้
๑๐. ตัณหาว่า เราเป็นผู้ไม่เที่ยงด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้
๑๑. ตัณหาว่า เราพึงเป็นด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้
๑๒. ตัณหาว่า เราพึงเป็นอย่างนี้ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้
๑๓. ตัณหาว่า เราพึงเป็นอย่างนั้นด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้
๑๔. ตัณหาว่า เราพึงเป็นโดยประการอื่นด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้
๑๕. ตัณหาว่า เราพึงเป็นด้วยรูปนี้บ้าง ฯลฯ หรือวิญญาณนี้บ้าง
๑๖. ตัณหาว่า เราพึงเป็นอย่างนี้ด้วยรูปนี้บ้าง ฯลฯ หรือวิญญาณนี้บ้าง
๑๗. ตัณหาว่า เราพึงเป็นอย่างนั้นด้วยรูปนี้บ้าง ฯลฯ หรือวิญญาณนี้บ้าง
๑๘. ตัณหาว่า เราพึงเป็นโดยประการอื่นด้วยรูปนี้บ้าง ฯลฯ หรือวิญญาณนี้บ้าง

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๒๗ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ตัณหาวิจริตนิทเทส
[๙๗๖] ตัณหาว่า เราเป็นด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ เป็นอย่างไร
บุคคลแยกสภาวธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง คือรูป ฯลฯ เวทนา ฯลฯ สัญญา
ฯลฯ สังขาร ฯลฯ วิญญาณออกจากกันแล้ว ได้ฉันทะว่าเราเป็นด้วยรูปนี้ ฯลฯ
หรือวิญญาณนี้ ได้มานะว่าเราเป็นด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ ได้ทิฏฐิว่าเรา
เป็นด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ เมื่อสภาวธรรมทั้ง ๓ นั้นมีอยู่ สภาวธรรม
เครื่องเนิ่นช้าเหล่านี้ว่า เราเป็นอย่างนี้ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ เราเป็น
อย่างนั้นด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ หรือว่าเราเป็นโดยประการอื่นด้วยรูปนี้
ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ก็มี (๑)
ตัณหาว่า เราเป็นอย่างนี้ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ เป็นอย่างไร
ตัณหาว่า เราเป็นกษัตริย์ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ เป็นพราหมณ์
ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ เป็นแพศย์ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ เป็น
ศูทรด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ เป็นคฤหัสถ์ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้
เป็นบรรพชิตด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ เป็นเทวดาด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือ
วิญญาณนี้ เป็นมนุษย์ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ เป็นพรหมมีรูปด้วยรูปนี้ ฯลฯ
หรือวิญญาณนี้ เป็นพรหมไม่มีรูปด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ เป็นพรหมมี
สัญญาด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ เป็นพรหมไม่มีสัญญาด้วยรูปนี้ ฯลฯ
หรือวิญญาณนี้ หรือเป็นพรหมมีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ด้วยรูปนี้ ฯลฯ
หรือวิญญาณนี้ อย่างนี้ตัณหาว่า เราเป็นอย่างนี้ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้
ก็มี (๒)
ตัณหาว่า เราเป็นอย่างนั้นด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ เป็นอย่างไร
ตัณหาที่เกิดขึ้นเพราะเปรียบเทียบกับคนอื่นว่า เขาเป็นกษัตริย์ เราก็เป็น
กษัตริย์ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้เหมือนกัน เขาเป็นพราหมณ์เราก็เป็น
พราหมณ์ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้เหมือนกัน ฯลฯ หรือว่าเขาเป็นพรหม
มีสัญญาก็มิใช่ไม่มีสัญญาก็มิใช่ เราก็เป็นพรหมมีสัญญาก็มิใช่ไม่มีสัญญาก็มิใช่ด้วย


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๒๘ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ตัณหาวิจริตนิทเทส
รูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้เหมือนกัน อย่างนี้ตัณหาว่า เราเป็นอย่างนั้นด้วยรูปนี้
ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ก็มี (๓)
ตัณหาว่า เราเป็นโดยประการอื่นด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ เป็นอย่างไร
ตัณหาที่เกิดขึ้นเพราะเปรียบเทียบกับคนอื่นว่า เขาเป็นกษัตริย์ แต่เราไม่ได้
เป็นกษัตริย์ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้เหมือนเขา เขาเป็นพราหมณ์แต่เราไม่
ได้เป็นพราหมณ์ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้เหมือนเขา ฯลฯ หรือว่าเขาเป็น
พรหมมีสัญญาก็มิใช่ไม่มีสัญญาก็มิใช่ แต่เราไม่ได้เป็นพรหมมีสัญญาก็มิใช่ไม่มี
สัญญาก็มิใช่ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้เหมือนเขา อย่างนี้ตัณหาว่า เราเป็น
โดยประการอื่นด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ก็มี (๔)
ตัณหาว่า เราจักเป็นด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ เป็นอย่างไร
บุคคลแยกสภาวธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง คือรูป ฯลฯ เวทนา ฯลฯ สัญญา
ฯลฯ สังขาร ฯลฯ วิญญาณออกจากกันแล้ว ได้ฉันทะว่าเราจักเป็นด้วยรูปนี้ ฯลฯ
หรือวิญญาณนี้ ได้มานะว่าเราจักเป็นด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ ได้ทิฏฐิว่าเรา
จักเป็นด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ เมื่อสภาวธรรมทั้ง ๓ นั้นมีอยู่ สภาวธรรม
เครื่องเนิ่นช้าเหล่านี้ว่า เราจักเป็นอย่างนี้ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ เราจักเป็น
อย่างนั้นด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ หรือว่าเราจักเป็นโดยประการอื่นด้วยรูปนี้
ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ก็มี (๕)
ตัณหาว่า เราจักเป็นอย่างนี้ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ เป็นอย่างไร
ตัณหาว่า เราจักเป็นกษัตริย์ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ จักเป็นพราหมณ์
ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ จักเป็นแพศย์ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้
จักเป็นศูทรด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ จักเป็นคฤหัสถ์ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือ
วิญญาณนี้ จักเป็นบรรพชิตด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ จักเป็นเทวดาด้วยรูปนี้
ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ จักเป็นมนุษย์ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ จักเป็น
พรหมมีรูปด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ จักเป็นพรหมไม่มีรูปด้วยรูปนี้ ฯลฯ
หรือวิญญาณนี้ จักเป็นพรหมมีสัญญาด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ จักเป็น


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๒๙ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ตัณหาวิจริตนิทเทส
พรหมไม่มีสัญญาด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ หรือว่าจักเป็นพรหมมีสัญญาก็
มิใช่ไม่มีสัญญาก็มิใช่ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ อย่างนี้ตัณหาว่า เราจักเป็น
อย่างนี้ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ก็มี (๖)
ตัณหาว่า เราจักเป็นอย่างนั้นด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ เป็นอย่างไร
ตัณหาที่เกิดขึ้นเพราะเปรียบเทียบกับคนอื่นว่า เขาเป็นกษัตริย์ เราก็จักเป็น
กษัตริย์ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้เหมือนกัน เขาเป็นพราหมณ์ เราก็จักเป็น
พราหมณ์ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้เหมือนกัน ฯลฯ หรือว่า เขาเป็นพรหม
มีสัญญาก็มิใช่ไม่มีสัญญาก็มิใช่ เราก็จักเป็นพรหมมีสัญญาก็มิใช่ไม่มีสัญญาก็มิใช่
ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้เหมือนกัน อย่างนี้ตัณหาว่า เราจักเป็นอย่างนั้น
ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ก็มี (๗)
ตัณหาว่า เราจักเป็นโดยประการอื่นด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ เป็น
อย่างไร
ตัณหาเกิดขึ้นเพราะเปรียบเทียบกับคนอื่นว่า เขาเป็นกษัตริย์ แต่เราจักไม่เป็น
กษัตริย์ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้เหมือนเขา เขาเป็นพราหมณ์ แต่เราจักไม่
เป็นพราหมณ์ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้เหมือนเขา ฯลฯ หรือว่าเขาเป็น
พรหมมีสัญญาก็มิใช่ไม่มีสัญญาก็มิใช่ แต่เราจักไม่เป็นพรหมมีสัญญาก็มิใช่ไม่มี
สัญญาก็มิใช่ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้เหมือนเขา อย่างนี้ตัณหาว่า เราจัก
เป็นโดยประการอื่นด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ก็มี (๘)
ตัณหาว่า เราเป็นผู้เที่ยงด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ เป็นอย่างไร
บุคคลแยกสภาวธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง คือรูป ฯลฯ เวทนา ฯลฯ สัญญา
ฯลฯ สังขาร ฯลฯ วิญญาณออกจากกันแล้ว มีตัณหาว่า เราเป็นผู้เที่ยง เรา
เป็นผู้ยั่งยืน เราคงทนอยู่ไม่มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดาด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือ
วิญญาณนี้ อย่างนี้ตัณหาว่า เราเป็นผู้เที่ยงด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ก็มี (๙)
ตัณหาว่า เราเป็นผู้ไม่เที่ยงด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ เป็นอย่างไร


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๓๐ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ตัณหาวิจริตนิทเทส
บุคคลแยกสภาวธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง คือรูป ฯลฯ เวทนา ฯลฯ สัญญา
ฯลฯ สังขาร ฯลฯ วิญญาณออกจากกันแล้ว มีตัณหาว่า เราจักขาดสูญ จักพินาศ
จักไม่มีด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ อย่างนี้ตัณหาว่า เราเป็นผู้ไม่เที่ยงด้วยรูปนี้
ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ก็มี (๑๐)
ตัณหาว่า เราพึงเป็นด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ เป็นอย่างไร
บุคคลแยกสภาวธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง คือรูป ฯลฯ เวทนา ฯลฯ สัญญา
ฯลฯ สังขาร ฯลฯ วิญญาณออกจากกันแล้ว ได้ฉันทะว่าเราพึงเป็นด้วยรูปนี้ ฯลฯ
หรือวิญญาณนี้ ได้มานะว่าเราพึงเป็นด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ ได้ทิฏฐิว่า
เราพึงเป็นด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ก็มี (๑๑)
ตัณหาว่า เราพึงเป็นอย่างนี้ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ เป็นอย่างไร
ตัณหาว่า เราพึงเป็นกษัตริย์ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ พึงเป็นพราหมณ์
ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ พึงเป็นแพศย์ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้
พึงเป็นศูทรด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ พึงเป็นคฤหัสถ์ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือ
วิญญาณนี้ พึงเป็นบรรพชิตด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ พึงเป็นเทวดาด้วย
รูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ พึงเป็นมนุษย์ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ พึงเป็น
พรหมมีรูปด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ พึงเป็นพรหมไม่มีรูปด้วยรูปนี้ ฯลฯ
หรือวิญญาณนี้ พึงเป็นพรหมมีสัญญาด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ หรือว่าพึง
เป็นพรหมมีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ อย่าง
นี้ตัณหาว่า เราพึงเป็นอย่างนี้ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ก็มี (๑๒)
ตัณหาว่า เราพึงเป็นอย่างนั้นด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ เป็นอย่างไร
ตัณหาที่เกิดขึ้นเพราะเปรียบเทียบกับบุคคลอื่นว่า เขาเป็นกษัตริย์ เราก็พึง
เป็นกษัตริย์ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้เหมือนกัน เขาเป็นพราหมณ์ เราก็พึง
เป็นพราหมณ์ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้เหมือนกัน ฯลฯ หรือว่าเขาเป็นพรหม
มีสัญญาก็มิใช่ไม่มีสัญญาก็มิใช่ เราก็พึงเป็นพรหมมีสัญญาก็มิใช่ไม่มีสัญญาก็มิใช่


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๓๑ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ตัณหาวิจริตนิทเทส
ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้เหมือนกัน อย่างนี้ตัณหาว่า เราพึงเป็นอย่างนั้น
ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ก็มี (๑๓)
ตัณหาว่า เราพึงเป็นโดยประการอื่นด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ เป็น
อย่างไร
ตัณหาที่เกิดขึ้นเพราะเปรียบเทียบกับคนอื่นว่า เขาเป็นกษัตริย์ แต่เราไม่พึง
เป็นกษัตริย์ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้เหมือนเขา เขาเป็นพราหมณ์ แต่เรา
ไม่พึงเป็นพราหมณ์ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้เหมือนเขา ฯลฯ หรือว่า เขาเป็น
พรหมมีสัญญาก็มิใช่ไม่มีสัญญาก็มิใช่ แต่เราไม่พึงเป็นพรหมมีสัญญาก็มิใช่ไม่มี
สัญญาก็มิใช่ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้เหมือนเขา อย่างนี้ตัณหาว่า เราพึง
เป็นโดยประการอื่นด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้ก็มี (๑๔)
ตัณหาว่า เราพึงเป็นด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้บ้าง เป็นอย่างไร
บุคคลแยกสภาวธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ รูป ฯลฯ เวทนา ฯลฯ สัญญา
ฯลฯ สังขาร ฯลฯ วิญญาณออกจากกันแล้ว ได้ฉันทะว่าเราพึงเป็นด้วยรูปนี้ ฯลฯ
หรือวิญญาณนี้บ้าง ได้มานะว่าเราพึงเป็นด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้บ้าง
ได้ทิฏฐิว่าเราพึงเป็นด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้บ้าง เมื่อสภาวธรรมทั้ง ๓ นั้น
มีอยู่ สภาวธรรมเครื่องเนิ่นช้าเหล่านี้ว่า เราพึงเป็นอย่างนี้ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือ
วิญญาณนี้บ้าง ว่า เราพึงเป็นอย่างนั้นด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้บ้าง หรือว่า
เราพึงเป็นโดยประการอื่นด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้บ้างก็มี (๑๕)
ตัณหาว่า เราพึงเป็นอย่างนี้ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้บ้าง เป็นอย่างไร
ตัณหาว่า เราพึงเป็นกษัตริย์ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้บ้าง พึงเป็น
พราหมณ์ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้บ้าง พึงเป็นแพศย์ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือ
วิญญาณนี้บ้าง พึงเป็นศูทรด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้บ้าง พึงเป็นคฤหัสถ์
ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้บ้าง พึงเป็นบรรพชิตด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือ
วิญญาณนี้บ้าง พึงเป็นเทวดาด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้บ้าง พึงเป็นมนุษย์
ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้บ้าง พึงเป็นพรหมมีรูปด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือ
วิญญาณนี้บ้าง พึงเป็นพรหมมีรูปด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้บ้าง พึงเป็น


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๓๒ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ตัณหาวิจริตนิทเทส
พรหมไม่มีสัญญาด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้บ้าง พึงเป็นพรหมไม่มีสัญญา
ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้บ้าง พึงเป็นพรหมมีสัญญาก็มิใช่ไม่มีสัญญาก็มิใช่
ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้บ้าง อย่างนี้ชื่อว่าตัณหาว่า พึงเป็นอย่างนี้ด้วย
รูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้บ้างก็มี (๑๖)
ตัณหาว่า เราพึงเป็นอย่างนั้นด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้บ้าง เป็น
อย่างไร
ตัณหาที่เกิดขึ้นเพราะเปรียบเทียบกับคนอื่นว่า เขาเป็นกษัตริย์ เราก็พึงเป็น
กษัตริย์ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้เหมือนกันบ้าง เขาเป็นพราหมณ์ เราก็
พึงเป็นพราหมณ์ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้เหมือนกันบ้าง ฯลฯ หรือว่าเขา
เป็นพรหมมีสัญญาก็มิใช่ไม่มีสัญญาก็มิใช่ เราก็พึงเป็นพรหมมีสัญญาก็มิใช่ไม่มี
สัญญาก็มิใช่ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้เหมือนกันบ้าง อย่างนี้ตัณหาว่า
เราพึงเป็นอย่างนั้นด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้บ้างก็มี (๑๗)
ตัณหาว่า เราพึงเป็นโดยประการอื่นด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้บ้าง
เป็นอย่างไร
ตัณหาที่เกิดขึ้นเพราะเปรียบเทียบกับคนอื่นว่า เขาเป็นกษัตริย์ แต่เราไม่พึง
เป็นกษัตริย์ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้เหมือนเขาบ้าง เขาเป็นพราหมณ์ แต่
เราไม่พึงเป็นพราหมณ์ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้เหมือนเขาบ้าง ฯลฯ หรือว่า
เขาเป็นพรหมมีสัญญาก็มิใช่ไม่มีสัญญาก็มิใช่ แต่เราไม่พึงเป็นพรหมมีสัญญาก็มิใช่
ไม่มีสัญญาก็มิใช่ด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้เหมือนเขาบ้าง อย่างนี้ตัณหาว่า
เราพึงเป็นโดยประการอื่นด้วยรูปนี้ ฯลฯ หรือวิญญาณนี้บ้างก็มี (๑๘)
เหล่านี้ชื่อว่าตัณหาวิจริต ๑๘ อาศัยเบญจขันธ์ภายนอก
ตัณหาวิจริต ๑๘ เหล่านี้อาศัยเบญจขันธ์ภายใน ตัณหาวิจริต ๑๘ เหล่านี้
อาศัยเบญจขันธ์ภายนอก ด้วยประการฉะนี้
ประมวลย่อเข้าเป็นอันเดียวกัน เป็นตัณหาวิจริต ๓๖
ตัณหาวิจริตตามที่กล่าวมานี้เป็นอดีต ๓๖ เป็นอนาคต ๓๖ เป็นปัจจุบัน ๓๖
ประมวลย่อเข้าเป็นอันเดียวกัน เป็นตัณหาวิจริต ๑๐๘

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๓๓ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๗.ขุททกวัตถุวิภังค์] ตัณหาวิจริตนิทเทส
[๙๗๗] บรรดามาติกานั้น ทิฏฐิ ๖๒ ที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ในพรหม-
ชาลสูตร เป็นไฉน
ทิฏฐิ ๖๒ คือ

๑. สัสสตวาทะ (วาทะว่าอัตตาและโลกเที่ยง) ๔
๒. เอกัจจสัสสติกวาทะ (วาทะว่าอัตตาและโลกเที่ยงบางอย่าง) ๔
๓. อันตานันติกวาทะ (วาทะว่าอัตตาและโลกไม่มีที่สุด) ๔
๔. อมราวิกเขปิกวาทะ (วาทะที่ลี้หลบเลี่ยงไม่แน่นอน) ๔
๕. อธิจจสมุปปันนิกวาทะ (วาทะว่าอัตตาและโลกเกิดขึ้นเองไม่มีเหตุปัจจัย) ๒
๖. สัญญีวาทะ (วาทะว่าอัตตาหลังจากตายแล้วมีสัญญา) ๑๖
๗. อสัญญีวาทะ (วาทะว่าอัตตาหลังจากตายแล้วไม่มีสัญญา) ๘
๘. เนวสัญญีนาสัญญีวาทะ (วาทะว่าอัตตาหลังจากตายแล้วมีสัญญาก็มิใช่ไม่
มีสัญญาก็มิใช่) ๘
๙. อุจเฉทวาทะ (วาทะว่าอัตตาหลังจากตายแล้วขาดสูญ) ๗
๑๐. ทิฏฐธัมมนิพพานวาทะ (วาทะว่ามีสภาพบางอย่างเป็นนิพพานปัจจุบัน) ๕

ทิฏฐิ ๖๒ เหล่านี้ พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ในพรหมชาลสูตร

ขุททกวัตถุวิภังค์ จบบริบูรณ์

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๓๔ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๘. ธัมมหทยวิภังค์] ๑. สัพพสังคาหิกวาร
๑๘. ธัมมหทยวิภังค์
๑. สัพพสังคาหิกวาร
(วาระว่าด้วยการรวบรวมสภาวธรรมทั้งหมด)
[๙๗๘] ขันธ์มีเท่าไร อายตนะมีเท่าไร ธาตุมีเท่าไร สัจจะมีเท่าไร อินทรีย์
มีเท่าไร เหตุมีเท่าไร อาหารมีเท่าไร ผัสสะมีเท่าไร เวทนามีเท่าไร สัญญามีเท่าไร
เจตนามีเท่าไร จิตมีเท่าไร
ขันธ์มี ๕ อายตนะมี ๑๒ ธาตุมี ๑๘ สัจจะมี ๔ อินทรีย์มี ๒๒ เหตุมี ๙
อาหารมี ๔ ผัสสะมี ๗ เวทนามี ๗ สัญญามี ๗ เจตนามี ๗ จิตมี ๗
[๙๗๙] บรรดาสภาวธรรมเหล่านั้น ขันธ์ ๕ เป็นไฉน
ขันธ์มี ๕ คือ

๑. รูปขันธ์ ๒. เวทนาขันธ์
๓. สัญญาขันธ์ ๔. สังขารขันธ์
๕. วิญญาณขันธ์

เหล่านี้เรียกว่า ขันธ์ ๕ (๑)
[๙๘๐] อายตนะ ๑๒ เป็นไฉน
อายตนะ ๑๒ คือ

๑. จักขายตนะ ๒. รูปายตนะ
๓. โสตายตนะ ๔. สัททายตนะ
๕. ฆานายตนะ ๖. คันธายตนะ
๗. ชิวหายตนะ ๘. รสายตนะ
๙. กายายตนะ ๑๐. โผฏฐัพพายตนะ
๑๑. มนายตนะ ๑๒. ธัมมายตนะ

เหล่านี้เรียกว่า อายตนะ ๑๒ (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๓๕ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๘.ธัมมหทยวิภังค์] ๑.สัพพสังคาหิกวาร
[๙๘๑] ธาตุ ๑๘ เป็นไฉน
ธาตุ ๑๘ คือ

๑. จักขุธาตุ ๒. รูปธาตุ ๓. จักขุวิญญาณธาตุ
๔. โสตธาตุ ๕. สัททธาตุ ๖. โสตวิญญาณธาตุ
๗. ฆานธาตุ ๘. คันธธาตุ ๙. ฆานวิญญาณธาตุ
๑๐. ชิวหาธาตุ ๑๑. รสธาตุ ๑๒. ชิวหาวิญญาณธาตุ
๑๓. กายธาตุ ๑๔. โผฏฐัพพธาตุ ๑๕. กายวิญญาณธาตุ
๑๖. มโนธาตุ ๑๗. ธัมมธาตุ ๑๘. มโนวิญญาณธาตุ

เหล่านี้เรียกว่า ธาตุ ๑๘ (๓)
[๙๘๒] สัจจะ ๔ เป็นไฉน
สัจจะ ๔ คือ
๑. ทุกขสัจ ๒. สมุทยสัจ
๓. มัคคสัจ ๔. นิโรธสัจ
เหล่านี้เรียกว่า สัจจะ ๔ (๔)
[๙๘๓] อินทรีย์ ๒๒ เป็นไฉน
อินทรีย์ ๒๒ คือ

๑. จักขุนทรีย์ ๒. โสตินทรีย์
๓. ฆานินทรีย์ ๔. ชิวหินทรีย์
๕. กายินทรีย์ ๖. มนินทรีย์
๗. อิตถินทรีย์ ๘. ปุริสินทรีย์
๙. ชีวิตินทรีย์ ๑๐. สุขินทรีย์
๑๑. ทุกขินทรีย์ ๑๒. โสมนัสสินทรีย์
๑๓. โทมนัสสินทรีย์ ๑๔. อุเปกขินทรีย์
๑๕. สัทธินทรีย์ ๑๖. วิริยินทรีย์
๑๗. สตินทรีย์ ๑๘. สมาธินทรีย์
๑๙. ปัญญินทรีย์ ๒๐. อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์
๒๑. อัญญินทรีย์ ๒๒. อัญญาตาวินทรีย์

เหล่านี้เรียกว่า อินทรีย์ ๒๒ (๕)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๓๖ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๘.ธัมมหทยวิภังค์] ๑.สัพพสังคาหิกวาร
[๙๘๔] เหตุ ๙ เป็นไฉน
เหตุ ๙ คือ
กุศลเหตุ ๓ อกุศลเหตุ ๓ และอัพยากตเหตุ ๓
บรรดาเหตุ ๙ เหล่านั้น กุศลเหตุ ๓ เป็นไฉน
กุศลเหตุ ๓ คือ กุศลเหตุคืออโลภะ กุศลเหตุคืออโทสะ และกุศลเหตุคือ
อโมหะ เหล่านี้ชื่อว่ากุศลเหตุ ๓
อกุศลเหตุ ๓ เป็นไฉน
อกุศลเหตุ ๓ คือ อกุศลเหตุคือโลภะ อกุศลเหตุคือโทสะ และอกุศลเหตุ
คือโมหะ เหล่านี้ชื่อว่าอกุศลเหตุ ๓
อัพยากตเหตุ ๓ เป็นไฉน
อัพยากตเหตุ ๓ คือ อโลภะ อโทสะ และอโมหะ ฝ่ายวิบากแห่งสภาวธรรม
ที่เป็นกุศล หรือในสภาวธรรมที่เป็นอัพยากตกิริยา เหล่านี้ชื่อว่าอัพยากตเหตุ ๓
เหล่านี้เรียกว่า เหตุ ๙ (๖)
[๙๘๕] อาหาร ๔ เป็นไฉน
อาหาร ๔ คือ

๑. กวฬิงการาหาร (อาหารคือคำข้าว)
๒. ผัสสาหาร (อาหารคือผัสสะ)
๓. มโนสัญเจตนาหาร (อาหารคือมโนสัญเจตนา)
๔. วิญญาณาหาร (อาหารคือวิญญาณ)

เหล่านี้เรียกว่า อาหาร ๔ (๗)
[๙๘๖] ผัสสะ ๗ เป็นไฉน
ผัสสะ ๗ คือ

๑. จักขุสัมผัส ๒. โสตสัมผัส
๓. ฆานสัมผัส ๔. ชิวหาสัมผัส
๕. กายสัมผัส ๖. มโนธาตุสัมผัส
๗. มโนวิญญาณธาตุสัมผัส

เหล่านี้เรียกว่า ผัสสะ ๗ (๘)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๓๗ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๘.ธัมมหทยวิภังค์] ๑.สัพพสังคาหิกวาร
[๙๘๗] เวทนา ๗ เป็นไฉน
เวทนา ๗ คือ
๑. เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส ๒. เวทนาที่เกิดแต่โสตสัมผัส
๓. เวทนาที่เกิดแต่ฆานสัมผัส ๔. เวทนาที่เกิดแต่ชิวหาสัมผัส
๕. เวทนาที่เกิดแต่กายสัมผัส ๖. เวทนาที่เกิดแต่มโนธาตุสัมผัส
๗. เวทนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส
เหล่านี้เรียกว่า เวทนา ๗ (๙)
[๙๘๘] สัญญา ๗ เป็นไฉน
สัญญา ๗ คือ
๑. สัญญาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส ๒. สัญญาที่เกิดแต่โสตสัมผัส
๓. สัญญาที่เกิดแต่ฆานสัมผัส ๔. สัญญาที่เกิดแต่ชิวหาสัมผัส
๕. สัญญาที่เกิดแต่กายสัมผัส ๖. สัญญาที่เกิดแต่มโนธาตุสัมผัส
๗. สัญญาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส
เหล่านี้เรียกว่า สัญญา ๗ (๑๐)
[๙๘๙] เจตนา ๗ เป็นไฉน
เจตนา ๗ คือ
๑. เจตนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส ๒. เจตนาที่เกิดแต่โสตสัมผัส
๓. เจตนาที่เกิดแต่ฆานสัมผัส ๔. เจตนาที่เกิดแต่ชิวหาสัมผัส
๕. เจตนาที่เกิดแต่กายสัมผัส ๖. เจตนาที่เกิดแต่มโนธาตุสัมผัส
๗. เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส
เหล่านี้เรียกว่า เจตนา ๗ (๑๑)
[๙๙๐] จิต ๗ เป็นไฉน
จิต ๗ คือ
๑. จักขุวิญญาณ ๒. โสตวิญญาณ
๓. ฆานวิญญาณ ๔. ชิวหาวิญญาณ
๕. กายวิญญาณ ๖. มโนธาตุ
๗. มโนวิญญาณธาตุ
เหล่านี้เรียกว่า จิต ๗ (๑๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๓๘ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๘.ธัมมหทยวิภังค์] ๒.อุปปัตตานุปปัตติวาร ๑.กามธาตุ
๒. อุปปัตตานุปปัตติวาร
(วาระว่าด้วยการแสดงสภาวธรรมที่เกิดได้และไม่ได้)
๑. กามธาตุ
(ธาตุในกามภูมิ)
[๙๙๑] ในกามธาตุ ขันธ์มีเท่าไร อายตนะมีเท่าไร ธาตุมีเท่าไร สัจจะ
มีเท่าไร อินทรีย์มีเท่าไร เหตุมีเท่าไร อาหารมีเท่าไร ผัสสะมีเท่าไร เวทนา
มีเท่าไร สัญญามีเท่าไร เจตนามีเท่าไร จิตมีเท่าไร
ในกามธาตุ ขันธ์มี ๕ อายตนะมี ๑๒ ธาตุมี ๑๘ สัจจะมี ๓ อินทรีย์มี
๒๒ เหตุมี ๙ อาหารมี ๔ ผัสสะมี ๗ เวทนามี ๗ สัญญามี ๗ เจตนามี ๗
จิตมี ๗
[๙๙๒] บรรดาสภาวธรรมเหล่านั้น ขันธ์ ๕ ในกามธาตุ เป็นไฉน
ขันธ์ ๕ ในกามธาตุ คือ

๑. รูปขันธ์ ๒. เวทนาขันธ์
๓. สัญญาขันธ์ ๔. สังขารขันธ์
๕. วิญญาณขันธ์

เหล่านี้เรียกว่า ขันธ์ ๕ ในกามธาตุ (๑)
อายตนะ ๑๒ ในกามธาตุ เป็นไฉน
อายตนะ ๑๒ ในกามธาตุ คือ
๑. จักขายตนะ ๒. รูปายตนะ
ฯลฯ
๑๑. มนายตนะ ๑๒. ธัมมายตนะ
เหล่านี้เรียกว่า อายตนะ ๑๒ ในกามธาตุ (๒)
ธาตุ ๑๘ ในกามธาตุ เป็นไฉน
ธาตุ ๑๘ ในกามธาตุ คือ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๓๙ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๘.ธัมมหทยวิภังค์] ๒.อุปปัตตานุปปัตติวาร ๑.กามธาตุ

๑. จักขุธาตุ ๒. รูปธาตุ ๓. จักขุวิญญาณธาตุ

ฯลฯ

๑๖. มโนธาตุ ๑๗. ธัมมธาตุ ๑๘. มโนวิญญาณธาตุ

เหล่านี้เรียกว่า ธาตุ ๑๘ ในกามธาตุ (๓)
สัจจะ ๓ ในกามธาตุ เป็นไฉน
สัจจะ ๓ ในกามธาตุ คือ
๑. ทุกขสัจ ๒. สมุทยสัจ
๓. มัคคสัจ
เหล่านี้เรียกว่า สัจจะ ๓ ในกามธาตุ (๔)
อินทรีย์ ๒๒ ในกามธาตุ เป็นไฉน
อินทรีย์ ๒๒ ในกามธาตุ คือ
๑. จักขุนทรีย์ ๒. โสตินทรีย์
ฯลฯ
๒๒. อัญญาตาวินทรีย์
เหล่านี้เรียกว่า อินทรีย์ ๒๒ ในกามธาตุ (๕)
เหตุ ๙ ในกามธาตุ เป็นไฉน
เหตุ ๙ ในกามธาตุ คือ กุศลเหตุ ๓ อกุศลเหตุ ๓ และอัพยากตเหตุ ๓ ฯลฯ
เหล่านี้เรียกว่า เหตุ ๙ ในกามธาตุ (๖)
อาหาร ๔ ในกามธาตุ เป็นไฉน
อาหาร ๔ ในกามธาตุ คือ

๑. กวฬิงการาหาร (อาหารคือคำข้าว)
๒. ผัสสาหาร (อาหารคือผัสสะ)
๓. มโนสัญเจตนาหาร (อาหารคือมโนสัญเจตนา)
๔. วิญญาณาหาร (อาหารคือวิญญาณ)

เหล่านี้เรียกว่า อาหาร ๔ ในกามธาตุ (๗)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๔๐ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๘.ธัมมหทยวิภังค์] ๒.อุปปัตตานุปปัตติวาร ๑.กามธาตุ
ผัสสะ ๗ ในกามธาตุ เป็นไฉน
ผัสสะ ๗ ในกามธาตุ คือ
๑. จักขุสัมผัส
ฯลฯ
๗. มโนวิญญาณธาตุสัมผัส
เหล่านี้เรียกว่า ผัสสะ ๗ ในกามธาตุ (๘)
เวทนา ๗ ในกามธาตุ เป็นไฉน
เวทนา ๗ ในกามธาตุ คือ
๑. เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส
ฯลฯ
๗. เวทนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส
เหล่านี้เรียกว่า เวทนา ๗ ในกามธาตุ (๙)
สัญญา ๗ ในกามธาตุ เป็นไฉน
สัญญา ๗ ในกามธาตุ คือ
๑. สัญญาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส
ฯลฯ
๗. สัญญาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส
เหล่านี้เรียกว่า สัญญา ๗ ในกามธาตุ (๑๐)
เจตนา ๗ ในกามธาตุ เป็นไฉน
เจตนา ๗ ในกามธาตุ คือ
๑. เจตนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส
ฯลฯ
๗. เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส
เหล่านี้เรียกว่า เจตนา ๗ ในกามธาตุ (๑๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๔๑ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๘.ธัมมหทยวิภังค์] ๒.อุปปัตตานุปปัตติวาร ๒.รูปธาตุ
จิต ๗ ในกามธาตุ เป็นไฉน
จิต ๗ ในกามธาตุ คือ
๑. จักขุวิญญาณ ๒. โสตวิญญาณ
๓. ฆานวิญญาณ ๔. ชิวหาวิญญาณ
๕. กายวิญญาณ ๖. มโนธาตุ
๗. มโนวิญญาณธาตุ
เหล่านี้เรียกว่า จิต ๗ ในกามธาตุ (๑๒)

๒. รูปธาตุ
(ธาตุในรูปภูมิ)
[๙๙๓] ในรูปธาตุ ขันธ์มีเท่าไร ฯลฯ จิตมีเท่าไร
ในรูปธาตุ ขันธ์มี ๕ อายตนะมี ๖ ธาตุมี ๙ สัจจะมี ๓ อินทรีย์มี ๑๔ เหตุ
มี ๘ อาหารมี ๓ ผัสสะมี ๔ เวทนามี ๔ สัญญามี ๔ เจตนามี ๔ จิตมี ๔
[๙๙๔] บรรดาสภาวธรรมเหล่านั้น ขันธ์ ๕ ในรูปธาตุ เป็นไฉน
ขันธ์ ๕ ในรูปธาตุ คือ
๑. รูปขันธ์
ฯลฯ
๕. วิญญาณขันธ์
เหล่านี้เรียกว่า ขันธ์ ๕ ในรูปธาตุ (๑)
อายตนะ ๖ ในรูปธาตุ เป็นไฉน
อายตนะ ๖ ในรูปธาตุ คือ
๑. จักขายตนะ ๒. รูปายตนะ
๓. โสตายตนะ ๔. สัททายตนะ
๕. มนายตนะ ๖. ธัมมายตนะ
เหล่านี้เรียกว่า อายตนะ ๖ ในรูปธาตุ (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๔๒ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๘.ธัมมหทยวิภังค์] ๒.อุปปัตตานุปปัตติวาร ๒.รูปธาตุ
ธาตุ ๙ ในรูปธาตุ เป็นไฉน
ธาตุ ๙ ในรูปธาตุ คือ
๑. จักขุธาตุ ๒. รูปธาตุ ๓. จักขุวิญญาณธาตุ
๔. โสตธาตุ ๕. สัททธาตุ ๖. โสตวิญญาณธาตุ
๗. มโนธาตุ ๘. ธัมมธาตุ ๙. มโนวิญญาณธาตุ
เหล่านี้เรียกว่า ธาตุ ๙ ในรูปธาตุ (๓)
สัจจะ ๓ ในรูปธาตุ เป็นไฉน
สัจจะ ๓ ในรูปธาตุ คือ
๑. ทุกขสัจ ๒. สมุทยสัจ
๓. มัคคสัจ
เหล่านี้เรียกว่า สัจจะ ๓ ในรูปธาตุ (๔)
อินทรีย์ ๑๔ ในรูปธาตุ เป็นไฉน
อินทรีย์ ๑๔ ในรูปธาตุ คือ

๑. จักขุนทรีย์ ๒. โสตินทรีย์
๓. มนินทรีย์ ๔. ชีวิตินทรีย์
๕. โสมนัสสินทรีย์ ๖. อุเปกขินทรีย์
๗. สัทธินทรีย์ ๘. วิริยินทรีย์
๙. สตินทรีย์ ๑๐. สมาธินทรีย์
๑๑. ปัญญินทรีย์ ๑๒. อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์
๑๓. อัญญินทรีย์ ๑๔. อัญญาตาวินทรีย์

เหล่านี้เรียกว่า อินทรีย์ ๑๔ ในรูปธาตุ (๕)
เหตุ ๘ ในรูปธาตุ เป็นไฉน
เหตุ ๘ ในรูปธาตุ คือ กุศลเหตุ ๓ อกุศลเหตุ ๒ และอัพยากตเหตุ ๓
บรรดาเหตุ ๘ นั้น กุศลเหตุ ๓ ในรูปธาตุ เป็นไฉน
กุศลเหตุ ๓ ในรูปธาตุ คือ กุศลเหตุคืออโลภะ กุศลเหตุคืออโทสะ และ
กุศลเหตุคืออโมหะ
เหล่านี้ชื่อว่ากุศลเหตุ ๓

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๔๓ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๘.ธัมมหทยวิภังค์] ๒.อุปปัตตานุปปัตติวาร ๒.รูปธาตุ
อกุศลเหตุ ๒ เป็นไฉน
อกุศลเหตุ ๒ คือ อกุศลเหตุคือโลภะ และอกุศลเหตุคือโมหะ
เหล่านี้ชื่อว่าอกุศลเหตุ ๒
อัพยากตเหตุ ๓ เป็นไฉน
อัพยากตเหตุ ๓ คือ อโลภะ อโทสะ และอโมหะ ฝ่ายวิปากแห่งสภาวธรรม
ที่เป็นกุศล หรือในสภาวธรรมที่เป็นอัพยากตกิริยา เหล่านี้ชื่อว่าอัพยากตเหตุ ๓
เหล่านี้เรียกว่า เหตุ ๘ ในรูปธาตุ (๖)
อาหาร ๓ ในรูปธาตุ เป็นไฉน
อาหาร ๓ ในรูปธาตุ คือ
๑. ผัสสาหาร ๒. มโนสัญเจตนาหาร
๓. วิญญาณาหาร
เหล่านี้เรียกว่า อาหาร ๓ ในรูปธาตุ (๗)
ผัสสะ ๔ ในรูปธาตุ เป็นไฉน
ผัสสะ ๔ ในรูปธาตุ คือ

๑. จักขุสัมผัส ๒. โสตสัมผัส
๓. มโนธาตุสัมผัส ๔. มโนวิญญาณธาตุสัมผัส

เหล่านี้เรียกว่า ผัสสะ ๔ ในรูปธาตุ (๘)
เวทนา ๔ ฯลฯ สัญญา ๔ ฯลฯ เจตนา ๔ ฯลฯ จิต ๔ ในรูปธาตุ
เป็นไฉน
จิต ๔ ในรูปธาตุ คือ

๑. จักขุวิญญาณ ๒. โสตวิญญาณ
๓. มโนธาตุ ๔. มโนวิญญาณธาตุ

เหล่านี้เรียกว่า จิต ๔ ในรูปธาตุ (๙-๑๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๔๔ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๘.ธัมมหทยวิภังค์] ๒.อุปปัตตานุปปัตติวาร ๓.อรูปธาตุ
๓. อรูปธาตุ
(ธาตุในอรูปภูมิ)
[๙๙๕] ในอรูปธาตุ ขันธ์มีเท่าไร ฯลฯ จิตมีเท่าไร
ในอรูปธาตุ ขันธ์มี ๔ อายตนะมี ๒ ธาตุมี ๒ สัจจะมี ๓ อินทรีย์มี ๑๑
เหตุมี ๘ อาหารมี ๓ ผัสสะมี ๑ เวทนามี ๑ สัญญามี ๑ เจตนามี ๑ จิต
มี ๑
[๙๙๖] บรรดาสภาวธรรมเหล่านั้น ขันธ์ ๔ ในอรูปธาตุ เป็นไฉน
ขันธ์ ๔ ในอรูปธาตุ คือ
๑. เวทนาขันธ์ ๒. สัญญาขันธ์
๓. สังขารขันธ์ ๔. วิญญาณขันธ์
เหล่านี้เรียกว่า ขันธ์ ๔ ในอรูปธาตุ (๑)
อายตนะ ๒ ในอรูปธาตุ เป็นไฉน
อายตนะ ๒ ในอรูปธาตุ คือ มนายตนะ และธัมมายตนะ
เหล่านี้เรียกว่า อายตนะ ๒ ในอรูปธาตุ (๒)
ธาตุ ๒ ในอรูปธาตุ เป็นไฉน
ธาตุ ๒ ในอรูปธาตุ คือ มโนวิญญาณธาตุ และธัมมธาตุ
เหล่านี้เรียกว่า ธาตุ ๒ ในอรูปธาตุ (๓)
สัจจะ ๓ ในอรูปธาตุ เป็นไฉน
สัจจะ ๓ ในอรูปธาตุ คือ
๑. ทุกขสัจ ๒. สมุทยสัจ
๓. มัคคสัจ
เหล่านี้เรียกว่า สัจจะ ๓ ในอรูปธาตุ (๔)
อินทรีย์ ๑๑ ในอรูปธาตุ เป็นไฉน

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๔๕ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๘.ธัมมหทยวิภังค์] ๒.อุปปัตตานุปปัตติวาร ๓.อรูปธาตุ
อินทรีย์ ๑๑ ในอรูปธาตุ คือ

๑. มนินทรีย์ ๒. ชีวิตินทรีย์
๓. โสมนัสสินทรีย์ ๔. อุเปกขินทรีย์
๕. สัทธินทรีย์ ๖. วิริยินทรีย์
๗. สตินทรีย์ ๘. สมาธินทรีย์
๙. ปัญญินทรีย์ ๑๐. อัญญินทรีย์
๑๑. อัญญาตาวินทรีย์

เหล่านี้เรียกว่า อินทรีย์ ๑๑ ในอรูปธาตุ (๕)
เหตุ ๘ ในอรูปธาตุ เป็นไฉน
เหตุ ๘ ในอรูปธาตุ คือ กุศลเหตุ ๓ อกุศลเหตุ ๒ อัพยากตเหตุ ๓ ฯลฯ
เหล่านี้เรียกว่า เหตุ ๘ ในอรูปธาตุ (๖)
อาหาร ๓ ในอรูปธาตุ เป็นไฉน
อาหาร ๓ ในอรูปธาตุ คือ
๑. ผัสสาหาร ๒. มโนสัญเจตนาหาร
๓. วิญญาณาหาร
เหล่านี้เรียกว่า อาหาร ๓ ในอรูปธาตุ (๗)
ผัสสะ ๑ ในอรูปธาตุ เป็นไฉน
ผัสสะ ๑ ในอรูปธาตุ คือ มโนวิญญาณธาตุสัมผัส
นี้เรียกว่า ผัสสะ ๑ ในอรูปธาตุ (๘)
เวทนา ๑ ฯลฯ สัญญา ๑ ฯลฯ เจตนา ๑ ฯลฯ จิต ๑ ในอรูปธาตุ เป็น
ไฉน
จิต ๑ ในอรูปธาตุ คือ มโนวิญญาณธาตุ
นี้เรียกว่า จิต ๑ ในอรูปธาตุ (๙-๑๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๔๖ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๘.ธัมมหทยวิภังค์] ๒.อุปปัตตานุปปัตติวาร ๔.อปริยาปันนะ
๔. อปริยาปันนะ
(ธรรมที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์)
[๙๙๗] ในธรรมที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ ขันธ์มีเท่าไร ฯลฯ จิตมีเท่าไร
ในธรรมที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ ขันธ์มี ๔ อายตนะมี ๒ ธาตุมี ๒ สัจจะมี
๒ อินทรีย์มี ๑๒ เหตุมี ๖ อาหารมี ๓ ผัสสะมี ๑ เวทนามี ๑ สัญญามี ๑
เจตนามี ๑ จิตมี ๑
[๙๙๘] บรรดาสภาวธรรมเหล่านั้น ขันธ์ ๔ ในธรรมที่ไม่นับเนื่องใน
วัฏฏทุกข์ เป็นไฉน
ขันธ์ ๔ ในธรรมที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ คือ
๑. เวทนาขันธ์ ๒. สัญญาขันธ์
๓. สังขารขันธ์ ๔. วิญญาณขันธ์
เหล่านี้เรียกว่า ขันธ์ ๔ ในธรรมที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ (๑)
อายตนะ ๒ ในธรรมที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ เป็นไฉน
อายตนะ ๒ ในธรรมที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ คือ มนายตนะ และธัมมายตนะ
เหล่านี้เรียกว่า อายตนะ ๒ ในธรรมที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ (๒)
ธาตุ ๒ ในธรรมที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ เป็นไฉน
ธาตุ ๒ ในธรรมที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ คือ มโนวิญญาณธาตุ และธัมมธาตุ
เหล่านี้เรียกว่า ธาตุ ๒ ในธรรมที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ (๓)
สัจจะ ๒ ในธรรมที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ เป็นไฉน
สัจจะ ๒ ในธรรมที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ คือ มัคคสัจ และนิโรธสัจ
เหล่านี้เรียกว่า สัจจะ ๒ ในธรรมที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ (๔)
อินทรีย์ ๑๒ ในธรรมที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ เป็นไฉน
อินทรีย์ ๑๒ ในธรรมที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ คือ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๔๗ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๘.ธัมมหทยวิภังค์] ๒.อุปปัตตานุปปัตติวาร ๔.อปริยาปันนะ

๑. มนินทรีย์ ๒. ชิวหินทรีย์
๓. โสมนัสสินทรีย์ ๔. อุเปกขินทรีย์
๕. สัทธินทรีย์ ๖. วิริยินทรีย์
๗. สตินทรีย์ ๘. สมาธินทรีย์
๙. ปัญญินทรีย์ ๑๐. อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์
๑๑. อัญญินทรีย์ ๑๒. อัญญาตาวินทรีย์

เหล่านี้เรียกว่า อินทรีย์ ๑๒ ในธรรมที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ (๕)
เหตุ ๖ ในธรรมที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ เป็นไฉน
เหตุ ๖ ในธรรมที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ คือ กุศลเหตุ ๓ และอัพยากต-
เหตุ ๓
บรรดาเหตุ ๖ เหล่านั้น กุศลเหตุ ๓ เป็นไฉน
กุศลเหตุ ๓ คือ
๑. กุศลเหตุคืออโลภะ ๒. กุศลเหตุคืออโทสะ
๓. กุศลเหตุคืออโมหะ
เหล่านี้ชื่อว่ากุศลเหตุ ๓
อัพยากตเหตุ ๓ เป็นไฉน
อัพยากตเหตุ ๓ คือ อโลภะ อโทสะ และอโมหะ ฝ่ายวิบากแห่งสภาวธรรม
ที่เป็นกุศล เหล่านี้ชื่อว่าอัพยากตเหตุ ๓
เหล่านี้เรียกว่า เหตุ ๖ ในธรรมที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ (๖)
อาหาร ๓ ในธรรมที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ เป็นไฉน
อาหาร ๓ ในธรรมที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ คือ
๑. ผัสสาหาร ๒. มโนสัญเจตนาหาร
๓. วิญญาณาหาร
เหล่านี้เรียกว่า อาหาร ๓ ในธรรมที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ (๗)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๔๘ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๘.ธัมมหทยวิภังค์] ๓.ปริยาปันนาปริยาปันนวาร ๑.กามธาตุ
ผัสสะ ๑ ในธรรมที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ เป็นไฉน
ผัสสะ ๑ ในธรรมที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ คือ มโนวิญญาณธาตุสัมผัส
นี้เรียกว่า ผัสสะ ๑ ในธรรมที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ (๘)
เวทนา ๑ ฯลฯ สัญญา ๑ ฯลฯ เจตนา ๑ ฯลฯ จิต ๑ ในธรรมที่ไม่
นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ เป็นไฉน
จิต ๑ ในธรรมที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ คือ มโนวิญญาณธาตุ
นี้เรียกว่า จิต ๑ ในธรรมที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ (๙-๑๒)

๓. ปริยาปันนาปริยาปันนวาร
(วาระว่าด้วยธรรมที่นับเนื่องและไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์)
๑. กามธาตุ
(ธาตุในกามภูมิ)
[๙๙๙] บรรดาขันธ์ ๕ ขันธ์เท่าไรเป็นโลกิยะ เท่าไรเป็นโลกุตตระ ฯลฯ
บรรดาจิต ๗ จิตเท่าไรนับเนื่องในกามธาตุ เท่าไรไม่นับเนื่องในกามธาตุ
[๑๐๐๐] รูปขันธ์เป็นโลกิยะ ขันธ์ ๔ ที่เป็นโลกิยะก็มี ที่เป็นโลกุตตระก็มี
อายตนะ ๑๐ นับเนื่องในกามธาตุ อายตนะ ๒ ที่นับเนื่องในกามธาตุก็มี
ที่ไม่นับเนื่องในกามธาตุก็มี
ธาตุ ๑๖ นับเนื่องในกามธาตุ ธาตุ ๒ ที่นับเนื่องในกามธาตุก็มี ที่ไม่นับ
เนื่องในกามธาตุก็มี
สมุทยสัจนับเนื่องในกามธาตุ สัจจะ ๒ ไม่นับเนื่องในกามธาตุ ทุกขสัจที่
นับเนื่องในกามธาตุก็มี ที่ไม่นับเนื่องในกามธาตุก็มี
อินทรีย์ ๑๐ นับเนื่องในกามธาตุ อินทรีย์ ๓ ไม่นับเนื่องในกามธาตุ อินทรีย์
๙ ที่นับเนื่องในกามธาตุก็มี ที่ไม่นับเนื่องในกามธาตุก็มี


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๔๙ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๘.ธัมมหทยวิภังค์] ๓.ปริยาปันนาปริยาปันนวาร ๒. รูปธาตุ
อกุศลเหตุ ๓ นับเนื่องในกามธาตุ เหตุ ๖ ที่นับเนื่องในกามธาตุก็มี ที่ไม่
นับเนื่องในกามธาตุก็มี
กวฬิงการาหารนับเนื่องในกามธาตุ อาหาร ๓ ที่นับเนื่องในกามธาตุก็มี ที่
ไม่นับเนื่องในกามธาตุก็มี
ผัสสะ ๖ นับเนื่องในกามธาตุ มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ที่นับเนื่องในกามธาตุ ก็มี
ที่ไม่นับเนื่องในกามธาตุก็มี
เวทนา ๖ ฯลฯ สัญญา ๖ ฯลฯ เจตนา ๖ ฯลฯ จิต ๖ นับเนื่องในกามธาตุ
มโนวิญญาณธาตุ ที่นับเนื่องในกามธาตุก็มี ที่ไม่นับเนื่องในกามธาตุก็มี

๒. รูปธาตุ
(ธาตุในรูปภูมิ)
[๑๐๐๑] บรรดาขันธ์ ๕ ขันธ์เท่าไรนับเนื่องในรูปธาตุ เท่าไรไม่นับเนื่องใน
รูปธาตุ ฯลฯ บรรดาจิต ๗ จิตเท่าไรนับเนื่องในรูปธาตุ เท่าไรไม่นับเนื่องใน
รูปธาตุ
[๑๐๐๒] รูปขันธ์ไม่นับเนื่องในรูปธาตุ ขันธ์ ๔ ที่นับเนื่องในรูปธาตุก็มี ที่
ไม่นับเนื่องในรูปธาตุก็มี
อายตนะ ๑๐ นับเนื่องในรูปธาตุ อายตนะ ๒ ที่นับเนื่องในรูปธาตุก็มี ที่
ไม่นับเนื่องในรูปธาตุก็มี
ธาตุ ๑๖ ไม่นับเนื่องในรูปธาตุ ธาตุ ๒ ที่นับเนื่องในรูปธาตุก็มี ที่ไม่นับ
เนื่องในรูปธาตุก็มี
สัจจะ ๓ ไม่นับเนื่องในรูปธาตุ ทุกขสัจที่นับเนื่องในรูปธาตุก็มี ที่ไม่นับ
เนื่องในรูปธาตุก็มี
อินทรีย์ ๑๓ ไม่นับเนื่องในรูปธาตุ อินทรีย์ ๙ ที่นับเนื่องในรูปธาตุก็มี ที่
ไม่นับเนื่องในรูปธาตุก็มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๕๐ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๘.ธัมมหทยวิภังค์] ๓.ปริยาปันนาปริยาปันนวาร ๓.อรูปธาตุ
อกุศลเหตุ ๓ ไม่นับเนื่องในรูปธาตุ เหตุ ๖ ที่นับเนื่องในรูปธาตุก็มี ที่ไม่
นับเนื่องในรูปธาตุก็มี
กวฬิงการาหารไม่นับเนื่องในรูปธาตุ อาหาร ๓ ที่นับเนื่องในรูปธาตุก็มี ที่
ไม่นับเนื่องในรูปธาตุก็มี
ผัสสะ ๖ ไม่นับเนื่องในรูปธาตุ มโนวิญญาณธาตุสัมผัสที่นับเนื่องในรูปธาตุก็มี
ที่ไม่นับเนื่องในรูปธาตุก็มี
เวทนา ๖ ฯลฯ สัญญา ๖ ฯลฯ เจตนา ๖ ฯลฯ จิต ๖ ไม่นับเนื่องใน
รูปธาตุ มโนวิญญาณธาตุที่นับเนื่องในรูปธาตุก็มี ที่ไม่นับเนื่องในรูปธาตุก็มี

๓. อรูปธาตุ
(ธาตุในอรูปภูมิ)
[๑๐๐๓] บรรดาขันธ์ ๕ ขันธ์เท่าไรนับเนื่องในอรูปธาตุ เท่าไรไม่นับเนื่อง
ในอรูปธาตุ ฯลฯ บรรดาจิต ๗ จิตเท่าไรนับเนื่องในอรูปธาตุ เท่าไรไม่นับเนื่องใน
อรูปธาตุ
[๑๐๐๔] รูปขันธ์ไม่นับเนื่องในอรูปธาตุ ขันธ์ ๔ ที่นับเนื่องในอรูปธาตุก็มี
ที่ไม่นับเนื่องในอรูปธาตุก็มี
อายตนะ ๑๐ ไม่นับเนื่องในอรูปธาตุ อายตนะ ๒ ที่นับเนื่องในอรูปธาตุก็มี
ที่ไม่นับเนื่องในอรูปธาตุก็มี
ธาตุ ๑๖ ไม่นับเนื่องในอรูปธาตุ ธาตุ ๒ ที่นับเนื่องในอรูปธาตุก็มี ที่ไม่
นับเนื่องในอรูปธาตุก็มี
สัจจะ ๓ ไม่นับเนื่องในอรูปธาตุ ทุกขสัจที่นับเนื่องในอรูปธาตุก็มี ที่ไม่นับ
เนื่องในอรูปธาตุก็มี
อินทรีย์ ๑๔ ไม่นับเนื่องในอรูปธาตุ อินทรีย์ ๘ ที่นับเนื่องในอรูปธาตุก็มี ที่
ไม่นับเนื่องในอรูปธาตุก็มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๕๑ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๘.ธัมมหทยวิภังค์] ๓.ปริยาปันนาปริยาปันนวาร ๔. ปริยาปันนาปริยาปันนะ
อกุศลเหตุ ๓ ไม่นับเนื่องในอรูปธาตุ เหตุ ๖ ที่นับเนื่องในอรูปธาตุก็มี ที่
ไม่นับเนื่องในอรูปธาตุก็มี
กวฬิงการาหารไม่นับเนื่องในอรูปธาตุ อาหาร ๓ ที่นับเนื่องในอรูปธาตุก็มี
ที่ไม่นับเนื่องในอรูปธาตุก็มี
ผัสสะ ๖ ไม่นับเนื่องในอรูปธาตุ มโนวิญญาณธาตุสัมผัสที่นับเนื่องในอรูปธาตุ
ก็มี ที่ไม่นับเนื่องในอรูปธาตุก็มี
เวทนา ๖ ฯลฯ สัญญา ๖ ฯลฯ เจตนา ๖ ฯลฯ จิต ๖ ไม่นับเนื่องใน
อรูปธาตุ มโนวิญญาณธาตุที่นับเนื่องในอรูปธาตุก็มี ที่ไม่นับเนื่องในอรูปธาตุก็มี

๔. ปริยาปันนาปริยาปันนะ
(ธรรมที่นับเนื่องและไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์)
[๑๐๐๕] บรรดาขันธ์ ๕ ขันธ์เท่าไรเป็นโลกิยะ เท่าไรเป็นโลกุตตระ ฯลฯ
บรรดาจิต ๗ จิตเท่าไรเป็นโลกิยะ เท่าไรเป็นโลกุตตระ
[๑๐๐๖] รูปขันธ์เป็นโลกิยะ ขันธ์ ๔ ที่เป็นโลกิยะก็มี ที่เป็นโลกุตตระก็มี
อายตนะ ๑๐ เป็นโลกิยะ อายตนะ ๒ ที่เป็นโลกิยะก็มี ที่เป็นโลกุตตระก็มี
ธาตุ ๑๖ เป็นโลกิยะ ธาตุ ๒ ที่เป็นโลกิยะก็มี ที่เป็นโลกุตตระก็มี
สัจจะ ๒ เป็นโลกิยะ สัจจะ ๒ เป็นโลกุตตระ
อินทรีย์ ๑๐ เป็นโลกิยะ อินทรีย์ ๓ เป็นโลกุตตระ อินทรีย์ ๙ ที่เป็นโลกิยะก็มี
ที่เป็นโลกุตตระก็มี
อกุศลเหตุ ๓ เป็นโลกิยะ เหตุ ๖ ที่เป็นโลกิยะก็มี ที่เป็นโลกุตตระก็มี
กวฬิงการาหารเป็นโลกิยะ อาหาร ๓ ที่เป็นโลกิยะก็มี ที่เป็นโลกุตตระก็มี
ผัสสะ ๖ เป็นโลกิยะ มโนวิญญาณธาตุสัมผัสที่เป็นโลกิยะก็มี ที่เป็นโลกุตตระ
ก็มี
เวทนา ๖ ฯลฯ สัญญา ๖ ฯลฯ เจตนา ๖ ฯลฯ จิต ๖ เป็นโลกิยะ
มโนวิญญาณธาตุที่เป็นโลกิยะก็มี ที่เป็นโลกุตตระก็มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๕๒ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๘.ธัมมหทยวิภังค์] ๔.ธัมมทัสสนวาร ๑.กามธาตุ
๔. ธัมมทัสสนวาร
(วาระว่าด้วยการแสดงธรรม)
๑. กามธาตุ
(ธาตุในกามภูมิ)
[๑๐๐๗] ในขณะเกิดในกามธาตุ ขันธ์เท่าไรปรากฏ ฯลฯ จิตเท่าไรปรากฏ
ในขณะเกิดในกามธาตุ ขันธ์ ๕ ปรากฏแก่สัตว์ทุกจำพวก อายตนะ ๑๑
ปรากฏแก่สัตว์บางพวก อายตนะ ๑๐ ปรากฏแก่สัตว์บางพวก อายตนะ ๑๐ เหล่า
อื่นอีกปรากฏแก่สัตว์บางพวก อายตนะ ๙ ปรากฏแก่สัตว์บางพวก อายตนะ ๗
ปรากฏแก่สัตว์บางพวก
ธาตุ ๑๑ ปรากฏแก่สัตว์บางพวก ธาตุ ๑๐ ปรากฏแก่สัตว์บางพวก ธาตุ
๑๐ เหล่าอื่นอีก ปรากฏแก่สัตว์บางพวก ธาตุ ๙ ปรากฏแก่สัตว์บางพวก ธาตุ ๗
ปรากฏแก่สัตว์บางพวก
สัจจะ ๑ ปรากฏแก่สัตว์ทุกจำพวก
อินทรีย์ ๑๔ ปรากฏแก่สัตว์บางพวก อินทรีย์ ๑๓ ปรากฏแก่สัตว์บางพวก
อินทรีย์ ๑๓ เหล่าอื่นอีก ปรากฏแก่สัตว์บางพวก อินทรีย์ ๑๒ ปรากฏแก่สัตว์
บางพวก อินทรีย์ ๑๐ ปรากฏแก่สัตว์บางพวก อินทรีย์ ๙ ปรากฏแก่สัตว์บางพวก
อินทรีย์ ๙ เหล่าอื่นอีก ปรากฏแก่สัตว์บางพวก อินทรีย์ ๘ ปรากฏแก่สัตว์บางพวก
อินทรีย์ ๘ เหล่าอื่นอีก ปรากฏแก่สัตว์บางพวก อินทรีย์ ๗ ปรากฏแก่สัตว์บางพวก
อินทรีย์ ๕ ปรากฏแก่สัตว์บางพวก อินทรีย์ ๔ ปรากฏแก่สัตว์บางพวก
เหตุ ๓ ปรากฏแก่สัตว์บางพวก เหตุ ๒ ปรากฏแก่สัตว์บางพวก อเหตุกวิบาก
ปรากฏแก่สัตว์บางพวก
อาหาร ๔ ปรากฏแก่สัตว์ทุกจำพวก ผัสสะ ๑ ปรากฏแก่สัตว์ทุกจำพวก
เวทนา ๑ สัญญา ๑ เจตนา ๑ จิต ๑ ปรากฏแก่สัตว์ทุกจำพวก


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๕๓ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๘.ธัมมหทยวิภังค์] ๔.ธัมมทัสสนวาร ๑.กามธาตุ
[๑๐๐๘] ในขณะเกิดในกามธาตุ ขันธ์ ๕ เหล่าไหนปรากฏแก่สัตว์ทุกจำพวก
รูปขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์ ในขณะเกิดในกามธาตุ ขันธ์ ๕ เหล่านี้
ปรากฏแก่สัตว์ทุกจำพวก
[๑๐๐๙] ในขณะเกิดในกามธาตุ อายตนะ ๑๑ ปรากฏแก่สัตว์พวกไหน
ในขณะเกิดในกามธาตุ อายตนะ ๑๑ คือ

๑. จักขายตนะ ๒. รูปายตนะ
๓. โสตายตนะ ๔. ฆานายตนะ
๕. คันธายตนะ ๖. ชิวหายตนะ
๗. รสายตนะ ๘. กายายตนะ
๙. โผฏฐัพพายตนะ ๑๐. มนายตนะ
๑๑. ธัมมายตนะ

ปรากฏแก่เทวดาชั้นกามาวจร มนุษย์ผู้เกิดในสมัยต้นกัป เปรต อสุรกาย สัตว์
เดรัจฉานผู้เป็นโอปปาติกสัตว์และสัตว์นรก ซึ่งมีอายตนะครบบริบูรณ์ ในขณะเกิด
ในกามธาตุ อายตนะ ๑๑ ปรากฏแก่สัตว์พวกนี้
ในขณะเกิดในกามธาตุ อายตนะ ๑๐ ปรากฏแก่สัตว์พวกไหน
ในขณะเกิดในกามธาตุ อายตนะ ๑๐ คือ

๑. รูปายตนะ ๒. โสตายตนะ
๓. ฆานายตนะ ๔. คันธายตนะ
๕. ชิวหายตนะ ๖. รสายตนะ
๗. กายายตนะ ๘. โผฏฐัพพายตนะ
๙. มนายตนะ ๑๐. ธัมมายตนะ

ปรากฏแก่เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ผู้เป็นโอปปาติกสัตว์ และสัตว์นรก ซึ่งมี
ตาบอดมาแต่กำเนิด ในขณะเกิดในกามธาตุ อายตนะ ๑๐ ปรากฏแก่สัตว์พวกนี้
ในขณะเกิดในกามธาตุ อายตนะ ๑๐ อื่นอีก ปรากฏแก่สัตว์พวกไหน
ในขณะเกิดในกามธาตุ อายตนะ ๑๐ คือ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๕๔ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๘.ธัมมหทยวิภังค์] ๔.ธัมมทัสสนวาร ๑.กามธาตุ

๑. จักขายตนะ ๒. รูปายตนะ
๓. ฆานายตนะ ๔. คันธายตนะ
๕. ชิวหายตนะ ๖. รสายตนะ
๗. กายายตนะ ๘. โผฏฐัพพายตนะ
๙. มนายตนะ ๑๐. ธัมมายตนะ

ปรากฏแก่เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ผู้เป็นโอปปาติกสัตว์ และสัตว์นรก ซึ่งมี
หูหนวกมาแต่กำเนิด ในขณะเกิดในกามธาตุ อายตนะ ๑๐ ปรากฏแก่สัตว์พวกนี้
ในขณะเกิดในกามธาตุ อายตนะ ๙ ปรากฏแก่สัตว์พวกไหน
ในขณะเกิดในกามธาตุ อายตนะ ๙ คือ

๑. รูปายตนะ ๒. ฆานายตนะ
๓. คันธายตนะ ๔. ชิวหายตนะ
๕. รสายตนะ ๖. กายายตนะ
๗. โผฏฐัพพายตนะ ๘. มนายตนะ
๙. ธัมมายตนะ

ปรากฏแก่เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ผู้เป็นโอปปาติกสัตว์ และสัตว์นรก ซึ่ง
มีตาบอดและหูหนวกมาแต่กำเนิด ในขณะเกิดในกามธาตุ อายตนะ ๙ ปรากฏ
แก่สัตว์พวกนี้
ในขณะเกิดในกามธาตุ อายตนะ ๗ ปรากฏแก่สัตว์พวกไหน
ในขณะเกิดในกามธาตุ อายตนะ ๗ คือ

๑. รูปายตนะ ๒. คันธายตนะ
๓. รสายตนะ ๔. กายายตนะ
๕. โผฏฐัพพายตนะ ๖. มนายตนะ
๗. ธัมมายตนะ

ปรากฏแก่สัตว์ผู้เกิดในครรภ์ ในขณะเกิดในกามธาตุ อายตนะ ๗ เหล่านี้ปรากฏ
แก่สัตว์พวกนี้ (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๕๕ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๘.ธัมมหทยวิภังค์] ๔.ธัมมทัสสนวาร ๑.กามธาตุ
[๑๐๑๐] ในขณะเกิดในกามธาตุ ธาตุ ๑๑ ปรากฏแก่สัตว์พวกไหน
ในขณะเกิดในกามธาตุ ธาตุ ๑๑ คือ

๑. จักขุธาตุ ๒. รูปธาตุ
๓. โสตธาตุ ๔. ฆานธาตุ
๕. คันธธาตุ ๖. ชิวหาธาตุ
๗. รสธาตุ ๘. กายธาตุ
๙. โผฏฐัพพธาตุ ๑๐. มโนวิญญาณธาตุ
๑๑. ธัมมธาตุ

ปรากฏแก่เทวดาชั้นกามาวจร มนุษย์ผู้เกิดในสมัยต้นกัป เปรต อสุรกาย สัตว์
เดรัจฉาน ผู้เป็นโอปปาติกสัตว์ และสัตว์นรก ซึ่งมีอายตนะครบบริบูรณ์ ในขณะ
เกิดในกามธาตุ ธาตุ ๑๑ ปรากฏแก่สัตว์พวกนี้
ในขณะเกิดในกามธาตุ ธาตุ ๑๐ ปรากฏแก่สัตว์พวกไหน
ในขณะเกิดในกามธาตุ ธาตุ ๑๐ คือ

๑. รูปธาตุ ๒. โสตธาตุ
๓. ฆานธาตุ ๔. คันธธาตุ
๕. ชิวหาธาตุ ๖. รสธาตุ
๗. กายธาตุ ๘. โผฏฐัพพธาตุ
๙. มโนวิญญาณธาตุ ๑๐. ธัมมธาตุ

ปรากฏแก่เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ผู้เป็นโอปปาติกสัตว์ และสัตว์นรก
ซึ่งมีตาบอดมาแต่กำเนิด ในขณะเกิดในกามธาตุ ธาตุ ๑๐ ปรากฏแก่สัตว์พวกนี้
ในขณะเกิดในกามธาตุ อายตนะ ๑๐ อื่นอีก ปรากฏแก่สัตว์พวกไหน
ในขณะเกิดในกามธาตุ ธาตุ ๑๐ คือ

๑. จักจุธาตุ ๒. รูปธาตุ
๓. ฆานธาตุ ๔. คันธธาตุ
๕. ชิวหาธาตุ ๖. รสธาตุ
๗. กายธาตุ ๘. โผฏฐัพพธาตุ
๙. มโนวิญญาณธาตุ ๑๐. ธัมมธาตุ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๕๖ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๘.ธัมมหทยวิภังค์] ๔.ธัมมทัสสนวาร ๑.กามธาตุ
ปรากฏแก่เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ผู้เป็นโอปปาติกสัตว์ และสัตว์นรก
ซึ่งมีหูหนวกมาแต่กำเนิด ในขณะเกิดในกามธาตุ ธาตุ ๑๐ ปรากฏแก่สัตว์พวกนี้
ในขณะเกิดในกามธาตุ ธาตุ ๙ ปรากฏแก่สัตว์พวกไหน
ในขณะเกิดในกามธาตุ ธาตุ ๙ คือ

๑. รูปธาตุ ๒. ฆานธาตุ
๓. คันธธาตุ ๔. ชิวหาธาตุ
๕. รสธาตุ ๖. กายธาตุ
๗. โผฏฐัพพธาตุ ๘. มโนวิญญาณธาตุ
๙. ธัมมธาตุ

ปรากฏแก่เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ผู้เป็นโอปปาติกสัตว์ และสัตว์นรก
ซึ่งมีตาบอดและหูหนวกมาแต่กำเนิด ในขณะเกิดในกามธาตุ ธาตุ ๙ เหล่านี้ ปรากฏ
แก่สัตว์พวกนี้
ในขณะเกิดในกามธาตุ ธาตุ ๗ ปรากฏแก่สัตว์พวกไหน
ในขณะเกิดในกามธาตุ ธาตุ ๗ คือ

๑. รูปธาตุ ๒. คันธธาตุ
๓. รสธาตุ ๔. กายธาตุ
๕. โผฏฐัพพธาตุ ๖. มโนวิญญาณธาตุ
๗. ธัมมธาตุ

ปรากฏแก่สัตว์ผู้เกิดในครรภ์ ในขณะเกิดในกามธาตุ ธาตุ ๗ เหล่านี้ปรากฏ
แก่สัตว์พวกนี้ (๓)
[๑๐๑๑] ในขณะเกิดในกามธาตุ สัจจะ ๑ ข้อไหนปรากฏแก่สัตว์ทุกจำพวก
สัจจะ ๑ ข้อนี้คือ ทุกขสัจ ในขณะเกิดในกามธาตุ สัจจะนี้ปรากฏแก่สัตว์
ทุกจำพวก (๔)
[๑๐๑๒] ในขณะเกิดในกามธาตุ อินทรีย์ ๑๔ ปรากฏแก่สัตว์พวกไหน
ในขณะเกิดในกามธาตุ อินทรีย์ ๑๔ คือ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๕๗ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๘.ธัมมหทยวิภังค์] ๔.ธัมมทัสสนวาร ๑.กามธาตุ

๑. จักขุนทรีย์ ๒. โสตินทรีย์
๓. ฆานินทรีย์ ๔. ชิวหินทรีย์
๕. กายินทรีย์ ๖. มนินทรีย์
๗. อิตถินทรีย์ หรือปุริสินทรีย์ ๘. ชีวิตินทรีย์
๙. โสมนัสสินทรีย์ หรืออุเปกขินทรีย์ ๑๐. สัทธินทรีย์
๑๑. วิริยินทรีย์ ๑๒. สตินทรีย์
๑๓. สมาธินทรีย์ ๑๔. ปัญญินทรีย์

ปรากฏแก่เทวดาชั้นกามาวจรผู้เป็นสเหตุกสัตว์ สัมปยุตด้วยญาณ ในขณะเกิดใน
กามธาตุ อินทรีย์ ๑๔ เหล่านี้ปรากฏแก่สัตว์พวกนี้
ในขณะเกิดในกามธาตุ อินทรีย์ ๑๓ ปรากฏแก่สัตว์พวกไหน
ในขณะเกิดในกามธาตุ อินทรีย์ ๑๓ คือ

๑. จักขุนทรีย์ ๒. โสตินทรีย์
๓. ฆานินทรีย์ ๔. ชิวหินทรีย์
๕. กายินทรีย์ ๖. มนินทรีย์
๗. อิตถินทรีย์ หรือปุริสินทรีย์ ๘. ชีวิตินทรีย์
๙. โสมนัสสินทรีย์ หรืออุเปกขินทรีย์ ๑๐. สัทธินทรีย์
๑๑. วิริยินทรีย์ ๑๒. สตินทรีย์
๑๓. สมาธินทรีย์

ปรากฏแก่เทวดาชั้นกามาวจรผู้เป็นสเหตุกสัตว์ วิปปยุตจากญาณ ในขณะเกิดใน
กามธาตุ อินทรีย์ ๑๓ ปรากฏแก่สัตว์พวกนี้
ในขณะเกิดในกามธาตุ อินทรีย์ ๑๓ อื่นอีก ปรากฏแก่สัตว์พวกไหน
ในขณะเกิดในกามธาตุ อินทรีย์ ๑๓ อื่นอีก คือ

๑. จักขุนทรีย์ ๒. โสตินทรีย์
๓. ฆานินทรีย์ ๔. ชิวหินทรีย์
๕. กายินทรีย์ ๖. มนินทรีย์
๗. อิตถินทรีย์ หรือปุริสินทรีย์ ๘. ชีวิตินทรีย์


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๕๘ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๘.ธัมมหทยวิภังค์] ๔.ธัมมทัสสนวาร ๑.กามธาตุ

๙. โสมนัสสินทรีย์ หรืออุเปกขินทรีย์ ๑๐. สัทธินทรีย์
๑๑. วิริยินทรีย์ ๑๒. สตินทรีย์
๑๓. สมาธินทรีย์

ปรากฏแก่มนุษย์ผู้เกิดในสมัยต้นกัป ผู้เป็นสเหตุกสัตว์ สัมปยุตด้วยญาณ ในขณะ
เกิดในกามธาตุ อินทรีย์ ๑๓ ปรากฏแก่สัตว์พวกนี้
ในขณะเกิดในกามธาตุ อินทรีย์ ๑๒ ปรากฏแก่สัตว์พวกไหน
ในขณะเกิดในกามธาตุ อินทรีย์ ๑๒ คือ

๑. จักขุนทรีย์ ๒. โสตินทรีย์
๓. ฆานินทรีย์ ๔. ชิวหินทรีย์
๕. กายินทรีย์ ๖. มนินทรีย์
๗. ชีวิตินทรีย์ ๘. โสมนัสสินทรีย์ หรืออุเปกขินทรีย์
๙. สัทธินทรีย์ ๑๐. วิริยินทรีย์
๑๑. สตินทรีย์ ๑๒. สมาธินทรีย์

ปรากฏแก่มนุษย์ผู้เกิดในสมัยต้นกัป ผู้เป็นสเหตุกสัตว์ วิปปยุตจากญาณ ในขณะ
เกิดในกามธาตุ อินทรีย์ ๑๒ ปรากฏแก่สัตว์พวกนี้
ในขณะเกิดในกามธาตุ อินทรีย์ ๑๐ ปรากฏแก่สัตว์พวกไหน
ในขณะเกิดในกามธาตุ อินทรีย์ ๑๐ คือ

๑. กายินทรีย์ ๒. มนินทรีย์
๓. อิตถินทรีย์ หรือปุริสินทรีย์ ๔. ชีวิตินทรีย์
๕. โสมนัสสินทรีย์ หรืออุเปกขินทรีย์ ๖. สัทธินทรีย์
๗. วิริยินทรีย์ ๘. สตินทรีย์
๙. สมาธินทรีย์ ๑๐. ปัญญินทรีย์

ปรากฏแก่สัตว์ผู้เกิดในครรภ์ ผู้เป็นสเหตุกสัตว์ สัมปยุตด้วยญาณ ในขณะเกิดใน
กามธาตุ อินทรีย์ ๑๐ ปรากฏแก่สัตว์พวกนี้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๕๙ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๘.ธัมมหทยวิภังค์] ๔.ธัมมทัสสนวาร ๑.กามธาตุ
ในขณะเกิดในกามธาตุ อินทรีย์ ๙ ปรากฏแก่สัตว์พวกไหน
ในขณะเกิดในกามธาตุ อินทรีย์ ๙ คือ

๑. กายินทรีย์ ๒. มนินทรีย์
๓. อิตถินทรีย์ หรือปุริสินทรีย์ ๔. ชีวิตินทรีย์
๕. โสมนัสสินทรีย์ หรืออุเปกขินทรีย์ ๖. สัทธินทรีย์
๗. วิริยินทรีย์ ๘. สตินทรีย์
๙. สมาธินทรีย์

ปรากฏแก่สัตว์ผู้เกิดในครรภ์ ผู้เป็นสเหตุกสัตว์ วิปปยุตจากญาณ ในขณะเกิด
ในกามธาตุ อินทรีย์ ๙ ปรากฏแก่สัตว์พวกนี้
ในขณะเกิดในกามธาตุ อินทรีย์ ๙ อื่นอีก ปรากฏแก่สัตว์พวกไหน
ในขณะเกิดในกามธาตุ อินทรีย์ ๙ อื่นอีก คือ

๑. จักขุนทรีย์ ๒. โสตินทรีย์
๓. ฆานินทรีย์ ๔. ชิวหินทรีย์
๕. กายินทรีย์ ๖. มนินทรีย์
๗. อิตถินทรีย์ หรือปุริสินทรีย์ ๘. ชีวิตินทรีย์
๙. อุเปกขินทรีย์

ปรากฏแก่เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ผู้เป็นโอปปาติกสัตว์ และสัตว์นรก ซึ่ง
มีอายตนะครบบริบูรณ์ ในขณะที่เกิดในกามธาตุ อินทรีย์ ๙ ปรากฏแก่สัตว์พวกนี้
ในขณะเกิดในกามธาตุ อินทรีย์ ๘ ปรากฏแก่สัตว์พวกไหน
ในขณะเกิดในกามธาตุ อินทรีย์ ๘ คือ

๑. โสตินทรีย์ ๒. ฆานินทรีย์
๓. ชิวหินทรีย์ ๔. กายินทรีย์
๕. มนินทรีย์ ๖. อิตถินทรีย์ หรือปุริสินทรีย์
๗. ชีวิตินทรีย์ ๘. อุเปกขินทรีย์

ปรากฏแก่เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ผู้เป็นโอปปาติกสัตว์ และสัตว์นรก ซึ่งมี
ตาบอดมาแต่กำเนิด ในขณะเกิดในกามธาตุ อินทรีย์ ๘ ปรากฏแก่สัตว์พวกนี้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๖๐ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๘.ธัมมหทยวิภังค์] ๔.ธัมมทัสสนวาร ๑.กามธาตุ
ในขณะเกิดในกามธาตุ อินทรีย์ ๘ อื่นอีก ปรากฏแก่สัตว์พวกไหน
ในขณะเกิดในกามธาตุ อินทรีย์ ๘ อื่นอีก คือ

๑. จักขุนทรีย์ ๒. ฆานินทรีย์
๓. ชิวหินทรีย์ ๔. กายินทรีย์
๕. มนินทรีย์ ๖. อิตถินทรีย์ หรือปุริสินทรีย์
๗. ชีวิตินทรีย์ ๘. อุเปกขินทรีย์

ปรากฏแก่เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ผู้เป็นโอปปาติกสัตว์ และสัตว์นรก ซึ่ง
มีหูหนวกมาแต่กำเนิด ในขณะเกิดในกามธาตุ อินทรีย์ ๘ ปรากฏแก่สัตว์พวกนี้
ในขณะเกิดในกามธาตุ อินทรีย์ ๗ ปรากฏแก่สัตว์พวกไหน
ในขณะเกิดในกามธาตุ อินทรีย์ ๗ คือ

๑. ฆานินทรีย์ ๒. ชิวหินทรีย์
๓. กายินทรีย์ ๔. มนินทรีย์
๕. อิตถินทรีย์ หรือปุริสินทรีย์ ๖. ชีวิตินทรีย์
๗. อุเปกขินทรีย์

ปรากฏแก่เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ผู้เป็นโอปปาติกสัตว์ และสัตว์นรก ซึ่ง
มีตาบอดและหูหนวกมาแต่กำเนิด ในขณะเกิดในกามธาตุ อินทรีย์ ๗ เหล่านี้
ปรากฏแก่สัตว์พวกนี้
ในขณะเกิดในกามธาตุ อินทรีย์ ๕ ปรากฏแก่สัตว์พวกไหน
ในขณะเกิดในกามธาตุ อินทรีย์ ๕ คือ

๑. กายินทรีย์ ๒. มนินทรีย์
๓. อิตถินทรีย์ หรือปุริสินทรีย์ ๔. ชีวิตินทรีย์
๕. อุเปกขินทรีย์

ปรากฏแก่สัตว์ผู้เกิดในครรภ์ เว้นนปุงสกสัตว์ ผู้เป็นอเหตุกะ ในขณะเกิดในกามธาตุ
อินทรีย์ ๕ ปรากฏแก่สัตว์พวกนี้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๖๑ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๘.ธัมมหทยวิภังค์] ๔.ธัมมทัสสนวาร ๑.กามธาตุ
ในขณะเกิดในกามธาตุ อินทรีย์ ๔ ปรากฏแก่สัตว์พวกไหน
ในขณะเกิดในกามธาตุ อินทรีย์ ๔ คือ
๑. กายินทรีย์ ๒. มนินทรีย์
๓. ชีวิตินทรีย์ ๔. อุเปกขินทรีย์
ปรากฏแก่สัตว์ผู้เกิดในครรภ์ ผู้เป็นอเหตุกะเป็นนปุงสกสัตว์ ในขณะเกิดในกามธาตุ
อินทรีย์ ๔ ปรากฏแก่สัตว์พวกนี้
[๑๐๑๓] ในขณะเกิดในกามธาตุ เหตุ ๓ ปรากฏแก่สัตว์พวกไหน
ในขณะเกิดในกามธาตุ เหตุ ๓ คือ วิปากเหตุคืออโลภะ วิปากเหตุคือ
อโทสะ และวิปากเหตุคืออโมหะ ปรากฏแก่เทวดาชั้นกามาวจร มนุษย์ผู้เกิดใน
สมัยต้นกัป สัตว์ผู้เกิดในครรภ์ ซึ่งเป็นสเหตุกสัตว์ สัมปยุตด้วยญาณ ในขณะ
เกิดในกามธาตุ เหตุ ๓ ปรากฏแก่สัตว์พวกนี้
ในขณะเกิดในกามธาตุ เหตุ ๒ ปรากฏแก่สัตว์พวกไหน
ในขณะเกิดในกามธาตุ เหตุ ๒ คือ วิปากเหตุคืออโลภะ และวิปากเหตุคือ
อโทสะ ปรากฏแก่เทวดาชั้นกามาวจร มนุษย์ผู้เกิดในสมัยต้นกัป สัตว์ผู้เกิดในครรภ์
ซึ่งเป็นสเหตุกสัตว์ วิปปยุตจากญาณ ในขณะเกิดในกามธาตุ เหตุ ๒ ปรากฏ
แก่สัตว์พวกนี้ อเหตุกวิบาก ปรากฏแก่สัตว์ที่เหลือจากนั้น (๖)
[๑๐๑๔] ในขณะเกิดในกามธาตุ อาหาร ๔ เหล่าไหนปรากฏแก่สัตว์ทุก
จำพวก
อาหาร ๔ คือ
๑. กวฬิงการาหาร ๒. ผัสสาหาร
๓. มโนสัญเจตนาหาร ๔. วิญญาณาหาร
ในขณะเกิดในกามธาตุ อาหาร ๔ ปรากฏแก่สัตว์ทุกจำพวก (๗)
ในขณะเกิดในกามธาตุ ผัสสะ ๑ ข้อไหนปรากฏแก่สัตว์ทุกจำพวก
ผัสสะ ๑ ข้อนี้คือ มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ในขณะเกิดในกามธาตุ ผัสสะ ๑
ข้อนี้ปรากฏแก่สัตว์ทุกจำพวก (๘)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๖๒ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๘.ธัมมหทยวิภังค์] ๔.ธัมมทัสสนวาร ๒.รูปธาตุ
ในขณะเกิดในกามธาตุ เวทนา ๑ ฯลฯ สัญญา ๑ ฯลฯ เจตนา ๑ ฯลฯ
จิต ๑ อย่างไหนปรากฏแก่สัตว์ทุกจำพวก
จิต ๑ คือ มโนวิญญาณธาตุ
ในขณะเกิดในกามธาตุ จิต ๑ นี้ปรากฏแก่สัตว์ทุกจำพวก (๙-๑๒)

๒. รูปธาตุ
(ธาตุในรูปภูมิ)
[๑๐๑๕] ในขณะเกิดในรูปธาตุ ขันธ์เท่าไรปรากฏ ฯลฯ จิตเท่าไรปรากฏ
ในขณะเกิดในรูปธาตุ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๕ ธาตุ ๕ สัจจะ ๑ อินทรีย์ ๑๐
เหตุ ๓ อาหาร ๓ ผัสสะ ๑ เวทนา ๑ สัญญา ๑ เจตนา ๑ จิต ๑ ปรากฏแก่เทวดา
เว้นอสัญญสัตตพรหม
[๑๐๑๖] ในขณะเกิดในรูปธาตุ ขันธ์ ๕ เหล่าไหนปรากฏ
ขันธ์ ๕ คือ

๑. รูปขันธ์ ๒. เวทนาขันธ์
๓. สัญญาขันธ์ ๔. สังขารขันธ์
๕. วิญญาณขันธ์

ในขณะเกิดในรูปธาตุ ขันธ์ ๕ เหล่านี้ปรากฏ (๑)
ในขณะเกิดในรูปธาตุ อายตนะ ๕ เหล่าไหนปรากฏ
อายตนะ ๕ คือ

๑. จักขายตนะ ๒. รูปายตนะ
๓. โสตายตนะ ๔. มนายตนะ
๕. ธัมมายตนะ

ในขณะเกิดในรูปธาตุ อายตนะ ๕ เหล่านี้ปรากฏ (๒)
ในขณะเกิดในรูปธาตุ ธาตุ ๕ เหล่าไหนปรากฏ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๖๓ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๘.ธัมมหทยวิภังค์] ๔.ธัมมทัสสนวาร ๒.รูปธาตุ
ธาตุ ๕ เหล่านี้คือ

๑. จักขุธาตุ ๒. รูปธาตุ
๓. โสตธาตุ ๔. มโนวิญญาณธาตุ
๕. ธัมมธาตุ

ในขณะเกิดในรูปธาตุ ธาตุ ๕ เหล่านี้ปรากฏ (๓)
ในขณะเกิดในรูปธาตุ สัจจะ ๑ ข้อไหนปรากฏ
สัจจะ ๑ ข้อนี้คือ ทุกขสัจ ในขณะเกิดในรูปธาตุสัจจะ ๑ ข้อนี้ปรากฏ (๔)
ในขณะเกิดในรูปธาตุ อินทรีย์ ๑๐ เหล่าไหนปรากฏ
อินทรีย์ ๑๐ เหล่านี้ คือ

๑. จักขุนทรีย์ ๒. โสตินทรีย์
๓. มนินทรีย์ ๔. ชีวิตินทรีย์
๕. โสมนัสสินทรีย์ หรืออุเปกขินทรีย์ ๖. สัทธินทรีย์
๗. วิริยินทรีย์ ๘. สตินทรีย์
๙. สมาธินทรีย์ ๑๐. ปัญญินทรีย์

ในขณะเกิดในรูปธาตุ อินทรีย์ ๑๐ เหล่านี้ปรากฏ (๕)
ในขณะเกิดในรูปธาตุ เหตุ ๓ เหล่าไหนปรากฏ
เหตุ ๓ คือ วิปากเหตุคืออโลภะ วิปากเหตุคืออโทสะ และวิปากเหตุคืออโมหะ
ในขณะเกิดในรูปธาตุ เหตุ ๓ เหล่านี้ปรากฏ (๖)
ในขณะเกิดในรูปธาตุ อาหาร ๓ เหล่าไหนปรากฏ
อาหาร ๓ คือ
๑. ผัสสาหาร ๒. มโนสัญเจตนาหาร
๓. วิญญาณาหาร
ในขณะเกิดในรูปธาตุ อาหาร ๓ เหล่านี้ปรากฏ (๗)
ในขณะเกิดในรูปธาตุ ผัสสะ ๑ อย่างไหนปรากฏ
ผัสสะ ๑ คือ มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ในขณะเกิดในรูปธาตุ ผัสสะ ๑ นี้
ปรากฏ (๘)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๖๔ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๘.ธัมมหทยวิภังค์] ๔.ธัมมทัสสนวาร ๔.อรูปธาตุ
ในขณะเกิดในรูปธาตุ เวทนา ๑ ฯลฯ สัญญา ๑ ฯลฯ เจตนา ๑ ฯลฯ
จิต ๑ อย่างไหนปรากฏ
จิต ๑ คือ มโนวิญญาณธาตุ
ในขณะที่เกิดในรูปธาตุ จิต ๑ นี้ปรากฏ (๙-๑๒)

๓. อสัญญสัตว์
(สัตว์ที่ไม่มีสัญญา)
[๑๐๑๗] ในขณะเกิด ขันธ์เท่าไรปรากฏ ฯลฯ จิตเท่าไรปรากฏแก่
อสัญญสัตตพรหม
ในขณะเกิด ขันธ์ ๑ คือ รูปขันธ์
อายตนะ ๒ คือ รูปายตนะ และธัมมายตนะ
ธาตุ ๒ คือ รูปธาตุ และธัมมธาตุ
สัจจะ ๑ คือ ทุกขสัจ
อินทรีย์ ๑ คือ รูปชีวิตินทรีย์
ปรากฏแก่อสัญญสัตตพรหม อสัญญสัตตพรหม ไม่มีเหตุ ไม่มีอาหาร ไม่มีผัสสะ
ไม่มีเวทนา ไม่มีสัญญา ไม่มีเจตนา ไม่มีจิตปรากฏ

๔. อรูปธาตุ
(ธาตุในอรูปภูมิ)
[๑๐๑๘] ในขณะเกิดในอรูปธาตุ ขันธ์เท่าไรปรากฏ ฯลฯ จิตเท่าไรปรากฏ
ในขณะเกิดในอรูปธาตุ ขันธ์ ๔ อายตนะ ๒ ธาตุ ๒ สัจจะ ๑ อินทรีย์ ๘
เหตุ ๓ อาหาร ๓ ผัสสะ ๑ เวทนา ๑ สัญญา ๑ เจตนา ๑ จิต ๑ ปรากฏ
[๑๐๑๙] ในขณะเกิดในอรูปธาตุ ขันธ์ ๔ เหล่าไหนปรากฏ
ขันธ์ ๔ คือ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๖๕ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๘.ธัมมหทยวิภังค์] ๔.ธัมมทัสสนวาร ๔.อรูปธาตุ
๑. เวทนาขันธ์ ๒. สัญญาขันธ์
๓. สังขารขันธ์ ๔. วิญญาณขันธ์
ในขณะเกิดในอรูปธาตุ ขันธ์ ๔ เหล่านี้ปรากฏ (๑)
ในขณะเกิดในอรูปธาตุ อายตนะ ๒ เหล่าไหนปรากฏ
อายตนะ ๒ คือ มนายตนะ และธัมมายตนะ
ในขณะเกิดในอรูปธาตุ อายตนะ ๒ เหล่านี้ปรากฏ (๒)
ในขณะเกิดในอรูปธาตุ ธาตุ ๒ เหล่าไหนปรากฏ
ธาตุ ๒ คือ มโนวิญญาณธาตุ และธัมมธาตุ
ในขณะเกิดในอรูปธาตุ ธาตุ ๒ เหล่านี้ปรากฏ (๓)
ในขณะเกิดในอรูปธาตุ สัจจะ ๑ ข้อไหนปรากฏ
สัจจะ ๑ ข้อนี้คือ ทุกขสัจ
ในขณะเกิดในอรูปธาตุ สัจจะ ๑ ข้อนี้ปรากฏ (๔)
ในขณะเกิดในอรูปธาตุ อินทรีย์ ๘ เหล่าไหนปรากฏ
อินทรีย์ ๘ คือ

๑. มนินทรีย์ ๒. ชีวิตินทรีย์
๓. อุเปกขินทรีย์ ๔. สัทธินทรีย์
๕. วิริยินทรีย์ ๖. สตินทรีย์
๗. สมาธินทรีย์ ๘. ปัญญินทรีย์

ในขณะเกิดในอรูปธาตุ อินทรีย์ ๘ เหล่านี้ปรากฏ (๕)
ในขณะเกิดในอรูปธาตุ เหตุ ๓ เหล่าไหนปรากฏ
เหตุ ๓ คือ วิปากเหตุคืออโลภะ วิปากเหตุคืออโทสะ และวิปากเหตุคือ
อโมหะ
ในขณะเกิดในอรูปธาตุ เหตุ ๓ เหล่านี้ปรากฏ (๖)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๖๖ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๘.ธัมมหทยวิภังค์] ๕.ภูมันตรทัสสนวาร
ในขณะเกิดในอรูปธาตุ อาหาร ๓ เหล่าไหนปรากฏ
อาหาร ๓ คือ
๑. ผัสสาหาร ๒. มโนสัญเจตนาหาร
๓. วิญญาณาหาร
ในขณะเกิดในอรูปธาตุ อาหาร ๓ เหล่านี้ปรากฏ (๗)
ในขณะเกิดในอรูปธาตุ ผัสสะ ๑ อย่างไหนปรากฏ
ผัสสะ ๑ คือ มโนวิญญาณาธาตุสัมผัส
ในขณะเกิดในอรูปธาตุ ผัสสะ ๑ นี้ปรากฏ (๘)
ในขณะเกิดในอรูปธาตุ เวทนา ๑ ฯลฯ สัญญา ๑ ฯลฯ เจตนา ๑ ฯลฯ
จิต ๑ อย่างไหนปรากฏ
จิต ๑ คือ มโนวิญญาณธาตุ
ในขณะเกิดในอรูปธาตุ จิต ๑ นี้ปรากฏ (๙-๑๒)

๕. ภูมันตรทัสสนวาร
(วาระว่าด้วยการแสดงระหว่างภูมิ)
[๑๐๒๐] สภาวธรรมที่เป็นกามาวจร สภาวธรรมที่ไม่เป็นกามาวจร สภาว-
ธรรมที่เป็นรูปาวจร สภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปาวจร สภาวธรรมที่เป็นอรูปาวจร
สภาวธรรมที่ไม่เป็นอรูปาวจร สภาวธรรมที่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ สภาวธรรมที่ไม่
นับเนื่องในวัฏฏทุกข์
สภาวธรรมที่เป็นกามาวจร เป็นไฉน
ขันธ์ ธาตุ อายตนะ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณที่ท่องเที่ยวอยู่ใน
ภูมินี้ ที่นับเนื่องในภูมินี้ ในระหว่างนี้ คือ เบื้องล่างกำหนดเอาอเวจีนรกเป็น
ที่สุด เบื้องบนกำหนดเอาเหล่าเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตตีเป็นที่สุด สภาวธรรม
เหล่านี้ชื่อว่าเป็นกามาวจร

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๖๗ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๘.ธัมมหทยวิภังค์] ๕.ภูมันตรทัสสนวาร
สภาวธรรมที่ไม่เป็นกามาวจร เป็นไฉน
สภาวธรรมที่เป็นรูปาวจร ที่เป็นอรูปาวจร ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ สภาว-
ธรรมเหล่านี้ชื่อว่าไม่เป็นกามาวจร
สภาวธรรมที่เป็นรูปาวจร เป็นไฉน
สภาวธรรมคือจิตและเจตสิกของบุคคลผู้เข้าสมาบัติ ผู้เกิดในรูปภูมิ หรือ
พระอรหันต์ผู้อยู่เป็นสุขในปัจจุบัน ที่ท่องเที่ยวอยู่ในภูมินี้ นับเนื่องในภูมินี้ ใน
ระหว่างนี้คือ เบื้องล่างกำหนดเอาพรหมโลกเป็นที่สุด (ชั้นพรหมปาริสัชชา) เบื้อง
บนกำหนดเอาพรหมชั้นอกนิฏฐภพเป็นที่สุด สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่าเป็นรูปาวจร
สภาวธรรมที่ไม่เป็นรูปาวจร เป็นไฉน
สภาวธรรมที่เป็นกามาวจร ที่เป็นอรูปาวจร ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ สภาว-
ธรรมเหล่านี้ชื่อว่าไม่เป็นรูปาวจร
สภาวธรรมที่เป็นอรูปาวจร เป็นไฉน
สภาวธรรมคือจิตและเจตสิกของบุคคลผู้เข้าสมาบัติ ผู้เกิดในอรูปภูมิ หรือ
พระอรหันต์ผู้อยู่เป็นสุขในปัจจุบัน ที่ท่องเที่ยวอยู่ในภูมินี้ นับเนื่องในภูมินี้ ใน
ระหว่างนี้ คือ เบื้องล่างกำหนดเอาพรหมผู้เข้าถึงชั้นอากาสานัญจายตนภพเป็นที่สุด
เบื้องบนกำหนดเอาเหล่าพรหมผู้เข้าถึงชั้นเนวสัญญานาสัญญายตนภพเป็น ที่สุด
สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่าเป็นอรูปาวจร
สภาวธรรมที่ไม่เป็นอรูปาวจร เป็นไฉน
สภาวธรรมที่เป็นกามาวจร ที่เป็นรูปาวจร ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ สภาว-
ธรรม เหล่านี้ชื่อว่าไม่เป็นอรูปาวจร
สภาวธรรมที่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ เป็นไฉน
สภาวธรรมคือกุศล อกุศล และอัพยากฤตที่เป็นอารมณ์ของอาสวะ
สภาวธรรมที่เป็นกามาวจร สภาวธรรมที่เป็นรูปาวจร สภาวธรรมที่เป็นอรูปาวจร
ได้แก่ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์ สภาวธรรม
เหล่านี้ชื่อว่านับเนื่องในวัฏฏทุกข์

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๖๘ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๘.ธัมมหทยวิภังค์] ๖. อุปปาทกกัมมอายุปปมาณวาร ๑. อุปปาทกกรรม
สภาวธรรมที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ เป็นไฉน
มรรค ผลแห่งมรรค ธาตุที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง (นิพพาน) สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อ
ว่าไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์

๖. อุปปาทกกัมมอายุปปมาณวาร
(วาระว่าด้วยกรรมเป็นเหตุให้เกิดและประมาณอายุของสัตว์)
๑. อุปปาทกกรรม
(กรรมเป็นเหตุให้เกิด)
[๑๐๒๑] ที่ชื่อว่า เทวดา ได้แก่
เทวดา ๓ จำพวก คือ
๑. สมมติเทวดา (เทวดาโดยสมมติ)
๒. อุปปัตติเทวดา (เทวดาโดยอุบัติ)
๓. วิสุทธิเทวดา (เทวดาโดยความบริสุทธิ์)
พระราชา พระราชเทวี พระราชกุมาร๑ เรียกว่า สมมติเทวดา
เทวดาเบื้องบนนับแต่เทวดาชั้นจาตุมหาราชขึ้นไปเรียกว่า อุปปัตติเทวดา
พระอรหันต์ทั้งหลายเรียกว่า วิสุทธิเทวดา
พวกมนุษย์ผู้ให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถแล้วไปเกิดที่ไหน
พวกมนุษย์ให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถแล้ว บางพวกไปเกิดเป็นสหาย
ของกษัตริย์มหาศาล บางพวกไปเกิดเป็นสหายของพราหมณ์มหาศาล บางพวกไป
เกิดเป็นสหายของคฤหบดีมหาศาล บางพวกไปเกิดเป็นสหายของเทวดาชั้นจาตุ-
มหาราช บางพวกไปเกิดเป็นสหายของเทวดาชั้นดาวดึงส์ บางพวกไปเกิดเป็น
สหายของเทวดาชั้นยามา บางพวกไปเกิดเป็นสหายของเทวดาชั้นดุสิต บางพวก
ไปเกิดเป็นสหายของเทวดาชั้นนิมมานรดี บางพวกไปเกิดเป็นสหายของเทวดาชั้น
ปรนิมมิตวสวัตตี

เชิงอรรถ :
๑ อภิ.วิ.อ. ๑๐๒๑/๕๖๕

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๖๙ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๘.ธัมมหทยวิภังค์] ๖.อุปปาทกกัมมอายุปปมาณวาร ๒.อายุปปมาณะ
๒. อายุปปมาณะ
(ประมาณอายุ)
[๑๐๒๒] อายุของมนุษย์ มีประมาณเท่าไร
มีประมาณ ๑๐๐ ปี ต่ำกว่านั้นบ้าง เกินกว่านั้นบ้างก็มี (๑)
[๑๐๒๓] อายุของเทวดาชั้นจาตุมหาราช มีประมาณเท่าไร
๕๐ ปีของมนุษย์ นับเป็นวันหนึ่งคืนหนึ่งของเทวดาชั้นจาตุมหาราช ๓๐
ราตรีโดยราตรีนั้นเป็น ๑ เดือน ๑๒ เดือนโดยเดือนนั้น เป็น ๑ ปี ๕๐๐ ปี
ทิพย์โดยปีนั้น เป็นประมาณอายุของเทวดาชั้นจาตุมหาราช
นับอย่างปีมนุษย์ มีประมาณเท่าไร
มีประมาณ ๙ ล้านปี (๒)
อายุของเทวดาชั้นดาวดึงส์ มีประมาณเท่าไร
๑๐๐ ปีของมนุษย์นับเป็นวันหนึ่ง คืนหนึ่งของเทวดาชั้นดาวดึงส์ ๓๐ ราตรี
โดยราตรีนั้น เป็น ๑ เดือน ๑๒ เดือนโดยเดือนนั้น เป็น ๑ ปี ๑,๐๐๐ ปี
ทิพย์โดยปีนั้น เป็นประมาณอายุของเทวดาชั้นดาวดึงส์
นับอย่างปีมนุษย์ มีประมาณเท่าไร
มีประมาณ ๓ โกฏิ ๖ ล้านปี (๓)
อายุของเทวดาชั้นยามา มีประมาณเท่าไร
๒๐๐ ปีของมนุษย์นับเป็นวันหนึ่งคืนหนึ่งของเทวดาชั้นยามา ๓๐ ราตรีโดย
ราตรีนั้น เป็น ๑ เดือน ๑๒ เดือนโดยเดือนนั้น เป็น ๑ ปี ๒,๐๐๐ ปีทิพย์โดยปีนั้น
เป็นประมาณอายุของเทวดาชั้นยามา
นับอย่างปีมนุษย์ มีประมาณเท่าไร
มีประมาณ ๑๔ โกฏิ ๔ ล้านปี (๔)
อายุของเทวดาชั้นดุสิต มีประมาณเท่าไร


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๗๐ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๘.ธัมมหทยวิภังค์] ๖.อุปปาทกกัมมอายุปปมาณวาร ๒.อายุปปมาณะ
๔๐๐ ปีของมนุษย์นับเป็นวันหนึ่งคืนหนึ่งของเทวดาชั้นดุสิต ๓๐ ราตรีโดย
ราตรีนั้น เป็น ๑ เดือน ๑๒ เดือนโดยเดือนนั้น เป็น ๑ ปี ๔,๐๐๐ ปีทิพย์โดยปีนั้น
เป็นประมาณอายุของเทวดาชั้นดุสิต
นับอย่างปีมนุษย์ มีประมาณเท่าไร
มีประมาณ ๕๗ โกฏิ ๖ ล้านปี (๕)
อายุของเทวดาชั้นนิมมานรดี มีประมาณเท่าไร
๘๐๐ ปีของมนุษย์นับเป็นวันหนึ่งคืนหนึ่งของเทวดาชั้นนิมมานรดี ๓๐ ราตรี
โดยราตรีนั้น เป็น ๑ เดือน ๑๒ เดือนโดยเดือนนั้น เป็น ๑ ปี ๘,๐๐๐ ปีทิพย์
โดยปีนั้น เป็นประมาณอายุของเทวดาชั้นนิมมานรดี
นับอย่างปีมนุษย์ มีประมาณเท่าไร
มีประมาณ ๒๓๐ โกฏิ ๔ ล้านปี (๖)
อายุของเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตตี มีประมาณเท่าไร
๑,๖๐๐ ปีของมนุษย์นับเป็นวันหนึ่งคืนหนึ่งของเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตตี ๓๐
ราตรีโดยราตรีนั้น เป็น ๑ เดือน ๑๒ เดือนโดยเดือนนั้นเป็น ๑ ปี ๑๖,๐๐๐ ปี
ทิพย์เป็นประมาณอายุของเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตตี
นับอย่างปีมนุษย์ มีประมาณเท่าไร
มีประมาณ ๙๒๑ โกฏิ ๖ ล้านปี (๗)
เทวดาชั้นกามาวจรสวรรค์ ๖ ชั้นเพียบพร้อมด้วยกามคุณทุกอย่าง
อายุของเทวดาชั้นกามาวจรสวรรค์ ๖ ชั้น นับรวมกันทั้งหมดเป็นเท่าไร
เป็น ๑,๒๒๘ โกฏิ ๕ ล้านปี โดยนับอย่างปีของมนุษย์
[๑๐๒๔] บุคคลเจริญปฐมฌานได้อย่างสามัญ ไปเกิดที่ไหน
บุคคลเจริญปฐมฌานได้อย่างสามัญแล้วไปเกิดเป็นสหายของเทวดาชั้นพรหม-
ปาริสัชชา


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๗๑ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๘.ธัมมหทยวิภังค์] ๖.อุปปาทกกัมมอายุปปมาณวาร ๒.อายุปปมาณะ
อายุของเทวดา เหล่านั้นมีประมาณเท่าไร
มีประมาณเท่าส่วนที่ ๓ แห่งกัป (๘)
บุคคลเจริญปฐมฌานได้อย่างกลาง ไปเกิดที่ไหน
ไปเกิดเป็นสหายของเทวดาชั้นพรหมปุโรหิตา
อายุของเทวดา เหล่านั้นมีประมาณเท่าไร
มีประมาณกึ่งกัป (๙)
บุคคลเจริญปฐมฌานได้อย่างประณีต ไปเกิดที่ไหน
บุคคลเจริญปฐมฌานได้อย่างประณีตแล้ว ไปเกิดเป็นสหายของเทวดาชั้น
มหาพรหม
อายุของเทวดา เหล่านั้นมีประมาณเท่าไร
มีประมาณ ๑ กัป (๑๐)
[๑๐๒๕] บุคคลเจริญทุติยฌานได้อย่างสามัญ ไปเกิดที่ไหน
บุคคลผู้เจริญทุติยฌานได้อย่างสามัญแล้ว ไปเกิดเป็นสหายของเทวดาชั้น
ปริตตาภา
อายุของเทวดา เหล่านั้นมีประมาณเท่าไร
มีประมาณ ๒ กัป (๑๑)
บุคคลเจริญทุติยฌานได้อย่างกลาง ไปเกิดที่ไหน
บุคคลเจริญทุติยฌานได้อย่างกลางแล้ว ไปเกิดเป็นสหายของเทวดาชั้น
อัปปมาณาภา
อายุของเทวดา เหล่านั้นมีประมาณเท่าไร
มีประมาณ ๔ กัป (๑๒)
บุคคลเจริญทุติยฌานได้อย่างประณีต ไปเกิดที่ไหน
บุคคลเจริญทุติยฌานได้อย่างประณีตแล้วไปเกิดเป็นสหายของเทวดาชั้นอาภัสสรา


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๗๒ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๘.ธัมมหทยวิภังค์] ๖.อุปปาทกกัมมอายุปปมาณวาร ๒.อายุปปมาณะ
อายุของเทวดา เหล่านั้นมีประมาณเท่าไร
มีประมาณ ๘ กัป (๑๓)
[๑๐๒๖] บุคคลเจริญตติยฌานได้อย่างสามัญ ไปเกิดที่ไหน
บุคคลเจริญตติยฌานได้อย่างสามัญแล้ว ไปเกิดเป็นสหายของเทวดาชั้นปริตต-
สุภา
อายุของเทวดา เหล่านั้นมีประมาณเท่าไร
มีประมาณ ๑๖ กัป (๑๔)
บุคคลเจริญตติยฌานได้อย่างกลาง ไปเกิดที่ไหน
บุคคลเจริญตติยฌานได้อย่างกลาง ไปเกิดเป็นสหายของเทวดาชั้นอัปปมาณสุภา
อายุของเทวดา เหล่านั้นมีประมาณเท่าไร
มีประมาณ ๓๒ กัป (๑๕)
บุคคลเจริญตติยฌานได้อย่างประณีต ไปเกิดที่ไหน
บุคคลเจริญตติยฌานได้อย่างประณีตแล้ว ไปเกิดเป็นสหายของเทวดาชั้น
สุภกิณหา
อายุของเทวดา เหล่านั้นมีประมาณเท่าไร
มีประมาณ ๖๔ กัป (๑๖)
[๑๐๒๗] บุคคลเจริญจตุตถฌานแล้ว บางพวกไปเกิดเป็นสหายของอสัญญสัตต-
เทวดา บางพวกไปเกิดเป็นสหายของเทวดาชั้นเวหัปผลา บางพวกไปเกิดเป็นสหาย
ของเทวดาชั้นอวิหา บางพวกไปเกิดเป็นสหายของเทวดาชั้นอตัปปา บางพวกไปเกิด
เป็นสหายของเทวดาชั้นสุทัสสา บางพวกไปเกิดเป็นสหายของเทวดาชั้นสุทัสสี
บางพวกไปเกิดเป็นสหายของเทวดาชั้นอกนิฏฐา บางพวกไปเกิดเป็นสหายของ
เทวดาผู้เข้าถึงอากาสานัญจายตนภพ บางพวกไปเกิดเป็นสหายของเทวดาผู้เข้าถึง
วิญญาณัญจายตนภพ บางพวกไปเกิดเป็นสหายของเทวดาผู้เข้าถึงอากิญจัญญายตน-
ภพ บางพวกไปเกิดเป็นสหายของเทวดาผู้เข้าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนภพ เพราะ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๗๓ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๘.ธัมมหทยวิภังค์] ๖.อุปปาทกกัมมอายุปปมาณวาร ๒.อายุปปมาณะ
มีอารมณ์ต่างกัน เพราะมีมนสิการต่างกัน เพราะมีฉันทะต่างกัน เพราะมีปณิธาน
ต่างกัน๑ เพราะมีอธิโมกข์ต่างกัน เพราะมีอภินิหารต่างกัน เพราะมีปัญญาต่างกัน
อายุของอสัญญสัตตเทวดาและเทวดาชั้นเวหัปผลา มีประมาณเท่าไร
มีประมาณ ๕๐๐ กัป (๑๗-๑๘)
อายุของเทวดาชั้นอวิหา มีประมาณเท่าไร
มีประมาณ ๑,๐๐๐ กัป (๑๙)
อายุของเทวดาชั้นอตัปปา มีประมาณเท่าไร
มีประมาณ ๒,๐๐๐ กัป (๒๐)
อายุของเทวดาชั้นสุทัสสา มีประมาณเท่าไร
มีประมาณ ๔,๐๐๐ กัป (๒๑)
อายุของเทวดาชั้นสุทัสสี มีประมาณเท่าไร
มีประมาณ ๘,๐๐๐ กัป (๒๒)
อายุของเทวดาชั้นอกนิฏฐา มีประมาณเท่าไร
มีประมาณ ๑๖,๐๐๐ กัป (๒๓)
[๑๐๒๘] อายุของเทวดาผู้เข้าถึงอากาสานัญจายตนภพ มีประมาณเท่าไร
มีประมาณ ๒๐,๐๐๐ กัป (๒๔)
อายุของเทวดาผู้เข้าถึงวิญญาณัญจายตนภพ มีประมาณเท่าไร
มีประมาณ ๔๐,๐๐๐ กัป (๒๕)
อายุของเทวดาผู้เข้าถึงอากิญจัญญายตนภพ มีประมาณเท่าไร
มีประมาณ ๖๐,๐๐๐ กัป (๒๖)
อายุของเทวดาผู้เข้าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนภพ มีประมาณเท่าไร
มีประมาณ ๘๔,๐๐๐ กัป (๒๗)

เชิงอรรถ :
๑ คือทำความปรารถนาในปฐวีกสิณเป็นต้น (อภิ.วิ.อ. ๑๐๒๗/๕๖๗)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๗๔ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๘.ธัมมหทยวิภังค์] ๗.อภิญเญยยาทิวาร
[๑๐๒๙] เหล่าสัตว์ผู้อันอำนาจแห่งบุญส่งเสริมแล้ว
ไปสู่กามภพและรูปภพหรือไปถึงภวัคคพรหมบ้าง
แต่ยังกลับไปสู่ทุคติภูมิได้อีก
เหล่าสัตว์ที่มีอายุยืนถึงเพียงนั้นก็ยังจุติได้เพราะหมดอายุ
ไม่ว่าภพไหน ๆ ที่ชื่อว่าเที่ยงไม่มี พระผู้มีพระภาคผู้ทรง
แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ได้ตรัสไว้แล้วอย่างนี้
เพราะฉะนั้นแล เหล่านักปราชญ์ผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาด
รอบคอบคำนึงถึงความจริงข้อนี้ จึงเจริญมรรคอันสูงสุด
เพื่อพ้นจากชรามรณะ
ครั้นเจริญมรรคที่บริสุทธิ์สะอาดซึ่งมีปกติยังสัตว์ให้หยั่ง
ถึงนิพพานแล้ว จึงเป็นผู้ปราศจากอาสวะ ปรินิพพานเพราะ
กำหนดรู้อาสวะทั้งปวงฉะนี้แล

๗. อภิญเญยยาทิวาร
(วาระว่าด้วยธรรมที่พึงรู้ยิ่งเป็นต้น)
[๑๐๓๐] บรรดาขันธ์ ๕ ขันธ์เท่าไรพึงรู้ยิ่ง เท่าไรพึงกำหนดรู้ เท่าไรพึงละ
เท่าไรพึงเจริญ เท่าไรพึงทำให้แจ้ง เท่าไรไม่พึงละ เท่าไรไม่พึงเจริญ เท่าไรไม่พึง
ทำให้แจ้ง ฯลฯ บรรดาจิต ๗ จิตเท่าไรพึงรู้ยิ่ง เท่าไรพึงกำหนดรู้ เท่าไรพึงละ
เท่าไรพึงเจริญ เท่าไรพึงทำให้แจ้ง เท่าไรไม่พึงละ เท่าไรไม่พึงเจริญ เท่าไรไม่พึง
ทำให้แจ้ง
[๑๐๓๑] รูปขันธ์พึงรู้ยิ่ง พึงกำหนดรู้ แต่ไม่พึงละ ไม่พึงเจริญ ไม่พึงทำให้แจ้ง
ขันธ์ ๔ พึงรู้ยิ่ง พึงกำหนดรู้ ที่พึงละก็มี ที่พึงเจริญก็มี ที่พึงทำให้แจ้งก็มี
ที่ไม่พึงละ ไม่พึงเจริญ ไม่พึงทำให้แจ้งก็มี (๑)
อายตนะ ๑๐ พึงรู้ยิ่ง พึงกำหนดรู้ แต่ไม่พึงละ ไม่พึงเจริญ ไม่พึงทำให้แจ้ง
อายตนะ ๒ พึงรู้ยิ่ง พึงกำหนดรู้ ที่พึงละก็มี ที่พึงเจริญก็มี ที่พึงทำให้แจ้งก็มี
ที่ไม่พึงละ ไม่พึงเจริญ ไม่พึงทำให้แจ้งก็มี (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๗๕ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๘. ธัมมหทยวิภังค์] ๗. อภิญเญยยาทิวาร
ธาตุ ๑๖ พึงรู้ยิ่ง พึงกำหนดรู้ แต่ไม่พึงละ ไม่พึงเจริญ ไม่พึงทำให้แจ้ง
ธาตุ ๒ พึงรู้ยิ่ง พึงกำหนดรู้ ที่พึงละก็มี ที่พึงเจริญก็มี ที่พึงทำให้แจ้งก็มี
ที่ไม่พึงละ ไม่พึงเจริญ ไม่พึงทำให้แจ้งก็มี (๓)
สมุทยสัจพึงรู้ยิ่ง พึงกำหนดรู้ พึงละ แต่ไม่พึงเจริญ ไม่พึงทำให้แจ้ง
มัคคสัจพึงรู้ยิ่ง พึงกำหนดรู้ แต่ไม่พึงละ พึงเจริญ แต่ไม่พึงทำให้แจ้ง
นิโรธสัจพึงรู้ยิ่ง พึงกำหนดรู้ แต่ไม่พึงละ ไม่พึงเจริญ แต่พึงทำให้แจ้ง
ทุกขสัจพึงรู้ยิ่ง พึงกำหนดรู้ ที่พึงละ แต่ไม่พึงเจริญก็มี ที่ไม่พึงทำให้แจ้ง
และไม่พึงละก็มี (๔)
อินทรีย์ ๙ พึงรู้ยิ่ง พึงกำหนดรู้ แต่ไม่พึงละ ไม่พึงเจริญ ไม่พึงทำให้แจ้ง
โทมนัสสินทรีย์พึงรู้ยิ่ง พึงกำหนดรู้ พึงละ แต่ไม่พึงเจริญ ไม่พึงทำให้แจ้ง
อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์พึงรู้ยิ่ง พึงกำหนดรู้ แต่ไม่พึงละ พึงเจริญ แต่ไม่
พึงทำให้แจ้ง
อัญญินทรีย์พึงรู้ยิ่ง พึงกำหนดรู้ แต่ไม่พึงละ ที่พึงเจริญก็มี ที่พึงทำให้แจ้งก็มี
อัญญาตาวินทรีย์พึงรู้ยิ่ง พึงกำหนดรู้ แต่ไม่พึงละ ไม่พึงเจริญ แต่พึงทำให้แจ้ง
อินทรีย์ ๓ พึงรู้ยิ่ง พึงกำหนดรู้ แต่ไม่พึงละ ที่พึงเจริญก็มี ที่พึงทำให้แจ้งก็มี
ที่ไม่พึงเจริญ ไม่พึงทำให้แจ้งก็มี
อินทรีย์ ๖ พึงรู้ยิ่ง พึงกำหนดรู้ ที่พึงละก็มี ที่พึงเจริญก็มี ที่พึงทำให้แจ้งก็มี
ที่ไม่พึงละ ไม่พึงเจริญ ไม่พึงทำให้แจ้งก็มี (๕)
อกุศลเหตุ ๓ พึงรู้ยิ่ง พึงกำหนดรู้ พึงละ แต่ไม่พึงเจริญ ไม่พึงทำให้แจ้ง
กุศลเหตุ ๓ พึงรู้ยิ่ง พึงกำหนดรู้ ไม่พึงละ ที่พึงเจริญก็มี ที่ไม่พึงทำให้แจ้ง
และไม่พึงเจริญก็มี
อัพยากตเหตุ ๓ พึงรู้ยิ่ง พึงกำหนดรู้ แต่ไม่พึงละ ไม่พึงเจริญ ที่พึงทำให้
แจ้งก็มี ที่ไม่พึงทำให้แจ้งก็มี (๖)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๗๖ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๘.ธัมมหทยวิภังค์] ๘.สารัมมณานารัมมณวาร
กวฬิงการาหารพึงรู้ยิ่ง พึงกำหนดรู้ แต่ไม่พึงละ ไม่พึงเจริญ ไม่พึงทำให้แจ้ง
อาหาร ๓ พึงรู้ยิ่ง พึงกำหนดรู้ ที่พึงละก็มี ที่พึงเจริญก็มี ที่พึงทำให้แจ้งก็มี
ที่ไม่พึงละ ไม่พึงเจริญ ไม่พึงทำให้แจ้งก็มี (๗)
ผัสสะ ๖ พึงรู้ยิ่ง พึงกำหนดรู้ แต่ไม่พึงละ ไม่พึงเจริญ ไม่พึงทำให้แจ้ง
มโนวิญญาณธาตุสัมผัสพึงรู้ยิ่ง พึงกำหนดรู้ ที่พึงละก็มี ที่พึงเจริญก็มี ที่
พึงทำให้แจ้งก็มี ที่ไม่พึงละ ไม่พึงเจริญ ไม่พึงทำให้แจ้งก็มี (๘)
เวทนา ๖ ฯลฯ สัญญา ๖ ฯลฯ เจตนา ๖ ฯลฯ จิต ๖ พึงรู้ยิ่ง พึงกำหนดรู้
แต่ไม่พึงละ ไม่พึงเจริญ ไม่พึงทำให้แจ้ง
มโนวิญญาณธาตุพึงรู้ยิ่ง พึงกำหนดรู้ ที่พึงละก็มี ที่พึงเจริญก็มี ที่พึงทำให้
แจ้งก็มี ที่ไม่พึงละ ไม่พึงเจริญ ไม่พึงทำให้แจ้งก็มี (๙-๑๒)

๘. สารัมมณานารัมมณวาร
(วาระว่าด้วยธรรมที่รับรู้อารมณ์ได้และไม่ได้)
[๑๐๓๒] บรรดาขันธ์ ๕ ขันธ์เท่าไรรับรู้อารมณ์ได้ เท่าไรรับรู้อารมณ์ไม่ได้
ฯลฯ บรรดาจิต ๗ จิตเท่าไรรับรู้อารมณ์ได้ เท่าไรรับรู้อารมณ์ไม่ได้
[๑๐๓๓] รูปขันธ์รับรู้อารมณ์ไม่ได้ ขันธ์ ๔ รับรู้อารมณ์ได้ (๑)
อายตนะ ๑๐ รับรู้อารมณ์ไม่ได้ มนายตนะรับรู้อารมณ์ได้ ธัมมายตนะที่รับ
รู้อารมณ์ได้ก็มี ที่รับรู้อารมณ์ไม่ได้ก็มี (๒)
ธาตุ ๑๐ รับรู้อารมณ์ไม่ได้ ธาตุ ๗ รับรู้อารมณ์ได้ ธัมมธาตุที่รับรู้
อารมณ์ได้ก็มี ที่รับรู้อารมณ์ไม่ได้ก็มี (๓)
สัจจะ ๒ รับรู้อารมณ์ได้ นิโรธสัจรับรู้อารมณ์ไม่ได้ ทุกขสัจที่รับรู้อารมณ์ได้ก็มี
ที่รับรู้อารมณ์ไม่ได้ก็มี (๔)
อินทรีย์ ๗ รับรู้อารมณ์ไม่ได้ อินทรีย์ ๑๔ รับรู้อารมณ์ได้ ชีวิตินทรีย์ที่
รับรู้อารมณ์ได้ก็มี ที่รับรู้อารมณ์ไม่ได้ก็มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๗๗ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๘.ธัมมหทยวิภังค์] ๘.สารัมมณานารัมมณวาร
เหตุ ๙ รับรู้อารมณ์ได้
กวฬิงการาหารรับรู้อารมณ์ไม่ได้ อาหาร ๓ รับรู้อารมณ์ได้
ผัสสะ ๗ เวทนา ๗ สัญญา ๗ เจตนา ๗ และจิต ๗ รับรู้อารมณ์ได้ (๕-
๑๒)
[๑๐๓๔] บรรดาขันธ์ ๕ ขันธ์เท่าไรมีธรรมที่รับรู้อารมณ์ได้เป็นอารมณ์ เท่า
ไรมีธรรมที่รับรู้อารมณ์ไม่ได้เป็นอารมณ์ เท่าไรที่รับรู้อารมณ์ไม่ได้ ฯลฯ บรรดาจิต
๗ จิตเท่าไรมีธรรมที่รับรู้อารมณ์ได้เป็นอารมณ์ เท่าไรมีธรรมที่รับรู้อารมณ์ไม่ได้
เป็นอารมณ์ เท่าไรรับรู้อารมณ์ไม่ได้๑
[๑๐๓๕] รูปขันธ์รับรู้อารมณ์ไม่ได้ ขันธ์ ๔ ที่มีสภาวธรรมที่รับรู้อารมณ์ได้
เป็นอารมณ์ก็มี ที่มีสภาวธรรมที่รับรู้อารมณ์ไม่ได้เป็นอารมณ์ก็มี (๑)
อายตนะ ๑๐ รับรู้อารมณ์ไม่ได้ มนายตนะที่มีสภาวธรรมที่รับรู้อารมณ์ได้
เป็นอารมณ์ก็มี ที่มีสภาวธรรมที่รับรู้อารมณ์ไม่ได้เป็นอารมณ์ก็มี ธัมมายตนะมี
สภาวธรรมที่รับรู้อารมณ์ได้เป็นอารมณ์ก็มี ที่มีสภาวธรรมที่รับรู้อารมณ์ไม่ได้เป็น
อารมณ์ก็มี ที่รับรู้อารมณ์ไม่ได้ก็มี (๒)
ธาตุ ๑๐ รับรู้อารมณ์ไม่ได้ ธาตุ ๖ มีสภาวธรรมที่รับรู้อารมณ์ไม่ได้เป็น
อารมณ์ มโนวิญญาณธาตุที่มีสภาวธรรมที่รับรู้อารมณ์ได้เป็นอารมณ์ก็มี ที่มีสภาว-
ธรรมที่รับรู้อารมณ์ไม่ได้เป็นอารมณ์ก็มี ธัมมธาตุที่มีสภาวธรรมที่รับรู้อารมณ์ได้
เป็นอารมณ์ก็มี ที่มีสภาวธรรมที่รับรู้อารมณ์ไม่ได้เป็นอารมณ์ก็มี ที่รับรู้อารมณ์
ไม่ได้ก็มี (๓)
นิโรธสัจรับรู้อารมณ์ไม่ได้ มัคคสัจมีสภาวธรรมที่รับรู้อารมณ์ไม่ได้เป็นอารมณ์
สมุทยสัจที่มีสภาวธรรมที่รับรู้อารมณ์ได้เป็นอารมณ์ก็มี ที่มีสภาวธรรมที่รับรู้
อารมณ์ไม่ได้เป็นอารมณ์ก็มี ทุกขสัจที่มีสภาวธรรมที่รับรู้อารมณ์ได้เป็นอารมณ์ก็มี
ที่มีสภาวธรรมที่รับรู้อารมณ์ไม่ได้เป็นอารมณ์ก็มี ที่รับรู้อารมณ์ไม่ได้ก็มี (๔)

เชิงอรรถ :
๑ อภิ.สงฺ.อ. ๗-๑๓/๙๕,๑๑๐๑/๔๒๖

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๗๘ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๘.ธัมมหทยวิภังค์] ๙.ทิฏฐสุตาทิทัสสนวาร
อินทรีย์ ๗ รับรู้อารมณ์ไม่ได้ อินทรีย์ ๕ มีสภาวธรรมที่รับรู้อารมณ์ไม่ได้
เป็นอารมณ์ อินทรีย์ ๙ ที่มีสภาวธรรมที่รับรู้อารมณ์ได้เป็นอารมณ์ก็มี มี
สภาวธรรมที่รับรู้อารมณ์ไม่ได้เป็นอารมณ์ก็มี ชีวิตินทรีย์มีสภาวธรรมที่รับรู้อารมณ์
ได้เป็นอารมณ์ก็มี มีสภาวธรรมที่รับรู้อารมณ์ไม่ได้เป็นอารมณ์ก็มี ที่รับรู้อารมณ์
ไม่ได้ก็มี (๕)
เหตุ ๙ มีสภาวธรรมที่รับรู้อารมณ์ได้เป็นอารมณ์ก็มี ที่มีสภาวธรรมที่รับรู้
อารมณ์ไม่ได้เป็นอารมณ์ก็มี
กวฬิงการาหารรับรู้อารมณ์ไม่ได้ อาหาร ๓ ที่มีสภาวธรรมที่รับรู้อารมณ์ได้
เป็นอารมณ์ก็มี ที่มีสภาวธรรมที่รับรู้อารมณ์ไม่ได้เป็นอารมณ์ก็มี
ผัสสะ ๖ มีสภาวธรรมที่รับรู้อารมณ์ไม่ได้เป็นอารมณ์ มโนวิญญาณธาตุสัมผัส
ที่มีสภาวธรรมที่รับรู้อารมณ์ได้เป็นอารมณ์ก็มี ที่มีสภาวธรรมที่รับรู้อารมณ์ไม่ได้
เป็นอารมณ์ก็มี
เวทนา ๖ สัญญา ๖ เจตนา ๖ และจิต ๖ มีสภาวธรรมรับรู้อารมณ์ไม่
ได้เป็นอารมณ์ มโนวิญญาณธาตุที่มีสภาวธรรมที่รับรู้อารมณ์ได้เป็นอารมณ์ก็มี ที่
มีสภาวธรรมที่รับรู้อารมณ์ไม่ได้เป็นอารมณ์ก็มี (๖-๑๒)

๙. ทิฏฐสุตาทิทัสสนวาร
(วาระว่าด้วยการแสดงสภาวธรรมที่เห็นได้และสดับได้เป็นต้น)
[๑๐๓๖] บรรดาขันธ์ ๕ ขันธ์เท่าไรเป็นสภาวธรรมที่เห็นได้ เท่าไรเป็นสภาว-
ธรรมที่ฟังได้ เท่าไรเป็นสภาวธรรมที่รู้ได้ เท่าไรเป็นสภาวธรรมที่เข้าใจได้ เท่าไร
เป็นสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้ ฟังไม่ได้ รู้ไม่ได้ และเข้าใจไม่ได้ ฯลฯ บรรดาจิต ๗
จิตเท่าไรเป็นสภาวธรรมที่เห็นได้ เท่าไรเป็นสภาวธรรมที่ฟังได้ เท่าไรเป็นสภาวธรรม
ที่รู้ได้ เท่าไรเป็นสภาวธรรมที่เข้าใจได้ เท่าไรเป็นสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้ ฟังไม่ได้
รู้ไม่ได้ และเข้าใจไม่ได้
[๑๐๓๗] รูปขันธ์ที่เห็นได้ก็มี ที่ฟังได้ก็มี ที่รู้ได้ก็มี ที่เข้าใจได้ก็มี ที่เห็นไม่ได้
ฟังไม่ได้ รู้ไม่ได้ และเข้าใจไม่ได้ก็มี ขันธ์ ๔ เห็นไม่ได้ ฟังไม่ได้ รู้ไม่ได้ แต่เข้าใจได้


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๗๙ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๘.ธัมมหทยวิภังค์] ๑๐.ติกาทิทัสสนวาร ๑. กุสลติกะ
รูปายตนะ เห็นได้ แต่ฟังไม่ได้ รู้ไม่ได้ แต่เข้าใจได้ สัททายตนะ
เห็นไม่ได้ แต่ฟังได้ รู้ไม่ได้ แต่เข้าใจได้ คันธายตนะ รสายตนะ และโผฏฐัพพายตนะ
เห็นไม่ได้ ฟังไม่ได้ แต่รู้ได้ เข้าใจได้ อายตนะ ๗ เห็นไม่ได้ ฟังไม่ได้ รู้ไม่ได้
แต่เข้าใจได้
รูปธาตุ เห็นได้ แต่ฟังไม่ได้ รู้ไม่ได้ แต่เข้าใจได้ สัททธาตุ เห็นไม่ได้ แต่ฟังได้
รู้ไม่ได้ แต่เข้าใจได้ คันธธาตุ รสธาตุและโผฏสัพพธาตุ เห็นไม่ได้ ฟังไม่ได้ แต่รู้ได้
เข้าใจได้ ธาตุ ๑๓ เห็นไม่ได้ ฟังไม่ได้ รู้ไม่ได้ แต่เข้าใจได้
สัจจะ ๓ เห็นไม่ได้ ฟังไม่ได้ รู้ไม่ได้ แต่เข้าใจได้ ทุกขสัจ ที่เห็นได้ก็มี ที่ฟังได้
ก็มี ที่รู้ได้ก็มี ที่เข้าใจได้ก็มี ที่เห็นไม่ได้ ฟังไม่ได้ รู้ไม่ได้ แต่เข้าใจได้ก็มี
อินทรีย์ ๒๒ เห็นไม่ได้ ฟังไม่ได้ รู้ไม่ได้ แต่เข้าใจได้
เหตุ ๙ เห็นไม่ได้ ฟังไม่ได้ รู้ไม่ได้ แต่เข้าใจได้
อาหาร ๔ เห็นไม่ได้ ฟังไม่ได้ รู้ไม่ได้ แต่เข้าใจได้
ผัสสะ ๗ เห็นไม่ได้ ฟังไม่ได้ รู้ไม่ได้ แต่เข้าใจได้
เวทนา ๗ สัญญา ๗ เจตนา ๗ และจิต ๗ เห็นไม่ได้ ฟังไม่ได้ รู้ไม่ได้
แต่เข้าใจได้

๑๐. ติกาทิทัสสนวาร
(วาระว่าด้วยการแสดงรวบรวมติกมาติกาเป็นต้น)
๑. กุสลติกะ
[๑๐๓๘] บรรดาขันธ์ ๕ ขันธ์เท่าไรเป็นกุศล เท่าไรเป็นอกุศล เท่าไรเป็น
อัพยากฤต ฯลฯ บรรดาจิต ๗ จิตเท่าไรเป็นกุศล เท่าไรเป็นอกุศล เท่าไรเป็น
อัพยากฤต
รูปขันธ์เป็นอัพยากฤต ขันธ์ ๔ ที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอกุศลก็มี ที่เป็น
อัพยากฤตก็มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๘๐ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๘.ธัมมหทยวิภังค์] ๑๐.ติกาทิทัสสนวาร ๒.เวทนาติกะ
อายตนะ ๑๐ เป็นอัพยากฤต อายตนะ ๒ ที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอกุศลก็มี
ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
ธาตุ ๑๖ เป็นอัพยากฤต ธาตุ ๒ ที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอกุศลก็มี ที่เป็น
อัพยากฤตก็มี
สมุทยสัจเป็นอกุศล มัคคสัจเป็นกุศล นิโรธสัจเป็นอัพยากฤต ทุกขสัจที่เป็น
กุศลก็มี ที่เป็นอกุศลก็มี ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
อินทรีย์ ๑๐ เป็นอัพยากฤต โทมนัสสินทรีย์เป็นอกุศล อนัญญาตัญ-
ญัสสามีตินทรีย์เป็นกุศล อินทรีย์ ๔ ที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอัพยากฤตก็มี อินทรีย์
๖ ที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอกุศลก็มี ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
กุศลเหตุ ๓ เป็นกุศล อกุศลเหตุ ๓ เป็นอกุศล อัพยากตเหตุ ๓ เป็น
อัพยากฤต
กวฬิงการาหารเป็นอัพยากฤต อาหาร ๓ ที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอกุศลก็มี
ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
ผัสสะ ๖ เป็นอัพยากฤต มโนวิญญาณธาตุสัมผัสที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็น
อกุศลก็มี ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
เวทนา ๖ สัญญา ๖ เจตนา ๖ และจิต ๖ เป็นอัพยากฤต มโนวิญญาณธาตุ
ที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอกุศลก็มี ที่เป็นอัพยากฤตก็มี

๒. เวทนาติกะ
[๑๐๓๙] บรรดาขันธ์ ๕ ขันธ์เท่าไรสัมปยุตด้วยสุขเวทนา เท่าไรสัมปยุต
ด้วยทุกขเวทนา เท่าไรสัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา ฯลฯ บรรดาจิต ๗ จิตเท่าไร
สัมปยุตด้วยสุขเวทนา เท่าไรสัมปยุตด้วยทุกขเวทนา เท่าไรสัมปยุตด้วยอทุกขม-
สุขเวทนา
ขันธ์ ๒ กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยสุขเวทนา สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา หรือ
สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา ขันธ์ ๓ ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี ที่สัมปยุตด้วย
ทุกขเวทนาก็มี ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๘๑ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๘.ธัมมหทยวิภังค์] ๑๐.ติกาทิทัสสนวาร ๒.เวทนาติกะ
อายตนะ ๑๐ กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยสุขเวทนา สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา
หรือสัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา มนายตนะที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี ที่สัมปยุต
ด้วยทุกขเวทนาก็มี ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี ธัมมายตนะที่สัมปยุตด้วย
สุขเวทนาก็มี ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็มี ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี ที่
กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยสุขเวทนา สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา หรือสัมปยุตด้วย
อทุกขมสุขเวทนาก็มี (๒)
ธาตุ ๑๐ กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยสุขเวทนา สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา หรือ
สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา ธาตุ ๕ สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา กายวิญญาณ-
ธาตุที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็มี มโนวิญญาณธาตุที่
สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็มี ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุข-
เวทนาก็มี ธัมมธาตุที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็มี ที่
สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยสุขเวทนา สัมปยุต
ด้วยทุกขเวทนา หรือสัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี (๓)
สัจจะ ๒ ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี
นิโรธสัจกล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยสุขเวทนา สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา หรือสัมปยุต
ด้วยอทุกขมสุขเวทนา ทุกขสัจที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา
ก็มี ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยสุขเวทนา
สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา หรือสัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี (๔)
อินทรีย์ ๑๒ กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยสุขเวทนา สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา
หรือสัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา อินทรีย์ ๖ ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี ที่
สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี อินทรีย์ ๓ ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี ที่
สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็มี ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี ชีวิตินทรีย์ที่
สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็มี ที่สัมปยุตด้วยอทุกขม-
สุขเวทนาก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยสุขเวทนา สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา หรือ
สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี (๕)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๘๒ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๘.ธัมมหทยวิภังค์] ๑๐.ติกาทิทัสสนวาร ๓.วิปากติกะ
อกุศลเหตุคือโทสะสัมปยุตด้วยทุกขเวทนา เหตุ ๗ ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี
ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี อกุศลเหตุคือโมหะที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี
ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็มี ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี (๖)
กวฬิงการาหารกล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยสุขเวทนา สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา
หรือสัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา อาหาร ๓ ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี ที่สัมปยุต
ด้วยทุกขเวทนาก็มี ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี (๗)
ผัสสะ ๕ สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา กายวิญญาณธาตุสัมผัสที่สัมปยุต
ด้วยสุขเวทนาก็มี ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็มี มโนวิญญาณธาตุสัมผัสที่สัมปยุต
ด้วยสุขเวทนาก็มี ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็มี ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา
ก็มี (๘)
เวทนา ๗ กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยสุขเวทนา สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา
หรือสัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา
สัญญา ๕ เจตนา ๕ และจิต ๕ สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา
กายวิญญาณธาตุที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็มี
มโนวิญญาณธาตุที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็มี ที่สัมปยุต
ด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี (๙-๑๒)

๓. วิปากติกะ
[๑๐๔๐] บรรดาขันธ์ ๕ ขันธ์เท่าไรเป็นวิบาก เท่าไรเป็นเหตุให้เกิดวิบาก
เท่าไรไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบาก ฯลฯ บรรดาจิต ๗ จิตเท่าไรเป็น
วิบาก เท่าไรเป็นเหตุให้เกิดวิบาก เท่าไรไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบาก
รูปขันธ์ไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบาก ขันธ์ ๔ ที่เป็นวิบากก็มี ที่
เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี ที่ไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี (๑)
อายตนะ ๑๐ ไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบาก อายตนะ ๒ ที่เป็น
วิบากก็มี ที่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี ที่ไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบาก
ก็มี (๒)


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๘๓ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๘.ธัมมหทยวิภังค์] ๑๐.ติกาทิทัสสนวาร ๔.อุปาทินนติกะ
ธาตุ ๑๐ ไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบาก ธาตุ ๕ เป็นวิบาก มโน-
ธาตุที่เป็นวิบากก็มี ที่ไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี ธาตุ ๒ ที่เป็นวิบาก
ก็มี ที่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี ที่ไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี (๓)
สัจจะ ๒ เป็นเหตุให้เกิดวิบาก นิโรธสัจไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบาก
ทุกขสัจที่เป็นวิบากก็มี ที่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี ที่ไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุให้
เกิดวิบากก็มี (๔)
อินทรีย์ ๗ ไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบาก อินทรีย์ ๓ เป็นวิบาก
อินทรีย์ ๒ เป็นเหตุให้เกิดวิบาก อัญญินทรีย์ที่เป็นวิบากก็มี ที่เป็นเหตุให้เกิด
วิบากก็มี อินทรีย์ ๙ ที่เป็นวิบากก็มี ที่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี ที่ไม่เป็นวิบาก
และไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี (๕)
เหตุ ๖ เป็นเหตุให้เกิดวิบาก อัพยากตเหตุ ๓ ที่เป็นวิบากก็มี ที่ไม่เป็น
วิบากและไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี (๖)
กวฬิงการาหารไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบาก อาหาร ๓ ที่เป็นวิบาก
ก็มี ที่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี ที่ไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี
ผัสสะ ๕ เป็นวิบาก มโนธาตุสัมผัสที่เป็นวิบากก็มี ที่ไม่เป็นวิบากและไม่เป็น
เหตุให้เกิดวิบากก็มี มโนวิญญาณธาตุสัมผัสที่เป็นวิบากก็มี ที่เป็นเหตุให้เกิดวิบาก
ก็มี ที่ไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี
เวทนา ๕ สัญญา ๕ เจตนา ๕ และจิต ๕ เป็นวิบาก
มโนธาตุที่เป็นวิบากก็มี ที่ไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี
มโนวิญญาณธาตุที่เป็นวิบากก็มี ที่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี ที่ไม่เป็นวิบาก
และไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี (๗-๑๒)

๔. อุปาทินนติกะ
[๑๐๔๑] บรรดาขันธ์ ๕ ขันธ์เท่าไรที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิ
ยึดถือและเป็นอารมณ์ของอุปาทาน เท่าไรที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิ
ไม่ยึดถือแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน เท่าไรที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิ
ไม่ยึดถือและไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน ฯลฯ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๘๔ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๘.ธัมมหทยวิภังค์] ๑๐.ติกาทิทัสสนวาร ๔.อุปาทินนติกะ
บรรดาจิต ๗ จิตเท่าไรที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือและเป็น
อารมณ์ของอุปาทาน เท่าไรที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือแต่เป็น
อารมณ์ของอุปาทาน เท่าไรที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือและไม่
เป็นอารมณ์ของอุปาทาน
รูปขันธ์ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือและเป็นอารมณ์ของ
อุปาทานก็มี ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือแต่เป็นอารมณ์ของ
อุปาทานก็มี ขันธ์ ๔ ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือและเป็นอารมณ์
ของอุปาทานก็มี ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือแต่เป็นอารมณ์ของ
อุปาทานก็มี ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือและไม่เป็นอารมณ์ของ
อุปาทานก็มี (๑)
อายตนะ ๕ กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือและเป็นอารมณ์ของ
อุปาทาน สัททายตนะกรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือแต่เป็นอารมณ์
ของอุปาทาน อายตนะ ๔ ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือและเป็น
อารมณ์ของอุปาทานก็มี ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือแต่เป็น
อารมณ์ของอุปาทานก็มี อายตนะ ๒ ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึด
ถือและเป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึด
ถือแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือ
และไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี (๒)
ธาตุ ๑๐ กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือและเป็นอารมณ์ของ
อุปาทาน สัททธาตุกรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือแต่เป็นอารมณ์ของ
อุปาทาน ธาตุ ๕ ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือและเป็นอารมณ์
ของอุปาทานก็มี ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือแต่เป็นอารมณ์ของ
อุปาทานก็มี ธาตุ ๒ ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือและเป็นอารมณ์
ของอุปาทานก็มี ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือแต่เป็นอารมณ์
ของอุปาทานก็มี ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือและไม่เป็นอารมณ์
ของอุปาทานก็มี (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๘๕ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๘.ธัมมหทยวิภังค์] ๑๐.ติกาทิทัสสนวาร ๔.อุปาทินนติกะ
สมุทยสัจ กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือแต่เป็นอารมณ์ของ
อุปาทาน สัจจะ ๒ ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือและไม่เป็น
อารมณ์ของอุปาทาน ทุกขสัจที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือและเป็น
อารมณ์ของอุปาทานก็มี ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือแต่เป็น
อารมณ์ของอุปาทานก็มี (๔)
อินทรีย์ ๙ กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือและเป็นอารมณ์ของ
อุปาทาน โทมนัสสินทรีย์กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือแต่เป็น
อารมณ์ของอุปาทาน อินทรีย์ ๓ กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือ
และไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน อินทรีย์ ๙ ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและ
ทิฏฐิยึดถือและเป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและ
ทิฏฐิไม่ยึดถือแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและ
ทิฏฐิไม่ยึดถือและไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี
อกุศลเหตุ ๓ กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือแต่เป็นอารมณ์
ของอุปาทาน กุศลเหตุ ๓ ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือแต่เป็น
อารมณ์ของอุปาทานก็มี ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือและไม่
เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี อัพยากตเหตุ ๓ ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและ
ทิฏฐิยึดถือและเป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและ
ทิฏฐิไม่ยึดถือแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและ
ทิฏฐิไม่ยึดถือและไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี (๕)
กวฬิงการาหารที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือและเป็นอารมณ์ของ
อุปาทานก็มี ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือแต่เป็นอารมณ์ของ
อุปาทานก็มี อาหาร ๓ ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือและเป็น
อารมณ์ของอุปาทานก็มี ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือแต่เป็น
อารมณ์ของอุปาทานก็มี ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือและไม่
เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี (๖)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๘๖ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๘.ธัมมหทยวิภังค์] ๑๐.ติกาทิทัสสนวาร ๕.วิตักกติกะ
ผัสสะ ๕ กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือและเป็นอารมณ์ของ
อุปาทาน มโนธาตุสัมผัสที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือและเป็น
อารมณ์ของอุปาทานก็มี ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือแต่
เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี มโนวิญญาณธาตุสัมผัสที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหา
และทิฏฐิยึดถือและเป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและ
ทิฏฐิไม่ยึดถือแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและ
ทิฏฐิไม่ยึดถือและไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี
เวทนา ๕ สัญญา ๕ เจตนา ๕ และจิต ๕ กรรมอันประกอบด้วยตัณหา
และทิฏฐิยึดถือและเป็นอารมณ์ของอุปาทาน มโนธาตุที่กรรมอันประกอบด้วย
ตัณหาและทิฏฐิยึดถือและเป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี ที่กรรมอันประกอบด้วย
ตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี มโนวิญญาณธาตุที่กรรม
อันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือและเป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี ที่กรรมอัน
ประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี ที่กรรมอัน
ประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือและไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี (๗-๑๒)

๕. วิตักกติกะ
[๑๐๔๒] บรรดาขันธ์ ๕ ขันธ์เท่าไรมีทั้งวิตกและวิจาร เท่าไรไม่มีวิตกมีเพียง
วิจาร เท่าไรไม่มีทั้งวิตกและวิจาร ฯลฯ บรรดาจิต ๗ จิตเท่าไรมีทั้งวิตกและวิจาร
เท่าไรไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร เท่าไรไม่มีทั้งวิตกและวิจาร
รูปขันธ์ ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร ขันธ์ ๓ ที่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี ที่ไม่มีวิตก
มีเพียงวิจารก็มี ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี สังขารขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี ที่
ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารก็มี ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า มีทั้งวิตกและ
วิจาร ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร หรือไม่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี (๑)
อายตนะ ๑๐ ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร มนายตนะที่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี ที่ไม่
มีวิตกมีเพียงวิจารก็มี ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี ธัมมายตนะที่มีทั้งวิตกและวิจาร
ก็มี ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารก็มี ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า มีทั้ง
วิตกและวิจาร ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร หรือไม่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี (๒)


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๘๗ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๘.ธัมมหทยวิภังค์] ๑๐.ติกาทิทัสสนวาร ๑. รูปทุกะ
ธาตุ ๑๕ ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร มโนธาตุมีทั้งวิตกและวิจาร มโนวิญญาณ-
ธาตุที่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารก็มี ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี
ธัมมธาตุที่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารก็มี ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร
ก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า มีทั้งวิตกและวิจาร ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร หรือไม่มีทั้งวิตกและ
วิจารก็มี (๓)
สมุทยสัจมีทั้งวิตกและวิจาร นิโรธสัจไม่มีทั้งวิตกและวิจาร มัคคสัจที่มีทั้งวิตก
และวิจารก็มี ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารก็มี ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี ทุกขสัจที่มีทั้ง
วิตกและวิจารก็มี ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารก็มี ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี ที่กล่าวไม่
ได้ว่า มีทั้งวิตกและวิจาร ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร หรือไม่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี (๔)
อินทรีย์ ๙ ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร โทมนัสสินทรีย์มีทั้งวิตกและวิจาร
อุเปกขินทรีย์ที่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี อินทรีย์ ๑๑ ที่มี
ทั้งวิตกและวิจารก็มี ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารก็มี ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี (๕)
อกุศลเหตุ ๓ มีทั้งวิตกและวิจาร เหตุ ๖ ที่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี ที่ไม่มี
วิตกมีเพียงวิจารก็มี ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี
กวฬิงการาหารไม่มีทั้งวิตกและวิจาร อาหาร ๓ ที่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี ที่
ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารก็มี ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี
ผัสสะ ๕ ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร มโนธาตุสัมผัสมีทั้งวิตกและวิจาร มโน-
วิญญาณธาตุสัมผัสที่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารก็มี ที่ไม่มีทั้ง
วิตกและวิจารก็มี
เวทนา ๕ สัญญา ๕ เจตนา ๕ และจิต ๕ ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร
มโนธาตุ มีทั้งวิตกและวิจาร มโนวิญญาณธาตุที่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี ที่ไม่มีวิตก
มีเพียงวิจารก็มี ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี (๖-๑๒)

๑. รูปทุกะ
[๑๐๔๓] บรรดาขันธ์ ๕ ขันธ์เท่าไรเป็นรูป เท่าไรไม่เป็นรูป ฯลฯ บรรดา
จิต ๗ จิตเท่าไรเป็นรูป เท่าไรไม่เป็นรูป

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๘๘ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๘.ธัมมหทยวิภังค์] ๑๐.ติกาทิทัสสนวาร ๒.โลกิยทุกะ
รูปขันธ์เป็นรูป ขันธ์ ๔ ไม่เป็นรูป
อายตนะ ๑๐ เป็นรูป มนายตนะไม่เป็นรูป ธัมมายตนะที่เป็นรูปก็มี ที่ไม่
เป็นรูปก็มี
ธาตุ ๑๐ เป็นรูป ธาตุ ๗ ไม่เป็นรูป ธัมมธาตุที่เป็นรูปก็มี ที่ไม่เป็นรูปก็มี
สัจจะ ๓ ไม่เป็นรูป ทุกขสัจที่เป็นรูปก็มี ที่ไม่เป็นรูปก็มี
อินทรีย์ ๗ เป็นรูป อินทรีย์ ๑๔ ไม่เป็นรูป ชีวิตินทรีย์ที่เป็นรูปก็มี ที่ไม่
เป็นรูปก็มี
เหตุ ๙ ไม่เป็นรูป
กวฬิงการาหารเป็นรูป อาหาร ๓ ไม่เป็นรูป
ผัสสะ ๗ ไม่เป็นรูป
เวทนา ๗ สัญญา ๗ เจตนา ๗ และจิต ๗ ไม่เป็นรูป

๒. โลกิยทุกะ
[๑๐๔๔] บรรดาขันธ์ ๕ ขันธ์เท่าไรเป็นโลกิยะ เท่าไรเป็นโลกุตตระ บรรดา
อายตนะ ๑๒ อายตนะเท่าไรเป็นโลกิยะ เท่าไรเป็นโลกุตตระ บรรดาธาตุ ๑๘
ธาตุเท่าไรเป็นโลกิยะ เท่าไรเป็นโลกุตตระ
บรรดาสัจจะ ๔ สัจจะเท่าไรเป็นโลกิยะ เท่าไรเป็นโลกุตตระ ฯลฯ บรรดาจิต
๗ จิตเท่าไรเป็นโลกิยะ เท่าไรเป็นโลกุตตระ
รูปขันธ์เป็นโลกิยะ ขันธ์ ๔ ที่เป็นโลกิยะก็มี ที่เป็นโลกุตตระก็มี
อายตนะ ๑๐ เป็นโลกิยะ อายตนะ ๒ ที่เป็นโลกิยะก็มี ที่เป็นโลกุตตระก็มี
ธาตุ ๑๖ เป็นโลกิยะ ธาตุ ๒ ที่เป็นโลกิยะก็มี ที่เป็นโลกุตตระก็มี
สัจจะ ๒ เป็นโลกิยะ สัจจะ ๒ เป็นโลกุตตระ
อินทรีย์ ๑๐ เป็นโลกิยะ อินทรีย์ ๓ เป็นโลกุตตระ อินทรีย์ ๙ ที่เป็นโลกิยะ
ก็มี ที่เป็นโลกุตตระก็มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๘๙ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๘.ธัมมหทยวิภังค์] ๑๐.ติกาทิทัสสนวาร ๒.โลกิยทุกะ
อกุศลเหตุ ๓ เป็นโลกิยะ เหตุ ๖ ที่เป็นโลกิยะก็มี ที่เป็นโลกุตตระก็มี
กวฬิงการาหารเป็นโลกิยะ อาหาร ๓ ที่เป็นโลกิยะก็มี ที่เป็นโลกุตตระก็มี
ผัสสะ ๖ เป็นโลกิยะ มโนวิญญาณธาตุสัมผัสที่เป็นโลกิยะก็มี ที่เป็นโลกุตตระ
ก็มี
เวทนา ๖ เป็นโลกิยะ เวทนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ที่เป็นโลกิยะก็มี
ที่เป็นโลกุตตระก็มี
สัญญา ๖ เป็นโลกิยะ สัญญาเกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัสที่เป็นโลกิยะก็มี
ที่เป็นโลกุตตระก็มี
เจตนา ๖ เป็นโลกิยะ เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัสที่เป็นโลกิยะก็มี
ที่เป็นโลกุตตระก็มี
จิต ๖ เป็นโลกิยะ มโนวิญญาณธาตุที่เป็นโลกิยะก็มี ที่เป็นโลกุตตระก็มี

สรุปหัวข้อธรรมที่แสดงมา
อภิญญา สารัมมณะ ๒ ทิฏฐะ กุสละ เวทนา
วิปากะ อุปาทินนะ วิตักกะ รูป และโลกิยะ ฉะนี้แล

ธัมมหทยวิภังค์ จบบริบูรณ์

วิภังคปกรณ์ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๙๐ }


พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๕ อภิธรรมปิฎกที่ ๐๒ วิภังค์ จบ





eXTReMe Tracker