ค้นว่าอยู่เล่มใด แล้วกด [ctrl]+f หรือใช้คำสั่งของเครื่องหาตำแหน่งในเล่มอีกทีนะครับ



จัดรูปหน้าใหม่
เพื่อความสะดวก และสวยงาม
(เฉพาะหน้าจอใหญ่ เช่น คอมพิวเตอร์)
กรุณาคลิก จัดรูปหน้าใหม่
เพื่อให้กรอบ
ค้นข้อความ ปรากฎที่ด้านซ้ายของหน้า

พระไตรปิฎกภาษาไทย
ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ๔๕ เล่ม (ปกสีฟ้า)
ทั้งออนไลน์และออฟไลน์
ที่มาของข้อมูล : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับ มจร.
MCUTRAI Version 1.0

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๓-๔ สุตตันตปิฎกที่ ๒๕ ขุททกนิกาย
อปทาน ภาค ๒ พุทธวงศ์ จริยาปิฎก

พระสุตตันตปิฎก
ขุททกนิกาย พุทธวงศ์
_____________
ขอนอบน้อมพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒. สุเมธกถา
[๑๒๔] ท่านจงบำเพ็ญศีลในภูมิทั้ง ๔๑
รักษาศีลให้บริบูรณ์ในกาลทุกเมื่อ
ดุจจามรีรักษาขนหาง ฉันนั้น’
[๑๒๕] แต่พุทธธรรมเหล่านี้จักมีเพียงเท่านี้ก็หามิได้
เราจักค้นหาธรรมที่เป็นเครื่องบ่มพระโพธิญาณอย่างอื่นต่อไป
[๑๒๖] ครั้งนั้น เมื่อเราค้นหาอยู่ ได้เห็นเนกขัมมบารมีเป็นข้อที่ ๓
ที่ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ทั้งหลายในปางก่อน
ได้อบรมสั่งสมมา จึงเตือนตนเองว่า
[๑๒๗] ‘ท่านจงยึดเนกขัมมบารมีข้อที่ ๓ นี้ บำเพ็ญให้มั่นคงก่อน
ถ้าท่านปรารถนาจะบรรลุพระโพธิญาณ
ท่านจงบำเพ็ญเนกขัมมบารมีเถิด
[๑๒๘] คนที่ถูกขังอยู่ในเรือนจำ ได้รับทุกข์มานาน
ย่อมไม่เกิดความยินดีในเรือนจำนั้น
มีแต่จะหาช่องทางที่จะพ้นออกไป ฉันใด
[๑๒๙] ท่านจงเห็นภพทั้งปวงดุจเรือนจำ
จงมุ่งหน้าต่อเนกขัมมะเพื่อหลุดพ้นไปจากภพ ฉันนั้นเถิด’
[๑๓๐] แต่พุทธธรรมเหล่านี้จักมีเพียงเท่านี้ก็หามิได้
เราจักค้นหาธรรมที่เป็นเครื่องบ่มพระโพธิญาณอย่างอื่นต่อไป
[๑๓๑] ครั้งนั้น เมื่อเราค้นหาอยู่ ได้เห็นปัญญาบารมีเป็นข้อที่ ๔
ที่ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ทั้งหลายในปางก่อน
ได้อบรมสั่งสมมา จึงเตือนตนเองว่า

เชิงอรรถ :
๑ ศีลในภูมิทั้ง ๔ ในที่นี้ ได้แก่ ปาฏิโมกขสังวรศีล อินทรียสังวรศีล อาชีวปาริสุทธิศีล และปัจจเวกขณศีล
(ขุ.พุทฺธ.อ.๑๒๔/๑๕๘)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๕๘๔ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒. สุเมธกถา
[๑๓๒] ‘ท่านจงยึดปัญญาบารมีข้อที่ ๔ นี้ บำเพ็ญให้มั่นคงก่อน
ถ้าท่านปรารถนาจะบรรลุพระโพธิญาณ
ท่านก็จงบำเพ็ญปัญญาบารมีเถิด
[๑๓๓] ภิกษุเมื่อเที่ยวบิณฑบาต
มิได้เว้นว่าจะเป็นตระกูลชั้นต่ำ ชั้นกลาง หรือชั้นสูง
ย่อมได้อาหารพอยังอัตภาพให้เป็นไปได้ ฉันใด
[๑๓๔] ท่านเมื่อสอบถามคนมีความรู้ตลอดกาลทั้งปวง
บำเพ็ญปัญญาบารมีไปเถิด
แล้วจักบรรลุสัมโพธิญาณได้ ฉันนั้น’
[๑๓๕] แต่พุทธธรรมเหล่านี้จักมีเพียงเท่านี้ก็หามิได้
เราจักค้นหาธรรมที่เป็นเครื่องบ่มพระโพธิญาณอย่างอื่นต่อไป
[๑๓๖] ครั้งนั้น เมื่อเราค้นหาอยู่ ได้เห็นวิริยบารมีเป็นข้อที่ ๕
ที่ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ทั้งหลายในปางก่อน
ได้อบรมสั่งสมมา จึงเตือนตนเองว่า
[๑๓๗] ‘ท่านจงยึดวิริยบารมีข้อที่ ๕ นี้ บำเพ็ญให้มั่นคงก่อน
ถ้าท่านปรารถนาจะบรรลุพระโพธิญาณ
ท่านก็จงบำเพ็ญวิริยบารมีเถิด
[๑๓๘] ราชสีห์พญาเนื้อมีความเพียรไม่ย่อหย่อน
ทั้งในขณะหมอบ ยืน และเดิน ประคองใจไว้ทุกเมื่อ ฉันใด
[๑๓๙] ท่านจงประคองความเพียรให้มั่นคงทุกภพทุกชาติ
บำเพ็ญวิริยบารมีไปเกิด
แล้วจักบรรลุสัมโพธิญาณได้ ฉันนั้น’
[๑๔๐] แต่พุทธธรรมเหล่านี้จักมีเพียงเท่านี้ก็หามิได้
เราจักค้นหาธรรมที่เป็นเครื่องบ่มพระโพธิญาณอย่างอื่นต่อไป

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๕๘๕ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒. สุเมธกถา
[๑๔๑] ครั้งนั้น เมื่อเราค้นหาอยู่ ได้เห็นขันติบารมีเป็นข้อที่ ๖
ที่ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ทั้งหลายในปางก่อน
ได้อบรมสั่งสมมา จึงเตือนตนเองว่า
[๑๔๒] ‘ท่านจงยึดขันติบารมีข้อที่ ๖ นี้ บำเพ็ญให้มั่นคงก่อน
ท่านมีใจแน่วแน่(ไม่เป็นสอง)ในขันติบารมีนั้น
จักบรรลุสัมโพธิญาณได้
[๑๔๓] ธรรมดาแผ่นดินย่อมทนทานต่อสิ่งที่เขาทิ้งลงทุกอย่าง
ทั้งที่สะอาดและไม่สะอาด
ไม่ทำความยินดีและความขัดเคือง แม้ฉันใด
[๑๔๔] ถึงท่านก็ฉันนั้นเหมือนกัน อดทนต่อการยกย่อง
และการดูหมิ่นของคนทั้งปวง
บำเพ็ญขันติบารมีแล้วจักบรรลุสัมโพธิญาณได้’
[๑๔๕] แต่พุทธธรรมเหล่านี้จักมีเพียงเท่านี้ก็หามิได้
เราจักค้นหาธรรมที่เป็นเครื่องบ่มพระโพธิญาณอย่างอื่นต่อไป
[๑๔๖] ครั้งนั้น เมื่อเราค้นหาอยู่ ได้เห็นสัจจบารมีเป็นข้อที่ ๗
ที่ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ทั้งหลายในปางก่อน
ได้อบรมสั่งสมมา จึงเตือนตนเองว่า
[๑๔๗] ‘ท่านจงยึดสัจจบารมีข้อที่ ๗ นี้ บำเพ็ญให้มั่นคงก่อน
ท่านมีคำพูดที่แน่นอน(ไม่เป็นสอง)ในสัจจบารมีนั้น
จักบรรลุสัมโพธิญาณได้
[๑๔๘] ธรรมดาว่าดาวประกายพรึก
เป็นดาวนพเคราะห์ที่เที่ยงตรงในโลกพร้อมทั้งเทวโลก
ย่อมไม่เคลื่อนไปจากวิถีโคจร ไม่ว่าจะเป็นฤดูร้อน
ฤดูหนาว หรือฤดูฝน แม้ฉันใด

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๕๘๖ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒. สุเมธกถา
[๑๔๙] ถึงท่านก็ฉันนั้นเหมือนกัน
จงอย่าถอยกลับไปจากทาง(ที่ถูกต้องมั่นคง)
ในสัจจะทั้งหลาย บำเพ็ญสัจจบารมีแล้ว
จักบรรลุสัมโพธิญาณได้’
[๑๕๐] แต่พุทธธรรมเหล่านี้จักมีเพียงเท่านี้ก็หามิได้
เราจักค้นหาธรรมที่เป็นเครื่องบ่มพระโพธิญาณอย่างอื่นต่อไป
[๑๕๑] ครั้งนั้น เมื่อเราค้นหาอยู่ ได้เห็นอธิษฐานบารมีเป็นข้อที่ ๘
ที่ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ทั้งหลายในปางก่อน
ได้อบรมสั่งสมมา จึงเตือนตนเองว่า
[๑๕๒] ‘ท่านจงยึดอธิษฐานบารมีข้อที่ ๘ นี้ บำเพ็ญให้มั่นคงก่อน
ท่านเป็นผู้ไม่หวั่นไหวในอธิษฐานบารมีนั้นแล้ว
จักบรรลุสัมโพธิญาณได้
[๑๕๓] ภูผาไม่หวั่นไหว ตั้งมั่นไม่สะเทือนเพราะลมแรง
คงตั้งอยู่ในที่เดิมนั่นเอง แม้ฉันใด
[๑๕๔] ท่านก็ฉันนั้นเหมือนกัน
จงเป็นผู้ไม่หวั่นไหวในอธิษฐานบารมีทุกเมื่อ
บำเพ็ญอธิษฐานบารมีแล้ว
จักบรรลุสัมโพธิญาณได้’
[๑๕๕] แต่พุทธธรรมเหล่านี้จักมีเพียงเท่านี้ก็หามิได้
เราจักค้นหาธรรมที่เป็นเครื่องบ่มพระโพธิญาณอย่างอื่นต่อไป
[๑๕๖] ครั้งนั้น เมื่อเราค้นหาอยู่ ได้เห็นเมตตาบารมีเป็นข้อที่ ๙
ที่ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ทั้งหลายในปางก่อน
ได้อบรมสั่งสมมา จึงเตือนตนเองว่า
[๑๕๗] ‘ท่านจงยึดเมตตาบารมีข้อที่ ๙ นี้ บำเพ็ญให้มั่นคงก่อน
ถ้าท่านปรารถนาจะบรรลุพระโพธิญาณ
ท่านก็จงเป็นผู้ไม่มีใครเสมอในเมตตาบารมี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๕๘๗ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒. สุเมธกถา
[๑๕๘] ธรรมดาน้ำย่อมแผ่ความเย็น
ชำระล้างมลทินคือธุลีเสมอกัน
ทั้งในคนดีและคนชั่ว แม้ฉันใด
[๑๕๙] ท่านก็ฉันนั้นเหมือนกัน จงเจริญเมตตาให้เสมอกัน
ทั้งในคนที่เกื้อกูลกันและในคนที่ไม่ได้เกื้อกูลกัน
บำเพ็ญเมตตาบารมีแล้ว
จักบรรลุสัมโพธิญาณได้
[๑๖๐] แต่พุทธธรรมเหล่านี้จักมีเพียงเท่านี้ก็หามิได้
เราจักค้นหาธรรมที่เป็นเครื่องบ่มพระโพธิญาณอย่างอื่นต่อไป
[๑๖๑] ครั้งนั้น เมื่อเราค้นหาอยู่ ได้เห็นอุเบกขาบารมีเป็นข้อที่ ๑๐
ที่ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ทั้งหลายในปางก่อน
ได้อบรมสั่งสมมา จึงเตือนตนเองว่า
[๑๖๒] ‘ท่านจงยึดอุเบกขาบารมีข้อที่ ๑๐ นี้ บำเพ็ญให้มั่นคงก่อน
ท่านเป็นผู้มีอุเบกขาเที่ยงตรง มั่นคง
จักบรรลุสัมโพธิญาณได้
[๑๖๓] ธรรมดาแผ่นดินย่อมวางเฉยในสิ่งที่เขาทิ้งลงทั้งสะอาด
และไม่สะอาด ทั้ง ๒ อย่าง เว้นความโกรธและความยินดี แม้ฉันใด
[๑๖๔] ท่านก็ฉันนั้นเหมือนกัน
จงมีใจเที่ยงตรงในสุขและทุกข์ในกาลทุกเมื่อ
บำเพ็ญอุเบกขาบารมีแล้ว
จักบรรลุสัมโพธิญาณได้
[๑๖๕] ธรรมที่เป็นเครื่องบ่มพระโพธิญาณ
มีอยู่ในโลกเพียงเท่านี้ นอกจากนี้ยิ่งกว่านั้นไม่มี
ท่านจงตั้งมั่นอยู่ในธรรมนั้นเถิด’
[๑๖๖] เมื่อเราพิจารณาเห็นธรรมเหล่านี้
พร้อมทั้งกิจและลักษณะอันเป็นภาวะของตน

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๕๘๘ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒. สุเมธกถา
พื้นพสุธาโลกธาตุมีหมื่นจักรวาล
ก็ไหวด้วยเดชแห่งธรรม
[๑๖๗] ปฐพีไหวสะเทือนเลื่อนลั่นเหมือนยนต์หีบอ้อย
เมทนีดลหวั่นไหวเหมือนล้อที่หีบน้ำมัน
[๑๖๘] บริษัทประมาณเท่าใด มีอยู่ในบริเวณรอบ ๆ พระพุทธเจ้า
บริษัทประมาณเท่านั้น สั่นเทานอนสลบอยู่บนภาคพื้นที่บริเวณนั้น
[๑๖๙] หม้อน้ำหลายพันหม้อ หม้อข้าวหลายร้อยหม้อ
หม้อใส่กระแจะและหม้อที่ใส่เปรียงในที่นั้น
ต่างก็กระทบกันและกัน
[๑๗๐] มหาชนหวาดเสียว สะดุ้งกลัว ตื่นตระหนก
มีใจหวาดหวั่น ประชุมกัน
พากันเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าพระนามว่าทีปังกร
[๑๗๑] ทูลถามว่า ‘อะไรจักมีแก่ชาวโลก
เป็นเหตุดีหรือเหตุร้าย
ชาวโลกทั้งปวงถูกเบียดเบียน
ข้าแต่พระองค์ผู้มีพระจักษุ
ขอพระองค์ได้โปรดบรรเทาภัยที่เบียดเบียนนั้นเถิด’
[๑๗๒] ครั้งนั้น พระพุทธเจ้าพระนามว่าทีปังกร
ทรงเป็นพระมหามุนี ทรงแจ้งให้มหาชนได้เข้าใจว่า
‘ในการที่พสุธาไหวครั้งนี้ ท่านทั้งหลายจงเบาใจเถิด
อย่าตกใจกลัวเลย
[๑๗๓] วันนี้เราพยากรณ์ผู้ใดว่าจักเป็นพระพุทธเจ้าในโลก
ผู้นั้นพิจารณาเห็นธรรมที่พระชินเจ้าทรงอบรมสั่งสมมาก่อน
[๑๗๔] เมื่อผู้นั้นพิจารณาธรรมซึ่งเป็นพุทธภูมิโดยไม่มีเหลือ
เพราะเหตุนั้น ปฐพีโลกธาตุมีหมื่นจักรวาล
ในโลกพร้อมทั้งเทวโลกจึงไหวแล้ว’

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๕๘๙ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒. สุเมธกถา
[๑๗๕] ขณะนั้น มหาชนได้ฟังพระดำรัสแล้ว
ก็เกิดความสบายใจขึ้น
ทุกคนพากันมาหาเราแล้วอภิวาทอีก
[๑๗๖] ครั้งนั้น เรายึดพระพุทธคุณ ทำใจให้มั่นคง
นมัสการพระพุทธเจ้าพระนามว่าทีปังกรแล้วลุกจากอาสนะ
[๑๗๗] ชน ๒ ฝ่าย คือ เทพถือดอกไม้ทิพย์
หมู่มนุษย์ถือดอกไม้ที่เป็นของมนุษย์
ต่างโปรยปรายดอกไม้ทั้งหลายเพื่อเราผู้ลุกจากอาสนะ
[๑๗๘] อนึ่ง เทพและมนุษย์ทั้ง ๒ ฝ่ายเหล่านั้น
ต่างก็ประกาศความสวัสดีว่า
‘ท่านปรารถนาตำแหน่งอันใหญ่หลวง
ขอท่านได้ตำแหน่งนั้นตามความปรารถนาเถิด
[๑๗๙] เสนียดจัญไรทั้งปวงจงอย่ามี
ความโศกและโรคจงอย่ามี
อันตรายจงอย่ามีแก่ท่าน
ขอให้ท่านได้บรรลุพระโพธิญาณ๑อันประเสริฐเร็วพลันเถิด
[๑๘๐] เมื่อถึงฤดู (ที่ต้นไม้ผลิดอก) หมู่ไม้จำพวกที่มีดอก
ก็ผลิดอก ฉันใด
ท่านผู้มีความเพียรอันยิ่งใหญ่
ขอท่านจงผลิด้วยพระพุทธญาณ๒ ฉันนั้นเหมือนกันเถิด
[๑๘๑] พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์
ก็ได้ทรงบำเพ็ญบารมี ๑๐ ประการมาแล้วฉันใด

เชิงอรรถ :
๑ โพธิญาณ ในที่นี้ ได้แก่ อรหัตตมรรคญาณ หรือสัพพัญญุตญาณ (ขุ.พุทฺธ.อ. ๑๗๙/๑๗๗)
๒ พุทธญาณ ได้แก่ พุทธญาณ ๑๘ (ขุ.พุทธ.อ. ๑๘๐/๑๗๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๕๙๐ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒. สุเมธกถา
ท่านผู้มีความเพียรอันยิ่งใหญ่
ขอท่านจงบำเพ็ญบารมี ๑๐ ประการ ฉันนั้นเหมือนกันเถิด
[๑๘๒] พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์
ก็ได้ตรัสรู้ที่โพธิมัณฑ์ ฉันใด
ท่านผู้มีความเพียรอันยิ่งใหญ่
ขอท่านจงตรัสรู้ที่ต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้ของพระชินเจ้า
ฉันนั้นเหมือนกันเถิด
[๑๘๓] พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์
ก็ทรงประกาศพระธรรมจักรแล้ว ฉันใด
ท่านผู้มีความเพียรอันยิ่งใหญ่
ขอท่านจงประกาศพระธรรมจักร ฉันนั้นเหมือนกันเถิด
[๑๘๔] ดวงจันทร์ในวันเพ็ญเต็มดวงส่องสว่าง ฉันใด
ขอท่านผู้มีใจปรารถนาที่เต็มเปี่ยมแล้ว
จงรุ่งโรจน์(สว่างไสว)ในหมื่นจักรวาล
ฉันนั้นเหมือนกันเถิด
[๑๘๕] ดวงอาทิตย์พ้นจากราหูแล้ว
ย่อมไพโรจน์แจ่มจ้าด้วยแสงสว่าง ฉันใด
ขอท่านจงพ้นจากโลกธรรมแล้ว
แจ่มจ้าด้วยสิริ(แห่งพระพุทธเจ้า) ฉันนั้นเหมือนกันเถิด
[๑๘๖] แม่น้ำทุกสายไหลไปสู่ทะเลหลวง ฉันใด
ขอชาวโลกพร้อมทั้งเทวดาทั้งหลาย
จงพากันหลั่งไหลไปในสำนักของท่าน ฉันนั้นเหมือนกันเถิด’
[๑๘๗] ครั้งนั้น สุเมธดาบสนั้น อันทวยเทพและหมู่มนุษย์เหล่านั้น
ชมเชย สรรเสริญแล้ว สมาทานธรรม ๑๐ ประการ(บารมี ๑๐)
เมื่อจะบำเพ็ญธรรมเหล่านั้นให้บริบูรณ์ จึงเข้าไปยังป่าใหญ่
สุเมธกถา จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๕๙๑ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๑. ทีปังกรพุทธวงศ์
๓. พุทธวงศ์
๑. ทีปังกรพุทธวงศ์
ว่าด้วยพระประวัติของพระทีปังกรพุทธเจ้า
[๑] ครั้งนั้น ชนเหล่านั้นทูลนิมนต์พุทธเจ้าพระนามว่าทีปังกร
ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลกพร้อมทั้งภิกษุสงฆ์ให้เสวยและฉันแล้ว
ได้ถึงพระศาสดาพระนามว่าทีปังกรพระองค์นั้นเป็นสรณะ
[๒] พระตถาคตให้คนบางคนตั้งอยู่ในสรณคมน์
ให้คนบางคนตั้งอยู่ในศีล ๕ ให้คนบางคนตั้งอยู่ในศีล ๑๐
[๓] ทรงประทานสามัญผล๑ ๔ อันสูงสุดให้แก่คนบางคน
ทรงประทานธรรมที่ไม่มีธรรมอย่างอื่นเสมอเหมือน
คือปฏิสัมภิทาให้แก่คนบางคน
[๔] พระตถาคตผู้องอาจกว่านรชน
ทรงประทานสมาบัติที่ประเสริฐ ๘ ประการ๒ให้แก่คนบางคน
ทรงประทานวิชชา ๓ อภิญญา ๖ ให้แก่คนบางคน
[๕] พระมหามุนีย่อมตรัสสอนหมู่ชนตามลำดับนั้น
เพราะเหตุนั้นศาสนาของพระโลกนาถ
จึงแผ่ไปอย่างกว้างขวาง
[๖] พระศาสดาพระนามว่าทีปังกร
ผู้ทรงมีพระหนุใหญ่ และพระวรกายงดงาม
ทรงช่วยหมู่ชนให้ข้ามพ้นได้เป็นจำนวนมาก
ทรงปลดเปลื้องจากทุคติ

เชิงอรรถ :
๑ สามัญผล ๔ คือ โสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล อรหัตตผล (ที.ปา. (แปล) ๑๑/๓๑๑/๒๘๗)
๒ ดูเทียบ ขุ.ป. (แปล) ๓๑/๖๐/๖๙

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๕๙๒ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๑. ทีปังกรพุทธวงศ์
[๗] พระมหามุนีทรงเห็นชนที่ควรแนะนำให้ตรัสรู้ได้
แม้ในที่ไกลถึง ๑๐๐,๐๐๐ โยชน์
ก็เสด็จไปเพียงชั่วขณะเดียว ทรงช่วยผู้นั้นให้ตรัสรู้
[๘] ในการบรรลุธรรม(การตรัสรู้ธรรม) ครั้งที่ ๑
พระพุทธเจ้าทรงช่วยเทวดาและมนุษย์ ๑๐๐ โกฏิให้บรรลุธรรม
ในการบรรลุธรรมครั้งที่ ๒ พระผู้เป็นที่พึ่ง
ทรงช่วยเทวดาและมนุษย์ ๙๐ โกฏิให้บรรลุธรรม
[๙] และในคราวที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมในเทพพิภพ
ได้มีเทวดา ๙๐,๐๐๐ โกฏิ ได้บรรลุธรรมครั้งที่ ๓
[๑๐] พระศาสดาพระนามว่าทีปังกร
ได้มีการประชุมสาวก ๓ ครั้ง
สาวกประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ มาประชุมกันเป็นครั้งที่ ๑
[๑๑] เมื่อพระชินเจ้าประทับอยู่ในสถานที่อันสงัด ที่ยอดภูเขานารทะ
พระขีณาสพผู้ปราศจากมลทินประมาณ ๑๐๐ โกฏิ มาประชุมกัน
[๑๒] ในกาลใด พระมหาวีรเจ้าผู้ทรงเป็นพระมหามุนี
ทรงปวารณาออกพรรษา
พร้อมทั้งภิกษุสงฆ์ ๙๐,๐๐๐ โกฏิ ที่ยอดเขาสุทัสสนะ
สมัยนั้น เราเป็นชฎิลผู้มีตบะแก่กล้า
สำเร็จอภิญญา ๕๑ เหาะไปในอากาศได้
[๑๓] เทวดาและมนุษย์ประมาณ ๒๐๐,๐๐๐ ได้บรรลุธรรม
การบรรลุธรรมครั้งละองค์สององค์นับจำนวนไม่ถ้วน
[๑๔] ครั้งนั้น พระศาสนาของพระผู้มีพระภาคพระนามว่าทีปังกร
แผ่ไพศาล มีคนรู้มาก เจริญแพร่หลาย สะอาด บริสุทธิ์

เชิงอรรถ :
๑ อภิญญา ๕ ได้แก่ อภิญญาที่เป็นโลกิยะ (ขุ.อป.อ. ๒/๖-๗/๒๓๙, ที.สี. (แปล) ๙/๔๗๔-๘/๒๐๘)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๕๙๓ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๑. ทีปังกรพุทธวงศ์
[๑๕] ภิกษุประมาณ ๔๐๐,๐๐๐ รูป ล้วนได้อภิญญา ๖ มีฤทธิ์มาก
แวดล้อมพระผู้มีพระภาคพระนามว่าทีปังกร
ผู้ทรงรู้แจ้งโลกในกาลทั้งปวง
[๑๖] สมัยนั้น ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง
ไม่ได้บรรลุอรหัตตผล เป็นพระเสขะละมนุษยภูมิไป
ชนเหล่านั้นย่อมถูกติเตียน
[๑๗] ศาสนาแพร่หลาย งดงามด้วยพระอรหันตขีณาสพ
ผู้คงที่ ปราศจากมลทิน ในกาลทั้งปวง
[๑๘] เมืองชื่อว่ารัมมวดี กษัตริย์พระนามว่าสุเทพ เป็นพระชนก
พระเทวีพระนามว่าสุเมธาเป็นพระชนนี
ของพระศาสดาพระนามว่าทีปังกร
[๑๙] พระชินเจ้าทรงครองฆราวาสอยู่ ๒๐,๐๐๐ ปี
ทรงมีฝูงหงส์ นกกระเรียน นกยูงมากมาย
มีปราสาทที่อุดมอยู่ ๓ หลัง
[๒๐] มีนางสนมกำนัล ๓๐๐,๐๐๐ นาง
ล้วนประดับประดาสวยงาม
พระมเหสีพระนามว่าปทุมา
พระราชโอรสพระนามว่าอุสภขันธกุมาร
[๒๑] พระชินเจ้าทรงเห็นนิมิต ๔๑ ประการ
จึงทรงราชพาหนะคือช้างออกผนวชแล้ว
ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ ๑๐ เดือนเต็ม(จึงได้บรรลุพระโพธิญาณ)
[๒๒] ครั้นทรงบำเพ็ญความเพียรเสร็จแล้ว
ก็ได้ตรัสรู้สัมโพธิญาณ
พระมหามุนีพระนามว่าทีปังกร ผู้อันพรหมทูลอาราธนาแล้ว

เชิงอรรถ :
๑ นิมิต ๔ ได้แก่ (๑) คนแก่ (๒) คนเจ็บ (๓) คนตาย (๔) บรรพชิต (ที.ม. (แปล) ๑๐/๔๓-๕๒/๒๒-๓๐)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๕๙๔ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๑. ทีปังกรพุทธวงศ์
[๒๓] พระมหาวีรชินเจ้าทรงประกาศพระธรรมจักร
แล้วประทับอยู่ในนันทาราม ประทับนั่งที่โคนต้นซึก
ทรงปราบปรามเดียรถีย์
[๒๔] พระสุมังคลเถระและพระติสสเถระเป็นพระอัครสาวก
พระสาคตเถระเป็นอุปัฏฐากของพระศาสดาพระนามว่าทีปังกร
[๒๕] พระนันทาเถรีและพระสุนันทาเถรีเป็นพระอัครสาวิกา
ต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
ชาวโลกเรียกว่า ต้นเลียบ
[๒๖] ตปุสสอุบาสกและภัลลิกอุบาสกเป็นอัครอุปัฏฐาก
สิริมาอุบาสิกาและโสณาอุบาสิกาเป็นอัครอุปัฏฐายิกา
[๒๗] พระมหามุนีพระนามว่าทีปังกร
ทรงมีพระวรกายสูง ๘๐ ศอก
ทรงงดงามดังต้นพฤกษาประทีป
ดังต้นพญาไม้สาละที่มีดอกบานสะพรั่ง
พระองค์ทรงมีพระรัศมีแผ่ซ่านออก ๑๐ โยชน์โดยรอบ
[๒๘] พระองค์ทรงแสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
ทรงมีพระชนมายุประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ ปี
ทรงดำรงอยู่นานเพียงนั้น
ทรงช่วยหมู่ชนให้ข้ามพ้น(สังสารวัฏ)ได้เป็นจำนวนมาก
[๒๙] พระองค์พร้อมทั้งสาวกประกาศพระสัทธรรมให้รุ่งเรือง
ช่วยมหาชนให้ข้ามพ้นได้
แล้วเสด็จดับขันธปรินิพพานเหมือนกองไฟที่ลุกโพลงแล้วดับไป
[๓๐] พระองค์ทรงมีพระฤทธิ์ มีพระยศ
พร้อมทั้งจักรรัตนะที่พระยุคลบาท
ทุกอย่างล้วนอันตรธานไปหมดแล้ว
สังขารทั้งปวงเป็นสภาพว่างเปล่าหนอ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๕๙๕ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒. โกณฑัญญพุทธวงศ์
[๓๑] พระชินศาสดาพระนามว่าทีปังกรเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว
ณ นันทาราม พระสถูปอันประเสริฐของพระชินเจ้าพระองค์นั้น
สูง ๓๖ โยชน์ ณ นันทารามนั้น
พระสถูปบรรจุบาตร จีวร บริขาร และเครื่องบริโภค
ของพระองค์ผู้ศาสดา ที่โคนต้นโพธิ์ในกาลนั้นสูง ๓ โยชน์
ทีปังกรพุทธวงศ์ที่ ๑ จบ

๒. โกณฑัญญพุทธวงศ์
ว่าด้วยพระประวัติของพระโกณฑัญญพุทธเจ้า
[๑] สมัยต่อจากพระพุทธเจ้าพระนามว่าทีปังกร
ได้มีพระพุทธเจ้าพระนามว่าโกณฑัญญะ
ผู้ทรงเป็นผู้นำ ทรงมีพระเดชหาที่สุดมิได้
มีพระยศประมาณมิได้ มีพระคุณประมาณมิได้
และยากที่จะกระทบกระทั่งได้
[๒] พระองค์ทรงเปรียบดังแผ่นดินโดยขันติธรรม
เปรียบดังสาครโดยศีล
เปรียบดังภูเขาสิเนรุโดยสมาธิ
เปรียบดังท้องฟ้าโดยปัญญา
[๓] ทรงประกาศธรรมที่ควรประกาศคืออินทรีย์ พละ โพชฌงค์ มรรค
อริยสัจ ในกาลทุกเมื่อ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สรรพสัตว์
[๔] เมื่อพระพุทธเจ้าพระนามว่าโกณฑัญญะ
ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก ทรงประกาศพระธรรมจักร
เทวดาและมนุษย์ประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ ได้บรรลุธรรมครั้งที่ ๑
[๕] จากนั้น เมื่อทรงแสดงพระธรรมในสมาคมของเทวดาและมนุษย์
เทวดาและมนุษย์ประมาณ ๙๐,๐๐๐ โกฏิ
ได้บรรลุธรรมครั้งที่ ๒

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๕๙๖ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒. โกณฑัญญพุทธวงศ์
[๖] ในคราวที่พระองค์เมื่อทรงแสดงธรรมย่ำยีพวกเดียรถีย์
เทวดาและมนุษย์ประมาณ ๘๐,๐๐๐ โกฏิได้บรรลุธรรมครั้งที่ ๓
[๗] พระพุทธเจ้าพระนามว่าโกณฑัญญะ
ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
ได้มีการประชุมพระสาวกผู้เป็นขีณาสพ
ผู้ปราศจากมลทิน มีจิตสงบระงับ ผู้คงที่ ๓ ครั้ง
[๘] พระขีณาสพจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ มาประชุมกัน ครั้งที่ ๑
พระขีณาสพจำนวน ๑,๐๐๐ โกฏิ มาประชุมกัน ครั้งที่ ๒
พระขีณาสพจำนวน ๙๐ โกฏิ มาประชุมกัน ครั้งที่ ๓
[๙] ครั้งนั้น เราเป็นพระมหากษัตริย์มีนามว่าวิชิตาวี
แผ่ความเป็นใหญ่ไปโดยมีมหาสมุทรสาครเป็นขอบเขต
[๑๐] เราได้อังคาสภิกษุประมาณ ๑๐,๐๐๐ โกฏิ
ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ผู้ปราศจากมลทิน
พร้อมด้วยพระผู้ทรงเป็นที่พึ่งอันเลิศของสัตว์โลก
ให้อิ่มหนำด้วยอาหารอันประณีต
[๑๑] แม้พระพุทธเจ้าพระนามว่าโกณฑัญญะพระองค์นั้น
ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก ก็ทรงพยากรณ์เราว่า
ในกัปอันนับประมาณมิได้นับจากกัปนี้ไป
เขาจักเป็นพุทธเจ้าในโลก
พระตถาคตได้เสด็จออกจากกรุงกบิลพัสดุ์ที่น่ารื่นรมย์
[๑๒] พระตถาคตทรงเริ่มตั้งความเพียร
บำเพ็ญทุกรกิริยา จักประทับนั่งที่โคนต้นอชปาลนิโครธ
ทรงรับข้าวปายาสในที่นั้น แล้วเสด็จไปยังแม่น้ำเนรัญชรา
พระชินเจ้าพระองค์นั้นจักเสวยข้าวปายาส
ที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา แล้วเสด็จไปที่โคนต้นโพธิ์
ตามหนทางอันประเสริฐที่ตกแต่งไว้แล้ว

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๕๙๗ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒. โกณฑัญญพุทธวงศ์
จากนั้น พระองค์ผู้มีพระยศยิ่งใหญ่
จักทำประทักษิณโพธิมัณฑ์อันยอดเยี่ยมแล้ว
ตรัสรู้ที่โคนต้นอัสสัตถพฤกษ์
[๑๓] พระมารดาผู้ให้กำเนิดพระชินเจ้าพระองค์นี้
จักมีพระนามว่ามายา พระบิดาจักมีพระนามว่าสุทโธทนะ
พระชินเจ้าพระองค์นี้จักมีพระนามว่าโคดม
[๑๔] พระโกลิตเถระและพระอุปติสสเถระ
ผู้ไม่มีอาสวะ สิ้นราคะ มีจิตสงบ
ตั้งมั่นดี จักเป็นพระอัครสาวก
พระเถระนามว่าอานนท์ จักเป็นพระอุปัฏฐาก
บำรุงพระชินเจ้าพระองค์นี้
[๑๕] พระเขมาเถรีและพระอุบลวรรณาเถรี
ผู้ไม่มีอาสวะ สิ้นราคะ มีจิตสงบ
ตั้งมั่นดี จักเป็นพระอัครสาวิกา
ต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
ชาวโลกเรียกว่า ต้นอัสสัตถพฤกษ์
[๑๖] จิตตคหบดีอุบาสกและหัตถกคหบดีอุบาสก
ชาวเมืองอาฬวี จักเป็นอัครอุปัฏฐาก
นันทมารดาอุบาสิกาและอุตตราอุบาสิกา
จักเป็นอัครอุปัฏฐายิกา
พระโคดมผู้มียศพระองค์นั้น จักมีพระชนมายุประมาณ ๑๐๐ ปี
[๑๗] เทวดาและมนุษย์ได้ฟังพระดำรัสนี้
ของพระพุทธเจ้าผู้ไม่มีใครเสมอเหมือน
ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่แล้ว
ต่างก็มีความชื่นชมกล่าวว่า
‘ท่านผู้นี้เป็นหน่อพุทธางกูร’

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๕๙๘ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒. โกณฑัญญพุทธวงศ์
[๑๘] สัตว์ทั้งหลายในหมื่นจักรวาลพร้อมทั้งเทวดา
ต่างก็เปล่งเสียงโห่ร้องปรบมือ ร่าเริง
ประนมมือนมัสการว่า
[๑๙] ‘ถ้าเราทั้งหลายจักพลาดศาสนาของพระโลกนาถพระองค์นี้
เราทั้งหลายก็จักพร้อมหน้าหน่อพุทธางกูรนี้ในอนาคตกาล
[๒๐] มนุษย์ทั้งหลายเมื่อจะข้ามแม่น้ำ พลาดท่าเฉพาะหน้าแล้ว
ก็ยึดเอาท่าถัดไปจึงข้ามแม่น้ำใหญ่ไป ฉันใด
[๒๑] เราทั้งหมดก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ถ้าพลาดพระชินเจ้าพระองค์นี้
ก็จักพร้อมหน้าหน่อพุทธางกูรนี้ในอนาคตกาล’
[๒๒] เราได้ฟังพระดำรัสของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นแล้ว
ก็ทำจิตให้เลื่อมใสอย่างยิ่ง เราเมื่อจะทำประโยชน์นั้นให้สำเร็จ
จึงได้ถวายราชสมบัติอันใหญ่หลวงแก่พระชินเจ้า
ครั้นแล้วก็ออกบวชในสำนักของพระองค์
[๒๓] เราได้เล่าเรียนพระสูตรและพระวินัย
อันเป็นนวังคสัตถุศาสน์ทั้งปวง
แล้วช่วยประกาศศาสนาของพระชินเจ้าให้รุ่งเรือง
[๒๔] เราเป็นผู้ไม่ประมาทอยู่ในคำสั่งสอนนั้นทั้งในเวลานั่ง
ยืนและเดิน ถึงความสำเร็จอภิญญาแล้ว ได้ไปเกิดยังพรหมโลก
[๒๕] กรุงชื่อว่ารัมมวดี กษัตริย์พระนามว่าสุนันทะเป็นพระชนก
พระเทวีพระนามว่าสุชาดา เป็นพระชนนี
ของพระพุทธเจ้าพระนามว่าโกณฑัญญะ
ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
[๒๖] พระองค์ทรงครองฆราวาสอยู่ ๑๐,๐๐๐ ปี
มีปราสาทที่อุดมอยู่ ๓ หลัง
คือสุจิปราสาท สุรุจิปราสาท และสุภปราสาท

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๕๙๙ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒. โกณฑัญญพุทธวงศ์
[๒๗] มีนางสนมกำนัล ๓๐๐,๐๐๐ นาง
ล้วนประดับประดาสวยงาม
พระมเหสีพระนามว่ารุจิเทวี
พระราชโอรสพระนามว่าวิชิตเสนะ
[๒๘] พระชินเจ้าทรงเห็นนิมิต ๔ ประการ
จึงทรงราชพาหนะคือรถออกผนวชแล้ว
ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ ๑๐ เดือนเต็ม(จึงได้บรรลุพระโพธิญาณ)
[๒๙] พระมหาวีระพระนามว่าโกณฑัญญะ
ผู้สูงสุดแห่งเทวดาและมนุษย์
ผู้อันพรหมทูลอาราธนาแล้ว
ทรงประกาศพระธรรมจักรแก่เทวดา
และมนุษย์ทั้งหลาย ณ ป่ามหาวัน
[๓๐] พระภัททเถระและพระสุภัททเถระเป็นพระอัครสาวก
พระเถระนามว่าอนุรุทธะเป็นพระอุปัฏฐาก
ของพระพุทธเจ้าพระนามว่าโกณฑัญญะ
ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
[๓๑] พระติสสาเถรีและพระอุปติสสาเถรีเป็นพระอัครสาวิกา
ต้นขานางเป็นต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าพระนามว่าโกณฑัญญะ
ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
[๓๒] โสณอุบาสกและอุปโสณอุบาสกเป็นอัครอุปัฏฐาก
นันทาอุบาสิกาและสิริมาอุบาสิกาเป็นอัครอุปัฏฐายิกา
[๓๓] พระมหามุนีพระองค์นั้นทรงมีพระวรกายสูง ๘๘ ศอก
ทรงงดงามดังดวงจันทร์ในวันเพ็ญ
และดังดวงอาทิตย์ในเวลาเที่ยงวัน
[๓๔] ขณะนั้น มนุษย์ทั้งหลายมีอายุประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ ปี
พระองค์ก็ทรงดำรงพระชนมายุประมาณเท่านั้น
ทรงช่วยหมู่ชนให้ข้ามพ้นได้เป็นจำนวนมาก

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๐๐ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๓. มังคลพุทธวงศ์
[๓๕] เมทนีดลงามวิจิตรด้วยพระขีณาสพ ผู้ปราศจากมลทิน
เมทนีนั้นงามเหมือนท้องฟ้าที่วิจิตรไปด้วยหมู่ดาว
[๓๖] พระอรหันต์ผู้ประเสริฐแม้เหล่านั้น
มีคุณหาประมาณมิได้ ไม่กำเริบ หาผู้กระทบกระทั่งได้ยาก
ท่านผู้มียศเหล่านั้น แสดงประดุจสายฟ้าฟาด ปรินิพพานแล้ว
[๓๗] ฤทธิ์ของพระชินเจ้าไม่มีที่เปรียบ
สมาธิอันปัญญาอบรมดีแล้ว
ทุกอย่างอันตรธานไปพร้อมกันแล้ว
สังขารทั้งปวงเป็นสภาพว่างเปล่าหนอ
[๓๘] พระพุทธเจ้าพระนามว่าโกณฑัญญะ ผู้ทรงพระสิริ
เสด็จดับขันธปรินิพพาน ณ นันทาราม
พระเจดีย์ของพระองค์สูง ๗ โยชน์
ณ นันทารามนั้น ฉะนี้แล
โกณฑัญญพุทธวงศ์ที่ ๒ จบ

๓. มังคลพุทธวงศ์
ว่าด้วยพระประวัติของพระมังคลพุทธเจ้า
[๑] สมัยต่อจากพระพุทธเจ้าพระนามว่าโกณฑัญญะ
ได้มีพระพุทธเจ้าพระนามว่ามังคละ ผู้ทรงเป็นผู้นำ
ทรงชูคบเพลิงคือพระธรรม กำจัดความมืดในโลก
[๒] รัศมีของพระองค์ไม่มีที่เปรียบ
ยิ่งกว่าพระชินเจ้าองค์อื่น ๆ
ข่มรัศมีของดวงจันทร์และดวงอาทิตย์
รุ่งโรจน์ไปทั่วหมื่นจักรวาล
[๓] แม้พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ก็ทรงประกาศอริยสัจ ๔ ที่ประเสริฐสุด

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๐๑ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๓. มังคลพุทธวงศ์
เทวดาและมนุษย์ต่างก็ได้ดื่มรสแห่งอริยสัจ
แล้วย่อมบรรเทาความมืดมนเสียได้
[๔] เมื่อพระองค์ทรงบรรลุพระโพธิญาณอันไม่มีที่เปรียบแล้ว
ทรงแสดงธรรมครั้งแรก
เหล่าสัตว์ประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ ได้บรรลุธรรมครั้งที่ ๑
[๕] พระพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรม
ที่ภพของเทวดาผู้เป็นจอมเทพ
ครั้งนั้น เทพประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ
ได้บรรลุธรรมครั้งที่ ๒
[๖] ในกาลเมื่อพระเจ้าจักรพรรดิพระนามว่าสุนันทะ
เสด็จเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงลั่นธรรมเภรี(กลองคือธรรม)
อันประเสริฐยอดเยี่ยม
[๗] และครั้งนั้น บริวารของพระเจ้าจักรพรรดิพระนามว่าสุนันทะ
มีประมาณ ๙๐ โกฏิ ทั้งหมดนั้น ไม่เหลือเลย
ได้บวชด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา
[๘] พระพุทธเจ้าพระนามว่ามังคละ
ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ได้มีการประชุมสาวก ๓ ครั้ง
สาวกประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ มาประชุมกัน เป็นครั้งที่ ๑
[๙] สาวกจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ มาประชุมกัน เป็นครั้งที่ ๒
สาวกจำนวน ๙๐ โกฏิ มาประชุมกัน เป็นครั้งที่ ๓
การประชุมครั้งนั้น ล้วนแต่พระสาวก
ผู้พระขีณาสพปราศจากมลทินเท่านั้น
[๑๐] สมัยนั้น เราเป็นพราหมณ์มีนามว่าสุรุจิ
เป็นผู้คงแก่เรียน ทรงจำมนตร์ จบไตรเพท

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๐๒ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๓. มังคลพุทธวงศ์
[๑๑] เราได้เข้าเฝ้าพระศาสดาพระองค์นั้น
ได้ถึงพระองค์เป็นสรณะ และได้บูชาพระสงฆ์
ซึ่งมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธานด้วยของหอมและดอกไม้
ครั้นแล้วได้อังคาสให้อิ่มหนำด้วยน้ำนมโค
[๑๒] แม้พระพุทธเจ้าพระนามว่ามังคละพระองค์นั้น
ผู้สูงสุดแห่งเทวดาและมนุษย์ก็ทรงพยากรณ์เราว่า
ในกัปอันประมาณมิได้นับจากกัปนี้ไป
“พราหมณ์ชื่อสุรุจินี้ จักเป็นพระพุทธเจ้า
พระตถาคตได้เสด็จออกจากกรุงกบิลพัสดุ์ที่น่ารื่นรมย์
[๑๓] พระตถาคตทรงเริ่มตั้งความเพียร
บำเพ็ญทุกรกิริยา จักประทับนั่งที่โคนต้นอชปาลนิโครธ
ทรงรับข้าวปายาสในที่นั้นแล้ว เสด็จไปยังแม่น้ำเนรัญชรา
พระชินเจ้าพระองค์นั้นจักเสวยข้าวปายาส
ที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา แล้วเสด็จไปที่โคนต้นโพธิ์
ตามหนทางอันประเสริฐที่ตกแต่งไว้แล้ว
จากนั้น พระองค์ผู้มีพระยศยิ่งใหญ่
จักทำประทักษิณโพธิมัณฑ์อันยอดเยี่ยมแล้ว
ตรัสรู้ที่โคนต้นอัสสัตถพฤกษ์
พระมารดาผู้ให้กำเนิดพระชินเจ้าพระองค์นี้
จักมีพระนามว่ามายา
พระบิดาจักมีพระนามว่าสุทโธทนะ
พระชินเจ้าพระองค์นี้จักมีพระนามว่าโคดม
พระโกลิตเถระและพระอุปติสสเถระ
ผู้ไม่มีอาสวะ สิ้นราคะ มีจิตสงบ
ตั้งมั่นดี จักเป็นพระอัครสาวก
พระเถระนามว่าอานนท์ จักเป็นพระอุปัฏฐาก
บำรุงพระชินเจ้าพระองค์นี้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๐๓ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๓. มังคลพุทธวงศ์
พระเขมาเถรีและพระอุบลวรรณาเถรี
ผู้ไม่มีอาสวะ สิ้นราคะ มีจิตสงบ
ตั้งมั่นดี จักเป็นพระอัครสาวิกา
ต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
ชาวโลกเรียกว่า ต้นอัสสัตถพฤกษ์
จิตตคหบดีอุบาสกและหัตถกคหบดีอุบาสก
ชาวเมืองอาฬวี จักเป็นอัครอุปัฏฐาก
นันทมารดาอุบาสิกาและอุตตราอุบาสิกา
จักเป็นอัครอุปัฏฐายิกา
พระโคดมผู้มียศพระองค์นั้น
จักมีพระชนมายุประมาณ ๑๐๐ ปี
เทวดาและมนุษย์ได้ฟังพระดำรัสนี้
ของพระพุทธเจ้าผู้ไม่มีใครเสมอเหมือน
ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่แล้ว
ต่างก็มีความชื่นชมกล่าวว่า
‘ท่านผู้นี้เป็นหน่อพุทธางกูร’
สัตว์ทั้งหลายในหมื่นจักรวาลพร้อมทั้งเทวดา
ต่างก็เปล่งเสียงโห่ร้องปรบมือ ร่าเริง
ประนมมือนมัสการว่า
‘ถ้าเราทั้งหลายจักพลาดศาสนาของพระโลกนาถพระองค์นี้
เราทั้งหลายก็จักพร้อมหน้าหน่อพุทธางกูรนี้ในอนาคตกาล
มนุษย์ทั้งหลายเมื่อจะข้ามแม่น้ำ พลาดท่าเฉพาะหน้าแล้ว
ก็ยึดเอาท่าถัดไปจึงข้ามแม่น้ำใหญ่ไป ฉันใด
เราทั้งหมดก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ถ้าพลาดพระชินเจ้าพระองค์นี้
ก็จักพร้อมหน้าหน่อพุทธางกูรนี้ในอนาคตกาล’
[๑๔] เราได้ฟังพระดำรัสของพระพุทธเจ้าแม้พระองค์นั้นแล้ว
ก็ทำจิตให้เลื่อมใสอย่างยิ่ง
ได้อธิษฐานวัตรเพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐ ประการ ให้ยิ่งขึ้นไป

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๐๔ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๓. มังคลพุทธวงศ์
[๑๕] ครั้งนั้น เราเพิ่มพูนปีติเพื่อบรรลุสัมโพธิญาณอันประเสริฐ
จึงถวายเรือนของเราในพระพุทธเจ้าแล้ว
บวชในสำนักของพระพุทธองค์
[๑๖] เราได้เล่าเรียนพระสูตรและพระวินัย
อันเป็นนวังคสัตถุศาสน์ทั้งปวง
แล้วช่วยประกาศศาสนาของพระชินเจ้าให้รุ่งเรือง
[๑๗] เราเป็นผู้ไม่ประมาทอยู่ในคำสั่งสอนนั้น
เจริญพรหมวิหารภาวนา
ถึงความสำเร็จอภิญญาแล้ว ได้ไปเกิดยังพรหมโลก
[๑๘] กรุงชื่อว่าอุตตระ กษัตริย์พระนามว่าอุตตระเป็นพระชนก
พระเทวีนามว่าอุตตราเป็นพระชนนี
ของพระพุทธเจ้าพระนามว่ามังคละ ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
[๑๙] พระองค์ทรงครองฆราวาสอยู่ ๙,๐๐๐ ปี
มีปราสาทที่อุดมอยู่ ๓ หลัง
คือยสวาปราสาท สุจิมาปราสาท และสิริมาปราสาท
[๒๐] มีนางสนมกำนัล ๓๐,๐๐๐ นาง
ล้วนประดับประดาสวยงาม
พระมเหสีพระนามว่ายสวดี
พระราชโอรสพระนามว่าสีวละ
[๒๑] พระชินเจ้าทรงเห็นนิมิต ๔ ประการ
จึงทรงราชพาหนะคือม้าออกผนวชแล้ว
ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ ๘ เดือนเต็ม(จึงได้บรรลุพระโพธิญาณ)
[๒๒] พระมหาวีระพระนามว่ามังคละทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก
ผู้สูงสุดแห่งเทวดาและมนุษย์ ผู้อันพรหมทูลอาราธนาแล้ว
ทรงประกาศพระธรรมจักรเสด็จจาริกไป

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๐๕ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๓. มังคลพุทธวงศ์
[๒๓] พระสุเทวเถระและพระธรรมเสนเถระเป็นพระอัครสาวก
พระเถระนามว่าปาลิตะเป็นพระอุปัฏฐาก
ของพระพุทธเจ้าพระนามว่ามังคละ
ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
[๒๔] พระสีลวาเถรีและพระอโสกาเถรีเป็นพระอัครสาวิกา
ต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
ชาวโลกเรียกว่า ต้นกากะทิง
[๒๕] นันทอุบาสกและวิสาขอุบาสกเป็นอัครอุปัฏฐาก
อนุฬาอุบาสิกาและสุมนาอุบาสิกาเป็นอัครอุปัฏฐายิกา
[๒๖] พระมหามุนีทรงมีพระวรกายสูง ๘๘ ศอก
มีพระรัศมีแผ่ซ่านออกจากพระวรกาย
ของพระองค์นั้นไปไกลหลายแสนจักรวาล
[๒๗] ขณะนั้น มนุษย์ทั้งหลายมีอายุประมาณ ๙๐,๐๐๐ ปี
พระองค์ก็ทรงดำรงพระชนมายุประมาณเท่านั้น
ทรงช่วยหมู่ชนให้ข้ามพ้นได้เป็นจำนวนมาก
[๒๘] สาวกของพระองค์ใคร ๆ ไม่สามารถจะนับได้
เหมือนคลื่นในสมุทรสาครที่ใคร ๆ ไม่อาจนับได้
[๒๙] ครั้งนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่ามังคละ
ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก ทรงดำรงพระชนมายุอยู่เพียงใด
ในศาสนาของพระองค์ไม่มีการตายอย่างคนมีกิเลสเพียงนั้น
[๓๐] พระองค์ผู้มีพระยศยิ่งใหญ่ ทรงชูคบเพลิงคือพระธรรม
ทรงช่วยมหาชนให้ข้ามพ้น
ทรงรุ่งเรืองเหมือนเปลวไฟ เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว
[๓๑] ทรงแสดงอรรถแห่งสภาวะของสังขาร
ในมนุษยโลกพร้อมทั้งเทวโลก
ทรงรุ่งเรืองดังกองเพลิง เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว
ดังดวงอาทิตย์อัสดง

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๐๖ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๔. สุมนพุทธวงศ์
[๓๒] พระพุทธเจ้าพระนามว่ามังคละ
เสด็จดับขันธปรินิพพาน ณ พระราชอุทยานชื่อเวสสระ
พระสถูปของพระชินเจ้านั้นสูง ๓๐ โยชน์
ณ พระราชอุทยานชื่อเวสสระนั้น” ฉะนี้แล
มังคลพุทธวงศ์ที่ ๓ จบ

๔. สุมนพุทธวงศ์
ว่าด้วยพระประวัติของพระสุมนพุทธเจ้า
[๑] สมัยต่อจากพระพุทธเจ้าพระนามว่ามังคละ
ได้มีพระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้นำพระนามว่าสุมนะ
ไม่มีใครเสมอโดยธรรมทั้งปวง
ทรงสูงสุดแห่งสัตว์ทั้งปวง
[๒] ครั้งนั้น พระศาสดาทรงลั่นอมตเภรี๑ในเมขลบุรี
คำสอนของพระชินเจ้ามีองค์ ๙ ประกอบด้วยธรรมฝ่ายขาว
[๓] พระศาสดาพระองค์นั้น ทรงชำนะกิเลสแล้ว
ทรงบรรลุสัมโพธิญาณอันประเสริฐสุด
ทรงสร้างนครคือพระสัทธรรมซึ่งเป็นเมืองประเสริฐที่สุด
[๔] พระองค์ทรงสร้างถนนใหญ่คือสติปัฏฐาน อันล้ำเลิศ
ไม่มีอะไรคั่น ไม่คด เป็นถนนตรง ไพบูลย์ กว้างขวาง
[๕] ทรงแผ่สามัญผล ๔ ปฏิสัมภิทา ๔ อภิญญา ๖
และสมาบัติ ๘ ไว้บนถนน๒นั้น
[๖] ชนเหล่าใดเป็นผู้ไม่ประมาท ไม่มีกิเลสเพียงดังตะปูตรึงใจ๓
ประกอบด้วยหิริและความเพียร
ชนเหล่านั้นทั้งหมด ย่อมถือเอาคุณอันประเสริฐนี้ได้อย่างสบาย

เชิงอรรถ :
๑ ลั่นอมตเภรี ได้แก่ บรรลุนิพพาน (ขุ.พุทฺธ.อ. ๒/๒๒๗)
๒ ถนน หมายถึงมหาสติปัฏฐาน ๔ (ขุ.พุทธ.อ. ๔/๒๒๘)
๓ กิเลสเพียงดังตะปูตรึงใจ ได้แก่ เคลือบแคลงสงสัยในพระพุทธ ในพระธรรม ในพระสงฆ์ ในสิกขาและ
โกรธ (องฺ.ทสก. (แปล) ๒๔/๑๔/๒๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๐๗ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๔. สุมนพุทธวงศ์
[๗] พระศาสดาทรงช่วยเหลือมหาชนด้วยความเพียรนั้นอย่างนี้
ทรงช่วยเทวดาและมนุษย์ประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ
ให้บรรลุธรรมครั้งที่ ๑
[๘] พระมหาวีระตรัสสอนหมู่เดียรถีย์ในกาลใด
ในกาลนั้นทรงช่วยเหล่าสัตว์ ประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ
ให้บรรลุธรรมในกาลแสดงธรรมครั้งที่ ๒
[๙] ในกาลเมื่อเทวดาและมนุษย์ผู้พร้อมเพรียงกัน
ร่วมใจกันมาทูลถามนิโรธปัญหาและความสงสัยทางใจ
[๑๐] ในกาลทรงแสดงธรรมเป็นเครื่องแสดงนิโรธ
แม้ครั้งนั้นเหล่าสัตว์ประมาณ ๙๐,๐๐๐ โกฏิ
ได้บรรลุธรรมครั้งที่ ๓
[๑๑] พระพุทธเจ้าพระนามว่าสุมนะ
ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ มีการประชุมแห่งพระขีณาสพ
ผู้ปราศจากมลทิน มีจิตสงบระงับ ผู้คงที่ ๓ ครั้ง
[๑๒] เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงจำพรรษาแล้ว
เมื่อสงฆ์ประกาศปวารณา พระตถาคตทรงปวารณา
พร้อมด้วยภิกษุประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ
[๑๓] จากนั้น ในการประชุมกันที่สุวรรณบรรพตอันสุกปลั่ง
พระขีณาสพประมาณ ๙๐,๐๐๐ โกฏิ มาประชุมกัน เป็นครั้งที่ ๒
[๑๔] ในกาลเมื่อท้าวสักกเทวราชเสด็จเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
พระขีณาสพจำนวน ๘๐,๐๐๐ โกฏิ
มาประชุมกัน เป็นครั้งที่ ๓
[๑๕] สมัยนั้น เราเป็นพญานาค ผู้มีฤทธิ์มาก
มีชื่อว่าอตุละ เป็นผู้สร้างกุศลให้เจริญขึ้น
[๑๖] ครั้งนั้น เราพร้อมด้วยหมู่ญาติออกจากนาคพิภพ
บำรุงพระชินเจ้าพร้อมทั้งพระสงฆ์ด้วยดนตรีทิพย์ของพวกนาค

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๐๘ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๔. สุมนพุทธวงศ์
[๑๗] จัดอังคาสพระสงฆ์สาวก ประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ
ให้อิ่มหนำด้วยข้าวและน้ำแล้ว ถวายผ้ารูปละหนึ่งคู่
ได้ถึงพระชินเจ้าพระองค์นั้นเป็นสรณะ
[๑๘] แม้พระพุทธเจ้าพระนามว่าสุมนะพระองค์นั้น
ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก ก็ทรงพยากรณ์เราว่า
ในกัปอันประมาณมิได้นับจากกัปนี้ไป
อตุลพญานาคนี้ จักเป็นพระพุทธเจ้า
พระตถาคตได้เสด็จออกจากกรุงกบิลพัสดุ์ที่น่ารื่นรมย์
[๑๙] พระตถาคตทรงเริ่มตั้งความเพียร
บำเพ็ญทุกรกิริยา จักประทับนั่งที่โคนต้นอชปาลนิโครธ
ทรงรับข้าวปายาสในที่นั้นแล้ว เสด็จไปยังแม่น้ำเนรัญชรา
พระชินเจ้าพระองค์นั้น จักเสวยข้าวปายาส
ที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา แล้วเสด็จไปที่โคนต้นโพธิ์
ตามหนทางอันประเสริฐที่ตกแต่งไว้แล้ว
จากนั้น พระองค์ผู้มีพระยศยิ่งใหญ่
จักทำประทักษิณโพธิมัณฑ์อันยอดเยี่ยมแล้ว
ตรัสรู้ที่โคนต้นอัสสัตถพฤกษ์
พระมารดาผู้ให้กำเนิดพระชินเจ้าพระองค์นี้
จักมีพระนามว่ามายา
พระบิดาจักมีพระนามว่าสุทโธทนะ
พระชินเจ้าพระองค์นี้จักมีพระนามว่าโคดม
พระโกลิตเถระและพระอุปติสสเถระ
ผู้ไม่มีอาสวะ สิ้นราคะ มีจิตสงบ
ตั้งมั่นดี จักเป็นพระอัครสาวก
พระเถระนามว่าอานนท์ จักเป็นพระอุปัฏฐาก
บำรุงพระชินเจ้าพระองค์นี้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๐๙ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๔. สุมนพุทธวงศ์
พระเขมาเถรีและพระอุบลวรรณาเถรี
ผู้ไม่มีอาสวะ สิ้นราคะ มีจิตสงบ
ตั้งมั่นดี จักเป็นพระอัครสาวิกา
ต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
ชาวโลกเรียกว่า ต้นอัสสัตถพฤกษ์
จิตตคหบดีอุบาสกและหัตถกคหบดีอุบาสก
ชาวเมืองอาฬวี จักเป็นอัครอุปัฏฐาก
นันทมารดาอุบาสิกาและอุตตราอุบาสิกา
จักเป็นอัครอุปัฏฐายิกา
พระโคดมผู้มียศพระองค์นั้นจักมีพระชนมายุประมาณ ๑๐๐ ปี
เทวดาและมนุษย์ได้ฟังพระดำรัสนี้
ของพระพุทธเจ้าผู้ไม่มีใครเสมอเหมือน
ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่แล้ว
ต่างก็มีความชื่นชมกล่าวว่า
‘ท่านผู้นี้เป็นหน่อพุทธางกูร’
สัตว์ทั้งหลายในหมื่นจักรวาลพร้อมทั้งเทวดา
ต่างก็เปล่งเสียงโห่ร้องปรบมือ ร่าเริง
ประนมมือนมัสการว่า
‘ถ้าเราทั้งหลายจักพลาดศาสนาของพระโลกนาถพระองค์นี้
เราทั้งหลายก็จักพร้อมหน้าหน่อพุทธางกูรนี้ในอนาคตกาล
มนุษย์ทั้งหลายเมื่อจะข้ามแม่น้ำ พลาดท่าเฉพาะหน้าแล้ว
ก็ยึดเอาท่าถัดไปจึงข้ามแม่น้ำใหญ่ไป ฉันใด
เราทั้งหมดก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ถ้าพลาดพระชินเจ้าพระองค์นี้
ก็จักพร้อมหน้าหน่อพุทธางกูรนี้ในอนาคตกาล’

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๑๐ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๔. สุมนพุทธวงศ์
[๒๐] เราได้ฟังพระดำรัสของพระพุทธเจ้าแม้พระองค์นั้นแล้ว
ก็ทำจิตให้เลื่อมใสอย่างยิ่ง
ได้อธิษฐานวัตรเพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐ ประการ ให้ยิ่งขึ้นไป
[๒๑] กรุงชื่อว่าเมขละ กษัตริย์พระนามว่าสุทัตตะเป็นพระชนก
พระนางสิริมาเป็นพระชนนี
ของพระพุทธเจ้าพระนามว่าสุมนะ ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
[๒๒] พระองค์ทรงครองฆราวาสอยู่ ๙,๐๐๐ ปี
มีปราสาทที่อุดมอยู่ ๓ หลัง
คือจันทปราสาท สุจันทปราสาท และวฏังสปราสาท
[๒๓] มีนางสนมกำนัล ๖,๓๐๐,๐๐๐ นาง
ล้วนประดับประดาสวยงาม
พระมเหสีพระนามว่าฏังสกี
พระราชโอรสพระนามว่าอนูปมะ
[๒๔] พระชินเจ้าทรงเห็นนิมิต ๔ ประการ
จึงทรงราชพาหนะคือช้างออกผนวชแล้ว
ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ ๑๐ เดือนเต็ม(จึงได้บรรลุพระโพธิญาณ)
[๒๕] พระมหาวีระเจ้าพระนามว่าสุมนะ
ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก ผู้อันพรหมทูลอาราธนาแล้ว
ทรงประกาศพระธรรมจักร ณ เมขลบุรีซึ่งเป็นเมืองประเสริฐที่สุด
[๒๖] พระสรณเถระและพระภาวิตัตตเถระเป็นพระอัครสาวก
พระเถระนามว่าอุเทนเป็นพระอุปัฏฐาก
ของพระพุทธเจ้าพระนามว่าสุมนะ
ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
[๒๗] พระโสณาเถรีและพระอุปโสณาเถรีเป็นพระอัครสาวิกา
แม้พระพุทธเจ้าผู้ไม่มีใครเสมอเหมือนพระองค์นั้น
ได้ตรัสรู้ที่โคนต้นกากะทิง

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๑๑ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๔. สุมนพุทธวงศ์
[๒๘] วรุณอุบาสกและสรณอุบาสกเป็นอัครอุปัฏฐาก
จาลาอุบาสิกาและอุปจาลาอุบาสิกาเป็นอัครอุปัฏฐายิกา
[๒๙] พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นทรงมีพระวรกายสูง ๙๐ ศอก
ทรงงดงามดังทองคำที่ล้ำค่า
รุ่งเรืองไปทั่วหมื่นจักรวาล
[๓๐] ขณะนั้น มนุษย์ทั้งหลายมีอายุประมาณ ๙๐,๐๐๐ ปี
พระองค์ก็ทรงดำรงพระชนมายุประมาณเท่านั้น
ทรงช่วยหมู่ชนให้ข้ามพ้นได้จำนวนมาก
[๓๑] พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงช่วยคนที่ควรข้ามให้ข้าม
ทรงช่วยคนที่ควรตรัสรู้ให้ตรัสรู้
แล้วเสด็จดับขันธปรินิพพาน เหมือนดวงจันทร์ดับไป
[๓๒] ภิกษุผู้ขีณาสพเหล่านั้น ผู้มียศยิ่งใหญ่
และพระพุทธเจ้าผู้ไม่มีใครเปรียบได้พระองค์นั้น
แสดงพระรัศมีที่ไม่มีอะไรเปรียบได้เสด็จดับขันธปรินิพพานไป
[๓๓] พระสัพพัญญุตญาณและพระรัตนตรัย
ที่ไม่มีอะไรเทียบเคียงเหล่านั้น
ทุกอย่างล้วนอันตรธานไปหมดแล้ว
สังขารทั้งปวงเป็นสภาพว่างเปล่าหนอ
[๓๔] พระพุทธเจ้าพระนามว่าสุมนะ ผู้ทรงพระยศ
เสด็จดับขันธปรินิพพานที่อังคาราม
พระสถูปของพระชินเจ้านั้นสูงที่อังคารามนั้นสูงถึง ๔ โยชน์ ฉะนี้แล
สุมนพุทธวงศ์ที่ ๔ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๑๒ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๕. เรวตพุทธวงศ์
๕. เรวตพุทธวงศ์
ว่าด้วยพระประวัติของพระเรวตพุทธเจ้า
[๑] สมัยต่อจากพระพุทธเจ้าพระนามว่าสุมนะ
ได้มีพระชินเจ้าทรงเป็นผู้นำพระนามว่าเรวตะ
ไม่มีผู้เปรียบปาน ไม่มีผู้เทียมเท่า ผู้สูงสุด
[๒] แม้พระองค์อันพรหมทูลอาราธนาแล้ว
ก็ทรงประกาศพระธรรม อันกำหนดด้วยขันธ์และธาตุ
ไม่เป็นไปในภพน้อยภพใหญ่
[๓] ในกาลที่พระองค์ทรงแสดงธรรม
การบรรลุธรรมมี ๓ ครั้ง
ผู้ได้บรรลุธรรมครั้งที่ ๑ จะคำนวณนับไม่ได้เลย
[๔] ในกาลเมื่อพระมุนีพระนามว่าเรวตะ
ทรงแนะนำพระเจ้าอรินทมะ
เทวดาและมนุษย์จำนวน ๑,๐๐๐ โกฏิ ได้บรรลุธรรม ครั้งที่ ๒
[๕] พระผู้องอาจกว่านรชนเสด็จออกจากนิโรธสมาบัติในวันที่ ๗
ทรงแนะนำเทวดาและมนุษย์ในอรหัตตผลจำนวน ๑๐๐ โกฏิ
[๖] พระชินเจ้าผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่พระนามว่าเรวตะ
ได้มีการประชุมพระขีณาสพ
ผู้ปราศจากมลทิน หลุดพ้นดี คงที่ ๓ ครั้ง
[๗] ครั้งที่ ๑ มีพระขีณาสพมาประชุมกันมากจนเกินกว่าที่จะนับ
ครั้งที่ ๒ มีพระขีณาสพจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ มาประชุมกัน
[๘] ในกาลเมื่อพระองค์ไม่มีใครเสมอด้วยพระปัญญาของพระองค์
ทรงประกาศพระธรรมจักรแล้ว
ทรงพระประชวรจวนจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๑๓ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๕. เรวตพุทธวงศ์
[๙] ครั้งที่ ๓ มีพระขีณาสพที่มาเข้าเฝ้าพระมุนี
เพื่อทูลถามพระอาการประชวรของพระองค์
ครั้งนั้นมีเทวดาและมนุษย์จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ มาประชุมกัน
[๑๐] สมัยนั้น เราเป็นพราหมณ์มีนามว่าอติเทพ
ได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าพระนามว่าเรวตะ
แล้วถึงพระองค์เป็นสรณะ
[๑๑] ได้กล่าวสดุดีศีลคุณ สมาธิคุณ และปัญญาคุณ
อันยอดเยี่ยมของพระองค์
แล้วได้ทูลถวายผ้าห่มแด่พระองค์ตามกำลัง
[๑๒] แม้พระพุทธเจ้าพระนามว่าเรวตะ พระองค์นั้น
ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลกก็ทรงพยากรณ์เราว่า
ในกัปอันประมาณมิได้นับจากกัปนี้ไป
พราหมณ์นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าในโลก
พระตถาคตได้เสด็จออกจากกรุงกบิลพัสดุ์ที่น่ารื่นรมย์
[๑๓] พระตถาคตทรงเริ่มตั้งความเพียร
บำเพ็ญทุกรกิริยา จักประทับนั่งที่โคนต้นอชปาลนิโครธ
ทรงรับข้าวปายาสในที่นั้น แล้วเสด็จไปยังแม่น้ำเนรัญชรา
พระชินเจ้าพระองค์นั้นจักเสวยข้าวปายาส
ที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชราแล้วเสด็จไปที่โคนต้นโพธิ์
ตามหนทางอันประเสริฐที่ตกแต่งไว้แล้ว
จากนั้น พระองค์ผู้มีพระยศยิ่งใหญ่
จักทำประทักษิณโพธิมัณฑ์อันยอดเยี่ยมแล้ว
ตรัสรู้ที่โคนต้นอัสสัตถพฤกษ์
พระมารดาผู้ให้กำเนิดพระชินเจ้าพระองค์นี้
จักมีพระนามว่ามายา
พระบิดาจักมีพระนามว่าสุทโธทนะ
พระชินเจ้าพระองค์นี้จักมีพระนามว่าโคดม

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๑๔ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๕. เรวตพุทธวงศ์
พระโกลิตเถระและพระอุปติสสเถระ
ผู้ไม่มีอาสวะ สิ้นราคะ มีจิตสงบ
ตั้งมั่นดี จักเป็นพระอัครสาวก
พระเถระนามว่าอานนท์ จักเป็นพระอุปัฏฐาก
บำรุงพระชินเจ้าพระองค์นี้
พระเขมาเถรีและพระอุบลวรรณาเถรี
ผู้ไม่มีอาสวะ สิ้นราคะ มีจิตสงบ
ตั้งมั่นดี จักเป็นพระอัครสาวิกา
ต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
ชาวโลกเรียกว่า ต้นอัสสัตถพฤกษ์
จิตตคหบดีอุบาสกและหัตถกคหบดีอุบาสก
ชาวเมืองอาฬวีจักเป็นอัครอุปัฏฐาก
นันทมารดาอุบาสิกาและอุตตราอุบาสิกา
จักเป็นอัครอุปัฏฐายิกา
พระโคดมผู้มียศพระองค์นั้นจักมีพระชนมายุประมาณ ๑๐๐ ปี
เทวดาและมนุษย์ได้ฟังพระดำรัสนี้
ของพระพุทธเจ้าผู้ไม่มีใครเสมอเหมือน
ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่แล้ว
ต่างก็มีความชื่นชมกล่าวว่า
‘ท่านผู้นี้เป็นหน่อพุทธางกูร’
สัตว์ทั้งหลายในหมื่นจักรวาลพร้อมทั้งเทวดา
ต่างก็เปล่งเสียงโห่ร้องปรบมือ ร่าเริง
ประนมมือนมัสการว่า
‘ถ้าเราทั้งหลายจักพลาดศาสนาของพระโลกนาถพระองค์นี้
เราทั้งหลายก็จักพร้อมหน้าหน่อพุทธางกูรนี้ในอนาคตกาล
มนุษย์ทั้งหลายเมื่อจะข้ามแม่น้ำ พลาดท่าเฉพาะหน้าแล้ว
ก็ยึดเอาท่าถัดไปจึงข้ามแม่น้ำใหญ่ไป ฉันใด

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๑๕ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๕. เรวตพุทธวงศ์
เราทั้งหมดก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ถ้าพลาดพระชินเจ้าพระองค์นี้
ก็จักพร้อมหน้าหน่อพุทธางกูรนี้ในอนาคตกาล’
[๑๔] เราได้ฟังพระดำรัสของพระพุทธเจ้าแม้พระองค์นั้นแล้ว
ก็ทำจิตให้เลื่อมใสอย่างยิ่ง
ได้อธิษฐานวัตรเพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐ ประการ ให้ยิ่งขึ้นไป
[๑๕] แม้ครั้งนั้น เราระลึกถึงพุทธการกธรรมนั้นแล้ว
เพิ่มพูนให้เจริญขึ้นด้วยหวังว่า ‘เราจักนำมาซึ่งธรรมนั้น
อันเป็นธรรมที่เราปรารถนาอย่างยิ่ง’
[๑๖] กรุงชื่อว่าสุธัญญกะ กษัตริย์พระนามว่าวิปุละเป็นพระชนก
พระเทวีพระนามว่าวิปุลาเป็นพระชนนี
ของพระพุทธเจ้าพระนามว่าเรวตะ
ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
[๑๗] พระองค์ทรงครองฆราวาสอยู่ ๖,๐๐๐ ปี
มีปราสาทที่อุดมอยู่ ๓ หลัง
คือสุทัสสนปราสาท รัตนัคฆิปราสาท และอาเวฬปราสาท
ตกแต่งสวยงาม บังเกิดเพราะบุญกรรม
[๑๘] มีนางสนมกำนัล ๓,๓๐๐,๐๐๐ นาง
ล้วนประดับประดาสวยงาม
พระมเหสีพระนามว่าสุทัสสนา
พระราชโอรสพระนามว่าวรุณะ
[๑๙] พระชินเจ้าทรงเห็นนิมิต ๔ ประการ
จึงทรงราชพาหนะคือรถออกผนวชแล้ว
ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ ๗ เดือนเต็ม(จึงได้บรรลุพระโพธิญาณ)
[๒๐] พระมหาวีรชินเจ้าพระนามว่าเรวตะทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก
ผู้อันพรหมทูลอาราธนาแล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักร
ประทับอยู่ที่วรุณาราม

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๑๖ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๕. เรวตพุทธวงศ์
[๒๑] พระวรุณเถระและพระพรหมเทพเถระเป็นพระอัครสาวก
พระสัมภวเถระเป็นพระอุปัฏฐาก
ของพระพุทธเจ้าพระนามว่าเรวตะ
ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
[๒๒] พระภัททาเถรีและพระสุภัททาเถรีเป็นพระอัครสาวิกา
แม้พระพุทธเจ้าผู้ไม่มีใครเสมอเหมือนพระองค์นั้น
ก็ได้ตรัสรู้ที่โคนต้นกากะทิง
[๒๓] วรุณอุบาสกและสรภอุบาสกเป็นอัครอุปัฏฐาก
ปาลาอุบาสิกาและอุปปาลาอุบาสิกาเป็นอัครอุปัฏฐายิกา
[๒๔] พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงมีพระวรกายสูง ๘๐ ศอก
ทรงเปล่งพระรัศมีสว่างไสวไปทั่วทิศ ดังดวงอาทิตย์อุทัย
[๒๕] วงพระรัศมี อันยอดเยี่ยม
ที่เกิดในพระสรีระของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น
แผ่ไปโยชน์หนึ่งโดยรอบ ทั้งกลางวันกลางคืน
[๒๖] ขณะนั้น มนุษย์ทั้งหลายมีอายุประมาณ ๖๐,๐๐๐ ปี
พระองค์ก็ทรงดำรงพระชนมายุประมาณเท่านั้น
ทรงช่วยหมู่ชนให้ข้ามพ้นได้เป็นจำนวนมาก
[๒๗] ทรงแสดงพุทธพลังแล้ว
ประกาศอมตธรรมในโลก
ไม่ทรงมีอุปาทานเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว
เพราะสิ้นความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นผู้เลิศ
[๒๘] พระวรกายมีพระรัศมีดังทอง
พระธรรมก็ไม่มีอะไรเหมือน
ทุกอย่างล้วนอันตรธานไปหมดแล้ว
สังขารทั้งปวงเป็นสภาพว่างเปล่าหนอ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๑๗ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๖. โสภิตพุทธวงศ์
[๒๙] พระเรวตพุทธเจ้าพระองค์นั้นผู้มีพระยศ
ผู้เป็นมหามุนีเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว
พระบรมสารีริกธาตุของพระองค์
แผ่ไปอย่างกว้างขวางในนานาอารยประเทศ ฉะนี้แล
เรวตพุทธวงศ์ที่ ๕ จบ

๖. โสภิตพุทธวงศ์
ว่าด้วยพระประวัติของพระโสภิตพุทธเจ้า
[๑] สมัยต่อจากพระพุทธเจ้าพระนามว่าเรวตะ
ได้มีพระพุทธเจ้าพระนามว่าโสภิตะทรงเป็นผู้นำ
มีพระทัยสงบมั่นคงไม่มีใครเสมอเหมือน ไม่มีบุคคลเปรียบ
[๒] พระชินเจ้าพระองค์นั้นไม่ทรงยินดีในพระราชวังของพระองค์
ทรงบรรลุพระโพธิญาณโดยสิ้นเชิง ประกาศพระธรรมจักรแล้ว
[๓] จากเบื้องบนจรดอเวจีมหานรก จากเบื้องล่างจรดภวัคคพรหม
ในระหว่างนี้ มีบริษัทเป็นหนึ่งเดียวกัน ในการแสดงธรรม
[๔] พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศพระธรรมจักรแก่บริษัทนั้น
ผู้ได้บรรลุธรรมครั้งที่ ๑ จะคำนวณนับมิได้เลย
[๕] ถัดจากนั้น เมื่อพระองค์ทรงแสดงธรรม
ในสมาคมของเทวดาและมนุษย์
เทวดาและมนุษย์ประมาณ ๙๐,๐๐๐ โกฏิ
ได้บรรลุธรรม ครั้งที่ ๒
[๖] ในกาลนั้น พระราชบุตรผู้เป็นกษัตริย์พระนามว่าชัยเสน
ทรงรับสั่งให้สร้างพระอารามอีกแห่งหนึ่งน้อมถวายพระพุทธเจ้า
[๗] พระพุทธเจ้าผู้ทรงมีพระจักษุ
ทรงแสดงธรรมประกาศการบูชาของกษัตริย์พระองค์นี้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๑๘ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๖. โสภิตพุทธวงศ์
เทวดาและมนุษย์ประมาณ ๑,๐๐๐ โกฏิ
ได้บรรลุธรรม ครั้งที่ ๓
[๘] พระพุทธเจ้าผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่พระนามว่าโสภิตะ
ได้มีการประชุมแห่งพระขีณาสพ ผู้ปราศจากมลทิน
มีจิตสงบระงับ ผู้คงที่ ๓ ครั้ง
[๙] พระราชาทรงพระนามว่าอุคคตะพระองค์นั้น
ทรงถวายทานแด่พระพุทธเจ้าเป็นผู้สูงสุดแห่งนรชน
ในทานนั้น พระอรหันต์ประมาณ ๑๐๐ โกฏิ มาประชุมกัน
[๑๐] ครั้งนั้น มีหมู่คณะมาถวายทานแด่พระพุทธเจ้า
เป็นผู้สูงสุดแห่งนรชน
พระอรหันต์ประมาณ ๙๐ โกฏิ มาประชุมกัน ครั้งที่ ๒
[๑๑] ในกาลเมื่อพระชินเจ้าทรงเสด็จจำพรรษาในเทวโลกแล้วเสด็จลง
พระอรหันต์ประมาณ ๘๐ โกฏิ มาประชุมกัน ครั้งที่ ๓
[๑๒] สมัยนั้น เราเป็นพราหมณ์มีนามว่าสุชาตะ
เราได้อังคาสพระพุทธเจ้าพร้อมทั้งสาวกให้อิ่มหนำด้วยข้าวและน้ำ
[๑๓] แม้พระพุทธเจ้าพระนามว่าโสภิตะพระองค์นั้น
ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก ก็ทรงพยากรณ์เราว่า
ในกัปอันประมาณมิได้จากกัปนี้ไป
สุชาตพราหมณ์นี้จักเป็นพระพุทธเจ้า
พระตถาคตได้เสด็จออกจากกรุงกบิลพัสดุ์ที่น่ารื่นรมย์
[๑๔] พระตถาคตทรงเริ่มตั้งความเพียร
บำเพ็ญทุกรกิริยา จักประทับนั่งที่โคนต้นอชปาลนิโครธ
ทรงรับข้าวปายาสในที่นั้นแล้ว เสด็จไปยังแม่น้ำเนรัญชรา
พระชินเจ้าพระองค์นั้น จักเสวยข้าวปายาส
ที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา แล้วเสด็จไปที่โคนต้นโพธิ์
ตามหนทางอันประเสริฐที่ตกแต่งไว้แล้ว

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๑๙ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๖. โสภิตพุทธวงศ์
จากนั้น พระองค์ผู้มีพระยศยิ่งใหญ่
จักทำประทักษิณโพธิมัณฑ์อันยอดเยี่ยมแล้ว
ตรัสรู้ที่โคนต้นอัสสัตถพฤกษ์
พระมารดาผู้ให้กำเนิดพระชินเจ้าพระองค์นี้
จักมีพระนามว่ามายา
พระบิดาจักมีพระนามว่าสุทโธทนะ
พระชินเจ้าพระองค์นี้จักมีพระนามว่าโคดม
พระโกลิตเถระและพระอุปติสสเถระ
ผู้ไม่มีอาสวะ สิ้นราคะ มีจิตสงบ
ตั้งมั่นดี จักเป็นพระอัครสาวก
พระเถระนามว่าอานนท์ จักเป็นพระอุปัฏฐาก
บำรุงพระชินเจ้าพระองค์นี้
พระเขมาเถรีและพระอุบลวรรณาเถรี
ผู้ไม่มีอาสวะ สิ้นราคะ มีจิตสงบ
ตั้งมั่นดี จักเป็นพระอัครสาวิกา
ต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
ชาวโลกเรียกว่า ต้นอัสสัตถพฤกษ์
จิตตคหบดีอุบาสกและหัตถกคหบดีอุบาสก
ชาวเมืองอาฬวีจักเป็นอัครอุปัฏฐาก
นันทมารดาอุบาสิกาและอุตตราอุบาสิกา
จักเป็นอัครอุปัฏฐายิกา
พระโคดมผู้มียศพระองค์นั้นจักมีพระชนมายุประมาณ ๑๐๐ ปี
เทวดาและมนุษย์ได้ฟังพระดำรัสนี้
ของพระพุทธเจ้าผู้ไม่มีใครเสมอเหมือน
ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่แล้ว
ต่างก็มีความชื่นชมกล่าวว่า
‘ท่านผู้นี้เป็นหน่อพุทธางกูร’

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๒๐ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๖. โสภิตพุทธวงศ์
สัตว์ทั้งหลายในหมื่นจักรวาลพร้อมทั้งเทวดา
ต่างก็เปล่งเสียงโห่ร้องปรบมือ ร่าเริง
ประนมมือนมัสการว่า
‘ถ้าเราทั้งหลายจักพลาดศาสนาของพระโลกนาถพระองค์นี้
เราทั้งหลายก็จักพร้อมหน้าหน่อพุทธางกูรนี้ในอนาคตกาล
มนุษย์ทั้งหลายเมื่อจะข้ามแม่น้ำ พลาดท่าเฉพาะหน้าแล้ว
ก็ยึดเอาท่าถัดไปจึงข้ามแม่น้ำใหญ่ไป ฉันใด
เราทั้งหมดก็ฉันนั้น
ถ้าพลาดพระชินเจ้าพระองค์นี้
ก็จักพร้อมหน้าหน่อพุทธางกูรนี้ในอนาคตกาล’
[๑๕] เราได้ฟังพระดำรัสของพระพุทธเจ้าแม้พระองค์นั้นแล้ว
ทั้งยินดี ทั้งตื้นตันใจ ได้บำเพ็ญความเพียรให้ยิ่งขึ้นไป
เพื่อบรรลุประโยชน์นั้น
[๑๖] กรุงชื่อว่าสุธรรม กษัตริย์พระนามว่าสุธรรม เป็นพระชนก
พระเทวีพระนามว่าสุธรรมา เป็นพระชนนี
ของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าโสภิตะ ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
[๑๗] พระองค์ทรงครองฆราวาสอยู่ ๙,๐๐๐ ปี
มีปราสาทที่อุดมอยู่ ๓ หลัง
คือกุมุทปราสาท นฬินีปราสาท และปทุมปราสาท
[๑๘] มีนางสนมกำนัล ๔๓,๐๐๐ นาง
ล้วนประดับประดาสวยงาม
พระมเหสีพระนามว่ามกิลา
พระราชโอรสพระนามว่าสีหะ
[๑๙] พระองค์ผู้เป็นผู้สูงสุดแห่งบุรุษทรงเห็นนิมิต ๔ ประการ
จึงเสด็จออกจากปราสาทไปผนวช
ทรงบำเพ็ญความเพียรอยู่ ๗ วัน(จึงได้บรรลุพระโพธิญาณ)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๒๑ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๖. โสภิตพุทธวงศ์
[๒๐] พระมหาวีระพระนามว่าโสภิตะ
ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลกผู้อันพรหมทูลอาราธนาแล้ว
ทรงประกาศพระธรรมจักร
ณ พระอุทยานสุธรรมาอันประเสริฐ
[๒๑] พระอสมเถระและพระสุเนตตเถระเป็นพระอัครสาวก
พระอโนมเถระเป็นอุปัฏฐากของพระพุทธเจ้าพระนามว่าโสภิตะ
ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
[๒๒] พระนกุลาเถรีและพระสุชาตาเถรีเป็นพระอัครสาวิกา
และพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น เมื่อตรัสรู้
ก็ได้ตรัสรู้ที่โคนต้นกากะทิง
[๒๓] รัมมอุบาสกและสุเนตตอุบาสกเป็นอัครอุปัฏฐาก
นกุลาอุบาสิกาและจิตตาอุบาสิกาเป็นอัครอุปัฏฐายิกา
[๒๔] พระมหามุนีทรงมีพระวรกายสูง ๕๘ ศอก
ทรงเปล่งพระรัศมีสว่างไสวไปทั่วทิศ ดังดวงอาทิตย์อุทัย
[๒๕] คำสั่งสอนของพระองค์อบไปด้วยกลิ่นศีล
เปรียบเหมือนป่าไม้ที่มีดอกบานสะพรั่งอบไปด้วยกลิ่นต่าง ๆ
[๒๖] คำสอนของพระองค์ใคร ๆ ไม่เบื่อจะฟัง
เหมือนสาครที่ใคร ๆ ไม่เบื่อที่จะเห็น
[๒๗] ขณะนั้น มนุษย์ทั้งหลายมีอายุประมาณ ๙๐,๐๐๐ ปี
พระองค์ก็ทรงดำรงพระชนมายุประมาณเท่านั้น
ทรงช่วยหมู่ชนให้ข้ามพ้นได้เป็นจำนวนมาก
[๒๘] พระองค์พร้อมกับสาวกนั้น
ทรงประทานพระโอวาทและการพร่ำสอน
ทรงสั่งสอนหมู่ชนที่เหลือให้เผากิเลสแล้ว
ปรินิพพานดังเปลวไฟไหม้เชื้อแล้วดับไป

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๒๒ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๗. อโนมทัสสีพุทธวงศ์
[๒๙] พระพุทธเจ้าผู้หาใครเสมอเหมือนมิได้
และสาวกผู้บรรลุพลธรรม
ทุกอย่างล้วนอันตรธานไปหมดแล้ว
สังขารทั้งปวงเป็นสภาพว่างเปล่าหนอ
[๓๐] พระโสภิตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ
เสด็จดับขันธปรินิพพานที่สีหาราม
พระบรมสารีริกธาตุของพระองค์
แผ่ไปอย่างกว้างขวางในนานาอารยประเทศ ฉะนี้แล
โสภิตพุทธวงศ์ที่ ๖ จบ

๗. อโนมทัสสีพุทธวงศ์
ว่าด้วยพระประวัติของพระอโนมทัสสีพุทธเจ้า
[๑] สมัยต่อจากพระพุทธเจ้าพระนามว่าโสภิตะ
ได้มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าอโนมทัสสี
ผู้สูงสุดแห่งเทวดาและมนุษย์ มีพระยศหาประมาณมิได้
ทรงมีพระเดชยากที่จะล่วงได้
[๒] พระองค์ทรงตัดกิเลสเครื่องผูกได้ทุกอย่าง๑
ทรงทำลายภพทั้ง ๓๒ แล้ว
ทรงแสดงทางที่มีการไปไม่หวนกลับ๓
แก่หมู่เทวดาและมนุษย์
[๓] พระองค์ทรงเป็นผู้ไม่หวั่นไหวดังมหาสมุทร
หาผู้กระทบกระทั่งได้ยากดังภูเขา

เชิงอรรถ :
๑ หมายถึงตัดกิเลสเครื่องผูกคือสังโยชน์ ๑๐ ได้ทั้งหมด (ขุ.พุทฺธ.อ. ๒/๒๕๓)
๒ ภพ ๓ ได้แก่ กามภพ รูปภพ และอรูปภพ (ที.ปา. (แปล) ๑๑/๓๐๕/๒๖๕)
๓ ทางที่ไปแล้วไม่หวนกลับในที่นี้ได้แก่ นิพพาน (ขุ.พุทฺธ.อ. ๒๕๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๒๓ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๗. อโนมทัสสีพุทธวงศ์
ทรงมีพระคุณหาที่สุดมิได้ดังอากาศ
ทรงงดงาม(ด้วยมหาปุริสลักษณะและพระอนุพยัญชนะ)
ดังต้นพญาไม้สาละที่มีดอกบานสะพรั่ง
[๔] สัตว์ทั้งหลายย่อมยินดีแม้ด้วยการเห็นพระพุทธองค์
สัตว์เหล่านั้นได้สดับพระดำรัสที่กำลังตรัสแล้ว
ย่อมบรรลุอมตธรรม
[๕] ครั้งนั้น ในการแสดงธรรมครั้งแรกของพระองค์
การบรรลุธรรมเจริญรุ่งเรืองแผ่ไปอย่างกว้างขวาง
เทวดาและมนุษย์ประมาณ ๑๐๐ โกฏิ ได้บรรลุธรรม
[๖] สมัยต่อมา ในการตรัสพระธรรมเทศนาครั้งที่ ๒ นี้
เมื่อพระพุทธเจ้ายังฝนคือธรรมให้ตกอยู่
เทวดาและมนุษย์ประมาณ ๘๐ โกฏิได้บรรลุธรรม
[๗] สมัยต่อมา เมื่อพระพุทธองค์ยังธารน้ำคือธรรมให้หลั่งไหล
ทำหมู่สัตว์ให้อิ่มหนำ
เทวดาและมนุษย์ประมาณ ๗๘ โกฏิได้บรรลุธรรมครั้งที่ ๓
[๘] เฉพาะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าอโนมทัสสีพระองค์นั้น
ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
ได้มีการประชุมพระภิกษุสงฆ์สาวกผู้บรรลุอภิญญา
และพลธรรม ผู้เบิกบานด้วยการหลุดพ้น ๓ ครั้ง
[๙] ครั้งนั้น พระขีณาสพผู้ละความมัวเมาและความหลง
ผู้มีจิตสงบระงับ ผู้คงที่ ประมาณ ๘๐๐,๐๐๐ รูป มาประชุมกัน
[๑๐] พระขีณาสพผู้ไม่มีกิเลสเครื่องยั่วยวน ปราศจากธุลีคือกิเลส
ผู้มีจิตสงบระงับ ผู้คงที่ จำนวน ๗๐๐,๐๐๐ รูป
มาประชุมกัน เป็นครั้งที่ ๒
[๑๑] พระขีณาสพผู้บรรลุอภิญญาและพลธรรม ดับกิเลสได้แล้ว
มีตบะ ประมาณ ๖๐๐,๐๐๐ รูป มาประชุมกัน เป็นครั้งที่ ๓

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๒๔ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๗. อโนมทัสสีพุทธวงศ์
[๑๒] สมัยนั้น เราเกิดเป็นยักษ์ผู้มีฤทธิ์มาก วางอำนาจ
เป็นใหญ่กว่ายักษ์หลายโกฏิ
[๑๓] แม้ครั้งนั้น เราก็ได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐพระองค์นั้น
ผู้ทรงแสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่แล้ว
ได้อังคาสพระองค์ผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก
พร้อมทั้งพระสงฆ์ให้อิ่มหนำด้วยข้าวและน้ำ
[๑๔] ครั้งนั้น แม้พระมุนีผู้มีนัยนาบริสุทธิ์พระองค์นั้น
ก็ทรงพยากรณ์เราว่า
ในกัปอันประมาณมิได้นับจากกัปนี้ไป
ยักษ์ตนนี้จักเป็นพระพุทธเจ้า
พระตถาคตได้เสด็จออกจากกรุงกบิลพัสดุ์ที่น่ารื่นรมย์
[๑๕] พระตถาคตทรงเริ่มตั้งความเพียร
บำเพ็ญทุกรกิริยา จักประทับนั่งที่โคนต้นอชปาลนิโครธ
ทรงรับข้าวปายาสในที่นั้นแล้ว เสด็จไปยังแม่น้ำเนรัญชรา
พระชินเจ้าพระองค์นั้นจักเสวยข้าวปายาส
ที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา แล้วเสด็จไปที่โคนต้นโพธิ์
ตามหนทางอันประเสริฐที่ตกแต่งไว้แล้ว
จากนั้น พระองค์ผู้มีพระยศยิ่งใหญ่
จักทำประทักษิณโพธิมัณฑ์อันยอดเยี่ยมแล้ว
ตรัสรู้ที่โคนต้นอัสสัตถพฤกษ์
พระมารดาผู้ให้กำเนิดพระชินเจ้าพระองค์นี้
จักมีพระนามว่ามายา
พระบิดาจักมีพระนามว่าสุทโธทนะ
พระชินเจ้าพระองค์นี้จักมีพระนามว่าโคดม
พระโกลิตเถระและพระอุปติสสเถระ
ผู้ไม่มีอาสวะ สิ้นราคะ มีจิตสงบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๒๕ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๗. อโนมทัสสีพุทธวงศ์
ตั้งมั่นดี จักเป็นพระอัครสาวก
พระเถระนามว่าอานนท์ จักเป็นพระอุปัฏฐาก
บำรุงพระชินเจ้าพระองค์นี้
พระเขมาเถรีและพระอุบลวรรณาเถรี
ผู้ไม่มีอาสวะ สิ้นราคะ มีจิตสงบ
ตั้งมั่นดี จักเป็นพระอัครสาวิกา
ต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
ชาวโลกเรียกว่า ต้นอัสสัตถพฤกษ์
จิตตคหบดีอุบาสกและหัตถกคหบดีอุบาสก
ชาวเมืองอาฬวีจักเป็นอัครอุปัฏฐาก
นันทมารดาอุบาสิกาและอุตตราอุบาสิกา
จักเป็นอัครอุปัฏฐายิกา
พระโคดมผู้มียศพระองค์นั้น
จักมีพระชนมายุประมาณ ๑๐๐ ปี
เทวดาและมนุษย์ ได้ฟังพระดำรัสนี้
ของพระพุทธเจ้าผู้ไม่มีใครเสมอเหมือน
ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่แล้ว
ต่างก็มีความชื่นชมกล่าวว่า
‘ท่านผู้นี้เป็นหน่อพุทธางกูร’
สัตว์ทั้งหลายในหมื่นจักรวาลพร้อมทั้งเทวดา
ต่างก็เปล่งเสียงโห่ร้องปรบมือ ร่าเริง
ประนมมือนมัสการว่า
‘ถ้าเราทั้งหลายจักพลาดศาสนาของพระโลกนาถพระองค์นี้
เราทั้งหลายก็จักพร้อมหน้าหน่อพุทธางกูรนี้ในอนาคตกาล
มนุษย์ทั้งหลายเมื่อจะข้ามแม่น้ำ พลาดท่าเฉพาะหน้าแล้ว
ก็ยึดเอาท่าถัดไปจึงข้ามแม่น้ำใหญ่ไป ฉันใด
เราทั้งหมดก็ฉันนั้น ถ้าพลาดพระชินเจ้าพระองค์นี้
ก็จักพร้อมหน้าหน่อพุทธางกูรนี้ในอนาคตกาล’

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๒๖ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๗. อโนมทัสสีพุทธวงศ์
[๑๖] เราได้ฟังพระดำรัสของพระพุทธเจ้าแม้พระองค์นั้นแล้ว
ทั้งยินดี ทั้งตื้นตันใจ
ได้อธิษฐานวัตรเพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐ ประการให้ยิ่งขึ้นไป
[๑๗] กรุงชื่อว่าจันทวดี กษัตริย์พระนามว่ายสวาเป็นพระชนก
พระเทวีพระนามว่ายโสธราเป็นพระชนนี
ของพระศาสดาพระนามว่าอโนมทัสสี
[๑๘] พระองค์ทรงครองฆราวาสอยู่ ๑๐,๐๐๐ ปี
มีปราสาทที่อุดมอยู่ ๓ หลัง
คือสิริปราสาท อุปสิริปราสาท และวัฑฒปราสาท
[๑๙] มีนางสนมกำนัล ๒๓,๐๐๐ นาง
ล้วนประดับประดาสวยงาม
พระมเหสีพระนามว่าสิริมา
พระราชโอรสพระนามว่าอุปสาละ
[๒๐] พระชินเจ้าทรงเห็นนิมิต ๔ ประการ
จึงทรงวอทองออกผนวชแล้ว
ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ ๑๐ เดือนเต็ม(จึงได้บรรลุพระโพธิญาณ)
[๒๑] พระมหาวีรมหามุนีพระนามว่าอโนมทัสสี
ผู้อันพรหมทูลอาราธนาแล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักร
ณ พระอุทยานสุทัสสนะอันประเสริฐ
[๒๒] พระนิสภเถระและพระอโนมเถระเป็นพระอัครสาวก
พระเถระนามว่าวรณะเป็นพระอุปัฏฐาก
ของพระศาสดาพระนามว่าอโนมทัสสี
[๒๓] พระสุนทราเถรีและพระสุมนาเถรีเป็นพระอัครสาวิกา
ต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
ชาวโลกเรียกว่าต้นรกฟ้า
[๒๔] นันทิวัฑฒอุบาสกและสิริวัฑฒอุบาสกเป็นอัครอุปัฏฐาก
อุปปลาอุบาสิกาและปทุมาอุบาสิกาเป็นอัครอุปัฏฐายิกา

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๒๗ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๘. ปทุมพุทธวงศ์
[๒๕] พระมหามุนีทรงมีพระวรกายสูง ๕๘ ศอก
พระองค์มีพระรัศมีแผ่ซ่านออกสว่างไสว ดังดวงอาทิตย์อุทัย
[๒๖] ขณะนั้น มนุษย์ทั้งหลายมีอายุประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ ปี
พระองค์ก็ทรงดำรงพระชนมายุประมาณเท่านั้น
ทรงช่วยหมู่ชนให้ข้ามพ้นได้เป็นจำนวนมาก
[๒๗] ศาสนาของพระชินเจ้าบานสะพรั่ง
งดงามด้วยพระอรหันต์ทั้งหลาย ผู้คงที่
ปราศจากราคะและไม่มีมลทิน
[๒๘] พระศาสดาพระองค์นั้นผู้มีพระยศหาประมาณมิได้
และคู่พระอัครสาวกผู้ไม่มีบุคคลเสมอเหมือน
ทุกอย่างล้วนอันตรธานไปหมดแล้ว
สังขารทั้งปวงเป็นสภาพว่างเปล่าหนอ
[๒๙] พระชินศาสดาพระนามว่าอโนมทัสสี
เสด็จดับขันธปรินิพพานที่ธรรมาราม
พระสถูปของพระชินเจ้านั้น
ที่ธรรมารามนั้น สูง ๒๕ โยชน์ ฉะนี้แล
อโนมทัสสีพุทธวงศ์ที่ ๗ จบ

๘. ปทุมพุทธวงศ์
ว่าด้วยพระประวัติพระปทุมพุทธเจ้า
[๑] สมัยต่อจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าอโนมทัสสี
ได้มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมะตามพระโคตร
ผู้สูงสุดแห่งเทวดาและมนุษย์ ไม่มีใครเสมอเหมือน
ไม่มีบุคคลเปรียบ
[๒] แม้ศีลของพระองค์ก็ไม่มีสิ่งไรเสมอ แม้สมาธิก็ไม่มีที่สุด
พระญาณอันประเสริฐนับไม่ถ้วน และแม้วิมุตติก็ไม่มีอะไรเปรียบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๒๘ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๘. ปทุมพุทธวงศ์
[๓] แม้ในคราวที่พระองค์ผู้มีเดชหาอะไรเทียบมิได้
ทรงประกาศพระธรรมจักร
การบรรลุธรรม กำจัดความมืดใหญ่ได้มี ๓ ครั้ง
[๔] ในการบรรลุธรรม ครั้งที่ ๑ พระพุทธธีรเจ้า
ทรงช่วยเทวดาและมนุษย์ ประมาณ ๑๐๐ โกฏิ ให้บรรลุ
ในการบรรลุธรรม ครั้งที่ ๒ ทรงช่วยเทวดาและมนุษย์
ประมาณ ๙๐ โกฏิ ให้บรรลุ
[๕] และในคราวเมื่อพระปทุมพุทธเจ้า
ตรัสสอนพระราชโอรสของพระองค์
เทวดาและมนุษย์ประมาณ ๘๐ โกฏิ ได้บรรลุธรรม ครั้งที่ ๓
[๖] พระปทุมพุทธเจ้าผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
ได้มีการประชุมสาวก ๓ ครั้ง
ภิกษุประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ มาประชุมกัน เป็นครั้งที่ ๑
[๗] เมื่อกฐินจีวรเกิดขึ้นในสมัยกรานกฐิน
ภิกษุทั้งหลายช่วยกันเย็บจีวรเพื่อประโยชน์แก่พระธรรมเสนาบดี
[๘] ครั้งนั้น ภิกษุเหล่านั้นล้วนปราศจากมลทิน
ได้อภิญญา ๖ มีฤทธิ์มาก
ผู้ไม่พ่ายแพ้ ประมาณ ๓๐๐,๐๐๐ รูป มาประชุมกัน
[๙] สมัยต่อมา ในคราวที่พระปทุมพุทธเจ้า
ผู้องอาจกว่านรชนทรงเข้าจำพรรษาในป่าใหญ่
ครั้งนั้น ภิกษุประมาณ ๒๐๐,๐๐๐ รูป มาประชุมกัน
[๑๐] สมัยนั้น ข้าพเจ้าเกิดเป็นราชสีห์
เป็นเจ้าแห่งฝูงเนื้อได้เห็นพระชินเจ้า
ซึ่งกำลังเจริญวิเวกธรรมอยู่ในป่าใหญ่
[๑๑] ข้าพเจ้ากราบพระยุคลบาทด้วยศีรษะ
กระทำประทักษิณพระองค์ บันลือสีหนาท ๓ ครั้ง
บำรุงพระชินเจ้าอยู่ตลอด ๗ วัน

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๒๙ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๘. ปทุมพุทธวงศ์
[๑๒] ครบ ๗ วันแล้ว พระตถาคตเสด็จออกจากสมาบัติอันประเสริฐ
ทรงมีหทัยดำริให้ภิกษุจำนวน ๑ โกฏิ มาประชุมกัน
[๑๓] แม้ครั้งนั้น พระมหาวีระพระองค์นั้น
ก็ทรงพยากรณ์ในท่ามกลางภิกษุเหล่านั้นว่า
ในกัปอันประมาณมิได้นับจากกัปนี้ไป
พญาราชสีห์นี้ จักเป็นพระพุทธเจ้า
พระตถาคตได้เสด็จออกจากกรุงกบิลพัสดุ์ที่น่ารื่นรมย์
[๑๔] พระตถาคตทรงเริ่มตั้งความเพียร
บำเพ็ญทุกรกิริยา จักประทับนั่งที่โคนต้นอชปาลนิโครธ
ทรงรับข้าวปายาสในที่นั้นแล้ว
เสด็จไปยังแม่น้ำเนรัญชรา
พระชินเจ้าพระองค์นั้นจักเสวยข้าวปายาส
ที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา แล้วเสด็จไปที่โคนต้นโพธิ์
ตามหนทางอันประเสริฐที่ตกแต่งไว้แล้ว
จากนั้น พระองค์ผู้มีพระยศยิ่งใหญ่
จักทำประทักษิณโพธิมัณฑ์อันยอดเยี่ยมแล้ว
ตรัสรู้ที่โคนต้นอัสสัตถพฤกษ์
พระมารดาผู้ให้กำเนิดพระชินเจ้าพระองค์นี้
จักมีพระนามว่ามายา
พระบิดาจักมีพระนามว่าสุทโธทนะ
พระชินเจ้าพระองค์นี้จักมีพระนามว่าโคดม
พระโกลิตเถระและพระอุปติสสเถระ
ผู้ไม่มีอาสวะ สิ้นราคะ มีจิตสงบ
ตั้งมั่นดีจักเป็นพระอัครสาวก
พระเถระนามว่าอานนท์ จักเป็นพระอุปัฏฐาก
บำรุงพระชินเจ้าพระองค์นี้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๓๐ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๘. ปทุมพุทธวงศ์
พระเขมาเถรีและพระอุบลวรรณาเถรี
ผู้ไม่มีอาสวะ สิ้นราคะ มีจิตสงบ
ตั้งมั่นดี จักเป็นพระอัครสาวิกา
ต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
ชาวโลกเรียกว่า ต้นอัสสัตถพฤกษ์
จิตตคหบดีอุบาสกและหัตถกคหบดีอุบาสก
ชาวเมืองอาฬวี จักเป็นอัครอุปัฏฐาก
นันทมารดาอุบาสิกาและขุชชุตตราอุบาสิกา
จักเป็นอัครอุปัฏฐายิกา
พระโคดมผู้มียศพระองค์นั้น
จักมีพระชนมายุประมาณ ๑๐๐ ปี
เทวดาและมนุษย์ได้ฟังพระดำรัสนี้
ของพระพุทธเจ้าผู้ไม่มีใครเสมอเหมือน
ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่แล้ว
ต่างก็มีความชื่นชมกล่าวว่า
‘ท่านผู้นี้เป็นหน่อพุทธางกูร’
สัตว์ทั้งหลายในหมื่นจักรวาลพร้อมทั้งเทวดา
ต่างก็เปล่งเสียงโห่ร้องปรบมือ ร่าเริง
ประนมมือนมัสการว่า
‘ถ้าเราทั้งหลายจักพลาดศาสนาของพระโลกนาถพระองค์นี้
เราทั้งหลายก็จักพร้อมหน้าหน่อพุทธางกูรนี้ในอนาคตกาล
มนุษย์ทั้งหลายเมื่อจะข้ามแม่น้ำ พลาดท่าเฉพาะหน้าแล้ว
ก็ยึดเอาท่าถัดไปจึงข้ามแม่น้ำใหญ่ไป ฉันใด
เราทั้งหมดก็ฉันนั้นเหมือนกัน ถ้าพลาดพระชินเจ้าพระองค์นี้
ก็จักพร้อมหน้าหน่อพุทธางกูรนี้ในอนาคตกาล’
[๑๕] เราได้ฟังพระดำรัสของพระพุทธเจ้าแม้พระองค์นั้นแล้ว
ก็ทำจิตให้เลื่อมใสอย่างยิ่ง
ได้อธิษฐานวัตรเพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐ ประการให้ยิ่งขึ้นไป

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๓๑ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๘. ปทุมพุทธวงศ์
[๑๖] กรุงชื่อว่าจัมปกะ กษัตริย์พระนามว่าอสมะ เป็นพระชนก
พระเทวีพระนามว่าอสมา เป็นพระชนนี
ของพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมะ ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
[๑๗] พระองค์ทรงครองฆราวาสอยู่ ๑๐,๐๐๐ ปี
มีปราสาทที่อุดมอยู่ ๓ หลัง
คือนันทปราสาท วสุปราสาท และยสุตตรปราสาท
[๑๘] มีนางสนมกำนัล ๓๓,๐๐๐ นาง
ล้วนประดับประดาสวยงาม
พระมเหสีพระนามว่าอุตตรา
พระราชโอรสพระนามว่ารัมมะ
[๑๙] พระชินเจ้าทรงเห็นนิมิต ๔ ประการ
จึงทรงราชพาหนะคือรถออกผนวชแล้ว
ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ ๘ เดือนเต็ม(จึงได้บรรลุพระโพธิญาณ)
[๒๐] พระมหาวีระพระนามว่าปทุมะ ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก
ผู้อันพรหมทูลอาราธนาแล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักร
ณ พระอุทยานธนัญชะอันประเสริฐ
[๒๑] พระสาลเถระและพระอุปสาลเถระเป็นพระอัครสาวก
พระเถระนามว่าวรณะเป็นพระอุปัฏฐากของพระปทุมพุทธเจ้า
ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
[๒๒] พระราธาเถรีและพระสุราธาเถรีเป็นพระอัครสาวิกา
ต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
ชาวโลกเรียกว่า ต้นอ้อยช้างใหญ่
[๒๓] สภิยอุบาสกและอสมอุบาสกเป็นอัครอุปัฏฐาก
รุจิอุบาสิกาและนันทรามาอุบาสิกาเป็นอัครอุปัฏฐายิกา
[๒๔] พระมหามุนีทรงมีพระวรกายสูง ๕๘ ศอก
พระองค์มีพระรัศมีหาอะไรเสมอมิได้ ซึ่งแผ่ซ่านออกทั่วทิศ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๓๒ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๙. นารทพุทธวงศ์
[๒๕] แสงดวงจันทร์ แสงดวงอาทิตย์ แสงรัตนะ แสงไฟ
และแสงแก้วมณีจินดาแม้ทุกอย่างนั้น
ครั้นมาถึงรัศมีอันสูงสุดของพระชินเจ้าแล้วย่อมอันตรธานไป
[๒๖] ขณะนั้น มนุษย์ทั้งหลายมีอายุประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ ปี
พระองค์ก็ทรงดำรงพระชนมายุประมาณเท่านั้น
ทรงช่วยหมู่ชนให้ข้ามพ้นได้เป็นจำนวนมาก
[๒๗] พระองค์พร้อมกับสาวกนั้น ทรงช่วยเหล่าสัตว์
ที่มีญาณแก่กล้าให้ตรัสรู้ได้โดยไม่เหลือ
ทรงพร่ำสอนชนที่เหลืออื่น ๆ แล้วเสด็จดับขันธปรินิพพาน
[๒๘] พระองค์ทรงละทิ้งสังขารทั้งปวงเหมือนงูลอกคราบเก่า
ดังรุกขชาติสลัดใบเก่า แล้วเสด็จดับขันธปรินิพพาน
เหมือนเปลวเพลิงดับไป
[๒๙] พระปทุมชินศาสดาผู้ประเสริฐ
เสด็จดับขันธปรินิพพานที่ธรรมาราม
พระบรมสารีริกธาตุของพระองค์
แผ่ไปอย่างกว้างขวางในนานาอารยประเทศ ฉะนี้แล
ปทุมพุทธวงศ์ที่ ๘ จบ

๙. นารทพุทธวงศ์
ว่าด้วยพระประวัติของพระนารทพุทธเจ้า
[๑] สมัยต่อจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมะ
ได้มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่านารทะ ตามพระโคตร
ผู้สูงสุดแห่งเทวดาและมนุษย์ไม่มีใครเสมอเหมือน ไม่มีบุคคลเปรียบ
[๒] พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงเป็นพระเชษฐโอรส
ที่ทรงโปรดปรานของพระเจ้าจักรพรรดิ
ทรงสวมใส่อาภรณ์แก้วมุกดา เสด็จเข้าไปยังพระราชอุทยาน

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๓๓ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๙. นารทพุทธวงศ์
[๓] ในพระราชอุทยานนั้น มีต้นไม้ใหญ่
แผ่กิ่งก้านสาขาร่มครึ้มสวยงาม
พระองค์เสด็จถึงท่ามกลางพระราชอุทยานนั้นแล้ว
ประทับนั่งภายใต้ต้นอ้อยช้างใหญ่
[๔] ณ ที่นั้น เกิดพระญาณอันประเสริฐหาที่สุดมิได้
เปรียบด้วยเพชร ทรงพิจารณาสังขาร
และพิจารณาสังขารว่าเป็นสภาวะที่เปิดเผย
และที่ปกปิด ด้วยพระญาณนั้น
[๕] ทรงลอยกิเลสทั้งปวงได้โดยไม่เหลือในที่นั้นเอง
ทรงบรรลุพระโพธิญาณทั้งสิ้นและพระพุทธญาณ ๑๔๑
[๖] ครั้นทรงบรรลุสัมโพธิญาณแล้ว
ทรงประกาศพระธรรมจักร
เทวดาและมนุษย์ประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ
ได้บรรลุธรรมครั้งที่ ๑
[๗] ในกาลนั้นพระมหามุนีทรงกำราบพญานาค
ผู้มีลำตัวเท่าเรือโกลนขนาดใหญ่
ได้ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ให้มนุษยโลก
พร้อมทั้งเทวโลกได้เห็นพร้อมกัน
[๘] ในกาลที่ทรงประกาศพระธรรมแก่เทวดาและมนุษย์
ครั้งนั้น เทวดาและมนุษย์ประมาณ ๙๐,๐๐๐ โกฏิ
ข้ามความสงสัยทั้งปวงได้
[๙] ในกาลเมื่อพระมหาวีระตรัสสอนพระราชโอรสของพระองค์
เทวดาและมนุษย์ประมาณ ๘๐,๐๐๐ โกฏิ
ได้บรรลุธรรมครั้งที่ ๓

เชิงอรรถ :
๑ พุทธญาณ ๑๔ ได้แก่ มรรคญาณ ๔ ผลญาณ ๔ อสาธารณญาณ ๖ (ขุ.พุทธ.อ. ๕/๒๖๘-๒๖๙)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๓๔ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๙. นารทพุทธวงศ์
[๑๐] พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่านารทะ
ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
ได้มีการประชุมสาวก ๓ ครั้ง
สาวกประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ มาประชุมกัน เป็นครั้งที่ ๑
[๑๑] ในกาลที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศพระพุทธคุณ
พร้อมด้วยเหตุ สาวกผู้ปราศจากมลทิน
ประมาณ ๙๐,๐๐๐ โกฏิ มาประชุมกัน
[๑๒] ในกาลที่เวโรจนนาคราชถวายทานแด่พระศาสดา
สาวกของพระชินเจ้าประมาณ ๘๐ ล้าน มาประชุมกัน
[๑๓] สมัยนั้น เราเป็นชฎิลผู้มีตบะแก่กล้า
สำเร็จอภิญญา ๕ เหาะไปในอากาศได้
[๑๔] แม้ครั้งนั้น เราก็ได้อังคาสพระศาสดา
หาผู้เสมอเหมือนมิได้พร้อมทั้งพระสงฆ์
และบริวารชนให้อิ่มหนำด้วยข้าวและน้ำแล้ว
ได้บูชาด้วยไม้จันทน์หอม
[๑๕] ครั้งนั้น แม้พระพุทธเจ้าพระนามว่านารทะ
พระองค์นั้น ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก
ก็ทรงพยากรณ์เราว่า
‘ในกัปอันประมาณมิได้นับจากกัปนี้ไป
เขาจักเป็นพระพุทธเจ้าในโลก’
พระตถาคตได้เสด็จออกจากกรุงกบิลพัสดุ์ที่น่ารื่นรมย์
[๑๖] พระตถาคตทรงเริ่มตั้งความเพียร
บำเพ็ญทุกรกิริยา จักประทับนั่งที่โคนต้นอชปาลนิโครธ
ทรงรับข้าวปายาสในที่นั้น แล้วเสด็จไปยังแม่น้ำเนรัญชรา
พระชินเจ้าพระองค์นั้น จักเสวยข้าวปายาส
ที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา แล้วเสด็จไปที่โคนต้นโพธิ์
ตามหนทางอันประเสริฐที่ตกแต่งไว้แล้ว

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๓๕ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๙. นารทพุทธวงศ์
จากนั้น พระองค์ผู้มีพระยศยิ่งใหญ่
จักทำประทักษิณโพธิมัณฑ์อันยอดเยี่ยมแล้ว
ตรัสรู้ที่โคนต้นอัสสัตถพฤกษ์
พระมารดาผู้ให้กำเนิดพระชินเจ้าพระองค์นี้
จักมีพระนามว่ามายา
พระบิดาจักมีพระนามว่าสุทโธทนะ
พระชินเจ้าพระองค์นี้จักมีพระนามว่าโคดม
พระโกลิตเถระและพระอุปติสสเถระ
ผู้ไม่มีอาสวะ สิ้นราคะ มีจิตสงบ
ตั้งมั่นดี จักเป็นพระอัครสาวก
พระเถระนามว่าอานนท์ จักเป็นพระอุปัฏฐาก
บำรุงพระชินเจ้าพระองค์นี้
พระเขมาเถรีและพระอุบลวรรณาเถรี
ผู้ไม่มีอาสวะ สิ้นราคะ มีจิตสงบ
ตั้งมั่นดี จักเป็นพระอัครสาวิกา
ต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
ชาวโลกเรียกว่า ต้นอัสสัตถพฤกษ์
จิตตคหบดีอุบาสกและหัตถกคหบดีอุบาสก
ชาวเมืองอาฬวีจักเป็นอัครอุปัฏฐาก
นันทมารดาอุบาสิกาและอุตตราอุบาสิกา
จักเป็นอัครอุปัฏฐายิกา
พระโคดมผู้มียศพระองค์นั้นจักมีพระชนมายุประมาณ ๑๐๐ ปี
เทวดาและมนุษย์ ได้ฟังพระดำรัสนี้
ของพระพุทธเจ้าผู้ไม่มีใครเสมอเหมือน
ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่แล้ว
ต่างก็มีความชื่นชมกล่าวว่า
‘ท่านผู้นี้เป็นหน่อพุทธางกูร’

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๓๖ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๙. นารทพุทธวงศ์
สัตว์ทั้งหลายในหมื่นจักรวาลพร้อมทั้งเทวดา
ต่างก็เปล่งเสียงโห่ร้องปรบมือ ร่าเริง
ประนมมือนมัสการว่า
‘ถ้าเราทั้งหลายจักพลาดศาสนาของพระโลกนาถพระองค์นี้
เราทั้งหลายก็จักพร้อมหน้าหน่อพุทธางกูรนี้ในอนาคตกาล
มนุษย์ทั้งหลายเมื่อจะข้ามแม่น้ำ พลาดท่าเฉพาะหน้าแล้ว
ก็ยึดเอาท่าถัดไปจึงข้ามแม่น้ำใหญ่ไป ฉันใด
เราทั้งหมดก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ถ้าพลาดพระชินเจ้าพระองค์นี้
ก็จักพร้อมหน้าหน่อพุทธางกูรนี้ในอนาคตกาล’
[๑๗] เราได้ฟังพระดำรัสของพระพุทธเจ้าแม้พระองค์นั้นแล้ว
ก็ทำใจให้ยินดีอย่างยิ่ง
ได้อธิษฐานวัตรเพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐ ประการให้ยิ่งขึ้นไป
[๑๘] กรุงชื่อว่าธัญญวดี กษัตริย์พระนามว่าสุเทพ เป็นพระชนก
พระเทวีพระนามว่าอโนมา เป็นพระชนนี
ของพระพุทธเจ้าพระนามว่านารทะ ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
[๑๙] พระองค์ทรงครองฆราวาสอยู่ ๙,๐๐๐ ปี
มีปราสาทที่อุดมอยู่ ๓ หลัง
คือชิตปราสาท วิชิตปราสาท และอภิรามปราสาท
[๒๐] มีนางสนมกำนัล ๔๓,๐๐๐ นาง
ล้วนประดับประดาสวยงาม
พระมเหสีพระนามว่าวิชิตเสนา
พระราชโอรสพระนามว่านันทุตตระ
[๒๑] พระองค์ผู้เป็นผู้สูงสุดแห่งบุรุษ ทรงเห็นนิมิต ๔ ประการ
จึงเสด็จออกผนวชด้วยการเดินเท้า
บำเพ็ญเพียรอยู่ ๗ วัน(จึงได้บรรลุพระโพธิญาณ)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๓๗ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๙. นารทพุทธวงศ์
[๒๒] พระมหาวีระพระนามว่านารทะ ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก
ผู้อันพรหมทูลอาราธนาแล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักร
ณ พระอุทยานธนัญชะอันประเสริฐ
[๒๓] พระภัททสาลเถระและพระชิตมิตตเถระเป็นพระอัครสาวก
พระเถระนามว่าวาเสฏฐะเป็นพระอุปัฏฐาก
ของพระพุทธเจ้าพระนามว่านารทะ
ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
[๒๔] พระอุตตราเถรีและพระผัคคุนีเถรีเป็นพระอัครสาวิกา
ต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
ชาวโลกเรียกว่า ต้นอ้อยช้างใหญ่
[๒๕] อุคครินทอุบาสกและวสภอุบาสกเป็นอัครอุปัฏฐาก
อินทวรีอุบาสิกาและคัณฑีอุบาสิกาเป็นอัครอุปัฏฐายิกา
[๒๖] พระมหามุนีทรงมีพระวรกายสูง ๘๘ ศอก
ทรงงดงามดังทองคำที่ล้ำค่า ทำหมื่นจักรวาลให้สว่างไสว
[๒๗] พระองค์ทรงมีพระวรกายมีรัศมีวาหนึ่ง
พระรัศมี(นั้น) แผ่ซ่านไปทั่วทิศ ติดกันไปตลอดโยชน์หนึ่ง
ทั้งกลางวันและกลางคืนทุกเมื่อ(ที่ต้องการ)
[๒๘] ขณะนั้น ในระยะโยชน์หนึ่งโดยรอบ
ใคร ๆ ไม่ต้องจุดคบเพลิงหรือประทีป(เพราะ)พระพุทธรัศมีแผ่ไปทั่ว
[๒๙] สมัยนั้น มนุษย์ทั้งหลายมีอายุประมาณ ๙๐,๐๐๐ ปี
พระองค์ก็ทรงดำรงพระชนมายุประมาณเท่านั้น
ทรงช่วยหมู่ชนให้ข้ามพ้นได้เป็นจำนวนมาก
[๓๐] ศาสนาของพระองค์งดงามด้วยพระอรหันต์ทั้งหลาย
เหมือนท้องฟ้างามวิจิตรด้วยหมู่ดาว
[๓๑] พระผู้องอาจกว่านรชนพระองค์นั้น
ทรงสร้างสะพานคือธรรมไว้อย่างมั่นคง

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๓๘ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๑๐. ปทุมุตตรพุทธวงศ์
สำหรับให้คนผู้ปฏิบัติที่เหลือ๑เดินข้ามกระแสสังสารวัฏแล้ว
เสด็จดับขันธปรินิพพาน
[๓๒] แม้พระพุทธเจ้าหาผู้เสมอเหมือนมิได้พระองค์นั้น
และพระขีณาสพผู้มีเดชหาอะไรเทียบมิได้เหล่านั้น
ทุกอย่างล้วนอันตรธานไปหมดแล้ว
สังขารทั้งปวงเป็นสภาพว่างเปล่าหนอ
[๓๓] พระนารทชินเจ้าผู้ประเสริฐ
เสด็จดับขันธปรินิพพานที่สุทัสสนนคร
พระสถูปอันประเสริฐของพระองค์
ที่สุทัศนนครนั้นสูง ๔ โยชน์ ฉะนี้แล
นารทพุทธวงศ์ที่ ๙ จบ

๑๐. ปทุมุตตรพุทธวงศ์
ว่าด้วยพระประวัติของพระปทุมุตตรพุทธเจ้า
[๑] สมัยต่อจากพุทธเจ้าพระนามว่านารทะ
ได้มีพระชินสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ
ผู้สูงสุดกว่าเทวดาและมนุษย์
ไม่หวั่นไหว เปรียบด้วยสมุทรสาคร
[๒] ก็กัปที่พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นนั้น
เป็นมัณฑกัป(กัปที่มีพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติ ๒ พระองค์)
หมู่ชนผู้มีกุศลมากได้เกิดขึ้นในกัปนั้น
[๓] ในคราวที่พระผู้มีพระภาคพระนามว่าปทุมุตตระ
ทรงแสดงธรรมครั้งแรก
เทวดาและมนุษย์ประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ ได้บรรลุธรรม

เชิงอรรถ :
๑ คนผู้ปฏิบัติที่เหลือ ในที่นี้ได้แก่ เสกขบุคคลกับกัลยาณปุถุชน (ขุ.พุทธ.อ. ๓๑/๒๗๕)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๓๙ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๑๐. ปทุมุตตรพุทธวงศ์
[๔] จากนั้น เมื่อพระองค์ทำฝนคือธรรมให้ตก
ช่วยเหล่าสัตว์ให้อิ่มหนำ(ด้วยฝนคืออมตะ)
เทวดาและมนุษย์ประมาณ ๓๗,๐๐๐(โกฏิ) ได้บรรลุธรรม ครั้งที่ ๒
[๕] ในกาลที่พระมหาวีรเจ้า
ได้เสด็จเข้าไปหาพระเจ้าอานันทะ(ผู้เป็นพระราชบิดา)
ครั้นเข้าไปสำนักของพระราชบิดาแล้ว ได้ทรงลั่นอมตเภรี
[๖] เมื่อพระพุทธเจ้าทรงลั่นอมตเภรี
บันดาลสายฝนคือธรรมให้ตกลง
เทวดาและมนุษย์ประมาณ ๕,๐๐๐,๐๐๐ (โกฏิ)
ได้บรรลุธรรมครั้งที่ ๓
[๗] พระพุทธเจ้าผู้ฉลาดในเทศนา ผู้ทรงประทานโอวาท
ผู้ทำเหล่าสัตว์ให้รู้แจ้งทรงช่วยสัตว์ทั้งปวงให้ข้าม
ทรงช่วยหมู่ชนให้ข้ามพ้นได้เป็นจำนวนมาก
[๘] พระศาสดาพระนามว่าปทุมุตตระ
มีการประชุมสาวก ๓ ครั้ง
มีสาวกประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ มาประชุมกัน เป็นครั้งที่ ๑
[๙] ในกาลที่พระพุทธเจ้า
ผู้ไม่มีใครเสมอเหมือน ประทับอยู่ที่เวภารบรรพต
สาวกประมาณ ๙๐,๐๐๐ โกฏิ มาประชุมกัน เป็นครั้งที่ ๒
[๑๐] เมื่อพระองค์เสด็จจากคามนิคมและแว่นแคว้นหลีกจาริกไป
สาวกประมาณ ๘๐,๐๐๐ โกฏิ มาประชุมกัน เป็นครั้งที่ ๓
[๑๑] สมัยนั้น เราเป็นชฎิลมีชื่อว่ารัฏฐิกะ
ได้ถวายผ้าพร้อมภัตตาหารแด่พระสงฆ์
มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน
[๑๒] แม้พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ก็ประทับนั่งท่ามกลางพระสงฆ์
ทรงพยากรณ์เราว่า

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๔๐ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๑๐. ปทุมุตตรพุทธวงศ์
จากนี้ไปอีก ๑๐๐,๐๐๐ กัป
ชฎิลนี้จักเป็นพระพุทธเจ้า
พระตถาคตได้เสด็จออกจากกรุงกบิลพัสดุ์ที่น่ารื่นรมย์
[๑๓] ทรงเริ่มตั้งความเพียร บำเพ็ญทุกรกิริยา
จักประทับนั่งที่โคนต้นอชปาลนิโครธ
ทรงรับข้าวปายาสในที่นั้น แล้วเสด็จไปยังแม่น้ำเนรัญชรา
พระชินเจ้าพระองค์นั้นจักเสวยข้าวปายาส
ที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชราแล้วเสด็จไปที่โคนต้นโพธิ์
ตามหนทางอันประเสริฐที่ตกแต่งไว้แล้ว
จากนั้น พระองค์ผู้มีพระยศยิ่งใหญ่
จักทำประทักษิณโพธิมัณฑ์อันยอดเยี่ยมแล้ว
ตรัสรู้ที่โคนต้นอัสสัตถพฤกษ์
พระมารดาผู้ให้กำเนิดพระชินเจ้าพระองค์นี้
จักมีพระนามว่ามายา
พระบิดาจักมีพระนามว่าสุทโธทนะ
พระชินเจ้าพระองค์นี้จักมีพระนามว่าโคดม
พระโกลิตเถระและพระอุปติสสเถระ
ผู้ไม่มีอาสวะ สิ้นราคะ มีจิตสงบ
ตั้งมั่นดี จักเป็นพระอัครสาวก
พระเถระนามว่าอานนท์ จักเป็นพระอุปัฏฐาก
บำรุงพระชินเจ้าพระองค์นี้
พระเขมาเถรีและพระอุบลวรรณาเถรี
ผู้ไม่มีอาสวะ สิ้นราคะ มีจิตสงบ
ตั้งมั่นดี จักเป็นพระอัครสาวิกา
ต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
ชาวโลกเรียกว่า ต้นอัสสัตถพฤกษ์
จิตตคหบดีอุบาสกและหัตถกคหบดีอุบาสก
ชาวเมืองอาฬวีจักเป็นอัครอุปัฏฐาก

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๔๑ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๑๐. ปทุมุตตรพุทธวงศ์
นันทมารดาอุบาสิกาและอุตตราอุบาสิกา
จักเป็นอัครอุปัฏฐายิกา
พระโคดมผู้มียศพระองค์นั้นจักมีพระชนมายุประมาณ ๑๐๐ ปี
เทวดาและมนุษย์ ได้ฟังพระดำรัสนี้
ของพระพุทธเจ้าผู้ไม่มีใครเสมอเหมือน
ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่แล้ว
ต่างก็มีความชื่นชมกล่าวว่า
‘ท่านผู้นี้เป็นหน่อพุทธางกูร’
สัตว์ทั้งหลายในหมื่นจักรวาลพร้อมทั้งเทวดา
ต่างก็เปล่งเสียงโห่ร้องปรบมือ ร่าเริง
ประนมมือนมัสการว่า
‘ถ้าเราทั้งหลายจักพลาดศาสนาของพระโลกนาถพระองค์นี้
เราทั้งหลายก็จักพร้อมหน้าหน่อพุทธางกูรนี้ในอนาคตกาล
มนุษย์ทั้งหลายเมื่อจะข้ามแม่น้ำ พลาดท่าเฉพาะหน้าแล้ว
ก็ยึดเอาท่าถัดไปจึงข้ามแม่น้ำใหญ่ไป ฉันใด
เราทั้งหมดก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ถ้าพลาดพระชินเจ้าพระองค์นี้
ก็จักพร้อมหน้าหน่อพุทธางกูรนี้ในอนาคตกาล’
[๑๔] เราได้ฟังพระดำรัสของพระพุทธเจ้าแม้พระองค์นั้นแล้ว
ก็อธิษฐานวัตรให้ยิ่งขึ้นไป เราได้บำเพ็ญเพียร
อย่างมั่นคงเพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐ ประการให้ยิ่งขึ้นไป
[๑๕] ครั้งนั้น เดียรถีย์ทั้งปวงถูกขจัดไป จึงพากันโทมนัสเสียใจ
ใคร ๆ ก็ไม่บำรุงเดียรถีย์เหล่านั้น
ขับไล่พวกเขาไปจากแว่นแคว้น
[๑๖] พวกเดียรถีย์ประชุมกันในที่นั้นทั้งหมด
เข้าไปสำนักของพระพุทธเจ้า

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๔๒ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๑๐. ปทุมุตตรพุทธวงศ์
กราบทูลว่า ‘ข้าแต่พระมหาวีรเจ้าผู้มีพระจักษุ
ขอพระองค์เป็นที่พึ่งที่ระลึกของพวกข้าพระองค์เถิด’
[๑๗] พระองค์ผู้ทรงอนุเคราะห์ ประกอบด้วยพระกรุณา
ทรงแสวงหาประโยชน์เกื้อกูลแก่สรรพสัตว์
ทรงทำเดียรถีย์ที่มาเฝ้าทั้งหมดให้ดำรงอยู่ในเบญจศีล
[๑๘] เมื่อเป็นเช่นนี้ พุทธศาสนานั้นหมดความอากูล
ว่างจากพวกเดียรถีย์
และงดงามด้วยพระอรหันต์ทั้งหลายผู้ได้วสี ผู้คงที่
[๑๙] กรุงชื่อว่าหงสวดี กษัตริย์พระนามว่าอานนท์เป็นพระชนก
พระเทวีพระนามว่าสุชาดาเป็นพระชนนี
ของพระศาสดาพระนามว่าปทุมุตตระ
[๒๐] พระองค์ทรงครองฆราวาสอยู่ ๙,๐๐๐ ปี
มีปราสาทที่อุดมอยู่ ๓ หลัง
คือนารีปราสาท พาหนปราสาท และยสวดีปราสาท
[๒๑] มีนางสนมกำนัล ๔๓,๐๐๐ นาง
ล้วนประดับประดาสวยงาม
พระมเหสีพระนามว่าวสุลทัตตา
พระราชโอรสพระนามว่าอุตตระ
[๒๒] พระองค์เป็นผู้สูงสุดแห่งบุรุษ ทรงเห็นนิมิต ๔ ประการ
จึงเสด็จออกจากปราสาทไปผนวช
ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ ๗ วัน(จึงได้บรรลุพระโพธิญาณ)
[๒๓] พระมหาวีระพระนามว่าปทุมุตตระทรงเป็นผู้นำวิเศษ
ผู้อันพรหมทูลอาราธนาแล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักร
ณ พระอุทยานมิถิลา อันประเสริฐ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๔๓ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๑๐. ปทุมุตตรพุทธวงศ์
[๒๔] พระเทวิลเถระและพระสุชาตเถระเป็นพระอัครสาวก
พระเถระนามว่าสุมนะเป็นพระอุปัฏฐาก
ของพระศาสดาพระนามว่าปทุมุตตระ
[๒๕] พระอมิตาเถรีและพระอสมาเถรีเป็นพระอัครสาวิกา
ต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
ชาวโลกเรียกว่า ต้นสน
[๒๖] อมิตอุบาสกและติสสอุบาสกเป็นอัครอุปัฏฐาก
หัตถาอุบาสิกาและสุจิตตาอุบาสิกาเป็นอัครอุปัฏฐายิกา
[๒๗] พระมหามุนีทรงมีพระวรกายสูง ๕๘ ศอก
ทรงงดงามดังทองคำที่ล้ำค่า
ทรงมีพระลักษณะอันประเสริฐ ๓๒ ประการ๑
[๒๘] กำแพง บานประตู ฝาเรือน ต้นไม้ และภูผาสูง
ก็กำบังพระรัศมีของพระองค์นั้น ในที่ ๑๒ โยชน์โดยรอบไม่ได้
[๒๙] ขณะนั้น มนุษย์ทั้งหลายมีอายุประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ ปี
พระองค์ก็ทรงดำรงพระชนมายุประมาณเท่านั้น
ทรงช่วยหมู่ชนให้ข้ามพ้นได้เป็นจำนวนมาก
[๓๐] พระองค์พร้อมกับสาวกนั้น ทรงช่วยหมู่ชน
ให้ข้ามพ้นได้เป็นจำนวนมาก
ทรงตัดความสงสัยของชนทั้งปวงแล้ว
ทรงรุ่งเรือง ดับไปเหมือนกองไฟไม่มีเชื้อดับไป
[๓๑] พระชินพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ
เสด็จดับขันธปรินิพพานที่นันทาราม
พระสถูปอันประเสริฐของพระองค์
ที่นันทารามนั้นสูง ๑๒ โยชน์ ฉะนี้แล
ปทุมุตตรพุทธวงศ์ที่ ๑๐ จบ

เชิงอรรถ :
๑ ดูเชิงอรรถหน้า ๑๐ ในเล่มนี้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๔๔ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๑๑. สุเมธพุทธวงศ์
๑๑. สุเมธพุทธวงศ์
ว่าด้วยพระประวัติของพระสุเมธพุทธเจ้า
[๑] สมัยต่อจากพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ
ได้มีพระชินเจ้าพระนามว่าสุเมธะ ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก
หาผู้กระทบกระทั่งได้ยาก ทรงมีพระเดชรุ่งเรือง
ทรงประเสริฐสุดในบรรดาสัตว์โลกทั้งปวง
[๒] ทรงมีพระเนตรสุกใส มีพระพักตร์ชื่นบาน
มีพระวรกายสูงสง่า ทรงแสวงหาประโยชน์เกื้อกูลแก่สรรพสัตว์
ทรงเปลื้องสัตว์เป็นจำนวนมากให้หลุดพ้นจากเครื่องพันธนาการ
[๓] พระพุทธเจ้าทรงบรรลุพระโพธิญาณอันอุดม
ทรงประกาศพระธรรมจักรที่สุทัสสนนคร
[๔] แม้ในการที่พระองค์ทรงแสดงธรรม
ได้มีการบรรลุธรรม ๓ ครั้ง
เทวดาและมนุษย์ประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ ได้บรรลุธรรม ครั้งที่ ๑
[๕] อีกเรื่องหนึ่ง พระชินเจ้าทรงทรมานยักษ์ชื่อว่ากุมภกรรณ์
เทวดาและมนุษย์ประมาณ ๙๐,๐๐๐ โกฏิ ได้บรรลุธรรม ครั้งที่ ๒
[๖] อีกเรื่องหนึ่ง พระองค์ผู้มีพระยศนับไม่ได้
ทรงประกาศอริยสัจ ๔
เทวดาและมนุษย์ประมาณ ๘๐,๐๐๐ โกฏิ ได้บรรลุธรรม ครั้งที่ ๓
[๗] พระชินเจ้าพระนามว่าสุเมธะ ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
ได้มีการประชุมแห่งพระขีณาสพผู้ปราศจากมลทิน
มีจิตสงบระงับ ผู้คงที่ ๓ ครั้ง
[๘] ในกาลที่พระชินเจ้าเสด็จเข้าไปยังสุทัศนนคร
พระขีณาสพจำนวน ๑๐๐ โกฏิ มาประชุมกัน
[๙] อีกเรื่องหนึ่ง เมื่อภิกษุทั้งหลายกรานกฐิน ณ เทวกูฏบรรพต
พระขีณาสพประมาณ ๙๐ โกฏิ มาประชุมกัน เป็นครั้งที่ ๒

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๔๕ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๑๑. สุเมธพุทธวงศ์
[๑๐] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลที่พระทศพลเสด็จจาริกไป
พระขีณาสพประมาณ ๘๐ โกฏิ มาประชุมกัน เป็นครั้งที่ ๓
[๑๑] สมัยนั้น เราเป็นมาณพมีชื่อว่าอุตตระ
มีทรัพย์ที่เก็บสะสมไว้ในเรือนถึง ๘๐ โกฏิ
[๑๒] เราได้ถวายทรัพย์สมบัติทั้งสิ้นแด่พระชินเจ้า
ผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลกพร้อมทั้งพระสงฆ์
ถึงพระองค์เป็นสรณะแล้ว พอใจการบรรพชา
[๑๓] ครั้นนั้น แม้พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น เมื่อทรงทำอนุโมทนา
ก็ทรงพยากรณ์เราว่า
ใน ๓๐,๐๐๐ กัป มาณพนี้จักเป็นพระพุทธเจ้า
พระตถาคตได้เสด็จออกจากกรุงกบิลพัสดุ์ที่น่ารื่นรมย์
[๑๔] พระตถาคตทรงเริ่มตั้งความเพียร
บำเพ็ญทุกรกิริยา จักประทับนั่งที่โคนต้นอชปาลนิโครธ
ทรงรับข้าวปายาสในที่นั้น แล้วเสด็จไปยังแม่น้ำเนรัญชรา
พระชินเจ้าพระองค์นั้นจักเสวยข้าวปายาส
ที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา แล้วเสด็จไปที่โคนต้นโพธิ์
ตามหนทางอันประเสริฐที่ตกแต่งไว้แล้ว
จากนั้น พระองค์ผู้มีพระยศยิ่งใหญ่
จักทำประทักษิณโพธิมัณฑ์อันยอดเยี่ยมแล้ว
ตรัสรู้ที่โคนต้นอัสสัตถพฤกษ์
พระมารดาผู้ให้กำเนิดพระชินเจ้าพระองค์นี้
จักมีพระนามว่ามายา
พระบิดาจักมีพระนามว่าสุทโธทนะ
พระชินเจ้าพระองค์นี้จักมีพระนามว่าโคดม
พระโกลิตเถระและพระอุปติสสเถระ
ผู้ไม่มีอาสวะ สิ้นราคะ มีจิตสงบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๔๖ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๑๑. สุเมธพุทธวงศ์
ตั้งมั่นดี จักเป็นพระอัครสาวก
พระเถระนามว่าอานนท์จักเป็นพระอุปัฏฐาก
บำรุงพระชินเจ้าพระองค์นี้
พระเขมาเถรีและพระอุบลวรรณาเถรี
ผู้ไม่มีอาสวะ สิ้นราคะ มีจิตสงบ
ตั้งมั่นดี จักเป็นพระอัครสาวิกา
ต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
ชาวโลกเรียกว่า ต้นอัสสัตถพฤกษ์
จิตตคหบดีอุบาสกและหัตถกคหบดีอุบาสก
ชาวเมืองอาฬวีจักเป็นอัครอุปัฏฐาก
นันทมารดาอุบาสิกาและอุตตราอุบาสิกา
จักเป็นอัครอุปัฏฐายิกา
พระโคดมผู้มีพระยศพระองค์นั้นจักมีพระชนมายุประมาณ ๑๐๐ ปี
เทวดาและมนุษย์ได้ฟังพระดำรัสนี้
ของพระพุทธเจ้าผู้ไม่มีผู้เสมอเหมือน
ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่แล้ว
ต่างก็มีความชื่นชมกล่าวว่า
‘ท่านผู้นี้เป็นหน่อพุทธางกูร’
สัตว์ทั้งหลายในหมื่นจักรวาลพร้อมทั้งเทวดา
ต่างก็เปล่งเสียงโห่ร้องปรบมือ ร่าเริง
ประนมมือนมัสการว่า
‘ถ้าเราทั้งหลายจักพลาดศาสนาของพระโลกนาถพระองค์นี้
เราทั้งหลายก็จักพร้อมหน้าหน่อพุทธางกูรนี้ในอนาคตกาล
มนุษย์ทั้งหลายเมื่อจะข้ามแม่น้ำ พลาดท่าเฉพาะหน้าแล้ว
ก็ยึดเอาท่าถัดไปจึงข้ามแม่น้ำใหญ่ไป ฉันใด
เราทั้งหมดก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ถ้าพลาดพระชินเจ้าพระองค์นี้
ก็จักพร้อมหน้าหน่อพุทธางกูรนี้ในอนาคตกาล’

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๔๗ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๑๑. สุเมธพุทธวงศ์
[๑๕] เราได้ฟังพระดำรัสของพระพุทธเจ้าแม้พระองค์นั้นแล้ว
ก็ทำจิตให้เลื่อมใสอย่างยิ่ง
ได้อธิษฐานวัตรเพื่อการบำเพ็ญบารมี ๑๐ ประการให้ยิ่งขึ้นไป
[๑๖] เราได้เล่าเรียนพระสูตรและพระวินัย
อันเป็นนวังคสัตถุศาสน์ทั้งปวงแล้ว
ช่วยประกาศศาสนาของพระชินเจ้าให้รุ่งเรือง
[๑๗] เราเป็นผู้ไม่ประมาทอยู่ในคำสั่งสอนนั้น
ทั้งในเวลานั่ง ยืน และเดิน
ถึงความสำเร็จอภิญญาแล้วได้ไปเกิดในพรหมโลก
[๑๘] กรุงชื่อว่าสุทัสสนะ กษัตริย์พระนามว่าสุทัตตะเป็นพระชนก
พระเทวีพระนามว่าสุทัตตาเป็นพระชนนี
ของพระชินเจ้าพระนามว่าสุเมธะผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
[๑๙] พระองค์ทรงครองฆราวาสอยู่ ๙,๐๐๐ ปี
มีปราสาทที่อุดมอยู่ ๓ หลัง
คือสุจันทปราสาท กัญจนปราสาท และสิริวัฑฒปราสาท
[๒๐] มีนางสนมกำนัล ๔๘,๐๐๐ นาง
ล้วนประดับประดาสวยงาม
พระมเหสีพระนามว่าสุมนา
พระราชโอรสพระนามว่าปุนัพพะ
[๒๑] พระชินเจ้าทรงเห็นนิมิต ๔ ประการ
จึงทรงราชพาหนะคือช้างออกผนวชแล้ว
ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ ๘ เดือนเต็ม(จึงได้บรรลุพระโพธิญาณ)
[๒๒] พระมหาวีระพระนามว่าสุเมธะ ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก
ผู้อันพรหมทูลอาราธนาแล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักร
ที่พระอุทยานสุทัศนอันประเสริฐ
[๒๓] พระสรณเถระและพระสัพพกามเถระเป็นพระอัครสาวก
พระเถระนามว่าสาคระเป็นพระอุปัฏฐาก

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๔๘ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๑๑. สุเมธพุทธวงศ์
ของพระชินเจ้าพระนามว่าสุเมธะ
แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
[๒๔] พระรามาเถรีและพระสุรามาเถรีเป็นพระอัครสาวิกา
ต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
ชาวโลกเรียกว่า ต้นสะเดา
[๒๕] อุรุเวลาอุบาสกและยสวาอุบาสกเป็นอัครอุปัฏฐาก
ยโสธราอุบาสิกาและสิริมาอุบาสิกาเป็นอัครอุปัฏฐายิกา
[๒๖] พระมหามุนีทรงมีพระวรกายสูง ๘๘ ศอก
ทรงเปล่งรัศมีสว่างไสวไปทั่วทิศ เหมือนดวงจันทร์ในหมู่ดาว
[๒๗] พระรัตนะ๑ของพระองค์แผ่ไปตลอดโยชน์หนึ่งโดยรอบ
เหมือนแก้วมณีของพระเจ้าจักรพรรดิแผ่ไปโยชน์หนึ่ง
[๒๘] ขณะนั้น มนุษย์ทั้งหลายมีอายุประมาณ ๙๐,๐๐๐ ปี
พระองค์ก็ทรงดำรงพระชนมายุประมาณเท่านั้น
ทรงช่วยหมู่ชนให้ข้ามพ้นได้เป็นจำนวนมาก
[๒๙] ศาสนาของพระองค์คับคั่งไปด้วยพระอรหันต์ทั้งหลาย
ล้วนแต่ผู้ได้วิชชา ๓ อภิญญา ๖ และพละ๒ ผู้คงที่
[๓๐] แม้ท่านทั้งหมดนั้นล้วนมียศนับไม่ถ้วน หลุดพ้นแล้ว
ไม่มีอุปธิมีพระยศอันยิ่งใหญ่ แสดงแสงสว่างแห่งญาณแล้วนิพพาน
[๓๑] พระชินพุทธเจ้าผู้ประเสริฐพระนามว่าสุเมธะ
เสด็จดับขันธปรินิพพานที่เมธาราม
พระบรมสารีริกธาตุของพระองค์
แผ่ไปอย่างกว้างขวางในนานาอารยประเทศ ฉะนี้แล
สุเมธพุทธวงศ์ที่ ๑๑ จบ

เชิงอรรถ :
๑ พระรัตนะ หมายถึงพระรัศมี (ขุ.พุทธ.อ. ๒๗/๒๙๓)
๒ พละ หมายถึงกำลังฤทธิ์ (ขุ.พุทธ.อ. ๒๗/๒๙๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๔๙ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๑๒. สุชาตพุทธวงศ์
๑๒. สุชาตพุทธวงศ์
ว่าด้วยพระประวัติของพระสุชาตพุทธเจ้า
[๑] ในมัณฑกัปนั้นแล ได้มีพระพุทธเจ้าพระนามว่าสุชาตะ
ทรงเป็นผู้นำ มีพระหนุดังคางราชสีห์
มีลำพระศองามดุจลำคอโคอุสภะ
ทรงมีพระคุณหาประมาณมิได้ หาผู้กระทบกระทั่งได้ยาก
[๒] พระองค์ไม่มีมลทิน บริสุทธิ์ดุจดวงจันทร์
มีพระวรกายงดงามดังดวงอาทิตย์
มีพระรัศมีรุ่งเรืองงดงามทุกเมื่ออย่างนี้
[๓] พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบรรลุพระโพธิญาณ
อันประเสริฐอย่างสิ้นเชิงแล้ว
ทรงประกาศพระธรรมจักรที่สุมังคลนคร
[๔] เมื่อพระพุทธเจ้าพระนามว่าสุชาตะทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก
ทรงแสดงพระธรรมอันประเสริฐ ในการแสดงธรรมครั้งที่ ๑
เทวดาและมนุษย์จำนวน ๘๐ โกฏิ ได้บรรลุธรรม
[๕] ในคราวที่พระสุชาตพุทธเจ้าผู้มีพระยศหาประมาณมิได้
เสด็จจำพรรษาในเทวโลก
เทวดาและมนุษย์จำนวน ๓,๗๐๐,๐๐๐ โกฏิ
ได้บรรลุธรรม ครั้งที่ ๒
[๖] ในคราวที่พระสุชาตพุทธเจ้าผู้ไม่มีใครเสมอเหมือน
เสด็จเข้าไปยังสำนักของพุทธบิดา
เทวดาและมนุษย์จำนวน ๖,๐๐๐,๐๐๐ โกฏิ
ได้บรรลุธรรม ครั้งที่ ๓
[๗] พระพุทธเจ้าพระนามว่าสุชาตะผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
มีการประชุมแห่งพระขีณาสพ ผู้ปราศจากมลทิน
มีจิตสงบระงับ ผู้คงที่ ๓ ครั้ง

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๕๐ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๑๒. สุชาตพุทธวงศ์
[๘] พระขีณาสพล้วนบรรลุอภิญญาและพลธรรม
ผู้ที่ยังไม่บรรลุในภพน้อยภพใหญ่
ประมาณ ๖,๐๐๐,๐๐๐ รูป เหล่านั้นมาประชุมกัน ครั้งที่ ๑
[๙] ในการประชุมครั้งต่อมา
ในกาลเมื่อพระชินเจ้าเสด็จลงจากดาวดึงสเทวโลก
มีพระขีณาสพประมาณ ๕,๐๐๐,๐๐๐ รูป
มาประชุมกัน เป็นครั้งที่ ๒
[๑๐] พระอัครสาวกพร้อมด้วยพระขีณาสพประมาณ ๔๐๐,๐๐๐ รูป
ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้องอาจกว่านรชน
[๑๑] สมัยนั้น เราเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ มีพลานุภาพมาก
เป็นใหญ่ในทวีปทั้ง ๔ เหาะไปในอากาศได้
[๑๒] เรานั้น เห็นความอัศจรรย์น่าประหลาดใจ
ให้เกิดขนพองสยองเกล้าในโลก
จึงเข้าไปกราบพระพุทธเจ้าพระนามว่าสุชาตะทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก
[๑๓] เรามอบถวายราชสมบัติเป็นอันมากในทวีปทั้ง ๔
และรัตนะ ๗ ประการอันอุดมในพระพุทธเจ้าแล้ว
จึงบวชในสำนักของพระองค์
[๑๔] พวกคนรักษาอารามได้รวบรวมสิ่งที่เกิดขึ้นในชนบท
น้อมปัจจัย๑ ที่นอน ที่นั่งเข้าไปถวายภิกษุสงฆ์
[๑๕] ครั้งนั้น แม้พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ผู้เป็นใหญ่ในหมื่นจักรวาล
ก็ทรงพยากรณ์เราว่า
“ในที่สุด ๓๐,๐๐๐ กัป ผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้า”
พระตถาคตได้เสด็จออกจากกรุงกบิลพัสดุ์ที่น่ารื่นรมย์

เชิงอรรถ :
๑ ปัจจัย หมายถึงปัจจัยต่าง ๆ มีจีวรเป็นต้น (ขุ.พุทธ.อ. ๑๔/๒๙๘)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๕๑ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๑๒. สุชาตพุทธวงศ์
[๑๖] พระตถาคตทรงเริ่มตั้งความเพียร
บำเพ็ญทุกรกิริยา จักประทับนั่งที่โคนต้นอชปาลนิโครธ
ทรงรับข้าวปายาสในที่นั้น แล้วเสด็จไปยังแม่น้ำเนรัญชรา
พระชินเจ้าพระองค์นั้นจักเสวยข้าวปายาส
ที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชราแล้วเสด็จไปที่โคนต้นโพธิ์
ตามหนทางอันประเสริฐที่ตกแต่งไว้แล้ว
จากนั้น พระองค์ผู้มีพระยศยิ่งใหญ่
จักทำประทักษิณโพธิมัณฑ์อันยอดเยี่ยมแล้ว
ตรัสรู้ที่โคนต้นอัสสัตถพฤกษ์
พระมารดาผู้ให้กำเนิดพระชินเจ้าพระองค์นี้
จักมีพระนามว่ามายา
พระบิดาจักมีพระนามว่าสุทโธทนะ
พระชินเจ้าพระองค์นี้จักมีพระนามว่าโคดม
พระโกลิตเถระและพระอุปติสสเถระ
ผู้ไม่มีอาสวะ สิ้นราคะ มีจิตสงบ
ตั้งมั่นดี จักเป็นพระอัครสาวก
พระเถระนามว่าอานนท์ จักเป็นพระอุปัฏฐาก
บำรุงพระชินเจ้าพระองค์นี้
พระเขมาเถรีและพระอุบลวรรณาเถรี
ผู้ไม่มีอาสวะ สิ้นราคะ มีจิตสงบ
ตั้งมั่นดี จักเป็นพระอัครสาวิกา
ต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
ชาวโลกเรียกว่า ต้นอัสสัตถพฤกษ์
จิตตคหบดีอุบาสกและหัตถกคหบดีอุบาสก
ชาวเมืองอาฬวี จักเป็นอัครอุปัฏฐาก
นันทมารดาอุบาสิกาและอุตตราอุบาสิกา
จักเป็นอัครอุปัฏฐายิกา
พระโคดมผู้มียศพระองค์นั้นจักมีพระชนมายุประมาณ ๑๐๐ ปี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๕๒ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๑๒. สุชาตพุทธวงศ์
เทวดาและมนุษย์ได้ฟังพระดำรัสนี้
ของพระพุทธเจ้าผู้ไม่มีใครเสมอเหมือน
ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่แล้ว
ต่างก็มีความชื่นชมกล่าวว่า
“ท่านผู้นี้เป็นหน่อพุทธางกูร’
สัตว์ทั้งหลายในหมื่นจักรวาลพร้อมทั้งเทวดา
ต่างก็เปล่งเสียงโห่ร้องปรบมือ ร่าเริง
ประนมมือนมัสการว่า
‘ถ้าเราทั้งหลายจักพลาดศาสนาของพระโลกนาถพระองค์นี้
เราทั้งหลายก็จักพร้อมหน้าหน่อพุทธางกูรนี้ในอนาคตกาล
มนุษย์ทั้งหลายเมื่อจะข้ามแม่น้ำ พลาดท่าเฉพาะหน้าแล้ว
ก็ยึดเอาท่าถัดไปจึงข้ามแม่น้ำใหญ่ไป ฉันใด
เราทั้งหมดก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ถ้าพลาดพระชินเจ้าพระองค์นี้
ก็จักพร้อมหน้าหน่อพุทธางกูรนี้ในอนาคตกาล’
[๑๗] เราได้ฟังพระดำรัสของพระพุทธเจ้าแม้พระองค์นั้นแล้ว
ก็ทำความยินดีให้เกิดขึ้นอย่างยิ่ง
ได้อธิษฐานวัตรเพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐ ประการ ให้ยิ่งขึ้นไป
[๑๘] เราได้เล่าเรียนพระสูตรและพระวินัย
อันเป็นนวังคสัตถุศาสน์ทั้งปวงแล้ว
ช่วยประกาศศาสนาของพระชินเจ้าให้รุ่งเรือง
[๑๙] เราเป็นผู้ไม่ประมาทอยู่ในคำสั่งสอนนั้น
เจริญพรหมวิหารภาวนา
ถึงความสำเร็จอภิญญาแล้ว ได้ไปเกิดในพรหมโลก
[๒๐] กรุงชื่อว่าสุมังคละ กษัตริย์พระนามว่าอุคคตะเป็นพระชนก
พระเทวีพระนามว่าประภาวดีเป็นพระชนนี
ของพระพุทธเจ้าพระนามว่าสุชาตะ ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๕๓ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๑๒. สุชาตพุทธวงศ์
[๒๑] พระองค์ทรงครองฆราวาสอยู่ ๙,๐๐๐ ปี
มีปราสาทที่อุดมอยู่ ๓ หลัง
คือสิริปราสาท อุปสิริปราสาท และจันทปราสาท
[๒๒] มีนางสนมกำนัล ๒๓,๐๐๐ นาง
ล้วนประดับประดาสวยงาม
พระมเหสีพระนามว่าสิรินันทา
พระราชโอรสพระนามว่าอุปเสนะ
[๒๓] พระชินเจ้าทรงเห็นนิมิต ๔ ประการ
จึงทรงราชพาหนะคือม้าออกผนวชแล้ว
ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ ๙ เดือนเต็ม(จึงได้บรรลุพระโพธิญาณ)
[๒๔] พระมหาวีระพระนามว่าสุชาตะ ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก
ผู้อันพรหมทูลอาราธนาแล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักร
ที่พระอุทยานสุมังคละ อันประเสริฐ
[๒๕] พระสุทัสสนเถระและพระสุเทวเถระเป็นพระอัครสาวก
พระเถระนามว่านารทะเป็นอุปัฏฐาก
ของพระพุทธเจ้าพระนามว่าสุชาตะ
ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
[๒๖] พระนาคาเถรีและพระนาคสมานาเถรีเป็นพระอัครสาวิกา
ต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
ชาวโลกเรียกว่า ต้นไผ่ใหญ่
[๒๗] และต้นไม้นั้น ลำต้นแข็งเป็นไผ่ตัน๑ มีใบแน่นหนา
ลำต้นตรงใหญ่ น่าดู น่ารื่นรมย์ใจ
[๒๘] ต้นหนึ่งเจริญงอกงามแล้วแตกกิ่งก้านสาขาออกไป
ต้นไม้นั้นย่อมงามเหมือนกำหางนกยูงที่ผูกไว้ดีแล้ว
[๒๙] ไม้ไผ่นั้นไม่มีหนาม มีช่องไม่ใหญ่
มีกิ่งชิดไม่ห่าง มีเงาทึบ น่ารื่นรมย์ใจ

เชิงอรรถ :
๑ ไผ่ตัน หมายถึงไผ่มีรูที่ปล้องเล็ก (ขุ.พุทธ.อ. ๒๗/๓๐๐)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๕๔ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๑๒. สุชาตพุทธวงศ์
[๓๐] สุทัตตอุบาสกและจิตตอุบาสกเป็นอัครอุปัฏฐาก
สุภัททาอุบาสิกาและปทุมาอุบาสิกาเป็นอัครอุปัฏฐายิกา
[๓๑] พระชินเจ้าพระองค์นั้นทรงมีพระวรกายสูง ๕๐ ศอก
ประกอบด้วยพระลักษณะอันประเสริฐ ๓๒ ประการ๑
และทรงประกอบด้วยพระคุณทั้งปวง
[๓๒] ทรงมีพระรัศมีไม่มีอะไรเสมอเหมือน
ซ่านออกไปโดยรอบ ไม่มีประมาณ
ไม่มีอะไรเทียบเคียง หาอุปมามิได้
[๓๓] ขณะนั้น มนุษย์ทั้งหลายมีอายุประมาณ ๙๐,๐๐๐ ปี
พระองค์ก็ทรงดำรงพระชนมายุประมาณเท่านั้น
ทรงช่วยหมู่ชนให้ข้ามพ้นได้เป็นจำนวนมาก
[๓๔] ครั้งนั้น ศาสนางดงามไปด้วยพระอรหันต์ทั้งหลาย
เหมือนคลื่นในสาคร และเหมือนดวงดาวในท้องฟ้า
ศาสนาของพระองค์คับคั่งไปด้วยพระอรหันต์ทั้งหลาย
ล้วนแต่ผู้ได้วิชชา ๓ อภิญญา ๖ และพละ ผู้คงที่
[๓๕] พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น หาผู้เสมอเหมือนมิได้
และพระคุณเหล่านั้นก็หาอะไรเทียบเคียงมิได้
ทุกอย่างล้วนอันตรธานไปหมดแล้ว
สังขารทั้งปวงเป็นสภาพว่างเปล่าหนอ
[๓๖] พระชินพุทธเจ้าผู้ประเสริฐพระนามว่าสุชาตะ
เสด็จดับขันธปรินิพพานที่เสลาราม
พระเจดีย์ของพระศาสดา
ที่เสลารามนั้น สูงถึง ๓ คาวุต ฉะนี้แล
สุชาตพุทธวงศ์ที่ ๑๒ จบ

เชิงอรรถ :
๑ ดูเชิงอรรถหน้า ๑๐ ในเล่มนี้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๕๕ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๑๓. ปิยทัสสีพุทธวงศ์
๑๓. ปิยทัสสีพุทธวงศ์
ว่าด้วยพระประวัติของพระปิยทัสสีพุทธเจ้า
[๑] สมัยต่อจากพระพุทธเจ้าพระนามว่าสุชาตะ
ได้มีพระสยัมภูพระนามว่าปิยทัสสี ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก
หาผู้กระทบกระทั่งได้ยาก ไม่มีผู้เสมอเหมือน มีพระยศยิ่งใหญ่
[๒] แม้พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นผู้มียศอันนับมิได้
ทรงรุ่งเรืองดังดวงอาทิตย์ ทรงขจัดความมืดทั้งปวงแล้ว
ทรงประกาศพระธรรมจักร
[๓] (สาวก)ของพระพุทธเจ้าผู้มีพระเดชไม่มีอะไรเปรียบปาน
มีการบรรลุธรรม ๓ ครั้ง
เทวดาและมนุษย์จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ ได้บรรลุธรรมครั้งที่ ๑
[๔] ท้าวสุทัสสนเทวราช มากราบทูลถึงมิจฉาทิฏฐิ
พระศาสดาเมื่อจะทรงบรรเทามิจฉาทิฏฐิ
ของท้าวเทวราชนั้นจึงทรงแสดงธรรม
[๕] ครั้งนั้น มหาชนได้มาประชุมกันมากมาย ประมาณไม่ได้
เทวดาและมนุษย์ประมาณ ๙,๐๐๐ โกฏิ ได้บรรลุธรรมครั้งที่ ๒
[๖] ในกาลที่พระพุทธเจ้า ผู้ทรงเป็นสารถีฝึกนรชน
ทรงฝึกช้างโทณมุข
เทวดาและมนุษย์ประมาณ ๘๐,๐๐๐ โกฏิ ได้บรรลุธรรมครั้งที่ ๓
[๗] แม้พระปิยทัสสีพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ก็มีการประชุมสาวก ๓ ครั้ง
พระสาวกประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ มาประชุมกัน เป็นครั้งที่ ๑
[๘] พระมุนีขีณาสพประมาณ ๙๐ โกฏิ มาประชุมร่วมกัน
ในการประชุมครั้งที่ ๓ มีพระมุนีขีณาสพประมาณ ๘๐ โกฏิ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๕๖ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๑๓. ปิยทัสสีพุทธวงศ์
[๙] สมัยนั้น เราเป็นมาณพมีชื่อว่ากัสสปะ
เป็นผู้คงแก่เรียน ทรงจำมนตร์ จบไตรเพท๑
[๑๐] เราได้ฟังธรรมของพระองค์แล้ว เกิดความเลื่อมใส
ได้บริจาคทรัพย์ ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิสร้างสังฆาราม
[๑๑] ครั้นถวายอารามแก่พระองค์แล้ว ร่าเริง ตื้นตันใจ
ได้สมาทานสรณคมน์และเบญจศีลให้มั่นคง
[๑๒] แม้พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นประทับนั่ง ท่ามกลางสงฆ์
ทรงพยากรณ์เราว่า
“ใน ๑๑๘ กัป มาณพนี้จักเป็นพระพุทธเจ้า”
พระตถาคตได้เสด็จออกจากกรุงกบิลพัสดุ์ที่น่ารื่นรมย์
[๑๓] พระตถาคตทรงเริ่มตั้งความเพียร
บำเพ็ญทุกรกิริยาจักประทับนั่งโคนต้นอชปาลนิโครธ
ทรงรับข้าวปายาสที่ที่นั้น แล้วเสด็จไปยังแม่น้ำเนรัญชรา
พระชินเจ้าพระองค์นั้นจักเสวยข้าวปายาส
ที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา แล้วเสด็จไปที่โคนต้นโพธิ์
ตามหนทางอันประเสริฐที่ตกแต่งไว้แล้ว
จากนั้น พระองค์ผู้มีพระยศยิ่งใหญ่
จักทำประทักษิณโพธิมัณฑ์อันยอดเยี่ยมแล้ว
ตรัสรู้ที่โคนต้นอัสสัตถพฤกษ์
พระมารดาผู้ให้กำเนิดพระชินเจ้าพระองค์นี้
จักมีพระนามว่ามายา
พระบิดาจักมีพระนามว่าสุทโธทนะ
พระชินเจ้าพระองค์นี้จักมีพระนามว่าโคดม
พระโกลิตเถระและพระอุปติสสเถระ
ผู้ไม่มีอาสวะ สิ้นราคะ มีจิตสงบ

เชิงอรรถ :
๑ ไตรเพท หมายถึงบทสวดสรรเสริญเทพเจ้า ซึ่งรวบรวมเป็นหมวด ๆ เรียกชื่อว่า ฤคเวท ยชุรเวท สามเวท
และอาถรรพเวท (ที.สี. (แปล) ๙/๒๕๖/๘๗-๘)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๕๗ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๑๓. ปิยทัสสีพุทธวงศ์
ตั้งมั่นดี จักเป็นพระอัครสาวก
พระเถระนามว่าอานนท์จักเป็นพระอุปัฏฐาก
บำรุงพระชินเจ้าพระองค์นี้
พระเขมาเถรีและพระอุบลวรรณาเถรี
ผู้ไม่มีอาสวะ สิ้นราคะ มีจิตสงบ
ตั้งมั่นดี จักเป็นพระอัครสาวิกา
ต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
ชาวโลกเรียกว่า ต้นอัสสัตถพฤกษ์
จิตตคหบดีอุบาสกและหัตถกคหบดีอุบาสก
ชาวเมืองอาฬวีจักเป็นอัครอุปัฏฐาก
นันทมารดาอุบาสิกาและอุตตราอุบาสิกา
จักเป็นอัครอุปัฏฐายิกา
พระโคดมผู้มียศพระองค์นั้นจักมีพระชนมายุประมาณ ๑๐๐ ปี
เทวดาและมนุษย์ได้ฟังพระดำรัสนี้
ของพระพุทธเจ้าผู้ไม่มีใครเสมอเหมือน
ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่แล้ว
ต่างก็มีความชื่นชมกล่าวว่า
‘ท่านผู้นี้เป็นหน่อพุทธางกูร’
สัตว์ทั้งหลายในหมื่นจักรวาลพร้อมทั้งเทวดา
ต่างก็เปล่งเสียงโห่ร้องปรบมือ ร่าเริง
ประนมมือนมัสการว่า
‘ถ้าเราทั้งหลายจักพลาดศาสนาของพระโลกนาถพระองค์นี้
เราทั้งหลายก็จักพร้อมหน้าหน่อพุทธางกูรนี้ในอนาคตกาล
มนุษย์ทั้งหลายเมื่อจะข้ามแม่น้ำ พลาดท่าเฉพาะหน้าแล้ว
ก็ยึดเอาท่าถัดไปจึงข้ามแม่น้ำใหญ่ไป ฉันใด
เราทั้งหมดก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ถ้าพลาดพระชินเจ้าพระองค์นี้
ก็จักพร้อมหน้าหน่อพุทธางกูรนี้ในอนาคตกาล’

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๕๘ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๑๓. ปิยทัสสีพุทธวงศ์
[๑๔] เราได้ฟังพระดำรัสของพระพุทธเจ้าแม้พระองค์นั้นแล้ว
ก็ทำจิตให้เลื่อมใสอย่างยิ่ง
ได้อธิษฐานวัตรเพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐ ประการให้ยิ่งขึ้นไป
[๑๕] กรุงชื่อว่าสุธัญญะ กษัตริย์พระนามว่าสุทัตตะเป็นพระชนก
พระเทวีพระนามว่าสุจันทาเป็นพระชนนี
ของพระศาสดาพระนามว่าปิยทัสสี
[๑๖] พระองค์ทรงครองฆราวาสอยู่ ๙,๐๐๐ ปี
มีปราสาทที่อุดมอยู่ ๓ หลัง
คือสุนิมมลปราสาท วิมลปราสาท และคิริคูหาปราสาท
[๑๗] มีนางสนมกำนัล ๓๓,๐๐๐ นาง
ล้วนประดับประดาสวยงาม
พระมเหสีพระนามว่าวิมลา
พระราชโอรสพระนามว่ากัญจนาเวฬะ
[๑๘] พระองค์ผู้สูงสุดแห่งบุรุษทรงเห็นนิมิต ๔ ประการ
จึงทรงราชพาหนะคือรถออกผนวชแล้ว
ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ ๖ เดือนเต็ม(จึงได้บรรลุพระโพธิญาณ)
[๑๙] พระมหาวีรมหามุนีพระนามว่าปิยทัสสี
ผู้อันพรหมทูลอาราธนาแล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักร
ที่พระอุทยานอุสภวันน่ารื่นรมย์ใจ
[๒๐] พระปาลิตเถระและพระสัพพทัสสีเถระเป็นพระอัครสาวก
พระเถระนามว่าโสภิตะเป็นพระอุปัฏฐาก
ของพระศาสดาพระนามว่าปิยทัสสี
[๒๑] พระสุชาตาเถรีและพระธรรมทินนาเถรีเป็นพระอัครสาวิกา
ต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
ชาวโลกเรียกว่า ต้นกุ่ม
[๒๒] สันทกอุบาสกและธรรมิกอุบาสกเป็นอัครอุปัฏฐาก
วิสาขาอุบาสิกาและธรรมทินนาอุบาสิกาเป็นอัครอุปัฏฐายิกา

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๕๙ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๑๔. อัตถทัสสีพุทธวงศ์
[๒๓] แม้พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นผู้มีพระยศนับไม่ถ้วน
ทรงพระลักษณะอันประเสริฐ ๓๒ ประการ๑
มีพระวรกายสูง ๘๐ ศอก ปรากฏดังต้นพญาไม้สาละ
[๒๔] รัศมีไฟ รัศมีดวงจันทร์ รัศมีดวงอาทิตย์
ก็ไม่เหมือนกับพระรัศมีพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น
หาผู้เสมอมิได้ ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
[๒๕] แม้พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นผู้เป็นเทพยิ่งกว่าเทพ
มีพระจักษุ ก็ดำรงพระชนมายุอยู่ในโลกประมาณ ๙๐,๐๐๐ ปี
[๒๖] แม้พระพุทธเจ้าผู้ไม่มีใครเสมอเหมือนพระองค์นั้น
แม้คู่พระอัครสาวกซึ่งไม่มีผู้เทียบเคียงเหล่านั้น
ทุกอย่างล้วนอันตรธานไปหมดแล้ว
สังขารทั้งปวงเป็นสภาพว่างเปล่าหนอ
[๒๗] พระมุนีผู้ประเสริฐพระนามว่าปิยทัสสี
เสด็จดับขันธปรินิพพานที่อัสสัตถาราม
พระสถูปของพระชินเจ้านั้น
ที่อัสสัตถารามนั้น สูงถึง ๓ โยชน์ ฉะนี้แล
ปิยทัสสีพุทธวงศ์ที่ ๑๓ จบ

๑๔. อัตถทัสสีพุทธวงศ์
ว่าด้วยพระประวัติของพระอัตถทัสสีพุทธเจ้า
[๑] ในมัณฑกัปนั้นแล ได้มีพระพุทธเจ้าพระนามว่าอัตถทัสสี
ผู้มีพระยศยิ่งใหญ่ ทรงขจัดความมืด๒ใหญ่ออกไปแล้ว
ทรงบรรลุสัมโพธิญาณอันสูงสุด

เชิงอรรถ :
๑ ดูเชิงอรรถหน้า ๑๐ ในเล่มนี้
๒ ความมืด หมายถึงความมืดคือโมหะ (ขุ.พุทธ.อ. ๒๑๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๖๐ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๑๔. อัตถทัสสีพุทธวงศ์
[๒] พระองค์ผู้อันพรหมทูลอาราธนาแล้ว
ทรงประกาศพระธรรมจักร
ทรงช่วยชาวโลกในหมื่นจักรวาล
พร้อมทั้งเทวดาให้อิ่มหนำด้วยอมตธรรม
[๓] สาวกของพระองค์แม้นั้นผู้ทรงเป็นที่พึ่งของโลก
มีการบรรลุธรรม ๓ ครั้ง
เทวดาและมนุษย์ประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ
ได้บรรลุธรรมครั้งที่ ๑
[๔] ในกาลที่พระพุทธเจ้าพระนามว่าอัตถทัสสีเสด็จจาริกไปในเทวโลก
เทวดาและมนุษย์ประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ
ได้บรรลุธรรมครั้งที่ ๒
[๕] ต่อมา ในกาลที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม
ในราชสำนักของพระชนก
เทวดาและมนุษย์ประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ ได้บรรลุธรรมครั้งที่ ๓
[๖] แม้พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
ก็ได้มีการประชุมแห่งพระขีณาสพ
ผู้ปราศจากมลทิน มีจิตสงบระงับ ผู้คงที่ ๓ ครั้ง
[๗] พระขีณาสพประมาณ ๙๘,๐๐๐ รูป
มาประชุมกัน เป็นครั้งที่ ๑
พระขีณาสพประมาณ ๘๘,๐๐๐ รูป มาประชุมกัน เป็นครั้งที่ ๒
[๘] พระขีณาสพผู้หลุดพ้น เพราะไม่ถือมั่น
ผู้ปราศจากมลทิน ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
ประมาณ ๗๘,๐๐๐ รูป มาประชุมกัน เป็นครั้งที่ ๓
[๙] สมัยนั้น เราเป็นชฎิลมีชื่อว่าสุสิมะ ตามโคตร มีตบะแก่กล้า
ประชาชนยกย่องว่าเป็นผู้ประเสริฐที่สุดในแผ่นดิน

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๖๑ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๑๔. อัตถทัสสีพุทธวงศ์
[๑๐] เรานำดอกมณฑารพ ดอกปทุม และดอกปาริฉัตตกะ
อันเป็นทิพย์จากเทวโลก มาบูชาพระสัมพุทธเจ้า
[๑๑] แม้พระมหามุนีพุทธเจ้าพระองค์นั้นพระนามว่าอัตถทัสสี
ก็ทรงพยากรณ์เราว่า
“ใน ๑๑๘ กัป ชฎิลนี้จักเป็นพระพุทธเจ้า”
พระตถาคตได้เสด็จออกจากกรุงกบิลพัสดุ์ที่น่ารื่นรมย์
[๑๒] พระตถาคตทรงเริ่มตั้งความเพียร
บำเพ็ญทุกรกิริยา จักประทับนั่งที่โคนต้นอชปาลนิโครธ
ทรงรับข้าวปายาสในที่นั้น แล้วเสด็จไปยังแม่น้ำเนรัญชรา
พระชินเจ้าพระองค์นั้น จักเสวยข้าวปายาส
ที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา แล้วเสด็จไปที่โคนต้นโพธิ์
ตามหนทางอันประเสริฐที่ตกแต่งไว้แล้ว
จากนั้น พระองค์ผู้มีพระยศยิ่งใหญ่
จักทำประทักษิณโพธิมัณฑ์อันยอดเยี่ยมแล้ว
ตรัสรู้ที่โคนต้นอัสสัตถพฤกษ์
พระมารดาผู้ให้กำเนิดพระชินเจ้าพระองค์นี้
จักมีพระนามว่ามายา
พระบิดาจักมีพระนามว่าสุทโธทนะ
พระชินเจ้าพระองค์นี้จักมีพระนามว่าโคดม
พระโกลิตเถระและพระอุปติสสเถระ
ผู้ไม่มีอาสวะ สิ้นราคะ มีจิตสงบ
ตั้งมั่นดี จักเป็นพระอัครสาวก
พระเถระนามว่าอานนท์ จักเป็นพระอุปัฏฐาก
บำรุงพระชินเจ้าพระองค์นี้
พระเขมาเถรีและพระอุบลวรรณาเถรี
ผู้ไม่มีอาสวะ สิ้นราคะ มีจิตสงบ
ตั้งมั่นดี จักเป็นพระอัครสาวิกา

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๖๒ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๑๔. อัตถทัสสีพุทธวงศ์
ต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
ชาวโลกเรียกว่า ต้นอัสสัตถพฤกษ์
จิตตคหบดีอุบาสกและหัตถกคหบดีอุบาสก
ชาวเมืองอาฬวี จักเป็นอัครอุปัฏฐาก
นันทมารดาอุบาสิกาและอุตตราอุบาสิกา
จักเป็นอัครอุปัฏฐายิกา
พระโคดมผู้มีพระยศพระองค์นั้นจักมีพระชนมายุประมาณ ๑๐๐ ปี
เทวดาและมนุษย์ได้ฟังพระดำรัสนี้
ของพระพุทธเจ้าผู้ไม่มีใครเสมอเหมือน
ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่แล้ว
ต่างก็มีความชื่นชมกล่าวว่า
‘ท่านผู้นี้เป็นหน่อพุทธางกูร’
สัตว์ทั้งหลายในหมื่นจักรวาลพร้อมทั้งเทวดา
ต่างก็เปล่งเสียงโห่ร้องปรบมือ ร่าเริง
ประนมมือนมัสการว่า
‘ถ้าเราทั้งหลายจักพลาดศาสนาของพระโลกนาถพระองค์นี้
เราทั้งหลายก็จักพร้อมหน้าหน่อพุทธางกูรนี้ในอนาคตกาล
มนุษย์ทั้งหลายเมื่อจะข้ามแม่น้ำ พลาดท่าเฉพาะหน้าแล้ว
ก็ยึดเอาท่าถัดไปจึงข้ามแม่น้ำใหญ่ไป ฉันใด
เราทั้งหมดก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ถ้าพลาดพระชินเจ้าพระองค์นี้
ก็จักพร้อมหน้าหน่อพุทธางกูรนี้ในอนาคตกาล’
[๑๓] เราได้ฟังพระดำรัสของพระพุทธเจ้าแม้พระองค์นั้นแล้ว
ทั้งยินดี ทั้งตื้นตันใจ
ได้อธิษฐานวัตรเพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐ ประการให้ยิ่งขึ้นไป
[๑๔] กรุงชื่อว่าโสภณะ กษัตริย์พระนามว่าสาคระเป็นพระชนก
พระเทวีพระนามว่าสุทัสสนาเป็นพระชนนี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๖๓ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๑๔. อัตถทัสสีพุทธวงศ์
ของพระพุทธเจ้าพระนามว่าอัตถทัสสี
ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
[๑๕] พระองค์ทรงครองฆราวาสอยู่ ๑๐,๐๐๐ ปี
มีปราสาทที่อุดมอยู่ ๓ หลัง
คืออมรคิปราสาท สุรคิปราสาท และคิริพาหนาปราสาท
[๑๖] มีนางสนมกำนัล ๓๓,๐๐๐ นาง
ล้วนประดับประดาสวยงาม
พระมเหสีพระนามว่าวิสาขา
พระราชโอรสพระนามว่าเสละ
[๑๗] พระชินเจ้าทรงเห็นนิมิต ๔ ประการ
จึงทรงราชพาหนะคือม้าออกผนวชแล้ว
ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ ๘ เดือนเต็ม(จึงได้บรรลุพระโพธิญาณ)
[๑๘] พระมหาวีระพระนามว่าอัตถทัสสี ผู้องอาจกว่านรชน
มีพระยศยิ่งใหญ่ ผู้อันพรหมทูลอาราธนาแล้ว
ทรงประกาศพระธรรมจักรที่พระอุทยานอโนมา
[๑๙] พระสันตเถระและพระอุปสันตเถระเป็นพระอัครสาวก
พระเถระนามว่าอภัยเป็นอุปัฏฐากของพระพุทธเจ้า
พระนามว่าอัตถทัสสี ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
[๒๐] พระธรรมาเถรีและพระสุธรรมาเถรีเป็นพระอัครสาวิกา
ต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
ชาวโลกเรียกว่า ต้นจำปา
[๒๑] นกุลอุบาสกและนิสภอุบาสกเป็นอัครอุปัฏฐาก
มกิลาอุบาสิกาและสุนันทาอุบาสิกาเป็นอัครอุปัฏฐายิกา
[๒๒] แม้พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นผู้ไม่มีใครเสมอเหมือน
ทรงมีพระวรกายสูง ๘๐ ศอก ทรงสง่างามดังต้นพญาไม้สาละ
เหมือนดวงจันทร์เต็มดวง

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๖๔ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๑๕. ธัมมทัสสีพุทธวงศ์
[๒๓] พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นมีพระรัศมีหลายร้อยโกฏิตามปกติ
แผ่ไปตลอดโยชน์หนึ่งทั่ว ๑๐ ทิศทั้งเบื้องบนและเบื้องล่างตลอดเวลา
[๒๔] แม้พระพุทธมุนีพระองค์นั้น
ผู้องอาจกว่านรชน ผู้สูงสุดแห่งสรรพสัตว์
ผู้มีพระจักษุ ก็ดำรงอยู่ในโลกตลอด ๑๐๐,๐๐๐ ปี
[๒๕] แม้พระองค์ทรงแสดงพระรัศมีที่ไม่มีสิ่งอื่นเทียมทัน
ให้สว่างไสวรุ่งโรจน์ในโลกพร้อมทั้งเทวโลกแล้ว
ก็ถึงสภาวะไม่เที่ยง(เสด็จดับขันธปรินิพพานไป)
ดังไฟสิ้นเชื้อดับไป ฉะนั้น
[๒๖] พระชินเจ้าผู้ประเสริฐพระนามว่าอัตถทัสสี
เสด็จดับขันธปรินิพพานที่อโนมาราม
พระบรมสารีริกธาตุของพระองค์
แผ่ไปอย่างกว้างขวางในนานาอารยประเทศ ฉะนี้แล
อัตถทัสสีพุทธวงศ์ที่ ๑๔ จบ

๑๕. ธัมมทัสสีพุทธวงศ์
ว่าด้วยพระประวัติของพระธัมมทัสสีพุทธเจ้า
[๑] ในมัณฑกัปนั้นแล ได้มีพระพุทธเจ้าพระนามว่าธัมมทัสสี
ผู้มีพระยศยิ่งใหญ่ทรงขจัดความมืดแล้ว
ทรงรุ่งเรืองอย่างยิ่งในโลกพร้อมทั้งเทวโลก
[๒] แม้ในการที่พระองค์ผู้มีพระเดชไม่มีอะไรเปรียบเทียบ
ทรงประกาศพระธรรมจักร
เทวดาและมนุษย์ประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ
ได้บรรลุธรรมครั้งที่ ๑
[๓] ในกาลที่พระพุทธเจ้าพระนามว่าธัมมทัสสี
ทรงแนะนำสัญชัยฤาษี
เทวดาและมนุษย์ประมาณ ๙๐ โกฏิ ได้บรรลุธรรมครั้งที่ ๒

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๖๕ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๑๕. ธัมมทัสสีพุทธวงศ์
[๔] ในกาลที่ท้าวสักกะพร้อมทั้งบริษัท
เสด็จเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้นำวิเศษ
เทวดาและมนุษย์ประมาณ ๘๐ โกฏิ ได้บรรลุธรรมครั้งที่ ๓
[๕] แม้พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นผู้เป็นเทพยิ่งกว่าเทพ
ก็มีการประชุมแห่งพระขีณาสพผู้ปราศจากมลทิน
มีจิตสงบระงับ ผู้คงที่ ๓ ครั้ง
[๖] ในกาลที่พระธัมมทัสสีพุทธเจ้า
ทรงเสด็จจำพรรษาที่สรณนคร
พระขีณาสพประมาณ ๑,๐๐๐ โกฏิ มาประชุมกัน เป็นครั้งที่ ๑
[๗] ต่อมา ในกาลที่พระพุทธเจ้า
เสด็จลงจากเทวโลกมายังโลกมนุษย์
พระขีณาสพประมาณ ๑๐๐ โกฏิ มาประชุมกัน เป็นครั้งที่ ๒
[๘] ต่อมา ในกาลที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศธุดงค์คุณ
พระขีณาสพจำนวน ๘๐ โกฏิ มาประชุมกัน เป็นครั้งที่ ๓
[๙] สมัยนั้น เราเป็นท้าวสักกปุรินททะ๑
ได้บูชาด้วยของหอมมาลาและดนตรีทิพย์
[๑๐] แม้พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ประทับนั่งท่ามกลางเทวดา
ก็ทรงพยากรณ์เราว่า
“ใน ๑๑๘ กัป ท้าวสักกปุรินททะนี้จักเป็นพระพุทธเจ้า”
พระตถาคตได้เสด็จออกจากกรุงกบิลพัสดุ์ที่น่ารื่นรมย์
[๑๑] พระตถาคตทรงเริ่มตั้งความเพียร
บำเพ็ญทุกรกิริยา จักประทับนั่งที่โคนต้นอชปาลนิโครธ
ทรงรับข้าวปายาสในที่นั้น แล้วเสด็จไปยังแม่น้ำเนรัญชรา

เชิงอรรถ :
๑ ปุรินททะ หมายถึงผู้ให้ทานในชาติก่อน เป็นชื่อของท้าวสักกะ (ขุ.วิ.อ. ๙๗๘/๓๐๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๖๖ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๑๕. ธัมมทัสสีพุทธวงศ์
พระชินเจ้าพระองค์นั้น จักเสวยข้าวปายาส
ที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชราแล้วเสด็จไปที่โคนต้นโพธิ์
ตามหนทางอันประเสริฐที่ตกแต่งไว้แล้ว
จากนั้น พระองค์ผู้มีพระยศยิ่งใหญ่
จักทำประทักษิณโพธิมัณฑ์อันยอดเยี่ยมแล้ว
ตรัสรู้ที่โคนต้นอัสสัตถพฤกษ์
พระมารดาผู้ให้กำเนิดพระชินเจ้าพระองค์นี้
จักมีพระนามว่ามายา
พระบิดาจักมีพระนามว่าสุทโธทนะ
พระชินเจ้าพระองค์นี้จักมีพระนามว่าโคดม
พระโกลิตเถระและพระอุปติสสเถระ
ผู้ไม่มีอาสวะ สิ้นราคะ มีจิตสงบ
ตั้งมั่นดี จักเป็นพระอัครสาวก
พระเถระนามว่าอานนท์ จักเป็นพระอุปัฏฐาก
บำรุงพระชินเจ้าพระองค์นี้
พระเขมาเถรีและพระอุบลวรรณาเถรี
ผู้ไม่มีอาสวะ สิ้นราคะ มีจิตสงบ
ตั้งมั่นดี จักเป็นพระอัครสาวิกา
ต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
ชาวโลกเรียกว่า ต้นอัสสัตถพฤกษ์
จิตตคหบดีอุบาสกและหัตถกคหบดีอุบาสก
ชาวเมืองอาฬวีจักเป็นอัครอุปัฏฐาก
นันทมารดาอุบาสิกาและขุชชุตตราอุบาสิกา
จักเป็นอัครอุปัฏฐายิกา
พระโคดมผู้มียศพระองค์นั้นจักมีพระชนมายุประมาณ ๑๐๐ ปี
เทวดาและมนุษย์ได้ฟังพระดำรัสนี้
ของพระพุทธเจ้าผู้ไม่มีใครเสมอเหมือน

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๖๗ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๑๕. ธัมมทัสสีพุทธวงศ์
ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่แล้ว
ต่างก็มีความชื่นชมกล่าวว่า
‘ท่านผู้นี้เป็นหน่อพุทธางกูร’
สัตว์ทั้งหลายในหมื่นจักรวาลพร้อมทั้งเทวดา
ต่างก็เปล่งเสียงโห่ร้องปรบมือ ร่าเริง
ประนมมือนมัสการว่า
‘ถ้าเราทั้งหลายจักพลาดศาสนาของพระโลกนาถพระองค์นี้
เราทั้งหลายก็จักพร้อมหน้าหน่อพุทธางกูรนี้ในอนาคตกาล
มนุษย์ทั้งหลายเมื่อจะข้ามแม่น้ำ พลาดท่าเฉพาะหน้าแล้ว
ก็ยึดเอาท่าถัดไปจึงข้ามแม่น้ำใหญ่ไป ฉันใด
เราทั้งหมดก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ถ้าพลาดพระชินเจ้าพระองค์นี้
ก็จักพร้อมหน้าหน่อพุทธางกูรนี้ในอนาคตกาล’
[๑๒] เราได้ฟังพระดำรัสของพระพุทธเจ้าแม้พระองค์นั้นแล้ว
ก็ทำจิตให้เลื่อมใสอย่างยิ่ง
ได้อธิษฐานวัตรเพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐ ประการให้ยิ่งขึ้นไป
[๑๓] กรุงชื่อว่าสรณะ กษัตริย์พระนามว่าสรณะเป็นพระชนก
พระเทวีพระนามว่าสุนันทาเป็นพระชนนี
ของพระศาสดาพระนามว่าธัมมทัสสี
[๑๔] พระองค์ทรงครองฆราวาสอยู่ ๘,๐๐๐ ปี
มีปราสาทที่อุดมอยู่ ๓ หลัง
คืออรชปราสาท วิรชปราสาท และสุทัศนปราสาท
[๑๕] มีนางสนมกำนัล ๔๐,๐๐๐ นาง
ล้วนประดับประดาสวยงาม
พระมเหสีนามว่าวิจิโกสี
พระราชโอรสพระนามว่าปุญญวัฑฒนะ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๖๘ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๑๕. ธัมมทัสสีพุทธวงศ์
[๑๖] พระองค์ผู้สูงสุดแห่งบุรุษทรงเห็นนิมิต ๔ ประการ
จึงเสด็จออกจากปราสาทไปผนวช
ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ ๗ วัน(จึงได้บรรลุพระโพธิญาณ)
[๑๗] พระมหาวีระพระนามว่าธัมมทัสสี ผู้องอาจกว่านรชน
เป็นผู้สูงสุดแห่งนรชน ผู้อันพรหมทูลอาราธนาแล้ว
ทรงประกาศพระธรรมจักรที่มฤคทายวัน
[๑๘] พระปทุมเถระและพระปุสสเทวเถระเป็นพระอัครสาวก
พระเถระนามว่าสุทัตตะเป็นพระอุปัฏฐาก
ของพระศาสดานามว่าธัมมทัสสี
[๑๙] พระเขมาเถรีและพระสัจจนามาเถรีเป็นพระอัครสาวิกา
ต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
ชาวโลกเรียกว่า ต้นมะกล่ำหลวง
[๒๐] สุภัททอุบาสกและกฏิสสหอุบาสกเป็นอัครอุปัฏฐาก
สาฬิสาอุบาสิกาและกฬิสสาอุบาสิกาเป็นอัครอุปัฏฐายิกา
[๒๑] แม้พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นผู้ไม่มีใครเสมอเหมือน
ทรงมีพระวรกายสูง ๘๐ ศอก
ทรงรุ่งเรืองยิ่งด้วยพระเดชในโลกธาตุมีหมื่นจักรวาล
[๒๒] พระองค์ทรงงามสง่าดังต้นพญาไม้สาละที่มีดอกบานสะพรั่ง
เหมือนสายฟ้าในท้องฟ้า และเหมือนดวงอาทิตย์ในยามเที่ยงวัน
[๒๓] แม้พระพุทธเจ้าผู้มีพระจักษุ
มีพระเดชไม่มีอะไรเปรียบเทียบ
ทรงดำรงชีวิตอยู่ในโลก ๑๐๐,๐๐๐ ปีถ้วน
[๒๔] พระองค์พร้อมทั้งสาวก ทรงแสดงพระรัศมีอันสว่างไสว
ทำศาสนาให้ปราศจากมลทิน เสด็จดับขันธปรินิพพาน
ดังดวงจันทร์บนท้องฟ้าเคลื่อนลับไป

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๖๙ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๑๖. สิทธัตถพุทธวงศ์
[๒๕] พระมหาวีระพระนามว่าธัมมทัสสี
เสด็จดับขันธปรินิพพานที่เกสาราม
พระสถูปอันประเสริฐของพระองค์นั้น สูงถึง ๓ โยชน์ ฉะนี้แล
ธัมมทัสสีพุทธวงศ์ที่ ๑๕ จบ

๑๖. สิทธัตถพุทธวงศ์
ว่าด้วยพระประวัติของพระสิทธัตถพุทธเจ้า
[๑] สมัยต่อจากพระพุทธเจ้าพระนามว่าธัมมทัสสี
ได้มีพระพุทธเจ้าพระนามว่าสิทธัตถะทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก
ทรงกำจัดความมืดทั้งปวง(ปรากฏ)
เหมือนดวงอาทิตย์อุทัย
[๒] แม้พระองค์ทรงบรรลุสัมโพธิญาณแล้ว
ทรงช่วยหมู่มนุษย์พร้อมทั้งเทวดาให้ข้ามพ้น
ทรงบันดาลฝนคือธรรมให้ตก
ช่วยชาวโลกพร้อมทั้งเทวโลกให้เย็น
[๓] สาวกแม้ของพระองค์ผู้มีพระเดชไม่มีอะไรเปรียบเทียบ
ได้มีการบรรลุธรรม ๓ ครั้ง
เทวดาและมนุษย์ประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ
ได้บรรลุธรรมครั้งที่ ๑
[๔] ต่อมา ในกาลที่พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ทรงลั่นอมตเภรีที่ภีมรัฏฐนคร
เทวดาและมนุษย์ประมาณ ๙๐ โกฏิ ได้บรรลุธรรมครั้งที่ ๒
[๕] ในกาลที่พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นทรงเป็นนระผู้สูงสุด
ทรงแสดงธรรมที่เวภารบรรพต
เทวดาและมนุษย์ประมาณ ๙๐ โกฏิ ได้บรรลุธรรมครั้งที่ ๓

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๗๐ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๑๖. สิทธัตถพุทธวงศ์
[๖] พระพุทธเจ้าพระนามว่าสิทธัตถะผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
ได้มีการประชุมแห่งพระขีณาสพ
ผู้ปราศจากมลทิน มีจิตสงบระงับ ผู้คงที่ ๓ ครั้ง
[๗] ได้มีการประชุมของพระขีณาสพผู้ปราศจากมลทิน ๓ ครั้งเหล่านี้
คือพระขีณาสพประมาณ ๑๐๐ โกฏิ ๑ ครั้ง
พระขีณาสพประมาณ ๙๐ โกฏิ ๑ ครั้ง
พระขีณาสพประมาณ ๘๐ โกฏิ ๑ ครั้ง
[๘] สมัยนั้น เราเป็นดาบสมีชื่อว่ามงคล มีเดชรุ่งเรือง
ข่มได้ยาก ทั้งประกอบด้วยอภิญญาและพละ
[๙] เราได้นำผลหว้ามาถวายพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าสิทธัตถะ
พระองค์ทรงรับแล้ว ได้ตรัสพระดำรัสนี้ว่า
[๑๐] จงดูชฎิลดาบสผู้มีตบะแก่กล้านี้ ในกัปที่ ๙๔ นับจากกัปนี้ไป
ชฎิลดาบสนี้จักเป็นพระพุทธเจ้า
พระตถาคตได้เสด็จออกจากกรุงกบิลพัสดุ์ที่น่ารื่นรมย์
[๑๑] พระตถาคตทรงเริ่มตั้งความเพียร
บำเพ็ญทุกรกิริยา จักประทับนั่งที่โคนต้นอชปาลนิโครธ
ทรงรับข้าวปายาสในที่นั้น แล้วเสด็จไปยังแม่น้ำเนรัญชรา
พระชินเจ้าพระองค์นั้นจักเสวยข้าวปายาส
ที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา แล้วเสด็จไปที่โคนต้นโพธิ์
ตามหนทางอันประเสริฐที่ตกแต่งไว้แล้ว
จากนั้น พระองค์ผู้มีพระยศยิ่งใหญ่
จักทำประทักษิณโพธิมัณฑ์อันยอดเยี่ยมแล้ว
ตรัสรู้ที่โคนต้นอัสสัตถพฤกษ์
พระมารดาผู้ให้กำเนิดพระชินเจ้าพระองค์นี้
จักมีพระนามว่ามายา

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๗๑ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๑๖. สิทธัตถพุทธวงศ์
พระบิดาจักมีพระนามว่าสุทโธทนะ
พระชินเจ้าพระองค์นี้จักมีพระนามว่าโคดม
พระโกลิตเถระและพระอุปติสสเถระ
ผู้ไม่มีอาสวะ สิ้นราคะ มีจิตสงบ
ตั้งมั่นดี จักเป็นพระอัครสาวก
พระเถระนามว่าอานนท์ จักเป็นพระอุปัฏฐาก
บำรุงพระชินเจ้าพระองค์นี้
พระเขมาเถรีและพระอุบลวรรณาเถรี
ผู้ไม่มีอาสวะ สิ้นราคะ มีจิตสงบ
ตั้งมั่นดี จักเป็นพระอัครสาวิกา
ต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
ชาวโลกเรียกว่า ต้นอัสสัตถพฤกษ์
จิตตคหบดีอุบาสกและหัตถกคหบดีอุบาสก
ชาวเมืองอาฬวีจักเป็นอัครอุปัฏฐาก
นันทมารดาอุบาสิกาและอุตตราอุบาสิกา
จักเป็นอัครอุปัฏฐายิกา
พระโคดมผู้มียศพระองค์นั้นจักมีพระชนมายุประมาณ ๑๐๐ ปี
เทวดาและมนุษย์ ได้ฟังพระดำรัสนี้
ของพระพุทธเจ้าผู้ไม่มีใครเสมอเหมือน
ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่แล้ว
ต่างก็มีความชื่นชมกล่าวว่า
‘ท่านผู้นี้เป็นหน่อพุทธางกูร’
สัตว์ทั้งหลายในหมื่นจักรวาลพร้อมทั้งเทวดา
ต่างก็เปล่งเสียงโห่ร้องปรบมือ ร่าเริง
ประนมมือนมัสการว่า
‘ถ้าเราทั้งหลายจักพลาดศาสนาของพระโลกนาถพระองค์นี้
เราทั้งหลายก็จักพร้อมหน้าหน่อพุทธางกูรนี้ในอนาคตกาล

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๗๒ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๑๖. สิทธัตถพุทธวงศ์
มนุษย์ทั้งหลายเมื่อจะข้ามแม่น้ำ พลาดท่าเฉพาะหน้าแล้ว
ก็ยึดเอาท่าถัดไปจึงข้ามแม่น้ำใหญ่ไป ฉันใด
เราทั้งหมดก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ถ้าพลาดพระชินเจ้าพระองค์นี้
ก็จักพร้อมหน้าหน่อพุทธางกูรนี้ในอนาคตกาล’
[๑๒] เราได้ฟังพระดำรัสของพระพุทธเจ้าแม้พระองค์นั้นแล้ว
ก็ทำจิตให้เลื่อมใสอย่างยิ่ง
ได้อธิษฐานวัตรเพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐ ประการให้ยิ่งขึ้นไป
[๑๓] กรุงชื่อว่าเวภาระ กษัตริย์พระนามว่าอุเทนเป็นพระชนก
พระเทวีพระนามว่าสุผัสสาเป็นพระชนนี
ของพระพุทธเจ้าพระนามว่าสิทธัตถะ
ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
[๑๔] พระองค์ทรงครองฆราวาสอยู่ ๑๐,๐๐๐ ปี
มีปราสาทที่อุดมอยู่ ๓ หลัง
คือโกกาสปราสาท อุปลปราสาท และโกกนุทปราสาท
[๑๕] มีนางสนมกำนัล ๔๘,๐๐๐ นาง
ล้วนประดับประดาสวยงาม
พระมเหสีพระนามว่าสุมนา
พระราชโอรสพระนามว่าอนุปมะ
[๑๖] พระชินเจ้าทรงเห็นนิมิต ๔ ประการ
จึงทรงวอทองออกผนวชแล้ว
ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ ๑๐ เดือนเต็ม(จึงได้บรรลุพระโพธิญาณ)
[๑๗] พระมหาวีระพระนามว่าสิทธัตถะทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก
ทรงเป็นผู้สูงสุดแห่งนระ ผู้อันพรหมทูลอาราธนาแล้ว
ทรงประกาศพระธรรมจักรที่มฤคทายวัน

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๗๓ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๑๖. สิทธัตถพุทธวงศ์
[๑๘] พระสัมพลเถระและพระสุมิตตเถระ เป็นพระอัครสาวก
พระเถระนามว่าเรวตะเป็นพระอุปัฏฐาก
ของพระพุทธเจ้าพระนามว่าสิทธัตถะ
ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
[๑๙] พระสีวลาเถรีและพระสุรามาเถรีเป็นพระอัครสาวิกา
ต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
ชาวโลกเรียกว่า ต้นกรรณิการ์
[๒๐] สุปปิยอุบาสกและสมุททอุบาสกเป็นอัครอุปัฏฐาก
รัมมาอุบาสิกาและสุรัมมาอุบาสิกาเป็นอัครอุปัฏฐายิกา
[๒๑] พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงมีพระวรกายสูง ๖๐ ศอก
ทรงงดงามดังทองคำที่ล้ำค่า
รุ่งเรืองไปทั่วหมื่นจักรวาล
[๒๒] แม้พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นผู้ไม่มีใครเสมอเหมือน
มีพระคุณนับไม่ได้ ไม่มีบุคคลเปรียบ ผู้มีพระจักษุ
ก็ดำรงพระชนมายุอยู่ในโลกประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ ปี
[๒๓] พระองค์ทรงแสดงพระรัศมีอย่างกว้างขวาง
ทรงทำสาวกทั้งหลายให้เบิกบาน
ทรงเยื้องกรายงดงามด้วยสมาบัติ
พร้อมทั้งสาวกเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว
[๒๔] พระพุทธเจ้าพระนามว่าสิทธัตถะทรงเป็นมุนีผู้ประเสริฐ
เสด็จดับขันธปรินิพพานที่อโนมาราม
พระสถูปอันประเสริฐของพระองค์
ที่อโนมารามนั้น สูงถึง ๔ โยชน์ ฉะนี้แล
สิทธัตถพุทธวงศ์ที่ ๑๖ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๗๔ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๑๗. ติสสพุทธวงศ์
๑๗. ติสสพุทธวงศ์
ว่าด้วยพระประวัติของพระติสสพุทธเจ้า
[๑] สมัยต่อจากพระพุทธเจ้าพระนามว่าสิทธัตถะ
ได้มีพระพุทธเจ้าพระนามว่าติสสะ
ไม่มีผู้เสมอ ไม่มีบุคคลเปรียบ
มีศีลหาที่สุดมิได้ มีพระยศนับมิได้
ทรงเป็นผู้นำชั้นเลิศของโลก
[๒] พระมหาวีระผู้มีพระจักษุ ผู้ทรงอนุเคราะห์
เสด็จอุบัติขึ้นในโลก ทรงขจัดความมืดได้แล้ว
ฉายพระรัศมีให้มนุษยโลกพร้อมทั้งเทวโลกสว่างไสว
[๓] แม้พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงมีพระฤทธิ์
ศีลและสมาธิอันหาสิ่งทัดเทียมมิได้
ทรงถึงความสำเร็จในธรรมทั้งปวงแล้ว
ทรงประกาศพระธรรมจักร
[๔] พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นทรงแสดงธรรม
ประกาศความบริสุทธิ์ไปในหมื่นจักรวาล
ในพระธรรมเทศนาครั้งที่ ๑
เทวดาและมนุษย์ ๑๐๐ โกฏิ ได้บรรลุธรรม
[๕] เทวดาและมนุษย์ประมาณ ๙๐ โกฏิ ได้บรรลุธรรมครั้งที่ ๒
ในการแสดงธรรมครั้งที่ ๓
เทวดาและมนุษย์ประมาณ ๖๐ โกฏิ ได้บรรลุธรรม
ครั้งนั้นพระองค์ทรงเปลื้องเทวดาและมนุษย์
ที่มาประชุมกันให้หลุดพ้นจากเครื่องผูกพัน๑
[๖] พระติสสพุทธเจ้าผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
ได้มีการประชุมแห่งพระขีณาสพ
ผู้ปราศจากมลทิน มีจิตสงบระงับ ผู้คงที่ ๓ ครั้ง

เชิงอรรถ :
๑ เครื่องผูกพัน หมายถึงสังโยชน์ ๑๐ (ขุ.พุทธ.อ. ๕/๓๓๐)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๗๕ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๑๗. ติสสพุทธวงศ์
[๗] พระขีณาสพประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ รูป
มาประชุมกัน เป็นครั้งที่ ๑
พระขีณาสพประมาณ ๙,๐๐๐,๐๐๐ รูป
มาประชุมกัน เป็นครั้งที่ ๒
[๘] พระขีณาสพผู้ปราศจากมลทิน
เบิกบานแล้วด้วยวิมุตติประมาณ ๘,๐๐๐,๐๐๐ รูป
มาประชุมกันเป็นครั้งที่ ๓
[๙] สมัยนั้น เราเป็นกษัตริย์มีนามว่าสุชาตะ
ละทิ้งโภคะเป็นอันมากแล้ว บวชเป็นฤๅษี
[๑๐] เมื่อเราบวชแล้ว พระพุทธเจ้า
ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลกเสด็จอุบัติขึ้น
เพราะได้ฟังเสียงว่า พุทโธ ปีติจึงเกิดแก่เรา
[๑๑] เราผู้กำจัดมานะแล้ว ใช้มือทั้ง ๒ ประคองดอกมณฑารพ
ดอกปทุม และดอกปาริฉัตตกะอันเป็นทิพย์เข้าเฝ้า
[๑๒] เราถือดอกไม้นั้น กั้นเหนือพระเศียร
พระชินเจ้าพระนามว่าติสสะ
ทรงเป็นผู้นำชั้นเลิศของโลก
ผู้แวดล้อมด้วยวรรณะทั้ง ๔๑
[๑๓] แม้พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ประทับนั่งท่ามกลางประชุมชน
ทรงพยากรณ์เราว่า
‘ในกัปที่ ๙๒ จากกัปนี้ไป ผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้า’
พระตถาคตได้เสด็จออกจากกรุงกบิลพัสดุ์ที่น่ารื่นรมย์
[๑๔] พระตถาคตทรงเริ่มตั้งความเพียร
บำเพ็ญทุกรกิริยา จักประทับนั่งที่โคนต้นอชปาลนิโครธ
ทรงรับข้าวปายาสในที่นั้น แล้วเสด็จไปยังแม่น้ำเนรัญชรา

เชิงอรรถ :
๑ วรรณะ ๔ หมายถึง วรรณะกษัตริย์ พราหมณ์ คหบดี และสมณะ (ขุ.พุทธ.อ. ๑๒/๓๓๗)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๗๖ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๑๗. ติสสพุทธวงศ์
พระชินเจ้าพระองค์นั้นจักเสวยข้าวปายาส
ที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชราแล้วเสด็จไปที่โคนต้นโพธิ์
ตามหนทางอันประเสริฐที่ตกแต่งไว้แล้ว
จากนั้น พระองค์ผู้มีพระยศยิ่งใหญ่
จักทำประทักษิณโพธิมัณฑ์อันยอดเยี่ยมแล้ว
ตรัสรู้ที่โคนต้นอัสสัตถพฤกษ์
พระมารดาผู้ให้กำเนิดพระชินเจ้าพระองค์นี้
จักมีพระนามว่ามายา
พระบิดาจักมีพระนามว่าสุทโธทนะ
พระชินเจ้าพระองค์นี้จักมีพระนามว่าโคดม
พระโกลิตเถระและพระอุปติสสเถระ
ผู้ไม่มีอาสวะ สิ้นราคะ มีจิตสงบ
ตั้งมั่นดี จักเป็นพระอัครสาวก
พระเถระนามว่าอานนท์ จักเป็นพระอุปัฏฐาก
บำรุงพระชินเจ้าพระองค์นี้
พระเขมาเถรีและพระอุบลวรรณาเถรี
ผู้ไม่มีอาสวะ สิ้นราคะ มีจิตสงบ
ตั้งมั่นดี จักเป็นพระอัครสาวิกา
ต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
ชาวโลกเรียกว่า ต้นอัสสัตถพฤกษ์
จิตตคหบดีอุบาสกและหัตถกคหบดีอุบาสก
ชาวเมืองอาฬวี จักเป็นอัครอุปัฏฐาก
นันทมารดาอุบาสิกาและอุตตราอุบาสิกา
จักเป็นอัครอุปัฏฐายิกา
พระโคดมผู้มียศพระองค์นั้นจักมีพระชนมายุประมาณ ๑๐๐ ปี
เทวดาและมนุษย์ ได้ฟังพระดำรัสนี้
ของพระพุทธเจ้าผู้ไม่มีใครเสมอเหมือน

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๗๗ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๑๗. ติสสพุทธวงศ์
ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่แล้ว
ต่างก็มีความชื่นชมกล่าวว่า
‘ท่านผู้นี้เป็นหน่อพุทธางกูร’
สัตว์ทั้งหลายในหมื่นจักรวาลพร้อมทั้งเทวดา
ต่างก็เปล่งเสียงโห่ร้องปรบมือ ร่าเริง
ประนมมือนมัสการว่า
‘ถ้าเราทั้งหลายจักพลาดศาสนาของพระโลกนาถพระองค์นี้
เราทั้งหลายก็จักพร้อมหน้าหน่อพุทธางกูรนี้ในอนาคตกาล’
มนุษย์ทั้งหลายเมื่อจะข้ามแม่น้ำ พลาดท่าเฉพาะหน้าแล้ว
ก็ยึดเอาท่าถัดไปจึงข้ามแม่น้ำใหญ่ไป ฉันใด
เราทั้งหมดก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ถ้าพลาดพระชินเจ้าพระองค์นี้
ก็จักพร้อมหน้าหน่อพุทธางกูรนี้ในอนาคตกาล
[๑๕] เราได้ฟังพระดำรัสของพระพุทธเจ้าแม้พระองค์นั้นแล้ว
ก็ทำจิตให้เลื่อมใสอย่างยิ่ง
ได้อธิษฐานวัตรเพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐ ประการให้ยิ่งขึ้นไป
[๑๖] กรุงชื่อว่าเขมกะ กษัตริย์พระนามว่าชนสันธะเป็นพระชนก
พระเทวีพระนามว่าปทุมาเป็นพระชนนี
ของพระพุทธเจ้าพระนามว่าติสสะ ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
[๑๗] พระองค์ทรงครองฆราวาสอยู่ ๗,๐๐๐ ปี
มีปราสาทที่อุดมอยู่ ๓ หลัง
คือคุณเสลาปราสาท นาทิยปราสาท และนิสภปราสาท
[๑๘] มีนางสนมกำนัล ๓๐,๐๐๐ นาง
ล้วนประดับประดาสวยงาม
พระมเหสีพระนามว่าสุภัททา
พระราชโอรสพระนามว่าอานันทะ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๗๘ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๑๗. ติสสพุทธวงศ์
[๑๙] พระชินเจ้าทรงเห็นนิมิต ๔ ประการ
จึงทรงราชพาหนะคือม้าออกผนวชแล้ว
ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ครึ่งเดือนเต็ม(จึงได้บรรลุพระโพธิญาณ)
[๒๐] พระมหาวีระพระนามว่าติสสะ ทรงเป็นผู้นำชั้นเลิศของโลก
ผู้อันพรหมทูลอาราธนาแล้ว
ทรงประกาศพระธรรมจักรที่ยสวดีทายวันอันประเสริฐ
[๒๑] พระพรหมเทพเถระและพระอุทัยเถระเป็นพระอัครสาวก
พระเถระนามว่าสุมังคละเป็นพระอุปัฏฐาก
ของพระพุทธเจ้าพระนามว่าติสสะ
ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
[๒๒] พระผุสสาเถรีและพระสุทัตตาเถรีเป็นพระอัครสาวิกา
ต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
ชาวโลกเรียกว่า ต้นประดู่
[๒๓] สัมพลอุบาสกและสิริอุบาสกเป็นอัครอุปัฏฐาก
กีสาโคตมีอุบาสิกาและอุปเสนาอุบาสิกาเป็นอัครอุปัฏฐายิกา
[๒๔] พระชินพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ทรงมีพระวรกายสูง ๖๐ ศอก
ผู้ไม่มีบุคคลเปรียบ ผู้ไม่มีใครเสมอเหมือน ทรงปรากฏดังภูเขา
[๒๕] แม้พระองค์ผู้มีเดชไม่มีอะไรเปรียบเทียบ ผู้มีพระจักษุ
ทรงดำรงพระชนมายุอยู่ในโลกประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ ปี
ไม่ยิ่งไปกว่านั้น๑
[๒๖] พระองค์พร้อมทั้งสาวก เสวยยศยิ่งใหญ่ อุดม ประเสริฐสุด
ทรงรุ่งเรืองดังกองเพลิงเสด็จดับขันธปรินิพพาน

เชิงอรรถ :
๑ ไม่ยิ่งไปกว่านั้น หมายถึงไม่มากไม่น้อยไปกว่า ๑๐๐,๐๐๐ ปี (ขุ.พุทธ.อ. ๒๕/๓๓๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๗๙ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๑๘. ปุสสพุทธวงศ์
[๒๗] พระองค์พร้อมทั้งสาวก เสด็จดับขันธปรินิพพาน
ดังเมฆหายจางไปเพราะสายลม
ดังน้ำค้างเหือดแห้งไปเพราะดวงอาทิตย์
และดังความมืดหายไปเพราะดวงไฟ ฉะนั้น
[๒๘] พระชินพุทธเจ้าผู้ประเสริฐพระนามว่าติสสะ
เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้วที่นันทาราม
พระสถูปของพระชินเจ้านั้น
ที่นันทารามนั้น สูงถึง ๓ โยชน์ ฉะนี้แล
ติสสพุทธวงศ์ที่ ๑๗ จบ

๑๘. ปุสสพุทธวงศ์
ว่าด้วยพระประวัติของพระปุสสพุทธเจ้า
[๑] ในมัณฑกัปนั้นแล ได้มีพระศาสดาผู้ยอดเยี่ยมพระนามว่าปุสสะ
ไม่มีบุคคลเปรียบ ผู้ไม่มีใครเสมอเหมือน
ทรงเป็นผู้นำชั้นเลิศของโลก
[๒] แม้พระองค์ก็ทรงกำจัดความมืดทั้งปวง
ทรงสางความรกชัฏเป็นอันมาก๑แล้ว
ทรงยังน้ำอมฤต๒ให้ตก ช่วยมนุษย์
พร้อมทั้งเทวดาได้ดื่มจนสำราญ
[๓] เมื่อพระพุทธเจ้าพระนามว่าผุสสะ
ทรงประกาศพระธรรมจักรในนักขัตตมงคล
เทวดาและมนุษย์ประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ
ได้บรรลุธรรมครั้งที่ ๑

เชิงอรรถ :
๑ ความรกชัฏเป็นอันมาก ได้แก่ ตัณหา (ขุ.พุทธ.อ. ๒/๓๓๕)
๒ น้ำอมฤต ได้แก่ ธรรมกถา (ขุ.พุทธ.อ. ๒/๓๓๕)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๘๐ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๑๘. ปุสสพุทธวงศ์
[๔] เทวดาและมนุษย์ประมาณ ๙,๐๐๐,๐๐๐
ได้บรรลุธรรมครั้งที่ ๒
เทวดาและมนุษย์ประมาณ ๘,๐๐๐,๐๐๐ ได้บรรลุธรรมครั้งที่ ๓
[๕] พระพุทธเจ้าผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่พระนามว่าปุสสะ
ได้มีการประชุมแห่งพระขีณาสพ
ผู้ปราศจากมลทิน มีจิตสงบระงับ ผู้คงที่ ๓ ครั้ง
[๖] พระขีณาสพประมาณ ๖,๐๐๐,๐๐๐ รูป
มาประชุมกัน เป็นครั้งที่ ๑
พระขีณาสพประมาณ ๕,๐๐๐,๐๐๐ รูป มาประชุมกัน เป็นครั้งที่ ๒
[๗] พระขีณาสพประมาณ ๔,๐๐๐,๐๐๐ รูป
ล้วนแต่หลุดพ้นแล้วเพราะไม่ถือมั่น ตัดที่ต่อคือกิเลสได้แล้ว
มาประชุมกัน เป็นครั้งที่ ๓
[๘] สมัยนั้น เราเป็นกษัตริย์มีนามว่าวิชิตะ
สละราชสมบัติเป็นอันมาก แล้วออกผนวชในสำนักของพระองค์
[๙] แม้พระพุทธเจ้าพระนามว่าปุสสะ
พระองค์นั้น ทรงเป็นผู้นำชั้นเลิศของชาวโลก
ทรงพยากรณ์เราว่า
‘ในกัปที่ ๙๒ จากกัปนี้ไป ผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้า’
พระตถาคตได้เสด็จออกจากกรุงกบิลพัสดุ์ที่น่ารื่นรมย์
[๑๐] พระตถาคตทรงเริ่มตั้งความเพียร
บำเพ็ญทุกรกิริยา จักประทับนั่งที่โคนต้นอชปาลนิโครธ
ทรงรับข้าวปายาสในที่นั้น แล้วเสด็จไปยังแม่น้ำเนรัญชรา
พระชินเจ้าพระองค์นั้นจักเสวยข้าวปายาส
ที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชราแล้วเสด็จไปที่โคนต้นโพธิ์
ตามหนทางอันประเสริฐที่ตกแต่งไว้แล้ว

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๘๑ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๑๘. ปุสสพุทธวงศ์
จากนั้น พระองค์ผู้มีพระยศยิ่งใหญ่
จักทำประทักษิณโพธิมัณฑ์อันยอดเยี่ยมแล้ว
ตรัสรู้ที่โคนต้นอัสสัตถพฤกษ์
พระมารดาผู้ให้กำเนิดพระชินเจ้าพระองค์นี้
จักมีพระนามว่ามายา
พระบิดาจักมีพระนามว่าสุทโธทนะ
พระชินเจ้าพระองค์นี้จักมีพระนามว่าโคดม
พระโกลิตเถระและพระอุปติสสเถระ
ผู้ไม่มีอาสวะ สิ้นราคะ มีจิตสงบ
ตั้งมั่นดี จักเป็นพระอัครสาวก
พระเถระนามว่าอานนท์ จักเป็นพระอุปัฏฐาก
บำรุงพระชินเจ้าพระองค์นี้
พระเขมาเถรีและพระอุบลวรรณาเถรี
ผู้ไม่มีอาสวะ สิ้นราคะ มีจิตสงบ
ตั้งมั่นดี จักเป็นพระอัครสาวิกา
ต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
ชาวโลกเรียกว่า ต้นอัสสัตถพฤกษ์
จิตตคหบดีอุบาสกและหัตถกคหบดีอุบาสก
ชาวเมืองอาฬวี จักเป็นอัครอุปัฏฐาก
นันทมารดาอุบาสิกาและอุตตราอุบาสิกา
จักเป็นอัครอุปัฏฐายิกา พระโคดมผู้มียศพระองค์นั้น
จักมีพระชนมายุประมาณ ๑๐๐ ปี
เทวดาและมนุษย์ได้ฟังพระดำรัสนี้
ของพระพุทธเจ้าผู้ไม่มีใครเสมอเหมือน
ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่แล้ว
ต่างก็มีความชื่นชมกล่าวว่า
‘ท่านผู้นี้เป็นหน่อพุทธางกูร’

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๘๒ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๑๘. ปุสสพุทธวงศ์
สัตว์ทั้งหลายในหมื่นจักรวาลพร้อมทั้งเทวดา
ต่างก็เปล่งเสียงโห่ร้องปรบมือ ร่าเริง
ประนมมือนมัสการว่า
‘ถ้าเราทั้งหลายจักพลาดศาสนาของพระโลกนาถพระองค์นี้
เราทั้งหลายก็จักพร้อมหน้าหน่อพุทธางกูรนี้ในอนาคตกาล’
[๑๑] เราได้ฟังพระดำรัสของพระพุทธเจ้าแม้พระองค์นั้นแล้ว
ก็ทำจิตให้เลื่อมใสอย่างยิ่ง
ได้อธิษฐานวัตรเพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐ ประการให้ยิ่งขึ้นไป
[๑๒] เราได้เล่าเรียนพระสูตรและพระวินัย
อันเป็นนวังคสัตถุศาสน์ทั้งปวงแล้ว
ช่วยประกาศศาสนาของพระชินเจ้าให้รุ่งเรือง
[๑๓] เราเป็นผู้ไม่ประมาทอยู่ในคำสั่งสอนนั้น
เจริญพรหมวิหารภาวนา
ถึงความสำเร็จอภิญญาแล้ว ได้ไปเกิดในพรหมโลก
[๑๔] กรุงชื่อว่ากาสิกะ กษัตริย์พระนามว่าชัยเสนเป็นพระชนก
พระเทวีพระนามว่าสิริมาเป็นพระชนนี
ของพระพุทธเจ้าพระนามว่าปุสสะ ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
[๑๕] พระองค์ทรงครองฆราวาสอยู่ ๙,๐๐๐ ปี
มีปราสาทที่อุดมอยู่ ๓ หลัง
คือครุฬปราสาท หังสปราสาท และสุวรรณดาราปราสาท
[๑๖] มีนางสนมกำนัล ๒๓,๐๐๐ นาง
ล้วนประดับประดาสวยงาม
พระมเหสีพระนามว่ากีสาโคตมี
พระราชโอรสพระนามว่าอนูปมะ
[๑๗] พระองค์ผู้สูงสุดแห่งบุรุษ ทรงเห็นนิมิต ๔ ประการ
จึงทรงราชพาหนะคือช้างออกผนวชแล้ว
ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ ๗ วันเต็ม(จึงได้บรรลุพระโพธิญาณ)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๘๓ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๑๘. ปุสสพุทธวงศ์
[๑๘] พระมหาวีระพระนามว่าปุสสะ
ทรงเป็นผู้นำชั้นเลิศของโลก สูงสุดกว่านรชน
ผู้อันพรหมทูลอาราธนาแล้ว
ทรงประกาศพระธรรมจักรที่มฤคทายวัน
[๑๙] พระสุรักขิตเถระและพระธรรมเสนเถระเป็นพระอัครสาวก
พระเถระนามว่าสภิยะเป็นพระอุปัฏฐากของพระปุสสพุทธเจ้า
ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
[๒๐] พระจาลาเถรีและพระอุปจาลาเถรีเป็นพระอัครสาวิกา
ต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
ชาวโลกเรียกว่าต้นมะขามป้อม
[๒๑] ธนัญชัยอุบาสกและวิสาขอุบาสก เป็นอัครอุปัฏฐาก
ปทุมาอุบาสิกาและสิรินาคาอุบาสิกา เป็นอัครอุปัฏฐายิกา
[๒๒] พระมุนีพระองค์นั้นทรงมีพระวรกายสูง ๕๘ ศอก
ทรงงดงามดังดวงอาทิตย์ และเหมือนดวงจันทร์ในวันเพ็ญ
[๒๓] ขณะนั้น มนุษย์ทั้งหลายมีอายุประมาณ ๙๐,๐๐๐ ปี
พระองค์ก็ทรงดำรงพระชนมายุประมาณเท่านั้น
ทรงช่วยหมู่ชนให้ข้ามพ้นได้เป็นจำนวนมาก
[๒๔] แม้พระศาสดาผู้มีพระยศอันไม่มีใคร ๆ เสมอเหมือนพระองค์นั้น
ตรัสสอนเวไนยสัตว์เป็นจำนวนมาก
ทรงช่วยหมู่ชนให้ข้ามพ้นได้เป็นจำนวนมาก
พระองค์ผู้เป็นไปกับสาวกเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว
[๒๕] พระชินศาสดาผู้ประเสริฐพระนามว่าปุสสะ
เสด็จดับขันธปรินิพพานที่เสนาราม
พระบรมสารีริกธาตุของพระองค์
แผ่ไปอย่างกว้างขวางในนานาอารยประเทศ ฉะนี้แล
ปุสสพุทธวงศ์ที่ ๑๘ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๘๔ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๑๙. วิปัสสีพุทธวงศ์
๑๙. วิปัสสีพุทธวงศ์
ว่าด้วยพระประวัติของพระวิปัสสีพุทธเจ้า
[๑] สมัยต่อจากพระพุทธเจ้าพระนามว่าปุสสะ
ได้มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ตามพระโคตร
ผู้สูงสุดแห่งเทวดาและมนุษย์
ผู้มีพระจักษุ เสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก
[๒] พระองค์ทรงทำลายกระเปาะฟองไข่คืออวิชชาแล้ว
ทรงบรรลุสัมโพธิญาณอันอุดม เสด็จไปยังกรุงพันธุมดี
เพื่อทรงประกาศพระธรรมจักร
[๓] พระองค์ทรงเป็นผู้นำ ทรงประกาศพระธรรมจักร
ให้ราชบุตรและบุตรปุโรหิตทั้ง ๒ ได้บรรลุธรรม
การบรรลุธรรมครั้งที่ ๑ บอกจำนวนไม่ได้
[๔] ต่อมาพระองค์ผู้มีพระยศนับไม่ได้
ทรงประกาศอริยสัจ ๔ ในนครนั้น
เทวดาและมนุษย์ประมาณ ๘๔,๐๐๐ ได้บรรลุธรรมครั้งที่ ๒
[๕] กุลบุตรประมาณ ๘๔,๐๐๐ บวชตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระองค์ผู้มีพระจักษุทรงแสดงธรรมแก่เขาเหล่านั้นผู้มาถึงอาราม
[๖] เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทานธรรมทานตามอุปนิสัย
จึงประทับยืนตรัสโดยอาการทั้งปวง
แม้บรรพชิตเหล่านั้นก็ได้บรรลุธรรมอันประเสริฐ
จึงชื่อว่าได้บรรลุธรรมครั้งที่ ๓
[๗] พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี
ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
ได้มีการประชุมพระขีณาสพผู้ปราศจากมลทิน
มีจิตสงบระงับ คงที่ ๓ ครั้ง

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๘๕ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๑๙. วิปัสสีพุทธวงศ์
[๘] ภิกษุประมาณ ๖,๘๐๐,๐๐๐ รูป มาประชุมกัน เป็นครั้งที่ ๑
ภิกษุประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ รูป มาประชุมกัน เป็นครั้งที่ ๒
[๙] ภิกษุประมาณ ๘๐,๐๐๐ รูป มาประชุมกัน เป็นครั้งที่ ๓
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรุ่งเรืองยิ่งในท่ามกลางหมู่ภิกษุนั้น
[๑๐] สมัยนั้น เราเป็นพญานาคผู้มีฤทธิ์มาก
มีบุญ มีความรุ่งเรือง มีนามว่าอตุละ ตามโคตร
[๑๑] ครั้งนั้น เรามีนาคหลายโกฏิแวดล้อม
เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าผู้เจริญที่สุดในโลก
บรรเลงดนตรีทิพย์ถวาย
[๑๒] เราครั้นเข้าเฝ้าพระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลกแล้ว
ทูลนิมนต์พระองค์แล้ว ได้ถวายตั่งทอง
อันประดับด้วยแก้วมณีและแก้วมุกดา
ประดับด้วยอาภรณ์ทุกชนิดแก่พระองค์ผู้เป็นพระธรรมราชา
[๑๓] แม้พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ประทับนั่งท่ามกลางสงฆ์แล้ว
ทรงพยากรณ์เราว่า
‘ในกัปที่ ๙๑ นับจากกัปนี้ไป พญานาคนี้จักเป็นพระพุทธเจ้า’
[๑๔] พระตถาคตได้เสด็จออกจากกรุงกบิลพัสดุ์ที่น่ารื่นรมย์แล้ว
ทรงเริ่มตั้งความเพียรบำเพ็ญทุกรกิริยา
[๑๕] พระตถาคตจักประทับนั่งที่โคนต้นอชปาลนิโครธ
ทรงรับข้าวปายาสในที่นั้น แล้วเสด็จไปยังแม่น้ำเนรัญชรา
[๑๖] พระชินเจ้าพระองค์นั้นจักเสวยข้าวปายาส
ที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา แล้วเสด็จไปที่โคนต้นโพธิ์
ตามหนทางอันประเสริฐที่ตกแต่งไว้แล้ว

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๘๖ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๑๙. วิปัสสีพุทธวงศ์
[๑๗] จากนั้น พระองค์ผู้มีพระยศยิ่งใหญ่
จักทำประทักษิณโพธิมัณฑ์อันยอดเยี่ยมแล้ว
ตรัสรู้สัมโพธิญาณที่โคนต้นอัสสัตถพฤกษ์
[๑๘] พระมารดาผู้ให้กำเนิดพระชินเจ้าพระองค์นี้
จักมีพระนามว่ามายา
พระบิดาจักมีพระนามว่าสุทโธทนะ
พระชินเจ้าพระองค์นี้จักมีพระนามว่าโคดม
[๑๙] พระโกลิตเถระและพระอุปติสสเถระ
ผู้ไม่มีอาสวะ สิ้นราคะ มีจิตสงบ
ตั้งมั่นดี จักเป็นพระอัครสาวก
พระเถระนามว่าอานนท์ จักเป็นพระอุปัฏฐาก
บำรุงพระชินเจ้าพระองค์นี้
[๒๐] พระเขมาเถรีและพระอุบลวรรณาเถรี
ผู้ไม่มีอาสวะ สิ้นราคะ มีจิตสงบระงับ
ตั้งมั่นดีจักเป็นพระอัครสาวิกา
ต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
ชาวโลกเรียกว่า ต้นอัสสัตถพฤกษ์
[๒๑] จิตตคหบดีอุบาสกและหัตถกคหบดีอุบาสก
ชาวเมืองอาฬวี จักเป็นอัครอุปัฏฐาก
นันทมารดาอุบาสิกาและอุตตราอุบาสิกา
จักเป็นอัครอุปัฏฐายิกา
พระโคดมผู้มียศพระองค์นั้นจักมีพระชนมายุประมาณ ๑๐๐ ปี
[๒๒] เทวดาและมนุษย์ ได้ฟังพระดำรัสนี้
ของพระพุทธเจ้าผู้ไม่มีใครเสมอเหมือน
ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่แล้ว
ต่างก็มีความชื่นชมกล่าวว่า
‘ท่านผู้นี้เป็นหน่อพุทธางกูร’

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๘๗ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๑๙. วิปัสสีพุทธวงศ์
สัตว์ทั้งหลายในหมื่นจักรวาลพร้อมทั้งเทวดา
ต่างก็เปล่งเสียงโห่ร้องปรบมือ ร่าเริง
ประนมมือ นมัสการว่า
‘ถ้าเราทั้งหลายจักพลาดศาสนาของพระโลกนาถพระองค์นี้
เราทั้งหลายก็จักพร้อมหน้าหน่อพุทธางกูรนี้ในอนาคตกาล
มนุษย์ทั้งหลายเมื่อจะข้ามแม่น้ำ พลาดท่าเฉพาะหน้าแล้ว
ก็ยึดเอาท่าถัดไปจึงข้ามแม่น้ำใหญ่ไป ฉันใด
เราทั้งหมดก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ถ้าพลาดพระชินเจ้าพระองค์นี้
ก็จักพร้อมหน้าหน่อพุทธางกูรนี้ในอนาคตกาล’
[๒๓] เราได้ฟังพระดำรัสของพระพุทธเจ้าแม้พระองค์นั้นแล้ว
ก็ทำจิตให้เลื่อมใสอย่างยิ่ง
ได้อธิษฐานวัตรเพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐ ประการให้ยิ่งขึ้นไป
[๒๔] กรุงชื่อว่าพันธุมดี กษัตริย์พระนามว่าพันธุมะเป็นพระชนก
พระเทวีพระนามว่าพันธุมดีเป็นพระชนนี
ของพระพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
[๒๕] พระองค์ทรงครองฆราวาสอยู่ ๘,๐๐๐ ปี
มีปราสาทที่อุดมอยู่ ๓ หลัง
คือนันทปราสาท สุนันทปราสาท และสิริมาปราสาท
[๒๖] มีนางสนมกำนัล ๔๓,๐๐๐ นาง
ล้วนประดับประดาสวยงาม
พระมเหสีพระนามว่าสุทัสสนา
พระราชโอรสพระนามว่าสมวัตตขันธ์
[๒๗] พระชินเจ้าทรงเห็นนิมิต ๔ ประการ
จึงทรงราชพาหนะคือรถออกผนวชแล้ว
ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ ๘ เดือนเต็ม(จึงได้บรรลุพระโพธิญาณ)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๘๘ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๑๙. วิปัสสีพุทธวงศ์
[๒๘] พระมหาวีระพระนามว่าวิปัสสี ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก
สูงสุดกว่านรชน ผู้อันพรหมทูลอาราธนาแล้ว
ทรงประกาศพระธรรมจักรที่มฤคทายวัน
[๒๙] พระขันธเถระและพระติสสนามเถระเป็นพระอัครสาวก
พระเถระนามว่าอโสกะเป็นพระอุปัฏฐาก
ของพระวิปัสสีพุทธเจ้า ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
[๓๐] พระจันทาเถรีและพระจันทมิตตาเถรีเป็นพระอัครสาวิกา
ต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
ชาวโลกเรียกว่า ต้นแคฝอย
[๓๑] ปุนัพพสุมิตตอุบาสกและนาคอุบาสกเป็นอัครอุปัฏฐาก
สิริมาอุบาสิกาและอุตตราอุบาสิกาเป็นอัครอุปัฏฐายิกา
[๓๒] พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก
ทรงมีพระวรกายสูง ๘๐ ศอก
พระองค์ทรงมีพระรัศมีเปล่งปลั่ง แผ่ไป ๗ โยชน์โดยรอบ
[๓๓] ขณะนั้น พระพุทธเจ้ามีพระชนมายุประมาณ ๘๐,๐๐๐ ปี
พระองค์ทรงดำรงพระชนมายุประมาณเท่านั้น
ทรงช่วยหมู่ชนให้ข้ามพ้นได้เป็นจำนวนมาก
[๓๔] ทรงเปลื้องเทวดาและมนุษย์เป็นจำนวนมาก
ให้พ้นจากเครื่องพันธนาการ
ตรัสบอกทางและมิใช่ทางแก่ปุถุชนที่เหลือ
[๓๕] พระองค์พร้อมทั้งสาวก ทรงแสดงแสงสว่าง แสดงอมตบท
ทรงรุ่งเรืองดังกองเพลิงเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว
[๓๖] พระฤทธิ์และบุญอันประเสริฐ
พระลักษณะมีลายจักรที่สวยงาม

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๘๙ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒๐. สิขีพุทธวงศ์
ทุกอย่างล้วนอันตรธานไปหมดแล้ว
สังขารทั้งปวงเป็นสภาพว่างเปล่าหนอ
[๓๗] พระวีรเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ทรงเป็นนระผู้ประเสริฐ
เสด็จดับขันธปรินิพพานที่สุมิตตาราม
พระสถูปอันประเสริฐของพระองค์
ที่สุมิตตารามนั้น สูงถึง ๗ โยชน์ ฉะนี้แล
วิปัสสีพุทธวงศ์ที่ ๑๙ จบ

๒๐. สิขีพุทธวงศ์
ว่าด้วยพระประวัติของพระสิขีพุทธเจ้า
[๑] สมัยต่อจากพระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า
ได้มีพระชินสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าสิขี
ผู้สูงสุดแห่งเทวดาและมนุษย์
ผู้ไม่มีบุคคลเสมอ ไม่มีบุคคลเปรียบเทียบ
[๒] ทรงย่ำยีมารและเสนามารแล้ว
ทรงบรรลุสัมโพธิญาณอันสูงสุด
ทรงประกาศพระธรรมจักร เพื่ออนุเคราะห์สัตว์ทั้งหลาย
[๓] เมื่อพระชินเจ้าผู้ประเสริฐพระนามว่าสิขี
ทรงประกาศพระธรรมจักร
เทวดาและมนุษย์ประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ ได้บรรลุธรรมครั้งที่ ๑
[๔] เมื่อพระองค์ผู้ประเสริฐที่สุดในหมู่คณะ
เป็นผู้สูงสุดแห่งนระ ทรงแสดงธรรมแม้อื่นอีก
เทวดาและมนุษย์ประมาณ ๙๐,๐๐๐ โกฏิ
ได้บรรลุธรรมครั้งที่ ๒

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๙๐ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒๐. สิขีพุทธวงศ์
[๕] เมื่อพระองค์ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ในมนุษย์โลกพร้อมเทวโลก
เทวดาและมนุษย์ประมาณ ๘๐,๐๐๐ โกฏิ
ได้บรรรลุธรรมครั้งที่ ๓
[๖] พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าสิขีผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
ก็ได้มีการประชุมแห่งพระขีณาสพ
ผู้ปราศจากมลทิน มีจิตสงบระงับ ผู้คงที่ ๓ ครั้ง
[๗] พระขีณาสพจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ รูป
มาประชุมกัน เป็นครั้งที่ ๑
มีพระขีณาสพจำนวน ๘๐,๐๐๐ รูป มาประชุมกัน เป็นครั้งที่ ๒
[๘] มีพระขีณาสพจำนวน ๗๐,๐๐๐ รูป
มาประชุมกัน เป็นครั้งที่ ๓
ภิกษุที่มาประชุมกันแม้นั้น ไม่แปดเปื้อนด้วยโลกธรรม
เหมือนดอกบัวที่เจริญในน้ำก็ไม่แปดเปื้อนด้วยน้ำ
[๙] สมัยนั้น เราเป็นกษัตริย์มีนามว่าอรินทมะ
ได้อังคาสพระสงฆ์มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน
ให้อิ่มหนำด้วยข้าวและน้ำ
[๑๐] ได้ถวายผ้าอย่างดีมากมายหลายโกฏิผืน
ได้ถวายพาหนะคือช้างซึ่งประดับแล้วอย่างดี
แด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
[๑๑] เราได้ทำราชพาหนะคือช้างให้เป็นของสมควรแก่สมณะ
แล้วนำไปถวาย ทำจิตของเราให้ตั้งมั่นเป็นนิตย์
[๑๒] พระพุทธเจ้าพระนามว่าสิขีพระองค์นั้น
ทรงเป็นผู้นำชั้นเลิศของโลก
ก็ทรงพยากรณ์เราว่า
‘ในกัปที่ ๓๑ นับจากกัปนี้ไป ผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้า’

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๙๑ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒๐. สิขีพุทธวงศ์
[๑๓] พระตถาคตได้เสด็จออกจากกรุงกบิลพัสดุ์ที่น่ารื่นรมย์แล้ว
ทรงเริ่มตั้งความเพียร บำเพ็ญทุกรกิริยา
พระตถาคตจักประทับนั่งที่โคนต้นอชปาลนิโครธ
ทรงรับข้าวปายาสในที่นั้นแล้ว เสด็จไปยังแม่น้ำเนรัญชรา
พระชินเจ้าพระองค์นั้นจักเสวยข้าวปายาส
ที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา แล้วเสด็จไปที่โคนต้นโพธิ์
ตามหนทางอันประเสริฐที่ตกแต่งไว้แล้ว
จากนั้น พระองค์ผู้มีพระยศยิ่งใหญ่
จักทำประทักษิณโพธิมัณฑ์อันยอดเยี่ยมแล้ว
ตรัสรู้ที่โคนต้นอัสสัตถพฤกษ์
พระมารดาผู้ให้กำเนิดพระชินเจ้าพระองค์นี้
จักมีพระนามว่ามายา
พระบิดาจักมีพระนามว่าสุทโธทนะ
พระชินเจ้าพระองค์นี้จักมีพระนามว่าโคดม
พระโกลิตเถระและพระอุปติสสเถระ
ผู้ไม่มีอาสวะ สิ้นราคะ มีจิตสงบ
ตั้งมั่นดี จักเป็นพระอัครสาวก
พระเถระนามว่าอานนท์ จักเป็นพระอุปัฏฐาก
บำรุงพระชินเจ้าพระองค์นี้
พระเขมาเถรีและพระอุบลวรรณาเถรี
ผู้ไม่มีอาสวะ สิ้นราคะ มีจิตสงบ
ตั้งมั่นดี จักเป็นพระอัครสาวิกา
ต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
ชาวโลกเรียกว่า ต้นอัสสัตถพฤกษ์
จิตตคหบดีอุบาสกและหัตถกคหบดีอุบาสก
ชาวเมืองอาฬวี จักเป็นอัครอุปัฏฐาก

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๙๒ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒๐. สิขีพุทธวงศ์
นันทมารดาอุบาสิกาและอุตตราอุบาสิกา
จักเป็นอัครอุปัฏฐายิกา
พระโคดมผู้มียศพระองค์นั้น
จักมีพระชนมายุประมาณ ๑๐๐ ปี
เทวดาและมนุษย์ได้ฟังพระดำรัสนี้
ของพระพุทธเจ้าผู้ไม่มีใครเสมอเหมือน
ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่แล้ว
ต่างก็มีความชื่นชมกล่าวว่า
‘ท่านผู้นี้เป็นหน่อพุทธางกูร’
สัตว์ทั้งหลายในหมื่นจักรวาลพร้อมทั้งเทวดา
ต่างก็เปล่งเสียงโห่ร้องปรบมือ ร่าเริง
ประนมมือนมัสการว่า
‘ถ้าเราทั้งหลายจักพลาดศาสนาของพระโลกนาถพระองค์นี้
เราทั้งหลายก็จักพร้อมหน้าหน่อพุทธางกูรนี้ในอนาคตกาล
มนุษย์ทั้งหลายเมื่อจะข้ามแม่น้ำ พลาดท่าเฉพาะหน้าแล้ว
ก็ยึดเอาท่าถัดไปจึงข้ามแม่น้ำใหญ่ไป ฉันใด
เราทั้งหมดก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ถ้าพลาดพระชินเจ้าพระองค์นี้
ก็จักพร้อมหน้าหน่อพุทธางกูรนี้ในอนาคตกาล’
[๑๔] เราได้ฟังพระดำรัสของพระพุทธเจ้าแม้พระองค์นั้นแล้ว
ก็ทำจิตให้เลื่อมใสอย่างยิ่ง
ได้อธิษฐานวัตรเพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐ ประการให้ยิ่งขึ้นไป
[๑๕] กรุงชื่อว่าอรุณวดี กษัตริย์พระนามว่าอรุณเป็นพระชนก
พระเทวีพระนามว่าประภาวดีเป็นพระชนนี
ของพระพุทธเจ้าพระนามว่าสิขี ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
[๑๖] พระองค์ทรงครองฆราวาสอยู่ ๗,๐๐๐ ปี
มีปราสาทที่อุดมอยู่ ๓ หลัง
คือสุวัฑฒกปราสาท คิริปราสาท และวาหนปราสาท

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๙๓ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒๐. สิขีพุทธวงศ์
[๑๗] มีนางสนมกำนัล ๒๔,๐๐๐ นาง
ล้วนประดับประดาสวยงาม
พระมเหสีพระนามว่าสัพพกามา
พระราชโอรสพระนามว่าอตุละ
[๑๘] พระองค์เป็นผู้สูงสุดแห่งบุรุษ ทรงเห็นนิมิต ๔ ประการ
จึงทรงราชพาหนะคือช้างออกผนวชแล้ว
ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ ๘ เดือนเต็ม(จึงได้บรรลุพระโพธิญาณ)
[๑๙] พระมหาวีระ ทรงเป็นผู้นำชั้นเลิศของโลก
ผู้สูงสุดแห่งนรชนพระนามว่าสิขี
ผู้อันพรหมทูลอาราธนาแล้ว
ทูลทรงประกาศพระธรรมจักรที่มฤคทายวัน
[๒๐] พระอภิภูเถระและพระสัมภวเถระเป็นพระอัครสาวก
พระเถระนามว่าเขมังกรเป็นพระอุปัฏฐาก
ของพระสิขีสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
[๒๑] พระสขิลาเถรีและพระปทุมาเถรีเป็นพระอัครสาวิกา
ต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
ชาวโลกเรียกว่า ต้นกุ่มบก
[๒๒] สิริวัฑฒอุบาสกและนันทอุบาสกเป็นอัครอุปัฏฐาก
จิตตาอุบาสิกาและสุจิตตาอุบาสิกาเป็นอัครอุปัฏฐายิกา
[๒๓] พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงมีพระวรกายสูง ๗๐ ศอก
ทรงงดงามดังทองคำที่ล้ำค่า
มีพระลักษณะอันประเสริฐ ๓๒ ประการ๑
[๒๔] แม้พระองค์ก็มีพระรัศมีประมาณวาหนึ่ง
ซ่านออกไปจากพระวรกายต่อเนื่องกันไป
พระรัศมีนั้นแผ่ไปยังทิศน้อยทิศใหญ่ถึง ๓ โยชน์

เชิงอรรถ :
๑ ดูเชิงอรรถหน้า ๑๐ ในเล่มนี้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๙๔ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒๑. เวสสภูพุทธวงศ์
[๒๕] พระองค์ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่นั้น
มีพระชนมายุประมาณ ๗๐,๐๐๐ ปี
พระองค์ทรงดำรงพระชนมายุประมาณเท่านั้น
ทรงช่วยหมู่ชนให้ข้ามพ้นได้เป็นจำนวนมาก
[๒๖] พระองค์พร้อมทั้งสาวก
ทรงบันดาลฝนคือธรรมให้ตกลง
ช่วยเทวดาและมนุษย์ให้แช่มชื่น
ให้บรรรลุถึงความเกษมแล้ว
เสด็จดับขันธปรินิพพาน
[๒๗] พระลักษณะอันประเสริฐ ๓๒ ประการ๑
ซึ่งสมบูรณ์ด้วยอนุพยัญชนะ
ทุกอย่างล้วนอันตรธานไปหมดแล้ว
สังขารทั้งปวงเป็นสภาพว่างเปล่าหนอ
[๒๘] พระพุทธเจ้าพระนามว่าสิขี ทรงเป็นมุนีผู้ประเสริฐ
เสด็จดับขันธปรินิพพานที่อัสสาราม
พระสถูปอันประเสริฐของพระองค์
ที่อัสสารามนั้น สูงถึง ๓ โยชน์ ฉะนี้แล
สิขีพุทธวงศ์ที่ ๒๐ จบ

๒๑. เวสสภูพุทธวงศ์
ว่าด้วยพระประวัติของพระเวสสภูพุทธเจ้า
[๑] ในมัณฑกัปนั้นแล ได้มีพระชินเจ้าพระนามว่าเวสสภู
ตามพระโคตร พระองค์ผู้ไม่มีบุคคลเสมอ ไม่มีบุคคลเปรียบ
เสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก

เชิงอรรถ :
๑ ดูเชิงอรรถหน้า ๑๐ ในเล่มนี้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๙๕ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒๑. เวสสภูพุทธวงศ์
[๒] พระชินเจ้าพระองค์นั้น
ทรงทราบว่า ไฟคือราคะนี้เป็นของร้อน
เป็นแว่นแคว้นของตัณหา ทรงตัดกิเลสเครื่องผูก
ดุจช้างตัดเครื่องพันธนาการแล้ว
ทรงบรรลุสัมโพธิญาณอันสูงสุด
[๓] พระเวสสภูพุทธเจ้าทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก
ทรงประกาศพระธรรมจักรแล้ว
เทวดาและมนุษย์ประมาณ ๘๐,๐๐๐ โกฏิ ได้บรรลุธรรมครั้งที่ ๑
[๔] เมื่อพระนราสภะผู้เจริญที่สุดในโลก
เสด็จจาริกไปในแว่นแคว้น
เทวดาและมนุษย์ประมาณ ๗๐,๐๐๐ โกฏิ ได้บรรลุธรรมครั้งที่ ๒
[๕] เมื่อพระองค์ทรงกระทำปาฏิหาริย์บรรเทาทิฏฐิอันสำคัญ
เทวดาและมนุษย์ในโลกพร้อมทั้งเทวโลกในหมื่นจักรวาล
มาประชุมกัน
[๖] เทวดาและมนุษย์ประมาณ ๖๐ โกฏิ
ได้เห็นความมหัศจรรย์ที่ไม่เคยมี
เป็นเหตุให้ขนพองสยองเกล้าแล้วบรรลุธรรม
[๗] พระชินเจ้าผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่พระนามว่าเวสสภู
ได้มีการประชุมแห่งพระขีณาสพ
ผู้ปราศจากมลทิน มีจิตสงบระงับ ผู้คงที่ ๓ ครั้ง
[๘] ภิกษุประมาณ ๘๐,๐๐๐ รูป ได้มาประชุมกัน เป็นครั้งที่ ๑
ภิกษุประมาณ ๗๐,๐๐๐ รูป ได้มาประชุมกัน เป็นครั้งที่ ๒
[๙] ภิกษุประมาณ ๖๐,๐๐๐ รูป มาประชุมกัน เป็นครั้งที่ ๓
ล้วนกลัวภัยมีชราเป็นต้น เป็นโอรสของพระมเหสีเจ้า
[๑๐] สมัยนั้น เราเป็นกษัตริย์มีนามว่าสุทัสสนะ
ทูลอาราธนาพระมหาวีรเจ้า แล้วถวายทานอันมีค่ามาก
ได้บูชาพระชินเจ้าพร้อมทั้งภิกษุสงฆ์ด้วยข้าวน้ำและผ้า

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๙๖ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒๑. เวสสภูพุทธวงศ์
[๑๑] เราฟังพระธรรมจักรอันประณีต
อันประเสริฐที่พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ผู้ไม่มีบุคคลเสมอ ทรงประกาศแล้ว
จึงชอบใจการบรรพชา
[๑๒] เราบำเพ็ญมหาทานให้เป็นไป
ไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันและกลางคืน
ทราบว่าการบวชถึงพร้อมด้วยคุณ
จึงบวชในสำนักของพระชินเจ้า
[๑๓] เราเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยอาจารคุณ
ตั้งมั่นอยู่ในวัตรและศีล แสวงหาสัพพัญญุตญาณ
ยินดีในศาสนาของพระชินเจ้า
[๑๔] เราทำศรัทธาและปีติให้เกิดขึ้น
ไหว้พระพุทธเจ้าผู้พระศาสดา
ปีติเกิดขึ้นแก่เราเพราะเหตุแห่งพระโพธิญาณนั่นเอง
[๑๕] พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบว่า
เรามีจิตไม่หวนกลับ จึงได้ตรัสดังนี้ว่า
‘ในกัปที่ ๓๑ นับจากกัปนี้ไป ผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้า’
[๑๖] พระตถาคตได้เสด็จออกจากกรุงกบิลพัสดุ์ที่น่ารื่นรมย์
ทรงเริ่มตั้งความเพียร บำเพ็ญทุกรกิริยา
พระตถาคตจักประทับนั่ง ที่โคนต้นอชปาลนิโครธ
ทรงรับข้าวปายาสในที่นั้น แล้วเสด็จไปยังแม่น้ำเนรัญชรา
พระชินเจ้าพระองค์นั้นจักเสวยข้าวปายาส
ที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา แล้วเสด็จไปที่โคนต้นโพธิ์
ตามหนทางอันประเสริฐที่ตกแต่งไว้แล้ว
จากนั้น พระองค์ผู้มีพระยศยิ่งใหญ่
จักทำประทักษิณโพธิมัณฑ์อันยอดเยี่ยมแล้ว
ตรัสรู้ที่โคนต้นอัสสัตถพฤกษ์

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๙๗ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒๑. เวสสภูพุทธวงศ์
พระมารดาผู้ให้กำเนิดพระชินเจ้าพระองค์นี้
จักมีพระนามว่ามายา
พระบิดาจักมีพระนามว่าสุทโธทนะ
พระชินเจ้าพระองค์นี้จักมีพระนามว่าโคดม
พระโกลิตเถระและพระอุปติสสเถระ
ผู้ไม่มีอาสวะ สิ้นราคะ มีจิตสงบ
ตั้งมั่นดี จักเป็นพระอัครสาวก
พระเถระนามว่าอานนท์ จักเป็นพระอุปัฏฐาก
บำรุงพระชินเจ้าพระองค์นี้
พระเขมาเถรีและพระอุบลวรรณาเถรี
ผู้ไม่มีอาสวะ สิ้นราคะ มีจิตสงบ
ตั้งมั่นดี จักเป็นพระอัครสาวิกา
ต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
ชาวโลกเรียกว่า ต้นอัสสัตถพฤกษ์
จิตตคหบดีอุบาสกและหัตถกคหบดีอุบาสก
ชาวเมืองอาฬวี จักเป็นอัครอุปัฏฐาก
นันทมารดาอุบาสิกาและอุตตราอุบาสิกา
จักเป็นอัครอุปัฏฐายิกา พระโคดมผู้มียศพระองค์นั้น
จักมีพระชนมายุประมาณ ๑๐๐ ปี
เทวดาและมนุษย์ ได้ฟังพระดำรัสนี้
ของพระพุทธเจ้า ผู้ไม่มีใครเสมอเหมือน
ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่แล้ว
ต่างก็มีความชื่นชมกล่าวว่า
‘ท่านผู้นี้เป็นหน่อพุทธางกูร’
สัตว์ทั้งหลายในหมื่นจักรวาลพร้อมทั้งเทวดา
ต่างก็เปล่งเสียงโห่ร้องปรบมือ ร่าเริง
ประนมมือนมัสการว่า

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๙๘ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒๑. เวสสภูพุทธวงศ์
‘ถ้าเราทั้งหลายจักพลาดศาสนาของพระโลกนาถพระองค์นี้
เราทั้งหลายก็จักพร้อมหน้าหน่อพุทธางกูรนี้ในอนาคตกาล
มนุษย์ทั้งหลายเมื่อจะข้ามแม่น้ำ พลาดท่าเฉพาะหน้าแล้ว
ก็ยึดเอาท่าถัดไปจึงข้ามแม่น้ำใหญ่ไป ฉันใด
เราทั้งหมดก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ถ้าพลาดพระชินเจ้าพระองค์นี้
ก็จักพร้อมหน้าหน่อพุทธางกูรนี้ในอนาคตกาล’
[๑๗] เราได้ฟังพระดำรัสของพระพุทธเจ้าแม้พระองค์นั้นแล้ว
ก็ทำจิตให้เลื่อมใสอย่างยิ่ง
ได้อธิษฐานวัตรเพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐ ประการให้ยิ่งขึ้นไป
[๑๘] กรุงชื่อว่าอโนมะ กษัตริย์พระนามว่าสุปปติตะเป็นพระชนก
พระเทวีพระนามว่ายสวดีเป็นพระมารดา
ของพระพุทธเจ้าพระนามว่าเวสสภู ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
[๑๙] พระองค์ทรงครองฆราวาสอยู่ ๖,๐๐๐ ปี
มีปราสาทที่อุดมอยู่ ๓ หลัง
คือรุจิปราสาท สุรติปราสาท และวัฑฒกปราสาท
[๒๐] มีนางสนมกำนัล ๓๐,๐๐๐ นาง
ล้วนประดับประดาสวยงาม
พระมเหสีพระนามว่าสุจิตตา
พระราชโอรสพระนามว่าสุปปพุทธะ
[๒๑] พระองค์ผู้สูงสุดแห่งบุรุษ
ทรงเห็นนิมิต ๔ ประการ
จึงทรงวอทองออกผนวชแล้ว
ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ ๖ เดือนเต็ม(จึงได้บรรลุสัมโพธิญาณ)
[๒๒] พระมหาวีระทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก
เป็นผู้สูงสุดแห่งนระ พระนามว่าเวสสภู

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๙๙ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒๑. เวสสภูพุทธวงศ์
ผู้อันพรหมทูลอาราธนาแล้ว
ทรงประกาศพระธรรมจักรที่อรุณาราม
[๒๓] พระโสณเถระและพระอุตตรเถระเป็นพระอัครสาวก
พระเถระนามว่าอุปสันตะเป็นพระอุปัฏฐาก
ของพระชินเจ้าพระนามว่าเวสสภู
ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
[๒๔] พระรามาเถรีและพระสมาลาเถรีเป็นอัครสาวิกา
ต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
ชาวโลกเรียกว่า ต้นอ้อยช้างใหญ่
[๒๕] โสตถิกอุบาสกและรัมมอุบาสกเป็นอัครอุปัฏฐาก
โคตมีอุบาสิกาและสิริมาอุบาสิกาเป็นอัครอุปัฏฐายิกา
[๒๖] พระองค์ทรงมีพระวรกายสูง ๖๐ ศอก
เปรียบเสมอด้วยเสาทองคำ พระรัศมีเปล่งออกจากพระวรกาย
ดังไฟบนภูเขาในเวลากลางคืน
[๒๗] พระชินเจ้าผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่พระองค์นั้น
มีพระชนมายุประมาณ ๖๐,๐๐๐ ปี
พระองค์ทรงดำรงพระชนมายุประมาณเท่านั้น
ทรงช่วยหมู่ชนให้ข้ามพ้นได้เป็นจำนวนมาก
[๒๘] พระองค์พร้อมทั้งสาวก ทรงจำแนกธรรมไว้อย่างพิสดาร
ประดิษฐานมหาชนไว้ในธรรมนาวาแล้ว๑
ก็เสด็จดับขันธปรินิพพาน
[๒๙] ชนทุกหมู่เหล่า พระวิหารและอิริยาบถที่น่าทัศนา
ทุกอย่างล้วนอันตรธานไปหมดแล้ว
สังขารทั้งปวงเป็นสภาพว่างเปล่าหนอ

เชิงอรรถ :
๑ ธรรมนาวา ในที่นี้ได้แก่ มรรคมีองค์ ๘ (ขุ.พุทฺธ.อ. ๒๘/๓๖๔)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๐๐ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒๒. กกุสันธพุทธวงศ์
[๓๐] พระชินศาสดาผู้ประเสริฐพระนามว่าเวสสภู
เสด็จดับขันธปรินิพพานที่เขมาราม
พระบรมสารีริกธาตุของพระองค์
แผ่ไปอย่างกว้างขวางในนานาอารยประเทศ ฉะนี้แล
เวสสภูพุทธวงศ์ที่ ๒๑ จบ

๒๒. กกุสันธพุทธวงศ์
ว่าด้วยพระประวัติของพระกกุสันธพุทธเจ้า
[๑] สมัยต่อจากพระพุทธเจ้าพระนามว่าเวสสภู
ได้มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่ากกุสันธะ ตามพระโคตร
ผู้สูงสุดแห่งเทวดาและมนุษย์
มีพระคุณหาประมาณมิได้ หาผู้กระทบกระทั่งได้ยาก
[๒] ทรงเพิกถอนภพทั้งปวง๑ ถึงที่สุดแห่งจริยา๒
ทรงทำลายกิเลส ดังราชสีห์ทำลายกรง๓แล้ว
ทรงบรรลุสัมโพธิญาณอันประเสริฐ
[๓] เมื่อพระกกุสันธพุทธเจ้า ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก
ทรงประกาศพระธรรมจักร
เทวดาและมนุษย์ประมาณ ๔๐,๐๐๐ โกฏิ ได้บรรลุธรรมครั้งที่ ๑
[๔] พระองค์แสดงฤทธิ์กระทำยมกปาฏิหาริย์ในอากาศกลางหาว
ทรงทำเทวดาและมนุษย์ประมาณ ๓๐,๐๐๐ โกฏิ ให้บรรลุธรรม
[๕] ในคราวประกาศอริยสัจ ๔ แก่ยักษ์นรเทพ
การบรรลุธรรมของยักษ์นั้น ไม่ได้คำนวณนับ

เชิงอรรถ :
๑ ภพทั้งปวง ได้แก่ ภพ ๙ (ขุ.พุทฺธ.อ. ๒/๓๖๘)
๒ จริยา หมายถึงบารมี (ขุ.พุทฺธ.อ. ๒/๓๖๘)
๓ กรง หมายถึงภพ (ขุ.พุทธ.อ. ๒/๓๖๔)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๐๑ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒๒. กกุสันธพุทธวงศ์
[๖] พระผู้มีพระภาคพระนามว่ากกุสันธะ
ได้มีการประชุมแห่งพระขีณาสพผู้ปราศจากมลทิน
มีจิตสงบระงับ ผู้คงที่ครั้งเดียว
[๗] ครั้งนั้น พระขีณาสพผู้บรรลุถึงภูมิที่ฝึกแล้ว
เพราะความสิ้นไปแห่งหมู่ข้าศึกคืออาสวะ
ประมาณ ๔๐,๐๐๐ รูป มาประชุมกัน
[๘] สมัยนั้น เราเป็นกษัตริย์มีนามว่าเขมะ
ได้ถวายทานมิใช่น้อยในพระตถาคตและในสาวกผู้ชินบุตร
[๙] ถวายบาตร จีวร ยาหยอดตา ชะเอมเครือ
ถวายสิ่งนั้น สิ่งนี้ ที่ประเสริฐยอดเยี่ยม
ทุกอย่างตามที่ภิกษุสงฆ์ปรารถนา
[๑๐] แม้พระพุทธเจ้าพระนามว่ากกุสันธะพระองค์นั้น
ผู้ทรงเป็นผู้นำวิเศษก็ทรงพยากรณ์เราว่า
‘ในภัทรกัปนี้ ผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้า’
[๑๑] พระตถาคตได้เสด็จออกจากกรุงกบิลพัสดุ์ที่น่ารื่นรมย์
ทรงเริ่มตั้งความเพียร บำเพ็ญทุกรกิริยา
พระตถาคตจักประทับนั่งที่โคนต้นอชปาลนิโครธ
ทรงรับข้าวปายาสในที่นั้น แล้วเสด็จไปยังแม่น้ำเนรัญชรา
พระชินเจ้าพระองค์นั้นจักเสวยข้าวปายาส
ที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา แล้วเสด็จไปที่โคนต้นโพธิ์
ตามหนทางอันประเสริฐที่ตกแต่งไว้แล้ว
จากนั้น พระองค์ผู้มีพระยศยิ่งใหญ่
จักทำประทักษิณโพธิมัณฑ์อันยอดเยี่ยมแล้ว
ตรัสรู้ที่โคนต้นอัสสัตถพฤกษ์

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๐๒ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒๒. กกุสันธพุทธวงศ์
พระมารดาผู้ให้กำเนิดพระชินเจ้าพระองค์นี้
จักมีพระนามว่ามายา
พระบิดาจักมีพระนามว่าสุทโธทนะ
พระชินเจ้าพระองค์นี้จักมีพระนามว่าโคดม
พระโกลิตเถระและพระอุปติสสเถระ
ผู้ไม่มีอาสวะ สิ้นราคะ มีจิตสงบ
ตั้งมั่นดี จักเป็นพระอัครสาวก
พระเถระนามว่าอานนท์ จักเป็นพระอุปัฏฐาก
บำรุงพระชินเจ้าพระองค์นี้
พระเขมาเถรีและพระอุบลวรรณาเถรี
ผู้ไม่มีอาสวะ สิ้นราคะ มีจิตสงบ
ตั้งมั่นดี จักเป็นพระอัครสาวิกา
ต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
ชาวโลกเรียกว่า ต้นอัสสัตถพฤกษ์
จิตตคหบดีอุบาสกและหัตถกคหบดีอุบาสก
ชาวเมืองอาฬวีจักเป็นอัครอุปัฏฐาก
นันทมารดาอุบาสิกาและอุตตราอุบาสิกา
จักเป็นอัครอุปัฏฐายิกา พระโคดมผู้มียศพระองค์นั้น
จักมีพระชนมายุประมาณ ๑๐๐ ปี
เทวดาและมนุษย์ได้ฟังพระดำรัสนี้
ของพระพุทธเจ้าผู้ไม่มีใครเสมอเหมือน
ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่แล้ว
ต่างก็มีความชื่นชมกล่าวว่า
‘ท่านผู้นี้เป็นหน่อพุทธางกูร’
สัตว์ทั้งหลายในหมื่นจักรวาลพร้อมทั้งเทวดา
ต่างก็เปล่งเสียงโห่ร้องปรบมือ ร่าเริง
ประนมมือนมัสการว่า

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๐๓ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒๒. กกุสันธพุทธวงศ์
‘ถ้าเราทั้งหลายจักพลาดศาสนาของพระโลกนาถพระองค์นี้
เราทั้งหลายก็จักพร้อมหน้าหน่อพุทธางกูรนี้ในอนาคตกาล
มนุษย์ทั้งหลายเมื่อจะข้ามแม่น้ำ พลาดท่าเฉพาะหน้าแล้ว
ก็ยึดเอาท่าถัดไปจึงข้ามแม่น้ำใหญ่ไป ฉันใด
เราทั้งหมดก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ถ้าพลาดพระชินเจ้าพระองค์นี้
ก็จักพร้อมหน้าหน่อพุทธางกูรนี้ในอนาคตกาล’
[๑๒] เราได้ฟังพระดำรัสของพระพุทธเจ้าแม้พระองค์นั้นแล้ว
ก็ทำจิตให้เลื่อมใสอย่างยิ่ง
ได้อธิษฐานวัตรเพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐ ประการให้ยิ่งขึ้นไป
[๑๓] กรุงชื่อว่าเขมวดี ครั้งนั้น เรามีชื่อว่าเขมะ
เมื่อแสวงหาพระสัพพัญญุตญาณ
จึงออกบวชในสำนักของพระองค์
[๑๔] อัคคิทัตตพราหมณ์นั้นเป็นพุทธบิดา
นางพราหมณีชื่อว่าวิสาขาเป็นมารดาของพระพุทธเจ้า
พระนามกกุสันธะ ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
[๑๕] ตระกูลใหญ่ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เป็นตระกูลที่ประเสริฐที่สุดของคนทั้งหลาย
มีชาติสูง มียศมาก อยู่ในเขมนครนั้น
[๑๖] พระองค์ทรงครองฆราวาสอยู่ ๔,๐๐๐ ปี
มีปราสาทที่อุดมอยู่ ๓ หลัง
คือกามวัฑฒปราสาท กามสุทธิปราสาท และรติวัฑฒปราสาท
[๑๗] มีนางสนมกำนัล ๓๐,๐๐๐ นาง
ล้วนประดับประดาสวยงาม
พระมเหสีพระนามว่าโรปินี
พระราชโอรสพระนามว่าอุตตระ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๐๔ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒๒. กกุสันธพุทธวงศ์
[๑๘] พระชินเจ้าทรงเห็นนิมิต ๔ ประการ
จึงทรงราชพาหนะคือรถออกผนวชแล้ว
ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ ๘ เดือนเต็ม(จึงได้บรรลุพระโพธิญาณ)
[๑๙] พระมหาวีระพระนามว่ากกุสันธะ
ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก เป็นผู้สูงสุดแห่งนรชน
ผู้อันพรหมทูลอาราธนาแล้ว
ทรงประกาศพระธรรมจักร ณ มฤคทายวัน
[๒๐] พระวิธุรเถระและพระสัญชีวนามเถระเป็นพระอัครสาวก
พระเถระนามว่าพุทธิชะเป็นพระอุปัฏฐาก
ของพระพุทธเจ้าพระนามว่ากกุสันธะ ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
[๒๑] พระสามาเถรีและพระจัมปานามาเถรีเป็นพระอัครสาวิกา
ต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
ชาวโลกเรียกว่า ต้นซึก
[๒๒] อัจจุคคตอุบาสกและสุมนอุบาสกเป็นอัครอุปัฏฐาก
นันทาอุบาสิกาและสุนันทาอุบาสิกาเป็นอัครอุปัฏฐายิกา
[๒๓] พระมหามุนีทรงมีพระวรกายสูง ๔๐ ศอก
พระรัศมีเปล่งปลั่งดังทองคำ แผ่ออกไป ๑๐ โยชน์โดยรอบ
[๒๔] พระชินเจ้าผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่พระองค์นั้น
มีพระชนมายุประมาณ ๔๐,๐๐๐ ปี
พระองค์ทรงดำรงพระชนมายุประมาณเท่านั้น
ทรงช่วยหมู่ชนให้ข้ามพ้นได้เป็นจำนวนมาก
[๒๕] พระองค์พร้อมทั้งสาวก ทรงแผ่ขยายตลาดธรรม๑
ให้แก่บุรุษและสตรี ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก

เชิงอรรถ :
๑ ทรงแผ่ขยายตลาดธรรม หมายถึง บอกกล่าวสอนพระพุทธพจน์ที่ประกอบด้วยองค์ ๙ โดยอรรถ
พยัญชนะ นัย เหตุ อุทาหรณ์ (มิลินฺท. ๓๕๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๐๕ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒๓. โกนาคมนพุทธวงศ์
ทรงบันลือสีหนาท๑แล้ว
เสด็จดับขันธปรินิพพาน
[๒๖] พระองค์ทรงถึงพร้อมด้วยพระดำรัสอันมีองค์ ๘
มีศีลไม่ด่างพร้อยตลอดกาล ทุกอย่างล้วนอันตรธานไปหมดแล้ว๒
สังขารทั้งปวงเป็นสภาพว่างเปล่าหนอ
[๒๗] พระชินเจ้าผู้ประเสริฐพระนามว่ากกุสันธะ
เสด็จดับขันธปรินิพพานที่เขมาราม
พระสถูปอันประเสริฐของพระองค์
ที่เขมารามนั้น สูงถึง ๑ คาวุต ฉะนี้แล
กกุสันธพุทธวงศ์ที่ ๒๒ จบ

๒๓. โกนาคมนพุทธวงศ์
ว่าด้วยพระประวัติของพระพุทธเจ้าพระนามว่าโกนาคมนะ
[๑] สมัยต่อจากพระพุทธเจ้าพระนามว่ากกุสันธะ
ได้มีพระชินสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าโกนาคมนะ
ผู้สูงสุดแห่งเทวดาและมนุษย์ ทรงองอาจกว่านรชน
เป็นผู้เจริญที่สุดในโลก
[๒] ทรงบำเพ็ญบารมีธรรม ๑๐ ประการให้บริบูรณ์
ข้ามทางกันดาร๓ได้แล้ว ลอยมลทิน๔ทั้งปวงแล้ว
ทรงบรรลุสัมโพธิญาณอันประเสริฐ

เชิงอรรถ :
๑ บันลือสีหนาท ในที่นี้ได้แก่ บันลือสีหนาท คือ ประกาศการให้อภัย (ขุ.พุทฺธ.อ. ๒๕/๓๗๐)
๒ ได้แก่ ยุคของพระสาวกอันตรธานไป (ขุ.พุทฺธ.อ. ๒๕/๓๗๑)
๓ ทางกันดาร คือชาติ (ขุ.พุทฺธ.อ. ๑/๓๗๓)
๔ มลทินทั้งปวง ได้แก่ มลทิน ๓ มีราคะเป็นต้น (ขุ.พุทฺธ.อ. ๒/๓๗๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๐๖ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒๓. โกนาคมนพุทธวงศ์
[๓] เมื่อพระพุทธเจ้าพระนามว่าโกนาคมนะ ผู้ทรงเป็นผู้นำวิเศษ
ทรงประกาศพระธรรมจักร
เทวดาและมนุษย์ประมาณ ๓๐,๐๐๐ โกฏิ ได้บรรลุธรรมครั้งที่ ๑
[๔] เมื่อพระองค์ทรงทำปาฏิหาริย์ในการย่ำยีวาทะของผู้อื่น
เทวดาและมนุษย์ประมาณ ๒๐,๐๐๐ โกฏิ ได้บรรลุธรรมครั้งที่ ๒
[๕] จากนั้น พระชินสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงฤทธิ์ต่าง ๆ
แล้วเสด็จไปยังเทวโลก
ประทับที่บัณฑุกัมพลสิลาอาสน์ในเทวโลกนั้น
[๖] พระมุนีนั้นทรงจำพรรษา ทรงแสดงพระอภิธรรม ๗ ปกรณ์
ทวยเทพประมาณ ๑๐,๐๐๐ โกฏิ ได้บรรลุธรรมครั้งที่ ๓
[๗] แม้พระพุทธเจ้าผู้เป็นเทพยิ่งกว่าเทพพระองค์นั้น
ก็ได้มีการประชุมแห่งพระขีณาสพ
ผู้ปราศจากมลทิน มีจิตสงบระงับ ผู้คงที่ครั้งเดียว
[๘] ครั้งนั้น ภิกษุ ๓๐,๐๐๐ รูป ผู้ข้ามโอฆะ
จะถูกมัจจุราชทำลาย มาประชุมกัน
[๙] สมัยนั้น เราเป็นกษัตริย์มีนามว่าปัพพตะ
พรั่งพร้อมด้วยมิตรและอำมาตย์ มีพลนิกายและพาหนะมิใช่น้อย
[๑๐] ไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ฟังธรรมอันยอดเยี่ยมแล้ว
นิมนต์พระสงฆ์พร้อมทั้งพระชินเจ้า ได้ถวายทานตามที่ตนปรารถนา
[๑๑] ได้ถวายผ้าปัตตุณณะ ผ้าเมืองจีน ผ้าไหม ผ้ากำพล
และฉลองพระบาททองคำแด่พระศาสดาและสาวก
[๑๒] แม้พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ประทับนั่งท่ามกลางสงฆ์แล้วทรงพยากรณ์เราว่า
‘ในภัทรกัปนี้ ผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้า’
[๑๓] พระตถาคตได้เสด็จออกจากกรุงกบิลพัสดุ์ที่น่ารื่นรมย์
ทรงเริ่มตั้งความเพียร บำเพ็ญทุกรกิริยา

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๐๗ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒๓. โกนาคมนพุทธวงศ์
พระตถาคตจักประทับนั่งที่โคนต้นอชปาลนิโครธ
ทรงรับข้าวปายาสในที่นั้น แล้วเสด็จไปยังแม่น้ำเนรัญชรา
พระชินเจ้าพระองค์นั้นจักเสวยข้าวปายาส
ที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา แล้วเสด็จไปที่โคนต้นโพธิ์
ตามหนทางอันประเสริฐที่ตกแต่งไว้แล้ว
จากนั้น พระองค์ผู้มีพระยศยิ่งใหญ่
จักทำประทักษิณโพธิมัณฑ์อันยอดเยี่ยมแล้ว
ตรัสรู้ที่โคนต้นอัสสัตถพฤกษ์
พระมารดาผู้ให้กำเนิดพระชินเจ้าพระองค์นี้
จักมีพระนามว่ามายา
พระบิดาจักมีพระนามว่าสุทโธทนะ
พระชินเจ้าพระองค์นี้จักมีพระนามว่าโคดม
พระโกลิตเถระและพระอุปติสสเถระ
ผู้ไม่มีอาสวะ สิ้นราคะ มีจิตสงบ
ตั้งมั่นดี จักเป็นพระอัครสาวก
พระเถระนามว่าอานนท์ จักเป็นพระอุปัฏฐาก
บำรุงพระชินเจ้าพระองค์นี้
พระเขมาเถรีและพระอุบลวรรณาเถรี
ผู้ไม่มีอาสวะ สิ้นราคะ มีจิตสงบ
ตั้งมั่นดี จักเป็นพระอัครสาวิกา
ต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
ชาวโลกเรียกว่า ต้นอัสสัตถพฤกษ์
จิตตคหบดีอุบาสกและหัตถกคหบดีอุบาสก
ชาวเมืองอาฬวี จักเป็นอัครอุปัฏฐาก
นันทมารดาอุบาสิกาและอุตตราอุบาสิกา
จักเป็นอัครอุปัฏฐายิกา

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๐๘ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒๓. โกนาคมนพุทธวงศ์
พระโคดมผู้มียศพระองค์นั้น
จักมีพระชนมายุประมาณ ๑๐๐ ปี
เทวดาและมนุษย์ได้ฟังพระดำรัสนี้
ของพระพุทธเจ้าผู้ไม่มีใครเสมอเหมือน
ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่แล้ว
ต่างก็มีความชื่นชมกล่าวว่า
‘ท่านผู้นี้เป็นหน่อพุทธางกูร’
สัตว์ทั้งหลายในหมื่นจักรวาลพร้อมทั้งเทวดา
ต่างก็เปล่งเสียงโห่ร้องปรบมือ ร่าเริง
ประนมมือนมัสการว่า
‘ถ้าเราทั้งหลายจักพลาดศาสนาของพระโลกนาถพระองค์นี้
เราทั้งหลายก็จักพร้อมหน้าหน่อพุทธางกูรนี้ในอนาคตกาล
มนุษย์ทั้งหลายเมื่อจะข้ามแม่น้ำ พลาดท่าเฉพาะหน้าแล้ว
ก็ยึดเอาท่าถัดไปจึงข้ามแม่น้ำใหญ่ไป ฉันใด
เราทั้งหมดก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ถ้าพลาดพระชินเจ้าพระองค์นี้
ก็จักพร้อมหน้าหน่อพุทธางกูรนี้ในอนาคตกาล’
[๑๔] เราได้ฟังพระดำรัสของพระพุทธเจ้าแม้พระองค์นั้นแล้ว
ก็ทำจิตให้เลื่อมใสอย่างยิ่ง
ได้อธิษฐานวัตรเพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐ ประการให้ยิ่งขึ้นไป
[๑๕] เราเป็นผู้สูงสุดแห่งนรชน เมื่อแสวงหาพระสัพพัญญุตญาณ
จึงให้ทาน สละราชสมบัติอันยิ่งใหญ่
บวชในสำนักของพระชินเจ้า
[๑๖] กรุงชื่อว่าโสภวดี กษัตริย์พระนามว่าโสภะ
ตระกูลใหญ่ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็อยู่ในนครนั้น
[๑๗] ยัญญทัตตพราหมณ์นั้นเป็นพุทธบิดา
นางพราหมณีชื่อว่าอุตตราเป็นพระมารดา
ของพระศาสดาพระนามว่าโกนาคมนะ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๐๙ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒๓. โกนาคมนพุทธวงศ์
[๑๘] พระองค์ทรงครองฆราวาสอยู่ ๓,๐๐๐ ปี
มีปราสาทที่อุดมอยู่ ๓ หลัง
คือดุสิตปราสาท สันดุสิตปราสาท และสันตุฏฐปราสาท
[๑๙] มีนางสนมกำนัล ๑๖,๐๐๐ นาง
ล้วนประดับประดาสวยงาม
พระมเหสีพระนามว่ารุจิคัตตา
พระราชโอรสพระนามว่าสัตถวาหะ
[๒๐] พระองค์เป็นผู้สูงสุดแห่งบุรุษ ทรงเห็นนิมิต ๔ ประการ
จึงทรงราชยานพาหนะคือช้างออกผนวชแล้ว
ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ ๖ เดือนเต็ม(จึงได้บรรลุพระโพธิญาณ)
[๒๑] พระมหาวีระพระนามว่าโกนาคมนะ
ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก เป็นผู้สูงสุดแห่งนรชน
ผู้อันพรหมทูลอาราธนาแล้ว
ทรงประกาศพระธรรมจักรที่มฤคทายวัน
[๒๒] พระภิยโยสเถระและพระอุตตรเถระเป็นพระอัครสาวก
พระเถระนามว่าโสตถิชะเป็นพระอุปัฏฐาก
ของพุทธเจ้าพระนามว่าโกนาคมนะ ผู้มีพระยศ
[๒๓] พระสมุททาเถรีและพระอุตตราเถรีเป็นพระอัครสาวิกา
ต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
ชาวโลกเรียกว่าต้นมะเดื่อ
[๒๔] อุคคอุบาสกและโสมเทพอุบาสกเป็นอัครอุปัฏฐาก
สีวลาอุบาสิกาและสามาอุบาสิกาเป็นอัครอุปัฏฐายิกา
[๒๕] พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงมีพระวรกายสูง ๓๐ ศอก
ประดับด้วยพระรัศมีเปล่งปลั่งดังทองคำที่ปากเบ้า
[๒๖] ขณะนั้น พระพุทธองค์มีพระชนมายุประมาณ ๓๐,๐๐๐ ปี
พระองค์ทรงดำรงพระชนมายุอยู่ประมาณเท่านั้น
ทรงช่วยหมู่ชนให้ข้ามพ้นได้เป็นจำนวนมาก

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๑๐ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒๔. กัสสปพุทธวงศ์
[๒๗] พระองค์พร้อมทั้งสาวก ทรงยกธรรมเจดีย์
อันประดับด้วยผ้าคือธรรมแล้ว๑
ทรงร้อยพวงดอกไม้คือธรรมเสร็จแล้ว
เสด็จดับขันธปรินิพพาน
[๒๘] สาวกของพระองค์งดงามด้วยฤทธิ์อันยิ่งใหญ่
พระองค์ทรงประกาศศิริธรรม๒
ทุกอย่างล้วนอันตรธานไปหมดแล้ว
สังขารทั้งปวงเป็นสภาพว่างเปล่าหนอ
[๒๙] พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าโกนาคมนะ
เสด็จดับขันธปรินิพพานที่ปัตตาราม
พระบรมสารีริกธาตุของพระองค์
แผ่ไปอย่างกว้างขวางในนานาอารยประเทศ ฉะนี้แล
โกนาคมนพุทธวงศ์ที่ ๒๓ จบ

๒๔. กัสสปพุทธวงศ์
ว่าด้วยพระประวัติของพระกัสสปพุทธเจ้า
[๑] สมัยต่อจากพระพุทธเจ้าพระนามว่าโกนาคมนะ
ได้มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ตามพระโคตร
ผู้สูงสุดแห่งเทวดาและมนุษย์
ทรงเป็นธรรมราชา มีพระรัศมี
[๒] ทรัพย์อันเป็นมรดกของตระกูล ที่สัตว์เป็นอันมากบูชากัน
พระองค์ทรงสละให้ทานแก่พวกยาจก

เชิงอรรถ :
๑ ยกธรรมเจดีย์ หมายถึงโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ
อันประดับด้วยแผ่นผ้า หมายถึงประดับด้วยอริยสัจ ๔ (ขุ.พุทฺธ.อ. ๒๗/๓๗๗)
๒ ศิริธรรม ได้แก่ โลกุตตรธรรม (ขุ.พุทฺธ.อ. ๒๘/๓๗๗)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๑๑ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒๔. กัสสปพุทธวงศ์
ทำจิตให้เต็ม ทำลายกิเลสดังคอก
เหมือนโคอุสภะทำลายคอก ฉะนั้นแล้ว
ทรงบรรลุสัมโพธิญาณอันประเสริฐ
[๓] เมื่อพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นพระผู้นำสัตว์โลก
ประกาศพระธรรมจักร
เทวดาและมนุษย์ประมาณ ๒๐,๐๐๐ โกฏิ ได้บรรลุธรรมครั้งที่ ๑
[๔] ในคราวที่พระพุทธเจ้าเสด็จจาริกไปในโลกตลอด ๔ เดือน
เทวดาและมนุษย์ประมาณ ๑๐,๐๐๐ โกฏิ ได้บรรลุธรรมครั้งที่ ๒
[๕] ในคราวเมื่อพระองค์ทรงทำยมกปาฏิหาริย์แสดงฤทธิ์ต่าง ๆ
ประกาศพระญาณธาตุ๑
เทวดาและมนุษย์ประมาณ ๕,๐๐๐ โกฏิ ได้บรรลุธรรมครั้งที่ ๓
[๖] พระชินเจ้าทรงแสดงธรรมที่สุธรรมเทพนคร ที่รื่นรมย์นั้น
ทรงทำให้เทวดาประมาณ ๓,๐๐๐ โกฏิ ได้บรรลุธรรม
[๗] ในคราวที่ทรงแสดงธรรมแก่ยักษ์นรเทพ
อีกครั้งหนึ่ง
เทวดาเหล่านั้นได้บรรลุธรรมคำนวณนับไม่ได้
[๘] แม้พระพุทธเจ้าผู้เป็นเทพยิ่งกว่าเทพพระองค์นั้น
ก็ได้มีการประชุมแห่งพระขีณาสพ
ผู้ปราศจากมลทิน มีจิตสงบระงับ ผู้คงที่ครั้งเดียว
[๙] ครั้งนั้น ภิกษุประมาณ ๒๐,๐๐๐ รูป
ผู้ล่วงภพ ผู้คงที่ด้วยหิริและศีล มาประชุมกัน
[๑๐] ครั้งนั้น เราเป็นมาณพมีชื่อปรากฏว่าโชติปาละ
คงแก่เรียน ทรงมนตร์ จบไตรเพท

เชิงอรรถ :
๑ พระญาณธาตุ ได้แก่ สัพพัญญุตญาณ (ขุ.พุทฺธ.อ. ๕/๓๘๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๑๒ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒๔. กัสสปพุทธวงศ์
[๑๑] ถึงความสำเร็จในคัมภีร์ทำนายลักษณะและคัมภีร์อิติหาสะ
เป็นผู้ฉลาดในวิชาดูพื้นที่และอากาศ เป็นผู้ใช้วิชา ไม่มีทุกข์
[๑๒] ฆฏิการอุบาสก ผู้เป็นอุปัฏฐาก
ของพระผู้มีพระภาคพระนามว่ากัสสปะ
เป็นผู้มีความเคารพยำเกรง เป็นพระอนาคามี
[๑๓] ฆฏิการอุบาสกได้พาเราเข้าเฝ้าพระชินเจ้าพระนามว่ากัสสปะ
เราได้ฟังธรรมของพระองค์แล้วจึงบวชในสำนักของพระองค์
[๑๔] เราเป็นผู้ปรารภความเพียร ฉลาดในวัตรน้อยวัตรใหญ่
ไม่เสื่อมในที่ไหน ๆ๑ ปฏิบัติตามคำสั่งสอน
ของพระชินเจ้าอย่างสมบูรณ์
[๑๕] เล่าเรียนนวังคสัตถุศาสน์ เท่าที่พระพุทธเจ้าตรัสแล้วทุกอย่าง
ช่วยประกาศพระศาสนาของพระชินเจ้าให้งดงาม
[๑๖] แม้พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงเห็นความอัศจรรย์ของเราแล้ว
จึงทรงพยากรณ์เราว่า
‘ในภัทรกัปนี้ ผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้า’
[๑๗] พระตถาคตได้เสด็จออกจากกรุงกบิลพัสดุ์ที่น่ารื่นรมย์
ทรงเริ่มตั้งความเพียร บำเพ็ญทุกรกิริยา
[๑๘] พระตถาคตจักประทับนั่งที่โคนต้นอชปาลนิโครธ
ทรงรับข้าวปายาสในที่นั้น แล้วเสด็จไปยังแม่น้ำเนรัญชรา
[๑๙] พระชินเจ้าพระองค์นั้นจักเสวยข้าวปายาส
ที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา แล้วเสด็จไปที่โคนต้นโพธิ์
ตามหนทางอันประเสริฐที่ตกแต่งไว้แล้ว

เชิงอรรถ :
๑ ไม่เสื่อมในที่ไหน ๆ หมายถึงไม่เสื่อมในศีล สมาธิ และสมาบัติเป็นต้น (ขุ.พุทธ.อ. ๓๘๔)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๑๓ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒๔. กัสสปพุทธวงศ์
[๒๐] จากนั้นพระองค์ผู้มีพระยศยิ่งใหญ่
จักทำประทักษิณโพธิมัณฑ์อันยอดเยี่ยมแล้ว
ตรัสรู้ที่โคนต้นอัสสัตถพฤกษ์
[๒๑] พระมารดาผู้ให้กำเนิดพระชินเจ้าพระองค์นี้
จักมีพระนามว่ามายา
พระบิดาจักมีพระนามว่าสุทโธทนะ
พระชินเจ้าพระองค์นี้จักมีพระนามว่าโคดม
[๒๒] พระโกลิตเถระและพระอุปติสสเถระ
ผู้ไม่มีอาสวะ สิ้นราคะ มีจิตสงบ
ตั้งมั่นดี จักเป็นพระอัครสาวก
พระเถระนามว่าอานนท์จักเป็นพระอุปัฏฐาก
บำรุงพระชินเจ้าพระองค์นี้
[๒๓] พระเขมาเถรีและพระอุบลวรรณาเถรีผู้ไม่มีอาสวะ
สิ้นราคะ มีจิตตั้งมั่นดี จักเป็นพระอัครสาวิกา
ต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
ชาวโลกเรียกว่า ต้นอัสสัตถพฤกษ์
[๒๔] จิตตคหบดีอุบาสกและหัตถกคหบดีอุบาสก
ชาวเมืองอาฬวีจักเป็นอัครอุปัฏฐาก
นันทมารดาอุบาสิกาและอุตตราอุบาสิกาจักเป็นอัครอุปัฏฐายิกา
พระโคดมผู้มียศพระองค์นั้น
จักมีพระชนมายุประมาณ ๑๐๐ ปี
[๒๕] เทวดาและมนุษย์ได้ฟังพระดำรัสนี้
ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ไม่มีใครเสมอเหมือน
ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ต่างก็มีความชื่นชมกล่าวว่า
‘ท่านผู้นี้เป็นหน่อพุทธางกูร’
[๒๖] สัตว์ทั้งหลายในหมื่นจักรวาลพร้อมทั้งเทวดา
ต่างก็เปล่งเสียงโห่ร้องปรบมือ ร่าเริง
ประนมมือนมัสการว่า

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๑๔ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒๔. กัสสปพุทธวงศ์
[๒๗] ‘ถ้าเราทั้งหลายจักพลาดศาสนาของพระโลกนาถพระองค์นี้
เราทั้งหลายก็จักพร้อมหน้าหน่อพุทธางกูรนี้ในอนาคต
[๒๘] มนุษย์ทั้งหลายเมื่อจะข้ามแม่น้ำ พลาดท่าเฉพาะหน้าแล้ว
ก็ยึดเอาท่าถัดไปจึงข้ามแม่น้ำใหญ่ไป ฉันใด
[๒๙] เราทั้งหมดก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ถ้าพลาดพระชินเจ้าพระองค์นี้
ก็จักพร้อมหน้าหน่อพุทธางกูรนี้ในอนาคตกาล’
[๓๐] เราได้ฟังพระดำรัสของพระพุทธเจ้าแม้พระองค์นั้นแล้ว
ก็ทำจิตให้เลื่อมใสอย่างยิ่ง
ได้อธิษฐานวัตรเพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐ ประการให้ยิ่งขึ้นไป
[๓๑] เราระลึกถึงพุทธพยากรณ์อย่างนี้แล้ว
งดเว้นความประพฤติเสียหาย
ข้าพเจ้าทำกรรมที่ทำได้ยาก
เพราะเหตุแห่งพระโพธิญาณเท่านั้น
[๓๒] กรุงชื่อว่าพาราณสี กษัตริย์พระนามว่ากิกี
ตระกูลใหญ่ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็อยู่ในนครนั้น
[๓๓] พรหมทัตตพราหมณ์นั้นเป็นพุทธบิดา
นางพราหมณีชื่อว่าธนวดีเป็นมารดา
ของพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ
ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
[๓๔] พระองค์ทรงครองฆราวาสอยู่ ๒,๐๐๐ ปี
มีปราสาทที่อุดมอยู่ ๓ หลัง
คือหังสปราสาท ยสปราสาท และสิริจันทปราสาท
[๓๕] มีนางสนมกำนัล ๔๘,๐๐๐ นาง
ล้วนประดับประดาสวยงาม

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๑๕ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒๔. กัสสปพุทธวงศ์
พระมเหสีพระนามว่าสุนันทา
พระราชโอรสพระนามว่าวิชิตเสนะ
[๓๖] พระองค์เป็นผู้สูงสุดแห่งบุรุษ
ทรงเห็นนิมิต ๔ ประการ
จึงออกจากปราสาทไปผนวช
ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ ๗ วัน (จึงได้บรรลุพระโพธิญาณ)
[๓๗] พระมหาวีระพระนามว่ากัสสปะ
ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก ผู้สูงสุดแห่งนรชน
ผู้อันพรหมทูลอาราธนาแล้ว
ทรงประกาศพระธรรมจักรที่มฤคทายวัน
[๓๘] พระติสสเถระและพระภารทวาชเถระเป็นพระอัครสาวก
พระเถระนามว่าสรรพมิตตะเป็นพระอุปัฏฐาก
ของพระพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ
ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
[๓๙] พระอนุลาเถรีและพระอุรุเวลาเถรีเป็นพระอัครสาวิกา
ต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
ชาวโลกเรียกว่า ต้นไทร
[๔๐] สุมังคลอุบาสกและฆฏิการอุบาสกเป็นอัครอุปัฏฐาก
วิชิตเสนาอุบาสิกาและภัททาอุบาสิกาเป็นอัครอุปัฏฐายิกา
[๔๑] พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงมีพระวรกายสูง ๒๐ ศอก
มีพระรัศมีเปล่งปลั่งดังสายฟ้าในอากาศ
ดุจดวงจันทร์ทรงกลด
[๔๒] พระองค์ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
ทรงมีพระชนมายุประมาณ ๒๐,๐๐๐ ปี
พระองค์ทรงดำรงพระชนมายุประมาณเท่านั้น
ทรงช่วยหมู่ชนให้ข้ามพ้นได้เป็นจำนวนมาก

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๑๖ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒๔. กัสสปพุทธวงศ์
[๔๓] ทรงสร้างสระน้ำคือธรรมไว้ ทรงประทานเครื่องลูบไล้คือศีล
ทรงจัดผ้าคือธรรมไว้๑เป็นเครื่องนุ่งห่ม ทรงแจกพวงมาลัยคือธรรม๒
[๔๔] ทรงตั้งกระจกเงาที่ไร้มลทินคือธรรมไว้๓ให้มหาชน
ด้วยทรงหวังว่า ชนบางพวกปรารถนานิพพาน
จงเห็นเครื่องประดับของเรา
[๔๕] ทรงประทานเสื้อคือศีล๔ เกราะหนังคือฌาน
ทรงจัดหนังคือธรรมไว้๕คลุมกาย และเครื่องผูกสอด๖ อย่างดีเลิศ
[๔๖] ทรงประทานโล่คือสติปัฏฐาน ๔ หอกคือญาณอันคมกล้า
ดาบอย่างดี๗คือธรรม และศาสตราวุธเครื่องย่ำยีศัตรูคือศีลไว้ให้
[๔๗] ประทานภูษาคือวิชชา ๓
พวงมาลัยสำหรับสวมศีรษะคือผล ๔
เครื่องอาภรณ์คืออภิญญา ๖
และดอกไม้เครื่องประดับคือพระธรรม
[๔๘] ร่มขาว๘คือพระสัทธรรมอันเป็นเครื่องป้องกันบาป
ทรงเนรมิตดอกไม้๙คือความไม่มีเวรภัยไว้ให้เสร็จแล้ว
พระองค์ก็เสด็จดับขันธปรินิพพาน

เชิงอรรถ :
๑ ทรงจัดผ้าคือธรรมไว้ หมายถึงหิริและโอตตัปปะ (ขุ.พุทฺธ.อ. ๒๖/๓๘๗)
๒ ทรงแจกพวงมาลัยคือธรรม หมายถึงโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ (ขุ.พุทฺธ.อ. ๒๖/๓๘๗)
๓ กระจกเงาที่ไร้มลทินคือธรรมไว้ หมายถึงโสดาปัตติมรรค (ขุ.พุทฺธ.อ. ๒๖/๓๘๗)
๔ ทรงประทานเสื้อคือศีล หมายถึงศีล ๕ ศีล ๑๐ จตุปาริสุทธิศีล (ขุ.พุทฺธ.อ. ๒๖/๓๘๗)
๕ หนังคือธรรมไว้ หมายถึงสติสัมปชัญญะ (ขุ.พุทฺธ.อ. ๒๖/๓๘๗)
๖ เครื่องผูกสอด หมายถึงความเพียร (ขุ.พุทฺธ.อ. ๒๖/๓๘๗)
๗ ดาบอย่างดี หมายถึงมรรคปัญญา (ขุ.พุทฺธ.อ. ๒๖/๓๘๗)
๘ ร่มขาว หมายถึงวิมุตติ (ขุ.พุทฺธ.อ. ๒๖/๓๘๘)
๙ ดอกไม้ หมายถึงมรรคมีองค์ ๘ (ขุ.พุทฺธ.อ. ๒๖/๓๘๘)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๑๗ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒๕. โคตมพุทธวงศ์
[๔๙] แท้จริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีคุณหาประมาณมิได้
กระทบกระทั่งได้ยาก
พระธรรมรัตนะนี้ทรงตรัสไว้ดีแล้ว ควรเรียกให้มาดู
[๕๐] พระสังฆรัตนะผู้ปฏิบัติดีแล้ว ไม่มีผู้อื่นยิ่งไปกว่า
พระรัตนะทั้ง ๓ นี้ ทุกอย่างล้วนอันตรธานไปหมดแล้ว
สังขารทั้งปวงเป็นสภาพว่างเปล่าหนอ
[๕๑] พระชินศาสดาพระนามว่ามหากัสสปะ
เสด็จดับขันธปรินิพพานที่เสตัพยาราม
พระสถูปของพระชินเจ้านั้น
ที่เสตัพยารามนั้น สูงถึง ๑ โยชน์ ฉะนี้แล
กัสสปพุทธวงศ์ที่ ๒๔ จบ

๒๕. โคตมพุทธวงศ์
ว่าด้วยพระประวัติของพระโคดมพุทธเจ้า
[๑] ในกาลบัดนี้ ตถาคตเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านามว่าโคดม
เจริญในศากยสกุล บำเพ็ญความเพียรแล้ว
ได้บรรลุสัมโพธิญาณอันประเสริฐ
[๒] ผู้อันพรหมทูลอาราธนาแล้ว ประกาศพระธรรมจักร
เทวดาและมนุษย์ประมาณ ๑๘ โกฏิ ได้บรรลุธรรมครั้งที่ ๑
[๓] จากนั้น เราเมื่อแสดงธรรมในสมาคมเทวดาและมนุษย์
การบรรลุธรรมครั้งที่ ๒ ไม่ต้องกล่าวถึงจำนวน
[๔] ต่อมา ในคราวที่เรากล่าวสอนบุตรของเรา บัดนี้ ณ ที่นี้แล
การบรรลุธรรมครั้งที่ ๓ ไม่ต้องกล่าวถึงจำนวน
[๕] เรามีการประชุมสาวก ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ครั้งเดียว
ภิกษุประมาณ ๑,๒๕๐ รูป ได้มาประชุมกัน

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๑๘ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒๕. โคตมพุทธวงศ์
[๖] เราผู้ปราศจากมลทิน รุ่งเรืองอยู่ในท่ามกลางภิกษุสงฆ์
ให้สิ่งที่ปรารถนาทุกอย่างเหมือนแก้วสารพัดนึก
ให้สิ่งที่ต้องการทั้งปวง ฉะนั้น
[๗] เราประกาศอริยสัจ ๔ เพื่ออนุเคราะห์สัตว์ทั้งหลาย
ผู้หวังผล ผู้แสวงธรรมเป็นเครื่องละความพอใจในภพ
[๘] เทวดาและมนุษย์ประมาณ ๒๐๐,๐๐๐ องค์ ได้บรรลุธรรม
การบรรลุธรรมครั้งละองค์สององค์ นับจำนวนไม่ได้เลย
[๙] คำสั่งสอนของเราผู้เป็นศากยมุนี
กว้างขวางรู้กันโดยมาก เจริญแพร่หลาย
งอกงามดี บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ในโลกนี้
[๑๐] ภิกษุหลายร้อยรูปเป็นผู้ไม่มีอาสวะสิ้นราคะ
มีจิตสงบ ตั้งมั่น แวดล้อมเราทุกเมื่อ
[๑๑] ในกาลนี้ บัดนี้ ภิกษุเหล่าใด เป็นพระเสขะ
ยังไม่บรรลุอรหัตตผล๑ ละภพมนุษย์ไป
ภิกษุเหล่านั้น ถูกวิญญูชนตำหนิ
[๑๒] นรชนทั้งหลายชมเชยทางพระอริยะ ยินดีในธรรมทุกเมื่อ
มีความรุ่งเรือง ถึงจะท่องเที่ยวอยู่ในสงสารก็จักบรรลุได้
[๑๓] กรุงของเราชื่อกบิลพัสดุ์ พระเจ้าสุทโธทนะเป็นพระบิดาของเรา
พระมารดาบังเกิดเกล้าของเราชาวโลกเรียกพระนามว่ามายาเทวี
[๑๔] เราครองฆราวาสอยู่ ๒๙ ปี มีปราสาทที่อุดมอยู่ ๓ หลัง
คือสุจันทปราสาท โกกนุทปราสาท และโกญจปราสาท
[๑๕] มีนางสนมกำนัล ๔๐,๐๐๐ นาง
ล้วนประดับประดาสวยงาม
พระมเหสีของเราชื่อว่ายโสธรา
พระโอรสของเราชื่อว่าราหุล

เชิงอรรถ :
๑ ยังไม่บรรลุอรหัตตผล แปลมาจากศัพท์ว่า อปฺปตฺตมานสา (ดู มงฺคลตฺถ. ๒/๕๖๒/๔๓๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๑๙ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒๕. โคตมพุทธวงศ์
[๑๖] เราเห็นนิมิต ๔ ประการ
จึงทรงราชพาหนะคือม้าออกผนวชแล้ว
ได้บำเพ็ญเพียรประพฤติทุกรกิริยาอยู่ ๖ ปี
(จึงได้บรรลุพระโพธิญาณ)
[๑๗] เราเป็นพระชินสีห์ประกาศพระธรรมจักร
ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เขตกรุงพาราณสี
เราเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชื่อว่าโคดม เป็นที่พึ่งของสรรพสัตว์
[๑๘] ภิกษุ ๒ รูป ชื่ออุปติสสะและโกลิตะเป็นอัครสาวกของเรา
ภิกษุชื่อว่าอานนท์เป็นอุปัฏฐากอยู่ในสำนักของเรา
ภิกษุณีชื่อเขมาและภิกษุณีชื่ออุบลวรรณาเป็นอัครสาวิกา
[๑๙] จิตตคหบดีอุบาสกและหัตถกคหบดีอุบาสก
ชาวเมืองอาฬวีเป็นอัครอุปัฏฐาก
นันทมารดาอุบาสิกาและอุตตราอุบาสิกาเป็นอัครอุปัฏฐายิกา
[๒๐] เราบรรลุสัมโพธิญาณอย่างประเสริฐ
ที่โคนต้นอัสสัตถพฤกษ์ เรามีรัศมีวาหนึ่ง
ฟุ้งขึ้นไป ๑๖ ศอกทุกเมื่อ
[๒๑] บัดนี้ อายุของเรามีน้อยประมาณ ๑๐๐ ปี
ถึงเราจะดำรงอยู่เพียงนั้น
ก็ช่วยหมู่ชนให้ข้ามพ้นได้เป็นจำนวนมาก
[๒๒] เราตั้งคบเพลิงคือธรรมไว้สำหรับให้คนรุ่นหลังได้ตรัสรู้
อีกไม่นานเลยแม้เรากับสงฆ์สาวก
ก็จักปรินิพพาน ณ ที่นี้ เหมือนไฟสิ้นเชื้อ(ดับไป)
[๒๓] คู่อัครสาวกเป็นต้นเหล่านั้นมีเดชไม่มีอะไรเทียบเคียง
มียศและกำลัง เรามีร่างกายทรงไว้ซึ่งคุณ
มีร่างกายวิจิตรด้วยพระลักษณะอันประเสริฐ ๓๒ ประการ๑

เชิงอรรถ :
๑ ดูเชิงอรรถหน้า ๑๐ ในเล่มนี้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๒๐ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒๖. พุทธปกิณณกกัณฑ์
[๒๔] เรามีรัศมี ๖ ประการ สว่างไสวไปทั่วทั้ง ๑๐ ทิศ
ดุจดวงอาทิตย์ ทุกอย่างล้วนจักอันตรธานไปหมดสิ้น
สังขารทั้งปวงเป็นสภาพว่างเปล่าหนอ ฉะนี้แล
โคตมพุทธวงศ์ที่ ๒๕ จบ

๒๖. พุทธปกิณณกกัณฑ์
ว่าด้วยเรื่องเบ็ดเตล็ดเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า
[๑] ในกัปอันประมาณมิได้นับจากภัทรกัปนี้ไป
ได้มีพระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้นำวิเศษ ๔ พระองค์
คือพระตัณหังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑
พระเมธังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑
พระสรณังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑
และพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑
พระชินเจ้าเหล่านั้น เสด็จอุบัติขึ้นในกัปเดียวกัน
[๒] สมัยต่อจากพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า
ได้มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระะนามว่าโกณฑัญญะ
ทรงเป็นผู้นำพระองค์เดียวเสด็จอุบัติขึ้นในกัปหนึ่ง
ทรงช่วยหมู่ชนให้ข้ามพ้นได้เป็นจำนวนมาก
[๓] อันตรกัปของพระผู้มีพระภาคทีปังกร
กับพระศาสดาพระนามว่าโกณฑัญญะ จะคำนวณนับมิได้
[๔] สมัยต่อจากพระพุทธเจ้าพระนามว่าโกณฑัญญะ
ได้มีพระพุทธเจ้าพระนามว่ามังคละ ทรงเป็นผู้นำ
แม้อันตรกัปของพระโกณฑัญญะกับพระมังคลพุทธเจ้านั้น
จะคำนวณนับมิได้
[๕] พระพุทธเจ้า ๔ พระองค์ คือ พระนามว่ามังคละ ๑
พระนามว่าสุมนะ ๑ พระนามว่าเรวตะ ๑ พระนามว่าโสภิตะ ๑

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๒๑ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒๖. พุทธปกิณณกกัณฑ์
ผู้เป็นมุนี ผู้มีพระจักษุ มีพระรัศมีสว่างไสว
ก็เสด็จอุบัติขึ้นในกัปเดียวกัน
[๖] สมัยต่อจากพระพุทธเจ้าพระนามว่าโสภิตะ
ได้มีพระมหามุนีพระนามว่าอโนมทัสสี
แม้อันตรกัปของพระพุทธเจ้าพระนามว่าโสภิตะ
กับพระพุทธเจ้าพระนามว่าอโนมทัสสี จะคำนวณนับมิได้
[๗] พระพุทธเจ้าทั้งหลาย คือ พระนามว่าอโนมทัสสี ๑
พระนามว่าปทุมะ ๑ พระนามว่านารทะ ๑ ผู้ทรงเป็นผู้นำ
ผู้เป็นมุนี ทำที่สุดความมืดได้แม้เหล่านั้น
ก็เสด็จอุบัติขึ้นในกัปเดียวกัน
[๘] สมัยต่อจากพระนารทสัมมาสัมพุทธเจ้า
ได้มีพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ทรงเป็นผู้นำ
เสด็จอุบัติขึ้นในกัปหนึ่ง ทรงช่วยหมู่ชนให้ข้ามพ้นได้เป็นจำนวนมาก
[๙] แม้อันตรกัปของพระผู้มีพระภาคพระนามว่านารทะ
กับพระศาสดาพระนามว่าปทุมุตตระ จะคำนวณนับมิได้
[๑๐] ในกัปที่ ๑๐๐,๐๐๐ (นับจากกัปนี้ไป)
มีพระมหามุนีพระองค์เดียว
คือพระปทุมุตตระ ผู้ทรงรู้แจ้งโลก ผู้สมควรรับเครื่องบูชา
[๑๑] ในกัปที่ ๓๐,๐๐๐ (นับจากกัปนี้ไป)
ต่อจากพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ
ได้มีพระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้นำ ๒ พระองค์
คือพระสุเมธะและพระสุชาตะ
[๑๒] ในกัปที่ ๑,๘๐๐ (นับจากกัปนี้ไป)
ได้มีพระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้นำ ๓ พระองค์
คือพระปิยทัสสี ๑ พระอัตถทัสสี ๑
พระธัมมทัสสี ๑ ล้วนเป็นผู้นำ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๒๒ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒๖. พุทธปกิณณกกัณฑ์
[๑๓] ต่อจากพระพุทธเจ้าพระนามว่าสุชาตะ
ได้มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้สูงสุดแห่งเทวดาและมนุษย์
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้นผู้ไม่มีบุคคลเปรียบได้ในโลก
เสด็จอุบัติขึ้นในกัปเดียวกัน
[๑๔] ในกัปที่ ๙๔ นับจากกัปนี้ไป
ได้มีพระมหามุนีพระองค์เดียวคือพระสิทธัตถะ
ผู้ทรงรู้แจ้งโลก ทรงเป็นดังศัลยแพทย์ผู้ยอดเยี่ยม
[๑๕] ในกัปที่ ๙๒ นับจากกัปนี้ไป
มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นผู้นำ ๒ พระองค์
คือพระติสสะ ๑ พระปุสสะ ๑
ผู้ไม่มีบุคคลเสมอ ไม่มีบุคคลเปรียบ
[๑๖] ในกัปที่ ๙๑ นับจากกัปนี้ไป
มีพระพุทธเจ้าทรงนามว่าวิปัสสี ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก
พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นทรงมีพระกรุณา
ทรงเปลื้องสัตว์ทั้งหลายจากเครื่องพันธนาการ
[๑๗] ในกัปที่ ๓๑ นับจากกัปนี้ไป
ได้มีพระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้นำ ๒ พระองค์
คือพระสิขี ๑ พระเวสสภู ๑
ผู้ไม่มีบุคคลเสมอ ไม่มีบุคคลเปรียบ
[๑๘] ในภัทรกัปนี้ได้มีพระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นผู้นำ ๓ พระองค์
คือพระกกุสันธะ ๑ พระโกนาคมนะ ๑
พระกัสสปะ ผู้ทรงเป็นผู้นำ ๑
[๑๙] บัดนี้ เราเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
และพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าเมตไตรยจักมี(ในอนาคต)
แม้พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ ก็ทรงเป็นนักปราชญ์อนุเคราะห์สัตว์โลก

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๒๓ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒๗. ธาตุภาชนียกถา
[๒๐] บรรดาพระพุทธเจ้า ผู้ทรงเป็นพระธรรมราชาเหล่านั้น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้นพร้อมด้วยสาวก
จักตรัสบอกมรรคนั้นแก่ผู้อื่นหลายโกฏิ
แล้วจักเสด็จดับขันธปรินิพพาน ฉะนี้แล
พุทธปกิณณกกัณฑ์ที่ ๒๖ จบ

๒๗. ธาตุภาชนียกถา
ว่าด้วยการแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ
[๑] พระมหาโคดมชินเจ้าผู้ประเสริฐ
เสด็จดับขันธปรินิพพานที่กรุงกุสินารา
พระบรมสารีริกธาตุของพระองค์
แผ่ไปอย่างกว้างขวางในนานาอารยประเทศ
[๒] พระบรมสารีริกธาตุทะนานหนึ่งเป็นของพระเจ้าอชาตศัตรู
อีกทะนานหนึ่งอยู่ที่กรุงเวสาลี
อีกทะนานหนึ่งอยู่ที่กรุงกบิลพัสดุ์
และอีกทะนานหนึ่งอยู่ที่กรุงอัลลกัปปะ
[๓] ทะนานหนึ่งอยู่ที่กรุงรามคาม
ทะนานหนึ่งอยู่ที่กรุงเวฏฐทีปกะ
ทะนานหนึ่งอยู่ที่กรุงปาวาของมัลลกษัตริย์
ทะนานหนึ่งอยู่ที่กรุงกุสินารา
[๔] โทณพราหมณ์ให้ช่างสร้างสถูปบรรจุทะนานทอง
กษัตริย์กรุงโมริยะผู้มีหทัยยินดี
รับสั่งให้สร้างพระสถูปบรรจุพระอังคาร
[๕] พระสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ๘ แห่ง
ตุมพเจดีย์เป็นแห่งที่ ๙

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๒๔ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒๗. ธาตุภาชนียกถา
และพระสถูปบรรจุพระอังคารเป็นแห่งที่ ๑๐
ประดิษฐานอยู่แล้วในกาลนั้น
[๖] พระบรมสารีริกธาตุ ๗ อย่าง
คือพระอุณหิส ๑ พระทาฐธาตุทั้ง ๔
และพระรากขวัญ ๒ ข้าง ไม่แตก
พระบรมสารีริกธาตุที่เหลือแตกออกจากกัน
[๗] พระบรมสารีริกธาตุขนาดใหญ่เท่ากับเมล็ดถั่วเขียว
ขนาดกลางเท่าเมล็ดข้าวสารหัก
ขนาดเล็กเท่ากับเมล็ดพันธุ์ผักกาด มีสีต่าง ๆ กัน
[๘] พระบรมสารีริกธาตุขนาดใหญ่มีสีเหมือนทองคำ
ขนาดกลางมีสีเหมือนแก้วมุกดา
และขนาดเล็กมีสีเหมือนดอกมะลิ
รวมทั้งหมดมีประมาณ ๑๖ ทะนาน
[๙] พระบรมสารีริกธาตุเหล่านั้นทุกขนาด
คือขนาดใหญ่มี ๕ ทะนาน ขนาดกลางมี ๕ ทะนาน
ขนาดเล็กมี ๖ ทะนานเท่านั้น
[๑๐] พระบรมสารีริกธาตุเหล่านี้แม้ทั้งหมด
ประดิษฐานอยู่ในที่ต่าง ๆ กัน
คือพระอุณหิสอยู่ที่เกาะสีหล
พระรากขวัญเบื้องซ้ายอยู่ที่พรหมโลก
และพระรากขวัญเบื้องขวาอยู่ที่เกาะสีหล
[๑๑] พระทาฐธาตุองค์หนึ่งอยู่ที่ภพดาวดึงส์
องค์หนึ่งอยู่ที่นาคปุระ องค์หนึ่งอยู่ที่เมืองคันธารวิสัย
องค์หนึ่งอยู่ที่เมืองกาลิงคราช
[๑๒] พระทันตธาตุทั้ง ๔๐ พระเกสาและพระโลมาทั้งหมด
เทวดานำมาไว้ จักรวาลละหนึ่งอย่าง

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๒๕ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒๗. ธาตุภาชนียกถา
[๑๓] บาตร ไม้เท้า และจีวรของพระผู้มีพระภาค
อยู่ที่วชิรานคร สบงอยู่ที่กุลฆรนคร
ผ้าปัจจัตถรณะอยู่ที่สีลนคร(กรุงกบิลพัสดุ์)
[๑๔] ธมกรกและประคดเอวอยู่ที่กรุงปาตลีบุตร
ผ้าอาบน้ำอยู่ที่กรุงจัมปา พระอุณณาโลมอยู่ที่แคว้นโกศล
[๑๕] ผ้ากาสาวพัสตร์อยู่ที่พรหมโลก ผ้าโพกอยู่ที่ดาวดึงส์
รอยพระบาทอันประเสริฐอยู่ที่หินเหมือนมีอยู่ที่กัจฉตบุรี
ผ้านิสีทนะอยู่ที่อวันตีชนบท ผ้าลาดอยู่ที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์
[๑๖] ไม้สีไฟอยู่ที่กรุงมิถิลา ผ้ากรองน้ำอยู่ที่วิเทหรัฐ
มีดและกล่องเข็มอยู่ที่กรุงอินทปัตถ์ ในกาลนั้น
[๑๗] บริขารที่เหลืออยู่ที่อปรันตชนบท
หมู่มนุษย์ในกาลนั้นจักบูชาบริขารที่พระมุนีทรงใช้สอย
[๑๘] พระบรมสารีริกธาตุของพระโคดม
ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ กระจายแผ่กว้างขวางไป
เพื่ออนุเคราะห์สัตว์ทั้งหลาย เป็นของเก่าในกาลนั้น ฉะนี้แล
ธาตุภาชนียกถาที่ ๒๗ จบ
พุทธวงศ์ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๒๖ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก [๑. อกิตติวรรค] ๑. อกิตติจริยา
พระสุตตันตปิฎก
ขุททกนิกาย จริยาปิฎก
________________
ขอนอบน้อมพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

๑. อกิตติวรรค
หมวดว่าด้วยอกิตติดาบสเป็นต้น
๑. การบำเพ็ญทานบารมี
๑. อกิตติจริยา
ว่าด้วยจริยาของอกิตติดาบส
[๑] ใน ๔ อสงไขยแสนกัป ความประพฤติใดในระหว่างนี้
ความประพฤตินั้นทั้งหมด เป็นเครื่องบ่มพระโพธิญาณ
[๒] เราจักเว้นความประพฤติในภพน้อยภพใหญ่ในกัปที่ล่วงแล้วเสีย
จักบอกความประพฤติในกัปนี้ เธอจงฟังเรา
[๓] เราเป็นดาบสมีนามว่าอกิตติ
เข้าไปอาศัยอยู่ในป่าใหญ่ที่ว่างเปล่า
สงัดเงียบปราศจากเสียงอื้ออึงในกาลใด
[๔] ในกาลนั้น ด้วยเดชแห่งความประพฤติตบะของเรา
ท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่ในดาวดึงสเทวโลก ทรงร้อนพระทัย
แปลงร่างเป็นพราหมณ์ เข้ามาหาเราเพื่อภิกษา

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๒๗ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก [๑. อกิตติวรรค] ๒. สังขพราหมณจริยา
[๕] เราได้เห็นอินทพราหมณ์มายืนอยู่ใกล้ประตูบรรณศาลาของเรา
จึงหยิบใบหมากเม่าที่เรานำมาจากป่า
ซึ่งไม่มีน้ำมันทั้งไม่มีรสเค็ม มอบให้จนหมดพร้อมทั้งภาชนะ
[๖] เราครั้นให้ใบหมากเม่าแก่อินทพราหมณ์นั้นแล้ว
จึงคว่ำภาชนะ ละการแสวงหาใหม่ เข้าไปยังบรรณศาลา
[๗] แม้ในวันที่ ๒ ที่ ๓ อินทพราหมณ์ก็เข้ามายังสำนักของเรา
เราไม่หวั่นไหว ไม่ยึดมั่น ได้ให้ไปเหมือนอย่างนั้น
[๘] ในสรีระของเรามีผิวพรรณไม่เปลี่ยนแปลง
เพราะการอดอาหารนั้นเป็นปัจจัยเลย
เรายับยั้งอยู่ตลอดวันนั้น ๆ ด้วยปีติ สุข และความยินดี
[๙] ถ้าเราพึงได้ทักขิไณยบุคคลที่ประเสริฐ
แม้เดือนหนึ่ง สองเดือน เราก็ไม่หวั่นไหว
ไม่ท้อใจ พึงให้ทานอันอุดม
[๑๐] เมื่อเราให้ทานแก่อินทพราหมณ์นั้น
เราจะได้ปรารถนายศและลาภก็หามิได้
แต่เราปรารถนาพระสัพพัญญุตญาณเท่านั้น
จึงได้ประพฤติกรรมเหล่านั้น ฉะนี้แล
อกิตติจริยาที่ ๑ จบ

๒. สังขพราหมณจริยา
ว่าด้วยจริยาของสังขพราหมณ์
[๑๑] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลที่เราเป็นพราหมณ์นามว่าสังขะ
ต้องการจะข้ามมหาสมุทรจึงเข้าไปยังปัฏฏนคาม
[๑๒] ณ ที่นั้น เราได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้เอง
ผู้ไม่ทรงพ่ายแพ้เดินสวนทางมาตามทางกันดาร
บนภาคพื้นที่แข็งกระด้างอันร้อนจัด

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๒๘ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก [๑. อกิตติวรรค] ๓. กุรุธรรมจริยา
[๑๓] เราครั้นเห็นท่านเดินสวนทางมา จึงคิดถึงประโยชน์นี้ว่า
บุญเขตนี้มาถึงสัตว์ผู้ต้องการบุญ
[๑๔] เปรียบเหมือนบุรุษชาวนาเห็นนาเป็นที่น่ายินดีมาก
(เป็นอู่ข้าวอู่น้ำ) แต่ไม่ปลูกพืชลงในนานั้น
เขาชื่อว่าเป็นผู้ไม่ต้องการข้าวเปลือกฉันใด
[๑๕] เราผู้ต้องการบุญก็ฉันนั้นเหมือนกัน
เห็นบุญเขตที่ประเสริฐสุดแล้ว
ถ้าไม่ทำสักการะในบุญเขตนั้น
เราก็ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ต้องการบุญ
[๑๖] อำมาตย์ต้องการจะให้ชนชาวเมืองของพระราชายินดี
แต่ไม่ยอมให้ทรัพย์และข้าวเปลือกแก่ชนชาวเมืองเหล่านั้น
เขาก็ย่อมเสื่อมจากความยินดีฉันใด
[๑๗] เราผู้ต้องการบุญก็ฉันนั้นเหมือนกัน
เห็นทักขิไณยบุคคลที่ไพบูลย์แล้ว
ถ้าไม่ถวายทานแก่ทักขิไณยบุคคลนั้น ก็จักเสื่อมจากบุญ
[๑๘] เราครั้นคิดอย่างนี้แล้วจึงถอดรองเท้า
กราบเท้าของท่านแล้ว ได้ถวายร่มและรองเท้า
[๑๙] เพราะเหตุนั้น เราจึงเป็นผู้ละเอียดอ่อนเจริญสุขเป็นร้อยเท่า
อนึ่ง เราเมื่อบำเพ็ญทานให้บริบูรณ์
ได้ถวายแก่ท่านอย่างนี้แล
สังขพราหมณจริยาที่ ๒ จบ

๓. กุรุธรรมจริยา
ว่าด้วยพระจริยาของพระเจ้าธนัญชัยกุรุราช
[๒๐] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลที่เราเป็นพระราชานามว่าธนัญชัย
อยู่ในกรุงอินทปัตถ์ที่อุดม ประกอบด้วยกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๒๙ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก [๑. อกิตติวรรค] ๓. กุรุธรรมจริยา
[๒๑] ครั้งนั้น พวกพราหมณ์ชาวแคว้นกาลิงคะได้มาหาเรา
ขอพญาคชสาร ซึ่งประกอบด้วยธัญญลักษณะ
สมบูรณ์ด้วยมงคลกับเราว่า
[๒๒] ชนบทฝนไม่ตกเลย เกิดทุพภิกขภัย อดอยากมาก
ขอพระองค์โปรดพระราชทานพญาคชสาร
ตัวประเสริฐมีกายสีเขียวชื่อว่าอัญชันด้วยเถิด
[๒๓] เราคิดว่าการห้ามยาจกที่มาถึงแล้ว
เป็นการไม่สมควรแก่เราเลย
กุศลสมาทานของเราอย่าได้เสียหายเลย
เราจักให้คชสารตัวประเสริฐ
[๒๔] เราได้จับงวงพญาคชสารวางลงบนมือพราหมณ์แล้ว
จึงหลั่งน้ำในเต้าทองลงบนมือของพวกพราหมณ์ ได้ให้พญาคชสารไป
[๒๕] เมื่อเราได้ให้พญาคชสารนั้นไป พวกอำมาตย์ได้กล่าวคำนี้ว่า
“เหตุไรหนอ พระองค์จึงพระราชทานพญาคชสารตัวประเสริฐ
ของพระองค์แก่พวกยาจก
[๒๖] เมื่อพระองค์พระราชทานพญาคชสาร
ซึ่งประกอบด้วยธัญลักษณะ
สมบูรณ์ด้วยมงคล ชนะสงคราม
อันสูงสุดนั้นแล้ว พระองค์เป็นพระราชาจักทำอะไรได้”
[๒๗] เราได้ตอบว่า แม้ราชสมบัติทั้งหมดเราก็ควรให้
ถึงสรีระของตนเราก็ควรให้
แต่พระสัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา
เพราะฉะนั้น เราจึงได้ให้พญาคชสาร ฉะนี้แล
กุรุธรรมจริยาที่ ๓ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๓๐ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก [๑. อกิตติวรรค] ๔. มหาสุทัสสนจริยา
๔. มหาสุทัสสนจริยา
ว่าด้วยพระจริยาของพระเจ้าจักรพรรดิทรงพระนามว่ามหาสุทัสสนะ
[๒๘] ในกาลที่เราเป็นพระเจ้าจักรพรรดินามว่ามหาสุทัสสนะ
มีพลานุภาพมาก ได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินในกรุงกุสาวดี
[๒๙] ครั้งนั้น เราได้สั่งให้ประกาศทุก ๆ วัน
วันละ ๓ ครั้งว่า “ใครอยากได้อะไร
ปรารถนาอะไร ใครจะให้ทรัพย์อะไร
[๓๐] ใครหิว ใครกระหาย ใครต้องการดอกไม้
ใครต้องการเครื่องลูบไล้
ใครเปลือย จักนุ่งห่มผ้าสีต่าง ๆ
[๓๑] ใครต้องการร่มสำหรับไปในหนทาง ก็จงมารับเอาไป
ใครต้องการรองเท้าที่อ่อนนุ่มสวยงาม ก็จงมารับเอาไป
เราให้ประกาศดังนี้ ทั้งเวลาเช้าและเวลาเย็นทุก ๆ วัน
[๓๒] ทานนั้นเราไม่ตกแต่งไว้ในที่ ๑๐ แห่ง
หรือในที่ ๑๐๐ แห่ง แต่เราตกแต่งทรัพย์ไว้
สำหรับยาจกในที่หลายร้อยแห่ง
[๓๓] วณิพกจะมาในเวลากลางวันหรือจะมาในเวลากลางคืนก็ตาม
ก็จะได้โภคะตามความปรารถนาพอเต็มมือกลับไปเสมอ
[๓๔] เราได้ให้มหาทานเห็นปานนี้จนตลอดชีวิต
เราจะให้ทรัพย์ที่น่ารังเกียจก็หาไม่
และเราจะไม่มีการสั่งสมก็หาไม่
[๓๕] เหมือนคนไข้กระสับกระส่าย เพื่อจะพ้นจากโรค
ต้องให้หมอพอใจด้วยทรัพย์จึงจะพ้นจากโรคได้ฉันใด

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๓๑ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก [๑. อกิตติวรรค] ๖. เนมิราชจริยา
[๓๖] เราก็ฉันนั้นเหมือนกัน รู้อยู่
เพื่อบำเพ็ญทานให้บริบูรณ์โดยไม่มีส่วนเหลือ
เพื่อทำใจที่พร่องให้เต็ม จึงให้ทานแก่วณิพก
เรามิได้อาลัย มิได้หวังอะไร ได้ให้ทาน
เพื่อบรรลุสัมโพธิญาณ ฉะนี้แล
มหาสุทัสสนจริยาที่ ๔ จบ

๕. มหาโควินทจริยา
ว่าด้วยจริยาของมหาโควินทพราหมณ์
[๓๗] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลที่เราเป็นพราหมณ์มีนามว่ามหาโควินทะ
เป็นปุโรหิตของพระราชา ๗ พระองค์
อันมนุษย์และเทวดาบูชาแล้ว
[๓๘] ครั้งนั้น เครื่องบรรณาการอันใด
ในราชอาณาจักรทั้ง ๗ ได้มีแล้วแก่เรา
เราได้ให้มหาทานด้วยเครื่องบรรณาการนั้น
ซึ่งเหมือนทะเลที่ไม่กระเพื่อม
[๓๙] ทรัพย์และข้าวเปลือกจะเป็นที่น่ารังเกียจสำหรับเราก็หาไม่
แม้ตัวเราเองจะไม่มีการสั่งสมก็หาไม่
แต่พระสัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา
เพราะฉะนั้น เราจึงให้ทรัพย์อย่างประเสริฐ ฉะนี้แล
มหาโควินทจริยาที่ ๕ จบ

๖. เนมิราชจริยา
ว่าด้วยพระจริยาของพระเจ้าเนมิราช
[๔๐] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลที่เราเป็นมหาราชนามว่าเนมิ เป็นบัณฑิต
ต้องการกุศลอยู่ในกรุงมิถิลาที่อุดมสมบูรณ์

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๓๒ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก [๑. อกิตติวรรค] ๗. จันทกุมารจริยา
[๔๑] เราได้สร้างโรงทานจตุรมุข ๔ แห่ง
แล้วได้บำเพ็ญทานที่ศาลานั้นแก่หมู่เนื้อ นก และคนเป็นต้น
[๔๒] บำเพ็ญมหาทาน คือ เครื่องนุ่มห่ม ที่นอน
ข้าว น้ำ และโภชนะ ไม่ขาดสาย
[๔๓] เหมือนเสวกรับใช้นายเพราะเหตุแห่งทรัพย์
ย่อมแสวงหานายที่ตนพึงให้ยินดีได้
ด้วยกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม ฉันใด
[๔๔] เราก็ฉันนั้นเหมือนกัน
จักแสวงหาพระสัพพัญญุตญาณในภพทั้งปวง
จึงให้สัตว์ทั้งหลายได้อิ่มหนำด้วยทานแล้ว
ปรารถนาพระโพธิญาณอันอุดม ฉะนี้แล
เนมิราชจริยาที่ ๖ จบ

๗. จันทกุมารจริยา
ว่าด้วยพระจริยาของพระจันทกุมาร
[๔๕] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลที่เราเป็นโอรสของพระเจ้าเอกราช
มีนามว่าจันทกุมาร อยู่ในกรุงปุปผวดี
[๔๖] เราพ้นจากการบูชายัญแล้ว ออกมาจากที่บวงสรวงนั้น
ยังความสังเวชให้เกิดขึ้นแล้ว บำเพ็ญมหาทาน
[๔๗] เรายังมิได้ให้ทานแก่ทักขิไณยบุคคลแล้ว
ก็จะไม่ดื่มน้ำ ไม่เคี้ยว
และไม่บริโภคโภชนะแม้ ๕-๖ ราตรี
[๔๘] ธรรมดาพ่อค้า รวบรวมสินค้าไว้แล้ว
ในที่ใดจะมีกำไรมาก ก็จะนำสินค้าไปขายในที่นั้น ฉันใด

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๓๓ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก [๑. อกิตติวรรค] ๘. สิวิราชจริยา
[๔๙] สิ่งของที่เราให้แก่ผู้อื่น มีค่ามากกว่าสิ่งของที่ตนใช้เองฉันนั้น
เพราะฉะนั้น ควรให้ทานแก่ผู้อื่น อันนั้นจักมีผลตั้งร้อย
[๕๐] เรารู้อำนาจประโยชน์นั้นแล้ว จึงให้ทานในภพน้อยภพใหญ่
จักไม่ถอยกลับ(ไม่ท้อถอย) จากการให้ทาน
เพื่อบรรลุสัมโพธิญาณ ฉะนี้แล
จันทกุมารจริยาที่ ๗ จบ

๘. สิวิราชจริยา
ว่าด้วยพระจริยาของพระเจ้าสิวิ
[๕๑] ในกาลที่เราเป็นกษัตริย์นามว่าสิวิ
อยู่ในกรุงชื่ออริฏฐะ เรานั่งอยู่ในปราสาทที่ประเสริฐ
ได้คิดอย่างนี้ว่า
[๕๒] “ทานในมนุษยโลกอย่างใดอย่างหนึ่ง
ที่เราไม่ได้ให้แล้วไม่มี แม้ผู้ใดพึงขอจักษุกะเรา
เราก็พึงให้แก่ผู้นั้นได้ไม่หวั่นไหว
[๕๓] ท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่กว่าทวยเทพ
ทรงทราบความดำริของเราแล้ว
ประทับนั่งในเทพบริษัทได้ตรัสพระดำรัสนี้ว่า
[๕๔] ‘พระเจ้าสิวิพระองค์นั้นผู้ทรงมีฤทธิ์มาก
ประทับนั่งในปราสาทที่ประเสริฐ
ทรงดำริถึงทานต่าง ๆ ไม่ทรงเห็นสิ่งที่ยังมิได้ให้
[๕๕] ข้อนั้นจะเป็นจริงหรือไม่หนอ เอาเถอะ
เราจักทดลองพระองค์ดู ท่านทั้งหลายพึงคอยเราสักครู่หนึ่ง
เพียงเราทราบความจริงใจของพระเจ้าสิวิเท่านั้น’

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๓๔ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก [๑. อกิตติวรรค] ๘. สิวิราชจริยา
[๕๖] ท้าวสักกะจึงแปลงร่างเป็นคนตาบอด มีกายสั่น
ศีรษะหงอก หนังย่น กระสับกระส่ายเพราะความชรา
เข้าเฝ้าพระราชา
[๕๗] ครั้งนั้น อินทพราหมณ์นั้นประคองแขนทั้งซ้ายและขวา
ประนมมือขึ้นเหนือศีรษะได้กล่าวคำนี้ว่า
[๕๘] ‘ข้าแต่พระมหาราชผู้ทรงธรรม ทรงปกครองแคว้นให้เจริญ
ข้าพระองค์จะขอรับบริจาคทานกะพระองค์
เกียรติคุณคือความยินดีในทานของพระองค์
ฟุ้งขจรไปในเทวดาและมนุษย์
[๕๙] นัยน์ตาแม้ทั้ง ๒ ข้างของข้าพระองค์ถูกโรคขจัดบอดเสียแล้ว
ขอพระองค์จงพระราชทานพระเนตรข้างหนึ่งแก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด
แม้พระองค์ก็ทรงยังอัตภาพให้เป็นไปได้ด้วยพระเนตรข้างหนึ่ง’
[๖๐] เราได้ฟังคำของพราหมณ์นั้นแล้ว ทั้งยินดีและตื่นเต้น
ประนมมือ เกิดปีติปราโมทย์ ได้กล่าวคำนี้ว่า
[๖๑] ‘เราคิดแล้ว ลงจากปราสาทมาถึงที่นี้เดี๋ยวนี้เอง
ท่านรู้จิตของเราแล้วมาขอนัยน์ตา
[๖๒] โอ ! ความปรารถนาของเราสำเร็จแล้ว
ความดำริของเราบริบูรณ์แล้ว วันนี้
เราจักให้ทานอันประเสริฐ ซึ่งเรายังไม่เคยให้แก่พวกยาจก
[๖๓] มานี่แน่ะหมอสิวิกะ จงขมีขมันอย่าชักช้า
อย่าครั่นคร้าม จงควักนัยน์ตาทั้ง ๒ ข้างออกให้แก่วณิพกไปเถิด’
[๖๔] หมอสิวิกะนั้นถูกเราเตือนแล้ว เชื่อฟังคำของเรา
ได้ควักนัยน์ตาทั้ง ๒ ออกให้แก่ยาจก
เหมือนคนควักจาวตาล

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๓๕ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก [๑. อกิตติวรรค] ๙. เวสสันตรจริยา
[๖๕] เมื่อเราจะให้ทานก็ดี กำลังให้ทานก็ดี ให้ทานแล้วก็ดี
จิตของเราไม่เป็นอย่างอื่น เพราะเหตุแห่งพระโพธิญาณเท่านั้น
[๖๖] จักษุทั้ง ๒ เป็นที่น่าเกลียดชังสำหรับเราก็หาไม่
แม้ตัวเราเองจะเป็นที่เกลียดชังก็หาไม่
แต่พระสัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา
เพราะฉะนั้น เราจึงได้ให้จักษุ ฉะนี้แล
สิวิราชจริยาที่ ๘ จบ

๙. เวสสันตรจริยา
ว่าด้วยพระจริยาของพระเวสสันดร
[๖๗] นางกษัตริย์พระนามว่าผุสดีพระชนนีของเรา
เป็นพระมเหสีที่รักของท้าวสักกะ ในอดีตชาติ
[๖๘] ท้าวสักกะจอมเทพทรงทราบว่าพระนางจะสิ้นอายุ
จึงตรัสดังนี้ว่า ‘นางผู้เจริญ เราจะให้พร ๑๐ ประการ๑
ที่เธอปรารถนาแก่เธอ’
[๖๙] พอท้าวสักกะตรัสอย่างนั้นแล้ว
พระเทวีนั้นได้ทูลท้าวสักกะดังนี้ว่า
หม่อมฉันมีความผิดอะไรหนอ
หม่อมฉันเป็นที่น่ารังเกียจสำหรับพระองค์หรือหนอ
พระองค์จึงจะให้หม่อมฉันเคลื่อนจากสถานอันน่ารื่นรมย์
เหมือนลมพัดต้นไม้ให้หวั่นไหว

เชิงอรรถ :
๑ พร ๑๐ ประการ คือ (๑) ขอให้ได้เป็นพระมเหสีของพระองค์ทุกชาติ (๒) ขอให้มีพระเนตรสีเขียว (๓) ขอ
ให้มีพระโขนงสีเขียว (๔) ขอให้มีนามว่าผุสดี (๕) ขอให้ได้บุตรที่ประกอบด้วยคุณ (๖) ตั้งครรภ์มีอุทรไม่นูนขึ้น
(๗) มีถันไม่ยาน (๘) ผมไม่หงอก (๙) มีผิวละเอียด (๑๐) ไม่เป็นหมัน (ขุ.จริยา.อ. ๗๒/๙๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๓๖ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก [๑. อกิตติวรรค] ๙. เวสสันตรจริยา
[๗๐] ท้าวสักกะนั้นเมื่อพระนางผุสดีตรัสอย่างนี้
ก็ได้ตรัสกะพระนางดังนี้อีกว่า
‘เธอไม่ได้ทำความชั่วเลย
และเธอจะไม่เป็นที่รักของเราก็หาไม่
[๗๑] แต่อายุของเธอมีประมาณเท่านี้เอง
เวลานี้จักเป็นเวลาที่เธอต้องจุติ
เธอจงรับพร ๑๐ ประการอันประเสริฐสุดที่เราจะให้’
[๗๒] พระนางผุสดีนั้น รับพรที่ท้าวสักกะประทานแล้ว
ร่าเริงยินดีปราโมทย์เลือกพร ๑๐ ประการ รวมเราไว้ด้วย
[๗๓] พระนางผุสดีนั้น จุติจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้นแล้ว
มาบังเกิดในตระกูลกษัตริย์
ได้สมาคมกับพระเจ้ากรุงสญชัย(เป็นมเหสีของพระเจ้ากรุงสญชัย)
ในกรุงเชตุดร
[๗๔] ในกาลที่เราลงสู่พระครรภ์ของพระนางผุสดีพระมารดาที่รัก
ด้วยเดชของเรา พระมารดาของเราเป็นผู้ยินดีในทานทุกเมื่อ
[๗๕] คนไม่มีทรัพย์ คนป่วยไข้(กระสับกระส่าย)
คนแก่ ยาจก คนเดินทาง
สมณะ พราหมณ์ คนสิ้นเนื้อประดาตัว
คนไม่มีอะไรเลย พระนางก็ให้ทาน
[๗๖] พระนางผุสดีทรงพระครรภ์ครบ ๑๐ เดือน
เมื่อพระเจ้าสัญชัยทรงทำประทักษิณพระนคร
พระนางก็ประสูติเราที่ท่ามกลางถนนของคนค้าขาย
[๗๗] ชื่อของเราจึงไม่เนื่องข้างฝ่ายพระมารดา
และไม่เนื่องข้างฝ่ายพระบิดา

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๓๗ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก [๑. อกิตติวรรค] ๙. เวสสันตรจริยา
เพราะเราเกิดที่ถนนของคนค้าขายนี้
เพราะฉะนั้น เราจึงมีนามว่าพระเวสสันดร
[๗๘] ในกาลที่เราเป็นทารกอายุได้ ๘ ขวบแต่กำเนิด
นั่งอยู่ในปราสาทคิดจะให้ทานว่า
[๗๙] เราพึงประกาศให้หัวใจ นัยน์ตา แม้กระทั่งเนื้อและเลือด
พึงให้ทั้งกาย ถ้าใครจะพึงขอกับเรา
[๘๐] เมื่อเราคิดถึงความเป็นจริง จิตของเราก็ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว
ในขณะนั้น แผ่นดิน ภูเขาสิเนรุราช
และราวป่าก็ไหว
[๘๑] ในเดือนเต็มวันอุโบสถที่ ๑๕ ทุกกึ่งเดือน
เราขึ้นคอมงคลหัตถีปัจจัยนาค เข้าไปยังศาลาเพื่อจะให้ทาน
[๘๒] พราหมณ์ทั้งหลายชาวแคว้นกาลิงคะได้เข้ามาหาเรา
ได้ขอพญาคชสารซึ่งประกอบด้วยธัญลักษณะ
สมบูรณ์ด้วยมงคลกับเราว่า
[๘๓] “ชนบทฝนไม่ตกเลย เกิดทุพภิกขภัยอดอยากมาก
ขอพระองค์โปรดพระราชทานพญาคชสาร
ตัวประเสริฐเผือกผ่อง ซึ่งเป็นช้างอุดมมงคลด้วยเถิด”
[๘๔] พราหมณ์ทั้งหลายขอสิ่งใดกับเรา
เราจะให้สิ่งนั้นไม่หวั่นไหวเลย
เราไม่ซ่อนเร้นของที่มีอยู่
ใจของเรายินดีในทาน
[๘๕] เมื่อยาจกมาถึงแล้ว การห้าม(การไม่ให้) ไม่สมควรแก่เรา
กุศลสมาทานของเราอย่าได้เสียหายเลย
เราจักให้คชสารตัวประเสริฐ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๓๘ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก [๑. อกิตติวรรค] ๙. เวสสันตรจริยา
[๘๖] เราได้จับงวงพญาคชสารวางบนมือพราหมณ์แล้ว
จึงหลั่งน้ำในเต้าทองลงบนมือ ได้ให้พญาคชสารแก่พวกพราหมณ์
[๘๗] อีกเรื่องหนึ่ง เมื่อเราให้พญาคชสารที่อุดมเผือกผ่อง
แม้ในกาลนั้น แผ่นดิน ภูเขาสิเนรุราช
และราวป่าก็ไหวอีก
[๘๘] เพราะเราให้พญาคชสารนั้น ชาวกรุงสีพีจึงพากันโกรธเคือง
มาประชุมกันแล้ว ขับไล่เราจากแว่นแคว้นของตนว่า
จงไปยังภูเขาวงกต
[๘๙] เมื่อชาวนครเหล่านั้นกลับไป จิตของเราตั้งมั่นไม่หวั่นไหว
เราได้ขอพรอย่างหนึ่งเพื่อจะบำเพ็ญมหาทาน
[๙๐] เราขอแล้ว ชาวกรุงสีพีทั้งหมดได้ให้พรอย่างหนึ่งแก่เรา
เราจึงให้นำกลองคู่หนึ่งไปตีประกาศว่า เราจะบริจาคมหาทาน
[๙๑] เสียงดังกึกก้องอึงมี่น่าหวาดกลัวย่อมเป็นไปในโรงทานนั้นว่า
ชาวกรุงสีพีขับไล่พระเวสสันดรนี้เพราะทาน
เรายังจะให้ทานอีกหรือ
[๙๒] เราได้ให้ช้าง ม้า รถ ทาสี ทาสา แม่โค ทรัพย์
ครั้นให้มหาทานแล้ว ก็ออกจากนครไปในกาลนั้น
[๙๓] เมื่อเราครั้นออกจากนครแล้ว เหลียวกลับมาดู
แม้ในกาลนั้น แผ่นดิน ภูเขาสิเนรุราช
และราวป่าก็ไหวแล้ว
[๙๔] เราให้ม้าสินธพ ๔ ตัวและรถแล้วยืนอยู่ที่ทางใหญ่ ๔ แยก
ผู้เดียวไม่มีเพื่อน ได้กล่าวกับพระนางมัทรีเทวีดังนี้ว่า
[๙๕] “แม่มัทรี เธอจงอุ้มกัณหากุมารีเถิด
เพราะเธอเป็นน้องคงเบากว่า พี่จะอุ้มพ่อชาลี
เพราะเขาเป็นพี่คงจะหนัก

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๓๙ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก [๑. อกิตติวรรค] ๙. เวสสันตรจริยา
[๙๖] พระนางมัทรีทรงอุ้มแม่กัณหาผู้อ่อนนุ่มดังดอกปทุมและบัวขาว
เราได้อุ้มพ่อชาลีหน่อกษัตริย์ เปรียบดังแท่งทองคำ
[๙๗] ชนทั้ง ๔ เป็นกษัตริย์สุขุมาลชาติ ผู้อภิชาตบุตร
ได้เสด็จดำเนินไปตามทางที่ขรุขระและราบเรียบไปยังภูเขาวงกต
[๙๘] มนุษย์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง เดินตามมาในหนทางก็ดี
สวนทางก็ดี เราทั้งหลายได้ไต่ถามเขาถึงหนทางว่า
เขาวงกตอยู่ที่ไหน
[๙๙] เขาเห็นเราทั้งหลาย ณ ที่นั้นแล้ว
ได้เปล่งเสียงอันประกอบด้วยกรุณา
กษัตริย์เหล่านี้คงจะต้องเสวยทุกข์อย่างยิ่ง เพราะภูเขาวงกตไกล
[๑๐๐] ถ้าพระกุมารและกุมารีเห็นต้นไม้ที่มีผลในป่าใหญ่
พระกุมารกุมารีก็จะทรงกันแสง เพราะเหตุแห่งผลไม้เหล่านั้น
[๑๐๑] ต้นไม้ทั้งหลายอันสูงใหญ่ไพศาล
เห็นพระกุมารและกุมารีทรงกันแสง
ก็จะโน้มยอดลงมาหาพระกุมารและกุมารีเอง
[๑๐๒] พระนางมัทรีผู้ทรงความงามทั่วสรรพางค์กาย
ทรงเห็นความอัศจรรย์นี้ซึ่งไม่เคยมีมา
น่าขนพองสยองเกล้า จึงให้สาธุการเป็นไปว่า
[๑๐๓] ความอัศจรรย์ไม่เคยมีในโลก บังเกิดขนชูชันหนอ
หมู่ไม้น้อมยอดลงมาเองด้วยเดชแห่งพระเวสสันดร
[๑๐๔] ยักษ์(เทวดา)ทั้งหลายได้ย่นทางให้
ด้วยความเอ็นดูพระกุมารและกุมารี
ในวันที่เสด็จออกจากกรุงสีพีนั้นเอง
เราทั้ง ๔ ได้ไปถึงเจตราษฎร์

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๔๐ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก [๑. อกิตติวรรค] ๙. เวสสันตรจริยา
[๑๐๕] ครั้งนั้น พวกเจ้า ๑๖,๐๐๐ องค์อยู่ในกรุงมาตุละ
ทั้งหมดก็ประนมมือร้องไห้มาหา
[๑๐๖] เราเจรจาปราศรัยกับโอรสของพระเจ้าเจตราชเหล่านี้อยู่ ณ ที่นั้น
ให้พระโอรสของพระเจ้าเจตราชเหล่านั้นกลับที่ประตูนั้นแล้ว
ได้ไปยังภูเขาวงกต
[๑๐๗] ท้าวสักกะจอมเทพ ตรัสเรียกวิสสุกรรมเทพบุตรผู้มีฤทธิ์มาก
แล้วรับสั่งให้เนรมิตบรรณศาลาอย่างสวยงาม
น่ารื่นรมย์สำหรับเป็นอาศรมอย่างดี
[๑๐๘] วิสสุกรรมเทพบุตรผู้มีฤทธิ์มาก
รับพระบัญชาของท้าวสักกะแล้ว
เนรมิตบรรณศาลาอย่างสวยงาม
น่ารื่นรมย์สำหรับเป็นอาศรมอย่างดี
[๑๐๙] เราทั้ง ๔ คน มาถึงป่าใหญ่อันสงัดเงียบไม่พลุกพล่าน
อยู่ในบรรณศาลานั้น ณ ระหว่างภูเขา
[๑๑๐] ครั้งนั้น เรา พระนางมัทรีเทวี
และโอรสทั้ง ๒ คือ ชาลีและกัณหาชินา
บรรเทาความเศร้าโศกของกันและกันอยู่ในอาศรม
[๑๑๑] เรารักษาสองกุมารเป็นผู้ไม่ว่างอยู่ในอาศรม
พระนางมัทรีนำผลไม้มาเลี้ยงคนทั้ง ๓
[๑๑๒] เมื่อเราอยู่ในป่าใหญ่ พราหมณ์ (ชูชก)
ผู้มีความต้องการ เดินเข้ามาหาเรา
ได้ขอพระโอรสทั้ง ๒ ของเรา คือ ชาลีและกัณหาชินา
[๑๑๓] เพราะได้เห็นผู้ขอเข้ามาหา ความร่าเริงจึงเกิดขึ้นแก่เรา
ครั้งนั้น เราได้พาบุตรและธิดาทั้ง ๒ มาให้พราหมณ์

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๔๑ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก [๑. อกิตติวรรค] ๙. เวสสันตรจริยา
[๑๑๔] เมื่อเราสละบุตรและธิดาทั้ง ๒ ของตน
ให้พราหมณ์ชูชกไป ในกาลใด
แม้ในกาลนั้น แผ่นดิน ภูเขาสิเนรุราช และราวป่าก็ไหวแล้ว
[๑๑๕] ท้าวสักกะทรงแปลงร่างเป็นพราหมณ์เสด็จลงจากเทวโลก
มาขอพระนางมัทรีเทวีผู้มีศีลจริยาวัตรงดงามกับเราอีก
[๑๑๖] เรามีความดำริแห่งใจผ่องใส
จับพระหัตถ์พระนางมัทรีแล้วมอบให้ด้วยการหลั่งน้ำ(ทักขิโณทก)
ได้ให้พระนางมัทรีแก่พราหมณ์นั้น
[๑๑๗] เมื่อเราให้พระนางมัทรี
หมู่เทวดาในท้องฟ้าพากันเบิกบาน(พลอยยินดี)
แม้ในกาลนั้น แผ่นดิน ภูเขาสิเนรุราช และราวป่าก็ไหวแล้ว
[๑๑๘] เราสละพ่อชาลีและแม่กัณหาชินาผู้เป็นบุตรธิดา
และพระนางมัทรีเทวี ผู้มีจริยาวัตรงดงาม
ไม่คิดถึงเลยเพราะเหตุแห่งพระโพธิญาณนั่นเอง
[๑๑๙] บุตรทั้ง ๒ จะเป็นที่น่ารังเกียจสำหรับเราก็หาไม่
พระเทวีมัทรีเป็นที่น่ารังเกียจก็หาไม่
แต่พระสัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา
เพราะฉะนั้น เราจึงให้บุตรธิดาและภรรยาผู้เป็นที่รัก
[๑๒๐] อีกเรื่องหนึ่ง เมื่อพระมารดาและพระบิดาเสด็จมาพร้อมกัน
ณ ป่าใหญ่ ทรงกันแสงสะอึกสะอื้นน่าเวทนา
ตรัสถามถึงสุขทุกข์กันอยู่
[๑๒๑] เราได้เข้าเฝ้าพระมารดาและพระบิดาทั้ง ๒
ด้วยหิริและโอตตัปปะด้วยความเคารพ
แม้ในกาลนั้น แผ่นดิน ภูเขาสิเนรุราช และราวป่าก็หวั่นไหว

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๔๒ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก [๑. อกิตติวรรค] ๑๐. สสปัณฑิตจริยา
[๑๒๒] อีกเรื่องหนึ่ง เรากับบรรดาพระญาติของเราออกจากป่าใหญ่
เข้าสู่กรุงเชตุดร ซึ่งเป็นนครที่น่ารื่นรมย์
[๑๒๓] แก้ว ๗ ประการตกลงมา มหาเมฆทำฝนให้ตก
แม้ในกาลนั้น แผ่นดิน ภูเขาสิเนรุราช และราวป่าก็ไหวแล้ว
[๑๒๔] แม้แผ่นดินนี้ไม่มีจิตใจ ไม่รู้สุขและทุกข์ ก็ไหวถึง ๗ ครั้ง
เพราะกำลังแห่งทานของเรา ฉะนี้แล
เวสสันตรจริยาที่ ๙ จบ

๑๐. สสปัณฑิตจริยา
ว่าด้วยจริยาของสสบัณฑิต
[๑๒๕] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลที่เราเป็นกระต่าย เที่ยวอยู่ในป่า
มีหญ้า ใบไม้ ผัก และผลไม้เป็นภักษา เว้นการเบียดเบียนผู้อื่น
[๑๒๖] ครั้งนั้น ลิง สุนัขจิ้งจอก ลูกนาค และเรา
อยู่ร่วมสามัคคีกัน มาพบกันทั้งเวลาเช้าและเวลาเย็น
[๑๒๗] เราสั่งสอนสหายเหล่านั้น ในการทำความดีและความชั่วว่า
“ท่านทั้งหลาย จงเว้นความชั่ว จงตั้งอยู่ในความดี”
[๑๒๘] เราเห็นดวงจันทร์เต็มดวงในวันอุโบสถ
จึงบอกแก่สหายเหล่านั้นว่า วันนี้เป็นวันอุโบสถ
[๑๒๙] ท่านทั้งหลายจงตระเตรียมทานเพื่อให้แก่ทักขิไณยบุคคล
ให้ทานแก่ทักขิไณยบุคคลแล้ว จงอยู่จำอุโบสถ
[๑๓๐] สหายเหล่านั้นรับคำของเราว่า “สาธุ”
แล้วได้ตระเตรียมทานต่าง ๆ ตามความสามารถ
ตามกำลัง แล้วแสวงหาทักขิไณยบุคคล

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๔๓ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก [๑. อกิตติวรรค] ๑๐. สสปัณฑิตจริยา
[๑๓๑] เรานอนคิดถึงทานอันสมควรแก่ทักขิไณยบุคคลว่า
‘ถ้าเราพึงได้ทักขิไณยบุคคล เราจักให้อะไรเป็นทาน
[๑๓๒] งา ถั่วเขียว ของเราก็ไม่มี ถั่วราชมาส
ข้าวสาร เปรียงของเราก็ไม่มี
เราเลี้ยงชีวิตด้วยหญ้า เราไม่อาจที่จะให้หญ้า
[๑๓๓] ถ้าทักขิไณยบุคคลสักท่านหนึ่งมาเพื่อขอในสำนักของเรา
เราพึงให้ร่างกายของตน ทักขิไณยบุคคลจักไม่ไปเปล่า’
[๑๓๔] ท้าวสักกะทรงทราบความดำริของเราแล้ว
จึงแปลงร่างเป็นพราหมณ์ เข้ามายังที่อยู่ของเรา
เพื่อทรงทดลองทานของเรา
[๑๓๕] เราเห็นพราหมณ์นั้นแล้วก็ยินดี ได้กล่าวคำนี้ว่า
‘ท่านมาถึงที่อยู่ของเราแล้ว เพราะเหตุแห่งอาหารเป็นการดีแล
[๑๓๖] วันนี้เราจักให้ทานอันประเสริฐที่ใคร ๆ
ไม่เคยให้แก่ท่าน ท่านผู้ประกอบด้วยศีลคุณ
การเบียดเบียนผู้อื่นไม่ควรแก่ท่าน
[๑๓๗] ท่านจงไปนำไม้ต่าง ๆ มาก่อไฟให้ลุกโพลงขึ้น
เราจักปิ้งตัวของเรา ท่านจักได้กินเนื้อที่สุก’
[๑๓๘] พราหมณ์รับคำว่า “สาธุ” แล้วมีใจร่าเริง
ได้นำไม้ต่างๆ มาทำเป็นเชิงตะกอนใหญ่
ทำเป็นห้องซึ่งเต็มด้วยถ่านเพลิง
[๑๓๙] ก่อไฟลุกโพลงขึ้น ณ ที่นั้นทันที
เหมือนไฟนั้นเป็นกองใหญ่
เพราะฉะนั้น เราสลัดตัวอันมีธุลีแล้ว เข้าไปนั่งอยู่ข้างหนึ่ง
[๑๔๐] ในเมื่อกองไม้ที่ไฟติดทั่วแล้วเป็นควันตลบอยู่
ขณะนั้น เราโดดลงไปในท่ามกลางระหว่างเปลวไฟ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๔๔ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก [๑. อกิตติวรรค] รวมจริยาที่มีในวรรคนี้
[๑๔๑] น้ำเย็นอันผู้ใดผู้หนึ่งดำลงแล้ว
ย่อมระงับความกระวนกระวายและความร้อน
ย่อมให้ความยินดี และปีติได้ ฉันใด
[๑๔๒] ในขณะที่เราเข้าไปยังไฟที่ลุกโพลง ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
เหมือนดำลงไปในน้ำเย็น
ความกระวนกระวายทั้งปวงระงับไป
[๑๔๓] เราได้ให้ร่างกายทั้งสิ้นโดยไม่เหลือ
คือผิว หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก
และชิ้นเนื้อหัวใจแก่พราหมณ์ ฉะนี้แล
สสปัณฑิตจริยาที่ ๑๐ จบ
อกิตติวรรคที่ ๑ จบ

รวมจริยาที่มีในวรรคนี้คือ
อกิตติดาบส สังขพราหมณ์ พระเจ้าธนัญชัยกุรุราช
พระเจ้ามหาสุทัศนจักรพรรดิราช
มหาโควินทพราหมณ์
พระเจ้าเนมิราช จันทกุมาร พระเจ้าสิวิราช
พระเวสสันดร และสสบัณฑิต
ผู้ให้ทานอันประเสริฐในกาลนั้น เป็นเรานี้เอง
การบริจาคเหล่านี้เป็นบริขารแห่งทาน เป็นทานบารมี
เราได้ให้ชีวิตเป็นทานแก่ยาจก จึงบำเพ็ญบารมีนี้ได้
เราเห็นยาจกเข้ามาเพื่อขอแล้ว ได้สละร่างกายของตนให้
ความเสมอด้วยทานของเราไม่มี
นี้เป็นทานบารมีของเรา ฉะนี้แล
การบำเพ็ญทานบารมี จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๔๕ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก [๒. หัตถินาควรรค] ๑. มาตุโปสกจริยา
๒. หัตถินาควรรค
หมวดว่าด้วยพญาช้างเป็นต้น
๒. การบำเพ็ญศีลบารมี
๑. มาตุโปสกจริยา
ว่าด้วยจริยาของพญาช้างตัวเลี้ยงมารดา
[๑] ในกาลที่เราเป็นช้างกุญชรเลี้ยงมารดาอยู่ในป่าใหญ่
ครั้งนั้น ในแผ่นดินนี้ไม่มีอะไรที่จะเสมอด้วยคุณ(ศีล)ของเรา
[๒] พรานป่าพบเราในป่าใหญ่แล้ว ได้กราบทูลแด่พระราชาว่า
‘ข้าแต่มหาราช ช้างมงคลซึ่งสมควรแก่พระองค์อยู่ในป่าใหญ่
[๓] อันการจับช้างนั้นไม่ต้องขุดคู
แม้การปักเสาตะลุง(เสาสำหรับผูกช้าง)
และการขุดหลุมพรางก็ไม่ต้อง
ในขณะที่จับที่งวงเท่านั้น ช้างนั้นก็จะมา ณ ที่นี้เอง พระเจ้าข้า’
[๔] ฝ่ายพระราชาได้สดับคำของพรานป่านั้นแล้ว
ก็ทรงดีพระทัย ทรงส่งควาญช้างซึ่งเป็นอาจารย์ผู้ฉลาดศึกษาดีแล้วไป
[๕] ควาญช้างนั้นไปแล้ว ได้พบช้างกำลังถอนเหง้าบัวอยู่
ในสระบัวหลวง เพื่อเลี้ยงมารดา
[๖] ควาญช้างรู้คุณคือศีลของเรา พิจารณาดูลักษณะแล้วกล่าวว่า
มานี่แนะลูก แล้วได้จับที่งวงของเรา
[๗] ครั้งนั้น กำลังของเราที่มีอยู่ในกายตามปกติอันใด
วันนี้ กำลังของเรานั้นเสมอเหมือนด้วยกำลังของช้างหลายพันเชือก
[๘] ถ้าเราโกรธควาญช้างเหล่านั้น ผู้เข้ามาใกล้เพื่อจับเรา
เราก็สามารถเหยียบเขาเหล่านั้น(ให้แหลกละเอียด)ได้
แม้จนถึงราชสมบัติของมนุษย์

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๔๖ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก [๒. หัตถินาควรรค] ๒. ภูริทัตตจริยา
[๙] อีกอย่างหนึ่ง แม้เขาจะผูกข้าพเจ้าไว้ที่เสาตะลุง
เราก็ไม่ทำความเสียใจ เพราะรักษาศีล
เพื่อบำเพ็ญศีลบารมีให้บริบูรณ์
[๑๐] ถ้าเขาเหล่านั้นพึงทำลายเราที่เสาตะลุงนี้ด้วยขวานและหอกซัด
เราก็จะไม่โกรธเขาเหล่านั้นเลย
เพราะเรากลัวศีลขาด ฉะนี้แล
มาตุโปสกจริยาที่ ๑ จบ

๒. ภูริทัตตจริยา
ว่าด้วยจริยาของภูริทัตตนาคราช
[๑๑] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลที่เราเป็นพญานาคชื่อว่าภูริทัตตะ
มีฤทธิ์มาก ได้ไปยังเทวโลกพร้อมกับท้าววิรูปักษ์มหาราช
[๑๒] ในเทวโลกนั้น เราได้เห็นทวยเทพ
ผู้เพียบพร้อมด้วยความสุขโดยส่วนเดียว
จึงสมาทานศีลวัตร เพื่อต้องการจะไปยังสวรรค์นั้น
[๑๓] เราชำระร่างกาย บริโภคอาหารพอเป็นเครื่องเลี้ยงชีพแล้ว
นอนบนยอดจอมปลวก อธิษฐานองค์ ๔ ประการว่า
[๑๔] ‘ผู้ใดพึงทำกิจด้วยผิวก็ดี หนังก็ดี เนื้อก็ดี เอ็นก็ดี
กระดูกก็ดี ผู้นั้นจงนำอวัยวะที่เราให้นี้ไปเถิด’
[๑๕] พราหมณ์อาลัมพานะผู้ที่คนอกตัญญูบอกแล้ว
ได้จับเราใส่ไว้ในตะกร้า ให้เล่นในที่นั้น ๆ
[๑๖] แม้เมื่อพราหมณ์อาลัมพานะใส่เราไว้ในตะกร้าบ้าง
บีบเราด้วยฝ่ามือบ้าง เราก็ไม่โกรธพราหมณ์อาลัมพานะนั้น
เพราะเรากลัวศีลขาด

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๔๗ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก [๒. หัตถินาควรรค] ๓. จัมเปยยจริยา
[๑๗] การที่เราสละชีวิตของตนเป็นของเบาแม้กว่าหญ้า
การล่วงศีลของเราเป็นเหมือนดังว่าพลิกแผ่นดินขึ้น
[๑๘] เราพึงสละชีวิตของเราสิ้น ๑๐๐ ชาติเนือง ๆ
เราไม่พึงทำลายศีลแม้เพราะเหตุแห่งทวีปทั้ง ๔
[๑๙] อีกอย่างหนึ่ง แม้เขาจะใส่เราไว้ในตะกร้า
เราก็ไม่ทำความเสียใจ
เพราะรักษาศีล เพื่อบำเพ็ญศีลบารมีให้เต็ม ฉะนี้แล
ภูริทัตตจริยาที่ ๒ จบ

๓. จัมเปยยจริยา
ว่าด้วยจริยาของจัมเปยยกนาคราช
[๒๐] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลที่เราเป็นพญานาค
ชื่อว่าจัมเปยยกะ มีฤทธิ์มาก
แม้ในกาลนั้น เราเป็นผู้ประพฤติธรรม เพียบพร้อมด้วยศีลวัตร
[๒๑] หมองูได้จับเราผู้ประพฤติธรรม รักษาอุโบสถ
แล้วให้เล่นรำอยู่ใกล้ประตูพระราชวัง
[๒๒] หมองูนั้นคิดสีใด คือ สีเขียว สีเหลือง หรือสีแดง
เราย่อมเปลี่ยนไปตามความคิดของเขา
แปลงกายให้เหมือนที่เขาคิด
[๒๓] เราได้เนรมิตบก(คือแผ่นดิน)ให้เป็นน้ำบ้าง
เนรมิตน้ำให้เป็นบกบ้าง ถ้าเราโกรธเคืองต่อหมองูนั้น
ก็พึงทำเขาให้กลายเป็นเถ้าไปในพริบตา
[๒๔] ถ้าเราจักเป็นไปตามอำนาจจิต เราก็จักเสื่อมจากศีล
เมื่อเราเสื่อมจากศีล ประโยชน์สูงสุดก็จะไม่สำเร็จ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๔๘ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก [๒. หัตถินาควรรค] ๔. จูฬโพธิจริยา
[๒๕] กายของเรานี้จงแตกไป จงกระจัดกระจายอยู่ ณ ที่นี้
เหมือนแกลบกระจัดกระจายอยู่ก็ตามเถิด
เราไม่ควรทำลายศีล ฉะนี้แล
จัมเปยยจริยาที่ ๓ จบ

๔. จูฬโพธิจริยา
ว่าด้วยจริยาของจูฬโพธิปริพาชก
[๒๖] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลที่เราเป็นปริพาชกชื่อว่าจูฬโพธิ
มีศีลงาม เราเห็นภพโดยความเป็นของน่ากลัว จึงออกบวช
[๒๗] นางพราหมณี ผู้มีผิวพรรณดังทองคำ
ซึ่งเป็นภรรยาเก่าของเรา แม้นางมิได้อาลัยในวัฏฏะ ออกบวชแล้ว
[๒๘] เราทั้ง ๒ ไม่มีความอาลัย ตัดขาดพวกพ้อง
ไม่ห่วงใยในตระกูลและหมู่ญาติ
เที่ยวไปยังบ้านและนิคม มาถึงกรุงพาราณสี
[๒๙] เราทั้ง ๒ อยู่ ณ ที่นั้น มีปัญญารักษาตน
ไม่คลุกคลีกับสกุลกับคณะ
เราทั้ง ๒ อยู่ในพระราชอุทยานอันสงัดเงียบ ไม่พลุกพล่าน
[๓๐] พระราชาเสด็จทอดพระเนตรพระราชอุทยาน
ได้ทอดพระเนตรเห็นนางพราหมณี
จึงเสด็จเข้ามาหาเราแล้วตรัสถามว่า
“นางพราหมณีคนนี้เป็นอะไรกับท่าน เป็นภริยาของใคร”
[๓๑] เมื่อพระราชาตรัสถามอย่างนี้ เราได้ทูลพระองค์ดังนี้ว่า
“นางพราหมณีนี้มิใช่ภริยาของอาตมภาพ
แต่เป็นผู้ประพฤติธรรมร่วมกัน มีศาสนาเดียวกัน”

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๔๙ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก [๒. หัตถินาควรรค] ๕. มหิสราชจริยา
[๓๒] พระราชาทรงกำหนัดหนักในนางพราหมณีนั้น
จึงรับสั่งให้พวกราชบุรุษจับ ทรงบีบคั้นด้วยกำลัง
สั่งให้นำเข้าไปภายในนคร
[๓๓] เมื่อภรรยาเก่าของเราซึ่งเกิดร่วมกัน
มีศาสนาเดียวกัน ถูกฉุดคร่าไป ความโกรธเกิดขึ้นแก่เรา
[๓๔] เราระลึกถึงศีลวัตรได้พร้อมกับความโกรธที่เกิดขึ้น
เราข่มความโกรธได้ ณ ที่นั้นเอง ไม่ให้มันเจริญขึ้นไปอีก
[๓๕] ถ้าใคร ๆ พึงเอาหอกอันคมกริบแทงนางพราหมณีนั้น
เราก็ไม่พึงทำลายศีลของเราเลย เพราะเหตุแห่งพระโพธิญาณเท่านั้น
[๓๖] นางพราหมณีนั้นจะเป็นที่รังเกียจของเราก็หาไม่
และเราจะไม่มีกำลังก็หามิได้
แต่เพราะพระสัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา
เพราะฉะนั้น เราจึงตามรักษาศีลไว้ ฉะนี้แล
จูฬโพธิจริยาที่ ๔ จบ

๕. มหิสราชจริยา
ว่าด้วยจริยาของพญากระบือ
[๓๗] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลที่เราเป็นกระบือ เที่ยวอยู่ในป่าใหญ่
มีกายอ้วนพี มีกำลังมาก ใหญ่โต ดูน่ากลัว
[๓๘] พื้นที่แห่งใดแห่งหนึ่งในป่านี้ อันเป็นที่อยู่ของฝูงกระบือ
มีอยู่ที่เงื้อมภูเขาก็ดี ที่ซอกภูเขาก็ดี ที่โคนต้นไม้ก็ดี ที่ใกล้บึงก็ดี
[๓๙] เราเที่ยวไปในที่นั้น ๆ เมื่อเราเที่ยวไปในป่าใหญ่
ได้เห็นสถานที่อันเจริญ เราจึงเข้าไปยังที่นั้น
แล้วยืนพักอยู่และนอนอยู่

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๕๐ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก [๒. หัตถินาควรรค] ๕. มหิสราชจริยา
[๔๐] ครั้งนั้น ลิงป่าตัวชั่วร้าย ไม่เจริญ ลอกแลก
มาที่นั้น ถ่ายปัสสาวอุจจาระรดที่คอ ที่หน้าผาก ที่คิ้ว
[๔๑] ย่อมเบียดเบียนเราวันแรกครั้งหนึ่ง
วันที่ ๒ วันที่ ๓ วันที่ ๔ ก็วันละครั้ง
เราจึงถูกลิงนั้นเบียดเบียนตลอดกาลทั้งปวง
[๔๒] ยักษ์(เทวดา)เห็นเราถูกลิงเบียดเบียนได้กล่าวกับเราดังนี้ว่า
“ท่านจงทำลิงชั่วช้าลามกตัวนี้ให้ฉิบหาย
ด้วยเขาและกีบเสียเถิด”
[๔๓] เมื่อยักษ์กล่าวอย่างนี้ในครั้งนั้นแล้ว เราได้ตอบยักษ์นั้นว่า
“เหตุไร ท่านจะให้เราเปื้อนซากศพอันลามกไม่เจริญเล่า”
[๔๔] ถ้าเราพึงโกรธต่อลิงนั้น เราก็จะพึงเลวกว่ามัน
ศีลของเราจะพึงขาด และวิญญูชนทั้งหลายก็จะพึงติเตียนเรา
[๔๕] เราเป็นผู้บริสุทธิ์ ตายเสียยังประเสริฐกว่าความเป็นอยู่ที่น่าติเตียน
เราจักเบียดเบียนผู้อื่น แม้เพราะเหตุแห่งชีวิตได้อย่างไร
[๔๖] ลิงนี้ดูหมิ่นเราได้อย่างนี้ ก็จักกระทำแม้แก่ผู้อื่นอย่างนี้
เขาก็จักฆ่ามันเสีย เราก็จักรอดตัวไป
[๔๗] บุคคลผู้มีปัญญา อดกลั้นคำดูหมิ่นในเพราะคำของคนเลว
คนปานกลาง และคนชั้นสูง
ย่อมได้สิ่งตามที่ใจปรารถนาอย่างนี้ ฉะนี้แล
มหิสราชจริยาที่ ๕ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๕๑ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก [๒. หัตถินาควรรค] ๖. รุรุราชจริยา
๖. รุรุราชจริยา
ว่าด้วยจริยาของพญาเนื้อชื่อรุรุ
[๔๘] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลที่เราเป็นพญาเนื้อชื่อรุรุ
มีขนสีเหลืองคล้ายทองคำที่หลอมดีแล้ว
ประกอบด้วยศีลอันบริสุทธิ์ยิ่ง
[๔๙] เราเข้าไปอาศัยอยู่ ณ ประเทศที่น่ารื่นรมย์ใจ
เป็นรมณียสถาน สงัดเงียบปราศจากมนุษย์
เป็นที่ยินดีแห่งใจใกล้ฝั่งแม่น้ำ
[๕๐] ครั้งนั้น บุรุษถูกเจ้าหนี้เบียดเบียน
จึงโดดลงในแม่น้ำ ในกระแสน้ำข้างเหนือ
ด้วยคิดว่า เราจะเป็นหรือตายก็ตามเถอะ
[๕๑] เขาถูกกระแสน้ำพัดไปในแม่น้ำใหญ่
ตลอดคืนตลอดวัน ร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าเวทนา
ลอยไปท่ามกลางแม่น้ำคงคา
[๕๒] เราได้ยินเสียงของเขาผู้ร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าเวทนาแล้ว
ไปยืนอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำถามว่า ท่านเป็นคนเช่นไร
[๕๓] เขาถูกเราถามแล้ว ได้แจ้งเหตุของตนในกาลนั้นว่า
ข้าพเจ้ากลัว สะดุ้งต่อพวกเจ้าหนี้แล้ว จึงโดดลงยังมหานที
[๕๔] เราทำความกรุณาแก่เขา
สละชีวิตของตนว่ายน้ำไปนำเขามาในเวลากลางคืนข้างแรม
[๕๕] เรารู้กาลที่เขาสบายใจแล้ว
ได้กล่าวแก่เขาดังนี้ว่า ข้าพเจ้าจะขอพรกะท่านสักข้อหนึ่ง
คือท่านอย่าบอกใครว่า ข้าพเจ้าอยู่ ณ ที่นี้
[๕๖] เขาไปยังนครแล้ว พระราชาตรัสถาม
มีความต้องการทรัพย์จึงกราบทูล
เขาได้พาพระราชามายังที่อยู่ของเรา

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๕๒ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก [๒. หัตถินาควรรค] ๗. มาตังคจริยา
[๕๗] เรากราบทูลเหตุการณ์ทุกอย่างแก่พระราชา
พระราชาทรงสดับคำของเราแล้ว
ทรงสอดศรจะยิงบุรุษนั้น ตรัสว่า
“เราจักฆ่าอนารยชน ผู้ประทุษร้ายมิตรเสียในที่นี้แหละ”
[๕๘] เราตามรักษาคนผู้ประทุษร้ายมิตรนั้น
ได้มอบตัวของเราถวายว่า
ข้าแต่มหาราช ขอได้ทรงโปรดก่อนเถิด
พระเจ้าข้า ข้าพระองค์จะทำตามพระราชประสงค์ของพระองค์
[๕๙] เราตามรักษาศีลของเรา ไม่ใช่ตามรักษาชีวิตของเรา
เพราะในกาลนั้น เราเป็นผู้รักษาศีล
เพราะเหตุแห่งพระโพธิญาณเท่านั้น
รุรุราชจริยาที่ ๖ จบ

๗. มาตังคจริยา
ว่าด้วยจริยาของชฎิลชื่อมาตังคะ
[๖๐] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลที่เราเป็นชฎิลมีนามว่ามาตังคะ ตามโคตร
มีความเพียรทำลายกิเลสที่แรงกล้า มีศีล มีจิตมั่นคงดี
[๖๑] เราทั้ง ๒ คือ เราและพราหมณ์คนหนึ่ง
อยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำคงคา เราอยู่ข้างเหนือ พราหมณ์อยู่ข้างใต้
[๖๒] พราหมณ์เที่ยวไปตามริมฝั่งน้ำ เห็นอาศรมของเราข้างเหนือน้ำ
บริภาษเราในที่นั้น แล้วแช่งให้เราศีรษะแตก
[๖๓] ถ้าเราพึงโกรธต่อพราหมณ์นั้น ถ้าเราไม่คุ้มครองศีล
เราแลดูพราหมณ์นั้นแล้ว พึงทำให้เป็นดังขี้เถ้าได้
[๖๔] ครั้งนั้น พราหมณ์นั้นโกรธ มีจิตคิดประทุษร้าย
จึงแช่งเรา คำแช่งนั้นจะตกลงบนศีรษะของเขาเอง
เราได้ช่วยเปลื้องเขาให้พ้นโดยความพยายาม

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๕๓ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก [๒. หัตถินาควรรค] ๘. ธัมมเทวปุตตจริยา
[๖๕] เราตามรักษาศีลของเรา มิใช่รักษาชีวิตของเรา
เพราะในกาลนั้น เราเป็นผู้รักษาศีล
เพราะเหตุแห่งพระโพธิญาณเท่านั้น ฉะนี้แล
มาตังคจริยาที่ ๗ จบ

๘. ธัมมเทวปุตตจริยา
ว่าด้วยจริยาของธรรมเทพบุตร
[๖๖] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลที่เราเป็นเทพบุตรนามว่าธรรมะ
มีศักดิ์ใหญ่ มีฤทธิ์มาก มีบริวารมาก เป็นผู้อนุเคราะห์โลกทั้งปวง
[๖๗] เราชักชวนมหาชนให้สมาทานกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ
พร้อมทั้งมิตรสหาย พร้อมทั้งบริวารชนเที่ยวไปยังบ้านและนิคม
[๖๘] ครั้งนั้น เทพบุตรผู้ลามก เป็นผู้ตระหนี่
แสดงอกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ
แม้เทพบุตรนั้น พร้อมทั้งมิตรสหาย
พร้อมทั้งบริวารชนก็เที่ยวไปบนแผ่นดินนี้
[๖๙] เราทั้ง ๒ คือ ธรรมวาทีเทพบุตรและอธรรมวาทีเทพบุตร
เป็นศัตรูต่อกัน เราทั้ง ๒ นั่งรถสวนทางกันมา
จึงทำแอกรถให้กระทบกัน
[๗๐] การทะเลาะอันน่าสะพรึงกลัวย่อมเกิดขึ้นแก่เทพบุตรทั้ง ๒
ผู้ประกอบด้วยกัลยาณธรรมและบาปธรรม
มหาสงครามปรากฏแล้ว เพื่อต้องการจะให้กันและกันหลีกทาง
[๗๑] ถ้าเราพึงโกรธเคืองอธรรมวาทีเทพบุตรนั้น
ถ้าเราพึงทำลายตบะคุณ เราพึงทำอธรรมวาทีเทพบุตรนั้น
พร้อมทั้งบริวารให้เป็นดุจธุลี
[๗๒] อีกเรื่องหนึ่ง เพื่อรักษาศีลไว้ เราจึงระงับจิตได้แล้ว
พร้อมทั้งบริวาร ได้หลีกทางให้แก่อธรรมวาทีเทพบุตรผู้ชั่วช้า

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๕๔ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก [๒. หัตถินาควรรค] ๙. ชยทิสจริยา
[๗๓] เพราะทำจิตให้สงบพร้อมกับหลีกทางให้
แผ่นดินได้แยกช่องแก่เทพบุตรผู้ชั่วช้าในขณะนั้น ฉะนี้แล
ธัมมเทวปุตตจริยาที่ ๘ จบ

๙. ชยทิสจริยา
ว่าด้วยพระจริยาของพระเจ้าชัยทิศ
[๗๔] ในกรุงที่ประเสริฐชื่อกัปปิลา เป็นนครที่อุดมในแคว้นปัญจาละ
ได้มีพระราชาพระนามว่าชัยทิศ ประกอบด้วยคุณคือศีล
[๗๕] เราเป็นโอรสของพระราชาพระองค์นั้น
มีธรรมอันสดับแล้ว มีศีลดีงาม มีนามว่าอลีนสัตตกุมาร
มีคุณสงเคราะห์บริวารชนทุกเมื่อ
[๗๖] พระราชบิดาของเราเสด็จล่าเนื้อ ได้เข้าใกล้พระยาโปริสาท
พระยาโปริสาทนั้นได้จับพระราชบิดาของเราแล้วกล่าวว่า
ท่านเป็นอาหารของเรา อย่าดิ้นรนไปเลย
[๗๗] พระราชบิดาของเราทรงสดับคำของพระยาโปริสาทนั้น
ตกพระทัย สะดุ้งหวาดหวั่น มีพระเพลาแข็ง๑
เพราะทอดพระเนตรเห็นพระยาโปริสาท
[๗๘] พระยาโปริสาทรับเอาเนื้อแล้วปล่อยไปโดยบังคับให้กลับมาอีก
พระราชบิดาพระราชทานทรัพย์แก่พราหมณ์แล้วตรัสเรียกเรามาว่า
[๗๙] ลูกเอ๋ย จงปกครองราชสมบัติ อย่าประมาทปกครองนครนี้
พระยาโปริสาทบังคับพ่อให้กลับไปหาอีก
[๘๐] เราไหว้พระราชมารดาและพระราชบิดาแล้ว
ตกแต่งร่างกาย สะพายธนู เหน็บพระแสงขรรค์
ออกไปหาพระยาโปริสาท(เราคิดว่า)

เชิงอรรถ :
๑ พระเพลาแข็ง หมายถึงขาแข็งไม่สามารถจะหนีไปได้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๕๕ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก [๒. หัตถินาควรรค] ๑๐. สังขปาลจริยา
[๘๑] พระยาโปริสาทเห็นเรามีอาวุธถืออยู่ในมือ บางทีจักสะดุ้งกลัว
แต่เพราะเมื่อเราทำความสะดุ้งกลัวต่อพระยาโปริสาท
ศีลของเราจะขาด
[๘๒] เพราะเรากลัวศีลจะขาด จึงไม่กล่าววาจาน่ารังเกียจ
แก่พระยาโปริสาทนั้น
เรามีเมตตาจิตกล่าวคำที่เป็นประโยชน์ว่า
[๘๓] “ท่านจงก่อไฟกองใหญ่ขึ้น เราจักโดดจากต้นไม้เข้ากองไฟ
ท่านปู่ ท่านรู้เวลาว่า เราสุกดีแล้วจงกินเถิด”
[๘๔] เราไม่ได้รักษาชีวิตของเราเพราะเหตุแห่งพระราชบิดาผู้ทรงศีล
และเราได้ให้พระยาโปริสาทผู้ฆ่าสัตว์เป็นปกติทุกเมื่อนั้น
บวชแล้ว ฉะนี้แล
ชยทิสจริยาที่ ๙ จบ

๑๐. สังขปาลจริยา
ว่าด้วยจริยาของสังขปาลนาคราช
[๘๕] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลที่เราเป็นพญานาคนามว่าสังขปาละ
มีฤทธิ์มาก มีเขี้ยวเป็นอาวุธ มีพิษแรงกล้า
มีลิ้น ๒ แฉก
[๘๖] เราอยู่ที่หนทางใหญ่ ๔ แพร่ง คับคั่งไปด้วยชนต่าง ๆ
อธิษฐานองค์ ๔ ว่า
[๘๗] ผู้ใดกระทำกิจที่ควรทำด้วยอวัยวะนี้
คือผิว หนัง เนื้อ เอ็น หรือกระดูก
ผู้นั้นจงนำอวัยวะที่เราให้แล้วเท่านั้นไปเกิด
[๘๘] พวกบุตรของนายพรานเป็นคนดุร้าย หยาบช้า
ไม่มีความกรุณา ได้เห็นเราแล้ว
ถือไม้พลองตะบองสั้นกรูกันเข้ามาหาเรา ณ ที่นั้น

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๕๖ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก [๒. หัตถินาควรรค] รวมจริยาที่มีในวรรค
[๘๙] พวกบุตรของนายพรานได้แทงที่จมูก
หางและกระดูกสันหลัง ยกใส่หาบแล้ว นำเราไป
[๙๐] ถ้าเราปรารถนา ก็พึงเผามหาปฐพีซึ่งมีสมุทรสาครเป็นที่สุด
พร้อมทั้งป่าทั้งภูเขาได้ด้วยลมจากจมูกในที่นั้น
[๙๑] แต่เราไม่โกรธเคืองพวกบุตรนายพราน
แม้จะแทงเราด้วยหลาว แม้จะทุบตีเราด้วยหอก
นี้เป็นศีลบารมีของเรา ฉะนี้แล
สังขปาลจริยาที่ ๑๐ จบ
หัตถินาควรรคที่ ๒ จบ

รวมจริยาที่มีในวรรคนี้คือ

๑. มาตุโปสกจริยา ๒. ภูริทัตตจริยา
๓. จัมเปยยจริยา ๔. จูฬโพธิจริยา
๕. มหิสราชจริยา ๖. รุรุราชจริยา
๗. มาตังคจริยา ๘. ธรรมเทวปุตตจริยา
๙. ชยทิสจริยา ๑๐. สังขปาลจริยา

จริยาทั้งหมดนี้เป็นกำลังของศีล เป็นบริขารเป็นข้ออ้างของศีล
เราตามรักษาศีลเพราะยังห่วงใยชีวิต
เราผู้เป็นสังขปาลนาคราชได้มอบชีวิตให้
แก่คนใดคนหนึ่ง แม้ตลอดกาลทุกเมื่อ
เพราะเหตุนั้น จริยานั้นจึงเป็นศีลบารมี ฉะนี้แล
นิทเทสแห่งศีลบารมี จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๕๗ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก [๓. ยุธัญชยวรรค] ๑. ยุธัญชยจริยา
๓. ยุธัญชยวรรค
หมวดว่าด้วยกุมารนามว่ายุธัญชัยเป็นต้น
๓. การบำเพ็ญบารมีมีเนกขัมมะเป็นต้น
๑. ยุธัญชยจริยา
ว่าด้วยพระจริยาของพระยุธัญชัยกุมาร
[๑] ในกาลที่เราเป็นพระราชโอรส
นามว่ายุธัญชัย มีบริวารยศหาประมาณมิได้
สลดใจเพราะได้เห็นหยาดน้ำค้างที่เหือดแห้งไปเพราะแสงดวงอาทิตย์
[๒] เราทำความเป็นอนิจจัง(ความไม่เที่ยง)นั้นแล
ให้เป็นสิ่งที่สำคัญ พอกพูนความสังเวช
ไหว้พระมารดาและพระบิดาแล้วทูลขอบรรพชา
[๓] พระมารดาและพระบิดาพร้อมทั้งชาวนิคมทั้งชาวแว่นแคว้น
ประนมมืออ้อนวอนเราว่า
วันนี้ เจ้าจงปกครองแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาลเถิดลูก
[๔] เมื่อมหาชนพร้อมทั้งพระบิดา นางสนม ชาวนิคม
และชาวแว่นแคว้น ร้องไห้ร่ำไรน่าเวทนายิ่งนัก
เราไม่ห่วงใย สละไปแล้ว
[๕] เราสละราชสมบัติในแผ่นดิน หมู่ญาติ บริวารชน
และยศศักดิ์ทั้งสิ้น ไม่คิดถึงเลย เพราะเหตุแห่งพระโพธิญาณเท่านั้น
[๖] พระมารดาและพระบิดาจะเป็นที่รังเกียจของเราก็หาไม่
ยศอันยิ่งใหญ่ จะเป็นที่รังเกียจของเราก็หาไม่
แต่เพราะพระสัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา
เพราะฉะนั้น เราจึงสละราชสมบัติ ฉะนี้แล
ยุธัญชยจริยาที่ ๑ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๕๘ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก [๓. ยุธัญชยวรรค] ๒. โสมนัสสจริยา
๒. โสมนัสสจริยา
ว่าด้วยพระจริยาของพระโสมนัสสกุมาร
[๗] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลที่เราเป็นบุตรสุดที่รัก
พระมารดาและพระบิดารักใคร่ เอ็นดู ปรากฏนามว่าโสมนัส
อยู่ในกรุงอินทปัตถ์ที่อุดมสมบูรณ์
[๘] เป็นผู้มีศีล สมบูรณ์ด้วยคุณธรรม
มีกัลยาณธรรม มีปฏิภาณ เคารพนบนอบต่อบุคคลผู้เจริญ
มีหิริ และฉลาดในสังคหธรรม
[๙] ครั้งนั้น มีดาบสโกงผู้หนึ่ง
เป็นที่โปรดปรานของพระราชาพระองค์นั้น
ดาบสนั้นทำสวนและปลูกไม้ผล ไม้ดอก ไม้ประดับเลี้ยงชีวิต
[๑๐] เราได้เห็นดาบสโกงนั้น เหมือนกองแกลบที่ไม่มีข้าวสาร
เหมือนไม้เป็นโพรงข้างใน เหมือนต้นกล้วยหาแก่นมิได้
[๑๑] ดาบสโกงผู้นี้ ไม่มีธรรมของสัตบุรุษ
ปราศจากความเป็นสมณะ ละหิริและธรรมฝ่ายขาว
เพราะเหตุแห่งการเลี้ยงชีวิต
[๑๒] ปัจจันตชนบทกำเริบขึ้น เพราะโจรเที่ยวอยู่ในดง
พระบิดาของเรา เมื่อจะเสด็จไปปราบความกำเริบนั้น ตรัสสั่งเราว่า
[๑๓] พ่ออย่าประมาทในชฎิล ผู้มีตบะแก่กล้านะลูก
พ่อจงอนุวัตรตามความปรารถนา ด้วยว่าชฎิลนั้น
เป็นผู้ให้ความสำเร็จ ความปรารถนาทั้งปวง
[๑๔] เราไปสู่ที่บำรุงชฎิลนั้นแล้ว ได้กล่าวคำนี้ว่า
คหบดี ท่านสบายดีหรือ หรือว่าท่านจะให้นำอะไรมา
[๑๕] เหตุนั้น ดาบสโกงนั้นอาศัยมานะจึงโกรธเราว่า
เราจะให้พระราชาประหารท่านเสียในวันนี้
หรือจะให้เนรเทศเสียจากแว่นแคว้น

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๕๙ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก [๓. ยุธัญชยวรรค] ๒. โสมนัสสจริยา
[๑๖] พระราชาทรงปราบปรามปัจจันตชนบทสงบราบคาบแล้ว
ได้ตรัสถามชฎิลโกงว่า พระผู้เป็นเจ้าสบายดีหรือ
สักการสัมมานะยังเป็นไปแก่พระผู้เป็นเจ้าหรือ
[๑๗] ชฎิลชั่วนั้นกราบทูลพระราชา
โดยประการที่กุมารนั้นจะพึงถูกทำให้พินาศเสีย
พระเจ้าแผ่นดินทรงสดับคำของชฎิลโกงนั้น แล้วทรงบังคับว่า
[๑๘] จงตัดศีรษะเสียในที่นั้นนั่นแหละ
จงบั่นออกเป็น ๔ ท่อน ประจานไว้ที่ถนน
นั่นเป็นตัวอย่างที่เบียดเบียนชฎิล
[๑๙] พวกโจรฆาต(ผู้ฆ่าโจร)ผู้มีใจดุร้ายหยาบคาย
ไม่มีความกรุณาเหล่านั้น ผู้ได้รับพระราชโองการไปที่นั้น
เมื่อเรานั่งอยู่บนพระเพลาของพระมารดา ก็ฉุดคร่านำเราไป
[๒๐] เราได้กล่าวแก่เขาเหล่านั้น
ซึ่งกำลังผูกมัดอย่างมั่นคงนี้ว่า
ท่านทั้งหลายจงพาเราไปเฝ้าพระราชาโดยเร็ว ราชกิจของเรามีอยู่
[๒๑] เขาเหล่านั้น พาเราไปเฝ้าพระราชาผู้ชั่ว คบแต่คนชั่ว
เราไปเฝ้าพระราชาแล้ว
ทูลให้ทรงเข้าพระทัยและนำมาสู่อำนาจของเรา
[๒๒] พระบิดาขอให้เราอดโทษ ณ ที่นั้น
ได้พระราชทานสมบัติอันยิ่งใหญ่แก่เรา
เรานั้นทำลายความมืดมนแล้ว ออกบวชเป็นบรรพชิต
[๒๓] ราชสมบัติจะเป็นที่น่ารังเกียจของเราก็หาไม่
กามโภคะจะเป็นสิ่งที่เราพึงรังเกียจก็หาไม่
แต่เพราะพระสัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา
เพราะฉะนั้น เราจึงสละราชสมบัติ ฉะนี้แล
โสมนัสสจริยาที่ ๒ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๖๐ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก [๓. ยุธัญชยวรรค] ๓. อโยฆรจริยา
๓. อโยฆรจริยา
ว่าด้วยพระจริยาของพระอโยฆรราชกุมาร
[๒๔] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลที่เราเป็นพระโอรสของพระเจ้ากาสี
เจริญวัยในเรือนเหล็ก จึงมีนามว่าอโยฆระ
[๒๕] พระบิดาตรัสว่า เจ้าได้ชีวิตมาอย่างลำบาก
ถูกเจ้านายเลี้ยงไว้ในที่แคบ ลูกเอ๋ย วันนี้จงปกครองแผ่นดินทั้งสิ้น
[๒๖] เราประนมมือไหว้กษัตริย์พร้อมทั้งชาวแว่นแคว้น
พร้อมทั้งชาวนิคม และบริวารชน แล้วได้กราบทูลดังนี้ว่า
[๒๗] บรรดาสัตว์ในแผ่นดิน ทั้งชั้นต่ำ ทั้งชั้นสูง
และปานกลาง สัตว์ทั้งหมดนั้นไม่มีอารักขา เจริญอยู่
ในเรือนของตนพร้อมด้วยหมู่ญาติของตน
[๒๘] การเลี้ยงดูข้าพระองค์ในที่คับแคบ
นี้เป็นความยอดเยี่ยมในโลก ข้าพระองค์เติบโตอยู่ในเรือนเหล็ก
เหมือนดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ที่ไม่มีแสงสว่าง
[๒๙] ข้าพระองค์ประสูติจากครรภ์พระมารดา
อันเต็มด้วยซากศพที่เน่าแล้ว ยังถูกขังไว้ในเรือนเหล็ก
ซึ่งมีทุกข์ร้ายกว่านั้นเสียอีก
[๓๐] ข้าพระองค์ได้รับความทุกข์ร้ายอย่างยิ่งเช่นนั้นแล้ว
ถ้ายังยินดีในราชสมบัติ ก็จะเป็นผู้เลวทรามที่สุด
แห่งคนที่เลวทรามทั้งหลายเสียอีก
[๓๑] ข้าพระองค์เป็นผู้เหนื่อยหน่ายทางกาย
ไม่ต้องการราชสมบัติ
ข้าพระองค์จะแสวงหาธรรมเครื่องดับทุกข์
ที่มัจจุราชย่ำยีข้าพระองค์ไม่ได้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๖๑ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก [๓. ยุธัญชยวรรค] ๔. ภิงสจริยา
[๓๒] เราคิดอย่างนี้แล้ว เมื่อมหาชนไม่เหนี่ยวรั้งไว้
ได้ตัดเครื่องผูกเสียแล้ว เข้าไปยังป่าใหญ่
เหมือนช้างทำลายปลอกหนีไปป่าใหญ่
[๓๓] พระมารดาและพระบิดาจะเป็นที่น่ารังเกียจสำหรับเราก็หาไม่
ยศศักดิ์อันยิ่งใหญ่จะเป็นที่น่ารังเกียจสำหรับเราก็หาไม่
แต่เพราะพระสัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา
เพราะฉะนั้น เราจึงสละราชสมบัติ ฉะนี้แล
อโยฆรจริยาที่ ๓ จบ

๔. ภิงสจริยา
ว่าด้วยจริยาของภิงสพราหมณ์
[๓๔] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลที่เราอยู่ในกรุงกาสี
ซึ่งประเสริฐสุด มีน้องหญิงชาย ๗ คน
เกิดในตระกูลโสตถิยพราหมณ์
[๓๕] เราเป็นพี่ของน้องหญิงชายเหล่านั้น
ประกอบด้วยหิริและธรรมฝ่ายขาว
เราเห็นภพโดยความเป็นภัย
จึงยินดีอย่างยิ่งในการออกบวช
[๓๖] พวกสหายร่วมใจของเรา ที่มารดาและบิดาส่งมาแล้ว
เชื้อเชิญเราด้วยกามทั้งหลายว่า เชิญท่านดำรงสกุลเถิด
[๓๗] คำใดที่สหายเหล่านั้นกล่าวแล้ว
เป็นเครื่องนำสุขมาให้ในธรรมของคฤหัสถ์
คำนั้นเป็นเหมือนคำหยาบ เสมอด้วยผาลไถที่ร้อนสำหรับเรา
[๓๘] ครั้งนั้น เราปฏิเสธอยู่
สหายเหล่านั้นได้ถามถึงความปรารถนาของเราว่า

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๖๒ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก [๓. ยุธัญชยวรรค] ๕. โสณนันทปัณฑิตจริยา
ท่านปรารถนาอะไรเล่าเพื่อน
ถ้าท่านไม่บริโภคกาม
[๓๙] เราผู้ใคร่ประโยชน์แก่ตน ได้กล่าวแก่สหาย
ผู้แสวงหาประโยชน์เหล่านั้นว่า
เราไม่ปรารถนาความเป็นคฤหัสถ์
เรายินดีอย่างยิ่งในการออกบวช
[๔๐] สหายเหล่านั้นฟังคำเราแล้ว
ได้บอกแก่มารดาและบิดา
มารดาและบิดาได้กล่าวอย่างนี้ว่า
พ่อผู้เจริญ แม้เราทั้ง ๒ ก็จะบวช
[๔๑] มารดาและบิดาของเราทั้ง ๒
และน้องหญิงชายทั้ง ๗ ของเรา
ละทิ้งทรัพย์นับไม่ถ้วน
แล้วเข้าไปยังป่าใหญ่ ฉะนี้แล
ภิงสจริยาที่ ๔ จบ

๕. โสณนันทปัณฑิตจริยา
ว่าด้วยจริยาของโสณนันทบัณฑิต
[๔๒] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลที่เราเกิดในตระกูลมหาศาล
ซึ่งประเสริฐสุด อยู่ในกรุงพรหมวัทธนะ
[๔๓] ครั้งนั้น เราเห็นสัตว์โลกเป็นผู้บอดถูกความมืดครอบงำ
จิตของเราเบื่อหน่ายจากภพ
เหมือนช้างที่ถูกสับด้วยกำลังขอมีความสลดใจ
[๔๔] เราเห็นความชั่วต่าง ๆ จึงคิดอย่างนี้ ในกาลนั้นว่า
เมื่อไร เราจึงจะออกไปจากเรือนแล้วเข้าป่าใหญ่ได้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๖๓ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก [๓. ยุธัญชยวรรค] ๖. มูคปักขจริยา
[๔๕] แม้ครั้งนั้น พวกญาติก็เชื้อเชิญเราด้วยกามโภคะทั้งหลาย
เราได้บอกความพอใจแม้แก่เขาเหล่านั้นว่า
อย่าเชื้อเชิญเราด้วยสิ่งเหล่านั้นเลย
[๔๖] น้องชายของเราเป็นบัณฑิตชื่อว่านันทะ
แม้เขาก็คล้อยตามเรา ชอบใจการบรรพชา
[๔๗] แม้ครั้งนั้น เราคือโสณบัณฑิต นันทบัณฑิต
มารดาและบิดาทั้ง ๒ ของเรา
ก็ละทิ้งโภคะทั้งหลายแล้วเข้าป่าใหญ่ ฉะนี้แล
โสณนันทบัณฑิตจริยาที่ ๕ จบ

๖. มูคปักขจริยา
ว่าด้วยพระจริยาของพระมูคปักขกุมาร
[๔๘] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลที่เราเป็นพระโอรสของพระเจ้ากาสี
ชนทั้งหลายเรียกเราโดยชื่อว่ามูคปักขกุมารบ้าง เตมิยกุมารบ้าง
[๔๙] ครั้งนั้น นางสนมกำนัล ๑๖,๐๐๐ นาง ไม่มีพระราชโอรส
โดยวันคืนล่วงไป ๆ เราเกิดขึ้นเพียงผู้เดียว
[๕๐] พระราชบิดารับสั่งให้กั้นเศวตฉัตร
ให้เลี้ยงดูเราผู้เป็นบุตรสุดที่รักซึ่งได้โดยยาก
เป็นอภิชาตบุตร ทรงไว้ซึ่งความรุ่งเรือง บนที่นอน
[๕๑] ครั้งนั้น เรานอนหลับอยู่บนที่นอนอันอ่อนนุ่ม
ตื่นขึ้นแล้วได้เห็นเศวตฉัตร ซึ่งเป็นเหตุให้เราตกนรก
[๕๒] ความสะดุ้งหวาดกลัว เกิดขึ้นแล้วแก่เรา
พร้อมกับได้เห็นเศวตฉัตร เราถึงความตัดสินใจว่า
เมื่อไรหนอ เราจึงจะเปลื้องราชสมบัตินี้ได้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๖๔ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก [๓. ยุธัญชยวรรค] ๖. มูคปักขจริยา
[๕๓] เทวดาผู้เป็นสาโลหิตของเรามาก่อน
ผู้ใคร่ประโยชน์ต่อเรา เห็นเราประสบทุกข์
จึงแนะนำเราให้ประกอบในเหตุ ๓ ประการว่า
[๕๔] ท่านจงอย่าแสดงความเป็นบัณฑิต
จงแสดงความเป็นคนโง่แก่ชนทั้งปวง
ชนทั้งหมดก็จะดูหมิ่นท่าน
ประโยชน์จักสำเร็จแก่ท่านด้วยอาการอย่างนี้
[๕๕] เมื่อเทวดากล่าวอย่างนี้แล้ว เราได้กล่าวดังนี้ว่า
เทวดา ข้าพเจ้าจะทำตามคำที่ท่านกล่าวกับเรา
ท่านเป็นผู้ปรารถนาประโยชน์
เป็นผู้ใคร่ความเกื้อกูลแก่เรา
[๕๖] ครั้นเราได้ฟังคำของเทวดานั้นแล้ว
เหมือนได้พบฝั่งในสาคร ร่าเริง ตื้นตันใจ
ได้อธิษฐานองค์ ๓ ประการ
[๕๗] คือ เราเป็นคนใบ้ เป็นคนหูหนวก
เป็นคนง่อยเปลี้ย เว้นจากคติ
เราอธิษฐานองค์ ๓ ประการนี้อยู่ ๑๖ ปี
[๕๘] ครั้งนั้น เสนาบดีเป็นต้นตรวจดูมือเท้าลิ้นและช่องหูของเราแล้ว
เห็นความไม่บกพร่องของเราก็ติเตียนว่า เป็นคนกาลกิณี
[๕๙] แต่นั้น ชาวชนบท เสนาบดี และปุโรหิตทั้งปวง
ร่วมใจกันทั้งหมด ดีใจการที่รับสั่งให้นำไปทิ้ง
[๖๐] เรานั้นได้ฟังความประสงค์ของเสนาบดีเป็นต้นนั้นแล้ว
ร่าเริง ตื้นตันใจว่า เราประพฤติตบะมาเพื่อประโยชน์ใด
ประโยชน์นั้นสำเร็จแล้วแก่เรา
[๖๑] ราชบุรุษทั้งหลายอาบน้ำให้เรา
ไล้ทาด้วยของหอม สวมราชมงกุฎราชาภิเษกแล้ว
ให้กั้นเศวตฉัตรทำประทักษิณนคร

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๖๕ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก [๓. ยุธัญชยวรรค] ๗. กปิลราชจริยา
[๖๒] ให้กั้นไว้ ๗ วัน พอดวงอาทิตย์อุทัย
นายสารถีก็อุ้มเราขึ้นรถ เข้าไปยังป่า
[๖๓] นายสารถีหยุดรถไว้ ณ โอกาสหนึ่ง
ปล่อยรถเทียมม้าพ้นมือก็ขุดหลุมเพื่อจะฝังเราเสียในแผ่นดิน
[๖๔] พระมหากษัตริย์ทรงคุกคามการอธิษฐาน
ที่เราอธิษฐานไว้ด้วยเหตุต่าง ๆ
แต่เราก็ไม่ทำลายการอธิษฐานนั้นเด็ดขาด
เพราะเหตุแห่งพระโพธิญาณเท่านั้น
[๖๕] พระมารดาและพระบิดาจะเป็นที่น่ารังเกียจสำหรับเราก็หาไม่
ตนของเราจะเป็นที่น่ารังเกียจก็หาไม่
แต่เพราะพระสัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา
เพราะฉะนั้น เราจึงอธิษฐานองค์ ๓ ประการนี้
[๖๖] เราอธิษฐานองค์ ๓ ประการนี้อยู่ ๑๖ ปี
บุคคลมีอธิษฐานเสมอเราไม่มี
นี้เป็นอธิษฐานบารมีของเรา ฉะนี้แล
มูคปักขจริยาที่ ๖ จบ

๗. กปิลราชจริยา
ว่าด้วยจริยาของพญาวานร
[๖๗] ในกาลที่เราเป็นพญาวานร อยู่ ณ ซอกภูเขาใกล้ฝั่งแม่น้ำ
ครั้งนั้น เราถูกจระเข้เบียดเบียนไปไหนไม่ได้
[๖๘] เรายืนอยู่ ณ โอกาสใด โดดจากฝั่งนี้ไปฝั่งโน้น
จระเข้เป็นสัตว์ดุร้าย แสดงความน่ากลัวอยู่ ณ โอกาสนั้น
[๖๙] จระเข้นั้นกล่าวกับเราว่า “มาเถิด”
แม้เราก็กล่าวกับจระเข้นั้นว่า “แม้เราก็จะไป” ดังนี้
โดดลงเหยียบศีรษะจระเข้นั้นแล้ว ไปยืนอยู่ที่ฝั่งโน้น

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๖๖ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก [๓. ยุธัญชยวรรค] ๙. วัฏฏกโปตกจริยา
[๗๐] เรามิได้ทำตามคำของจระเข้ที่กล่าวหลอกลวงนั้นก็หาไม่
บุคคลมีสัจจะเสมอเราไม่มี นี้เป็นสัจจบารมีของเรา ฉะนี้แล
กปิลราชจริยาที่ ๗ จบ

๘. สัจจสวหยปัณฑิตจริยา
ว่าด้วยจริยาของดาบสผู้เป็นบัณฑิตชื่อว่าสัจจะ
[๗๑] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลที่เราเป็นดาบสนามว่าสัจจะ
เรารักษาสัตว์โลกไว้ด้วยคำสัจ ได้ทำหมู่ชนให้สามัคคีกัน ฉะนี้แล
สัจจสวหยปัณฑิตจริยาที่ ๘ จบ

๙. วัฏฏกโปตกจริยา
ว่าด้วยจริยาของลูกนกคุ่ม
[๗๒] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลที่เราเป็นลูกนกคุ่ม ยังอ่อน
ขนยังไม่งอก เป็นดังชิ้นเนื้อ อยู่ในรัง ในมคธชนบท
[๗๓] มารดาเอาจะงอยปากคาบเหยื่อมาเลี้ยงเรา
เราเป็นอยู่ด้วยผัสสะของมารดา
กำลังกายของเรายังไม่มี
[๗๔] ในฤดูร้อนทุก ๆ ปี มีไฟป่าไหม้ลุกลามมา
ไฟป่าเป็นทางดำลุกลามมาใกล้เรา
[๗๕] ไฟกำลังไหม้ มีเปลวโชติช่วง ส่งเสียงดัง
อื้ออึง ลามมาใกล้เราโดยลำดับ
[๗๖] มารดาและบิดาของเราตกใจ สะดุ้งกลัว
เพราะกลัวไฟที่ไหม้มาโดยเร็ว
จึงทิ้งเราไว้ในรังหนีเอาตัวรอดไป

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๖๗ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก [๓. ยุธัญชยวรรค] ๑๐. มัจฉราชจริยา
[๗๗] เราเหยียดเท้า กางปีกออกรู้ว่า กำลังกายของเราไม่มี
เรานั้นไปไม่ได้ อยู่ในรังนั่นเอง จึงคิดอย่างนี้ในกาลนั้นว่า
[๗๘] เมื่อก่อนเราสะดุ้งหวาดหวั่น
พึงเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในระหว่างปีกของมารดาและบิดา
บัดนี้ มารดาและบิดาทิ้งเราหนีไปเสียแล้ว
วันนี้เราจะทำอย่างไร
[๗๙] ศีลคุณ ความสัตย์ ความสะอาด
และความเอ็นดู ยังมีอยู่ในโลก
ด้วยความสัตย์นั้น เราจักทำสัจจกิริยาอันยอดเยี่ยม
[๘๐] เราระลึกถึงพระพุทธเจ้า ผู้พิชิตมารซึ่งมีในก่อน
คำนึงถึงกำลังพระธรรม ได้กระทำสัจจกิริยา
เพื่อฝนคือกำลังความสัตย์ว่า
[๘๑] ปีกของเรามีอยู่ แต่ขนไม่มี เท้าของเรามีอยู่
แต่ยังเดินไม่ได้ มารดาและบิดาก็พากันบินออกไปแล้ว
แน่ะไฟจงกลับไป(จงดับไปเสีย)
[๘๒] พร้อมกับเมื่อเราทำสัจจกิริยา
เปลวไฟที่ลุกโชติช่วงเว้นที่ไว้ ๑๖ กรีส๑
เหมือนเปลวไฟที่จุ่มน้ำ บุคคลมีสัจจะเสมอเราไม่มี
นี้เป็นสัจจบารมีของเรา ฉะนี้แล
วัฏฏกโปตกจริยาที่ ๙ จบ

๑๐. มัจฉราชจริยา
ว่าด้วยจริยาของพญาปลา
[๘๓] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลที่เราเป็นพญาปลาอยู่ในสระใหญ่
น้ำในสระแห้งขอด เพราะแสงดวงอาทิตย์ในฤดูร้อน

เชิงอรรถ :
๑ กรีส หมายถึงมาตรานับ ๑ กรีสเท่ากับ ๑๒๕ ศอก (พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตย์ ๒๕๒๕)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๖๘ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก [๓. ยุธัญชยวรรค] ๑๐. มัจฉราชจริยา
[๘๔] ทีนั้น นกกา นกแร้ง นกกระสา นกตะกรุม และเหยี่ยว
มาคอยจับปลากินทั้งกลางวันและกลางคืน
[๘๕] ครั้งนั้น เรากับหมู่ญาติถูกเบียดเบียนจึงคิดอย่างนี้ว่า
โดยอุบายอะไรหนอ หมู่ญาติจะพึงพ้นทุกข์ได้
[๘๖] เราคิดถึงเหตุและผลแล้ว
ได้เห็นสัจจะว่าเป็นที่พึ่งได้
จึงตั้งอยู่ในความสัตย์แล้ว
เปลื้องความพินาศใหญ่ของหมู่ญาตินั้นได้
[๘๗] เราระลึกธรรมของสัตบุรุษ คิดถึงปรมัตถธรรม
ได้กระทำสัจจกิริยา
ซึ่งเป็นธรรมอันยั่งยืนเที่ยงแท้ในโลก
[๘๘] ตั้งแต่เราจำความได้ ตั้งแต่เรารู้เดียงสาได้มาจนถึงบัดนี้
เราไม่รู้สึกว่าจงใจเบียดเบียนสัตว์แม้ตัวหนึ่งเลย
[๘๙] ด้วยสัจจวาจานี้ ขอเมฆจงทำฝนห่าใหญ่ให้ตก
แน่ะเมฆ ท่านจงคำราม
จงทำขุมทรัพย์ของกาให้พินาศไป
ท่านจงทำกาให้ตรอมตรมด้วยความโศก
จงปลดเปลื้องฝูงปลาจากความโศก
[๙๐] พร้อมกับเมื่อเราทำสัจจะอันประเสริฐ
เมฆส่งเสียงสนั่นครั่นครืน ทำฝนให้ตก
ครู่เดียว ก็เต็มเปี่ยมทั้งที่ดอนและที่ลุ่ม
[๙๑] ครั้นเราทำสัจจะอันประเสริฐเห็นปานนี้
อันเป็นความเพียรอันสูงสุด อาศัยกำลังเดชความสัตย์
บรรดาลฝนห่าใหญ่ให้ตก บุคคลมีสัจจะเสมอเราไม่มี
นี้เป็นสัจจบารมีของเรา ฉะนี้แล
มัจฉราชจริยาที่ ๑๐ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๖๙ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก [๓. ยุธัญชยวรรค] ๑๑. กัณหทีปายนจริยา
๑๑. กัณหทีปายนจริยา
ว่าด้วยจริยาของกัณหทีปายนดาบส
[๙๒] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลที่เราเป็นฤาษีนามว่ากัณหทีปายนะ
เราไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์เกินกว่า ๕๐ ปี
[๙๓] ใคร ๆ จะรู้ใจเราที่ไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์นั้นหามิได้
แม้เราก็ไม่บอกแก่ใคร ๆ ว่า ความไม่ยินดี
และความยินดีมีในใจของเรา
[๙๔] สหายเพื่อนพรหมจารีของเราชื่อว่ามัณฑัพยะ
เป็นฤๅษีมีอานุภาพมาก
ประกอบด้วยบุพกรรม(กรรมเก่าให้ผล)
ถูกหลาวเสียบ
[๙๕] เราช่วยเหลือพยาบาลมัณฑัพยดาบสนั้นให้หายโรคแล้ว
ได้อำลากลับมายังอาศรมของเราเอง
[๙๖] พราหมณ์ผู้เป็นสหายของเรา ได้พาภริยาและบุตร
ทั้ง ๓ คนพร้อมใจกันเป็นแขกของเรา
[๙๗] เรานั่งเจรจาปราศรัยกับสหาย
และภรรยาของเขาอยู่ในอาศรมของตน
เด็กโยนลูกข่างเล่นอยู่ ทำให้อสรพิษโกรธแล้ว
[๙๘] ทีนั้น เด็กนั้นใช้มือควานหาตามทางที่ลูกข่างหมุนไป
มือไปถูกหัวอสรพิษเข้า
[๙๙] พอไปถูกหัวของมัน งูก็โกรธ
มันเคืองจนเหลือจะอดกลั้นอาศัยกำลังพิษ ได้กัดเด็กทันที

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๗๐ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก [๓. ยุธัญชยวรรค] ๑๒. สุตโสมจริยา
[๑๐๐] เด็กถูกงูมีพิษกล้ากัด ล้มลงที่พื้นดิน
เหตุนั้น เราเป็นผู้ได้รับทุกข์
หรือว่าทุกข์นั้นเนื่องจากเรา
[๑๐๑] เราได้ปลอบมารดาและบิดาของเด็กนั้น
ผู้มีทุกข์เศร้าโศกให้เบาใจแล้ว
ได้ทำสัจจกิริยาอันประเสริฐสุดครั้งแรกว่า
[๑๐๒] เราผู้ต้องการบุญ ได้ประพฤติพรหมจรรย์
มีจิตเลื่อมใสอยู่เพียง ๗ วันเท่านั้น
ต่อจากนั้น การประพฤติของเรามีมาเกิน ๕๐ ปีนี้
[๑๐๓] เราไม่ปรารถนาเลย แต่ก็ยังประพฤติอยู่
ด้วยสัจจะนี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่เด็กนี้
พิษจงระงับ ยัญญทัตตกุมารจงเป็นอยู่เถิด
[๑๐๔] พร้อมกับเมื่อเราทำสัจจกิริยา
มาณพซึ่งสั่นเทาด้วยกำลังพิษ
ก็รู้สึกตัว ลุกขึ้นได้ และหายโรค
บุคคลมีสัจจะเสมอเราไม่มี
นี้เป็นสัจจบารมีของเรา ฉะนี้แล
กัณหทีปายนจริยาที่ ๑๑ จบ

๑๒. สุตโสมจริยา
ว่าด้วยจริยาของพระเจ้าสุตโสม
[๑๐๕] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลที่เราเป็นพระเจ้าแผ่นดินนามว่าสุตโสม
ถูกพระยาโปริสาทจับตัวไปได้
ระลึกถึงคำผัดเพี้ยนไว้กะพราหมณ์(โปริสาท)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๗๑ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก [๓. ยุธัญชยวรรค] ๑๓. สุวัณณสามจริยา
[๑๐๖] พระยาโปริสาทใช้เชือกร้อยฝ่ามือกษัตริย์ ๑๐๑ พระองค์ไว้แล้ว
ทำกษัตริย์เหล่านั้นให้เมื่อยล้าแล้ว
เมื่อต้องการจะทำพลีกรรมให้สำเร็จจึงนำเราเข้าไป
[๑๐๗] พระยาโปริสาทได้ถามเราว่า
ท่านปรารถนาจะให้ปล่อยหรือ
ถ้าท่านจะกลับมาหาเรา
เราจักทำตามใจชอบของท่าน
[๑๐๘] เรารับคำพระยาโปริสาทนั้นว่า
การกลับมาของเรามีปัญญาหรือ
แล้วเข้าไปยังนครที่น่ารื่นรมย์
มอบราชสมบัติแล้ว ในกาลนั้น
[๑๐๙] เพราะเราระลึกถึงธรรมของสัตบุรุษ เป็นของเก่า
อันพระชินเจ้าเป็นต้นเสพแล้ว
ให้ทรัพย์แก่พราหมณ์แล้ว
จึงเข้าไปหาพระยาโปริสาท
[๑๑๐] ในการกลับมายังสำนักของพระยาโปริสาทนั้น
เราไม่มีความสงสัยว่าจักถูกฆ่าหรือไม่
เราตามรักษาสัจจวาจา ยอมสละชีวิตเข้าไปหาพระยาโปริสาท
บุคคลมีสัจจะเสมอเราไม่มี นี้เป็นสัจจบารมีของเรา ฉะนี้แล
สุตโสมจริยาที่ ๑๒ จบ

๑๓. สุวัณณสามจริยา
ว่าด้วยจริยาของพระสุวรรณสามดาบส
[๑๑๑] ในกาลที่เราเป็นดาบสชื่อสามะ ถูกท้าวสักกะเชื้อเชิญมาอยู่ในป่า
เรากับราชสีห์และเสือโคร่งในป่าใหญ่

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๗๒ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก [๓. ยุธัญชยวรรค] ๑๔. เอกราชจริยา
ต่างน้อมเมตตาเข้าหากัน
(เราเข้าใกล้ราชสีห์และเสือโคร่งในป่าใหญ่ได้ด้วยเมตตา)
[๑๑๒] เราแวดล้อมด้วยราชสีห์ เสือโคร่ง เสือเหลือง
หมี กระบือ เนื้อฟาน และหมูป่า อยู่ในป่าใหญ่
[๑๑๓] สัตว์อะไร ๆ มิได้สะดุ้งกลัวเรา
แม้เราก็มิได้กลัวสัตว์อะไร ๆ
เพราะเรามีกำลังเมตตาค้ำจุน
จึงยินดีอยู่ในป่า ในกาลนั้น ฉะนี้แล
สุวัณณสามจริยาที่ ๑๓ จบ

๑๔. เอกราชจริยา
ว่าด้วยพระจริยาของพระเจ้าเอกราช
[๑๑๔] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลที่เราเป็นพระราชา
ปรากฏนามว่าเอกราช ครั้งนั้น เราอธิษฐานศีลที่บริสุทธิ์ยิ่ง
ปกครองแผ่นดินใหญ่
[๑๑๕] สมาทานกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ
ประพฤติโดยไม่มีเศษ
สงเคราะห์มหาชนด้วยสังคหวัตถุ ๔ ประการ๑
[๑๑๖] เมื่อเราเป็นผู้ไม่ประมาทประโยชน์ในโลกนี้
และประโยชน์ในโลกหน้า ด้วยอาการอย่างนี้
พระเจ้าโกศลพระนามว่าทัพพเสน มาชิงเอานครของเราไป
[๑๑๗] ทรงทำข้าราชการ ชาวนิคม พร้อมด้วยทหาร ชาวชนบท
ให้อยู่ในเงื้อมพระหัตถ์หมดแล้ว ตรัสสั่งให้ฝังเราเสียในหลุม

เชิงอรรถ :
๑ ดู สังคหวัตถุ ๔ ประการ คือ (๑) ทาน (๒) เปยยวัชชะ (๓) อัตถจริยา (๔) สมานัตตตา (ที.ปา. (แปล)
๑๑/๓๑๓/๒๙๕)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๗๓ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก [๓. ยุธัญชยวรรค] รวมจริยาที่มีในวรรคนี้
[๑๑๘] เราเห็นหมู่อำมาตย์ที่แย่งชิงราชสมบัติ
ที่มั่งคั่งภายในนครเราไป เหมือนบุตรที่รัก
บุคคลมีเมตตาเสมอเราไม่มี
นี้เป็นเมตตาบารมีของเรา ฉะนี้แล
เอกราชจริยาที่ ๑๔ จบ

๑๕. มหาโลมหังสจริยา
ว่าด้วยจริยาของมหาโลมหังสบัณฑิต
[๑๑๙] เรานอนอยู่ในป่าช้า เอาซากศพซึ่งมีแต่กระดูกทำเป็นหมอนหนุน
เด็กชาวบ้านพวกหนึ่ง พากันแสดงอาการหยาบช้าร้ายกาจนานัปการ
[๑๒๐] อีกพวกหนึ่งร่าเริงดีใจ พากันนำของหอม ดอกไม้ อาหาร
และเครื่องบรรณาการต่าง ๆ เป็นอันมากมาให้เรา
[๑๒๑] พวกใดนำทุกข์มาให้เรา และพวกใดนำสุขมาให้เรา
เราเป็นผู้เสมอแก่เขาทั้งหมด ไม่มีความเอ็นดู ไม่มีความโกรธ
[๑๒๒] เราเป็นผู้วางเฉยในสุขและทุกข์ ในยศและความเสื่อมยศ
เป็นผู้เสมอในสิ่งทั้งปวง
นี้เป็นอุเบกขาบารมีของเรา ฉะนี้แล
มหาโลมหังสจริยาที่ ๑๕ จบ
ยุธัญชยวรรคที่ ๓ จบ

รวมจริยาที่มีในวรรคนี้คือ
เราผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ได้ประพฤติจริยาดังนี้ คือ
๑. ยุธัญชยจริยา ๒. โสมนัสสจริยา
๓. อโยฆรจริยา ๔. ภิงสจริยา

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๗๔ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก [๓. ยุธัญชยวรรค] รวมจริยาที่มีในวรรคนี้

๕. โสณนันทปัณฑิตจริยา ๖. มูคปักขจริยา
๗. กปิลราชจริยา ๘. สัจจสวหยปัณฑิตจริยา
๙. วัฏฏกโปตกจริยา ๑๐. มัจฉราชจริยา
๑๑. กัณหทีปายนจริยา ๑๒. สุตโสมจริยา
๑๓. สุวัณณสามจริยา ๑๔. เอกราชจริยา
๑๕. มหาโลมหังสจริยา

ได้เสวยทุกข์และสมบัติมากมายหลายอย่าง
เราได้ให้ทานที่ควรให้ บำเพ็ญศีลโดยหาเศษมิได้
ถึงเนกขัมมบารมีแล้ว จึงบรรลุสัมโพธิญาณอันสูงสุด
เราสอบถามบัณฑิตทั้งหลาย ทำความเพียรอย่างอุกฤษฏ์
ถึงขันติบารมีแล้ว จึงบรรลุสัมโพธิญาณอันสูงสุด
เรากระทำอธิษฐานอย่างมั่นคง ตามรักษาสัจจวาจา
ถึงเมตตาบารมีแล้ว จึงบรรลุสัมโพธิญาณอันสูงสุด
เราเป็นผู้มีจิตเสมอในลาภและความเสื่อมลาภ
ในยศและความเสื่อมยศ ในความนับถือและการดูหมิ่นทั้งปวงแล้ว
จึงบรรลุสัมโพธิญาณอันสูงสุด
ท่านทั้งหลายจงเห็นความเกียจคร้านโดยความเป็นภัย
และเห็นการทำความเพียรโดยเป็นทางเกษม
แล้วจงปรารภความเพียรเถิด
นี้เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ท่านทั้งหลายจงเห็นความวิวาทโดยความเป็นภัย
และเห็นความไม่วิวาทโดยเป็นทางเกษม
แล้วจงกล่าววาจาอ่อนหวานอันสมัครสมานกันเถิด
นี้เป็นคำสั่งของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๗๕ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก [๓. ยุธัญชยวรรค] สโมธานกถา
ท่านทั้งหลายจงเห็นความประมาทโดยความเป็นภัย
และเห็นความไม่ประมาทโดยเป็นทางเกษมแล้ว
จงเจริญมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการเถิด
นี้เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
นิเทสแห่งเนกขัมมบารมีเป็นต้น จบ
ทราบว่าพระผู้มีพระภาค เมื่อจะทรงยกย่องบุพจริยา
ของพระองค์ จึงได้ตรัสธรรมปริยายชื่อพุทธาปทานีย์
ด้วยประการฉะนี้แล

สโมธานกถา
สรุปการบำเพ็ญบารมี ๓๐
พระผู้มีพระภาคผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ได้ตรัสไว้ดังนี้ว่า
“การบำเพ็ญบารมีอันเป็นธรรมเครื่องบ่มพระโพธิญาณเหล่านี้
จัดเป็นบารมี ๑๐ อุปบารมี ๑๐ และปรมัตถบารมี ๑๐
คือ การบำเพ็ญทานในภพที่เป็นพระเจ้าสิวิราช
ผู้ประเสริฐเป็นทานบารมี ๑
ในภพที่เราเป็นเวสสันดรและเวลามพราหมณ์เป็นทานอุปบารมี ๒
ในภพที่เราเป็นอกิตติดาบสอดอาหารนั้น เป็นทานอุปบารมี
ในภพที่เราเป็นพญาไก่ป่า สีลวนาคและพญากระต่าย
เป็นทานปรมัตถบารมี ๓
ในภพที่เราเป็นพญาวานร ช้างฉัททันต์และช้างเลี้ยงมารดา
เป็นศีลบารมี” ๔
การรักษาศีลในภพที่เราเป็นจัมเปยยนาคราช
และภูริทัตตนาคราชเป็นศีลอุปบารมี ๕
ในภพที่เราเป็นสังขปาลบัณฑิตเป็นศีลปรมัตถบารมี ๖

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๗๖ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก [๓. ยุธัญชยวรรค] สโมธานกถา
ในภพที่เราเป็นยุธัญชัยกุมาร มหาโควินทพราหมณ์ คนเลี้ยงช้าง
อโยฆรราชโอรส ภัลลาติ สุวรรณสาม มฆเทพ
และเนมิราช บารมีเหล่านี้เป็นอุปบารมี
ในภพที่เราเป็นมโหสถ ผู้เป็นทรัพย์ของรัฐ กุณฑล ตัณฑิละ
และนกกระทา บารมีเหล่านี้เป็นปัญญาอุปบารมี ๗
ในภพที่เราเป็นวิธูรบัณฑิตและสุริยพราหมณ์ มาตังคพราหมณ์
ผู้เป็นศิษย์เก่าของอาจารย์ บารมีทั้ง ๒ นี้ เป็นปัญญาบารมี ๘
ในภพที่เราเป็นพระราชาผู้มีศีล มีความเพียร
เป็นผู้ก่อเกิดสัตตุภัสตชาดก บารมีนี้แลเป็นปัญญาปรมัตถบารมี ๙
ในภพที่เราเป็นพระราชา ผู้มีความบากบั่น
เป็นวิริยปรมัตถบารมี ๑๐
ในภพที่เราเป็นธรรมปาลกุมารเป็นขันติบารมี ๑๒
ในภพที่เราเป็นธรรมิกเทพบุตร
ทำสงครามกับอธรรมิกเทพบุตร
เรียกว่าขันติอุปบารมี ๑๓
ในภพที่เราเป็นขันติวาทีดาบสแสวงหาพุทธภูมิ
ด้วยการบำเพ็ญขันติบารมี
ได้ทำกรรมที่ทำได้ยากเป็นอันมาก นี้เป็นขันติปรมัตถบารมี ๑๔
ในภพที่เราเป็นสสบัณฑิต นกคุ่ม ซึ่งประกาศคุณสัจจะ
ทำไฟให้ดับด้วยสัจจะ นี้เป็นสัจจบารมี ๑๕
ในภพที่เราเป็นปลาอยู่ในน้ำ ได้ทำสัจจะอย่างสูง
ทำฝนให้ตกห่าใหญ่ นี้เป็นสัจจบารมีของเรา
ในภพที่เราเป็นสุปารบัณฑิตผู้เป็นนักปราชญ์
ยังเรือให้ข้ามสมุทรจนถึงฝั่งด้วยสัจจะ
เป็นกัณหทีปายนดาบส ระงับพิษได้ด้วยสัจจะ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๗๗ }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก [๓. ยุธัญชยวรรค] สโมธานกถา
และเป็นวานรข้ามกระแสแม่น้ำคงคาได้ด้วยสัจจะ
นี้เป็นบารมีของพระศาสดา บารมีนั้นเป็นอุปปารมี ๑๖
ในภพที่เป็นสุตโสมราชา รักษาสัจจะอย่างสูง
ช่วยปล่อยกษัตริย์ ๑๐๑ นี้เป็นสัจจปรมัตถบารมี ๑๗
อะไรที่จะเป็นความพอใจไปกว่าอธิษฐาน นี้เป็นอธิษฐานบารมี ๑๘
ในภพที่เราเป็นมาตังคชฎิลและช้างมาตังคะ
นี้เป็นอธิษฐานอุปบารมี ๑๙
ในภพที่เราเป็นมูคปักขกุมารเป็นอธิษฐานปรมัตถบารมี ๒๐
ในภพที่เราเป็นมหากัณหฤๅษีและพระเจ้าโสธนะ
และบารมี ๒ อย่างคือ
ในภพที่เราเป็นพระเจ้าพรหมทัตต์และคัณฑิติณฑกะ
ที่กล่าวมาแล้วเป็นเมตตาบารมี ๒๑
ในภพที่เราเป็นโสณนันทบัณฑิตผู้ทำความรัก
บารมีเหล่านั้นเป็นเมตตาอุปบารมี ๒๒
ในภพที่เราเป็นพระเจ้าเอกราช เป็นบารมีไม่มีของผู้อื่นเหมือน
นี้เป็นเมตตาปรมัตถบารมี ๒๓
ในภพที่เราเป็นนกแขกเต้า ๒ ครั้ง เป็นอุเบกขาบารมี ๒๔
ในภพที่เราเป็นโลมหังสบัณฑิต เป็นอุเบกขาปรมัตถบารมี ๒๖
บารมีของเรา ๑๐ ประการนี้ เป็นส่วนแห่งพระโพธิญาณอันเลิศ
บารมีที่เกินกว่า ๑๐ ไม่มี และบารมีที่หย่อนกว่า ๑๐ ก็ไม่มี
เราบำเพ็ญบารมีทุกอย่าง ไม่ยิ่งไม่หย่อน
เป็นบารมี ๑๐ ประการฉะนี้แล
สโมธานกถา จบ
จริยาปิฎก จบบริบูรณ์

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๗๘ }


พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๓ สุตตันตปิฎกที่ ๒๕ ขุททกนิกาย
อปทาน ภาค ๒ พุทธวงศ์ จริยาปิฎก จบ





eXTReMe Tracker