ปัจฉิมวาจาของ
๓ นักโทษประหาร
หลังจากที่ศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษให้ประหารชีวิตจำเลยทั้ง
๓ คน เมื่อ ๑๒ ตุลาคม ๒๔๙๗ แล้วต่อมาในวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๔๙๗ จำเลยทั้ง ๓
ได้ทำหนังสือทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ แต่ฎีกาดังกล่าวได้ตกไปในที่สุด
เกี่ยวกับการยื่นถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของจำเลยทั้ง
๓ นั้น พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (บุตรชายของ
จอมพล ป.พิบูลสงคราม) ได้เขียนไว้ในหนังสือ
"จอมพล ป. พิบูลสงคราม"
พิมพ์ที่โรงพิมพ์ศูนย์การพิมพ์ เมื่อปี พ.ศ.
๒๕๑๙ มีความตอนหนึ่งเป็นบทสนทนาระหว่าง พล.ต.
อนันต์ พิบูลสงคราม (ผู้เขียน) กับจอมพล ป. พิบูลสงคราม
ซึ่งขณะนั้นลี้ภัยการเมืองอยู่ในประเทศญี่ปุ่นว่าดังนี้
"...ข้าพเจ้าจึงระงับใจไม่ได้ที่ต้องเรียนถามจอมพล
ป. พิบูลสงคราม วันหนึ่งที่ประเทศญี่ปุ่นว่า
ในฐานะที่เวลานั้น (พ.ศ. ๒๔๙๘-ผู้เขียน) ท่านดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่
เหตุใดท่านจึงไม่ขอพระราชทานอภัยโทษให้จำเลยสามคนที่ถูกศาลฎีกาพิพากษาประหารชีวิต ท่านตอบข้าพเจ้าทันทีอย่างหนักแน่นว่า
พ่อได้ขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึงสามครั้ง ได้พยายามทำหน้าที่ของพ่อจนถึงที่สุดแล้ว
ในอดีตที่ผ่านมา มีน้อยครั้งที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม
ต้องเสียใจบ้างเมือ่ทำอะไรไม่สำเร็จ แต่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นครั้งใดที่ท่านจะเสียใจหนักยิ่งไปกว่าที่ข้าพเจ้ากำลังเห็นท่านครั้งนั้น
ขณะเมื่อได้ตอบคำถามของข้าพเจ้าจบ ด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมและสนเท่ห์ใจไม่เปลี่ยนแปลง
(จากหนังสือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม หน้า
๖๘๗) และก็สอดคล้องกับหนังสือแจกงานศพของนายชิต สิงหเสนี ที่บุตรสาวของท่านได้บันทึกไว้ในหนังสือนั้น
มีความว่า
"ภายหลังที่พ่อถูกประหารชีวิตแล้ว
จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ส่งนายฉาย
วิโรจน์ศิริ เลขานุการส่วนตัวของท่านไปหาพวกเรา แจ้งให้ทราบว่ารัฐบาลยินดีจะให้การอุปการะความเป็นอยู่การศึกษาแก่พวกเราทุกประการ
พวกเราปรึกษาหารือกัน และในที่สุด ตกลงรับความช่วยเหลือจากรัฐบาล เพื่อเป็นเครื่องยืนยันในความบริสุทธิ์ของพ่อ
รัฐบาลจึงให้ความช่วยเหลือแก่พวกเรา ความช่วยเหลือนี้พึ่งมายกเลิกในสมัยรัฐบาล
จอมพล สฤษดิ์ ธนรัชต์"
นอกจากนี้คุณชอุ่ม ชัยสิทธิเวชา ภรรยาของเรือเอก
วัชรชัย ชัยสิทธิเวช ผู้ที่โจทก์พยามเสกสรรปั้นแต่งพยานเท็จให้เป็นมือปืนและต้องลี้ภัยคณะรัฐประหาร
๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ ไปอยู่ต่างประเทศนั้น ก็ยังได้รับเมตตาให้เข้าทำงานเป็นแม่บ้านของโรงเรียน
ภปร. ที่นครชัยศรี
ในที่สุดวันจากไปของผู้บริสุทธิ์ทั้ง ๓ ก็มาถึง
คือเช้ามืดวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๘
และหลังจากวันเสด็จจากไปของพระองค์ผู้ทรงเป็นที่รักของคนไทยทั้งชาติเมื่อ ๙ มิถุนายน
๒๔๘๙ เป็นเวลา ๘ เดือน ๘ วัน
วันนั้น พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งครองตำแหน่งอธิบดีกรมตำรวจด้วย
ได้ไปเป็นประธานควบคุมการประหารชีวิตผู้บริสุทธิ์ทั้งสามด้วยตนเอง และได้มีโอกาสพูดคุยกับทั้งสามคนนั้นตามลำพัง
นัยว่าได้มีการบันทึกเสียงการพูดคุยนั้นไว้ด้วย
สำหรับคุณเฉลียว ปทุมรสนั้น ขณะเกิดเหตุปลงพระชนม์ เขาอยู่ไกลจากจุดเกิดเหตุนับสิบกิโลเมตร
และออกจากราชการไปแล้วด้วย คำสนทนาของเขาในเรื่องนี้ก็คงเช่นเดียวกับคนอื่นที่อยู่นอกเหตุการณ์รวมทั้งท่านปรีดีด้วย
คือไม่รู้อะไรในเรื่องนี้เลย นอกจากจะยืนยันในความบริสุทธิ์ของเขา และเขาก็คงจะนึกถึงโครงสี่สุภาพของศรีปราชญ์ที่จารึกไว้บนพื้นทรายก่อนถูกประหารชีวิตที่นครศรีธรรมราช
ว่า
"ธรณีนี่นี้
เป็นพยาน
เราก็ศิษย์อาจารย์
หนึ่งบ้าง
เราผิดท่านประหาร
เราชอบ
เราบ่ผิดท่านมล้าง
ดาบนี้ คืนสนอง"
ส่วนคุณชิต-คุณบุศย์ นั้น เนื่องจากขณะเกิดเหตุ เขาทั้งสองนั่งอยู่หน้าประตูทางเข้าห้องพระบรรทม
และเป็นทางเดียวที่จะเข้าสู่ห้องพระบรรทมในเวลานั้น ดังนั้น ถ้ามีผู้เข้าไปปลงพระชนม์
คุณชิต-คุณบุศย์ จะต้องเห็นอย่างแน่นอน
คุณฟัก ณ สงขลา ทนายความของสามจำเลย เคยสอบถาม คุณชิต-คุณบุศย์ ว่าใครเข้าไปปลงพระชนม์ในหลวง
คุณชิต-คุณบุศย์ไม่ยอมพูด แต่กับ พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ คุณชิต-คุณบุศย์จะยอมพูดความจริงก่อนตายหรือไม่
ไม่มีใครรู้
แต่เป็นที่รู้กันในภายหลังว่า พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ ได้ทำบันทึกคำสนทนากับผู้ต้องประหารชีวิตทั้ง
๓ คน ในเช้าวันนั้นเสนอจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี
จอมพล ป. พิบูลสงคราม อ่านแล้ว แทงกลับไปว่าให้เก็บไว้ในแฟ้มลับสุดยอด
ต่อมาจอมพล ป. พิบูลสงคราม
ดำริจะรื้อฟื้นคดีสวรรคตขึ้นมาพิจารณาใหม่ เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกประหารชีวิตทั้ง
๓ คน และท่านปรีดีฯ แต่ตามกฎหมายไทยที่ใช้อยู่
เมื่อคดีถูกพิพากษาถึงที่สุดแล้วเป็นอันยุติ ดังนั้น ถ้าจะรื้อฟื้นคดีสวรรคตขึ้นมาพิจารณาใหม่
ก็ต้องมีกฎหมายรองรับให้อำนาจ จอมพล ป. พิบูลสงคราม
จึงเตรียมการที่จะออกกฎหมายดังกล่าวนั้น และได้บอกคุณสังข์ พัธโนทัย คนสนิทผู้รับใช้ใกล้ชิดให้ทราบ
เพื่อแจ้งไปให้ท่านปรีดีฯ ซึ่งขณะนั้นท่านพำนักอยู่ ณ สาธารณรัฐประชาชนจีนได้รับทราบ
ต่อจดหมายของคุณสังข์ พัธโนทัย ที่มีไปถึงท่านปรีดีฯ
เล่าถึงบันทึกของ พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์
และความดำริจอมพล ป. พิบูลสงคราม ดังกล่าวข้างต้น ท่านปรีดีฯ
ได้มีจดหมายตอบคุณสังข์ พันธโนทัย ลูกชายของคุณสังข์ฯ ได้มอบให้หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์นำไปเปิดเผยในฉบับวันที่
๒๔ มิถุนายน ๒๕๔๒ ที่ผ่านมา ดังสำเนารายละเอียดต่อไปนี้
วันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๙
คุณสังข์ พัธโนทัย ที่รัก
ผมได้รับจดหมายของคุณฉบับลงวันที่ ๑๒
เดือนนี้กับหนังสือ ความนึกในกรงขัง แล้วด้วยความรู้สึกขอบคุณมาก
ในไมตรีจิตและความเปนธรรม ที่คุณมีต่อผม
ผมมีความยินดีมากที่ได้ทราบจากคำยืนยันของคุณว่า
ท่านจอมพล ป. พิบูลสงคราม มิได้เปนศัตรูของผมเลย ท่านมีความรำลึกถึงความหลังอยู่เสมอและอยากจะเห็นผมกลับประเทศทุกเมื่อ
แม้ว่าเหตุการณ์ทางการเมืองจะเปนดังที่คุณกล่าวว่าเหตุการณ์ไม่ช่วยเราเสมอไปและจำเปนต้องใช้ความอดทนอยู่มากก็ตาม
แต่ผมก็มีความหวังว่าโดยความช่วยเหลือของคุณผู้ซึ่งมีใจเปนธรรม และมีอุดมคติที่จะรับใช้ชาติและราษฎรอย่างบริสุทธิ์ผมคงจะมีโอกาสทำความเข้าใจกับท่านจอมพล
ป. พิบูลสงคราม ถึงเจตนาดีของผมในส่วนที่เกี่ยวแก่ท่านจอมพล
ป. พิบูลสงคราม และการงานของชาติและราษฎรที่เราทั้งหลายจะต้องร่วมมือกันเพื่อความเปนเอกราชสมบูรณ์ของชาติ
ผมจึงมีความปรารถนาเปนอย่างมากที่จะได้มีโอกาสพบกับคุณในเวลาไม่ช้านัก เพื่อปรึกษาหารือกับคุณถึงเรื่องนี้และเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงอีกหลายประการซึ่งบางทีคุณอาจต้องการทราบ
ผมเห็นว่าคุณได้บำเพ็ญบุญกุศลอย่างแรงในการที่คุณได้แจ้งให้ผมทราบถึงบันทึกที่คุณเผ่าได้สอบถามปากคำคุณเฉลียว
ชิต บุศย์ ก่อนถูกยิงเป้าที่ยืนยันว่าผู้บริสุทธิ์ทั้งสามรวมทั้งตัวผมมิได้มีส่วนพัวพันในกรณีสวรรคต
ดังนั้น นอกจากผมขอแสดงความขอบคุณเปนอย่างยิ่งมายังคุณ ผมจึงได้ตั้งจิตอธิษฐานขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยโปรดดลบันดาลให้คุณมีความสุขความเจริญยิ่ง
ๆ ขึ้นไปและประสบทุกสิ่งที่คุณปรารถนาทุกประการ
ผมขอส่งความรักและนับถือมายังคุณ
แต่ความดำริของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ต้องล้มเหลว เมื่อข่าวจะออกกฎหมายให้รื้อฟื้นคดีที่ศาลพิพากษาถึงที่สุดแล้วให้นำขึ้นมาพิจารณาใหม่ได้
(ถ้าหากโจทก์หรือจำเลย มีเอกสารหลักฐานที่พึ่งค้นพบใหม่) ได้แพร่ออกไปถึงบุคคลบางจำพวก และคนพวกนั้นได้สนับสนุนจอมพล สฤษดิ์
ธนะรัชต์ ทำรัฐประหารโค่นจอมพล ป. พิบูลสงคราม
เช่นเดียวกับที่เคยสนับสนุนคณะรัฐประหาร ๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๐
ทำรัฐประหารลับรัฐบาลหลวงธำรง (ด้วยเหตุผลอย่างเดียวกันคือกลัวว่ามือปืนตัวจริงจะถูกเปิดเผย)
ท่านปรีดีฯ ได้พูดถึงเรื่องนี้
เมื่อหนังสือพิมพ์มหาราษฎร์ โดยคุณวีระ โอสถานนท์ ได้ไปสัมภาษณ์ท่านขณะที่พำนักอยู่
ณ ประเทศฝรั่งเศส มีความตอนหนึ่ง ดังนี้
คุณวีระ โอสถานนท์ ถามว่า
"มีผู้พูดกันว่า จอมพล ปฯ และ พล.ต.อ. เผ่าฯ
ได้หลักฐานกรณีสวรรคตใหม่นั้น ท่านจะบอกได้หรือไม่ว่าอะไร"
นายปรีดี พนมยงค์ ตอบว่า
"แม้ศาลฎีกาซึ่งมีผู้พิพากษาคณะเดียว
โดยมิได้มีการประชุมใหญ่ของผู้พิพากษาศาลฎีกาได้ตัดสินประหารชีวิตนายเฉลียว ปทุมรส
นายชิต สิงหเสนี นายบุศย์ ปัทมศริน ไปแล้วก็ตาม แต่รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ส่งตัวแทนไปพบผมในประเทศจีน (หลังจากที่คุณสังข์ฯ
ได้รับจดหมายขอบคุณจากท่านปรีดีฯ แล้ว) แจ้งว่า ได้หลักฐานใหม่ที่แสดงว่าผู้ถูกประหารชีวิตทั้งสามคนและผมเป็นผู้บริสุทธิ์
"ฉะนั้นจอมพล ป. พิบูลสงคราม จึงจะเสนอสภาผู้แทนราษฎรได้ออกกฎหมายให้มีการพิจารณาคดีใหม่ด้วยความเป็นธรรม"
"ครั้นแล้วก็มีผู้ยุยงให้จอมพล
สฤษดิ์ ธนรัชต์ กับพวกทำรัฐประหารเมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๐๐ โค่นล้มรัฐบาลจอมพล
ป.พิบูลสงคราม"
"ในระหว่างที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ไปลี้ภัยอยู่ใน ส.ร.อ. ชั่วคราว ก็ได้กล่าวต่อหน้าคนไทยไม่น้อยกว่า ๒
คนถึงหลักฐานที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม กับ พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ ได้มานั้น"
"อีกทั้งในระหว่างที่จอมพล ป.
พิบูลสงคราม ย้ายจาก ส.ร.อ. มาอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น ก็ได้แจ้งแก่บุคคลไม่น้อยกว่า
๒ คน ถึงหลักฐานใหม่นั้น พร้อมทั้งมีจดหมายถึงผม ๒ ฉบับ
ขอให้ผมอโหสิกรรมแก่การที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม
ได้ทำผิดพลาดไปในหลายกรณี"
"ผมได้ถือคติของพระพุทธองค์ว่า
เมื่อมีผู้รู้สึกตนผิดพลาดได้ขออโหสิกรรม ผมก็ได้อโหสิกรรมและขออนุโมทนาในการที่จอมพล
ป. พิบูลสงคราม ได้ไปอุปสมบทที่วัดพุทธ......"
"พวกฝรั่งก็สนใจกันมาก
เพราะเป็นเรื่องประวัติศาสตร์ที่ไม่มีอายุความ ความจริงอาจปรากฏขึ้น
แม้จะล่วงเลยมาหลายร้อยปีก็ตาม"
"ทุกวันนี้ก็มีคนพูดซุบซิบกัน
ถึงกับนักเรียนหลายคนถามผม ผมก็ขอตัวว่าเป็นเรื่องที่พูดไม่ออกบอกไม่ได้ในขณะนี้ จึงขอฝากอนุชนรุ่นหลังและประวัติศาสตร์ตอบแทนด้วย"
หน้า 1
| 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9