ค้นว่าอยู่เล่มใด แล้วกด [ctrl]+f หรือใช้คำสั่งของเครื่องหาตำแหน่งในเล่มอีกทีนะครับ



จัดรูปหน้าใหม่
เพื่อความสะดวก และสวยงาม
(เฉพาะหน้าจอใหญ่ เช่น คอมพิวเตอร์)
กรุณาคลิก จัดรูปหน้าใหม่
เพื่อให้กรอบ
ค้นข้อความ ปรากฎที่ด้านซ้ายของหน้า

พระไตรปิฎกภาษาไทย
ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ๔๕ เล่ม (ปกสีฟ้า)
ทั้งออนไลน์และออฟไลน์
ที่มาของข้อมูล : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับ มจร.
MCUTRAI Version 1.0

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๔๓-๓ อภิธรรมปิฎกที่ ๑๐ ปัฏฐาน ภาค ๔

พระอภิธรรมปิฎก
ธัมมานุโลม ทุกปัฏฐาน
_____________
ขอนอบน้อมพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๑. อุปาทานสัมปยุตตทุกะ ๗. ปัญหาวาร
ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอุปาทานจึงเกิดขึ้น (พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล) เพราะปรารภขันธ์ที่
สัมปยุตด้วยอุปาทาน ขันธ์ที่วิปปยุตจากอุปาทานและโลภะจึงเกิดขึ้น (พึงเพิ่มบท
ที่เป็นมูล) เพราะปรารภขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอุปาทาน ขันธ์ที่สหรคตด้วยโลภะซึ่ง
วิปปยุตจากทิฏฐิและโลภะจึงเกิดขึ้น (๓)
[๖๗] สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุตจาก
อุปาทานโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถ ฯลฯ
พิจารณากุศลที่เคยสั่งสมไว้ดีแล้ว ฯลฯ ออกจากฌานแล้วพิจารณาฌาน ยินดี
เพลิดเพลิน เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินฌานนั้น ราคะที่วิปปยุตจากทิฏฐิ
ฯลฯ วิจิกิจฉา ฯลฯ อุทธัจจะ ฯลฯ เมื่อฌานเสื่อมแล้ว โทมนัสจึงเกิดขึ้น
แก่บุคคลผู้มีความเดือดร้อน พระอริยะออกจากมรรคแล้วพิจารณามรรค พิจารณาผล
พิจารณานิพพาน นิพพานเป็นปัจจัยแก่โคตรภู โวทาน มรรค ผล และอาวัชชนจิต
โดยอารัมมณปัจจัย พระอริยะพิจารณากิเลสที่วิปปยุตจากอุปาทานซึ่งละได้แล้ว ฯลฯ
พิจารณากิเลสที่ข่มได้แล้ว ฯลฯ รู้กิเลสที่เคยเกิดขึ้น ฯลฯ บุคคลเห็นแจ้งจักษุ ฯลฯ
หทัยวัตถุ ขันธ์ที่วิปปยุตจากอุปาทาน และโลภะโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ ยินดี
เพลิดเพลิน เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้น ราคะที่วิปปยุต จากทิฏฐิ
ฯลฯ วิจิกิจฉา ฯลฯ อุทธัจจะ ฯลฯ โทมนัส ฯลฯ (พึงเพิ่มทั้งหมดให้บริบูรณ์)
เห็นรูปด้วยทิพพจักขุ (พึงเพิ่มข้อความจนถึงกายวิญญาณ) ขันธ์ที่วิปปยุตจาก
อุปาทานเป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ เจโตปริยญาณ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
ยถากัมมูปคญาณ อนาคตังสญาณ และอาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วย
อุปาทานโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลให้ทาน ฯลฯ พิจารณาฌาน ฯลฯ
ยินดีเพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ขันธ์ที่วิปปยุตจากอุปาทาน และโลภะ
เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้น ราคะจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึง
เกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วย
อุปาทานและที่วิปปยุตจากอุปาทานโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ เพราะปรารภจักษุ
ฯลฯ หทัยวัตถุ ขันธ์ที่วิปปยุตจากอุปาทาน และโลภะ ขันธ์ที่สหรคตด้วยโลภะ
ซึ่งวิปปยุตจากทิฏฐิและโลภะจึงเกิดขึ้น (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๒๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๑. อุปาทานสัมปยุตตทุกะ ๗. ปัญหาวาร
[๖๘] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอุปาทานและที่วิปปยุตจากอุปาทานเป็นปัจจัย
แก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอุปาทานโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ เพราะปรารภขันธ์
ที่สหรคตด้วยโลภะซึ่งวิปปยุตจากทิฏฐิและโลภะ ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอุปาทานจึง
เกิดขึ้น (พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล) เพราะปรารภขันธ์ที่สหรคตด้วยโลภะซึ่งวิปปยุตจาก
ทิฏฐิและโลภะ ขันธ์ที่วิปปยุตจากอุปาทานและโลภะจึงเกิดขึ้น (พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล)
เพราะปรารภขันธ์ที่สหรคตด้วยโลภะซึ่งวิปปยุตจากทิฏฐิและโลภะ ขันธ์ที่สหรคต
ด้วยโลภะซึ่งวิปปยุตจากทิฏฐิและโลภะจึงเกิดขึ้น (๓)

อธิปติปัจจัย
[๖๙] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุต
ด้วยอุปาทานโดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติและสหชาตาธิปติ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ เพราะทำขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอุปาทานให้เป็นอารมณ์
อย่างหนักแน่น ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอุปาทานจึงเกิดขึ้น
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่สัมปยุตด้วยอุปาทานเป็นปัจจัยแก่
สัมปยุตตขันธ์โดยอธิปติปัจจัย (พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล) มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ
และสหชาตาธิปติ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ เพราะทำขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอุปาทานให้เป็นอารมณ์
อย่างหนักแน่น โลภะที่วิปปยุตจากทิฏฐิจึงเกิดขึ้น
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่สัมปยุตด้วยอุปาทานเป็นปัจจัยแก่
จิตตสมุฏฐานรูปโดยอธิปติปัจจัย อธิบดีธรรมที่สหรคตด้วยโลภะซึ่งวิปปยุตจาก
ทิฏฐิเป็นปัจจัยแก่โลภะและจิตตสมุฏฐานรูปโดยอธิปติปัจจัย (พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล)
มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติและสหชาตาธิปติ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ เพราะทำขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอุปาทานให้เป็นอารมณ์
อย่างหนักแน่น ขันธ์ที่สหรคตด้วยโลภะซึ่งวิปปยุตจากทิฏฐิและโลภะจึงเกิดขึ้น

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๒๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๑. อุปาทานสัมปยุตตทุกะ ๗. ปัญหาวาร
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่สัมปยุตด้วยอุปาทานเป็นปัจจัยแก่
สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดยอธิปติปัจจัย อธิบดีธรรมที่สหรคตด้วยโลภะ
ซึ่งวิปปยุตจากทิฏฐิเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ โลภะและจิตตสมุฏฐานรูปโดย
อธิปติปัจจัย (๓)
[๗๐] สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุต
จากอุปาทานโดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติและสหชาตาธิปติ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล ฯลฯ ออกจากฌานแล้ว
พิจารณาฌานให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ยินดีเพลิดเพลิน เพราะทำความยินดี
เพลิดเพลินฌานนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะที่วิปปยุตจากทิฏฐิจึงเกิดขึ้น
ฯลฯ พระอริยะออกจากมรรค ฯลฯ เป็นปัจจัยแก่ผลโดยอธิปติปัจจัย บุคคล
ยินดีเพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ขันธ์ที่วิปปยุตจากอุปาทาน และโลภะให้
เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทำความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้นให้เป็น
อารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะที่วิปปยุตจากทิฏฐิจึงเกิดขึ้น
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่วิปปยุตจากอุปาทานเป็นปัจจัยแก่
สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดยอธิปติปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วย
อุปาทานโดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน
ฯลฯ ออกจากฌาน ฯลฯ ยินดีเพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ขันธ์ที่วิปปยุต
จากอุปาทาน และโลภะให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทำความยินดี
เพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึง
เกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วย
อุปาทานและที่วิปปยุตจากอุปาทานโดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ
ได้แก่ เพราะทำจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ขันธ์ที่วิปปยุตจากอุปาทาน และโลภะให้
เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ขันธ์ที่สหรคตด้วยโลภะซึ่งวิปปยุตจากทิฏฐิและโลภะ
จึงเกิดขึ้น (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๒๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๑. อุปาทานสัมปยุตตทุกะ ๗. ปัญหาวาร
[๗๑] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอุปาทานและที่วิปปยุตจากอุปาทานเป็น
ปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอุปาทานโดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ เพราะทำขันธ์ที่สหรคตด้วยโลภะซึ่งวิปปยุตจากทิฏฐิและ
โลภะให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอุปาทานจึงเกิดขึ้น (พึงเพิ่ม
บทที่เป็นมูล) เพราะทำขันธ์ที่สหรคตด้วยโลภะซึ่งวิปปยุตจากทิฏฐิและโลภะให้เป็น
อารมณ์อย่างหนักแน่น โลภะที่วิปปยุตจากทิฏฐิจึงเกิดขึ้น (พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล)
เพราะทำขันธ์ที่สหรคตด้วยโลภะซึ่งวิปปยุตจากทิฏฐิและโลภะให้เป็นอารมณ์อย่าง
หนักแน่น ขันธ์ที่สหรคตด้วยโลภะซึ่งวิปปยุตจากทิฏฐิและโลภะจึงเกิดขึ้น (๓)

อนันตรปัจจัย
[๗๒] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วย
อุปาทานโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอุปาทานซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็น
ปัจจัยแก่ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอุปาทานซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย (พึงเพิ่มบท
ที่เป็นมูล) ขันธ์ที่สหรคตด้วยโลภะซึ่งวิปปยุตจากทิฏฐิที่เกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่
โลภะที่วิปปยุตจากทิฏฐิซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอุปาทาน
เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะโดยอนันตรปัจจัย (พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล) ขันธ์ที่สหรคตด้วยโลภะ
ซึ่งวิปปยุตจากทิฏฐิที่เกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่สหรคตด้วยโลภะซึ่งวิปปยุตจาก
ทิฏฐิและโลภะที่เกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย (๓)
[๗๓] สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุตจาก
อุปาทานโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ โลภะที่วิปปยุตจากทิฏฐิซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัย
แก่โลภะที่วิปปยุตจากทิฏฐิซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ที่วิปปยุตจาก
อุปาทานซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่วิปปยุตจากอุปาทานซึ่งเกิดหลัง ๆ โดย
อนันตรปัจจัย โลภะที่วิปปยุตจากทิฏฐิเป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะโดยอนันตรปัจจัย
อนุโลมเป็นปัจจัยแก่โคตรภู ฯลฯ ผลสมาบัติโดยอนันตรปัจจัย (พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล)
โลภะที่วิปปยุตจากทิฏฐิซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่สหรคตด้วยโลภะซึ่ง
วิปปยุตจากทิฏฐิที่เกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย อาวัชชนจิตเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๒๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๑. อุปาทานสัมปยุตตทุกะ ๗. ปัญหาวาร
สัมปยุตด้วยอุปาทานโดยอนันตรปัจจัย (พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล) โลภะที่วิปปยุตจาก
ทิฏฐิซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่สหรคตด้วยโลภะซึ่งวิปปยุตจากทิฏฐิและ
โลภะที่เกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย อาวัชชนจิตเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่สหรคตด้วย
โลภะซึ่งวิปปยุตจากทิฏฐิและโลภะโดยอนันตรปัจจัย (๓)
[๗๔] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอุปาทานและที่วิปปยุตจากอุปาทานเป็น
ปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอุปาทานโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่สหรคต
ด้วยโลภะซึ่งวิปปยุตจากทิฏฐิและโลภะที่เกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่สหรคตด้วย
โลภะซึ่งวิปปยุตจากทิฏฐิที่เกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย (พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล) ขันธ์
ที่สหรคตด้วยโลภะซึ่งวิปปยุตจากทิฏฐิและโลภะที่เกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่โลภะที่
วิปปยุตจากทิฏฐิซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ที่สหรคตด้วยโลภะซึ่งวิปปยุต
จากทิฏฐิและโลภะเป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะโดยอนันตรปัจจัย (พึงเพิ่มบท ที่เป็นมูล)
ขันธ์ที่สหรคตด้วยโลภะซึ่งวิปปยุตจากทิฏฐิและโลภะที่เกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์
ที่สหรคตด้วยโลภะซึ่งวิปปยุตจากทิฏฐิและโลภะที่เกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย (๓)

สมนันตรปัจจัยเป็นต้น
[๗๕] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุต
ด้วยอุปาทานโดยสมนันตรปัจจัย

เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย (เหมือนกับปฏิจจวาร) มี ๙ วาระ
เป็นปัจจัยโดยอัญญมัญญปัจจัย (เหมือนกับปฏิจจวาร) มี ๖ วาระ
เป็นปัจจัยโดยนิสสยปัจจัย (เหมือนกับปัจจยวาร) มี ๙ วาระ

อุปนิสสยปัจจัย
[๗๖] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุต
ด้วยอุปาทานโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ
อนันตรูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๒๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๑. อุปาทานสัมปยุตตทุกะ ๗. ปัญหาวาร
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอุปาทานเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่สัมปยุต
ด้วยอุปาทานโดยอุปนิสสยปัจจัย (พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล) ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอุปาทาน
เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่วิปปยุตจากอุปาทานและโลภะโดยอุปนิสสยปัจจัย (พึงเพิ่มบทที่
เป็นมูล) ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอุปาทานเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่สหรคตด้วยโลภะซึ่งวิปปยุต
จากทิฏฐิและโลภะโดยอุปนิสสยปัจจัย (๓)
[๗๗] สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุตจาก
อุปาทานโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ
และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยศรัทธาแล้วให้ทาน ฯลฯ ทำสมาบัติให้
เกิดขึ้น มีมานะ อาศัยศีล ฯลฯ ปัญญา ... ราคะที่วิปปยุตจากอุปาทาน ... มานะ
... ความปรารถนา ฯลฯ เสนาสนะแล้วให้ทาน ฯลฯ ทำลายสงฆ์ ศรัทธา ฯลฯ
เสนาสนะเป็นปัจจัยแก่ศรัทธา ฯลฯ ปัญญา ... ราคะที่วิปปยุตจากอุปาทาน ...
มานะ ... ความปรารถนา ... สุขทางกาย ฯลฯ ผลสมาบัติโดยอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วย
อุปาทานโดยอุปนิสสยปัจจัย (อุปนิสสยปัจจัยมี ๓ วาระ) ได้แก่ บุคคลอาศัย
ศรัทธาแล้ว มีมานะ ถือทิฏฐิ อาศัยศีล ฯลฯ ปัญญา ... ราคะที่วิปปยุตจากอุปาทาน
... มานะ ... ความปรารถนา ... เสนาสนะแล้ว ลักทรัพย์ พูดเท็จ ฯลฯ พูดส่อเสียด
ฯลฯ พูดเพ้อเจ้อ ฯลฯ งัดแงะ ฯลฯ ปล้นไม่ให้เหลือ ฯลฯ ปล้นเรือนหลังเดียว ฯลฯ
ดักจี้ที่ทางเปลี่ยว ฯลฯ ล่วงเกินภรรยาผู้อื่น ฯลฯ ฆ่าชาวบ้าน ฯลฯ ฆ่าชาวนิคม
ศรัทธา ฯลฯ เสนาสนะเป็นปัจจัยแก่ราคะที่สัมปยุตด้วยอุปาทาน ... โมหะ ... มานะ
... ทิฏฐิ ... ความปรารถนาโดยอุปนิสสยปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วย
อุปาทานและที่วิปปยุตจากอุปาทานโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ
อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยศรัทธาแล้ว มีมานะ อาศัยศีล ฯลฯ ปัญญา
... ราคะที่วิปปยุตจากอุปาทาน ฯลฯ เสนาสนะ ฯลฯ ฆ่าชาวบ้าน ฆ่าชาวนิคม
ศรัทธา ฯลฯ เสนาสนะเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่สหรคตด้วยโลภะซึ่งวิปปยุตจากทิฏฐิ
และโลภะโดยอุปนิสสยปัจจัย (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๒๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๑. อุปาทานสัมปยุตตทุกะ ๗. ปัญหาวาร
[๗๘] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอุปาทานและที่วิปปยุตจากอุปาทานเป็นปัจจัย
แก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอุปาทานโดยอุปนิสสยปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่สหรคตด้วย
โลภะซึ่งวิปปยุตจากทิฏฐิและโลภะเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอุปาทานโดย
อุปนิสสยปัจจัย (พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล) ขันธ์ที่สหรคตด้วยโลภะซึ่งวิปปยุตจากทิฏฐิ
และโลภะเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่วิปปยุตจากอุปาทานและโลภะโดยอุปนิสสยปัจจัย (พึง
เพิ่มบทที่เป็นมูล) ขันธ์ที่สหรคตด้วยโลภะซึ่งวิปปยุตจากทิฏฐิและโลภะเป็น
ปัจจัยแก่ขันธ์ที่สหรคตด้วยโลภะซึ่งวิปปยุตจากทิฏฐิและโลภะโดยอุปนิสสยปัจจัย (๓)

ปุเรชาตปัจจัย
[๗๙] สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุต
จากอุปาทานโดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาตะ และ
วัตถุปุเรชาตะ
อารัมมณปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลเห็นแจ้งจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุโดยเป็น
สภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วย
ทิพพโสตธาตุ รูปายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะ ฯลฯ
วัตถุปุเรชาตะ ได้แก่ จักขายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ กายายตนะ
ฯลฯ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่วิปปยุตจากอุปาทานและโลภะโดยปุเรชาตปัจจัย
(๑)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วย
อุปาทานโดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาตะและวัตถุปุเรชาตะ
อารัมมณปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลยินดีเพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ
เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้น ราคะจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น
วัตถุปุเรชาตะ ได้แก่ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอุปาทานโดย
ปุเรชาตปัจจัย (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๓๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๑. อุปาทานสัมปยุตตทุกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วย
อุปาทานและที่วิปปยุตจากอุปาทานโดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ
อารัมมณปุเรชาตะและวัตถุปุเรชาตะ
อารัมมณปุเรชาตะ ได้แก่ เพราะปรารภจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ขันธ์
ที่สหรคตด้วยโลภะซึ่งวิปปยุตจากทิฏฐิ และโลภะจึงเกิดขึ้น
วัตถุปุเรชาตะ ได้แก่ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่สหรคตด้วยโลภะซึ่งวิปปยุต
จากทิฏฐิและโลภะโดยปุเรชาตปัจจัย (๓)

ปัจฉาชาตปัจจัยและอาเสวนปัจจัย
[๘๐] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุต
จากอุปาทานโดยปัจฉาชาตปัจจัย (ย่อ) (๑)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอุปาทาน
โดยปัจฉาชาตปัจจัย (ย่อ) (๑)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอุปาทานและที่วิปปยุตจากอุปาทานเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอุปาทานโดยปัจฉาชาตปัจจัย (ย่อ) (๑)
เป็นปัจจัยโดยอาเสวนปัจจัย

กัมมปัจจัยและวิปากปัจจัย
[๘๑] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุต
ด้วยอุปาทานโดยกัมมปัจจัย ได้แก่ เจตนาที่สัมปยุตด้วยอุปาทานเป็นปัจจัยแก่
สัมปยุตตขันธ์โดยกัมมปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุตจาก
อุปาทานโดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและนานาขณิกะ
สหชาตะ ได้แก่ เจตนาที่สัมปยุตด้วยอุปาทานเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป
โดยกัมมปัจจัย เจตนาที่สหรคตด้วยโลภะซึ่งวิปปยุตจากทิฏฐิเป็นปัจจัยแก่โลภะและ
จิตตสมุฏฐานรูปโดยกัมมปัจจัย

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๓๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๑. อุปาทานสัมปยุตตทุกะ ๗. ปัญหาวาร
นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่สัมปยุตด้วยอุปาทานเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็น
วิบากและกฏัตตารูปโดยกัมมปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วย
อุปาทานและที่วิปปยุตจากอุปาทานโดยกัมมปัจจัย ได้แก่ เจตนาที่สัมปยุตด้วย
อุปาทานเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดยกัมมปัจจัย เจตนาที่
สหรคตด้วยโลภะซึ่งวิปปยุตจากทิฏฐิเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ โลภะ และจิตต-
สมุฏฐานรูปโดยกัมมปัจจัย (๓)
[๘๒] สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุตจาก
อุปาทานโดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและนานาขณิกะ
สหชาตะ ได้แก่ เจตนาที่วิปปยุตจากอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และ
จิตตสมุฏฐานรูปโดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่วิปปยุตจากอุปาทานเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็น
วิบากและกฏัตตารูปโดยกัมมปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุตจาก
อุปาทานโดยวิปากปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เป็นวิบากซึ่งวิปปยุตจากอุปาทาน ฯลฯ
มี ๑ วาระ

อาหารปัจจัยเป็นต้น
[๘๓] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุต
ด้วยอุปาทานโดยอาหารปัจจัย
เป็นปัจจัยโดยอินทรียปัจจัย
เป็นปัจจัยโดยฌานปัจจัย
เป็นปัจจัยโดยมัคคปัจจัย
(ในปัจจัยทั้ง ๔ นี้ พึงแสดงไว้เหมือนที่แสดงโลภะซึ่งวิปปยุตจากทิฏฐิใน
กัมมปัจจัย มีอย่างละ ๔ วาระ)
เป็นปัจจัยโดยสัมปยุตตปัจจัย มี ๖ วาระ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๓๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๑. อุปาทานสัมปยุตตทุกะ ๗. ปัญหาวาร
วิปปยุตตปัจจัย
[๘๔] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุต
จากอุปาทานโดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปัจฉาชาตะ
(ย่อ) (๑)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุตจาก
อุปาทานโดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ สหชาตะ ปุเรชาตะ และปัจฉาชาตะ
(ย่อ) (๑)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วย
อุปาทานโดยวิปปยุตตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาตะ ได้แก่ หทัยวัตถุเป็น
ปัจจัยแก่ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอุปาทานโดยวิปปยุตตปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วย
อุปาทานและที่วิปปยุตจากอุปาทานโดยวิปปยุตตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาตะ
ได้แก่ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่สหรคตด้วยโลภะซึ่งวิปปยุตจากทิฏฐิและโลภะโดย
วิปปยุตตปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอุปาทานและที่วิปปยุตจากอุปาทานเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอุปาทาน มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปัจฉาชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่สหรคตด้วยโลภะซึ่งวิปปยุตจากทิฏฐิและโลภะเป็นปัจจัย
แก่จิตตสมุฏฐานรูปโดยวิปปยุตตปัจจัย
ปัจฉาชาต ได้แก่ ฯลฯ (๑)

อัตถิปัจจัยเป็นต้น
[๘๕] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุต
ด้วยอุปาทานโดยอัตถิปัจจัย มี ๑ วาระ (เหมือนกับปฏิจจวาร) (๑)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุตจาก
อุปาทานโดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปัจฉาชาตะ (ย่อ) (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๓๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๑. อุปาทานสัมปยุตตทุกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วย
อุปาทานและที่วิปปยุตจากอุปาทานโดยอัตถิปัจจัย (เหมือนกับปฏิจจวาร) (๓)
[๘๖] สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุต
จากอุปาทานโดยอัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาตะ ปุเรชาตะ ปัจฉาชาตะ
อาหาระ และอินทรียะ (ย่อ) (๑)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วย
อุปาทานโดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปุเรชาตะ (ย่อ) (๒)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วย
อุปาทานและที่วิปปยุตจากอุปาทานโดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะ
และปุเรชาตะ (ใน ๒ ปัจจัยนี้ สหชาตัตถิเหมือนสหชาตะ ปุเรชาตัตถิเหมือน
ปุเรชาตะ) (๓)
[๘๗] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอุปาทานและที่วิปปยุตจากอุปาทานเป็นปัจจัย
แก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอุปาทานโดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะ
และปุเรชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่สัมปยุตด้วยอุปาทานและหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่
ขันธ์ ๓ โดยอัตถิปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยโลภะซึ่งวิปปยุตจากทิฏฐิและโลภะเป็น
ปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัตถิปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอุปาทานและที่วิปปยุตจากอุปาทานเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอุปาทานโดยอัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาตะ ปุเรชาตะ
ปัจฉาชาตะ อาหาระ และอินทรียะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอุปาทานและมหาภูตรูปเป็นปัจจัยแก่
จิตตสมุฏฐานรูปโดยอัตถิปัจจัย
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่สหรคตด้วยโลภะซึ่งวิปปยุตจากทิฏฐิและโลภะเป็น
ปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดยอัตถิปัจจัย

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๓๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๑. อุปาทานสัมปยุตตทุกะ ๗. ปัญหาวาร
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่สหรคตด้วยโลภะซึ่งวิปปยุตจากทิฏฐิและหทัยวัตถุเป็น
ปัจจัยแก่โลภะโดยอัตถิปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่สหรคตด้วยโลภะซึ่งวิปปยุตจากทิฏฐิและโลภะเป็น
ปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อนโดยอัตถิปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่สหรคตด้วยโลภะซึ่งวิปปยุตจากทิฏฐิ โลภะ และ
กวฬิงการาหารเป็นปัจจัยแก่กายนี้โดยอัตถิปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่สหรคตด้วยโลภะซึ่งวิปปยุตจากทิฏฐิ โลภะ และ
รูปชีวิตินทรีย์เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปโดยอัตถิปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอุปาทานและที่วิปปยุตจากอุปาทานเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอุปาทานและที่วิปปยุตจากอุปาทานโดยอัตถิปัจจัย มี ๒
อย่าง คือ สหชาตะและปุเรชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยโลภะซึ่งวิปปยุตจากทิฏฐิและโลภะเป็น
ปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปโดยอัตถิปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยโลภะซึ่งวิปปยุตจากทิฏฐิและหทัยวัตถุ
เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และโลภะโดยอัตถิปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ (๓)
เป็นปัจจัยโดยนัตถิปัจจัย
เป็นปัจจัยโดยวิคตปัจจัย
เป็นปัจจัยโดยอวิคตปัจจัย

๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๘๘] เหตุปัจจัย มี ๙ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๙ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๓๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๑. อุปาทานสัมปยุตตทุกะ ๗. ปัญหาวาร

อธิปติปัจจัย มี ๙ วาระ
อนันตรปัจจัย มี ๙ วาระ
สมนันตรปัจจัย มี ๙ วาระ
สหชาตปัจจัย มี ๙ วาระ
อัญญมัญญปัจจัย มี ๖ วาระ
นิสสยปัจจัย มี ๙ วาระ
อุปนิสสยปัจจัย มี ๙ วาระ
ปุเรชาตปัจจัย มี ๓ วาระ
ปัจฉาชาตปัจจัย มี ๓ วาระ
อาเสวนปัจจัย มี ๙ วาระ
กัมมปัจจัย มี ๔ วาระ
วิปากปัจจัย มี ๑ วาระ
อาหารปัจจัย มี ๔ วาระ
อินทรียปัจจัย มี ๔ วาระ
ฌานปัจจัย มี ๔ วาระ
มัคคปัจจัย มี ๔ วาระ
สัมปยุตตปัจจัย มี ๖ วาระ
วิปปยุตตปัจจัย มี ๕ วาระ
อัตถิปัจจัย มี ๙ วาระ
นัตถิปัจจัย มี ๙ วาระ
วิคตปัจจัย มี ๙ วาระ
อวิคตปัจจัย มี ๙ วาระ

๒. ปัจจนียุทธาร
[๘๙] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุต
ด้วยอุปาทานโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย และอุปนิสสยปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๓๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๑. อุปาทานสัมปยุตตทุกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุตจาก
อุปาทานโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย ปัจฉาชาตปัจจัย
และกัมมปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วย
อุปาทานและที่วิปปยุตจากอุปาทานโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย และ
อุปนิสสยปัจจัย (๓)
[๙๐] สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่วิปปยุต
จากอุปาทานโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย ปุเรชาตปัจจัย
ปัจฉาชาตปัจจัย กัมมปัจจัย อาหารปัจจัย และอินทรียปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วย
อุปาทานโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และปุเรชาตปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วย
อุปาทานและที่วิปปยุตจากอุปาทานโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสย-
ปัจจัย และปุเรชาตปัจจัย (๓)
[๙๑] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอุปาทานและที่วิปปยุตจากอุปาทานเป็น
ปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอุปาทานโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย
และอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอุปาทานและที่วิปปยุตจากอุปาทานเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอุปาทานโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสย-
ปัจจัย ปัจฉาชาตปัจจัย อาหารปัจจัย และอินทรียปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอุปาทานและที่วิปปยุตจากอุปาทานเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอุปาทานและที่วิปปยุตจากอุปาทานโดยอารัมมณปัจจัย
สหชาตปัจจัย และอุปนิสสยปัจจัย (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๓๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๑. อุปาทานสัมปยุตตทุกะ ๗. ปัญหาวาร
๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒. สังขยาวาร

[๙๒] นเหตุปัจจัย มี ๙ วาระ
นอารัมมณปัจจัย มี ๙ วาระ
นอธิปติปัจจัย มี ๙ วาระ

(ทุกปัจจัยมีปัจจัยละ ๙ วาระ)

โนอวิคตปัจจัย มี ๙ วาระ

๓. ปัจจยานุโลมปัจจนียะ

[๙๓] นอารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๙ วาระ
นอธิปติปัจจัย ” มี ๙ วาระ
นอนันตรปัจจัย ” มี ๙ วาระ
นสมนันตรปัจจัย ” มี ๙ วาระ
นอัญญมัญญปัจจัย ” มี ๓ วาระ
นอุปนิสสยปัจจัย ” มี ๙ วาระ

(ทุกปัจจัยมีปัจจัยละ ๙ วาระ)

นสัมปยุตตปัจจัย ” มี ๓ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย ” มี ๖ วาระ
โนนัตถิปัจจัย ” มี ๙ วาระ
โนวิคตปัจจัย ” มี ๙ วาระ

๔. ปัจจยปัจจนียานุโลม

[๙๔] อารัมมณปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๙ วาระ
อธิปติปัจจัย ” มี ๙ วาระ

(พึงเพิ่มบทอนุโลมมาติกา) ฯลฯ

อวิคตปัจจัย ” มี ๙ วาระ

อุปาทานสัมปยุตตทุกะ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๓๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๒. อุปาทานอุปาทานิยทุกะ ๑. ปฏิจจวาร
๗๒. อุปาทานอุปาทานิยทุกะ ๑. ปฏิจจวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๙๕] สภาวธรรมที่เป็นอุปาทานและเป็นอารมณ์ของอุปาทานอาศัย
สภาวธรรมที่เป็นอุปาทานและเป็นอารมณ์ของอุปาทานเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่
กามุปาทานอาศัยทิฏฐุปาทานเกิดขึ้น ทิฏฐุปาทานอาศัยกามุปาทานเกิดขึ้น (พึง
ทำเป็นจักกนัย) (๑)
สภาวธรรมที่เป็นอารมณ์ของอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานอาศัยสภาวธรรมที่
เป็นอุปาทานและเป็นอารมณ์ของอุปาทานเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ สัมปยุตต-
ขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยอุปาทานเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่เป็นอุปาทานเป็นอารมณ์ของอุปาทานและที่เป็นอารมณ์ของ
อุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานอาศัยสภาวธรรมที่เป็นอุปาทานและเป็นอารมณ์ของ
อุปาทานเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ กามุปาทาน สัมปยุตตขันธ์ และ
จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยทิฏฐุปาทานเกิดขึ้น (พึงทำเป็นจักกนัย) (๓)
[๙๖] สภาวธรรมที่เป็นอารมณ์ของอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานอาศัย
สภาวธรรมที่เป็นอารมณ์ของอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่
ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอารมณ์ของอุปาทานแต่ไม่เป็น
อุปาทานเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (พึงเพิ่ม
ข้อความจนถึงมหาภูตรูปที่เป็นภายใน) (๑)
สภาวธรรมที่เป็นอุปาทานและเป็นอารมณ์ของอุปาทานอาศัยสภาวธรรมที่
เป็นอารมณ์ของอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ อุปาทาน
อาศัยขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานเกิดขึ้น (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๓๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๒. อุปาทานอุปาทานิยทุกะ ๑. ปฏิจจวาร
สภาวธรรมที่เป็นอุปาทานเป็นอารมณ์ของอุปาทานและที่เป็นอารมณ์ของ
อุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานอาศัยสภาวธรรมที่เป็นอารมณ์ของอุปาทานแต่ไม่เป็น
อุปาทานเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อุปาทาน และจิตตสมุฏฐานรูป
อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอารมณ์ของอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัย
ขันธ์ ๒ ฯลฯ (๓)
[๙๗] สภาวธรรมที่เป็นอุปาทานและเป็นอารมณ์ของอุปาทานอาศัย
สภาวธรรมที่เป็นอุปาทานเป็นอารมณ์ของอุปาทานและที่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน
แต่ไม่เป็นอุปาทานเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ กามุปาทานอาศัยทิฏฐุปาทาน
และสัมปยุตตขันธ์เกิดขึ้น (พึงทำเป็นจักกนัย) (๑)
สภาวธรรมที่เป็นอารมณ์ของอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานอาศัยสภาวธรรมที่
เป็นอุปาทานเป็นอารมณ์ของอุปาทานและที่เป็นอารมณ์ของอุปาทานแต่ไม่เป็น
อุปาทานเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑
ที่เป็นอารมณ์ของอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานและอาศัยอุปาทานเกิดขึ้น ฯลฯ
อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยอุปาทานและมหาภูตรูปเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่เป็นอุปาทานเป็นอารมณ์ของอุปาทานและที่เป็นอารมณ์ของ
อุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานอาศัยสภาวธรรมที่เป็นอุปาทานเป็นอารมณ์ของ
อุปาทานและที่เป็นอารมณ์ของอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย
ได้แก่ ขันธ์ ๓ กามุปาทาน และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอารมณ์ของ
อุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานและอาศัยทิฏฐุปาทานเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ
(พึงทำเป็นจักกนัย) (๓)
(โดยนัยนี้ ปฏิจจวาร สหชาตวาร ปัจจยวาร นิสสยวาร สังสัฏฐวาร และ
สัมปยุตตวาร พึงทำเหมือนกับอุปาทานทุกะ ไม่มีข้อแตกต่างกัน แต่การระบุ
บุคคลต่างกัน)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๔๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๒. อุปาทานอุปาทานิยทุกะ ๗. ปัญหาวาร
๗๒. อุปาทานอุปาทานิยทุกะ ๗. ปัญหาวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๙๘] สภาวธรรมที่เป็นอุปาทานและเป็นอารมณ์ของอุปาทานเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่เป็นอุปาทานและเป็นอารมณ์ของอุปาทานโดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุ
ที่เป็นอุปาทานและเป็นอารมณ์ของอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตอุปาทานโดย
เหตุปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เป็นอุปาทานและเป็นอารมณ์ของอุปาทานเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่เป็นอารมณ์ของอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานโดยเหตุปัจจัย ได้แก่
เหตุที่เป็นอุปาทานและเป็นอารมณ์ของอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และ
จิตตสมุฏฐานรูปโดยเหตุปัจจัย (เหมือนกับอุปาทานทุกะ ไม่มีข้อแตกต่างกัน
มี ๙ วาระ)

อารัมมณปัจจัย
[๙๙] สภาวธรรมที่เป็นอุปาทานและเป็นอารมณ์ของอุปาทานเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่เป็นอุปาทานและเป็นอารมณ์ของอุปาทานโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่
เพราะปรารภอุปาทาน อุปาทานจึงเกิดขึ้น มี ๓ วาระ
สภาวธรรมที่เป็นอารมณ์ของอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่เป็นอารมณ์ของอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลให้
ทาน ฯลฯ ออกจากฌานแล้วพิจารณาฌาน ยินดีเพลิดเพลิน เพราะปรารภ
ความยินดีเพลิดเพลินฌานนั้น ราคะ ฯลฯ ทิฏฐิ ฯลฯ วิจิกิจฉา ฯลฯ อุทธัจจะ
ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น พระอริยะพิจารณาโคตรภู พิจารณาโวทาน พิจารณา
กิเลสที่ละได้แล้ว พิจารณากิเลสที่ข่มได้แล้ว รู้กิเลสที่เคยเกิดขึ้น ฯลฯ บุคคล
เห็นแจ้งจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ (ย่อ) เป็นปัจจัยแก่อนาคตังสญาณ และ
อาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๔๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๒. อุปาทานอุปาทานิยทุกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่เป็นอารมณ์ของอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่เป็นอุปาทานและเป็นอารมณ์ของอุปาทานโดยอารัมมณปัจจัย (ย่อ ๒ วาระ
นอกนี้เหมือนกับอุปาทานทุกะ) (๓)
สภาวธรรมที่เป็นอุปาทานเป็นอารมณ์ของอุปาทานและที่เป็นอารมณ์ของ
อุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นอุปาทานและเป็นอารมณ์
ของอุปาทานโดยอารัมมณปัจจัย มี ๓ วาระ (อธิปติปัจจัย ในหนหลัง มี ๓ วาระ
เหมือนกับอุปาทานทุกะ)

อธิปติปัจจัย
[๑๐๐] สภาวธรรมที่เป็นอารมณ์ของอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานเป็น
ปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นอารมณ์ของอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานโดยอธิปติปัจจัย
มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติและสหชาตาธิปติ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน ฯลฯ ออกจากฌานแล้วพิจารณาฌาน
ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ยินดีเพลิดเพลิน เพราะทำความยินดีเพลิดเพลิน
ฌานนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะ ฯลฯ ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น พระเสขะ
พิจารณาโคตรภูให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ พิจารณาโวทานให้เป็นอารมณ์
อย่างหนักแน่น ฯลฯ บุคคลยินดีเพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุและ
ขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น
เพราะทำความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะ
จึงเกิดขึ้น ทิฏฐิ ฯลฯ ขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานจึงเกิดขึ้น
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่เป็นอารมณ์ของอุปาทานแต่ไม่
เป็นอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดยอธิปติปัจจัย
(อารัมมณาธิปติปัจจัยและสหชาตาธิปติปัจจัยแม้ทั้ง ๒ อย่างที่เหลือ เหมือนกับ
อุปาทานทุกะ) (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๔๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๓. อุปาทานอุปาทานสัมปยุตตทุกะ ๑. ปฏิจจวาร
(อธิปติปัจจัยที่เป็นฆฏนา มี ๓ วาระ เหมือนกับอุปาทานทุกะ ปัจจัยทั้งหมด
ก็เหมือนกับอุปาทานทุกะ ในสภาวธรรมที่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน ไม่มีโลกุตตระ
ปัจจนียะและการนับทั้ง ๒ อย่างนอกจากนี้เหมือนกับอุปาทานทุกะ)
อุปาทานอุปาทานิยทุกะ จบ

๗๓. อุปาทานอุปาทานสัมปยุตตทุกะ
๑. ปฏิจจวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๑๐๑] สภาวธรรมที่เป็นอุปาทานและสัมปยุตด้วยอุปาทานอาศัยสภาวธรรม
ที่เป็นอุปาทานและสัมปยุตด้วยอุปาทานเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ กามุปาทาน
อาศัยทิฏฐุปาทานเกิดขึ้น (พึงทำเป็นจักกนัย) (๑)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานอาศัยสภาวธรรมที่เป็น
อุปาทานและสัมปยุตด้วยอุปาทานเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ สัมปยุตตขันธ์
อาศัยอุปาทานเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่เป็นอุปาทานสัมปยุตด้วยอุปาทานและที่สัมปยุตด้วยอุปาทานแต่
ไม่เป็นอุปาทานอาศัยสภาวธรรมที่เป็นอุปาทานและสัมปยุตด้วยอุปาทานเกิดขึ้น
เพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ กามุปาทานและสัมปยุตตขันธ์อาศัยทิฏฐุปาทานเกิดขึ้น
(พึงทำเป็นจักกนัย) (๓)
... อาศัยสภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทาน ฯลฯ (ย่อ
การระบุความที่มีข้อแตกต่างกันเหมือนกับอุปาทานทุกะ มี ๙ วาระ ไม่มีรูป พึง
ขยายวาระทั้งหมดให้พิสดารอย่างนี้ มีเฉพาะอรูปเท่านั้น)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๔๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๓. อุปาทานอุปาทานสัมปยุตตทุกะ ๗. ปัญหาวาร
๗๓. อุปาทานอุปาทานสัมปยุตตทุกะ
๗. ปัญหาวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๑๐๒] สภาวธรรมที่เป็นอุปาทานและสัมปยุตด้วยอุปาทานเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่เป็นอุปาทานและสัมปยุตด้วยอุปาทานโดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่
เป็นอุปาทานและสัมปยุตด้วยอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตอุปาทานโดยเหตุปัจจัย
(พึงอ้างบทที่เป็นมูล) เหตุที่เป็นอุปาทานและสัมปยุตด้วยอุปาทานเป็นปัจจัยแก่
สัมปยุตตขันธ์โดยเหตุปัจจัย (พึงอ้างบทที่เป็นมูล) เหตุที่เป็นอุปาทานและสัมปยุต
ด้วยอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และอุปาทานโดยเหตุปัจจัย (๓)
[๑๐๓] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานโดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่
สัมปยุตด้วยอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์โดยเหตุปัจจัย
(พึงอ้างบทที่เป็นมูล) เหตุที่สัมปยุตด้วยอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานเป็นปัจจัยแก่
สัมปยุตตอุปาทานโดยเหตุปัจจัย (พึงอ้างบทที่เป็นมูล) เหตุที่สัมปยุตด้วยอุปาทาน
แต่ไม่เป็นอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และอุปาทานโดยเหตุปัจจัย (๓)
[๑๐๔] สภาวธรรมที่เป็นอุปาทานสัมปยุตด้วยอุปาทานและที่สัมปยุตด้วย
อุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นอุปาทานและสัมปยุตด้วย
อุปาทานโดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่เป็นอุปาทาน สัมปยุตด้วยอุปาทาน และที่
สัมปยุตด้วยอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตอุปาทานโดยเหตุปัจจัย
(พึงอ้างบทที่เป็นมูล) เหตุที่เป็นอุปาทาน สัมปยุตด้วยอุปาทาน และที่สัมปยุตด้วย
อุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์โดยเหตุปัจจัย (พึงอ้างบทที่
เป็นมูล) เหตุที่เป็นอุปาทานสัมปยุตด้วยอุปาทาน และที่สัมปยุตด้วยอุปาทานแต่ไม่
เป็นอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และอุปาทานโดยเหตุปัจจัย (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๔๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๓. อุปาทานอุปาทานสัมปยุตตทุกะ ๗. ปัญหาวาร
อารัมมณปัจจัย
[๑๐๕] สภาวธรรมที่เป็นอุปาทานและสัมปยุตด้วยอุปาทานเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่เป็นอุปาทานและสัมปยุตด้วยอุปาทานโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่
เพราะปรารภอุปาทาน อุปาทานจึงเกิดขึ้น (พึงอ้างบทที่เป็นมูล) เพราะปรารภ
อุปาทาน ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานจึงเกิดขึ้น (พึงอ้างบทที่
เป็นมูล) เพราะปรารภอุปาทาน อุปาทานและสัมปยุตตขันธ์จึงเกิดขึ้น (๓)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
สัมปยุตด้วยอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ เพราะปรารภ
ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทาน ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอุปาทานแต่ไม่
เป็นอุปาทานจึงเกิดขึ้น (พึงทำให้เป็น ๓ วาระ ในฆฏนา ก็พึงทำให้เป็น ๓ วาระด้วย)

อธิปติปัจจัย
[๑๐๖] สภาวธรรมที่เป็นอุปาทานและสัมปยุตด้วยอุปาทานเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่เป็นอุปาทานและสัมปยุตด้วยอุปาทานโดยอธิปติปัจจัย มี ๓ วาระ (๓)
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่สัมปยุตด้วยอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานโดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ
อารัมมณาธิปติและสหชาตาธิปติ (มี ๓ วาระ แม้ใน ๓ วาระก็พึงเพิ่มอธิปติปัจจัย
ทั้ง ๒ แม้แต่อธิปติปัจจัยที่เป็นฆฏนา ก็มี ๓ วาระ)

อนันตรปัจจัย
[๑๐๗] สภาวธรรมที่เป็นอุปาทานและสัมปยุตด้วยอุปาทานเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่เป็นอุปาทานและสัมปยุตด้วยอุปาทานโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์
ที่เป็นอุปาทานและสัมปยุตด้วยอุปาทานซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่อุปาทานที่
เกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย (พึงทำเป็น ๙ วาระ อย่างนี้ ไม่มีทั้งอาวัชชนจิต
และวุฏฐานะ)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๔๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๓. อุปาทานอุปาทานสัมปยุตตทุกะ ๗. ปัญหาวาร
สมนันตรปัจจัยเป็นต้น
[๑๐๘] สภาวธรรมที่เป็นอุปาทานและสัมปยุตด้วยอุปาทานเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่เป็นอุปาทานและสัมปยุตด้วยอุปาทานโดยสมนันตรปัจจัย มี ๙ วาระ

เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย มี ๙ วาระ
เป็นปัจจัยโดยอัญญมัญญปัจจัย มี ๙ วาระ
เป็นปัจจัยโดยนิสสยปัจจัย มี ๙ วาระ

อุปนิสสยปัจจัย
[๑๐๙] สภาวธรรมที่เป็นอุปาทานและสัมปยุตด้วยอุปาทานเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่เป็นอุปาทานและสัมปยุตด้วยอุปาทานโดยอุปนิสสยปัจจัย ฯลฯ
มี ๓ วาระ
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่สัมปยุตด้วยอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ
อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทาน
เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานโดยอุปนิสสยปัจจัย
(มี ๓ วาระ แม้แต่ในอุปนิสสยปัจจัยที่เป็นฆฏนา ก็มี ๓ วาระ) เป็นปัจจัยโดย
อาเสวนปัจจัย มี ๙ วาระ

กัมมปัจจัยเป็นต้น
[๑๑๐] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานโดยกัมมปัจจัย มี ๓ วาระ

เป็นปัจจัยโดยอาหารปัจจัย มี ๓ วาระ
เป็นปัจจัยโดยอินทรียปัจจัย มี ๓ วาระ
เป็นปัจจัยโดยฌานปัจจัย มี ๓ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๔๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๓. อุปาทานอุปาทานสัมปยุตตทุกะ ๗. ปัญหาวาร

เป็นปัจจัยโดยมัคคปัจจัย มี ๙ วาระ
เป็นปัจจัยโดยสัมปยุตตปัจจัย มี ๙ วาระ
เป็นปัจจัยโดยอัตถิปัจจัย มี ๙ วาระ
เป็นปัจจัยโดยนัตถิปัจจัย มี ๙ วาระ
เป็นปัจจัยโดยวิคตปัจจัย มี ๙ วาระ
เป็นปัจจัยโดยอวิคตปัจจัย มี ๙ วาระ

๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๑๑๑] เหตุปัจจัย มี ๙ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๙ วาระ
อธิปติปัจจัย มี ๙ วาระ
อนันตรปัจจัย มี ๙ วาระ
สมนันตรปัจจัย มี ๙ วาระ
สหชาตปัจจัย มี ๙ วาระ
อัญญมัญญปัจจัย มี ๙ วาระ
นิสสยปัจจัย มี ๙ วาระ
อุปนิสสยปัจจัย มี ๙ วาระ
อาเสวนปัจจัย มี ๙ วาระ
กัมมปัจจัย มี ๓ วาระ
อาหารปัจจัย มี ๓ วาระ
อินทรียปัจจัย มี ๓ วาระ
ฌานปัจจัย มี ๓ วาระ
มัคคปัจจัย มี ๙ วาระ
สัมปยุตตปัจจัย มี ๙ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๔๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๓. อุปาทานอุปาทานสัมปยุตตทุกะ ๗. ปัญหาวาร

อัตถิปัจจัย มี ๙ วาระ
นัตถิปัจจัย มี ๙ วาระ
วิคตปัจจัย มี ๙ วาระ
อวิคตปัจจัย มี ๙ วาระ

๒. ปัจจนียุทธาร
[๑๑๒] สภาวธรรมที่เป็นอุปาทานและสัมปยุตด้วยอุปาทานเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่เป็นอุปาทานและสัมปยุตด้วยอุปาทานโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย
และอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เป็นอุปาทานและสัมปยุตด้วยอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
สัมปยุตด้วยอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย และ
อุปนิสสยปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่เป็นอุปาทานและสัมปยุตด้วยอุปาทานเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่เป็นอุปาทาน สัมปยุตด้วยอุปาทาน และที่สัมปยุตด้วยอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทาน
โดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย และอุปนิสสยปัจจัย (พึงทำเป็น ๙ วาระแม้
อย่างนี้ ในมูลแห่งปัจจัยแต่ละปัจจัยมีมูลละ ๓ วาระ)

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒. สังขยาวาร

[๑๑๓] นเหตุปัจจัย มี ๙ วาระ
นอารัมมณปัจจัย มี ๙ วาระ
นอธิปติปัจจัย มี ๙ วาระ

(ทุกปัจจัยมีปัจจัยละ ๙ วาระ)

โนอวิคตปัจจัย มี ๙ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๔๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๔. อุปาทานวิปปยุตตอุปาทานิยทุกะ ๑. ปฏิจจวาร
๓. ปัจจยานุโลมปัจจนียะ

[๑๑๔] นอารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๙ วาระ l/r
นอธิปติปัจจัย ” มี ๙ วาระl/r
นอนันตรปัจจัย ” มี ๙ วาระl/r
นสมนันตรปัจจัย ” มี ๙ วาระl/r
นอุปนิสสยปัจจัย ” มี ๙ วาระl/r

(ทุกปัจจัยมีปัจจัยละ ๙ วาระ)

นมัคคปัจจัย ” มี ๙ วาระl/r
นสัมปยุตตปัจจัย ” มี ๙ วาระl/r
โนนัตถิปัจจัย ” มี ๙ วาระl/r
โนวิคตปัจจัย ” มี ๙ วาระl/r

๔. ปัจจยปัจจนียานุโลม

[๑๑๕] อารัมมณปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๙ วาระ
อธิปติปัจจัย ” มี ๙ วาระ ฯลฯ

(พึงเพิ่มบทอนุโลมมาติกา)
อุปาทานอุปาทานสัมปยุตตทุกะ จบ

๗๔. อุปาทานวิปปยุตตอุปาทานิยทุกะ
๑. ปฏิจจวาร
๑. ปัจจยานุโลมเป็นต้น
เหตุปัจจัย
[๑๑๖] สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอุปาทานแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทานอาศัย
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอุปาทานแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทานเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๔๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๔. อุปาทานวิปปยุตตอุปาทานิยทุกะ ๑. ปฏิจจวาร
ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่วิปปยุตจากอุปาทานแต่เป็น
อารมณ์ของอุปาทานเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
อาศัยมหาภูตรูป ๑ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปอาศัย
มหาภูตรูปเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอุปาทานและไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานอาศัย
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอุปาทาน และไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานเกิดขึ้นเพราะ
เหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่วิปปยุตจากอุปาทานและไม่เป็นอารมณ์
ของอุปาทานเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอุปาทานแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทานอาศัยสภาวธรรม
ที่วิปปยุตจากอุปาทานและไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่
จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่วิปปยุตจากอุปาทาน และไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน
เกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอุปาทานแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทานและที่วิปปยุตจาก
อุปาทานไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานอาศัยสภาวธรรมที่วิปปยุตจากอุปาทานและไม่เป็น
อารมณ์ของอุปาทานเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป
อาศัยขันธ์ ๑ ที่วิปปยุตจากอุปาทานและไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานเกิดขึ้น ฯลฯ (๓)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากอุปาทานแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทานอาศัยสภาวธรรม
ที่วิปปยุตจากอุปาทานแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทานและที่วิปปยุตจากอุปาทานไม่เป็น
อารมณ์ของอุปาทานเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่
วิปปยุตจากอุปาทานและไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน และอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น (๑)

เหตุปัจจัย มี ๕ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๒ วาระ ฯลฯ
อวิคตปัจจัย มี ๕ วาระ

(ทุกะนี้เหมือนกับโลกิยทุกะในจูฬันตรทุกะ ไม่มีข้อแตกต่างกัน)
อุปาทานวิปปยุตตอุปาทานิยทุกะ จบ
อุปาทานโคจฉกะ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๕๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๕. กิเลสทุกะ ๑. ปฎิจจวาร
๑๒. กิเลสโคจฉกะ
๗๕. กิเลสทุกะ ๑. ปฏิจจวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑.วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๑] สภาวธรรมที่เป็นกิเลสอาศัยสภาวธรรมที่เป็นกิเลสเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย
ได้แก่ โมหะ ทิฏฐิ ถีนะ อุทธัจจะ อหิริกะ และอโนตตัปปะอาศัยโลภะเกิดขึ้น โมหะ
ทิฏฐิ อุทธัจจะ อหิริกะ และอโนตตัปปะอาศัยโลภะเกิดขึ้น โมหะ มานะ ถีนะ
อุทธัจจะ อหิริกะ และอโนตตัปปะอาศัยโลภะเกิดขึ้น โมหะ มานะ อุทธัจจะ อหิริกะ
และอโนตตัปปะอาศัยโลภะเกิดขึ้น โมหะ ถีนะ อุทธัจจะ อหิริกะ และอโนตตัปปะ
อาศัยโลภะเกิดขึ้น โมหะ อุทธัจจะ อหิริกะ และอโนตตัปปะอาศัยโลภะเกิดขึ้น
โมหะ ถีนะ อุทธัจจะ อหิริกะ และอโนตตัปปะอาศัยโทสะเกิดขึ้น โมหะ อุทธัจจะ
อหิริกะ และอโนตตัปปะอาศัยโทสะเกิดขึ้น โมหะ อุทธัจจะ อหิริกะ และ
อโนตตัปปะอาศัยวิจิกิจฉาเกิดขึ้น โมหะ อหิริกะ และอโนตตัปปะอาศัยอุทธัจจะ
เกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสอาศัยสภาวธรรมที่เป็นกิเลสเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย
ได้แก่ สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยกิเลสเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่เป็นกิเลสและที่ไม่เป็นกิเลสอาศัยสภาวธรรมที่เป็นกิเลสเกิดขึ้น
เพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ โมหะ ทิฏฐิ ถีนะ อุทธัจจะ อหิริกะ อโนตตัปปะ
สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยโลภะเกิดขึ้น (พึงทำเป็นจักกนัย) (๓)
[๒] สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสอาศัยสภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสเกิดขึ้นเพราะ
เหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่เป็นกิเลสเกิดขึ้น
ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ หทัยวัตถุอาศัยขันธ์เกิดขึ้น
ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น ... อาศัยมหาภูตรูป ๑ ฯลฯ (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๕๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๕. กิเลสทุกะ ๑. ปฎิจจวาร
สภาวธรรมที่เป็นกิเลสอาศัยสภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย
ได้แก่ กิเลสอาศัยขันธ์ที่ไม่เป็นกิเลสเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่เป็นกิเลสและไม่เป็นกิเลสอาศัยสภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสเกิดขึ้น
เพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ กิเลส และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่เป็น
กิเลสเกิดขึ้น ... อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๓)
[๓] สภาวธรรมที่เป็นกิเลสอาศัยสภาวธรรมที่เป็นกิเลสและไม่เป็นกิเลสเกิดขึ้น
เพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ โมหะ ทิฏฐิ ถีนะ อุทธัจจะ อหิริกะ และอโนตตัปปะ
อาศัยโลภะและสัมปยุตตขันธ์เกิดขึ้น (พึงทำเป็นจักกนัย) (๑)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสอาศัยสภาวธรรมที่เป็นกิเลสและที่ไม่เป็นกิเลสเกิด
ขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่เป็น
กิเลสและอาศัยกิเลสเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัย
กิเลสและมหาภูตรูปเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่เป็นกิเลสและไม่เป็นกิเลสอาศัยสภาวธรรมที่เป็นกิเลสและไม่เป็น
กิเลสเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ โมหะ ทิฏฐิ ถีนะ อุทธัจจะ อหิริกะ
อโนตตัปปะ และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่เป็นกิเลสและอาศัยโลภะเกิดขึ้น
ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (พึงทำเป็นจักกนัย ย่อ)

๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร

[๔] เหตุปัจจัย มี ๙ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๙ วาระ
อธิปติปัจจัย มี ๙ วาระ
อนันตรปัจจัย มี ๙ วาระ
สมนันตรปัจจัย มี ๙ วาระ

(ทุกปัจจัยมีปัจจัยละ ๙ วาระ)

วิปากปัจจัย มี ๑ วาระ
อวิคตปัจจัย มี ๙ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๕๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๕. กิเลสทุกะ ๑. ปฎิจจวาร
๒. ปัจจยปัจจนียะ ๑. วิภังควาร
นเหตุปัจจัย
[๕] สภาวธรรมที่เป็นกิเลสอาศัยสภาวธรรมที่เป็นกิเลสเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย
ได้แก่ โมหะอาศัยวิจิกิจฉาเกิดขึ้น โมหะอาศัยอุทธัจจะเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสอาศัยสภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย
ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่มีเหตุซึ่งไม่เป็นกิเลสเกิดขึ้น
ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะที่เป็นอเหตุกะ ฯลฯ (พึงเพิ่มข้อ
ความจนถึงอสัญญสัตตพรหม) (๑)
สภาวธรรมที่เป็นกิเลสอาศัยสภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย
ได้แก่ โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วยอุทธัจจะอาศัยขันธ์ที่สหรคต
ด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่เป็นกิเลสอาศัยสภาวธรรมที่เป็นกิเลสและไม่เป็นกิเลสเกิดขึ้น
เพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาอาศัยขันธ์ที่สหรคตด้วย
วิจิกิจฉาและอาศัยวิจิกิจฉาเกิดขึ้น โมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะอาศัยขันธ์ที่สหรคต
ด้วยอุทธัจจะและอาศัยอุทธัจจะเกิดขึ้น (๑)

นอารัมมณปัจจัยเป็นต้น
[๖] สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสอาศัยสภาวธรรมที่เป็นกิเลสเกิดขึ้นเพราะ
นอารัมมณปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยกิเลสเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสอาศัยสภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสเกิดขึ้นเพราะนอารัมมณ-
ปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่ไม่เป็นกิเลสเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
หทัยวัตถุอาศัยขันธ์เกิดขึ้น (พึงเพิ่มข้อความจนถึงอสัญญสัตตพรหม) (๑)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสอาศัยสภาวธรรมที่เป็นกิเลสและไม่เป็นกิเลสเกิดขึ้น
เพราะนอารัมมณปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยกิเลสและสัมปยุตตขันธ์เกิดขึ้น
จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยกิเลสและมหาภูตรูปเกิดขึ้น (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๕๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๕. กิเลสทุกะ ๑. ปฎิจจวาร
... เพราะนอธิปติปัจจัย
... เพราะนอนันตรปัจจัย
... เพราะนสมนันตรปัจจัย
... เพราะนอัญญมัญญปัจจัย
... เพราะนอุปนิสสยปัจจัย

นปุเรชาตปัจจัยเป็นต้น
[๗] สภาวธรรมที่เป็นกิเลสอาศัยสภาวธรรมที่เป็นกิเลสเกิดขึ้นเพราะนปุเรชาต-
ปัจจัย ได้แก่ ในอรูปาวจรภูมิ โมหะ ทิฏฐิ ถีนะ อุทธัจจะ อหิริกะ และ
อโนตตัปปะอาศัยโลภะเกิดขึ้น โมหะ ทิฏฐิ อุทธัจจะ อหิริกะ และอโนตตัปปะ
อาศัยโลภะเกิดขึ้น โมหะ มานะ ถีนะ อุทธัจจะ อหิริกะ และอโนตตัปปะอาศัย
โลภะเกิดขึ้น โมหะ มานะ อุทธัจจะ อหิริกะ และอโนตตัปปะอาศัยโลภะเกิดขึ้น
โมหะ ถีนะ อุทธัจจะ อหิริกะ และอโนตตัปปะอาศัยโลภะเกิดขึ้น โมหะ อุทธัจจะ
อหิริกะ และอโนตตัปปะอาศัยโลภะเกิดขึ้น โมหะ อุทธัจจะ อหิริกะ และ
อโนตตัปปะอาศัยวิจิกิจฉาเกิดขึ้น โมหะ อหิริกะ และอโนตตัปปะอาศัยอุทธัจจะ
เกิดขึ้น (ในอรูปาวจรภูมิ ไม่มีบทที่มีโทสะเป็นมูล) (๑)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสอาศัยสภาวธรรมที่เป็นกิเลสเกิดขึ้นเพราะนปุเรชาต-
ปัจจัย ได้แก่ ในอรูปาวจรภูมิ สัมปยุตตขันธ์อาศัยกิเลสเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูป
อาศัยกิเลสเกิดขึ้น (พึงทำเป็น ๙ วาระ อย่างนี้)
... เพราะนปัจฉาชาตปัจจัย
... เพราะนอาเสวนปัจจัย

นกัมมปัจจัย
[๘] สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสอาศัยสภาวธรรมที่เป็นกิเลสเกิดขึ้นเพราะ
นกัมมปัจจัย ได้แก่ สัมปยุตตเจตนาอาศัยกิเลสเกิดขึ้น (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๕๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๕. กิเลสทุกะ ๑. ปฎิจจวาร
สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสอาศัยสภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสเกิดขึ้นเพราะนกัมมปัจจัย
ได้แก่ สัมปยุตตเจตนาอาศัยขันธ์ที่ไม่เป็นกิเลสเกิดขึ้น ... ที่เป็นภายนอก ฯลฯ
ที่มีอาหารเป็นสมุฏฐาน ฯลฯ ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสอาศัยสภาวธรรมที่เป็นกิเลสและที่ไม่เป็นกิเลสเกิด
ขึ้นเพราะนกัมมปัจจัย ได้แก่ สัมปยุตตเจตนาอาศัยกิเลสและสัมปยุตตขันธ์เกิดขึ้น
(๑) (พึงเพิ่มปัจจัยทั้งหมดอย่างนี้)

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๙] นเหตุปัจจัย มี ๔ วาระ
นอารัมมณปัจจัย มี ๓ วาระ
นอธิปติปัจจัย มี ๙ วาระ
นอนันตรปัจจัย มี ๓ วาระ
นสมนันตรปัจจัย มี ๓ วาระ
นอัญญมัญญปัจจัย มี ๓ วาระ
นอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย มี ๙ วาระ
นปัจฉาชาตปัจจัย มี ๙ วาระ
นอาเสวนปัจจัย มี ๙ วาระ
นกัมมปัจจัย มี ๓ วาระ
นวิปากปัจจัย มี ๙ วาระ
นอาหารปัจจัย มี ๑ วาระ
นอินทรียปัจจัย มี ๑ วาระ
นฌานปัจจัย มี ๑ วาระ
นมัคคปัจจัย มี ๑ วาระ
นสัมปยุตตปัจจัย มี ๓ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๕๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๕. กิเลสทุกะ ๓. ปัจจยวาร

นวิปปยุตตปัจจัย มี ๙ วาระ
โนนัตถิปัจจัย มี ๓ วาระ
โนวิคตปัจจัย มี ๓ วาระ

(การนับ ๒ อย่างนอกนี้และสหชาตวาร พึงทำอย่างนี้)

๗๕. กิเลสทุกะ ๓. ปัจจยวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๑๐] สภาวธรรมที่เป็นกิเลสทำสภาวธรรมที่เป็นกิเลสให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น
เพราะเหตุปัจจัย มี ๓ วาระ (เหมือนกับปฏิจจวาร)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลส ทำสภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น
เพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ ทำ ขันธ์ ๑ ที่ไม่เป็นกิเลสให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ
(พึงเพิ่มข้อความจนถึงมหาภูตรูปที่เป็นภายใน) ขันธ์ที่ไม่เป็นกิเลสทำหทัยวัตถุให้
เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่เป็นกิเลสทำสภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะ
เหตุปัจจัย ได้แก่ กิเลสทำขันธ์ที่ไม่เป็นกิเลสให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น กิเลสทำขันธ์ให้
เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่เป็นกิเลสและไม่เป็นกิเลสทำสภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสให้เป็น
ปัจจัยเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ กิเลสและจิตตสมุฏฐานรูปทำขันธ์ ๑
ที่ไม่เป็นกิเลสให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ทำขันธ์ ๒ ฯลฯ กิเลสทำหทัยวัตถุให้
เป็นปัจจัยเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปทำมหาภูตรูปให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น กิเลสและ
สัมปยุตตขันธ์ทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๕๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๕. กิเลสทุกะ ๓. ปัจจยวาร
[๑๑] สภาวธรรมที่เป็นกิเลสทำสภาวธรรมที่เป็นกิเลสและไม่เป็นกิเลสให้
เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ โมหะ ทิฏฐิ ถีนะ อุทธัจจะ อหิริกะ
และอโนตตัปปะทำโลภะและสัมปยุตตขันธ์ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (พึงทำเป็นจักกนัย)
กิเลสทำโลภะและหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสทำสภาวธรรมที่เป็นกิเลสและไม่เป็นกิเลสให้เป็นปัจจัย
เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปทำขันธ์ ๑ ที่ไม่ เป็น
กิเลสและทำกิเลสให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ทำขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปทำ
กิเลสและมหาภูตรูปให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ขันธ์ที่ไม่เป็นกิเลสทำกิเลสและหทัยวัตถุ
ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่เป็นกิเลสและไม่เป็นกิเลสทำสภาวธรรมที่เป็นกิเลสและไม่เป็น
กิเลสให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ โมหะ ทิฏฐิ ถีนะ อุทธัจจะ
อหิริกะ อโนตตัปปะและจิตตสมุฏฐานรูปทำขันธ์ ๑ ที่ไม่เป็นกิเลสและทำโลภะให้
เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ทำขันธ์ ๒ ฯลฯ (พึงทำเป็นจักกนัย) โมหะ ทิฏฐิ ถีนะ
อุทธัจจะ อหิริกะ อโนตตัปปะและสัมปยุตตขันธ์ทำโลภะและหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัย
เกิดขึ้น (พึงทำเป็นจักกนัย) (๓)
(ในอารัมมณปัจจัย บทที่มีสภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสเป็นมูล พึงเพิ่ม
ปัญจวิญญาณ)

๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร

[๑๒] เหตุปัจจัย มี ๙ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๙ วาระ
อธิปติปัจจัย มี ๙ วาระ

(ทุกปัจจัยมีปัจจัยละ ๙ วาระ)

วิปากปัจจัย มี ๑ วาระ ฯลฯ
อวิคตปัจจัย มี ๙ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๕๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๕. กิเลสทุกะ ๓. ปัจจยวาร
๒. ปัจจยปัจจนียะ ๑. วิภังควาร
นเหตุปัจจัย
[๑๓] สภาวธรรมที่เป็นกิเลสทำสภาวธรรมที่เป็นกิเลสให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น
เพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาทำวิจิกิจฉาให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น
โมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะทำอุทธัจจะให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสทำสภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น
เพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ (พึงเพิ่มข้อความจนถึงอสัญญสัตตพรหม) จักขุวิญญาณ
ทำจักขายตนะให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ กายายตนะ ฯลฯ ขันธ์ที่ไม่มีเหตุซึ่งไม่
เป็นกิเลสทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่เป็นกิเลสทำสภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะ
นเหตุปัจจัย ได้แก่ โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วยอุทธัจจะทำขันธ์ที่
สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น
(๒)
สภาวธรรมที่เป็นกิเลสทำสภาวธรรมที่เป็นกิเลสและไม่เป็นกิเลสให้เป็นปัจจัยเกิด
ขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาทำวิจิกิจฉาสัมปยุตตขันธ์
และหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น โมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะทำอุทธัจจะ
สัมปยุตตขันธ์ และทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (ย่อ) (๑)

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒. สังขยาวาร

[๑๔] นเหตุปัจจัย มี ๔ วาระ
นอารัมมณปัจจัย มี ๓ วาระ
นอธิปติปัจจัย มี ๙ วาระ ฯลฯ
นกัมมปัจจัย มี ๓ วาระ
นวิปากปัจจัย มี ๙ วาระ
นอาหารปัจจัย มี ๑ วาระ ฯลฯ
โนวิคตปัจจัย มี ๓ วาระ

(การนับ ๒ อย่างนอกนี้และนิสสยวาร พึงทำอย่างนี้)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๕๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๕. กิเลสทุกะ ๕. สังสัฏฐวาร
๗๕. กิเลสทุกะ ๕. สังสัฏฐวาร
๑. ปัจจยานุโลมเป็นต้น
[๑๕] สภาวธรรมที่เป็นกิเลสเกิดระคนกับสภาวธรรมที่เป็นกิเลสเพราะ
เหตุปัจจัย ได้แก่ โมหะ ทิฏฐิ ถีนะ อุทธัจจะ อหิริกะ และอโนตตัปปะเกิด
ระคนกับโลภะ (พึงทำเป็นจักกนัย พึงเพิ่มเป็น ๙ วาระ อย่างนี้)

เหตุปัจจัย มี ๙ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๙ วาระ

(ทุกปัจจัยมีปัจจัยละ ๙ วาระ)

วิปากปัจจัย มี ๑ วาระ ฯลฯ
อวิคตปัจจัย มี ๙ วาระ

อนุโลม จบ
สภาวธรรมที่เป็นกิเลสเกิดระคนกับสภาวธรรมที่เป็นกิเลสเพราะนเหตุปัจจัย
(โดยนัยนี้ พึงทำวาระแห่งนเหตุปัจจัยเป็น ๔ วาระ)

นเหตุปัจจัย มี ๔ วาระ
นอธิปติปัจจัย มี ๙ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย มี ๙ วาระ
นปัจฉาชาตปัจจัย มี ๙ วาระ
นอาเสวนปัจจัย มี ๙ วาระ
นกัมมปัจจัย มี ๓ วาระ
นวิปากปัจจัย มี ๙ วาระ
นฌานปัจจัย มี ๑ วาระ
นมัคคปัจจัย มี ๑ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย มี ๙ วาระ

ปัจจนียะ จบ
(การนับ ๒ อย่างนอกนี้ และสัมปยุตตวาร พึงทำอย่างนี้)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๕๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๕. กิเลสทุกะ ๗. ปัญหาวาร
๗๕. กิเลสทุกะ ๗. ปัญหาวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๑๖] สภาวธรรมที่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นกิเลสโดยเหตุปัจจัย
ได้แก่ เหตุที่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตกิเลสโดยเหตุปัจจัย (พึงอ้างบทที่เป็นมูล)
เหตุที่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดยเหตุปัจจัย (พึงอ้าง
บทที่เป็นมูล) เหตุที่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ กิเลส และจิตตสมุฏฐานรูป
โดยเหตุปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสโดยเหตุปัจจัย
ได้แก่ เหตุที่ไม่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดยเหตุปัจจัย
ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)

อารัมมณปัจจัย
[๑๗] สภาวธรรมที่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นกิเลสโดย
อารัมมณปัจจัย ได้แก่ เพราะปรารภกิเลส กิเลสจึงเกิดขึ้น (พึงอ้างบทที่เป็นมูล)
เพราะปรารภกิเลส สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสจึงเกิดขึ้น (พึงอ้างบทที่เป็นมูล)
เพราะปรารภกิเลส กิเลสและสัมปยุตตขันธ์จึงเกิดขึ้น (๓)
[๑๘] สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสโดย
อารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถ ฯลฯ
พิจารณากุศลที่เคยสั่งสมไว้ดีแล้ว ฯลฯ ออกจากฌานแล้ว พิจารณาฌาน ยินดี
เพลิดเพลิน เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินฌานนั้น ราคะ ฯลฯ ทิฏฐิ ฯลฯ
วิจิกิจฉา ฯลฯ อุทธัจจะ ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น พระอริยะออกจากมรรค ฯลฯ
เป็นปัจจัยแก่ผลและอาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย บุคคลเห็นแจ้งจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ
และขันธ์ที่ไม่เป็นกิเลสโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น บุคคลเห็น
รูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ ฯลฯ เป็นปัจจัยแก่อนาคตังสญาณ
และอาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๖๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๕. กิเลสทุกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นกิเลสโดยอารัมมณปัจจัย
ได้แก่ บุคคลให้ทาน ฯลฯ ออกจากฌานแล้ว ยินดีเพลิดเพลินฌาน เพราะ
ปรารภความยินดีเพลิดเพลินฌานนั้น ราคะ ฯลฯ ทิฏฐิ ฯลฯ วิจิกิจฉา ฯลฯ
อุทธัจจะจึงเกิดขึ้น เมื่อฌานเสื่อมแล้ว โทมนัสจึงเกิดขึ้นแก่บุคคลผู้มีความเดือดร้อน
บุคคลยินดีเพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ และขันธ์ที่ไม่เป็นกิเลส เพราะปรารภ
ความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้น ราคะ ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นกิเลสและที่ไม่เป็น
กิเลสโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลให้ทาน ฯลฯ ออกจากฌาน ฯลฯ ยินดี
เพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ และขันธ์ที่ไม่เป็นกิเลส เพราะปรารภความยินดี
เพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้น กิเลสและสัมปยุตตขันธ์จึงเกิดขึ้น (๓)
สภาวธรรมที่เป็นกิเลสและไม่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นกิเลส
โดยอารัมมณปัจจัย มี ๓ วาระ

อธิปติปัจจัย
[๑๙] สภาวธรรมที่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นกิเลสโดย
อธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ เพราะทำกิเลสให้เป็น
อารมณ์อย่างหนักแน่น กิเลสจึงเกิดขึ้น มี ๓ วาระ (มีเฉพาะอารัมมณาธิปติปัจจัย
เท่านั้น) (๓)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสโดยอธิปติปัจจัย
มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติและสหชาตาธิปติ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถแล้ว
พิจารณากุศลนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ยินดีเพลิดเพลิน เพราะทำความ
ยินดีเพลิดเพลินกุศลนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น
บุคคลพิจารณากุศลที่เคยสั่งสมไว้ดีแล้ว ฯลฯ ออกจากฌาน ฯลฯ พระอริยะ
ออกจากมรรคแล้วพิจารณามรรคให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ เป็นปัจจัย

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๖๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๕. กิเลสทุกะ ๗. ปัญหาวาร
แก่ผลโดยอธิปติปัจจัย บุคคลยินดีเพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ และขันธ์ที่ไม่เป็น
กิเลสให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทำความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้น
ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิ ฯลฯ
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่ไม่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์
และจิตตสมุฏฐานรูปโดยอธิปติปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นกิเลสโดยอธิปติปัจจัย
มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติและสหชาตาธิปติ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน ฯลฯ พิจารณาฌาน ฯลฯ ยินดี
เพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ และขันธ์ที่ไม่เป็นกิเลสให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น
เพราะทำความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะ
จึงเกิดขึ้น ทิฏฐิ ฯลฯ
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่ไม่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตกิเลส
โดยอธิปติปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นกิเลสและไม่เป็นกิเลส
โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติและสหชาตาธิปติ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน ฯลฯ พิจารณาฌาน ฯลฯ ยินดี
เพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ และขันธ์ที่ไม่เป็นกิเลสให้เป็นอารมณ์อย่าง
หนักแน่น เพราะทำความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น
กิเลสและสัมปยุตตขันธ์จึงเกิดขึ้น
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่ไม่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์
กิเลสและจิตตสมุฏฐานรูปโดยอธิปติปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่เป็นกิเลสและไม่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นกิเลส
โดยอธิปติปัจจัย มี ๓ วาระ (มีเฉพาะอารัมมณาธิปติปัจจัยเท่านั้น) (๓)


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๖๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๕. กิเลสทุกะ ๗. ปัญหาวาร
อนันตรปัจจัยเป็นต้น
[๒๐] สภาวธรรมที่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นกิเลสโดย
อนันตรปัจจัย ได้แก่ กิเลสที่เกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่กิเลสที่เกิดหลัง ๆ โดย
อนันตรปัจจัย (พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล) กิเลสที่เกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่เป็น
กิเลสซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย กิเลสเป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะโดยอนันตรปัจจัย
(พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล) กิเลสที่เกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่กิเลสและสัมปยุตตขันธ์ที่เกิด
หลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย (๓)
[๒๑] สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสโดย
อนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่เป็นกิเลสซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่เป็น
กิเลสซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติโดย
อนันตรปัจจัย (พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล) ขันธ์ที่ไม่เป็นกิเลส ซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัย
แก่กิเลสที่เกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย อาวัชชนจิตเป็นปัจจัยแก่กิเลสโดย
อนันตรปัจจัย (พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล) ขันธ์ที่ไม่เป็นกิเลสซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัย
แก่กิเลสและสัมปยุตตขันธ์ที่เกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย อาวัชชนจิตเป็นปัจจัย
แก่กิเลสและสัมปยุตตขันธ์โดยอนันตรปัจจัย (๓)
[๒๒] สภาวธรรมที่เป็นกิเลสและไม่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็น
กิเลสโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ กิเลสและสัมปยุตตขันธ์ที่เกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่
กิเลสที่เกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย (พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล) กิเลสและสัมปยุตตขันธ์
ที่เกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่เป็นกิเลสซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย
กิเลสและสัมปยุตตขันธ์เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะโดยอนันตรปัจจัย (พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล)
กิเลสและสัมปยุตตขันธ์ที่เกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่กิเลสและสัมปยุตตขันธ์ที่เกิด
หลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย (๓)
... เป็นปัจจัยโดยสมนันตรปัจจัย
... เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย
... เป็นปัจจัยโดยอัญญมัญญปัจจัย
... เป็นปัจจัยโดยนิสสยปัจจัย

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๖๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๕. กิเลสทุกะ ๗. ปัญหาวาร
อุปนิสสยปัจจัย
[๒๓] สภาวธรรมที่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นกิเลสโดย
อุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และ
ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ กิเลสเป็นปัจจัยแก่กิเลสโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ วาระ
[๒๔] สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสโดย
อุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และ
ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยศรัทธาแล้วให้ทาน ฯลฯ มีมานะ
ถือทิฏฐิ อาศัยศีล ฯลฯ ปัญญา ฯลฯ ราคะ ... โทสะ ... โมหะ ... มานะ
... ทิฏฐิ ... ความปรารถนา ... สุขทางกาย ฯลฯ เสนาสนะแล้ว ให้ทาน ฯลฯ
ทำลายสงฆ์ ศรัทธา ฯลฯ เสนาสนะเป็นปัจจัยแก่ศรัทธา ฯลฯ ผลสมาบัติโดย
อุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลส เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นกิเลสโดยอุปนิสสยปัจจัย
มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยศรัทธาแล้ว มีมานะ ถือทิฏฐิ อาศัยศีล
ฯลฯ เสนาสนะแล้ว ฆ่าสัตว์ ฯลฯ ทำลายสงฆ์ ศรัทธา ฯลฯ เสนาสนะเป็น
ปัจจัยแก่กิเลสโดยอุปนิสสยปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นกิเลสและไม่เป็นกิเลส
โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และ
ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยศรัทธาแล้ว มีมานะ ถือทิฏฐิ อาศัยศีล
ฯลฯ เสนาสนะแล้ว ฆ่าสัตว์ ฯลฯ ทำลายสงฆ์ ศรัทธา ฯลฯ เสนาสนะเป็น
ปัจจัยแก่กิเลสและสัมปยุตตขันธ์โดยอุปนิสสยปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่เป็นกิเลสและไม่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นกิเลสโดย
อุปนิสสยปัจจัย มี ๓ วาระ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๖๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๕. กิเลสทุกะ ๗. ปัญหาวาร
ปุเรชาตปัจจัย
[๒๕] สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสโดย
ปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาตะและวัตถุปุเรชาตะ
อารัมมณปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลเห็นแจ้งจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุโดยเป็น
สภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วย
ทิพพโสตธาตุ รูปายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะ ฯลฯ
วัตถุปุเรชาตะ ได้แก่ จักขายตนะ ฯลฯ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่เป็น
กิเลสโดยปุเรชาตปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นกิเลสโดยปุเรชาตปัจจัย
มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาตะและวัตถุปุเรชาตะ
อารัมมณปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลยินดีเพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ
เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้น ราคะ ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น
วัตถุปุเรชาตะ ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่กิเลสโดยปุเรชาตปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลส เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นกิเลสและไม่เป็นกิเลสโดย
ปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาตะและวัตถุปุเรชาตะ
อารัมมณปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลยินดีเพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ
เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้น กิเลสและสัมปยุตตขันธ์จึงเกิดขึ้น
วัตถุปุเรชาตะ ได้แก่ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่กิเลสและสัมปยุตตขันธ์โดย
ปุเรชาตปัจจัย (๓)

ปัจฉาชาตปัจจัยและอาเสวนปัจจัย
[๒๖] สภาวธรรมที่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสโดย
ปัจฉาชาตปัจจัย (ย่อ) (๑)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสโดยปัจฉาชาต-
ปัจจัย (ย่อ) (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๖๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๕. กิเลสทุกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่เป็นกิเลสและไม่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลส
โดยปัจฉาชาตปัจจัย (ย่อ)
... เป็นปัจจัยโดยอาเสวนปัจจัย มี ๙ วาระ

กัมมปัจจัย
[๒๗] สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสโดย
กัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและนานาขณิกะ
สหชาตะ ได้แก่ เจตนาที่ไม่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และ
จิตตสมุฏฐานรูปโดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่ไม่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นวิบากและ
กฏัตตารูปโดยกัมมปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นกิเลสโดยกัมมปัจจัย ได้แก่
เจตนาที่ไม่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่กิเลสโดยกัมมปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นกิเลสและไม่เป็นกิเลส
โดยกัมมปัจจัย ได้แก่ เจตนาที่ไม่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ กิเลส และ
จิตตสมุฏฐานรูปโดยกัมมปัจจัย (๓)

วิปากปัจจัยเป็นต้น
[๒๘] สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสโดย
วิปากปัจจัย มี ๑ วาระ

เป็นปัจจัยโดยอาหารปัจจัย มี ๓ วาระ
เป็นปัจจัยโดยอินทรียปัจจัย มี ๓ วาระ
เป็นปัจจัยโดยฌานปัจจัย มี ๓ วาระ
เป็นปัจจัยโดยมัคคปัจจัย มี ๙ วาระ
เป็นปัจจัยโดยสัมปยุตตปัจจัย มี ๙ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๖๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๕. กิเลสทุกะ ๗. ปัญหาวาร
วิปปยุตตปัจจัย
[๒๙] สภาวธรรมที่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสโดย
วิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปัจฉาชาตะ (ย่อ) (๑)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสโดย
วิปปยุตตปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ สหชาตะ ปุเรชาตะ และปัจฉาชาตะ (ย่อ) (๑)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นกิเลสโดยวิปปยุตต-
ปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาตะ ได้แก่ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่กิเลสโดย
วิปปยุตตปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นกิเลสและไม่เป็นกิเลส
โดยวิปปยุตตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาตะ ได้แก่ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่
กิเลสและสัมปยุตตขันธ์โดยวิปปยุตตปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่เป็นกิเลสและไม่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลส
โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปัจฉาชาตะ (ย่อ พึงขยายให้
พิสดาร)

อัตถิปัจจัยเป็นต้น
[๓๐] สภาวธรรมที่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นกิเลสโดย
อัตถิปัจจัย มี ๑ วาระ (เหมือนกับปฏิจจวาร) (๑)
สภาวธรรมที่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสโดยอัตถิปัจจัย
มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปัจฉาชาตะ (ย่อ) (๒)
สภาวธรรมที่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นกิเลสและไม่เป็นกิเลส
โดยอัตถิปัจจัย (เหมือนกับปฏิจจวาร) (๓)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสโดยอัตถิปัจจัย
มี ๕ อย่าง คือ สหชาตะ ปุเรชาตะ ปัจฉาชาตะ อาหาระ และอินทรียะ (ย่อ) (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๖๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๕. กิเลสทุกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นกิเลสโดยอัตถิปัจจัย
มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปุเรชาตะ (ย่อ สหชาตัตถิเหมือนกับสหชาตะ
ปุเรชาตัตถิเหมือนกับปุเรชาตะ)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นกิเลสและไม่เป็นกิเลส
โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปุเรชาตะ (สหชาตัตถิเหมือนกับ
สหชาตะ ปุเรชาตัตถิเหมือนกับปุเรชาตะ) (๓)
[๓๑] สภาวธรรมที่เป็นกิเลสและไม่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็น
กิเลสโดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปุเรชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ โลภะและสัมปยุตตขันธ์เป็นปัจจัยแก่โมหะ ทิฏฐิ ถีนะ
อุทธัจจะ อหิริกะ และอโนตตัปปะโดยอัตถิปัจจัย (พึงผูกเป็นจักกนัย)
สหชาตะ ได้แก่ โลภะและหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่โมหะ ทิฏฐิ ถีนะ อุทธัจจะ
อหิริกะ และอโนตตัปปะโดยอัตถิปัจจัย (พึงผูกเป็นจักกนัย) (๑)
สภาวธรรมที่เป็นกิเลสและไม่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลส
โดยอัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาตะ ปุเรชาตะ ปัจฉาชาตะ อาหาระ
และอินทรียะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่ไม่เป็นกิเลส และกิเลสเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓
และจิตตสมุฏฐานรูปโดยอัตถิปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ
สหชาตะ ได้แก่ กิเลสและมหาภูตรูปเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดย
อัตถิปัจจัย
สหชาตะ ได้แก่ กิเลสและหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่เป็นกิเลสโดย
อัตถิปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ กิเลสและสัมปยุตตขันธ์เป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อนโดย
อัตถิปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ กิเลส สัมปยุตตขันธ์ และกวฬิงการาหารเป็นปัจจัยแก่
กายนี้โดยอัตถิปัจจัย

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๖๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๕. กิเลสทุกะ ๗. ปัญหาวาร
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ กิเลส สัมปยุตตขันธ์ และรูปชีวิตินทรีย์เป็นปัจจัยแก่
กฏัตตารูปโดยอัตถิปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่เป็นกิเลสและไม่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นกิเลส
และไม่เป็นกิเลสโดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปุเรชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่ไม่เป็นกิเลส และโลภะเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓
จิตตสมุฏฐานรูป โมหะ ทิฏฐิ ถีนะ อุทธัจจะ อหิริกะและอโนตตัปปะโดยอัตถิปัจจัย
ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ
สหชาตะ ได้แก่ โลภะและหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่โมหะ ทิฏฐิ ถีนะ อุทธัจจะ
อหิริกะ อโนตตัปปะและสัมปยุตตขันธ์โดยอัตถิปัจจัย (พึงผูกเป็นจักกนัย) (๓)
... เป็นปัจจัยโดยนัตถิปัจจัย
... เป็นปัจจัยโดยวิคตปัจจัย
... เป็นปัจจัยโดยอวิคตปัจจัย

๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๓๒] เหตุปัจจัย มี ๔ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๙ วาระ
อธิปติปัจจัย มี ๙ วาระ
อนันตรปัจจัย มี ๙ วาระ
สมนันตรปัจจัย มี ๙ วาระ
สหชาตปัจจัย มี ๙ วาระ
อัญญมัญญปัจจัย มี ๙ วาระ
นิสสยปัจจัย มี ๙ วาระ
อุปนิสสยปัจจัย มี ๙ วาระ
ปุเรชาตปัจจัย มี ๓ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๖๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๕. กิเลสทุกะ ๗. ปัญหาวาร

ปัจฉาชาตปัจจัย มี ๓ วาระ
อาเสวนปัจจัย มี ๙ วาระ
กัมมปัจจัย มี ๓ วาระ
วิปากปัจจัย มี ๑ วาระ
อาหารปัจจัย มี ๓ วาระ
อินทรียปัจจัย มี ๓ วาระ
ฌานปัจจัย มี ๓ วาระ
มัคคปัจจัย มี ๙ วาระ
สัมปยุตตปัจจัย มี ๙ วาระ
วิปปยุตตปัจจัย มี ๕ วาระ
อัตถิปัจจัย มี ๙ วาระ
นัตถิปัจจัย มี ๙ วาระ
วิคตปัจจัย มี ๙ วาระ
อวิคตปัจจัย มี ๙ วาระ

๒. ปัจจนียุทธาร
[๓๓] สภาวธรรมที่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นกิเลสโดย
อารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย และอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสโดยอารัมมณปัจจัย
สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และปัจฉาชาตปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นกิเลสและไม่เป็นกิเลส
โดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย และอุปนิสสยปัจจัย (๓)
[๓๔] สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสโดย
อารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย ปุเรชาตปัจจัย ปัจฉาชาตปัจจัย
กัมมปัจจัย อาหารปัจจัย และอินทรียปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๗๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๕. กิเลสทุกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นกิเลสโดยอารัมมณปัจจัย
สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และปุเรชาตปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นกิเลสและไม่เป็นกิเลส
โดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และปุเรชาตปัจจัย (๓)
[๓๕] สภาวธรรมที่เป็นกิเลสและไม่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็น
กิเลสโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย และอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เป็นกิเลสและไม่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นกิเลส
โดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย ปัจฉาชาตปัจจัย อาหารปัจจัย
และอินทรียปัจจัย(๒)
สภาวธรรมที่เป็นกิเลสและที่ไม่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นกิเลส
และไม่เป็นกิเลสโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย และอุปนิสสยปัจจัย (๓)

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒. สังขยาวาร

[๓๖] นเหตุปัจจัย มี ๙ วาระ
นอารัมมณปัจจัย มี ๙ วาระ
นอธิปติปัจจัย มี ๙ วาระ

(ทุกปัจจัยมีปัจจัยละ ๙ วาระ)

โนอวิคตปัจจัย มี ๙ วาระ

๓. ปัจจยานุโลมปัจจนียะ

[๓๗] นอารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๔ วาระ
นอธิปติปัจจัย ” มี ๔ วาระ
นอนันตรปัจจัย ” มี ๔ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๗๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๕. กิเลสทุกะ ๗. ปัญหาวาร

นสมนันตรปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๔ วาระ
นอัญญมัญญปัจจัย ” มี ๒ วาระ
นอุปนิสสยปัจจัย ” มี ๔ วาระ

(ทุกปัจจัยมีปัจจัยละ ๔ วาระ)

นสัมปยุตตปัจจัย ” มี ๒ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย ” มี ๔ วาระ
โนนัตถิปัจจัย ” มี ๔ วาระ
โนวิคตปัจจัย ” มี ๔ วาระ

๔. ปัจจยปัจจนียานุโลม

[๓๘] อารัมมณปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๙ วาระ
อธิปติปัจจัย ” มี ๙ วาระ

(พึงเพิ่มบทอนุโลมมาติกา) ฯลฯ

อวิคตปัจจัย ” มี ๙ วาระ

กิเลสทุกะ จบ

๗๖. สังกิเลสิกทุกะ ๑. ปฏิจจวาร
[๓๙] สภาวธรรมที่เป็นอารมณ์ของกิเลสอาศัยสภาวธรรมที่เป็นอารมณ์
ของกิเลสเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย
(ทุกะนี้ เหมือนโลกิยทุกะ ไม่มีข้อแตกต่างกัน)
สังกิเลสิกทุกะ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๗๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๗. สังกิลิฏฐทุกะ ๑. ปฏิจจวาร
๗๗. สังกิลิฏฐทุกะ ๑. ปฏิจจวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๔๐] สภาวธรรมที่กิเลสทำให้เศร้าหมองอาศัยสภาวธรรมที่กิเลสทำให้
เศร้าหมองเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่กิเลสทำให้
เศร้าหมองเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองอาศัยสภาวธรรมที่กิเลสทำให้เศร้าหมอง
เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่กิเลสทำให้เศร้าหมอง
เกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่กิเลสทำให้เศร้าหมองและไม่ทำให้เศร้าหมองอาศัยสภาวธรรมที่
กิเลสทำให้เศร้าหมองเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป
อาศัยขันธ์ ๑ ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๓)
สภาวธรรมที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองอาศัยสภาวธรรมที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมอง
เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่
กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
หทัยวัตถุอาศัยขันธ์เกิดขึ้น ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น ... อาศัยมหาภูตรูป ๑
ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองอาศัยสภาวธรรมที่กิเลสทำให้เศร้าหมอง
และไม่ทำให้เศร้าหมองเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์
ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองและอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น (ย่อ) (๑)

๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร

[๔๑] เหตุปัจจัย มี ๕ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๒ วาระ
อธิปติปัจจัย มี ๕ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๗๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๗. สังกิลิฏฐทุกะ ๑. ปฏิจจวาร

อนันตรปัจจัย มี ๒ วาระ
สมนันตรปัจจัย มี ๒ วาระ
สหชาตปัจจัย มี ๕ วาระ
อัญญมัญญปัจจัย มี ๒ วาระ
นิสสยปัจจัย มี ๕ วาระ
อุปนิสสยปัจจัย มี ๒ วาระ
ปุเรชาตปัจจัย มี ๒ วาระ
อาเสวนปัจจัย มี ๒ วาระ
กัมมปัจจัย มี ๕ วาระ
วิปากปัจจัย มี ๑ วาระ
อาหารปัจจัย มี ๕ วาระ (ย่อ)
อวิคตปัจจัย มี ๕ วาระ

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๑. วิภังควาร
นเหตุปัจจัย
[๔๒] สภาวธรรมที่กิเลสทำให้เศร้าหมองอาศัยสภาวธรรมที่กิเลสทำให้
เศร้าหมองเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่
สหรคตด้วยอุทธัจจะอาศัยขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ
เกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองอาศัยสภาวธรรมที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมอง
เกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่
มีเหตุซึ่งกิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ
ที่เป็นอเหตุกะ ฯลฯ (พึงเพิ่มข้อความจนถึงอสัญญสัตตพรหม) (๑)

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒. สังขยาวาร

[๔๓] นเหตุปัจจัย มี ๒ วาระ
นอารัมมณปัจจัย มี ๓ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๗๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๗. สังกิลิฏฐทุกะ ๓. ปัจจยวาร

นอธิปติปัจจัย มี ๕ วาระ
นอนันตรปัจจัย มี ๓ วาระ
นสมนันตรปัจจัย มี ๓ วาระ
นอัญญมัญญปัจจัย มี ๓ วาระ
นอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย มี ๔ วาระ
นปัจฉาชาตปัจจัย มี ๕ วาระ
นอาเสวนปัจจัย มี ๕ วาระ
นกัมมปัจจัย มี ๒ วาระ
นวิปากปัจจัย มี ๕ วาระ
นอาหารปัจจัย มี ๑ วาระ
นอินทรียปัจจัย มี ๑ วาระ
นฌานปัจจัย มี ๑ วาระ
นมัคคปัจจัย มี ๑ วาระ
นสัมปยุตตปัจจัย มี ๓ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ วาระ
โนนัตถิปัจจัย มี ๓ วาระ
โนวิคตปัจจัย มี ๓ วาระ

(การนับ ๒ อย่างนอกนี้ และสหชาตวาร พึงทำอย่างนี้)

๗๗. สังกิลิฏฐทุกะ ๓. ปัจจยวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๔๔] สภาวธรรมที่กิเลสทำให้เศร้าหมองทำสภาวธรรมที่กิเลสทำให้เศร้าหมอง
ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย มี ๓ วาระ (เหมือนกับปฏิจจวาร)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๗๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๗. สังกิลิฏฐทุกะ ๓. ปัจจยวาร
สภาวธรรมที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองทำสภาวธรรมที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมอง
ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปทำขันธ์ ๑
ที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ทำขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ
ฯลฯ (พึงเพิ่มข้อความจนถึงมหาภูตรูปภายใน) ขันธ์ที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองทำ
หทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่กิเลสทำให้เศร้าหมองทำสภาวธรรมที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองให้เป็น
ปัจจัยเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองทำหทัยวัตถุให้เป็น
ปัจจัยเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่กิเลสทำให้เศร้าหมองและไม่ทำให้เศร้าหมองทำสภาวธรรมที่กิเลส
ไม่ทำให้เศร้าหมองให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่กิเลสทำให้
เศร้าหมองทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปทำมหาภูตรูปให้เป็น
ปัจจัยเกิดขึ้น (๓)
[๔๕] สภาวธรรมที่กิเลสทำให้เศร้าหมองทำสภาวธรรมที่กิเลสทำให้เศร้าหมอง
และไม่ทำให้เศร้าหมองให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ ทำ
ขันธ์ ๑ ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองและทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ทำ
ขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองทำสภาวธรรมที่กิเลสทำให้เศร้าหมองและ
ไม่ทำให้เศร้าหมองให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูป
ทำขันธ์ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองและทำมหาภูตรูปให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่กิเลสทำให้เศร้าหมองและไม่ทำให้เศร้าหมองทำสภาวธรรมที่
กิเลสทำให้เศร้าหมองและไม่ทำให้เศร้าหมองให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่
ขันธ์ ๓ ทำขันธ์ ๑ ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองและทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น
ฯลฯ ทำขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปทำขันธ์ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองและทำ
มหาภูตรูปให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (ย่อ) (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๗๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๗. สังกิลิฏฐทุกะ ๓. ปัจจยวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร

[๔๖] เหตุปัจจัย มี ๙ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๔ วาระ
อธิปติปัจจัย มี ๙ วาระ
อนันตรปัจจัย มี ๔ วาระ
สมนันตรปัจจัย มี ๔ วาระ
สหชาตปัจจัย มี ๙ วาระ
อัญญมัญญปัจจัย มี ๔ วาระ
นิสสยปัจจัย มี ๙ วาระ
อุปนิสสยปัจจัย มี ๔ วาระ
ปุเรชาตปัจจัย มี ๔ วาระ
อาเสวนปัจจัย มี ๔ วาระ
กัมมปัจจัย มี ๙ วาระ
วิปากปัจจัย มี ๑ วาระ
อาหารปัจจัย มี ๙ วาระ
อินทรียปัจจัย มี ๙ วาระ ฯลฯ
วิคตปัจจัย มี ๔ วาระ
อวิคตปัจจัย มี ๙ วาระ

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๑. วิภังควาร
นเหตุปัจจัย
[๔๗] สภาวธรรมที่กิเลสทำให้เศร้าหมองทำสภาวธรรมที่กิเลสทำให้เศร้าหมอง
ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่
สหรคตด้วยอุทธัจจะทำขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วยอุทธัจจะให้เป็น
ปัจจัยเกิดขึ้น (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๗๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๗. สังกิลิฏฐทุกะ ๓. ปัจจยวาร
สภาวธรรมที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองทำสภาวธรรมที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมอง
ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ ... ทำขันธ์ ๑ ที่ไม่มีเหตุซึ่งกิเลส
ไม่ทำให้เศร้าหมอง ฯลฯ (พึงเพิ่มข้อความจนถึงอสัญญสัตตพรหม) จักขุวิญญาณ
ทำจักขายตนะให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ กายวิญญาณทำกายายตนะให้เป็นปัจจัย
เกิดขึ้น ขันธ์ที่ไม่มีเหตุซึ่งกิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่กิเลสทำให้เศร้าหมองทำสภาวธรรมที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมอง
ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่
สหรคตด้วยอุทธัจจะทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่กิเลสทำให้เศร้าหมองทำสภาวธรรมที่กิเลสทำให้เศร้าหมองและ
ไม่ทำให้เศร้าหมองให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ โมหะที่สหรคต
ด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วยอุทธัจจะทำขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาที่สหรคตด้วย
อุทธัจจะและทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๑)

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒. สังขยาวาร

[๔๘] นเหตุปัจจัย มี ๔ วาระ
นอารัมมณปัจจัย มี ๓ วาระ
นอธิปติปัจจัย มี ๙ วาระ
นอนันตรปัจจัย มี ๓ วาระ
นสมนันตรปัจจัย มี ๓ วาระ
นอัญญมัญญปัจจัย มี ๓ วาระ
นอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย มี ๔ วาระ
นปัจฉาชาตปัจจัย มี ๙ วาระ
นอาเสวนปัจจัย มี ๙ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๗๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๗. สังกิลิฏฐทุกะ ๕. สังสัฏฐวาร

นกัมมปัจจัย มี ๔ วาระ
นวิปากปัจจัย มี ๙ วาระ
นอาหารปัจจัย มี ๑ วาระ
นอินทรียปัจจัย มี ๑ วาระ
นฌานปัจจัย มี ๑ วาระ
นมัคคปัจจัย มี ๑ วาระ
นสัมปยุตตปัจจัย มี ๓ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ วาระ
โนนัตถิปัจจัย มี ๓ วาระ
โนวิคตปัจจัย มี ๓ วาระ

(การนับ ๒ อย่างนอกนี้ และนิสสยวาร พึงทำอย่างนี้)

๗๗. สังกิลิฏฐทุกะ ๕. สังสัฏฐวาร
๑. ปัจจยานุโลมเป็นต้น
เหตุปัจจัย
[๔๙] สภาวธรรมที่กิเลสทำให้เศร้าหมองเกิดระคนกับสภาวธรรมที่กิเลส
ทำให้เศร้าหมองเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ เกิดระคนกับขันธ์ ๑ ที่กิเลส
ทำให้เศร้าหมอง ฯลฯ เกิดระคนกับขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองเกิดระคนกับสภาวธรรมที่กิเลสไม่ทำให้
เศร้าหมองเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ เกิดระคนกับขันธ์ ๑ ที่กิเลสไม่
ทำให้เศร้าหมอง ฯลฯ เกิดระคนกับขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)

เหตุปัจจัย มี ๒ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๒ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๗๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๗. สังกิลิฏฐทุกะ ๕. สังสัฏฐวาร

อธิปติปัจจัย มี ๒ วาระ

(ทุกปัจจัยมีปัจจัยละ ๒ วาระ)

วิปากปัจจัย มี ๑ วาระ
อวิคตปัจจัย มี ๒ วาระ

อนุโลม จบ
[๕๐] สภาวธรรมที่กิเลสทำให้เศร้าหมองเกิดระคนกับสภาวธรรมที่กิเลสทำ
ให้เศร้าหมองเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วย
อุทธัจจะเกิดระคนกับขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ (๑)
สภาวธรรมที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองเกิดระคนกับสภาวธรรมที่กิเลสไม่ทำให้
เศร้าหมองเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ เกิดระคนกับขันธ์ ๑ ที่ไม่มีเหตุซึ่ง
กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมอง ฯลฯ เกิดระคนกับขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะที่เป็น
อเหตุกะ ฯลฯ (๑)

นเหตุปัจจัย มี ๒ วาระ
นอธิปติปัจจัย มี ๒ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย มี ๒ วาระ
นปัจฉาชาตปัจจัย มี ๒ วาระ
นอาเสวนปัจจัย มี ๒ วาระ
นกัมมปัจจัย มี ๒ วาระ
นวิปากปัจจัย มี ๒ วาระ
นฌานปัจจัย มี ๑ วาระ
นมัคคปัจจัย มี ๑ วาระ
นสัมปยุตตปัจจัย มี ๒ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ วาระ

ปัจจนียะ จบ
(การนับ ๒ อย่างนอกนี้และสัมปยุตตวาร พึงทำอย่างนี้)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๘๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๗. สังกิลิฏฐทุกะ ๗. ปัญหาวาร
๗๗. สังกิลิฏฐทุกะ ๗. ปัญหาวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑ วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๕๑] สภาวธรรมที่กิเลสทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่กิเลส
ทำให้เศร้าหมองโดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่กิเลสทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่
สัมปยุตตขันธ์โดยเหตุปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่กิเลสทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่กิเลสไม่ทำให้
เศร้าหมองโดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่กิเลสทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่จิตต-
สมุฏฐานรูปโดยเหตุปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่กิเลสทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่กิเลสทำให้
เศร้าหมองและไม่ทำให้เศร้าหมองโดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่กิเลสทำให้เศร้าหมอง
เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดยเหตุปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่กิเลสไม่ทำ
ให้เศร้าหมองโดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่
สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)

อารัมมณปัจจัย
[๕๒] สภาวธรรมที่กิเลสทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่กิเลส
ทำให้เศร้าหมองโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลยินดีเพลิดเพลินราคะ เพราะ
ปรารภความยินดีเพลิดเพลินราคะนั้น ราคะ ฯลฯ ทิฏฐิ ฯลฯ วิจิกิจฉา ฯลฯ
อุทธัจจะ ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น ยินดีทิฏฐิ ฯลฯ (เหมือนกับกุสลติกะ) เพราะ
ปรารภวิจิกิจฉา ฯลฯ เพราะปรารภอุทธัจจะ ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิ ฯลฯ
วิจิกิจฉา ฯลฯ อุทธัจจะจึงเกิดขึ้น (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๘๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๗. สังกิลิฏฐทุกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่กิเลสทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่กิเลสไม่ทำให้
เศร้าหมองโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ พระอริยะพิจารณากิเลสที่ละได้แล้ว
พิจารณากิเลสที่ข่มได้แล้ว รู้กิเลสที่เคยเกิดขึ้น ฯลฯ เห็นแจ้งขันธ์ที่กิเลสทำให้
เศร้าหมองโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ รู้จิตของบุคคลผู้มีความพรั่งพร้อมด้วยจิต
ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองด้วยเจโตปริยญาณ ขันธ์ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัย
แก่เจโตปริยญาณ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ยถากัมมูปคญาณ อนาคตังสญาณ
และอาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย (๒)
[๕๓] สภาวธรรมที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่กิเลส
ไม่ทำให้เศร้าหมองโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล รักษา
อุโบสถ ฯลฯ พิจารณากุศลที่เคยสั่งสมไว้ดีแล้ว ฯลฯ ออกจากฌานแล้วพิจารณาฌาน
พระอริยะออกจากมรรคแล้วพิจารณามรรค ฯลฯ เป็นปัจจัยแก่อาวัชชนจิตโดย
อารัมมณปัจจัย บุคคลเห็นแจ้งจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ และขันธ์ที่กิเลสไม่ทำให้
เศร้าหมองโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ เห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฯลฯ เป็นปัจจัย
แก่อนาคตังสญาณและอาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่กิเลสทำให้
เศร้าหมองโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล ฯลฯ ออก
จากฌาน ฯลฯ ยินดีเพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุและขันธ์ที่กิเลสไม่ทำให้
เศร้าหมอง เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้น ราคะ ฯลฯ โทมนัส
จึงเกิดขึ้น (๒)

อธิปติปัจจัย
[๕๔] สภาวธรรมที่กิเลสทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่กิเลสทำ
ให้เศร้าหมองโดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติและสหชาตาธิปติ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลยินดีเพลิดเพลินราคะให้เป็นอารมณ์อย่างหนัก
แน่นเพราะทําความยินดีเพลิดเพลินราคะนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๘๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๗. สังกิลิฏฐทุกะ ๗. ปัญหาวาร
จึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น ยินดีเพลิดเพลินทิฏฐิให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น
เพราะทําความยินดีเพลิดเพลินทิฏฐินั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะจึงเกิดขึ้น
ทิฏฐิ ฯลฯ
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่กิเลสทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่
สัมปยุตตขันธ์โดยอธิปติปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่กิเลสทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่กิเลสไม่ทำให้
เศร้าหมองโดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียวคือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่
กิเลสทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดยอธิปติปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่กิเลสทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่กิเลสทำให้
เศร้าหมองและไม่ทำให้เศร้าหมองโดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ
ได้แก่ อธิบดีธรรมที่กิเลสทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตต-
สมุฏฐานรูปโดยอธิปติปัจจัย (๓)
[๕๕] สภาวธรรมที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองโดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติและ
สหชาตาธิปติ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถ ฯลฯ
พิจารณากุศลที่เคยสั่งสมไว้ดีแล้ว ฯลฯ ออกจากฌานแล้วพิจารณาฌานให้เป็น
อารมณ์อย่างหนักแน่น พระอริยะออกจากมรรคแล้วพิจารณามรรคให้เป็นอารมณ์
อย่างหนักแน่น ฯลฯ นิพพานเป็นปัจจัยแก่ผลโดยอธิปติปัจจัย
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่
สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดยอธิปติปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่กิเลสทำให้
เศร้าหมองโดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน
สมาทานศีล รักษาอุโบสถ ฯลฯ พิจารณากุศลที่เคยสั่งสมไว้ดีแล้ว ฯลฯ ออก
จากฌาน ฯลฯ ยินดีเพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุและขันธ์ที่กิเลสไม่ทำให้
เศร้าหมองให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทําความยินดีเพลิดเพลินจักษุ
เป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๘๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๗. สังกิลิฏฐทุกะ ๗. ปัญหาวาร
อนันตรปัจจัยเป็นต้น
[๕๖] สภาวธรรมที่กิเลสทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่กิเลส
ทำให้เศร้าหมองโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองซึ่งเกิดก่อน ๆ
เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่กิเลสทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่กิเลสไม่ทำให้
เศร้าหมองโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่
วุฏฐานะโดยอนันตรปัจจัย (๒)
[๕๗] สภาวธรรมที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่กิเลส
ไม่ทำให้เศร้าหมองโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองซึ่งเกิด
ก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองซึ่งเกิดหลัง ๆ ฯลฯ เป็นปัจจัย
แก่ผลสมาบัติโดยอนันตรปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่กิเลสทำให้
เศร้าหมองโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ อาวัชชนจิตเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่กิเลสทำให้
เศร้าหมองโดยอนันตรปัจจัย (๒)

... เป็นปัจจัยโดยสมนันตรปัจจัย มี ๔ วาระ
... เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย มี ๕ วาระ
... เป็นปัจจัยโดยอัญญมัญญปัจจัย มี ๒ วาระ
... เป็นปัจจัยโดยนิสสยปัจจัย มี ๗ วาระ

อุปนิสสยปัจจัย
[๕๘] สภาวธรรมที่กิเลสทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่กิเลสทำให้
เศร้าหมองโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ
และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยราคะแล้วฆ่าสัตว์ ฯลฯ ทําลายสงฆ์
อาศัยโทสะ ฯลฯ ความปรารถนาแล้ว ฆ่าสัตว์ ฯลฯ ทําลายสงฆ์ ราคะ ฯลฯ
ความปรารถนาเป็นปัจจัยแก่ราคะ ฯลฯ ความปรารถนาโดยอุปนิสสยปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๘๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๗. สังกิลิฏฐทุกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่กิเลสทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่กิเลสไม่ทำให้
เศร้าหมองโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะและปกตูปนิสสยะ
ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยราคะแล้วให้ทาน ฯลฯ ทําสมาบัติให้
เกิดขึ้น ... อาศัยโทสะ ฯลฯ ความปรารถนาแล้วให้ทาน ฯลฯ ทําสมาบัติให้เกิดขึ้น
ราคะ ฯลฯ ความปรารถนาเป็นปัจจัยแก่ศรัทธา ... ปัญญา ... สุขทางกาย ...
ทุกข์ทางกาย ... มรรค และผลสมาบัติโดยอุปนิสสยปัจจัย (๒)
[๕๙] สภาวธรรมที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่กิเลส
ไม่ทำให้เศร้าหมองโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ
อนันตรูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยศรัทธาแล้วให้ทาน ฯลฯ ทําสมาบัติให้
เกิดขึ้น อาศัยศีล ฯลฯ ปัญญา ... สุขทางกาย ... ทุกข์ทางกาย ... อุตุ ... โภชนะ
และเสนาสนะแล้วให้ทาน ฯลฯ ทําสมาบัติให้เกิดขึ้น ศรัทธา ฯลฯ เสนาสนะ
เป็นปัจจัยแก่ศรัทธา ฯลฯ ผลสมาบัติโดยอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่กิเลสทำให้
เศร้าหมองโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ
และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยศรัทธาแล้วมีมานะ ถือทิฏฐิ อาศัยศีล ฯลฯ
ปัญญา ... สุขทางกาย ... ทุกข์ทางกาย ... อุตุ ... โภชนะ และเสนาสนะแล้วฆ่าสัตว์
ฯลฯ ทําลายสงฆ์ ศรัทธา ฯลฯ เสนาสนะเป็นปัจจัยแก่ราคะ ฯลฯ ความปรารถนา
โดยอุปนิสสยปัจจัย (๒)

ปุเรชาตปัจจัย
[๖๐] สภาวธรรมที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่กิเลส
ไม่ทำให้เศร้าหมองโดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาตะและ
วัตถุปุเรชาตะ (ย่อ)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๘๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๗. สังกิลิฏฐทุกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่กิเลสทำให้
เศร้าหมองโดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาตะและวัตถุปุเรชาตะ
(ย่อ) (๒)

ปัจฉาชาตปัจจัยและอาเสวนปัจจัย
[๖๑] สภาวธรรมที่กิเลสทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่กิเลส
ไม่ทำให้เศร้าหมองโดยปัจฉาชาตปัจจัย (ย่อ)
สภาวธรรมที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่กิเลสไม่ทำให้
เศร้าหมองโดยปัจฉาชาตปัจจัย (ย่อ)
... เป็นปัจจัยโดยอาเสวนปัจจัย มี ๒ วาระ

กัมมปัจจัย
[๖๒] สภาวธรรมที่กิเลสทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่กิเลส
ทำให้เศร้าหมองโดยกัมมปัจจัย ได้แก่ เจตนาที่กิเลสทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่
สัมปยุตตขันธ์โดยกัมมปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่กิเลสทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่กิเลสไม่ทำให้
เศร้าหมองโดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและนานาขณิกะ
สหชาตะ ได้แก่ เจตนาที่กิเลสทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป
โดยกัมมปัจจัย
นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่กิเลสทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็น
วิบากและกฏัตตารูปโดยกัมมปัจจัย (พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล) ได้แก่ เจตนาที่กิเลส
ทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดยกัมมปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่กิเลสไม่ทำให้
เศร้าหมองโดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและนานาขณิกะ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๘๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๗. สังกิลิฏฐทุกะ ๗. ปัญหาวาร
สหชาตะ ได้แก่ เจตนาที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์
และจิตตสมุฏฐานรูปโดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็น
วิบากและกฏัตตารูปโดยกัมมปัจจัย (๑)

วิปากปัจจัยเป็นต้น
[๖๓] สภาวธรรมที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่กิเลส
ไม่ทำให้เศร้าหมองโดยวิปากปัจจัย มี ๑ วาระ
สภาวธรรมที่กิเลสทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่กิเลสทำให้
เศร้าหมองโดยอาหารปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอินทรียปัจจัย เป็นปัจจัยโดยฌานปัจจัย
เป็นปัจจัยโดยมัคคปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสัมปยุตตปัจจัย

วิปปยุตตปัจจัย
[๖๔] สภาวธรรมที่กิเลสทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่กิเลสไม่ทำ
ให้เศร้าหมองโดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปัจฉาชาตะ
(ย่อ) (๑)
สภาวธรรมที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่กิเลสไม่ทำให้
เศร้าหมองโดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ สหชาตะ ปุเรชาตะ และปัจฉาชาตะ
(ย่อ) (๑)
สภาวธรรมที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่กิเลสทำให้
เศร้าหมองโดยวิปปยุตตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาตะ ได้แก่ หทัยวัตถุเป็น
ปัจจัยแก่ขันธ์ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองโดยวิปปยุตตปัจจัย (๒)

อัตถิปัจจัยเป็นต้น
[๖๕] สภาวธรรมที่กิเลสทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่กิเลส
ทำให้เศร้าหมองโดยอัตถิปัจจัย มี ๑ วาระ (เหมือนกับปฏิจจวาร)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๘๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๗. สังกิลิฏฐทุกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่กิเลสทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่กิเลสไม่ทำให้
เศร้าหมองโดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปัจฉาชาตะ (ย่อ)
สภาวธรรมที่กิเลสทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่กิเลสทำให้
เศร้าหมองและไม่ทำให้เศร้าหมองโดยอัตถิปัจจัย (เหมือนกับปฏิจจวาร) (๓)
สภาวธรรมที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่กิเลสไม่ทำให้
เศร้าหมองโดยอัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาตะ ปุเรชาตะ ปัจฉาชาตะ อาหาระ
และอินทรียะ (ย่อ)
สภาวธรรมที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่กิเลสทำให้
เศร้าหมองโดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปุเรชาตะ (ย่อ) (๒)
[๖๖] สภาวธรรมที่กิเลสทำให้เศร้าหมองและไม่ทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัย
แก่สภาวธรรมที่กิเลสทำให้เศร้าหมองโดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะ
และปุเรชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองและหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่
ขันธ์ ๓ โดยอัตถิปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ (ย่อ) (๑)
สภาวธรรมที่กิเลสทำให้เศร้าหมองและไม่ทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองโดยอัตถิปัจจัย มี ๔ อย่าง คือ สหชาตะ
ปัจฉาชาตะ อาหาระ และอินทรียะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองและมหาภูตรูปเป็นปัจจัยแก่
จิตตสมุฏฐานรูปโดยอัตถิปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองและกวฬิงการาหารเป็นปัจจัย
แก่กายนี้โดยอัตถิปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองและรูปชีวิตินทรีย์เป็นปัจจัย
แก่กฏัตตารูปโดยอัตถิปัจจัย (๒)
... เป็นปัจจัยโดยนัตถิปัจจัย
... เป็นปัจจัยโดยวิคตปัจจัย
... เป็นปัจจัยโดยอวิคตปัจจัย

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๘๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๗. สังกิลิฏฐทุกะ ๗. ปัญหาวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๖๗] เหตุปัจจัย มี ๔ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๔ วาระ
อธิปติปัจจัย มี ๕ วาระ
อนันตรปัจจัย มี ๔ วาระ
สมนันตรปัจจัย มี ๔ วาระ
สหชาตปัจจัย มี ๕ วาระ
อัญญมัญญปัจจัย มี ๒ วาระ
นิสสยปัจจัย มี ๗ วาระ
อุปนิสสยปัจจัย มี ๔ วาระ
ปุเรชาตปัจจัย มี ๒ วาระ
ปัจฉาชาตปัจจัย มี ๒ วาระ
อาเสวนปัจจัย มี ๒ วาระ
กัมมปัจจัย มี ๔ วาระ
วิปากปัจจัย มี ๑ วาระ
อาหารปัจจัย มี ๔ วาระ
อินทรียปัจจัย มี ๔ วาระ
ฌานปัจจัย มี ๔ วาระ
มัคคปัจจัย มี ๔ วาระ
สัมปยุตตปัจจัย มี ๒ วาระ
วิปปยุตตปัจจัย มี ๓ วาระ
อัตถิปัจจัย มี ๗ วาระ
นัตถิปัจจัย มี ๔ วาระ
วิคตปัจจัย มี ๔ วาระ
อวิคตปัจจัย มี ๗ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๘๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๗. สังกิลิฏฐทุกะ ๗. ปัญหาวาร
๒. ปัจจนียุทธาร
[๖๘] สภาวธรรมที่กิเลสทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่กิเลส
ทำให้เศร้าหมองโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย และอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่กิเลสทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่กิเลสไม่ทำให้
เศร้าหมองโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย ปัจฉาชาตปัจจัย
และกัมมปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่กิเลสทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่กิเลสทำให้
เศร้าหมองและไม่ทำให้เศร้าหมองโดยสหชาตปัจจัย (๓)
[๖๙] สภาวธรรมที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่กิเลส
ไม่ทำให้เศร้าหมองโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย ปุเรชาต-
ปัจจัย ปัจฉาชาตปัจจัย กัมมปัจจัย อาหารปัจจัย และอินทรียปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่กิเลสทำให้
เศร้าหมองโดยอารัมมณปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และปุเรชาตปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่กิเลสทำให้เศร้าหมองและไม่ทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่กิเลสทำให้เศร้าหมองโดยสหชาตปัจจัยและปุเรชาตปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่กิเลสทำให้เศร้าหมองและไม่ทำให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองโดยสหชาตปัจจัย ปัจฉาชาตปัจจัย อาหาร-
ปัจจัย และอินทรียปัจจัย (๒)

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๗๐] นเหตุปัจจัย มี ๗ วาระ
นอารัมมณปัจจัย มี ๗ วาระ
นอธิปติปัจจัย มี ๗ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๙๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๗. สังกิลิฏฐทุกะ ๗. ปัญหาวาร

นอนันตรปัจจัย มี ๗ วาระ
นสมนันตรปัจจัย มี ๗ วาระ
สหชาตปัจจัย มี ๕ วาระ
นอัญญมัญญปัจจัย มี ๕ วาระ
นนิสสยปัจจัย มี ๕ วาระ
นอุปนิสสยปัจจัย มี ๗ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย มี ๖ วาระ
นปัจฉาชาตปัจจัย มี ๗ วาระ ฯลฯ
นมัคคปัจจัย มี ๗ วาระ
นสัมปยุตตปัจจัย มี ๕ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย มี ๔ วาระ
โนอัตถิปัจจัย มี ๔ วาระ
โนนัตถิปัจจัย มี ๗ วาระ
โนวิคตปัจจัย มี ๗ วาระ
โนอวิคตปัจจัย มี ๔ วาระ

๓. ปัจจยานุโลมปัจจนียะ

[๗๑] นอารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๔ วาระ
นอธิปติปัจจัย ” มี ๔ วาระ
นอนันตรปัจจัย ” มี ๔ วาระ
นสมนันตรปัจจัย ” มี ๔ วาระ
นอัญญมัญญปัจจัย ” มี ๒ วาระ
นอุปนิสสยปัจจัย ” มี ๔ วาระ ฯลฯ
นสัมปยุตตปัจจัย ” มี ๒ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย ” มี ๒ วาระ
โนนัตถิปัจจัย ” มี ๔ วาระ
โนวิคตปัจจัย ” มี ๔ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๙๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๙. กิเลสสังกิเลสิกทุกะ ๑. ปฏิจจวาร
๔. ปัจจยปัจจนียานุโลม

[๗๒] อารัมมณปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๔ วาระ
อธิปติปัจจัย ” มี ๕ วาระ

(พึงเพิ่มบทอนุโลมมาติกา) ฯลฯ

อวิคตปัจจัย ” มี ๗ วาระ

สังกิลิฏฐทุกะ จบ

๗๘. กิเลสสัมปยุตตทุกะ ๑. ปฏิจจวาร
[๗๓] สภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยกิเลสอาศัยสภาวธรรมที่สัมปยุตด้วยกิเลส
เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สัมปยุตด้วยกิเลสเกิดขึ้น
ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่วิปปยุตจากกิเลสอาศัยสภาวธรรมที่สัมปยุตตด้วยกิเลสเกิดขึ้น
เพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่สัมปยุตด้วยกิเลสเกิดขึ้น (๒)
(กิเลสสัมปยุตตทุกะ เหมือนกับสังกิลิฏฐทุกะ ไม่มีข้อแตกต่างกัน)
กิเลสสัมปยุตตทุกะ จบ

๗๙. กิเลสสังกิเลสิกทุกะ ๑. ปฏิจจวาร
เหตุปัจจัย
[๗๔] สภาวธรรมที่เป็นกิเลสและเป็นอารมณ์ของกิเลสอาศัยสภาวธรรมที่
เป็นกิเลสและเป็นอารมณ์ของกิเลสเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ โมหะ ทิฏฐิ ถีนะ
อุทธัจจะ อหิริกะ และอโนตตัปปะอาศัยโลภะเกิดขึ้น (พึงผูกเป็นจักกนัย) (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๙๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๙. กิเลสสังกิเลสิกทุกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่เป็นอารมณ์ของกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลสอาศัยสภาวธรรมที่เป็นกิเลส
และเป็นอารมณ์ของกิเลสเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ สัมปยุตตขันธ์และจิตต-
สมุฏฐานรูปอาศัยกิเลสเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่เป็นกิเลสเป็นอารมณ์ของกิเลสและที่เป็นอารมร์ของกิเลสแต่ไม่
เป็นกิเลส อาศัยสภาวธรรมที่เป็นกิเลสและเป็นอารมณ์ของกิเลสเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย
ได้แก่ โมหะ ทิฏฐิ ถีนะ อุทธัจจะ อหิริกะ อโนตตัปปะ สัมปยุตตขันธ์ และ
จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยโลภะเกิดขึ้น (๓)
(โดยนัยนี้ ปฏิจจวาร สหชาตวาร ปัจจยวาร นิสสยวาร สังสัฏฐวาร และ
สัมปยุตตวาร ก็เหมือนกับกิเลสทุกะ ไม่มีข้อแตกต่างกัน ส่วนการระบุข้อความ
ต่างกัน)

๗๙. กิเลสสังกิเลสิกทุกะ ๗. ปัญหาวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๗๕] สภาวธรรมที่เป็นกิเลสและเป็นอารมณ์ของกิเลสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่เป็นกิเลสและเป็นอารมณ์ของกิเลสโดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่เป็นกิเลสและเป็น
อารมณ์ของกิเลสเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตกิเลสโดยเหตุปัจจัย (โดยนัยนี้ จึงมี ๔ วาระ
เหมือนกับกิเลสทุกะ) (๔)

อารัมมณปัจจัย
[๗๖] สภาวธรรมที่เป็นกิเลสและเป็นอารมณ์ของกิเลสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่เป็นกิเลสและเป็นอารมณ์ของกิเลสโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ เพราะปรารภกิเลส
ขันธ์ที่เป็นกิเลสจึงเกิดขึ้น (พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล) เพราะปรารภกิเลส ขันธ์ที่เป็น
อารมณ์ของกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลสจึงเกิดขึ้น (พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล) เพราะปรารภกิเลส
กิเลสและสัมปยุตตขันธ์จึงเกิดขึ้น (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๙๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๗๙. กิเลสสังกิเลสิกทุกะ ๗. ปัญหาวาร
[๗๗] สภาวธรรมที่เป็นอารมณ์ของกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่เป็นอารมณ์ของกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลสโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่
บุคคลให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถ ฯลฯ พิจารณากุศลที่เคยสั่งสมไว้ดีแล้ว
ฯลฯ ออกจากฌานแล้วพิจารณาฌาน ยินดีเพลิดเพลิน เพราะปรารภความยินดี
เพลิดเพลินฌานนั้น ราคะจึงเกิดขึ้น ฯลฯ อุทธัจจะ ฯลฯ เมื่อฌานเสื่อมแล้ว
โทมนัสจึงเกิดขึ้นแก่บุคคลผู้มีความเดือดร้อน พระอริยะพิจารณาโคตรภู พิจารณา
โวทาน บุคคลเห็นแจ้งจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุและขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของกิเลสแต่ไม่
เป็นกิเลสโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ
ฯลฯ เป็นปัจจัยแก่อาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย (สองวาระนอกนี้ เหมือนกับ
กิเลสทุกะ แม้อารัมมณฆฏนาก็เหมือนกับกิเลสทุกะ)

อธิปติปัจจัย
[๗๘] สภาวธรรมที่เป็นกิเลสและเป็นอารมณ์ของกิเลสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่เป็นกิเลสและเป็นอารมณ์ของกิเลสโดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ
มี ๓ วาระ
สภาวธรรมที่เป็นอารมณ์ของกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็น
อารมณ์ของกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลสโดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ
และสหชาตาธิปติ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถ ฯลฯ
พิจารณากุศลที่เคยสั่งสมไว้ดีแล้ว ฯลฯ ออกจากฌานแล้วพิจารณาฌานให้เป็นอารมณ์
อย่างหนักแน่น พระเสขะพิจารณาโคตรภูให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นพิจารณา
พิจารณาโวทานให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทําจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุและ
ขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลสให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ขันธ์ที่
เป็นอารมณ์ของกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลสจึงเกิดขึ้น
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่เป็นอารมณ์ของกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลสเป็น
ปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดยอธิปติปัจจัย (วาระ ๒ อย่างนอกนี้
เหมือนกับกิเลสทุกะ แม้อธิปติฆฏนาก็เหมือนกับกิเลสทุกะ)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๙๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๐. กิเลสสังกิลิฏฐทุกะ ๑. ปฏิจจวาร
อนันตรปัจจัยเป็นต้น
[๗๙] สภาวธรรมที่เป็นกิเลสและเป็นอารมณ์ของกิเลสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่เป็นกิเลสและเป็นอารมณ์ของกิเลสโดยอนันตรปัจจัย มี ๓ วาระ (เหมือนกับ
กิเลสทุกะ)
สภาวธรรมที่เป็นอารมณ์ของกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
เป็นอารมณ์ของกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลสโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่เป็นอารมณ์
ของกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลสซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของกิเลสแต่
ไม่เป็นกิเลสซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย อนุโลมเป็นปัจจัยแก่โคตรภู อนุโลม
เป็นปัจจัยแก่โวทาน อาวัชชนจิตเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของกิเลสแต่ไม่เป็น
กิเลสโดยอนันตรปัจจัย
(อนันตรปัจจัย ๒ วาระนอกนี้เหมือนกับกิเลสทุกะในอนันตรปัจจัย ไม่มีข้อ
แตกต่างกัน แม้อนันตรฆฏนาและปัจจัยทั้งหมดก็เหมือนกับกิเลสทุกะ ไม่มีข้อแตก
ต่างกัน ในอุปนิสสยปัจจัยไม่มีโลกุตตระ ทุกะนี้เหมือนกับกิเลสทุกะ ไม่ข้อแตก
ต่างกัน)
กิเลสสังกิเลสิกทุกะ จบ

๘๐. กิเลสสังกิลิฏฐทุกะ ๑. ปฏิจจวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๘๐] สภาวธรรมที่เป็นกิเลสและที่กิเลสทําให้เศร้าหมองอาศัยสภาวธรรมที่
เป็นกิเลสและที่กิเลสทําให้เศร้าหมองเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ โมหะ ทิฏฐิ ถีนะ
อุทธัจจะ อหิริกะ และอโนตตัปปะอาศัยโลภะเกิดขึ้น (พึงผูกเป็นจักกนัย) (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๙๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๐. กิเลสสังกิลิฏฐทุกะ ๑. ปฏิจจวาร
สภาวธรรมที่กิเลสทําให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลสอาศัยสภาวธรรมที่เป็นกิเลส
และที่กิเลสทําให้เศร้าหมองเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ สัมปยุตตขันธ์อาศัย
กิเลสเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่เป็นกิเลสที่กิเลสทําให้เศร้าหมองและที่กิเลสทําให้เศร้าหมองแต่
ไม่เป็นกิเลสอาศัยสภาวธรรมที่เป็นกิเลสและที่กิเลสทําให้เศร้าหมองเกิดขึ้นเพราะ
เหตุปัจจัย ได้แก่ โมหะ ทิฏฐิ ถีนะ อุทธัจจะ อหิริกะ อโนตตัปปะและสัมปยุตตขันธ์
อาศัยโลภะเกิดขึ้น (พึงผูกเป็นจักกนัย) (๓)
[๘๑] สภาวธรรมที่กิเลสทําให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลสอาศัยสภาวธรรมที่
กิเลสทําให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลสเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัย
ขันธ์ ๑ ที่กิเลสทําให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลสเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ
(๑)
สภาวธรรมที่เป็นกิเลสและที่กิเลสทำให้เศร้าหมองอาศัยสภาวธรรมที่กิเลส
ทำให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลสเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ กิเลสอาศัยขันธ์ที่
กิเลสทำให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลสเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่เป็นกิเลสที่กิเลสทําให้เศร้าหมองและที่กิเลสทําให้เศร้าหมองแต่
ไม่เป็นกิเลสอาศัยสภาวธรรมที่กิเลสทําให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลสเกิดขึ้นเพราะ
เหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และกิเลสอาศัยขันธ์ ๑ ที่กิเลสทําให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็น
กิเลสเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๓)
[๘๒] สภาวธรรมที่เป็นกิเลสและที่กิเลสทําให้เศร้าหมองอาศัยสภาวธรรมที่
เป็นกิเลสที่กิเลสทําให้เศร้าหมองและที่กิเลสทําให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลสเกิดขึ้น
เพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ โมหะ ทิฏฐิ ถีนะ อุทธัจจะ อหิริกะ และอโนตตัปปะ
อาศัยโลภะและสัมปยุตตขันธ์เกิดขึ้น (พึงผูกเป็นจักกนัย) (๑)
สภาวธรรมที่กิเลสทําให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลสอาศัยสภาวธรรมที่เป็น
กิเลสที่กิเลสทําให้เศร้าหมองและที่กิเลสทําให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลสเกิดขึ้น
เพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่กิเลสทําให้เศร้าหมองแต่ไม่
เป็นกิเลสและอาศัยกิเลสเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๙๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๐. กิเลสสังกิลิฏฐทุกะ ๑. ปฏิจจวาร
สภาวธรรมที่เป็นกิเลสที่กิเลสทําให้เศร้าหมองและที่ถูกกิเลสทําให้เศร้าหมอง
แต่ไม่เป็นกิเลสอาศัยสภาวธรรมที่เป็นกิเลสที่กิเลสทําให้เศร้าหมองและที่กิเลสทําให้
เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลสเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ โมหะ ทิฏฐิ ถีนะ
อุทธัจจะ อหิริกะ และอโนตตัปปะ อาศัยขันธ์ ๑ ที่กิเลสทําให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็น
กิเลส และอาศัยโลภะเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (พึงผูกเป็นจักกนัย) (๓)

๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร

[๘๓] เหตุปัจจัย มี ๙ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๙ วาระ

(ทุกปัจจัยมีปัจจัยละ ๙ วาระ)

กัมมปัจจัย มี ๙ วาระ
อาหารปัจจัย มี ๙ วาระ ฯลฯ
อวิคตปัจจัย มี ๙ วาระ

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๑. วิภังควาร
นเหตุปัจจัย
[๘๔] สภาวธรรมที่เป็นกิเลสและที่กิเลสทําให้เศร้าหมองอาศัยสภาวธรรมที่
เป็นกิเลสและที่กิเลสทําให้เศร้าหมองเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ โมหะที่
สหรคตด้วยวิจิกิจฉาอาศัยวิจิกิจฉาเกิดขึ้น โมหะที่สหรคด้วยอุทธัจจะอาศัยอุทธัจจะ
เกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่เป็นกิเลสและที่กิเลสทําให้เศร้าหมองอาศัยสภาวธรรมที่กิเลส
ทําให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลสเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ โมหะที่สหรคตด้วย
วิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วยอุทธัจจะอาศัยขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคต
ด้วยอุทธัจจะเกิดขึ้น (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๙๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๐. กิเลสสังกิลิฏฐทุกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่เป็นกิเลสและที่กิเลสทําให้เศร้าหมองอาศัยสภาวธรรมที่เป็น
กิเลสที่กิเลสทําให้เศร้าหมอง และที่กิเลสทําให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลสเกิดขึ้น
เพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ
อาศัยขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และอาศัยวิจิกิจฉาและ
อุทธัจจะเกิดขึ้น (๑)

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒. สังขยาวาร

[๘๕] นเหตุปัจจัย มี ๓ วาระ
นอธิปติปัจจัย มี ๙ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย มี ๙ วาระ
นปัจฉาชาตปัจจัย มี ๙ วาระ
นอาเสวนปัจจัย มี ๙ วาระ
นกัมมปัจจัย มี ๓ วาระ
นวิปากปัจจัย มี ๙ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย มี ๙ วาระ

(โดยนัยนี้ การนับ ๒ อย่างนอกนี้ สหชาตวาร ปัจจยวาร นิสสยวาร
สังสัฏฐวารและสัมปยุตตวารเหมือนกับปฏิจจวาร)

๘๐. กิเลสสังกิลิฏฐทุกะ ๗. ปัญหาวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๘๖] สภาวธรรมที่เป็นกิเลสและที่กิเลสทําให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่เป็นกิเลสและที่กิเลสทําให้เศร้าหมองโดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่เป็น
กิเลสและที่กิเลสทําให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตกิเลสโดยเหตุปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๙๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๐. กิเลสสังกิลิฏฐทุกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่เป็นกิเลสและที่กิเลสทําให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
กิเลสทําให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลสโดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่เป็นกิเลสและที่
กิเลสทําให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์โดยเหตุปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่เป็นกิเลสและที่กิเลสทําให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
เป็นกิเลสที่กิเลสทําให้เศร้าหมอง และที่กิเลสทําให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลสโดย
เหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่เป็นกิเลสและที่กิเลสทําให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต-
ขันธ์และกิเลสโดยเหตุปัจจัย (๓)

อารัมมณปัจจัย
[๘๗] สภาวธรรมที่เป็นกิเลสและที่กิเลสทําให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่เป็นกิเลสและที่กิเลสทําให้เศร้าหมองโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ เพราะ
ปรารภกิเลส กิเลสจึงเกิดขึ้น (พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล) เพราะปรารภกิเลส ขันธ์ที่กิเลส
ทําให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลสจึงเกิดขึ้น (พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล) เพราะปรารภกิเลส
กิเลสและสัมปยุตตขันธ์จึงเกิดขึ้น (๓)
[๘๘] สภาวธรรมที่กิเลสทําให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่กิเลสทําให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลสโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่
เพราะปรารภขันธ์ที่กิเลสทําให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลส ขันธ์ที่กิเลสทําให้เศร้าหมอง
แต่ไม่เป็นกิเลสจึงเกิดขึ้น (พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล) เพราะปรารภขันธ์ที่กิเลสทําให้
เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลส กิเลสจึงเกิดขึ้น (พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล) เพราะปรารภขันธ์
ที่กิเลสทําให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลส กิเลสและสัมปยุตตขันธ์จึงเกิดขึ้น (๓)
(พึงทําวาระนอกนี้ให้เป็น ๓ วาระ)

อธิปติปัจจัย
[๘๙] สภาวธรรมที่เป็นกิเลสและที่กิเลสทําให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่เป็นกิเลสและที่กิเลสทําให้เศร้าหมองโดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว
คือ อารัมมณาธิปติ มี ๓ วาระ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๓๙๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๐. กิเลสสังกิลิฏฐทุกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่กิเลสทําให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
กิเลสทําให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลสโดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ
อารัมมณาธิปติและสหชาตาธิปติ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ ... เพราะทำขันธ์ที่กิเลสทําให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลส
ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ มี ๓ วาระ (อธิปติปัจจัยมี ๒ อย่างพึงเพิ่ม
ให้เป็น ๓ วาระ พึงเพิ่มแม้อธิปติปัจจัย ๒ อย่างนอกนี้ ให้เป็น ๓ วาระ)

อนันตรปัจจัยเป็นต้น
[๙๐] สภาวธรรมที่เป็นกิเลสและที่กิเลสทําให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่เป็นกิเลสและที่กิเลสทําให้เศร้าหมองโดยอนันตรปัจจัย (พึงเพิ่ม
เป็น ๙ วาระ ไม่มีอาวัชชนจิตและวุฏฐานะ)
เป็นปัจจัยโดยสมนันตรปัจจัย
เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย
เป็นปัจจัยโดยอัญญมัญญปัจจัย
เป็นปัจจัยโดยนิสสยปัจจัย
เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๙ วาระ
(ไม่มีทั้งปุเรชาตปัจจัยและปัจฉาชาตปัจจัย)
เป็นปัจจัยโดยอาเสวนปัจจัย

กัมมปัจจัยเป็นต้น
[๙๑] สภาวธรรมที่กิเลสทําให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่กิเลสทําให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลสโดยกัมมปัจจัย ได้แก่ เจตนาที่
กิเลสทําให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์โดยกัมมปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่กิเลสทําให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
เป็นกิเลสและที่กิเลสทําให้เศร้าหมองโดยกัมมปัจจัย ได้แก่ เจตนาที่กิเลสทําให้
เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตกิเลสโดยกัมมปัจจัย (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๐๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๐. กิเลสสังกิลิฏฐทุกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่กิเลสทําให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
เป็นกิเลสที่กิเลสทําให้เศร้าหมองและที่กิเลสทําให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลสโดย
กัมมปัจจัย ได้แก่ เจตนาที่กิเลสทําให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลสเป็นปัจจัยแก่
สัมปยุตตขันธ์และกิเลสโดยกัมมปัจจัย (๓)

... เป็นปัจจัยโดยอาหารปัจจัย มี ๓ วาระ
... เป็นปัจจัยโดยอินทรียปัจจัย มี ๓ วาระ
... เป็นปัจจัยโดยฌานปัจจัย มี ๓ วาระ
... เป็นปัจจัยโดยมัคคปัจจัย มี ๙ วาระ
... เป็นปัจจัยโดยสัมปยุตตปัจจัย มี ๙ วาระ
... เป็นปัจจัยโดยอัตถิปัจจัย มี ๙ วาระ
... เป็นปัจจัยโดยนัตถิปัจจัย มี ๙ วาระ
... เป็นปัจจัยโดยวิคตปัจจัย มี ๙ วาระ
... เป็นปัจจัยโดยอวิคตปัจจัย มี ๙ วาระ

๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๙๒] เหตุปัจจัย มี ๓ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๙ วาระ
อธิปติปัจจัย มี ๙ วาระ
อนันตรปัจจัย มี ๙ วาระ
สมนันตรปัจจัย มี ๙ วาระ
สหชาตปัจจัย มี ๙ วาระ
อัญญมัญญปัจจัย มี ๙ วาระ
นิสสยปัจจัย มี ๙ วาระ
อุปนิสสยปัจจัย มี ๙ วาระ
อาเสวนปัจจัย มี ๙ วาระ
กัมมปัจจัย มี ๓ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๐๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๐. กิเลสสังกิลิฏฐทุกะ ๗. ปัญหาวาร

อาหารปัจจัย มี ๓ วาระ
อินทรียปัจจัย มี ๓ วาระ
ฌานปัจจัย มี ๓ วาระ
มัคคปัจจัย มี ๙ วาระ
สัมปยุตตปัจจัย มี ๙ วาระ
อัตถิปัจจัย มี ๙ วาระ
นัตถิปัจจัย มี ๙ วาระ
วิคตปัจจัย มี ๙ วาระ
อวิคตปัจจัย มี ๙ วาระ

๒. ปัจจนียุทธาร
[๙๓] สภาวธรรมที่เป็นกิเลสและที่กิเลสทําให้เศร้าหมองเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่เป็นกิเลสและที่กิเลสทําให้เศร้าหมองโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย
และอุปนิสสยปัจจัย (มี ๙ วาระ พึงเพิ่มเพียง ๓ บทเท่านั้น)

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒. สังขยาวาร

[๙๔] นเหตุปัจจัย มี ๙ วาระ
นอารัมมณปัจจัย มี ๙ วาระ

(ทุกปัจจัยมีปัจจัยละ ๙ วาระ)

โนอวิคตปัจจัย มี ๙ วาระ

๓. ปัจจยานุโลมปัจจนียะ

[๙๕] นอารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๓ วาระ
นอธิปติปัจจัย ” มี ๓ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๐๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๑. กิเลสกิเลสสัมปยุตตทุกะ ๑. ปฏิจจวาร

นอนันตรปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๓ วาระ
นสมนันตรปัจจัย ” มี ๓ วาระ
นอุปนิสสยปัจจัย ” มี ๓ วาระ ฯลฯ
นมัคคปัจจัย ” มี ๓ วาระ ฯลฯ
นวิปปยุตตปัจจัย ” มี ๓ วาระ
โนนัตถิปัจจัย ” มี ๓ วาระ
โนวิคตปัจจัย ” มี ๓ วาระ

๔. ปัจจยปัจจนียานุโลม

[๙๖] อารัมมณปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๙ วาระ

(พึงเพิ่มบทอนุโลมมาติกา) ฯลฯ

อวิคตปัจจัย ” มี ๙ วาระ

กิเลสสังกิลิฏฐทุกะ จบ

๘๑. กิเลสกิเลสสัมปยุตตทุกะ ๑. ปฏิจจวาร
[๙๗] สภาวธรรมที่เป็นกิเลสและสัมปยุตตด้วยกิเลสอาศัยสภาวธรรมที่เป็น
กิเลสและสัมปยุตด้วยกิเลสเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ โมหะ ทิฏฐิ ถีนะ อุทธัจจะ
อหิริกะ และอโนตตัปปะอาศัยโลภะเกิดขึ้น
(ทุกะนี้เหมือนกับกิเลสสังกิลิฏฐทุกะ ไม่มีข้อแตกต่างกัน พึงขยายวาระ
ทั้งหมดให้พิสดาร)
กิเลสกิเลสสัมปยุตตทุกะ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๐๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๒. ทัสสเนนปหาตัพพทุกะ ๑. ปฏิจจวาร
๘๒. กิเลสวิปปยุตตสังกิเลสิกทุกะ
๑. ปฏิจจวาร
[๙๘] สภาวธรรมที่วิปปยุตจากกิเลสแต่เป็นอารมณ์ของกิเลสอาศัยสภาวธรรม
ที่วิปปยุตจากกิเลสแต่เป็นอารมณ์ของกิเลสเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓
และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่วิปปยุตจากกิเลสแต่เป็นอารมณ์ของกิเลส
เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ
(ทุกะนี้ ไม่มีข้อแตกต่างกันเหมือนโลกิยทุกะ)
กิเลสวิปปยุตตสังกิเลสิกทุกะ จบ
กิเลสโคจฉกะ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๐๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๓. ทัสสเนนปหาตัพพทุกะ ๑. ปฏิจจวาร
๑๓. ปิฏฐทุกะ
๘๓. ทัสสเนนปหาตัพพทุกะ ๑. ปฏิจจวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๑] สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคอาศัยสภาวธรรมที่ต้อง
ประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑
ที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคอาศัยสภาวธรรมที่ต้องประหาณ
ด้วยโสดาปัตติมรรคเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่ต้อง
ประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและที่ไม่ต้องประหาณด้วย
โสดาปัตติมรรคอาศัยสภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยด้วยโสดาปัตติมรรคเกิดขึ้น
เพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่ต้องประหาณ
ด้วยด้วยโสดาปัตติมรรคเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๓)
สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคอาศัยสภาวธรรมที่ไม่ต้อง
ประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และ
จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเกิดขึ้น ฯลฯ
อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ หทัยวัตถุอาศัยขันธ์เกิดขึ้น ขันธ์อาศัย
หทัยวัตถุเกิดขึ้น ... อาศัยมหาภูตรูป ๑ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคอาศัยสภาวธรรมที่ต้องประหาณ
ด้วยโสดาปัตติมรรคและที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย
ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและอาศัย
มหาภูตรูปเกิดขึ้น (ย่อ)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๐๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๓. ทัสสเนนปหาตัพพทุกะ ๑. ปฏิจจวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร

[๒] เหตุปัจจัย มี ๕ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๒ วาระ
อธิปติปัจจัย มี ๕ วาระ
อนันตรปัจจัย มี ๒ วาระ
สมนันตรปัจจัย มี ๒ วาระ
สหชาตปัจจัย มี ๕ วาระ
อัญญมัญญปัจจัย มี ๒ วาระ
นิสสยปัจจัย มี ๕ วาระ
อุปนิสสยปัจจัย มี ๒ วาระ
ปุเรชาตปัจจัย มี ๒ วาระ
อาเสวนปัจจัย มี ๒ วาระ
กัมมปัจจัย มี ๕ วาระ
วิปากปัจจัย มี ๑ วาระ
อาหารปัจจัย มี ๕ วาระ ฯลฯ
อวิคตปัจจัย มี ๕ วาระ

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๑. วิภังควาร
นเหตุปัจจัย
[๓] สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคอาศัยสภาวธรรมที่ต้อง
ประหาณด้วยด้วยโสดาปัตติมรรคเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ โมหะที่สหรคต
ด้วยวิจิกิจฉาอาศัยขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคอาศัยสภาวธรรมที่ไม่ต้อง
ประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ ... อาศัยขันธ์ ๑

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๐๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๓. ทัสสเนนปหาตัพพทุกะ ๑. ปฏิจจวาร
ที่ไม่มีเหตุซึ่งไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะที่เป็น
อเหตุกะ ฯลฯ (พึงเพิ่มข้อความจนถึงอสัญญสัตตพรหม) โมหะที่สหรคตด้วย
อุทธัจจะอาศัยขันธ์ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเกิดขึ้น (๑)

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒. สังขยาวาร

[๔] นเหตุปัจจัย มี ๒ วาระ
นอารัมมณปัจจัย มี ๓ วาระ
นอธิปติปัจจัย มี ๕ วาระ
นอนันตรปัจจัย มี ๓ วาระ
นสมนันตรปัจจัย มี ๓ วาระ
นอัญญมัญญปัจจัย มี ๓ วาระ
นอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย มี ๔ วาระ
นปัจฉาชาตปัจจัย มี ๕ วาระ
นอาเสวนปัจจัย มี ๕ วาระ
นกัมมปัจจัย มี ๒ วาระ
นวิปากปัจจัย มี ๕ วาระ
นอาหารปัจจัย มี ๑ วาระ
นอินทรียปัจจัย มี ๑ วาระ
นฌานปัจจัย มี ๑ วาระ
นมัคคปัจจัย มี ๑ วาระ
นสัมปยุตตปัจจัย มี ๓ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ วาระ
โนนัตถิปัจจัย มี ๓ วาระ
โนวิคตปัจจัย มี ๓ วาระ

(การนับ ๒ อย่างนอกนี้และสหชาตวาร พึงทําอย่างนี้)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๐๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๓. ทัสสเนนปหาตัพพทุกะ ๓. ปัจจยวาร
๘๓. ทัสสเนนปหาตัพพทุกะ ๓. ปัจจยวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๕] สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคทำสภาวธรรมที่ต้อง
ประหาณด้วยด้วยโสดาปัตติมรรคให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย มี ๓ วาระ
(เหมือนกับปฏิจจวาร)
[๖] สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคทำสภาวธรรมที่ไม่ต้อง
ประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓
และจิตตสมุฏฐานรูปทำขันธ์ ๑ ที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคให้เป็นปัจจัย
เกิดขึ้น ฯลฯ ทำขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (พึงเพิ่มข้อความจนถึง
มหาภูตรูปภายใน) ขันธ์ที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคทำหทัยวัตถุให้เป็น
ปัจจัยเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคทำสภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณ
ด้วยโสดาปัตติมรรคให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่ต้องประหาณ
ด้วยโสดาปัตติมรรคทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและที่ไม่ต้องประหาณด้วย
โสดาปัตติมรรคทำสภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคให้เป็นปัจจัย
เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคทำหทัยวัตถุ
ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปทำมหาภูตรูปให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๓)
[๗] สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคทำสภาวธรรมที่ต้อง
ประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคให้เป็นปัจจัย
เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ ทำขันธ์ ๑ ที่ต้องประหาณด้วย
โสดาปัตติมรรคและทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ทำขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๐๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๓. ทัสสเนนปหาตัพพทุกะ ๓. ปัจจยวาร
สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคทำสภาวธรรมที่ต้องประหาณ
ด้วยโสดาปัตติมรรคและที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น
เพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปทำขันธ์ที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค
และทำมหาภูตรูปให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและที่ไม่ต้องประหาณด้วย
โสดาปัตติมรรคทำสภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค และที่ไม่ต้อง
ประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓
ทำขันธ์ ๑ ที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น
ฯลฯ ทำขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปทำขันธ์ที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค
และทำมหาภูตรูปให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๓)

๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร

[๘] เหตุปัจจัย มี ๙ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๔ วาระ
อธิปติปัจจัย มี ๙ วาระ ฯลฯ
อวิคตปัจจัย มี ๙ วาระ

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๑. วิภังควาร
นเหตุปัจจัย
[๙] สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคทำสภาวธรรมที่ต้อง
ประหาณด้วยด้วยโสดาปัตติมรรคให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ โมหะ
ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาทำขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคทำสภาวธรรมที่ไม่ต้อง
ประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓
และจิตตสมุฏฐานรูปทำขันธ์ ๑ ที่ไม่มีเหตุซึ่งไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๐๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๓. ทัสสเนนปหาตัพพทุกะ ๓. ปัจจยวาร
ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ทำขันธ์ ๒ ฯลฯ (พึงเพิ่มข้อความจนถึงอสัญญสัตต-
พรหม) จักขุวิญญาณทำจักขายตนะให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ กายวิญญาณทำ
กายายตนะให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ขันธ์ที่ไม่มีเหตุซึ่งไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค
ทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น โมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะทำขันธ์ที่สหรคตด้วย
อุทธัจจะให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น โมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัย
เกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคทำสภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณ
ด้วยโสดาปัตติมรรคให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ โมหะที่สหรคตด้วย
วิจิกิจฉาทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคทำสภาวธรรมที่ต้องประหาณ
ด้วยโสดาปัตติมรรคและที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น
เพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาทำขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา
และทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๑)

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๑๐] นเหตุปัจจัย มี ๔ วาระ
นอารัมมณปัจจัย มี ๓ วาระ
นอธิปติปัจจัย มี ๙ วาระ
นอนันตรปัจจัย มี ๓ วาระ
นสมนันตรปัจจัย มี ๓ วาระ
นอัญญมัญญปัจจัย มี ๓ วาระ
นอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย มี ๔ วาระ
นปัจฉาชาตปัจจัย มี ๙ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๑๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๓. ทัสสเนนปหาตัพพทุกะ ๕. สังสัฏฐวาร

นอาเสวนปัจจัย มี ๙ วาระ
นกัมมปัจจัย มี ๔ วาระ
นวิปากปัจจัย มี ๙ วาระ
นอาหารปัจจัย มี ๑ วาระ
นอินทรียปัจจัย มี ๑ วาระ
นฌานปัจจัย มี ๑ วาระ
นมัคคปัจจัย มี ๑ วาระ
นสัมปยุตตปัจจัย มี ๓ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ วาระ
โนนัตถิปัจจัย มี ๓ วาระ
โนวิคตปัจจัย มี ๓ วาระ

(การนับ ๒ อย่างนอกนี้และนิสสยวารพึงทำอย่างนี้)

๘๓. ทัสสเนนปหาตัพพทุกะ ๕. สังสัฏฐวาร
๑. ปัจจยานุโลมเป็นต้น
[๑๑] สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเกิดระคนกับสภาวธรรม
ที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเพราะเหตุปัจจัย (ย่อ) (๑)
สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเกิดระคนกับสภาวธรรมที่ไม่
ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเพราะเหตุปัจจัย (ย่อ) (๑)

เหตุปัจจัย มี ๒ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๒ วาระ
อธิปติปัจจัย มี ๒ วาระ

(ทุกปัจจัยมีปัจจัยละ ๒ วาระ)

วิปากปัจจัย มี ๑ วาระ ฯลฯ
อวิคตปัจจัย มี ๒ วาระ

อนุโลม จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๑๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๓. ทัสสเนนปหาตัพพทุกะ ๗. ปัญหาวาร
[๑๒] สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเกิดระคนกับสภาวธรรม
ที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ โมหะที่สหรคตด้วย
วิจิกิจฉาเกิดระคนกับขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา (๑)
สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเกิดระคนกับสภาวธรรมที่ไม่
ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเพราะนเหตุปัจจัย (ย่อ) (๑)

นเหตุปัจจัย มี ๒ วาระ
นอธิปติปัจจัย มี ๒ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย มี ๒ วาระ
นปัจฉาชาตปัจจัย มี ๒ วาระ
นอาเสวนปัจจัย มี ๒ วาระ
นกัมมปัจจัย มี ๒ วาระ
นวิปากปัจจัย มี ๒ วาระ
นฌานปัจจัย มี ๑ วาระ
นมัคคปัจจัย มี ๑ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ วาระ

ปัจจนียะ จบ
(การนับ ๒ อย่างนอกนี้และสัมปยุตตวารพึงทำอย่างนี้)

๘๓. ทัสสเนนปหาตัพพทุกะ ๗. ปัญหาวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๑๓] สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยเหตุปัจจัย มี ๓ วาระ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๑๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๓. ทัสสเนนปหาตัพพทุกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่
ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่ไม่ต้องประหาณด้วย
โสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดยเหตุปัจจัย
ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)

อารัมมณปัจจัย
[๑๔] สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลยินดีเพลิด
เพลินราคะที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลิน
ราคะนั้น ราคะที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิ ฯลฯ วิจิกิจฉา
ฯลฯ โทมนัสที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคจึงเกิดขึ้น บุคคลยินดีเพลิดเพลิน
ทิฏฐิที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินทิฏฐินั้น
ราคะที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิ ฯลฯ วิจิกิจฉา ฯลฯ
โทมนัสที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคจึงเกิดขึ้นเพราะปรารภวิจิกิจฉา วิจิกิจฉา
จึงเกิดขึ้น ทิฏฐิ ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้นเพราะปรารภโทมนัสที่ต้องประหาณด้วย
โสดาปัตติมรรค โทมนัสที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น
วิจิกิจฉาจึงเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่
ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ พระอริยะพิจารณา
กิเลสที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคซึ่งละได้แล้ว รู้กิเลสที่เคยเกิดขึ้น ฯลฯ
เห็นแจ้งขันธ์ที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ รู้จิต
ของบุคคลผู้มีความพรั่งพร้อมด้วยจิต ที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคด้วย
เจโตปริยญาณ ขันธ์ที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่เจโตปริยญาณ
ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ยถากัมมูปคญาณ อนาคตังสญาณ และอาวัชชนจิตโดย
อารัมมณปัจจัย (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๑๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๓. ทัสสเนนปหาตัพพทุกะ ๗. ปัญหาวาร
[๑๕] สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคล
ให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถแล้วพิจารณากุศลนั้นยินดีเพลิดเพลิน เพราะ
ปรารภความ ยินดีเพลิดเพลินกุศลนั้น ราคะที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค
จึงเกิดขึ้น อุทธัจจะ ฯลฯ โทมนัสที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคจึงเกิดขึ้น
บุคคลพิจารณากุศลที่เคยสั่งสมไว้ดีแล้ว ฯลฯ ออกจากฌาน ฯลฯ พระอริยะ
ออกจากมรรคแล้ว พิจารณามรรค ฯลฯ เป็นปัจจัยแก่ผลและอาวัชชนจิตโดย
อารัมมณปัจจัย พระอริยะพิจารณากิเลสที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคซึ่ง
ละได้แล้วพิจารณากิเลสที่ข่มได้แล้ว รู้กิเลสที่เคยเกิดขึ้น ฯลฯ เห็นแจ้งจักษุ ฯลฯ
หทัยวัตถุและขันธ์ที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ
ยินดีเพลิดเพลิน เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้น ราคะที่ไม่ต้อง
ประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคจึงเกิดขึ้น อุทธัจจะ ฯลฯ โทมนัสที่ไม่ต้องประหาณ
ด้วยโสดาปัตติมรรคจึงเกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฯลฯ เป็นปัจจัยแก่
อนาคตังสญาณและอาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทาน
ศีล รักษาอุโบสถ ฯลฯ พิจารณากุศลที่เคยสั่งสมไว้ดีแล้ว ฯลฯ ออกจากฌาน ฯลฯ
ยินดีเพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุและขันธ์ที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค
เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้น ราคะที่ต้องประหาณด้วย
โสดาปัตติมรรคจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิ ฯลฯ วิจิกิจฉา ฯลฯ โทมนัสที่ต้องประหาณ
ด้วยโสดาปัตติมรรคจึงเกิดขึ้น (๒)

อธิปติปัจจัย
[๑๖] สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ
และสหชาตาธิปติ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๑๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๓. ทัสสเนนปหาตัพพทุกะ ๗. ปัญหาวาร
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลยินดีเพลิดเพลินราคะที่ต้องประหาณด้วย
โสดาปัตติมรรคให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทําความยินดีเพลิดเพลินราคะ
นั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค ฯลฯ
ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น ยินดีเพลิดเพลินทิฏฐิให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็น
ปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์โดยอธิปติปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่
ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ
ได้แก่ อธิบดีธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป
โดยอธิปติปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ต้อง
ประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยอธิปติปัจจัย
มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติ-
มรรคเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดยอธิปติปัจจัย (๓)
[๑๗] สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ
อารัมมณาธิปติและสหชาตาธิปติ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถ ฯลฯ
พิจารณากุศลที่เคยสั่งสมไว้ดีแล้ว ฯลฯ ออกจากฌานแล้วพิจารณาฌานให้เป็น
อารมณ์อย่างหนักแน่นยินดีเพลิดเพลิน เพราะทําความยินดีเพลิดเพลินฌานนั้นให้
เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคจึงเกิดขึ้น
พระอริยะออกจากมรรคแล้วพิจารณามรรคให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ
เป็นปัจจัยแก่ผลโดยอธิปติปัจจัย บุคคลยินดีเพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุและ
ขันธ์ที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทํา
ความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะที่ไม่ต้อง
ประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคจึงเกิดขึ้น

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๑๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๓. ทัสสเนนปหาตัพพทุกะ ๗. ปัญหาวาร
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็น
ปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดยอธิปติปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ต้อง
ประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ
ได้แก่ บุคคลให้ทาน ฯลฯ พิจารณาฌาน ฯลฯ ยินดีเพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ
หทัยวัตถุ และขันธ์ที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น
เพราะทำความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะ
ที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น (๒)

อนันตรปัจจัย
[๑๘] สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่ต้อง
ประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ต้องประหาณด้วย
โสดาปัตติมรรคซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่
ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่ต้องประหาณด้วย
โสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะโดยอนันตรปัจจัย (พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล) ขันธ์
ที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคซึ่งเกิดก่อน ๆ ฯลฯ เป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติ
โดยอนันตรปัจจัย (พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล) อาวัชชนจิตเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ต้องประหาณ
ด้วยโสดาปัตติมรรคโดยอนันตรปัจจัย (๒)

... เป็นปัจจัยโดยสมนันตรปัจจัย มี ๕ วาระ
... เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย มี ๕ วาระ
... เป็นปัจจัยโดยอัญญมัญญปัจจัย มี ๒ วาระ
... เป็นปัจจัยโดยนิสสยปัจจัย มี ๗ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๑๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๓. ทัสสเนนปหาตัพพทุกะ ๗. ปัญหาวาร
อุปนิสสยปัจจัย
[๑๙] สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ
อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยราคะที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค
แล้วฆ่าสัตว์ ฯลฯ ทำลายสงฆ์ อาศัยโทสะที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค ฯลฯ
โมหะ ฯลฯ ทิฏฐิ ฯลฯ ความปรารถนาแล้วฆ่าสัตว์ ฯลฯ ทําลายสงฆ์ ราคะที่
ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค ฯลฯ ความปรารถนาเป็นปัจจัยแก่ราคะที่ต้อง
ประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค ฯลฯ ความปรารถนาโดยอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่
ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ
อนันตรูปนิสสยะและปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยราคะที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค
แล้วให้ทาน ฯลฯ ทําสมาบัติให้เกิดขึ้น อาศัยโทสะที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติ-
มรรค ฯลฯ โมหะ ฯลฯ ทิฏฐิ ฯลฯ ความปรารถนาแล้วให้ทาน ฯลฯ ทํา
สมาบัติให้เกิดขึ้น ราคะที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค ฯลฯ ความปรารถนา
เป็นปัจจัยแก่ศรัทธา ฯลฯ ปัญญา ... ราคะที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค
...โทสะ ... โมหะ ... มานะ ... ความปรารถนา ... สุขทางกาย ฯลฯ ผลสมาบัติ
โดยอุปนิสสยปัจจัย (๒)
[๒๐] สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ
อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยศรัทธาแล้วให้ทาน ฯลฯ ทําสมาบัติให้
เกิดขึ้น มีมานะ อาศัยศีล ฯลฯ ปัญญา ฯลฯ ราคะที่ไม่ต้องประหาณด้วย
โสดาปัตติมรรค ... โทสะ ... โมหะ ... มานะ ... ความปรารถนา ... สุขทางกาย
ฯลฯ เสนาสนะแล้วให้ทาน ฯลฯ ทําสมาบัติให้เกิดขึ้น มีมานะ ศรัทธา ฯลฯ ปัญญา

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๑๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๓. ทัสสเนนปหาตัพพทุกะ ๗. ปัญหาวาร
ฯลฯ ราคะที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค ฯลฯ ความปรารถนา ฯลฯ
สุขทางกาย ฯลฯ เสนาสนะเป็นปัจจัยแก่ศรัทธา ฯลฯ ปัญญา ... ราคะที่ไม่
ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค ฯลฯ ความปรารถนา ... สุขทางกาย ...
ทุกข์ทางกาย ... มรรค และผลสมาบัติโดยอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ
อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยศรัทธาแล้ว ถือทิฏฐิ อาศัยศีล ฯลฯ ปัญญา
ฯลฯ ราคะที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค ... โทสะ ... โมหะ ... มานะ ...
ความปรารถนา ... สุขทางกาย ฯลฯ เสนาสนะแล้ว ฆ่าสัตว์ ฯลฯ ทำลายสงฆ์
ศรัทธา ฯลฯ เสนาสนะ เป็นปัจจัยแก่ราคะที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค ...
โทสะ ... โมหะ ... ทิฏฐิ และความปรารถนาโดยอุปนิสสยปัจจัย (๒)

ปุเรชาตปัจจัย
[๒๑] สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ
อารัมมณปุเรชาตะและวัตถุปุเรชาตะ
อารัมมณปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลเห็นแจ้งจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุโดยเป็น
สภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ ยินดีเพลิดเพลิน เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินจักษุ
เป็นต้นนั้น ราคะที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค ฯลฯ อุทธัจจะ ฯลฯ
โทมนัสที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคจึงเกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ
ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะเป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ ฯลฯ
วัตถุปุเรชาตะ ได้แก่ จักขายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ
กายายตนะ ฯลฯ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค
โดยปุเรชาตปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๑๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๓. ทัสสเนนปหาตัพพทุกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ
อารัมมณปุเรชาตะและวัตถุปุเรชาตะ
อารัมมณปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลยินดีเพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ
เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้น ราคะที่ต้องประหาณด้วย
โสดาปัตติมรรค ฯลฯ ทิฏฐิ ฯลฯ วิจิกิจฉา ฯลฯ โทมนัสที่ต้องประหาณด้วย
โสดาปัตติมรรคจึงเกิดขึ้น
วัตถุปุเรชาตะ ได้แก่ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ต้องประหาณด้วย
โสดาปัตติมรรคโดยปุเรชาตปัจจัย (๒)

ปัจฉาชาตปัจจัยและอาเสวนปัจจัย
[๒๒] สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยปัจฉาชาตปัจจัย (ย่อ) (๑)
สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่
ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยปัจฉาชาตปัจจัย (ย่อ)
... เป็นปัจจัยโดยอาเสวนปัจจัย มี ๒ วาระ

กัมมปัจจัย
[๒๓] สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยกัมมปัจจัย ได้แก่ เจตนาที่ต้องประหาณด้วย
โสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์โดยกัมมปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่
ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะ
และนานาขณิกะ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๑๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๓. ทัสสเนนปหาตัพพทุกะ ๗. ปัญหาวาร
สหชาตะ ได้แก่ เจตนาที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่จิตต-
สมุฏฐานรูปโดยกัมมปัจจัย
นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่
ขันธ์ที่เป็นวิบากและกฏัตตารูปโดยกัมมปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ต้อง
ประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยกัมมปัจจัย
ได้แก่ เจตนาที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และ
จิตตสมุฏฐานรูปโดยกัมมปัจจัย (๓)
[๒๔] สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ
สหชาตะและนานาขณิกะ
สหชาตะ ได้แก่ เจตนาที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่
สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่
ขันธ์ที่เป็นวิบากและกฏัตตารูปโดยกัมมปัจจัย

วิปากปัจจัยเป็นต้น
[๒๕] สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยวิปากปัจจัย มี ๑ วาระ

เป็นปัจจัยโดยอาหารปัจจัย มี ๔ วาระ
เป็นปัจจัยโดยอินทรียปัจจัย มี ๔ วาระ
เป็นปัจจัยโดยฌานปัจจัย มี ๔ วาระ
เป็นปัจจัยโดยมัคคปัจจัย มี ๔ วาระ
เป็นปัจจัยโดยสัมปยุตตปัจจัย มี ๒ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๒๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๓. ทัสสเนนปหาตัพพทุกะ ๗. ปัญหาวาร
วิปปยุตตปัจจัย
[๒๖] สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะ
และปัจฉาชาตะ (ย่อ) (๑)
สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ สหชาตะ
ปุเรชาตะ และปัจฉาชาตะ (ย่อ)
สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยวิปปยุตตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาตะ
ได้แก่ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยวิปปยุตต-
ปัจจัย (๒)

อัตถิปัจจัยเป็นต้น
[๒๗] สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยอัตถิปัจจัย (เหมือนกับปฏิจจวาร)
สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่
ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะ
และปัจฉาชาตะ (ย่อ)
สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ต้อง
ประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดย
อัตถิปัจจัย (เหมือนกับปฏิจจวาร) (๓)
สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่
ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยอัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาตะ ปุเรชาตะ
ปัจฉาชาตะ อาหาระ และอินทรียะ (ย่อ)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๒๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๓. ทัสสเนนปหาตัพพทุกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยอัตถิปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาตะ
ได้แก่ บุคคลเห็นแจ้งจักษุ ฯลฯ (ย่อ เหมือนกับปุเรชาตปัจจัย) (๒)
[๒๘] สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและที่ไม่ต้องประหาณ
ด้วยโสดาปัตติมรรค เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค
โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปุเรชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและหทัยวัตถุ
เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัตถิปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและที่ไม่ต้องประหาณด้วย
โสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดย
อัตถิปัจจัย มี ๔ อย่าง คือ สหชาตะ ปัจฉาชาตะ อาหาระ และอินทรียะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมหาภูตรูปเป็น
ปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดยอัตถิปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและกวฬิงการา-
หารเป็นปัจจัยแก่กายนี้โดยอัตถิปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและรูปชีวิตินทรีย์
เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปโดยอัตถิปัจจัย (๒)
... เป็นปัจจัยโดยนัตถิปัจจัย
... เป็นปัจจัยโดยวิคตปัจจัย
... เป็นปัจจัยโดยอวิคตปัจจัย

๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๒๙] เหตุปัจจัย มี ๔ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๔ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๒๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๓. ทัสสเนนปหาตัพพทุกะ ๗. ปัญหาวาร

อธิปติปัจจัย มี ๕ วาระ
อนันตรปัจจัย มี ๔ วาระ
สมนันตรปัจจัย มี ๔ วาระ
สหชาตปัจจัย มี ๕ วาระ
อัญญมัญญปัจจัย มี ๒ วาระ
นิสสยปัจจัย มี ๗ วาระ
อุปนิสสยปัจจัย มี ๔ วาระ
ปุเรชาตปัจจัย มี ๒ วาระ
ปัจฉาชาตปัจจัย มี ๒ วาระ
อาเสวนปัจจัย มี ๒ วาระ
กัมมปัจจัย มี ๔ วาระ
วิปากปัจจัย มี ๑ วาระ
อาหารปัจจัย มี ๔ วาระ
อินทรียปัจจัย มี ๔ วาระ
ฌานปัจจัย มี ๔ วาระ
มัคคปัจจัย มี ๔ วาระ
สัมปยุตตปัจจัย มี ๒ วาระ
วิปปยุตตปัจจัย มี ๓ วาระ
อัตถิปัจจัย มี ๗ วาระ
นัตถิปัจจัย มี ๔ วาระ
วิคตปัจจัย มี ๔ วาระ
อวิคตปัจจัย มี ๗ วาระ

๒. ปัจจนียุทธาร
[๓๐] สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย และ
อุปนิสสยปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๒๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๓. ทัสสเนนปหาตัพพทุกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่
ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย
ปัจฉาชาตปัจจัย และกัมมปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ต้อง
ประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดย
สหชาตปัจจัย (๓)
[๓๑] สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย
อุปนิสสยปัจจัย ปุเรชาตปัจจัย ปัจฉาชาตปัจจัย กัมมปัจจัย อาหารปัจจัย และ
อินทรียปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยอารัมมณปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และ
ปุเรชาตปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและที่ไม่ต้องประหาณด้วย
โสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดย
สหชาตปัจจัย และปุเรชาตปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและที่ไม่ต้องประหาณด้วย
โสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดย
สหชาตปัจจัย ปัจฉาชาตปัจจัย อาหารปัจจัย และอินทรียปัจจัย (๒)

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๓๒] นเหตุปัจจัย มี ๗ วาระ
นอารัมมณปัจจัย มี ๗ วาระ
นอธิปติปัจจัย มี ๗ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๒๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๓. ทัสสเนนปหาตัพพทุกะ ๗. ปัญหาวาร

นอนันตรปัจจัย มี ๗ วาระ
นสมนันตรปัจจัย มี ๗ วาระ
นสหชาตปัจจัย มี ๕ วาระ
นอัญญมัญญปัจจัย มี ๕ วาระ
นนิสสยปัจจัย มี ๕ วาระ
นอุปนิสสยปัจจัย มี ๗ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย มี ๖ วาระ
นปัจฉาชาตปัจจัย มี ๗ วาระ ฯลฯ
นมัคคปัจจัย มี ๗ วาระ
นสัมปยุตตปัจจัย มี ๕ วาระ
โนอัตถิปัจจัย มี ๔ วาระ
โนนัตถิปัจจัย มี ๗ วาระ
โนวิคตปัจจัย มี ๗ วาระ
โนอวิคตปัจจัย มี ๔ วาระ

๓. ปัจจยานุโลมปัจจนียะ

[๓๓] นอารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๔ วาระ
นอธิปติปัจจัยา ” มี ๙ วาระ
นอนันตรปัจจัย ” มี ๔ วาระ
นสมนันตรปัจจัย ” มี ๔ วาระ
นอัญญมัญญปัจจัย ” มี ๒ วาระ
นอุปนิสสยปัจจัย ” มี ๔ วาระ

(ทุกปัจจัยมีปัจจัยละ ๔ วาระ)

นสัมปยุตตปัจจัย ” มี ๒ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย ” มี ๒ วาระ
โนนัตถิปัจจัย ” มี ๔ วาระ
โนวิคตปัจจัย ” มี ๔ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๒๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๔. ภาวนายปหาตัพพทุกะ ๑. ปฏิจจวาร
๔. ปัจจยปัจจนียานุโลม

[๓๔] อารัมมณปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๔ วาระ
อธิปติปัจจัย ” มี ๕ วาระ

(พึงเพิ่มบทอนุโลมมาติกา) ฯลฯ

อวิคตปัจจัย ” มี ๗ วาระ

ทัสสเนนปหาตัพพทุกะ จบ

๘๔. ภาวนายปหาตัพพทุกะ ๑. ปฏิจจวาร
๑. ปัจจยานุโลมเป็นต้น
[๓๕] สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ อาศัยสภาวธรรมที่
ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย (พึงขยายให้พิสดาร
เหมือนทัสสเนนปหาตัพพทุกะ ไม่มีข้อแตกต่างกัน)

เหตุปัจจัย มี ๕ วาระ ฯลฯ
อวิคตปัจจัย มี ๕ วาระ

อนุโลม จบ
สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ อาศัยสภาวธรรมที่ต้อง
ประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ โมหะที่สหรคต
ด้วยอุทธัจจะอาศัยขันธ์ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเกิดขึ้น
สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ อาศัยสภาวธรรมที่ไม่ต้อง
ประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ ... อาศัย
ขันธ์ ๑ ที่ไม่มีเหตุซึ่งไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ฯลฯ (พึงเพิ่มข้อความ
จนถึงอสัญญสัตตพรหม) โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา อาศัยขันธ์ที่สหรคตด้วย
วิจิกิจฉาเกิดขึ้น (ย่อ)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๒๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๔. ภาวนายปหาตัพพทุกะ ๗. ปัญหาวาร

นเหตุปัจจัย มี ๒ วาระ ฯลฯ
โนวิคตปัจจัย มี ๓ วาระ

ปัจจนียะ จบ
(นเหตุปัจจัยที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ในปัจจนียะแห่งปัจจยวาร มี ๓ วาระ
พึงยกโมหะขึ้นแสดง วาระแม้ทั้งหมดเหมือนกับทัสสเนนปหาตัพพทุกะ แม้
อุทธัจจนียะก็ต่างกัน)

๘๔. ภาวนายปหาตัพพทุกะ ๗. ปัญหาวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๓๖] สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ โดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่ต้อง
ประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์โดยเหตุปัจจัย มี ๓ วาระ
สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ โดยเหตุปัจจัย (ย่อ) (๑)

อารัมมณปัจจัย
[๓๗] สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ โดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่
บุคคลยินดีเพลิดเพลินราคะที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เพราะปรารภ
ความยินดีเพลิดเพลินราคะนั้น ราคะที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ฯลฯ
อุทธัจจะ ฯลฯ โทมนัสที่มรรคเบื้องบน ๓ พึงประหาณ ฯลฯ เพราะปรารภอุทธัจจะ
อุทธัจจะจึงเกิดขึ้น โทมนัสที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ จึงเกิดขึ้นเพราะ
ปรารภโทมนัสที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ โทมนัสที่ต้องประหาณด้วย
มรรคเบื้องบน ๓ ฯลฯ อุทธัจจะจึงเกิดขึ้น (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๒๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๔. ภาวนายปหาตัพพทุกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
ไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ โดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ พระอริยะ
พิจารณากิเลสที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ซึ่งละได้แล้ว ฯลฯ พิจารณา
กิเลสที่ข่มได้แล้ว ฯลฯ รู้กิเลสที่เคยเกิดขึ้น ฯลฯ เห็นแจ้งขันธ์ที่ต้องประหาณ
ด้วยมรรคเบื้องบน ๓ โดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ ยินดีเพลิดเพลิน เพราะ
ปรารภความยินดีเพลิดเพลินขันธ์นั้น ราคะที่ไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓
จึงเกิดขึ้น ทิฏฐิ ฯลฯ วิจิกิจฉา ฯลฯ โทมนัสที่ไม่ต้องประหาณด้วยมรรค
เบื้องบน ๓ จึงเกิดขึ้น บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้มีความพรั่งพร้อมด้วยจิตที่ต้อง
ประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ด้วยเจโตปริยญาณ ขันธ์ที่ต้องประหาณด้วยมรรค
เบื้องบน ๓ เป็นปัจจัยแก่เจโตปริยญาณ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ยถากัมมูปคญาณ
อนาคตังสญาณ และอาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย (๒)
[๓๘] สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ โดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่
บุคคลให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถแล้ว พิจารณากุศลนั้น ยินดีเพลิดเพลิน
เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินกุศลนั้น ราคะที่ไม่ต้องประหาณด้วยมรรค
เบื้องบน ๓ จึงเกิดขึ้น ทิฏฐิ ฯลฯ วิจิกิจฉา ฯลฯ โทมนัสที่ไม่ต้องประหาณ
ด้วยมรรคเบื้องบน ๓ จึงเกิดขึ้น บุคคลพิจารณากุศลที่เคยสั่งสมไว้ดีแล้ว ฯลฯ
ออกจากฌาน ฯลฯ พระอริยะออกจากมรรค ฯลฯ เป็นปัจจัยแก่ผลและอาวัชชนจิต
โดยอารัมมณปัจจัย พระอริยะพิจารณากิเลสที่ไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓
ซึ่งละได้แล้ว ฯลฯ บุคคลเห็นแจ้งจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุและขันธ์ที่ไม่ต้องประหาณ
ด้วยมรรคเบื้องบน ๓ โดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ ยินดีเพลิดเพลิน เพราะปรารภ
ความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้น ราคะที่ไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓
จึงเกิดขึ้น ทิฏฐิ ฯลฯ วิจิกิจฉา ฯลฯ โทมนัสที่ไม่ต้องประหาณ ด้วยมรรคเบื้องบน
๓ จึงเกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฯลฯ เป็นปัจจัยแก่ยถากัมมูปคญาณ
อนาคตังสญาณ และอาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๒๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๔. ภาวนายปหาตัพพทุกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ โดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลให้ทาน
สมาทานศีล ฯลฯ พิจารณาฌาน ฯลฯ ยินดีเพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ
และขันธ์ที่ไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เพราะปรารภความยินดี
เพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้น ราคะที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ จึงเกิดขึ้น
อุทธัจจะ ฯลฯ โทมนัสที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ จึงเกิดขึ้น (๒)

อธิปติปัจจัย
[๓๙] สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ
อารัมมณาธิปติและสหชาตาธิปติ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลยินดีเพลิดเพลินราคะที่ต้องประหาณด้วยมรรค
เบื้องบน ๓ ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทําความยินดีเพลิดเพลินราคะ
นั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ จึง
เกิดขึ้น
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เป็น
ปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์โดยอธิปติปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
ไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ
อารัมมณาธิปติและสหชาตาธิปติ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลยินดีเพลิดเพลินราคะที่ต้องประหาณด้วยมรรค
เบื้องบน ๓ ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทําความยินดีเพลิดเพลินราคะนั้น
ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะที่ไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ จึงเกิดขึ้น
ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เป็น
ปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดยอธิปติปัจจัย (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๒๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๔. ภาวนายปหาตัพพทุกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ และที่ไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓
โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่ต้อง
ประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูป
โดยอธิปติปัจจัย (๓)
[๔๐] สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง
คือ อารัมมณาธิปติและสหชาตาธิปติ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถแล้ว
พิจารณากุศลนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ยินดีเพลิดเพลิน เพราะทําความ
ยินดีเพลิดเพลินกุศลนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะที่ไม่ต้องประหาณด้วย
มรรคเบื้องบน ๓ จึงเกิดขึ้น
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓
เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดยอธิปติปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน ฯลฯ พิจารณาฌาน ฯลฯ ยินดี
เพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ และขันธ์ที่ไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓
ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทําความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้นให้
เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ จึงเกิดขึ้น (๒)

อนันตรปัจจัยเป็นต้น
[๔๑] สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ โดยอนันตรปัจจัย มี ๔ วาระ
(ภาวนาเหมือนกับทัสสเนนปหาตัพพทุกะ ไม่มีข้อแตกต่างกัน)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๓๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๔. ภาวนายปหาตัพพทุกะ ๗. ปัญหาวาร

เป็นปัจจัยโดยสมนันตรปัจจัย มี ๔ วาระ
เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย มี ๕ วาระ
เป็นปัจจัยโดยอัญญมัญญปัจจัย มี ๒ วาระ
เป็นปัจจัยโดยนิสสยปัจจัย มี ๗ วาระ

อุปนิสสยปัจจัย
[๔๒] สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง
คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ราคะที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ... โทสะ ...
โมหะ ... มานะ ... ความปรารถนา เป็นปัจจัยแก่ราคะที่ต้องประหาณด้วย
มรรคเบื้องบน ๓ ... โทสะ ... โมหะ ... มานะ และความปรารถนาโดย
อุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
ไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบนโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ
อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยราคะที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓
แล้วให้ทาน ฯลฯ ทําสมาบัติให้เกิดขึ้น ฆ่าสัตว์ ฯลฯ ทําลายสงฆ์ อาศัยโทสะ
ที่มรรคเบื้องบน ๓ พึงประหาณ ฯลฯ โมหะ ฯลฯ มานะ ฯลฯ ความ
ปรารถนาแล้วให้ทาน ฯลฯ ทําสมาบัติให้เกิดขึ้น ฆ่าสัตว์ ฯลฯ ทําลายสงฆ์
ราคะที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ฯลฯ ความปรารถนาเป็นปัจจัยแก่ศรัทธา
ฯลฯ ปัญญา ... ราคะที่ไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ... โทสะ ... โมหะ
... ทิฏฐิ ... ความปรารถนา ... สุขทางกาย ฯลฯ ทุกข์ทางกาย ฯลฯ มรรค
และผลสมาบัติโดยอุปนิสสยปัจจัย (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๓๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๔. ภาวนายปหาตัพพทุกะ ๗. ปัญหาวาร
[๔๓] สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่ไม่ใช่มรรคเบื้องบน ๓ พึงประหาณโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง
คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยศรัทธาแล้วให้ทาน ฯลฯ ทําสมาบัติให้
เกิดขึ้น ถือทิฏฐิ อาศัยศีล ฯลฯ ปัญญา ฯลฯ ราคะที่ไม่ต้องประหาณด้วย
มรรคเบื้องบน ๓ ฯลฯ โทสะ ฯลฯ โมหะ ฯลฯ มานะ ฯลฯ ทิฏฐิ ฯลฯ
ความปรารถนา ฯลฯ สุขทางกาย ฯลฯ ทุกข์ทางกาย ฯลฯ เสนาสนะ ฯลฯ ฆ่าสัตว์
ฯลฯ ทําลายสงฆ์ ศรัทธา ฯลฯ เสนาสนะเป็นปัจจัยแก่ศรัทธา ฯลฯ ปัญญา ฯลฯ
ราคะที่ไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ฯลฯ โทสะ ฯลฯ โมหะ ฯลฯ ทิฏฐิ
ฯลฯ ความปรารถนา ฯลฯ สุขทางกาย ฯลฯ ทุกข์ทางกาย ฯลฯ มรรค
และผลสมาบัติโดยอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ
อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยศรัทธาแล้ว มีมานะ ฯลฯ อาศัยศีล ฯลฯ
ปัญญา ฯลฯ ราคะ ฯลฯ ความปรารถนา ฯลฯ สุขทางกาย ฯลฯ ทุกข์ทางกาย
ฯลฯ เสนาสนะแล้ว มีมานะ ศรัทธา ฯลฯ เสนาสนะเป็นปัจจัยแก่ราคะที่มรรค
เบื้องบน ๓ พึงประหาณ ฯลฯ โทสะ ฯลฯ โมหะ ฯลฯ มานะ ฯลฯ ความปรารถนา
โดยอุปนิสสยปัจจัย (๒)

ปุเรชาตปัจจัย
[๔๔] สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง
คือ อารัมมณปุเรชาตะและวัตถุปุเรชาตะ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๓๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๔. ภาวนายปหาตัพพทุกะ ๗. ปัญหาวาร
อารัมมณปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลเห็นแจ้งจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุโดยเป็น
สภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ ยินดีเพลิดเพลิน เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินจักษุ
เป็นต้นนั้น ราคะที่ไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ จึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น
วิจิกิจฉาจึงเกิดขึ้น โทมนัสที่ไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ จึงเกิดขึ้น
บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะเป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ ฯลฯ
วัตถุปุเรชาตะ ได้แก่ จักขายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ กายายตนะ
เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ ฯลฯ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่ต้องประหาณด้วย
มรรคเบื้องบน ๓ โดยปุเรชาตปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณมรรคเบื้องบน ๓ เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ
อารัมมณปุเรชาตะและวัตถุปุเรชาตะ
อารัมมณปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลยินดีเพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ
เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้น ราคะที่ต้องประหาณด้วยมรรค
เบื้องบน ๓ จึงเกิดขึ้น อุทธัจจะจึงเกิดขึ้น โทมนัสที่ต้องประหาณด้วยมรรค
เบื้องบน ๓ จึงเกิดขึ้น
วัตถุปุเรชาตะ ได้แก่ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ต้องประหาณด้วยมรรค
เบื้องบน ๓ โดยปุเรชาตปัจจัย (๒)
[๔๕] ... เป็นปัจจัยโดยปัจฉาชาตปัจจัย มี ๒ วาระ เป็นปัจจัยโดย
อาเสวนปัจจัย มี ๒ วาระ เป็นปัจจัยโดยกัมมปัจจัย ได้แก่ เจตนาที่ต้องประหาณ
ด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เป็น ปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์โดยกัมมปัจจัย (พึงเพิ่มบทที่
เป็นมูล)
เจตนาที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป
โดยกัมมปัจจัย (พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล)
เจตนาที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และ
จิตตสมุฏฐานรูปโดยกัมมปัจจัย (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๓๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๔. ภาวนายปหาตัพพทุกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะ
และนานาขณิกะ
สหชาตะ ได้แก่ เจตนาที่ไม่ต้องประหาณมรรคเบื้องบน ๓ เป็นปัจจัยแก่
สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่ไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เป็น
ปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นวิบากและกฏัตตารูปโดยกัมมปัจจัย
... เป็นปัจจัยโดยวิปากปัจจัย มี ๑ วาระ ฯลฯ
... เป็นปัจจัยโดยอวิคตปัจจัย (ปัจจัยทั้งหมด เหมือนกับทัสสเนน-
ปหาตัพพทุกะ ภาวนาไม่มีข้อแตกต่างกัน)

๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๔๖] เหตุปัจจัย มี ๔ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๔ วาระ
อธิปติปัจจัย มี ๕ วาระ
อนันตรปัจจัย มี ๔ วาระ
สมนันตรปัจจัย มี ๔ วาระ
สหชาตปัจจัย มี ๕ วาระ
อัญญมัญญปัจจัย มี ๒ วาระ
นิสสยปัจจัย มี ๗ วาระ
อุปนิสสยปัจจัย มี ๔ วาระ
ปุเรชาตปัจจัย มี ๒ วาระ
ปัจฉาชาตปัจจัย มี ๒ วาระ
อาเสวนปัจจัย มี ๒ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๓๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๕. ทัสสเนนปหาตัพพทุกะ ๑. ปฏิจจวาร

กัมมปัจจัย มี ๔ วาระ
วิปากปัจจัย มี ๑ วาระ
อาหารปัจจัย มี ๔ วาระ
อินทรียปัจจัย มี ๔ วาระ
ฌานปัจจัย มี ๔ วาระ
มัคคปัจจัย มี ๔ วาระ
สัมปยุตตปัจจัย มี ๒ วาระ
วิปปยุตตปัจจัย มี ๓ วาระ
อัตถิปัจจัย มี ๗ วาระ
นัตถิปัจจัย มี ๔ วาระ
วิคตปัจจัย มี ๔ วาระ
อวิคตปัจจัย มี ๗ วาระ

(พึงจําแนกปัจจนียวิภังค์ ให้เหมือนกับทัสสเนนปหาตัพพทุกะ แม้การนับ
ทั้ง ๓ วาระ ก็พึงนับอย่างนี้)
ภาวนายปหาตัพพทุกะ จบ

๘๕. ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกทุกะ
๑. ปฏิจจวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๔๗] สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคอาศัยสภาวธรรม
ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓
อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัย
ขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๓๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๕. ทัสสเนนปหาตัพพทุกะ ๑. ปฏิจจวาร
สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคอาศัยสภาวธรรมที่มีเหตุ
ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูป
อาศัยขันธ์ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและที่มีเหตุไม่ต้องประหาณ
ด้วยโสดาปัตติมรรคอาศัยสภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเกิด
ขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่มีเหตุ
ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๓)
[๔๘] สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคอาศัย
สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่
ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วย
โสดาปัตติมรรคเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยโมหะที่
สหรคตด้วยวิจิกิจฉาเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (พึงเพิ่มข้อความจนถึง
มหาภูตรูปภายใน) (๑)
สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคอาศัยสภาวธรรมที่มีเหตุ
ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ สัมปยุตตขันธ์
อาศัยโมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมีเหตุไม่ต้องประหาณ
ด้วยโสดาปัตติมรรคอาศัยสภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค
เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยโมหะที่
สหรคตด้วยวิจิกิจฉาเกิดขึ้น (๓)
[๔๙] สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคอาศัยสภาวธรรม
ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติ-
มรรคเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา
และอาศัยโมหะเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๓๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๕. ทัสสเนนปหาตัพพทุกะ ๑. ปฏิจจวาร
สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคอาศัยสภาวธรรมที่มี
เหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค
เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่มีเหตุต้องประหาณ
ด้วยโสดาปัตติมรรคและอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่
สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและอาศัยโมหะเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและที่มีเหตุไม่ต้องประหาณ
ด้วยโสดาปัตติมรรคอาศัยสภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมี
เหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓
และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตต้วยวิจิกิจฉาและอาศัยโมหะเกิดขึ้น
ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๓)

อารัมมณปัจจัย
[๕๐] สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคอาศัยสภาวธรรม
ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเกิดขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่
ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเกิดขึ้น ฯลฯ
อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคอาศัยสภาวธรรมที่มี
เหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเกิดขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่ โมหะที่
สหรคตด้วยวิจิกิจฉาอาศัยขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและที่มีเหตุไม่ต้องประหาณ
ด้วยโสดาปัตติมรรคอาศัยสภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเกิด
ขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และโมหะอาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคต ด้วย
วิจิกิจฉาเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๓)
[๕๑] สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคอาศัย
สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเกิดขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย
ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเกิดขึ้น
ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๓๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๕. ทัสสเนนปหาตัพพทุกะ ๑. ปฏิจจวาร
สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคอาศัยสภาวธรรมที่มีเหตุ
ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเกิดขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่ สัมปยุตต-
ขันธ์อาศัยโมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคอาศัยสภาวธรรมที่มีเหตุ
ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค
เกิดขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา
และอาศัยโมหะเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑) (ย่อ)

๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร

[๕๒] เหตุปัจจัย มี ๙ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๖ วาระ
อธิปติปัจจัย มี ๕ วาระ
อนันตรปัจจัย มี ๖ วาระ
สมนันตรปัจจัย มี ๖ วาระ
สหชาตปัจจัย มี ๙ วาระ
อัญญมัญญปัจจัย มี ๖ วาระ
นิสสยปัจจัย มี ๙ วาระ
อุปนิสสยปัจจัย มี ๖ วาระ
ปุเรชาตปัจจัย มี ๖ วาระ
อาเสวนปัจจัย มี ๖ วาระ
กัมมปัจจัย มี ๙ วาระ
วิปากปัจจัย มี ๑ วาระ
อาหารปัจจัย มี ๙ วาระ
อินทรียปัจจัย มี ๙ วาระ
ฌานปัจจัย มี ๙ วาระ
มัคคปัจจัย มี ๙ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๓๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๕. ทัสสเนนปหาตัพพทุกะ ๑. ปฏิจจวาร

สัมปยุตตปัจจัย มี ๖ วาระ
วิปปยุตตปัจจัย มี ๙ วาระ
อัตถิปัจจัย มี ๙ วาระ
นัตถิปัจจัย มี ๖ วาระ
วิคตปัจจัย มี ๖ วาระ
อวิคตปัจจัย มี ๙ วาระ

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๑. วิภังควาร
นเหตุปัจจัย
[๕๓] สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคอาศัย
สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่
โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาอาศัยขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคอาศัยสภาวธรรม
ที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่
ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่มีเหตุซึ่งมีเหตุไม่ต้องประหาณ
ด้วยโสดาปัตติมรรคเกิดขึ้น ฯลฯ (พึงเพิ่มข้อความจนถึงอสัญญสัตตพรหม)
โมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะอาศัยขันธ์ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเกิดขึ้น (๑)

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒. สังขยาวาร

[๕๔] นเหตุปัจจัย มี ๒ วาระ
นอารัมมณปัจจัย มี ๓ วาระ
นอธิปติปัจจัย มี ๙ วาระ
นอนันตรปัจจัย มี ๓ วาระ
นสมนันตรปัจจัย มี ๓ วาระ
นอัญญมัญญปัจจัย มี ๓ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๓๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๕. ทัสสเนนปหาตัพพทุกะ ๑. ปฏิจจวาร

นอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย มี ๗ วาระ
นปัจฉาชาตปัจจัย มี ๙ วาระ
นอาเสวนปัจจัย มี ๙ วาระ
นกัมมปัจจัย มี ๔ วาระ
นวิปากปัจจัย มี ๙ วาระ
นอาหารปัจจัย มี ๑ วาระ
นอินทรียปัจจัย มี ๑ วาระ
นฌานปัจจัย มี ๑ วาระ
นมัคคปัจจัย มี ๑ วาระ
นสัมปยุตตปัจจัย มี ๓ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย มี ๖ วาระ
โนนัตถิปัจจัย มี ๓ วาระ
โนวิคตปัจจัย มี ๓ วาระ

๓. ปัจจยานุโลมปัจจนียะ

[๕๕] นอารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๓ วาระ
นอธิปติปัจจัย ” มี ๙ วาระ ฯลฯ
นปุเรชาตปัจจัย ” มี ๗ วาระ ฯลฯ
นวิปปยุตตปัจจัย ” มี ๔ วาระ
โนนัตถิปัจจัย ” มี ๓ วาระ
โนวิคตปัจจัย ” มี ๓ วาระ

๔. ปัจจยปัจจนียานุโลม

[๕๖] อารัมมณปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๒ วาระ
อนันตรปัจจัย ” มี ๒ วาระ ฯลฯ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๔๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๕. ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกทุกะ ๓. ปัจจยวาร

วิปากปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๑ วาระ ฯลฯ
มัคคปัจจัย ” มี ๒ วาระ ฯลฯ
อวิคตปัจจัย ” มี ๒ วาระ

(สหชาตวารเหมือนกับปฏิจจวาร)

๘๕. ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกทุกะ
๓. ปัจจยวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๕๗] สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคทำสภาวธรรม
ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย
มี ๓ วาระ
สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคทำสภาวธรรมที่มีเหตุ
ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่
ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปทำขันธ์ ๑ ที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค
ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ทำขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (พึงเพิ่มข้อ
ความจนถึงมหาภูตรูปภายใน) ขันธ์ที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค
ทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคทำสภาวธรรมที่มีเหตุไม่
ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มี
เหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น สัมปยุตตขันธ์
ทำโมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๔๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๕. ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกทุกะ ๓. ปัจจยวาร
สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและที่มีเหตุไม่ต้องประหาณ
ด้วยโสดาปัตติมรรคทำสภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค ให้
เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติ-
มรรคทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปทำมหาภูตรูปให้เป็นปัจจัย
เกิดขึ้น สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปทำโมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาให้เป็น
ปัจจัยเกิดขึ้น (๓)
[๕๘] สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคทำสภาวธรรมที่มี
เหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค
ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ ทำขันธ์ ๑ ที่มีเหตุต้องประหาณ
ด้วยโสดาปัตติมรรคและทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ทำขันธ์ ๒ ฯลฯ
ขันธ์ ๓ ทำขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ
ทำขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคทำสภาวธรรมที่มีเหตุ
ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคให้
เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปทำขันธ์ที่มีเหตุต้อง
ประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและทำมหาภูตรูปให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูป
ทำขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและทำโมหะให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมีเหตุไม่ต้องประหาณ
ด้วยโสดาปัตติมรรคทำสภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมี
เหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่
ขันธ์ ๓ ทำขันธ์ ๑ ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและทำหทัยวัตถุให้
เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ทำขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่มีเหตุต้อง
ประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและทำมหาภูตรูปให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ขันธ์ ๓ และ
จิตตสมุฏฐานรูปทำขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและทำโมหะให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น
ฯลฯ ทำขันธ์ ๒ ฯลฯ (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๔๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๕. ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกทุกะ ๓. ปัจจยวาร
อารัมมณปัจจัย
[๕๙] สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคทำสภาวธรรมที่มี
เหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย มี ๓
วาระ (เหมือนกับปฏิจจวาร)
สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคทำสภาวธรรมที่มีเหตุ
ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่
ขันธ์ ๓ ทำขันธ์ ๑ ที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น
ฯลฯ ทำขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ จักขุวิญญาณทำจักขายตนะให้
เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคทำหทัย
วัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัย
เกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคทำสภาวธรรมที่มีเหตุไม่
ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่
ขันธ์ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น
สัมปยุตตขันธ์ทำโมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและที่มีเหตุไม่ต้องประหาณ
ด้วยโสดาปัตติมรรคทำสภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคให้
เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่ ขันธ์และโมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา
ทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๓)
[๖๐] สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคทำสภาวธรรมที่มี
เหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค
ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ ทำขันธ์ ๑ ที่มีเหตุ
ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ทำขันธ์
๒ ฯลฯ ขันธ์ ๓ ทำขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและทำโมหะให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น
ฯลฯ ทำขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๔๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๕. ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกทุกะ ๓. ปัจจยวาร
สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคทำสภาวธรรมที่มีเหตุ
ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคให้
เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่ โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาทำขันธ์
ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและที่มีเหตุไม่ต้องประหาณ
ด้วยโสดาปัตติมรรคทำสภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและที่มี
เหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่
ขันธ์ ๓ ทำขันธ์ ๑ ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและทำหทัยวัตถุให้
เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ... ทำขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ ๓ และโมหะทำขันธ์ ๑ ที่สหรคต
ด้วยวิจิกิจฉาและทำทหัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ทำขันธ์ ๒ ฯลฯ (๓)

๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร

[๖๑] เหตุปัจจัย มี ๙ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๙ วาระ
อธิปติปัจจัย มี ๙ วาระ

(ทุกปัจจัยมีปัจจัยละ ๙ วาระ)

วิปากปัจจัย มี ๑ วาระ ฯลฯ
อวิคตปัจจัย มี ๙ วาระ

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๑. วิภังควาร
นเหตุปัจจัย
[๖๒] สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคทำสภาวธรรม
ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่
โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาทำขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๔๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๕. ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกทุกะ ๓. ปัจจยวาร
สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคทำสภาวธรรมที่มีเหตุ
ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ ...
ทำขันธ์ที่ไม่มีเหตุซึ่งมีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค ฯลฯ (พึงเพิ่มข้อ
ความจนถึงอสัญญสัตตพรหม) จักขุวิญญาณทำจักขายตนะให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ
โมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะทำขันธ์ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะและทำหทัยวัตถุให้เป็น
ปัจจัยเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคทำสภาวธรรมที่มีเหตุ
ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคให้
เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาทำขันธ์ที่
สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (ย่อ) (๑)

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒. สังขยาวาร

[๖๓] นเหตุปัจจัย มี ๓ วาระ
นอารัมมณปัจจัย มี ๓ วาระ
นอธิปติปัจจัย มี ๙ วาระ
นอนันตรปัจจัย มี ๓ วาระ
นสมนันตรปัจจัย มี ๓ วาระ
นอัญญมัญญปัจจัย มี ๓ วาร
นอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย มี ๗ วาระ
นปัจฉาชาตปัจจัย มี ๙ วาระ
นอาเสวนปัจจัย มี ๙ วาระ
นกัมมปัจจัย มี ๔ วาระ
นวิปากปัจจัย มี ๙ วาระ
นอาหารปัจจัย มี ๑ วาระ
นอินทรียปัจจัย มี ๑ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๔๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๕. ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกทุกะ ๕. สังสัฏฐวาร

นฌานปัจจัย มี ๑ วาระ
นมัคคปัจจัย มี ๑ วาระ
นสัมปยุตตปัจจัย มี ๓ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย มี ๖ วาระ
โนนัตถิปัจจัย มี ๓ วาระ
โนวิคตปัจจัย มี ๓ วาระ

(การนับ ๒ อย่างนอกนี้และนิสสยวารพึงทําอย่างนี้)

๘๕. ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกทุกะ
๕. สังสัฏฐวาร
ปัจจยจตุกกนัย
เหตุปัจจัย
[๖๔] สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเกิดระคนกับ
สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓
เกิดระคนกับขันธ์ ๑ ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค ฯลฯ เกิดระคน
กับขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเกิดระคนกับสภาวธรรม
ที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ เกิด
ระคนกับขันธ์ ๑ ที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค ฯลฯ เกิดระคนกับ
ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเกิดระคนกับสภาวธรรม
ที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ สัมปยุตตขันธ์
เกิดระคนกับโมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๔๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๕. ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกทุกะ ๕. สังสัฏฐวาร
สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเกิดระคนกับสภาวธรรม
ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค และที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วย
โสดาปัตติมรรคเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ เกิดระคนกับขันธ์ ๑ ที่สหรคต
ด้วยวิจิกิจฉาและโมหะ ฯลฯ เกิดระคนกับขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)

อารัมมณปัจจัย
[๖๕] สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเกิดระคนกับ
สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเพราะอารัมมณปัจจัย
มี ๓ วาระ (เหมือนกับปฏิจจวาร)
สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเกิดระคนกับ
สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่
ขันธ์ ๓ เกิดระคนกับขันธ์ ๑ ที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค ฯลฯ
เกิดระคนกับขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเกิดระคนกับสภาวธรรม
ที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเพราะอารัมมณปัจจัย (เหมือนกับปฏิจจวาร)
(๒)
สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเกิดระคนกับสภาวธรรม
ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วย
โสดาปัตติมรรคเพราะอารัมมณปัจจัย (เหมือนกับปฏิจจวาร ย่อ) (๑)

[๖๖] เหตุปัจจัย มี ๔ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๖ วาระ
อธิปติปัจจัย มี ๒ วาระ
อนันตรปัจจัย มี ๖ วาระ

(ทุกปัจจัยมีปัจจัยละ ๖ วาระ)

วิปากปัจจัย มี ๑ วาระ ฯลฯ
อวิคตปัจจัย มี ๖ วาระ

อนุโลม จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๔๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๕. ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกทุกะ ๕. สังสัฏฐวาร
[๖๗] สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเกิดระคน กับ
สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่
โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาเกิดระคนกับขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา (๑)
สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเกิดระคนกับ
สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่
ขันธ์ ๓ เกิดระคนกับขันธ์ ๑ ที่ไม่มีเหตุซึ่งมีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค
ฯลฯ เกิดระคนกับขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะที่เป็นอเหตุกะ ฯลฯ โมหะที่
สหรคตด้วยอุทธัจจะเกิดระคนกับขันธ์ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ (๑)

นเหตุปัจจัย มี ๒ วาระ
นอธิปติปัจจัย มี ๖ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย มี ๖ วาระ
นปัจฉาชาตปัจจัย มี ๖ วาระ
นอาเสวนปัจจัย มี ๖ วาระ
นกัมมปัจจัย มี ๔ วาระ
นวิปากปัจจัย มี ๖ วาระ
นฌานปัจจัย มี ๑ วาระ
นมัคคปัจจัย มี ๑ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย มี ๖ วาระ

ปัจจนียะ จบ

เหตุทุกนัย

นอธิปติปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๔ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย ” มี ๔ วาระ ฯลฯ
นวิปปยุตตปัจจัย ” มี ๔ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๔๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๕. ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกทุกะ ๗. ปัญหาวาร
นเหตุทุกนัย

อารัมมณปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๒ วาระ
อนันตรปัจจัย ” มี ๒ วาระ ฯลฯ
วิปากปัจจัย ” มี ๑ วาระ ฯลฯ
อวิคตปัจจัย ” มี ๒ วาระ

(สัมปยุตตวาร เหมือนกับสังสัฏฐวาร)

๘๕. ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกทุกะ
๗. ปัญหาวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๖๘] สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาว-
ธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่มีเหตุ
ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์โดยเหตุปัจจัย (พึง
เพิ่มบทที่เป็นมูล) เหตุที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่จิตต-
สมุฏฐานรูปโดยเหตุปัจจัย (พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล) เหตุที่มีเหตุต้องประหาณด้วย
โสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดยเหตุปัจจัย (๓)
[๖๙] สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัย
แก่สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุ
ที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตต-
สมุฏฐานรูปโดยเหตุปัจจัย โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐาน-

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๔๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๕. ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกทุกะ ๗. ปัญหาวาร
รูปโดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล) โมหะที่สหรคต
ด้วยวิจิกิจฉาเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์โดยเหตุปัจจัย (พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล)
โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดย
เหตุปัจจัย (๓)

อารัมมณปัจจัย
[๗๐] สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่
เพราะปรารภขันธ์ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค ขันธ์ที่มีเหตุต้อง
ประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคจึงเกิดขึ้น (พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล) เพราะปรารภขันธ์ที่มี
เหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค ขันธ์ที่มีเหตุไม่ต้องประหาณโสดาปัตติมรรค
พึงประหาณและโมหะจึงเกิดขึ้น (พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล) เพราะปรารภขันธ์ที่มีเหตุ
ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค ขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและโมหะจึงเกิดขึ้น
(๓)
[๗๑] สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่
บุคคลให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถแล้วพิจารณากุศลนั้น ยินดีเพลิดเพลิน
เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินกุศลนั้น ราคะที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วย
โสดาปัตติมรรคจึงเกิดขึ้น อุทธัจจะจึงเกิดขึ้น โทมนัสที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วย
โสดาปัตติมรรคจึงเกิดขึ้น บุคคลพิจารณากุศลที่เคยสั่งสมไว้ดีแล้ว ฯลฯ ออกจาก
ฌาน ฯลฯ พระอริยะออกจากมรรคแล้วพิจารณามรรค ฯลฯ เป็นปัจจัยแก่
อาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย พระอริยะพิจารณากิเลสที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วย
โสดาปัตติมรรคซึ่งละได้แล้ว พิจารณากิเลสที่ข่มได้แล้ว ฯลฯ รู้กิเลสที่เคยเกิดขึ้น
เห็นแจ้งจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ขันธ์ที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและ
โมหะโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ ยินดีเพลิดเพลิน เพราะปรารภความยินดีเพลิด

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๕๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๕. ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกทุกะ ๗. ปัญหาวาร
เพลินจักษุเป็นต้นนั้น ราคะที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคจึงเกิดขึ้น
อุทธัจจะจึงเกิดขึ้น โทมนัสที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคจึงเกิดขึ้น
บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฯลฯ เป็นปัจจัยแก่อนาคตังสญาณ อาวัชชนจิต และ
โมหะโดยอารัมมณปัจจัย
สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลให้ทาน
ฯลฯ พิจารณาฌาน ฯลฯ ยินดีเพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ขันธ์ที่มีเหตุ
ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและโมหะ เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลิน
จักษุเป็นต้นนั้น ราคะที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิ ฯลฯ
วิจิกิจฉา ฯลฯ โทมนัสที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคจึงเกิดขึ้น
สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติ-
มรรคโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ เพราะปรารภจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ขันธ์ที่มี
เหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและโมหะ ขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและ
โมหะจึงเกิดขึ้น (๓)
[๗๒] สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและที่มีเหตุไม่
ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณ
ด้วยโสดาปัตติมรรคโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ เพราะปรารภขันธ์ที่สหรคตด้วย
วิจิกิจฉาและโมหะ ขันธ์ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคจึงเกิดขึ้น (พึง
เพิ่มบทที่เป็นมูล) เพราะปรารภขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและโมหะ ขันธ์ที่มีเหตุ
ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและโมหะจึงเกิดขึ้น (พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล)
เพราะปรารภขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและโมหะ ขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและ
โมหะจึงเกิดขึ้น (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๕๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๕. ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกทุกะ ๗. ปัญหาวาร
อธิปติปัจจัย
[๗๓] สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง
คือ อารัมมณาธิปติและสหชาตาธิปติ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ เพราะทําขันธ์ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค
ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ขันธ์ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคจึงเกิด
ขึ้น
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค
เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์โดยอธิปติปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็น
ปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดยอธิปติปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาว-
ธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วย
โสดาปัตติมรรคโดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรม
ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตต-
สมุฏฐานรูปโดยอธิปติปัจจัย (๓)
[๗๔] สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัย แก่
สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง
คือ อารัมมณาธิปติและสหชาตาธิปติ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถแล้ว
พิจารณากุศลนั้น ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ยินดีเพลิดเพลิน เพราะทําความ
ยินดีเพลิดเพลินกุศลนั้น ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะที่มีเหตุไม่ต้อง

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๕๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๕. ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกทุกะ ๗. ปัญหาวาร
ประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคจึงเกิดขึ้น บุคคลพิจารณากุศลที่เคยสั่งสมไว้ดีแล้ว ฯลฯ
ออกจากฌาน ฯลฯ พระอริยะออกจากมรรคแล้วพิจารณามรรคให้เป็นอารมณ์อย่าง
หนักแน่น ฯลฯ เป็นปัจจัยแก่ผลโดยอธิปติปัจจัย บุคคลยินดีเพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ
หทัยวัตถุ และขันธ์ที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคให้เป็นอารมณ์
อย่างหนักแน่น เพราะทําความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์อย่าง
หนักแน่น ราคะที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคจึงเกิดขึ้น
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติ-
มรรคเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดยอธิปติปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว
คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถ ฯลฯ
ออกจากฌาน ฯลฯ ยินดีเพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุและขันธ์ที่มีเหตุไม่ต้อง
ประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทําความยินดี
เพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะที่มีเหตุต้องประหาณ
ด้วยโสดาปัตติมรรคจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิ ฯลฯ (๒)

อนันตรปัจจัย
[๗๕] สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาว-
ธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มี
เหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีเหตุต้อง
ประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย (พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล)
ขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา
ซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค
เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะโดยอนันตรปัจจัย (พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล) ขันธ์ที่สหรคตด้วย
วิจิกิจฉาซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและโมหะซึ่งเกิด
หลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๕๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๕. ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกทุกะ ๗. ปัญหาวาร
[๗๖] สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่
โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา
ซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค
ซึ่งเกิดก่อน ๆ ฯลฯ เป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติโดยอนันตรปัจจัย (พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล)
โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา
ซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย อาวัชชนจิตเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีเหตุต้องประหาณ
ด้วยโสดาปัตติมรรคโดยอนันตรปัจจัย (พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล) โมหะที่สหรคตด้วย
วิจิกิจฉาซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและโมหะซึ่งเกิด
หลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย อาวัชชนจิตเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและ
โมหะโดยอนันตรปัจจัย (๓)
[๗๗] สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและที่มีเหตุไม่
ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วย
โสดาปัตติมรรคโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและโมหะซึ่ง
เกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย
(พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล) ขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและโมหะซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็น
ปัจจัยแก่โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ที่
สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและโมหะเป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะโดยอนันตรปัจจัย (พึงเพิ่มบทที่
เป็นมูล) ขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและโมหะซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่
สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและโมหะที่เกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย (๓)

... เป็นปัจจัยโดยสมนันตรปัจจัย มี ๙ วาระ
... เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย มี ๙ วาระ
... เป็นปัจจัยโดยอัญญมัญญปัจจัย มี ๖ วาระ
... เป็นปัจจัยโดยนิสสยปัจจัย มี ๙ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๕๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๕. ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกทุกะ ๗. ปัญหาวาร
อุปนิสสยปัจจัย
[๗๘] สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง
คือ อารัมมณูนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ขันธ์ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค
เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยอุปนิสสยปัจจัย วาระทั้ง ๒
ที่เหลือ มีทั้งอนันตรูปนิสสยะและปกตูปนิสสยะ(พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล) ขันธ์ที่มีเหตุ
ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วย
โสดาปัตติมรรคและโมหะโดยอุปนิสสยปัจจัย (พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล) ขันธ์ที่มีเหตุ
ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและโมหะ
โดยอุปนิสสยปัจจัย (๓)
[๗๙] สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัย แก่
สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓
อย่าง คือ อารัมมณูนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยศรัทธาแล้วให้ทาน ฯลฯ ทําสมาบัติให้
เกิดขึ้น มีมานะ อาศัยศีล ฯลฯ ปัญญา ฯลฯ ราคะที่มีเหตุไม่ต้องประหาณ
ด้วยโสดาปัตติมรรค ... โทสะ ... โมหะ ... มานะ ... ความปรารถนา ... สุขทางกาย
... ทุกข์ทางกาย ... อุตุ ... โภชนะ และเสนาสนะแล้วให้ทาน ฯลฯ ทําสมาบัติ
ให้เกิดขึ้น ศรัทธา ฯลฯ เสนาสนะเป็นปัจจัยแก่ศรัทธา ฯลฯ ปัญญา ฯลฯ
ราคะที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค ฯลฯ ความปรารถนาและ
ผลสมาบัติโดยอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาว-
ธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ
อารัมมณูนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยศรัทธาแล้วถือทิฏฐิ อาศัยศีล ฯลฯ ปัญญา
... ราคะที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค ... โทสะ ... โมหะ ... มานะ
... ความปรารถนา ... สุขทางกาย ... ทุกข์ทางกาย ฯลฯ เสนาสนะแล้ว

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๕๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๕. ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกทุกะ ๗. ปัญหาวาร
ฆ่าสัตว์ ฯลฯ ทําลายสงฆ์ ศรัทธา ฯลฯ เสนาสนะเป็นปัจจัยแก่ราคะที่มีเหตุ
ต้องประหาณ ด้วยโสดาปัตติมรรค ... โทสะ ... โมหะ ... ทิฏฐิ และความปรารถนา
โดยอุปนิสสยปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติ-
มรรคโดยอุปนิสสปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะและปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ศรัทธา ฯลฯ ปัญญา ฯลฯ ราคะที่มีเหตุไม่ต้องประ
หาณด้วยโสดาปัตติมรรค ... โทสะ ... โมหะ ... มานะ ... ความปรารถนา ...
สุขทางกาย ฯลฯ เสนาสนะเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและโมหะโดย
อุปนิสสยปัจจัย (๓)
[๘๐] สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและที่มีเหตุไม่
ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณ
ด้วยโสดาปัตติมรรคโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะและ
ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและโมหะเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่
มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยอุปนิสสยปัจจัย (พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล)
ขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและโมหะเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วย
โสดาปัตติมรรคและโมหะโดยอุปนิสสยปัจจัย (พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล) ขันธ์ที่
สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและโมหะเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและโมหะโดย
อุปนิสสยปัจจัย (๓)

ปุเรชาตปัจจัย
[๘๑] สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง
คือ อารัมมณปุเรชาตะและวัตถุปุเรชาตะ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๕๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๕. ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกทุกะ ๗. ปัญหาวาร
อารัมมณปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลเห็นแจ้งจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ โดยเป็น
สภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ ยินดีเพลิดเพลิน เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินจักษุ
เป็นต้นนั้น ราคะที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคจึงเกิดขึ้น อุทธัจจะ
ฯลฯ โทมนัสที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคจึงเกิดขึ้น บุคคลเห็นรูป
ด้วยทิพพจักขุ ฯลฯ (ย่อ วัตถุปุเรชาตะ ย่อ) (๑)
สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค เป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง
คือ อารัมมณปุเรชาตะและวัตถุปุเรชาตะ
อารัมมณปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลยินดีเพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ
เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้น ราคะที่มีเหตุต้องประหาณด้วย
โสดาปัตติมรรคจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิ ฯลฯ วิจิกิจฉา ฯลฯ โทมนัสที่มีเหตุต้องประหาณ
ด้วยโสดาปัตติมรรคจึงเกิดขึ้น (วัตถุปุเรชาตะ ย่อ) (๒)
สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติ-
มรรคโดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาตะและวัตถุปุเรชาตะ
อารัมมณปุเรชาตะ ได้แก่ เพราะปรารภจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ขันธ์ที่
สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและโมหะจึงเกิดขึ้น (วัตถุปุเรชาตะ ย่อ) (๓)

ปัจฉาชาตปัจจัยและอาเสวนปัจจัย
[๘๒] สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยปัจฉาชาตปัจจัย (ย่อ)
สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยปัจฉาชาตปัจจัย (ย่อ)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๕๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๕. ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกทุกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและที่มีเหตุไม่ต้องประหาณ
ด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติ-
มรรคโดยปัจฉาชาตปัจจัย (ย่อ)
... เป็นปัจจัยโดยอาเสวนปัจจัย

กัมมปัจจัยเป็นต้น
[๘๓] สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยกัมมปัจจัย ได้แก่ เจตนา
ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์โดยกัมมปัจจัย
(พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล) มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและนานาขณิกะ
สหชาตะ ได้แก่ เจตนาที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่
จิตตสมุฏฐานรูปโดยกัมมปัจจัย
นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัย
แก่ขันธ์ที่เป็นวิบากและกฏัตตารูปโดยกัมมปัจจัย
สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติ-
มรรคโดยกัมมปัจจัย ได้แก่ เจตนาที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็น
ปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดยกัมมปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะ
และนานาขณิกะ
สหชาตะ ได้แก่ เจตนาที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัย
แก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็น
ปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นวิบากและกฏัตตารูปโดยกัมมปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๕๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๕. ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกทุกะ ๗. ปัญหาวาร

... เป็นปัจจัยโดยวิปากปัจจัย
... เป็นปัจจัยโดยอาหารปัจจัย
... เป็นปัจจัยโดยอินทรียปัจจัย
... เป็นปัจจัยโดยฌานปัจจัย
... เป็นปัจจัยโดยมัคคปัจจัย
... เป็นปัจจัยโดยสัมปยุตตปัจจัย มี ๖ วาระ
... เป็นปัจจัยโดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๕ วาระ

อัตถิปัจจัยเป็นต้น
[๘๔] สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาว-
ธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยอัตถิปัจจัย มี ๓ วาระ
สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยอัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาตะ
ปุเรชาตะ ปัจฉาชาตะ อาหาระ และอินทรียะ (ย่อ)
สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะ
และปุเรชาตะ (ย่อ)
สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาว-
ธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วย
โสดาปัตติมรรคโดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะ และปุเรชาตะ (ย่อ) (๓)
[๘๕] สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและที่มีเหตุไม่
ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วย
โสดาปัตติมรรคโดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปุเรชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและหทัย
วัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัตถิปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ ๑ ที่
สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และโมหะเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัตถิปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒
ฯลฯ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๕๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๕. ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกทุกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค และที่มีเหตุไม่ต้อง
ประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วย
โสดาปัตติมรรคโดยอัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาตะ ปุเรชาตะ ปัจฉาชาตะ
อาหาระ และอินทรียะ (ย่อ)
สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเและที่มีเหตุไม่ต้องประหาณ
ด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค
และที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ
สหชาตะและปุเรชาตะ (ย่อ) (๓)
... เป็นปัจจัยโดยนัตถิปัจจัย
... เป็นปัจจัยโดยวิคตปัจจัย
... เป็นปัจจัยโดยอวิคตปัจจัย

๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร

[๘๖] เหตุปัจจัย มี ๖ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๙ วาระ
อธิปติปัจจัย มี ๕ วาระ
อนันตรปัจจัย มี ๙ วาระ
สมนันตรปัจจัย มี ๙ วาระ
สหชาตปัจจัย มี ๙ วาระ
อัญญมัญญปัจจัย มี ๖ วาระ
นิสสยปัจจัย มี ๙ วาระ
อุปนิสสยปัจจัย มี ๙ วาระ
ปุเรชาตปัจจัย มี ๓ วาระ
ปัจฉาชาตปัจจัย มี ๓ วาระ
อาเสวนปัจจัย มี ๙ วาระ
กัมมปัจจัย มี ๔ วาระ
วิปากปัจจัย มี ๑ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๖๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๕. ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกทุกะ ๗. ปัญหาวาร

อาหารปัจจัย มี ๔ วาระ
อินทรียปัจจัย มี ๔ วาระ
ฌานปัจจัย มี ๔ วาระ
มัคคปัจจัย มี ๔ วาระ
สัมปยุตตปัจจัย มี ๖ วาระ
วิปปยุตตปัจจัย มี ๕ วาระ
อัตถิปัจจัย มี ๙ วาระ
นัตถิปัจจัย มี ๙ วาระ
วิคตปัจจัย มี ๙ วาระ
อวิคตปัจจัย มี ๙ วาระ

๒. ปัจจนียุทธาร
[๘๗] สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาว-
ธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย
และอุปนิสสยปัจจัย
สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย
อุปนิสสยปัจจัย ปัจฉาชาตปัจจัย และกัมมปัจจัย
สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติ-
มรรคโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย และอุปนิสสยปัจจัย (๓)
[๘๘] สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยอารัมมณปัจจัย สหชาต-
ปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย ปุเรชาตปัจจัย ปัจฉาชาตปัจจัย กัมมปัจจัย อาหารปัจจัย
และอินทรียปัจจัย

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๖๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๕. ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกทุกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาว-
ธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย
อุปนิสสยปัจจัย และปุเรชาตปัจจัย
สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติ-
มรรคโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และปุเรชาตปัจจัย (๓)
[๘๙] สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและที่มีเหตุไม่
ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วย
โสดาปัตติมรรคโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย และอุปนิสสยปัจจัย
สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและที่มีเหตุไม่ต้องประหาณ
ด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติ-
มรรคโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และปัจฉาชาตปัจจัย
สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรรคและที่มีเหตุไม่ต้องประหาณ
ด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค
และที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย
และอุปนิสสยปัจจัย (๓)

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒. สังขยาวาร

[๙๐] นเหตุปัจจัย มี ๙ วาระ
นอารัมมณปัจจัย มี ๙ วาระ

(ทุกปัจจัยมีปัจจัยละ ๙ วาระ)

โนอวิคตปัจจัย มี ๙ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๖๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๖. ภาวนายปหาตัพพเหตุกทุกะ ๑. ปฏิจจวาร
๓. ปัจจยานุโลมปัจจนียะ

[๙๑] นอารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๖ วาระ
นอธิปติปัจจัย ” มี ๖ วาระ
นอนันตรปัจจัย ” มี ๖ วาระ
นสมนันตรปัจจัย ” มี ๖ วาระ
นอัญมัญญปัจจัย ” มี ๒ วาระ
นอุปนิสสยปัจจัย ” มี ๖ วาระ ฯลฯ
นสัมปยุตตปัจจัย ” มี ๒ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย ” มี ๓ วาระ
โนนัตถิปัจจัย ” มี ๖ วาระ
โนวิคตปัจจัย ” มี ๖ วาระ

๔. ปัจจยปัจจนียานุโลม

[๙๒] อารัมมณปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๙ วาระ
อธิปติปัจจัย “ มี ๕ วาระ

(พึงขยายบทอนุโลมมาติกาให้พิสดาร) ฯลฯ

อวิคตปัจจัย ” มี ๙ วาระ

ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกทุกะ จบ

๘๖. ภาวนายปหาตัพพเหตุกทุกะ
๑. ปฏิจจวาร
[๙๓] สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ อาศัย
สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๖๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๖. ภาวนายปหาตัพพเหตุกทุกะ ๗. ปัญหาวาร
ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เกิดขึ้น
ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ
(โดยนัยนี้ ปฏิจจวาร สหชาตวาร ปัจจยวาร นิสสยวาร สังสัฏฐวาร และ
สัมปยุตตวารเหมือนกับทัสสเนนปหาตัพพเหตุกทุกะ โมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ
พึงตั้งไว้ในฐานะแห่งโมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา)

๘๖. ภาวนายปหาตัพพเหตุกทุกะ
๗. ปัญหาวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๙๔] สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เป็น
ปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีเหตุมรรคเบื้องบน ๓ พึงประหาณโดยเหตุปัจจัย
มี ๖ วาระ ฯลฯ (เหมือนกับทัสสเนนปหาตัพพเหตุกทุกะ)

อารัมมณปัจจัย
[๙๕] สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ โดยอารัมมณปัจจัย
มี ๓ วาระ (พึงเพิ่มคําว่า เพราะปรารภเหมือนกับทัสสเนนปหาตัพพเหตุกทุกะ)
[๙๖] สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เป็นปัจจัย
แก่สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ โดยอารัมมณปัจจัย
ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถแล้วพิจารณากุศลนั้น ยินดี
เพลิดเพลิน เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินกุศลนั้น ราคะที่มีเหตุไม่ต้อง

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๖๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๖. ภาวนายปหาตัพพเหตุกทุกะ ๗. ปัญหาวาร
ประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ จึงเกิดขึ้น ทิฏฐิ ฯลฯ วิจิกิจฉา ฯลฯ โทมนัสที่
มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ จึงเกิดขึ้น บุคคลพิจารณากุศลที่เคย
สั่งสมไว้ดีแล้ว ฯลฯ ออกจากฌาน ฯลฯ พระอริยะออกจากมรรค ฯลฯ เป็น
ปัจจัยแก่ผล และอาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย พระอริยะพิจารณากิเลสที่มีเหตุ
ไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ซึ่งละได้แล้ว ฯลฯ รู้กิเลสที่เคยเกิดขึ้น ฯลฯ
บุคคลเห็นแจ้งจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ขันธ์ที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน
๓ และโมหะโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ ยินดีเพลิดเพลิน เพราะปรารภความ
ยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้น ราคะที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓
จึงเกิดขึ้น ทิฏฐิ ฯลฯ วิจิกิจฉา ฯลฯ โทมนัสที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้อง
๓ จึงเกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฯลฯ เป็นปัจจัยแก่อนาคตังสญาณ
อาวัชชนจิตและโมหะโดยอารัมมณปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ โดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่
บุคคลให้ทาน สมาทานศีล ฯลฯ พิจารณฌาน ฯลฯ ยินดีเพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ
หทัยวัตถุ ขันธ์ที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ และโมหะ เพราะ
ปรารภความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้น ราคะที่มีเหตุต้องประหาณด้วยมรรค
เบื้องบน ๓ จึงเกิดขึ้น อุทธัจจะ ฯลฯ โทมนัสที่มีเหตุต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน
๓ จึงเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เป็นปัจจัยแก่สภาว-
ธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ และที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วย
มรรคเบื้องบน ๓ โดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ เพราะปรารภจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ
ขันธ์ที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ และโมหะ ขันธ์ที่สหรคตด้วย
อุทธัจจะและโมหะจึงเกิดขึ้น (พึงทำอารัมมณฆฏนาให้เป็น ๓ วาระ) (๓)

อธิปติปัจจัยเป็นต้น
[๙๗] สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง
คือ อารัมมณาธิปติและสหชาตาธิปติ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๖๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๖. ภาวนายปหาตัพพเหตุกทุกะ ๗. ปัญหาวาร
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลยินดีเพลิดเพลินราคะที่มีเหตุต้องประหาณด้วย
มรรคเบื้องบน ๓ ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทําความยินดีเพลิดเพลิน
ราคะนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะที่มีเหตุต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน
๓ จึงเกิดขึ้น
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓
เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์โดยอธิปติปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ โดยอธิปติปัจจัย มี ๒
อย่าง คือ อารัมมณาธิปติและสหชาตาธิปติ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลยินดีเพลิดเพลินราคะที่มีเหตุต้องประหาณด้วย
มรรคเบื้องบน ๓ ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทําความยินดีเพลิดเพลิน
ราคะนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้อง
บน ๓ จึงเกิดขึ้น ทิฏฐิ ฯลฯ
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓
เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดยอธิปติปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ และที่มีเหตุไม่ต้องประหาณ
ด้วยมรรคเบื้องบน ๓ โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่
อธิบดีธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์
และจิตตสมุฏฐานรูปโดยอธิปติปัจจัย (๓)
[๙๘] สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เป็นปัจจัย
แก่สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ โดยอธิปติปัจจัย
มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติและสหชาตาธิปติ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถแล้ว
พิจารณากุศลนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ยินดีเพลิดเพลิน เพราะทําความ
ยินดีเพลิดเพลินกุศลนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะที่มีเหตุไม่ต้อง

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๖๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๖. ภาวนายปหาตัพพเหตุกทุกะ ๗. ปัญหาวาร
ประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ จึงเกิดขึ้น ทิฏฐิ ฯลฯ บุคคลพิจารณากุศลที่เคย
สั่งสมไว้ดีแล้ว ฯลฯ ออกจากฌาน ฯลฯ พระอริยะออกจากมรรค ฯลฯ เป็น
ปัจจัยแก่ผลโดยอธิปติปัจจัย บุคคลยินดีเพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ และ
ขันธ์ที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น
เพราะทําความยินดีเพลิด เพลินจักษุเป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น
ราคะที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ จึงเกิดขึ้น ทิฏฐิ ฯลฯ
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยมรรค
เบื้องบน ๓ เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดยอธิปติปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว
คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน ฯลฯ ออกจากฌาน ฯลฯ ยินดี
เพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ และขันธ์ที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน
๓ ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทําความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้น
ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะที่มีเหตุต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ จึง
เกิดขึ้น (๒)
(ในอนันตรปัจจัย ไม่พึงเพิ่มโมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา เพราะเหตุแห่ง
สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ แต่พึงเพิ่มโมหะที่สหรคต
ด้วยอุทธัจจะ)

... เป็นปัจจัยโดยสมนันตรปัจจัย
... เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย มี ๙ วาระ
... เป็นปัจจัยโดยอัญญมัญญปัจจัย มี ๖ วาระ
... เป็นปัจจัยโดยนิสสยปัจจัย มี ๙ วาระ

อุปนิสสยปัจจัย
[๙๙] สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ โดยอุปนิสสยปัจจัย
มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๖๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๖. ภาวนายปหาตัพพเหตุกทุกะ ๗. ปัญหาวาร
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ขันธ์ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เป็น
ปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ โดยอุปนิสสยปัจจัย (พึง
เพิ่มบทที่เป็นมูล) ขันธ์ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เป็นปัจจัยแก่
ขันธ์ที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ และโมหะโดยอุปนิสสยปัจจัย
ความยินดีด้วยอำนาจความพอใจในสิ่งของของตนเป็นปัจจัยแก่ความยินดีด้วย
อำนาจความพอใจในสิ่งของของคนอื่นโดยอุปนิสสยปัจจัย ความยินดีด้วยอำนาจ
ความพอใจในสิ่งหวงแหนของตนเป็นปัจจัยแก่ความยินดีด้วยอำนาจความพอใจ
ในสิ่งหวงแหนของคนอื่นโดยอุปนิสสยปัจจัย (พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล) ขันธ์ที่มีเหตุต้อง
ประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะและโมหะ
โดยอุปนิสสยปัจจัย (๓)
[๑๐๐] สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เป็นปัจจัย
แก่สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ โดยอุปนิสสยปัจจัย มี
๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยศรัทธาแล้ว ให้ทาน ฯลฯ ทําสมาบัติให้
เกิดขึ้น ถือทิฏฐิ อาศัยศีล ฯลฯ ปัญญา ฯลฯ ราคะที่มีเหตุไม่ต้องประหาณ
ด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ... โทสะ ... โมหะ ... มานะ ... ทิฏฐิ ... ความปรารถนา
... สุขทางกาย ... ทุกข์ทางกาย ฯลฯ เสนาสนะแล้ว ให้ทาน ฯลฯ ฆ่าสัตว์ ฯลฯ
ทําลายสงฆ์ ศรัทธา ฯลฯ เสนาสนะเป็นปัจจัยแก่ศรัทธา ฯลฯ ปัญญา ฯลฯ
ราคะที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ... โทสะ ... โมหะ ... ทิฏฐิ ...
ความปรารถนา ... สุขทางกาย ฯลฯ ผลสมาบัติโดยอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่มีเหตุต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ โดยอุปนิสสยปัจจัย
มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยศรัทธาแล้ว มีมานะ ฯลฯ ศรัทธา ฯลฯ
เสนาสนะเป็นปัจจัยแก่ราคะที่มีเหตุต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ... โทสะ ...
โมหะ ... มานะ และความปรารถนาโดยอุปนิสสยปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ และที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วย

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๖๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๖. ภาวนายปหาตัพพเหตุกทุกะ ๗. ปัญหาวาร
มรรคเบื้องบน ๓ โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ
อนันตรูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ศรัทธา ฯลฯ ปัญญา ฯลฯ สุขทางกาย ฯลฯ
เสนาสนะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะและโมหะโดยอุปนิสสยปัจจัย
(แม้อุปนิสสยฆฏนา ก็พึงทําเป็น ๓ วาระ) (๓)

ปุเรชาตปัจจัยเป็นต้น
[๑๐๑] สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เป็นปัจจัย
แก่สภาวธรรมที่มีเหตุไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ โดยปุเรชาตปัจจัย
มี ๓ วาระ
... เป็นปัจจัยโดยปัจฉาชาตปัจจัย มี ๓ วาระ
... เป็นปัจจัยโดยอาเสวนปัจจัย มี ๙ วาระ
... เป็นปัจจัยโดยกัมมปัจจัย
(นานาขณิกะ มีได้ในเหตุแห่งการจำแนกสภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วย
มรรคเบื้องบน ๓) ฯลฯ
... เป็นปัจจัยโดยโนวิคตปัจจัย
(ย่อ ปัจจัยในภาวนายตัพพเหตุกทุกะ ปัจจนียะ วิภาค และการนับ
เหมือนกับทัสสเนนปหาตัพพเหตุกทุกะ ไม่มีข้อแตกต่างกัน)
สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มี
เหตุไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค ฯลฯ
(ยิ่งกว่านั้น พึงเพิ่มความยินดีด้วยอำนาจความพอใจในสิ่งของของตนด้วย)
สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
ไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ฯลฯ
(ยิ่งกว่านั้น พึงเพิ่มความยินดีด้วยอำนาจความพอใจในสิ่งของของตนด้วย)
ภาวนายปหาตัพพเหตุกทุกะ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๖๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๗. สวิตักกทุกะ ๑. ปฏิจจวาร
๘๗. สวิตักกทุกะ ๑. ปฏิจจวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๑๐๒] สภาวธรรมที่มีวิตกอาศัยสภาวธรรมที่มีวิตกเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย
ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีวิตกเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ใน
ปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกอาศัยสภาวธรรมที่มีวิตกเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่
วิตกและจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่มีวิตกเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
สภาวธรรมที่มีวิตกและไม่มีวิตกอาศัยสภาวธรรมที่มีวิตกเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย
ได้แก่ ขันธ์ ๓ วิตกและจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่มีวิตกเกิดขึ้น ฯลฯ ใน
ปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๓)
[๑๐๓] สภาวธรรมที่ไม่มีวิตก อาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกเกิดขึ้นเพราะ
เหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตกเกิดขึ้น ฯลฯ
อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยวิตกเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓
และกฏัตตารูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตกเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ กฏัตตารูป
อาศัยวิตกเกิดขึ้น หทัยวัตถุอาศัยขันธ์เกิดขึ้น ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น หทัยวัตถุ
อาศัยวิตกเกิดขึ้น วิตกอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น ... อาศัยมหาภูตรูป ๑ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่มีวิตกอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่
สัมปยุตตขันธ์อาศัยวิตกเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ สัมปยุตตขันธ์อาศัยวิตกเกิดขึ้น
ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่มีวิตกอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่มีวิตกและไม่มีวิตกอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกเกิดขึ้นเพราะ
เหตุปัจจัย ได้แก่ สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยวิตกเกิดขึ้น ขันธ์ที่มี
วิตกอาศัยวิตกเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ
สัมปยุตตขันธ์และกฏัตตารูปอาศัยวิตกเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่มีวิตกอาศัย

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๗๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๗. สวิตักกทุกะ ๑. ปฏิจจวาร
วิตกเกิดขึ้น กฏัตตารูปอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่มีวิตก
อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น กฏัตตารูปอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ วิตก
และสัมปยุตตขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น (๓)
[๑๐๔] สภาวธรรมที่มีวิตกอาศัยสภาวธรรมที่มีวิตกและไม่มีวิตกเกิดขึ้นเพราะ
เหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีวิตกและอาศัยวิตกเกิดขึ้น ฯลฯ
อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีวิตกและอาศัย
วิตกเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑
ที่มีวิตกและอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกอาศัยสภาวธรรมที่มีวิตกและไม่มีวิตกเกิดขึ้นเพราะ
เหตุปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่มีวิตกและอาศัยวิตก และมหาภูตรูป
เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูปอาศัยขันธ์ที่มีวิตก วิตก และมหาภูตรูปเกิดขึ้น
ในปฏิสนธิขณะ วิตกอาศัยขันธ์ที่มีวิตกและอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่มีวิตกและไม่มีวิตกอาศัยสภาวธรรมที่มีวิตกและไม่มีวิตกเกิดขึ้น
เพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่มีวิตกและ
อาศัยวิตกเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีวิตก
และอาศัยวิตกเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์
ที่มีวิตกและอาศัยวิตกและมหาภูตรูปเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และ
กฏัตตารูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่มีวิตกและอาศัยวิตกเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ
ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีวิตกและอาศัยวิตกเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัย
ขันธ์ ๒ ฯลฯ กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ที่มีวิตก วิตก และมหาภูตรูปเกิดขึ้น ใน
ปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และวิตกอาศัยขันธ์ ๑ ที่มีวิตกและอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น ฯลฯ
อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๓) (ย่อ)

๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร

[๑๐๕] เหตุปัจจัย มี ๙ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๙ วาระ
อธิปติปัจจัย มี ๙ วาระ ฯลฯ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๗๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๗. สวิตักกทุกะ ๑. ปฏิจจวาร

อุปนิสสยปัจจัย มี ๙ วาระ
ปุเรชาตปัจจัย มี ๖ วาระ
อาเสวนปัจจัย มี ๖ วาระ
กัมมปัจจัย มี ๙ วาระ
วิปากปัจจัย มี ๙ วาระ

(ทุกปัจจัยมีปัจจัยละ ๙ วาระ)

อวิคตปัจจัย มี ๙ วาระ

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๑. วิภังควาร
นเหตุปัจจัย
[๑๐๖] สภาวธรรมที่มีวิตกอาศัยสภาวธรรมที่มีวิตกเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย
ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่มีเหตุซึ่งมีวิตกเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ
ในปฏิสนธิขณะที่เป็นอเหตุกะ ฯลฯ โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วย
อุทธัจจะอาศัยขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเกิดขึ้น (พึง
เพิ่ม ๒ วาระที่เหลือซึ่งมีสภาวธรรมที่มีวิตกเป็นมูลทั้ง ๒ วาระ เป็นอเหตุกะ
ไม่มีข้อแตกต่างกัน) (๓)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย
ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่มีเหตุซึ่งไม่มีวิตกเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒
ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยวิตกที่ไม่มีเหตุเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะที่เป็นอเหตุกะ
กฏัตตารูปอาศัยวิตกเกิดขึ้น หทัยวัตถุอาศัยวิตกเกิดขึ้น วิตกอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น
... อาศัยมหาภูตรูป ๑ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่มีวิตกอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย
ได้แก่ สัมปยุตตขันธ์อาศัยวิตกที่ไม่มีเหตุเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะที่เป็นอเหตุกะ
สัมปยุตตขันธ์อาศัยวิตกเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่ไม่มีเหตุซึ่งมีวิตกอาศัย
หทัยวัตถุเกิดขึ้น โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วยอุทธัจจะอาศัย
วิตกเกิดขึ้น (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๗๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๗. สวิตักกทุกะ ๑. ปฏิจจวาร
สภาวธรรมที่มีวิตกและไม่มีวิตกอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกเกิดขึ้นเพราะ
นเหตุปัจจัย (ย่อ เหมือนกับเหตุปัจจัย พึงกําหนดว่า เป็นอเหตุกะ) (๓)
สภาวธรรมที่มีวิตกอาศัยสภาวธรรมที่มีวิตกและไม่มีวิตกเกิดขึ้นเพราะ
นเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่มีเหตุซึ่งมีวิตกและอาศัยวิตกเกิดขึ้น
ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะที่เป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑
ที่มีวิตกและอาศัยวิตกเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะที่เป็น
อเหตุกะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีวิตกและอาศัยหทัยวัตถุและวิตกเกิดขึ้น ฯลฯ
อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วยอุทธัจจะอาศัย
ขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาที่สหรคตด้วยอุทธัจจะและอาศัยวิตกเกิดขึ้น (๒ วาระที่
เหลือเหมือนกับเหตุปัจจัย ไม่มีข้อแตกต่างกัน พึงกําหนดว่าเป็นอเหตุกะ) (๓)

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒. สังขยาวาร

[๑๐๗] นเหตุปัจจัย มี ๙ วาระ
นอารัมมณปัจจัย มี ๓ วาระ
นอธิปติปัจจัย มี ๙ วาระ
นอนันตรปัจจัย มี ๓ วาระ ฯลฯ
นอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย มี ๙ วาระ
นปัจฉาชาตปัจจัย มี ๙ วาระ
นอาเสวนปัจจัย มี ๙ วาระ
นกัมมปัจจัย มี ๔ วาระ
นวิปากปัจจัย มี ๙ วาระ
นอาหารปัจจัย มี ๑ วาระ
นอินทรียปัจจัย มี ๑ วาระ
นฌานปัจจัย มี ๑ วาระ
นมัคคปัจจัย มี ๙ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๗๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๗. สวิตักกทุกะ ๑. ปฏิจจวาร

นสัมปยุตตปัจจัย มี ๓ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย มี ๖ วาระ
โนนัตถิปัจจัย มี ๓ วาระ
โนวิคตปัจจัย มี ๓ วาระ

๓. ปัจจยานุโลมปัจจนียะ

[๑๐๘] นอารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๓ วาระ
นอธิปติปัจจัย ” มี ๙ วาระ
นอนันตรปัจจัย ” มี ๓ วาระ ฯลฯ
นกัมมปัจจัย ” มี ๔ วาระ
นวิปากปัจจัย ” มี ๙ วาระ
นสัมปยุตตปัจจัย ” มี ๓ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย ” มี ๖ วาระ
โนนัตถิปัจจัย ” มี ๓ วาระ
โนวิคตปัจจัย ” มี ๓ วาระ

๔. ปัจจยปัจจนียานุโลม

[๑๐๙] อารัมมณปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๙ วาระ ฯลฯ
อนันตรปัจจัย ” มี ๙ วาระ ฯลฯ
ปุเรชาตปัจจัย ” มี ๖ วาระ
อาเสวนปัจจัย ” มี ๕ วาระ
กัมมปัจจัย ” มี ๙ วาระ ฯลฯ
มัคคปัจจัย ” มี ๓ วาระ
สัมปยุตตปัจจัย ” มี ๙ วาระ

(ทุกปัจจัยมีปัจจัยละ ๙ วาระ)
(สหชาตวารเหมือนกับปฏิจจวาร)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๗๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๗. สวิตักกทุกะ ๓. ปัจจยวาร
๘๗. สวิตักกทุกะ ๓. ปัจจยวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๑๑๐] สภาวธรรมที่มีวิตกทำสภาวธรรมที่มีวิตกให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะ
เหตุปัจจัย มี ๓ วาระ (เหมือนกับปฏิจจวาร)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกทำสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย
ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปทำขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตกให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ
ทำขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปทำวิตกให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์
๓ และกฏัตตารูปทำขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตกให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ทำขันธ์ ๒ ฯลฯ
ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูปทำวิตกให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น หทัยวัตถุทำขันธ์ให้เป็น
ปัจจัยเกิดขึ้น ขันธ์ทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น หทัยวัตถุทำวิตกให้เป็นปัจจัย
เกิดขึ้น วิตกทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น มหาภูตรูป ๓ ทำมหาภูตรูป ๑
ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น วิตก
ทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น
สภาวธรรมที่มีวิตก ทำสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย
ได้แก่ สัมปยุตตขันธ์ทำวิตกให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ขันธ์ที่มีวิตกทำหทัยวัตถุให้เป็น
ปัจจัยเกิดขึ้น (แม้ในปฏิสนธิ ก็มี ๒ วาระ)
สภาวธรรมที่มีวิตกและไม่มีวิตกทำสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น
เพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปทำวิตกให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น
สัมปยุตตขันธ์ทำวิตกให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปทำมหาภูตรูปให้เป็น
ปัจจัยเกิดขึ้น ขันธ์ที่มีวิตกทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปทำ
มหาภูตรูปให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น วิตกและสัมปยุตตขันธ์ทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัย
เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (แม้ในปฏิสนธิกาล ก็เหมือนกับปวัตติกาลนั่นเอง) (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๗๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๗. สวิตักกทุกะ ๓. ปัจจยวาร
[๑๑๑] สภาวธรรมที่มีวิตกทำสภาวธรรมที่มีวิตกและไม่มีวิตกให้เป็นปัจจัย
เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ ทำขันธ์ ๑ ที่มีวิตกและทำวิตกให้เป็น
ปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ทำขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ ๓ ทำขันธ์ ๑ ที่มีวิตกและทำ
หทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ทำขันธ์ ๒ ฯลฯ (ในปฏิสนธิขณะ พึงเพิ่ม
เป็น ๒ วาระ) (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกทำสภาวธรรมที่มีวิตกและไม่มีวิตกให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น
เพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปทำขันธ์ที่มีวิตกและทำวิตกให้เป็นปัจจัย
เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปทำขันธ์ที่มีวิตกและทำวิตกและมหาภูตรูปให้เป็นปัจจัยเกิด
ขึ้น วิตกทำขันธ์ที่มีวิตกและทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
(มี ๓ วาระแม้ในปฏิสนธิ) (๒)
สภาวธรรมที่มีวิตกและไม่มีวิตกทำสภาวธรรมที่มีวิตกและไม่มีวิตกให้เป็น
ปัจจัยเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปทำขันธ์ ๑ ที่
มีวิตกและทำวิตกให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ทำขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ ๓ ทำขันธ์ ๑
ที่มีวิตก วิตก และหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ทำขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตต-
สมุฏฐานรูปทำขันธ์ที่มีวิตกและทำวิตกและมหาภูตรูปให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ขันธ์ ๓
และวิตกทำขันธ์ ๑ ที่มีวิตกและทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ทำขันธ์ ๒
ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๓)

๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร

[๑๑๒] เหตุปัจจัย มี ๙ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๙ วาระ
อธิปติปัจจัย มี ๙ วาระ

(ทุกปัจจัยมีปัจจัยละ ๙ วาระ)

อวิคตปัจจัย มี ๙ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๗๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๗. สวิตักกทุกะ ๓. ปัจจยวาร
๒. ปัจจยปัจจนียะ ๑. วิภังควาร
[๑๑๓] สภาวธรรมที่มีวิตกทำสภาวธรรมที่มีวิตกให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น เพราะ
นเหตุปัจจัย (พึงเพิ่มเป็น ๙ วาระ พึงกําหนดว่าเป็นอเหตุกะ มีเพียง ๓ วาระเท่านั้น
พึงยกโมหะขึ้นแสดง วาระก็เหมือนกับเหตุปัจจัย ในปฏิจจวารนั่นเอง ปัญจวิญญาณ
เป็นสภาวธรรมพิเศษ โมหะ และวิตกก็พึงยกขึ้นแสดง)

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒. สังขยาวาร

[๑๑๔] นเหตุปัจจัย มี ๙ วาระ
นอารัมมณปัจจัย มี ๓ วาระ
นอธิปติปัจจัย มี ๙ วาระ
นอนันตรปัจจัย มี ๓ วาระ ฯลฯ
นอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย มี ๙ วาระ
นปัจฉาชาตปัจจัย มี ๙ วาระ
นอาเสวนปัจจัย มี ๙ วาระ
นกัมมปัจจัย มี ๔ วาระ
นวิปากปัจจัย มี ๙ วาระ
นอาหารปัจจัย มี ๑ วาระ
นอินทรียปัจจัย มี ๑ วาระ
นฌานปัจจัย มี ๑ วาระ
นมัคคปัจจัย มี ๙ วาระ
นสัมปยุตตปัจจัย มี ๓ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย มี ๖ วาระ
โนนัตถิปัจจัย มี ๓ วาระ
โนวิคตปัจจัย มี ๓ วาระ

(การนับ ๒ อย่างนอกนี้และนิสสยวาร พึงทําอย่างนี้)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๗๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๗. สวิตักกทุกะ ๕. สังสัฏฐวาร
๘๗. สวิตักกทุกะ ๕. สังสัฏฐวาร
๑. ปัจจยานุโลมเป็นต้น
เหตุปัจจัย
[๑๑๕] สภาวธรรมที่มีวิตกเกิดระคนกับสภาวธรรมที่มีวิตกเพราะเหตุปัจจัย
ได้แก่ ขันธ์ ๓ เกิดระคนกับขันธ์ ๑ ที่มีวิตก ฯลฯ เกิดระคนกับขันธ์ ๒ ฯลฯ
ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกเกิดระคนกับสภาวธรรมที่มีวิตกเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่
วิตกเกิดระคนกับขันธ์ที่มีวิตก ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
สภาวธรรมที่มีวิตกและไม่มีวิตกเกิดระคนกับสภาวธรรมที่มีวิตกเพราะเหตุปัจจัย
ได้แก่ ขันธ์ ๓ และวิตกเกิดระคนกับขันธ์ ๑ ที่มีวิตก ฯลฯ เกิดระคนกับขันธ์ ๒
ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๓)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกเกิดระคนกับสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่
ขันธ์ ๓ เกิดระคนกับขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตก ฯลฯ เกิดระคนกับขันธ์ ๒ ฯลฯ ใน
ปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
สภาวธรรมที่มีวิตกเกิดระคนกับสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่
สัมปยุตตขันธ์เกิดระคนกับวิตก ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๒)
สภาวธรรมที่มีวิตกเกิดระคนกับสภาวธรรมที่มีวิตกและไม่มีวิตกเพราะเหตุปัจจัย
ได้แก่ ขันธ์ ๓ เกิดระคนกับขันธ์ ๑ ที่มีวิตกและระคนกับวิตก ฯลฯ เกิดระคนกับ
ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑) (ย่อ)

เหตุปัจจัย มี ๖ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๖ วาระ
อธิปติปัจจัย มี ๖ วาระ

(ทุกปัจจัยมีปัจจัยละ ๖ วาระ)

อวิคตปัจจัย มี ๖ วาระ

อนุโลม จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๗๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๗. สวิตักกทุกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่มีวิตกเกิดระคนกับสภาวธรรมที่มีวิตกเพราะนเหตุปัจจัย (พึงเพิ่ม
เป็น ๖ วาระอย่างนี้ เหมือนกับอนุโลม พึงกําหนดว่าเป็นอเหตุกะ มีเพียง ๓ วาระ
เท่านั้น พึงยกโมหะขึ้นแสดง)

นเหตุปัจจัย มี ๖ วาระ
นอธิปติปัจจัย มี ๖ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย มี ๖ วาระ
นปัจฉาชาตปัจจัย มี ๖ วาระ
นอาเสวนปัจจัย มี ๖ วาระ
นกัมมปัจจัย มี ๔ วาระ
นวิปากปัจจัย มี ๖ วาระ
นฌานปัจจัย มี ๑ วาระ
นมัคคปัจจัย มี ๖ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย มี ๖ วาระ

ปัจจนียะ จบ
(การนับ ๒ อย่างนอกนี้และสัมปยุตตวาร พึงทําอย่างนี้)

๘๗. สวิตักกทุกะ ๗. ปัญหาวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๑๑๖] สภาวธรรมที่มีวิตกเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีวิตกโดยเหตุปัจจัย ได้แก่
เหตุที่มีวิตกเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์โดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
สภาวธรรมที่มีวิตกเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกโดยเหตุปัจจัย ได้แก่
เหตุที่มีวิตกเป็นปัจจัยแก่วิตกและจิตตสมุฏฐานรูปโดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
(พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล) เหตุที่มีวิตกเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ วิตกและจิตต-
สมุฏฐานรูปโดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๗๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๗. สวิตักกทุกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกโดยเหตุปัจจัย ได้แก่
เหตุที่ไม่มีวิตกเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดยเหตุปัจจัย ใน
ปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)

อารัมมณปัจจัย
[๑๑๗] สภาวธรรมที่มีวิตกเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีวิตกโดยอารัมมณปัจจัย
ได้แก่ เพราะปรารภขันธ์ที่มีวิตก ขันธ์ที่มีวิตกจึงเกิดขึ้น (พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล)
เพราะปรารภขันธ์ที่มีวิตก ขันธ์ที่ไม่มีวิตกและวิตกจึงเกิดขึ้น (พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล)
เพราะปรารภขันธ์ที่มีวิตก ขันธ์ที่มีวิตกและวิตกจึงเกิดขึ้น (๓)
[๑๑๘] สภาวธรรมที่ไม่มีวิตก เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกโดย
อารัมมณปัจจัย ได้แก่ พระอริยะออกจากฌานที่ไม่มีวิตกแล้วพิจารณาฌานที่ไม่มี
วิตกออกจากมรรคแล้ว พิจารณามรรค ออกจากผลแล้ว พิจารณาผล พิจารณา
นิพพาน นิพพานเป็นปัจจัยแก่มรรคที่ไม่มีวิตก ผลและวิตกโดยอารัมมณปัจจัย
บุคคลเห็นแจ้งจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกและวิตก โดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง
ฯลฯ ยินดีเพลิดเพลิน เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้น วิตกจึง
เกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รู้จิตของบุคคลผู้มี
ความพรั่งพร้อมด้วยจิตที่ไม่มีวิตกด้วยเจโตปริยญาณ อากาสานัญจายตนะ ฯลฯ
อากิญจัญญายตนะ ฯลฯ รูปายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ
โผฏฐัพพายตนะ ฯลฯ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกเป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ เจโตปริยญาณ
ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ยถากัมมูปคญาณ อนาคตังสญาณ และวิตกโดย
อารัมมณปัจจัย เพราะปรารภขันธ์ที่ไม่มีวิตกและวิตก ขันธ์ที่ไม่มีวิตกและวิตก
จึงเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีวิตกโดยอารัมมณปัจจัย
ได้แก่ พระอริยะออกจากฌานที่ไม่มีวิตก ฯลฯ ออกจากมรรค ฯลฯ ออกจาก
ผลแล้วพิจารณาผล พิจารณานิพพาน นิพพานเป็นปัจจัยแก่โคตรภู โวทาน
มรรคที่มีวิตก ผลและอาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย บุคคลเห็นแจ้งจักษุ ฯลฯ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๘๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๗. สวิตักกทุกะ ๗. ปัญหาวาร
หทัยวัตถุ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกและวิตกโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ ยินดีเพลิดเพลิน
เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้น ราคะจึงเกิดขึ้น ฯลฯ โทมนัส
จึงเกิดขึ้นเพราะปรารภขันธ์ที่ไม่มีวิตกและวิตก ขันธ์ที่มีวิตกจึงเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีวิตกและไม่มีวิตกโดย
อารัมมณปัจจัย ได้แก่ พระอริยะออกจากฌานที่ไม่มีวิตก ฯลฯ ออกจากมรรค
แล้วพิจารณามรรค ออกจากผลแล้ว พิจารณาผล พิจารณานิพพาน นิพพาน
เป็นปัจจัยแก่โคตรภู โวทาน มรรคที่มีวิตก ผล อาวัชชนจิตและวิตกโดย
อารัมมณปัจจัย บุคคลเห็นแจ้งจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกและวิตก
โดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ ยินดีเพลิดเพลิน เพราะปรารภความยินดี
เพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้น ขันธ์ที่มีวิตกและวิตกจึงเกิดขึ้นเพราะปรารภขันธ์ที่ไม่มี
วิตกและวิตก ขันธ์ที่มีวิตกและวิตกจึงเกิดขึ้น (๓)
[๑๑๙] สภาวธรรมที่มีวิตกและไม่มีวิตกเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีวิตกโดย
อารัมมณปัจจัย ได้แก่ เพราะปรารภขันธ์ที่มีวิตกและวิตก ขันธ์ที่มีวิตกจึงเกิดขึ้น
(พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล) เพราะปรารภขันธ์ที่มีวิตกและวิตก ขันธ์ที่ไม่มีวิตกและวิตก
จึงเกิดขึ้น (พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล) เพราะปรารภขันธ์ที่มีวิตกและวิตก ขันธ์ที่มีวิตก
และวิตกจึงเกิดขึ้น (๓)

อธิปติปัจจัย
[๑๒๐] สภาวธรรมที่มีวิตกเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีวิตกโดยอธิปติปัจจัย
มี ๒ อย่างคือ อารัมมณาธิปติและสหชาตาธิปติ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ เพราะทําขันธ์ที่มีวิตกให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น
ขันธ์ที่มีวิตกจึงเกิดขึ้น
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่มีวิตกเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์โดย
อธิปติปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๘๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๗. สวิตักกทุกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่มีวิตกเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกโดยอธิปติปัจจัย มี ๒
อย่าง คือ อารัมมณาธิปติและสหชาตาธิปติ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ เพราะทําขันธ์ที่มีวิตกให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น
วิตกจึงเกิดขึ้น
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่มีวิตกเป็นปัจจัยแก่วิตกและจิตตสมุฏฐาน-
รูปโดยอธิปติปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีวิตกเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีวิตกและไม่มีวิตกโดยอธิปติปัจจัย
มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติและสหชาตาธิปติ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ เพราะทําขันธ์ที่มีวิตกให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น
ขันธ์ที่มีวิตกและวิตกจึงเกิดขึ้น
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่มีวิตกเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ วิตก
และจิตตสมุฏฐานรูปโดยอธิปติปัจจัย (๓)
[๑๒๑] สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตก โดย
อธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติและสหชาตาธิปติ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ พระอริยะออกจากฌานที่ไม่มีวิตก ฯลฯ ออกจาก
มรรคแล้ว พิจารณามรรค ฯลฯ ออกจากผลแล้วพิจารณาผลให้เป็นอารมณ์อย่าง
หนักแน่น พิจารณานิพพานให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น นิพพานเป็นปัจจัยแก่
มรรคที่ไม่มีวิตก ผลและวิตกโดยอธิปติปัจจัย บุคคลยินดีเพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ
หทัยวัตถุ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกและวิตกให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทําความ
ยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น วิตกจึงเกิดขึ้น
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่ไม่มีวิตกเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และ
จิตตสมุฏฐานรูปโดยอธิปติปัจจัย เพราะทําขันธ์ที่ไม่มีวิตกและวิตกให้เป็นอารมณ์
อย่างหนักแน่น วิตกจึงเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีวิตกโดยอธิปติปัจจัย มี
อย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ พระอริยะออกจากฌานที่ไม่มีวิตกแล้ว
พิจารณาฌาน ฯลฯ ออกจากมรรคแล้วพิจารณามรรค ออกจากผลแล้ว

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๘๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๗. สวิตักกทุกะ ๗. ปัญหาวาร
พิจารณาผลให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น พิจารณานิพพานให้เป็นอารมณ์อย่าง
หนักแน่น นิพพานเป็นปัจจัยแก่โคตรภู โวทาน มรรคที่มีวิตก และผลโดยอธิปติ-
ปัจจัย บุคคลยินดีเพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกและวิตกให้
เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทําความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้นให้เป็น
อารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้นเพราะทําขันธ์ที่ไม่มีวิตกและ
วิตกให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ขันธ์ที่มีวิตกจึงเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตก เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีวิตกและไม่มีวิตกโดย
อธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ พระอริยะออกจากฌานที่
ไม่มีวิตก ฯลฯ ออกจากมรรค ฯลฯ ออกจากผลแล้วพิจารณาผลให้เป็นอารมณ์
อย่างหนักแน่น พิจารณานิพพานให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น นิพพานเป็นปัจจัย
แก่โคตรภู โวทาน มรรคที่มีวิตก ผลและวิตกโดยอธิปติปัจจัย บุคคลทําจักษุ ฯลฯ
หทัยวัตถุ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกและวิตกให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ยินดีเพลิดเพลิน
เพราะทําความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะ
จึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น เพราะทําขันธ์ที่ไม่มีวิตกและวิตกให้เป็นอารมณ์อย่าง
หนักแน่น ขันธ์ที่มีวิตกและวิตกจึงเกิดขึ้น (๓)
สภาวธรรมที่มีวิตกและไม่มีวิตก เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีวิตกโดยอธิปติปัจจัย
มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ เพราะทําขันธ์ที่มีวิตกและวิตกให้เป็น
อารมณ์อย่างหนักแน่น ขันธ์ที่มีวิตกจึงเกิดขึ้น (พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล) เพราะทํา
ขันธ์ที่มีวิตกและวิตกให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น วิตกจึงเกิดขึ้น (พึงเพิ่มบทที่
เป็นมูล) เพราะทําขันธ์ที่มีวิตกและวิตกให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ขันธ์ที่มีวิตก
และวิตกจึงเกิดขึ้น (๓)

อนันตรปัจจัยเป็นต้น
[๑๒๒] สภาวธรรมที่มีวิตกเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีวิตกโดยอนันตรปัจจัย
ได้แก่ ขันธ์ที่มีวิตกซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีวิตกซึ่งเกิดหลัง ๆ โดย
อนันตรปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๘๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๗. สวิตักกทุกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่มีวิตกเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่
ขันธ์ที่มีวิตกซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่มีวิตกซึ่งเกิดหลัง ๆ โดย
อนันตรปัจจัย จุติจิตที่มีวิตกเป็นปัจจัยแก่อุปปัตติจิตที่ไม่มีวิตกโดยอนันตรปัจจัย
อาวัชชนจิตเป็นปัจจัยแก่วิญญาณ ๕ โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ที่มีวิตกเป็นปัจจัยแก่
วุฏฐานะที่ไม่มีวิตกโดยอนันตรปัจจัย บริกรรมทุติยฌานเป็นปัจจัยแก่ทุติยฌานโดย
อนันตรปัจจัย บริกรรมตติยฌาน ฯลฯ บริกรรมเนวสัญญานาสัญญายตนะเป็น
ปัจจัยแก่เนวสัญญานาสัญญายตนะ ฯลฯ บริกรรมทิพพจักขุ ฯลฯ บริกรรม
ทิพพโสตธาตุ ฯลฯ บริกรรมอิทธิวิธญาณ ฯลฯ เจโตปริยญาณ ฯลฯ ปุพเพ-
นิวาสานุสสติญาณ ฯลฯ บริกรรมยถากัมมูปคญาณเป็นปัจจัยแก่ยถากัมมูปคญาณ
ฯลฯ บริกรรมอนาคตังสญาณเป็นปัจจัยแก่อนาคตังสญาณโดยอนันตรปัจจัย
โคตรภูเป็นปัจจัยแก่มรรคที่ไม่มีวิตก โวทานเป็นปัจจัยแก่มรรคที่ไม่มีวิตก อนุโลม
เป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติที่ไม่มีวิตกโดยอนันตรปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีวิตกเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีวิตกและไม่มีวิตกโดยอนันตร-
ปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีวิตกซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีวิตกและวิตกซึ่งเกิด
หลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย (๓)
[๑๒๓] สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกโดยอนันตร-
ปัจจัย ได้แก่ วิตกที่เกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่วิตกที่เกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย
ขันธ์ที่ไม่มีวิตกซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่มีวิตกซึ่งเกิดหลัง ๆ โดย
อนันตรปัจจัย มรรคที่ไม่มีวิตกเป็นปัจจัยแก่ผลที่ไม่มีวิตก ฯลฯ ผลที่ไม่มีวิตก
เป็นปัจจัยแก่ผลที่ไม่มีวิตก ฯลฯ เนวสัญญานาสัญญายตนะของท่านผู้ออกจาก
นิโรธเป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติที่ไม่มีวิตกโดยอนันตรปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีวิตกโดยอนันตรปัจจัย
ได้แก่ (ขันธ์ที่ไม่มีวิตก)ซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีวิตกซึ่งเกิดหลัง ๆ
โดยอนันตรปัจจัย จุติจิตที่ไม่มีวิตกเป็นปัจจัยแก่อุปปัตติจิตที่มีวิตก ภวังคจิตที่ไม่มี
วิตกเป็นปัจจัยแก่อาวัชชนจิต ขันธ์ที่ไม่มีวิตกเป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะที่มีวิตกโดย
อนันตรปัจจัย (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๘๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน] ๘๗. สวิตักกทุกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีวิตกและไม่มีวิตกโดยอนันตร-
ปัจจัย ได้แก่ วิตกที่เกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีวิตกและวิตกซึ่งเกิดหลัง ๆ
โดยอนันตรปัจจัย (๓)
[๑๒๔] สภาวธรรมที่มีวิตกและไม่มีวิตกเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีวิตกโดย
อนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีวิตกและวิตกที่เกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มี
วิตกซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีวิตกและไม่มีวิตกเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกโดยอนันตร-
ปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีวิตกและวิตกซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่วิตกที่เกิดหลัง ๆ
โดยอนันตรปัจจัย จุติจิตที่มีวิตกและวิตกเป็นปัจจัยแก่อุปปัตติจิตที่ไม่มีวิตก ฯลฯ
อาวัชชนจิตและวิตกเป็นปัจจัยแก่วิญญาณ ๕ ฯลฯ ขันธ์ที่มีวิตกและวิตกเป็น
ปัจจัยแก่วุฏฐานะที่ไม่มีวิตกโดยอนันตรปัจจัย บริกรรมทุติยฌานและวิตก ฯลฯ
(ข้อความที่เขียนไว้ในเบื้องต้น ก็พึงทราบโดยเหตุนี้) อนุโลมและวิตกเป็นปัจจัยแก่
ผลสมาบัติที่ไม่มีวิตกโดยอนันตรปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีวิตกและไม่มีวิตกเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีวิตกและไม่มีวิตกโดย
อนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีวิตกและวิตกซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มี
วิตกและวิตกซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย (๓)
... เป็นปัจจัยโดยสมนันตรปัจจัย มี ๙ วาระ
... เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย มี ๙ วาระ
... เป็นปัจจัยโดยอัญญมัญญปัจจัย มี ๙ วาระ
... เป็นปัจจัยโดยนิสสยปัจจัย มี ๙ วาระ

อุปนิสสยปัจจัย
[๑๒๕] สภาวธรรมที่มีวิตกเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีวิตกโดยอุปนิสสยปัจจัย
มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๓ หน้า :๔๘๕ }


>>>>> หน้าต่อไป >>>>>





eXTReMe Tracker