ค้นว่าอยู่เล่มใด แล้วกด [ctrl]+f หรือใช้คำสั่งของเครื่องหาตำแหน่งในเล่มอีกทีนะครับ



จัดรูปหน้าใหม่
เพื่อความสะดวก และสวยงาม
(เฉพาะหน้าจอใหญ่ เช่น คอมพิวเตอร์)
กรุณาคลิก จัดรูปหน้าใหม่
เพื่อให้กรอบ
ค้นข้อความ ปรากฎที่ด้านซ้ายของหน้า

พระไตรปิฎกภาษาไทย
ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ๔๕ เล่ม (ปกสีฟ้า)
ทั้งออนไลน์และออฟไลน์
ที่มาของข้อมูล : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับ มจร.
MCUTRAI Version 1.0

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๔๑-๔ อภิธรรมปิฎกที่ ๐๘ ปัฏฐาน ภาค ๒

พระอภิธรรมปิฎก
ธัมมานุโลม ติกปัฏฐาน
_____________
ขอนอบน้อมพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๕. มิจฉัตตนิยตติกะ ๗. ปัญหาวาร
๑๕. มิจฉัตตนิยตติกะ ๗. ปัญหาวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๓๖] สภาวธรรมที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มี
สภาวะผิดและให้ผลแน่นอนโดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอน
เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์โดยเหตุปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่แน่นอน
โดยอาการทั้งสองโดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนเป็น
ปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดยเหตุปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีสภาวะผิด
ให้ผลแน่นอนและที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองโดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่มีสภาวะ
ผิดและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดยเหตุปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีสภาวะ
ชอบและให้ผลแน่นอนโดยเหตุปัจจัย มี ๓ วาระ
สภาวธรรมที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่แน่นอนโดย
อาการทั้งสองโดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองเป็นปัจจัยแก่
สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)

อารัมมณปัจจัย
[๓๗] สภาวธรรมที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่
แน่นอนโดยอาการทั้งสองโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ พระอริยะพิจารณากิเลสที่มี
สภาวะผิดและให้ผลแน่นอนซึ่งละได้แล้ว รู้กิเลสที่เคยเกิดขึ้น เห็นแจ้งขันธ์ที่มีสภาวะ
ผิดและให้ผลแน่นอนโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ รู้จิตของบุคคลผู้มีความพรั่งพร้อม
ด้วยจิตที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนด้วยเจโตปริยญาณ ขันธ์ที่มีสภาวะผิดและให้
ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่เจโตปริยญาณ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ยถากัมมูปคญาณ
อนาคตังสญาณ และอาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๐๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๕. มิจฉัตตนิยตติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่แน่นอน
โดยอาการทั้งสองโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ พระอริยะออกจากมรรคแล้วพิจารณา
มรรค รู้จิตของบุคคลผู้มีความพรั่งพร้อมด้วยจิตที่มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอนด้วย
เจโตปริยญาณ ขันธ์ที่มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่เจโตปริยญาณ
ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ อนาคตังสญาณ และอาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย (๑)
[๓๘] สภาวธรรมที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่แน่
นอนโดยอาการทั้งสองโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล รักษา
อุโบสถแล้วพิจารณากุศลนั้น พิจารณากุศลที่เคยสั่งสมไว้ดีแล้ว ออกจากฌานแล้ว
พิจารณาฌาน พระอริยะพิจารณาผล พิจารณานิพพาน นิพพานเป็นปัจจัยแก่โคตรภู
โวทาน ผล และอาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย พระอริยะพิจารณากิเลสที่ไม่แน่
นอนโดยอาการทั้งสองซึ่งละได้แล้ว พิจารณากิเลสที่ข่มได้แล้ว รู้กิเลสที่เคยเกิดขึ้น
เห็นแจ้งจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ ขันธ์ที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองโดยเป็น
สภาวะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ยินดีเพลิดเพลิน เพราะปรารภความยินดี
เพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้น ราคะที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองจึงเกิดขึ้น ฯลฯ
โทมนัสจึงเกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รู้จิตของ
บุคคลผู้มีความพรั่งพร้อมด้วยจิตที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองด้วยเจโตปริยญาณ
อากาสานัญจายตนะเป็นปัจจัยแก่วิญญาณัญจายตนะ ฯลฯ อากิญจัญญายตนะ
เป็นปัจจัยแก่เนวสัญญานาสัญญายตนะโดยอารัมมณปัจจัย รูปายตนะเป็นปัจจัยแก่
จักขุวิญญาณ ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะเป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณโดยอารัมมณปัจจัย
ขันธ์ที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองเป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ เจโตปริยญาณ
ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ยถากัมมูปคญาณ อนาคตังสญาณ และอาวัชชนจิตโดย
อารัมมณปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีสภาวะผิด
และให้ผลแน่นอนโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ รูปชีวิตินทรีย์เป็นปัจจัยแก่มาตุฆาตกรรม
ปิตุฆาตกรรม อรหันตฆาตกรรม และโลหิตุปปาทกรรมโดยอารัมมณปัจจัย ขันธ์ที่
มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนเกิดขึ้นแก่บุคคลผู้ยึดมั่นหทัยวัตถุใด หทัยวัตถุนั้นเป็น
ปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนโดยอารัมมณปัจจัย (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๐๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๕. มิจฉัตตนิยตติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีสภาวะ
ชอบและให้ผลแน่นอนโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ นิพพานเป็นปัจจัยแก่มรรคโดย
อารัมมณปัจจัย (๓)

อธิปติปัจจัย
[๓๙] สภาวธรรมที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนโดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ
ได้แก่ อธิบดีธรรมที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์โดย
อธิปติปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่แน่นอน
โดยอาการทั้งสองโดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดี-
ธรรมที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดยอธิปติปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีสภาวะผิด
ให้ผลแน่นอนและที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองโดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่
สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดยอธิปติปัจจัย (๓)
[๔๐] สภาวธรรมที่มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอนโดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ
ได้แก่ อธิบดีธรรมที่มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์โดย
อธิปติปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่แน่
นอนโดยอาการทั้งสองโดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติและ
สหชาตาธิปติ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ พระอริยะออกจากมรรคแล้ว พิจารณามรรคให้เป็น
อารมณ์อย่างหนักแน่น
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัย
แก่จิตตสมุฏฐานรูปโดยอธิปติปัจจัย (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๐๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๕. มิจฉัตตนิยตติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีสภาวะ
ชอบให้ผลแน่นอนและที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองโดยอธิปติปัจจัยมีอย่างเดียว คือ
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่
สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดยอธิปติปัจจัย (๓)
[๔๑] สภาวธรรมที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่
แน่นอนโดยอาการทั้งสองโดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ
และสหชาตาธิปติ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถแล้ว
พิจารณากุศลนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น พิจารณากุศลที่เคยสั่งสมไว้ดีแล้ว
ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ออกจากฌาน ฯลฯ พระอริยะพิจารณาผลให้เป็น
อารมณ์อย่างหนักแน่น พิจารณานิพพานให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น นิพพาน
เป็นปัจจัยแก่โคตรภู โวทาน และผลโดยอธิปติปัจจัย บุคคลยินดีเพลิดเพลินจักษุ
ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ ขันธ์ที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองให้เป็นอารมณ์อย่างหนัก
แน่น เพราะทําความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น
ราคะที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองเป็นปัจจัย
แก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดยอธิปติปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีสภาวะ
ชอบและให้ผลแน่นอนโดยอธิปติปัจจัยมีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่
นิพพานเป็นปัจจัยแก่มรรคโดยอธิปติปัจจัย (๒)

อนันตรปัจจัย
[๔๒] สภาวธรรมที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่
แน่นอนโดยอาการทั้งสองโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่
นอนเป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะโดยอนันตรปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๐๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๕. มิจฉัตตนิยตติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่แน่
นอนโดยอาการทั้งสองโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ มรรคเป็นปัจจัยแก่ผลโดยอนันตร-
ปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่แน่นอน
โดยอาการทั้งสองโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองซึ่ง
เกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองซึ่งเกิดหลัง ๆ โดย
อนันตรปัจจัย อนุโลมเป็นปัจจัยแก่โคตรภู อนุโลมเป็นปัจจัยแก่โวทาน ผลเป็น
ปัจจัยแก่ผล อนุโลมเป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติ เนวสัญญานาสัญญายตนะของท่านผู้
ออกจากนิโรธเป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติโดยอนันตรปัจจัย (๑)
[๔๓] สภาวธรรมที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มี
สภาวะผิดและให้ผลแน่นอนโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ โทมนัสที่ไม่แน่นอนโดย
อาการทั้งสองเป็นปัจจัยแก่โทมนัสที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนโดยอนันตรปัจจัย
มิจฉาทิฏฐิที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองเป็นปัจจัยแก่มิจฉาทิฏฐิที่ให้ผลแน่นอนโดย
อนันตรปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีสภาวะ
ชอบและให้ผลแน่นอนโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ โคตรภูเป็นปัจจัยแก่มรรค โวทาน
เป็นปัจจัยแก่มรรคโดยอนันตรปัจจัย (๓)

สมนันตรปัจจัยเป็นต้น
[๔๔] สภาวธรรมที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่แน่
นอนโดยอาการทั้งสองโดยสมนันตรปัจจัย (ปัจจัยนี้เหมือนกับอนันตรปัจจัย) เป็น
ปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย (เหมือนกับปฏิจจวาร มี ๙ วาระ) เป็นปัจจัยโดย
อัญญมัญญปัจจัย (เหมือนกับปฏิจจวาร มี ๓ วาระ) เป็นปัจจัยโดยนิสสยปัจจัย
(เหมือนกับกุสลติกะ มี ๑๓ วาระ)

อุปนิสสยปัจจัย
[๔๕] สภาวธรรมที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มี
สภาวะผิดและให้ผลแน่นอนโดยอุปนิสสยปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปกตูปนิสสยะ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๐๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๕. มิจฉัตตนิยตติกะ ๗. ปัญหาวาร
ได้แก่ มาตุฆาตกรรมเป็นปัจจัยแก่มาตุฆาตกรรมโดยอุปนิสสยปัจจัย มาตุฆาตกรรม
ฯลฯ ปิตุฆาตกรรม ฯลฯ อรหันตฆาตกรรม ฯลฯ โลหิตุปปาทกรรม ฯลฯ
สังฆเภทกรรม ฯลฯ เป็นปัจจัยแก่มิจฉาทิฏฐิที่ให้ผลแน่นอนโดยอุปนิสสยปัจจัย (พึง
ทําเป็นจักกนัย) มิจฉาทิฏฐิที่ให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่มิจฉาทิฏฐิที่ให้ผลแน่นอน
โดยอุปนิสสยปัจจัย มิจฉาทิฏฐิที่ให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่มาตุฆาตกรรม ฯลฯ
สังฆเภทกรรมโดยอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่แน่
นอนโดยอาการทั้งสองโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ
และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลปลงชีวิตมารดา ประสงค์จะลบล้างกรรมนั้น
จึงให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถ ปลงชีวิตบิดา ฯลฯ ปลงชีวิตพระอรหันต์ ฯลฯ
มีจิตประทุษร้ายทําโลหิตของพระตถาคตให้ห้อ ฯลฯ ทําลายสงฆ์ ประสงค์จะลบล้าง
กรรมนั้นจึงให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถ (๒)
[๔๖] สภาวธรรมที่มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอนโดยอุปนิสสยปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปกตูปนิสสยะ
ได้แก่ ปฐมมรรคเป็นปัจจัยแก่ทุติยมรรคโดยอุปนิสสยปัจจัย ฯลฯ ตติยมรรคเป็น
ปัจจัยแก่จตุตถมรรคโดยอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่แน่
นอนโดยอาการทั้งสองโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ
อนันตรูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ พระอริยะอาศัยมรรคแล้วทําสมาบัติที่ยังไม่เกิดให้เกิด
ขึ้น เข้าสมาบัติที่เกิดขึ้นแล้ว เห็นแจ้งสังขารโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็น
อนัตตา มรรคของพระอริยะเป็นปัจจัยแก่อัตถปฏิสัมภิทา ฯลฯ ความเป็นผู้ฉลาด
ในฐานะและมิใช่ฐานะโดยอุปนิสสยปัจจัย มรรคเป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติโดย
อุปนิสสยปัจจัย (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๐๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๕. มิจฉัตตนิยตติกะ ๗. ปัญหาวาร
[๔๗] สภาวธรรมที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่
แน่นอนโดยอาการทั้งสองโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ
อนันตรูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยศรัทธาที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองแล้ว
ให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถ ฯลฯ ทําฌานให้เกิดขึ้น ทำวิปัสสนา ... อภิญญา
... สมาบัติให้เกิดขึ้น มีมานะ ถือทิฏฐิ อาศัยศีลที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสอง ...
สุตะ ... จาคะ ... ปัญญา ... ราคะ ฯลฯ ความปรารถนา ... สุขทางกาย ...
ทุกข์ทางกาย ... อุตุ ... โภชนะ ... เสนาสนะแล้วให้ทาน ฯลฯ ฆ่าชาวนิคม
ศรัทธาที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสอง ฯลฯ ปัญญา ... ราคะ ฯลฯ เสนาสนะ
เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสอง ฯลฯ สุขทางกาย ... ทุกข์
ทางกาย ... ผลสมาบัติโดยอุปนิสสยปัจจัย บริกรรมปฐมฌานเป็นปัจจัยแก่
ปฐมฌานนั้นเท่านั้น ฯลฯ บริกรรมเนวสัญญานาสัญญายตนะเป็นปัจจัยแก่เนว-
สัญญานาสัญญายตนะนั้นเท่านั้น ฯลฯ ปฐมฌานเป็นปัจจัยแก่ทุติยฌาน ฯลฯ
อากิญจัญญายตนะเป็นปัจจัยแก่เนวสัญญานาสัญญายตนะ ฯลฯ ปาณาติบาตเป็น
ปัจจัยแก่ปาณาติบาตโดยอุปนิสสยปัจจัย (พึงทําเป็นจักกนัย) (๑)
สภาวธรรมที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีสภาวะ
ผิดและให้ผลแน่นอนโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ
และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยราคะที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองแล้ว
ปลงชีวิตมารดา ฯลฯ ทําลายสงฆ์อาศัยโทสะที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสอง ฯลฯ
ความปรารถนา ... สุขทางกาย ฯลฯ เสนาสนะแล้วปลงชีวิตมารดา ฯลฯ ทําลาย
สงฆ์ ราคะที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสอง ฯลฯ เสนาสนะเป็นปัจจัยแก่มาตุฆาตกรรม
... ปิตุฆาตกรรม ... อรหันตฆาตกรรม ... โลหิตุปปาทกรรม ... สังฆเภทกรรม
... มิจฉาทิฏฐิที่ให้ผลแน่นอนโดยอุปนิสสยปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีสภาวะ
ชอบและให้ผลแน่นอนโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ
อนันตรูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๐๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๕. มิจฉัตตนิยตติกะ ๗. ปัญหาวาร
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บริกรรมปฐมมรรคเป็นปัจจัยแก่ปฐมมรรค ฯลฯ
บริกรรมจตุตถมรรคเป็นปัจจัยแก่จตุตถมรรคโดยอุปนิสสยปัจจัย (๓)

ปุเรชาตปัจจัย
[๔๘] สภาวธรรมที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่
แน่นอนโดยอาการทั้งสองโดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาตะ
และวัตถุปุเรชาตะ
อารัมมณปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลเห็นแจ้งจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุโดยเป็น
สภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ ยินดีเพลิดเพลิน เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินจักษุ
เป็นต้นนั้น ราคะที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองจึงเกิดขึ้น ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น
บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รูปายตนะเป็นปัจจัยแก่
จักขุวิญญาณ ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะเป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณโดยปุเรชาตปัจจัย
วัตถุปุเรชาตะ ได้แก่ จักขายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ กายา-
ยตนะเป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่แน่นอนโดยอาการ
ทั้งสองโดยปุเรชาตปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีสภาวะ
ผิดและให้ผลแน่นอนโดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาตะ
และวัตถุปุเรชาตะ
อารัมมณปุเรชาตะ ได้แก่ รูปชีวิตินทรีย์เป็นปัจจัยแก่มาตุฆาตกรรม ...
ปิตุฆาตกรรม ... อรหันตฆาตกรรม ... โลหิตุปปาทกรรมโดยปุเรชาตปัจจัย
วัตถุปุเรชาตะ ได้แก่ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่
นอนโดยปุเรชาตปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีสภาวะ
ชอบและให้ผลแน่นอนโดยปุเรชาตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ วัตถุปุเรชาตะ ได้แก่
หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอนโดยปุเรชาตปัจจัย (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๐๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๕. มิจฉัตตนิยตติกะ ๗. ปัญหาวาร
ปัจฉาชาตปัจจัย
[๔๙] สภาวธรรมที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่
แน่นอนโดยอาการทั้งสองโดยปัจฉาชาตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีสภาวะผิดและให้ผล
แน่นอนซึ่งเกิดภายหลังเป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อนโดยปัจฉาชาตปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่แน่นอน
โดยอาการทั้งสองโดยปัจฉาชาตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอน
ซึ่งเกิดภายหลังเป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อนโดยปัจฉาชาตปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่แน่นอนโดย
อาการทั้งสองโดยปัจฉาชาตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองซึ่งเกิด
ภายหลังเป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อนโดยปัจฉาชาตปัจจัย (๑)

อาเสวนปัจจัย
[๕๐] สภาวธรรมที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่
แน่นอนโดยอาการทั้งสองโดยอาเสวนปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้ง
สองซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองซึ่งเกิดหลัง ๆ
โดยอาเสวนปัจจัย อนุโลมเป็นปัจจัยแก่โคตรภู อนุโลมเป็นปัจจัยแก่โวทานโดย
อาเสวนปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีสภาวะผิด
และให้ผลแน่นอนโดยอาเสวนปัจจัย ได้แก่ โทมนัสที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสอง
เป็นปัจจัยแก่โทมนัสที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนโดยอาเสวนปัจจัย มิจฉาทิฏฐิ
ที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองเป็นปัจจัยแก่มิจฉาทิฏฐิที่ให้ผลแน่นอนโดยอาเสวน-
ปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีสภาวะ
ชอบและให้ผลแน่นอนโดยอาเสวนปัจจัย ได้แก่ โคตรภูเป็นปัจจัยแก่มรรค โวทาน
เป็นปัจจัยแก่มรรคโดยอาเสวนปัจจัย (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๑๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๕. มิจฉัตตนิยตติกะ ๗. ปัญหาวาร
กัมมปัจจัย
[๕๑] สภาวธรรมที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มี
สภาวะผิดและให้ผลแน่นอนโดยกัมมปัจจัย ได้แก่ เจตนาที่มีสภาวะผิดและให้ผล
แน่นอนเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์โดยกัมมปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่แน่
นอนโดยอาการทั้งสองโดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและนานาขณิกะ
สหชาตะ ได้แก่ เจตนาที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่จิตต-
สมุฏฐานรูปโดยกัมมปัจจัย
นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่ขันธ์
ที่เป็นวิบากและกฏัตตารูปโดยกัมมปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีสภาวะ
ผิดให้ผลแน่นอนและที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองโดยกัมมปัจจัย ได้แก่ เจตนาที่
มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดย
กัมมปัจจัย (๓)
[๕๒] สภาวธรรมที่มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอนโดยกัมมปัจจัย ได้แก่ เจตนาที่มีสภาวะชอบและให้
ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์โดยกัมมปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่แน่
นอนโดยอาการทั้งสองโดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและนานาขณิกะ
สหชาตะ ได้แก่ เจตนาที่มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่จิตต-
สมุฏฐานรูปโดยกัมมปัจจัย
นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่ขันธ์
ที่เป็นวิบากโดยกัมมปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีสภาวะ
ชอบให้ผลแน่นอนและที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองโดยกัมมปัจจัย ได้แก่ เจตนา
ที่มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดย
กัมมปัจจัย (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๑๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๕. มิจฉัตตนิยตติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่แน่นอน
โดยอาการทั้งสองโดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและนานาขณิกะ
สหชาตะ ได้แก่ เจตนาที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต-
ขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่
เป็นวิบากและกฏัตตารูปโดยกัมมปัจจัย (๑)

วิปากปัจจัย
[๕๓] สภาวธรรมที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่
แน่นอนโดยอาการทั้งสองโดยวิปากปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เป็นวิบากซึ่งไม่แน่
นอนโดยอาการทั้งสองเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปโดยวิปากปัจจัย
ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ ขันธ์เป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุ ฯลฯ

อาหารปัจจัยเป็นต้น
[๕๔] สภาวธรรมที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มี
สภาวะผิดและให้ผลแน่นอนโดยอาหารปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอินทรียปัจจัย เป็น
ปัจจัยโดยฌานปัจจัย เป็นปัจจัยโดยมัคคปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสัมปยุตตปัจจัย

วิปปยุตตปัจจัย
[๕๕] สภาวธรรมที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่
แน่นอนโดยอาการทั้งสองโดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและ
ปัจฉาชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่จิตต-
สมุฏฐานรูปโดยวิปปยุตตปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่
เกิดก่อนโดยวิปปยุตตปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๑๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๕. มิจฉัตตนิยตติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่แน่
นอนโดยอาการทั้งสองโดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปัจฉาชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่จิตต-
สมุฏฐานรูปโดยวิปปยุตตปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่กายนี้
ที่เกิดก่อนโดยวิปปยุตตปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่แน่นอน
โดยอาการทั้งสองโดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ สหชาตะ ปุเรชาตะ และ
ปัจฉาชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองเป็นปัจจัยแก่จิตต-
สมุฏฐานรูปโดยวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ ขันธ์เป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุ
โดยวิปปยุตตปัจจัย หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์โดยวิปปยุตตปัจจัย
ปุเรชาตะ ได้แก่ จักขายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ กายายตนะ
เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้ง
สองโดยวิปปยุตตปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองเป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่
เกิดก่อนโดยวิปปยุตตปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีสภาวะ
ผิดและให้ผลแน่นอนโดยวิปปยุตตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาตะ ได้แก่
หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนโดยวิปปยุตตปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีสภาวะชอบ
และให้ผลแน่นอนโดยวิปปยุตตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาตะ ได้แก่ หทัยวัตถุ
เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอนโดยวิปปยุตตปัจจัย (๓)


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๑๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๕. มิจฉัตตนิยตติกะ ๗. ปัญหาวาร
อัตถิปัจจัย
[๕๖] สภาวธรรมที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มี
สภาวะผิดและให้ผลแน่นอนโดยอัตถิปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่มีสภาวะผิดและให้ผล
แน่นอนเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ ฯลฯ ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ โดยอัตถิปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่แน่
นอนโดยอาการทั้งสองโดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปัจฉาชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏ-
ฐานรูปโดยอัตถิปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่
เกิดก่อนโดยอัตถิปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีสภาวะผิด
ให้ผลแน่นอนและที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองโดยอัตถิปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่มี
สภาวะผิดและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปโดยอัตถิปัจจัย
ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ (๓)
สภาวธรรมที่มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีสภาวะ
ชอบและให้ผลแน่นอนโดยอัตถิปัจจัย ฯลฯ (มี ๓ วาระ)
สภาวธรรมที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่แน่นอนโดย
อาการทั้งสองโดยอัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาตะ ปุเรชาตะ ปัจฉาชาตะ
อาหาระ และอินทรียะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓
และจิตตสมุฏฐานรูปโดยอัตถิปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
ขันธ์เป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุโดยอัตถิปัจจัย หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์โดยอัตถิปัจจัย
... มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ สําหรับเหล่าอสัญญสัตตพรหม มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ
ปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลเห็นแจ้งจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ยินดีเพลิดเพลิน เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินจักษุ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๑๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๕. มิจฉัตตนิยตติกะ ๗. ปัญหาวาร
เป็นต้นนั้น ราคะจึงเกิดขึ้น ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟัง
เสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รูปายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะ
เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ ฯลฯ จักขายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ
กายายตนะเป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่แน่นอนโดย
อาการทั้งสองอัตถิปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองเป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่
เกิดก่อนโดยอัตถิปัจจัย กวฬิงการาหารเป็นปัจจัยแก่กายนี้โดยอัตถิปัจจัย รูป-
ชีวิตินทรีย์เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปโดยอัตถิปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีสภาวะ
ผิดและให้ผลแน่นอนโดยอัตถิปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาตะ ได้แก่ รูปชีวิตินทรีย์
เป็นปัจจัยแก่มาตุฆาตกรรม ฯลฯ โลหิตุปปาทกรรมโดยอัตถิปัจจัย หทัยวัตถุเป็น
ปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนโดยอัตถิปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีสภาวะ
ชอบและให้ผลแน่นอนโดยอัตถิปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาตะ ได้แก่ หทัยวัตถุ
เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอนโดยอัตถิปัจจัย (๓)
[๕๗] สภาวธรรมที่มีสภาวะผิดให้ผลแน่นอนและที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้ง
สองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนโดยอัตถิปัจจัย มี ๒
อย่าง คือ สหชาตะและปุเรชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่มีสภาวะผิดให้ผลแน่นอนและหทัยวัตถุเป็น
ปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่มีสภาวะผิดให้ผลแน่นอนและที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองเป็น
ปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองโดยอัตถิปัจจัย มี ๔ อย่าง คือ
สหชาตะ ปัจฉาชาตะ อาหาระ และอินทรียะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่มีสภาวะผิดให้ผลแน่นอนและมหาภูตรูปเป็นปัจจัยแก่
จิตตสมุฏฐานรูปโดยอัตถิปัจจัย

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๑๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๕. มิจฉัตตนิยตติกะ ๗. ปัญหาวาร
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่มีสภาวะผิดให้ผลแน่นอนและกวฬิงการาหารเป็น
ปัจจัยแก่กายนี้โดยอัตถิปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่มีสภาวะผิดให้ผลแน่นอนและรูปชีวิตินทรีย์เป็นปัจจัย
แก่กฏัตตารูปโดยอัตถิปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีสภาวะชอบให้ผลแน่นอนและที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสอง
เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอนโดยอัตถิปัจจัย ฯลฯ (มี ๒
วาระ เหมือนกับสภาวธรรมที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอน)

๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร

[๕๘] เหตุปัจจัย มี ๗ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๕ วาระ
อธิปติปัจจัย มี ๘ วาระ
อนันตรปัจจัย มี ๕ วาระ
สมนันตรปัจจัย มี ๕ วาระ
สหชาตปัจจัย มี ๙ วาระ
อัญญมัญญปัจจัย มี ๓ วาระ
นิสสยปัจจัย มี ๑๓ วาระ
อุปนิสสยปัจจัย มี ๗ วาระ
ปุเรชาตปัจจัย มี ๓ วาระ
ปัจฉาชาตปัจจัย มี ๓ วาระ
อาเสวนปัจจัย มี ๓ วาระ
กัมมปัจจัย มี ๗ วาระ
วิปากปัจจัย มี ๑ วาระ
อาหารปัจจัย มี ๗ วาระ
อินทรียปัจจัย มี ๗ วาระ
ฌานปัจจัย มี ๗ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๑๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๕. มิจฉัตตนิยตติกะ ๗. ปัญหาวาร

มัคคปัจจัย มี ๗ วาระ
สัมปยุตตปัจจัย มี ๓ วาระ
วิปปยุตตปัจจัย มี ๕ วาระ
อัตถิปัจจัย มี ๑๓ วาระ
นัตถิปัจจัย มี ๕ วาระ
วิคตปัจจัย มี ๕ วาระ
อวิคตปัจจัย มี ๑๓ วาระ (พึงนับอย่างนี้)

อนุโลม จบ

๒. ปัจจนียุทธาร
[๕๙] สภาวธรรมที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มี
สภาวะผิดและให้ผลแน่นอนโดยสหชาตปัจจัยและอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่แน่นอน
โดยอาการทั้งสองโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย ปัจฉาชาต-
ปัจจัย และกัมมปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีสภาวะผิด
ให้ผลแน่นอนและที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองโดยสหชาตปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีสภาวะ
ชอบและให้ผลแน่นอนโดยสหชาตปัจจัย และอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่แน่
นอนโดยอาการทั้งสองโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และ
ปัจฉาชาตปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีสภาวะ
ชอบให้ผลแน่นอนและที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองโดยสหชาตปัจจัย (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๑๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๕. มิจฉัตตนิยตติกะ ๗. ปัญหาวาร
[๖๐] สภาวธรรมที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่แน่
นอนโดยอาการทั้งสองโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย ปุเรชาต-
ปัจจัย ปัจฉาชาตปัจจัย กัมมปัจจัย อาหารปัจจัย และอินทรียปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีสภาวะผิด
และให้ผลแน่นอนโดยอารัมมณปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และปุเรชาตปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีสภาวะชอบ
และให้ผลแน่นอนโดยอุปนิสสยปัจจัย และปุเรชาตปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่มีสภาวะผิดให้ผลแน่นอนและที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองเป็น
ปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอน มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะ
และปุเรชาตะ (๑)
สภาวธรรมที่มีสภาวะผิดให้ผลแน่นอนและที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองเป็น
ปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสอง มี ๔ อย่าง คือ สหชาตะ
ปัจฉาชาตะ อาหาระ และอินทรียะ (๒)
สภาวธรรมที่มีสภาวะชอบให้ผลแน่นอนและที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองเป็น
ปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอน มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะ
และปุเรชาตะ (๑)
สภาวธรรมที่มีสภาวะชอบให้ผลแน่นอนและที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองเป็น
ปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสอง มี ๔ อย่าง คือ สหชาตะ
ปัจฉาชาตะ อาหาระ และอินทรียะ (๒)

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒. สังขยาวาร

[๖๑] นเหตุปัจจัย มี ๑๓ วาระ
นอารัมมณปัจจัย มี ๑๓ วาระ
นอธิปติปัจจัย มี ๑๓ วาระ
นอนันตรปัจจัย มี ๑๓ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๑๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๕. มิจฉัตตนิยตติกะ ๗. ปัญหาวาร

นสมนันตรปัจจัย มี ๑๓ วาระ
นสหชาตปัจจัย มี ๙ วาระ
นอัญญมัญญปัจจัย มี ๙ วาระ
นนิสสยปัจจัย มี ๙ วาระ
นอุปนิสสยปัจจัย มี ๑๓ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย มี ๑๓ วาระ
นปัจฉาชาตปัจจัย มี ๑๓ วาระ
นอาเสวนปัจจัย มี ๑๓ วาระ
นกัมมปัจจัย มี ๑๓ วาระ
นวิปากปัจจัย มี ๑๓ วาระ
นอาหารปัจจัย มี ๑๓ วาระ ฯลฯ
นมัคคปัจจัย มี ๑๓ วาระ
นสัมปยุตตปัจจัย มี ๙ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย มี ๗ วาระ
โนอัตถิปัจจัย มี ๗ วาระ
โนนัตถิปัจจัย มี ๑๗ วาระ
โนวิคตปัจจัย มี ๑๓ วาระ
โนอวิคตปัจจัย มี ๗ วาระ (พึงนับอย่างนี้)

ปัจจนียะ จบ

๓. ปัจจยานุโลมปัจจนียะ
เหตุทุกนัย

[๖๒] นอารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๗ วาระ
นอธิปติปัจจัย ” มี ๗ วาระ
นอนันตรปัจจัย ” มี ๗ วาระ
นสมนันตรปัจจัย ” มี ๗ วาระ
นอัญญมัญญปัจจัย ” มี ๓ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๑๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๕. มิจฉัตตนิยตติกะ ๗. ปัญหาวาร

นอุปนิสสยปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๗ วาระ ฯลฯ
นมัคคปัจจัย ” มี ๗ วาระ
นสัมปยุตตปัจจัย ” มี ๗ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย ” มี ๗ วาระ
โนนัตถิปัจจัย ” มี ๗ วาระ
โนวิคตปัจจัย ” มี ๗ วาระ (พึงนับอย่างนี้)

อนุโลมปัจจนียะ จบ

๔. ปัจจยปัจจนียานุโลม
นเหตุทุกนัย

[๖๓] อารัมมณปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๕ วาระ
อธิปติปัจจัย ” มี ๘ วาระ
อนันตรปัจจัย ” มี ๕ วาระ
สมนันตรปัจจัย ” มี ๕ วาระ
สหชาตปัจจัย ” มี ๙ วาระ
อัญญมัญญปัจจัย ” มี ๓ วาระ
นิสสยปัจจัย ” มี ๑๓ วาระ
อุปนิสสยปัจจัย ” มี ๗ วาระ
ปุเรชาตปัจจัย ” มี ๓ วาระ
ปัจฉาชาตปัจจัย ” มี ๓ วาระ
อาเสวนปัจจัย ” มี ๓ วาระ
กัมมปัจจัย ” มี ๗ วาระ
วิปากปัจจัย ” มี ๑ วาระ
อาหารปัจจัย ” มี ๗ วาระ
อินทรียปัจจัย ” มี ๗ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๒๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๕. มิจฉัตตนิยตติกะ ๗. ปัญหาวาร

ฌานปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๗ วาระ
มัคคปัจจัย ” มี ๗ วาระ
สัมปยุตตปัจจัย ” มี ๓ วาระ
วิปปยุตตปัจจัย ” มี ๕ วาระ
อัตถิปัจจัย ” มี ๑๓ วาระ
นัตถิปัจจัย ” มี ๕ วาระ
วิคตปัจจัย ” มี ๕ วาระ
อวิคตปัจจัย ” มี ๑๓ วาระ (พึงนับอย่างนี้)

ปัจจนียานุโลม จบ
มิจฉัตตนิยตติกะ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๒๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๖. มัคคารัมมณติกะ ๑. ปฏิจจวาร
๑๖. มัคคารัมมณติกะ ๑. ปฏิจจวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๑] สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์อาศัยสภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์
เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีมรรคเป็นอารมณ์เกิดขึ้น
ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดีอาศัยสภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์เกิดขึ้น
เพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ ที่มีมรรคเป็นอธิบดีอาศัยขันธ์ ๑ ที่มีมรรคเป็น
อารมณ์เกิดขึ้น ขันธ์ ๑ อาศัยขันธ์ ๓ เกิดขึ้น ... อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๒)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์และที่มีมรรคเป็นอธิบดีอาศัยสภาวธรรมที่มี
มรรคเป็นอารมณ์เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ ที่มีมรรคเป็นอารมณ์และ
ที่มีมรรคเป็นอธิบดีอาศัยขันธ์ ๑ ที่มีมรรคเป็นอารมณ์เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒
ฯลฯ (๓)
[๒] สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุอาศัยสภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุเกิดขึ้น
เพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีมรรคเป็นเหตุเกิดขึ้น ฯลฯ
อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดีอาศัยสภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุเกิดขึ้นเพราะ
เหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ ที่มีมรรคเป็นอธิบดีอาศัยขันธ์ ๑ ที่มีมรรคเป็นเหตุเกิดขึ้น
ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๒)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุและที่มีมรรคเป็นอธิบดีอาศัยสภาวธรรมที่มีมรรค
เป็นเหตุเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ ที่มีมรรคเป็นเหตุและที่มีมรรคเป็น
อธิบดีอาศัยขันธ์ ๑ ที่มีมรรคเป็นเหตุเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๓)
[๓] สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดีอาศัยสภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดีเกิดขึ้น
เพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีมรรคเป็นอธิบดีเกิดขึ้น ฯลฯ
อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๒๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๖. มัคคารัมมณติกะ ๑. ปฏิจจวาร
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์อาศัยสภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดีเกิดขึ้นเพราะ
เหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ ที่มีมรรคเป็นอารมณ์อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีมรรคเป็นอธิบดี
เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๒)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุอาศัยสภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดีเกิดขึ้นเพราะ
เหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ ที่มีมรรคเป็นเหตุอาศัยขันธ์ ๑ ที่มีมรรคเป็นอธิบดีเกิดขึ้น
ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๓)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์และที่มีมรรคเป็นอธิบดีอาศัยสภาวธรรมที่มี
มรรคเป็นอธิบดีเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ ที่มีมรรคเป็นอารมณ์และ
ที่มีมรรคเป็นอธิบดีอาศัยขันธ์ ๑ ที่มีมรรคเป็นอธิบดีเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒
ฯลฯ (๔)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุและที่มีมรรคเป็นอธิบดีอาศัยสภาวธรรมที่มีมรรค
เป็นอธิบดีเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ ที่มีมรรคเป็นเหตุและที่มีมรรคเป็น
อธิบดีอาศัยขันธ์ ๑ ที่มีมรรคเป็นอธิบดีเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๕)
[๔] สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์อาศัยสภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์และ
ที่มีมรรคเป็นอธิบดีเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ ที่มีมรรคเป็นอารมณ์
อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีมรรคเป็นอารมณ์และที่มีมรรคเป็นอธิบดีเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัย
ขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดีอาศัยสภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์และที่มี
มรรคเป็นอธิบดีเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ ที่มีมรรคเป็นอธิบดีอาศัย
ขันธ์ ๑ ที่มีมรรคเป็นอารมณ์และที่มีมรรคเป็นอธิบดีเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒
ฯลฯ (๒)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์และที่มีมรรคเป็นอธิบดีอาศัยสภาวธรรมที่มี
มรรคเป็นอารมณ์และที่มีมรรคเป็นอธิบดีเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓
ที่มีมรรคเป็นอารมณ์และที่มีมรรคเป็นอธิบดีอาศัยขันธ์ ๑ ที่มีมรรคเป็นอารมณ์และ
ที่มีมรรคเป็นอธิบดีเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๒๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๖. มัคคารัมมณติกะ ๑. ปฏิจจวาร
[๕] สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุอาศัยสภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุและที่มีมรรค
เป็นอธิบดีเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ ที่มีมรรคเป็นเหตุอาศัยขันธ์ ๑
ที่มีมรรคเป็นเหตุและที่มีมรรคเป็นอธิบดีเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดีอาศัยสภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุและที่มีมรรค
เป็นอธิบดีเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ ที่มีมรรคเป็นอธิบดีอาศัยขันธ์ ๑
ที่มีมรรคเป็นเหตุและที่มีมรรคเป็นอธิบดีเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๒)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุและที่มีมรรคเป็นอธิบดีอาศัยสภาวธรรมที่มีมรรค
เป็นเหตุและที่มีมรรคเป็นอธิบดีเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ ที่มีมรรค
เป็นเหตุและที่มีมรรคเป็นอธิบดีอาศัยขันธ์ ๑ ที่มีมรรคเป็นเหตุและที่มีมรรคเป็น
อธิบดีเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๓)
อารัมมณปัจจัยเป็นต้น
[๖] สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์อาศัยสภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์เกิด
ขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย เพราะอธิปติปัจจัย เพราะอนันตรปัจจัย เพราะสมนันตร-
ปัจจัย เพราะสหชาตปัจจัย เพราะอัญญมัญญปัจจัย เพราะนิสสยปัจจัย เพราะ
อุปนิสสยปัจจัย เพราะปุเรชาตปัจจัย เพราะอาเสวนปัจจัย เพราะกัมมปัจจัย
เพราะอาหารปัจจัย เพราะอินทรียปัจจัย เพราะฌานปัจจัย เพราะมัคคปัจจัย
เพราะสัมปยุตตปัจจัย เพราะวิปปยุตตปัจจัย เพราะอัตถิปัจจัย เพราะนัตถิปัจจัย
เพราะวิคตปัจจัย เพราะอวิคตปัจจัย
๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร

[๗] เหตุปัจจัย มี ๑๗ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๑๗ วาระ
อธิปติปัจจัย มี ๑๗ วาระ
อนันตรปัจจัย มี ๑๗ วาระ
สมนันตรปัจจัย มี ๑๗ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๒๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๖. มัคคารัมมณติกะ ๑. ปฏิจจวาร

สหชาตปัจจัย มี ๑๗ วาระ
อัญญมัญญปัจจัย มี ๑๗ วาระ
นิสสยปัจจัย มี ๑๗ วาระ
อุปนิสสยปัจจัย มี ๑๗ วาระ
ปุเรชาตปัจจัย มี ๑๗ วาระ
อาเสวนปัจจัย มี ๑๗ วาระ
กัมมปัจจัย มี ๑๗ วาระ
อาหารปัจจัย มี ๑๗ วาระ
อินทรียปัจจัย มี ๑๗ วาระ
ฌานปัจจัย มี ๑๗ วาระ
มัคคปัจจัย มี ๑๗ วาระ
สัมปยุตตปัจจัย มี ๑๗ วาระ
วิปปยุตตปัจจัย มี ๑๗ วาระ
อัตถิปัจจัย มี ๑๗ วาระ
นัตถิปัจจัย มี ๑๗ วาระ
วิคตปัจจัย มี ๑๗ วาระ
อวิคตปัจจัย มี ๑๗ วาระ (พึงนับอย่างนี้)

อนุโลม จบ

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๑. วิภังควาร
นเหตุปัจจัย
[๘] สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์อาศัยสภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์เกิด
ขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอเหตุกะซึ่งมีมรรคเป็น
อารมณ์เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๒๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๖. มัคคารัมมณติกะ ๑. ปฏิจจวาร
นอธิปติปัจจัย
[๙] สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์อาศัยสภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์
เกิดขึ้นเพราะนอธิปติปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีมรรคเป็นอารมณ์
เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดีอาศัยสภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์เกิดขึ้น
เพราะนอธิปติปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ ที่มีมรรคเป็นอธิบดีอาศัยขันธ์ ๑ ที่มีมรรค
เป็นอารมณ์เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๒)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์และที่มีมรรคเป็นอธิบดีอาศัยสภาวธรรมที่มี
มรรคเป็นอารมณ์เกิดขึ้นเพราะนอธิปติปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ ที่มีมรรคเป็นอารมณ์
และที่มีมรรคเป็นอธิบดีอาศัยขันธ์ ๑ ที่มีมรรคเป็นอารมณ์เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัย
ขันธ์ ๒ ฯลฯ (๓)
[๑๐] สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุอาศัยสภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุเกิดขึ้น
เพราะนอธิปติปัจจัย ได้แก่ อธิบดีธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุอาศัยขันธ์ที่มีมรรคเป็น
เหตุเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดีอาศัยสภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุเกิดขึ้นเพราะ
นอธิปติปัจจัย ได้แก่ อธิบดีธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดีอาศัยขันธ์ที่มีมรรคเป็นเหตุ
เกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุและที่มีมรรคเป็นอธิบดีอาศัยสภาวธรรมที่มีมรรค
เป็นเหตุเกิดขึ้นเพราะนอธิปติปัจจัย ได้แก่ อธิบดีธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุและที่มีมรรค
เป็นอธิบดีอาศัยขันธ์ที่มีมรรคเป็นเหตุเกิดขึ้น (๓)
[๑๑] สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดีอาศัยสภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดีเกิดขึ้น
เพราะนอธิปติปัจจัย ได้แก่ อธิบดีธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดีอาศัยขันธ์ที่มีมรรคเป็น
อธิบดีเกิดขึ้น ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีมรรคเป็นอธิบดีเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัย
ขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๒๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๖. มัคคารัมมณติกะ ๑. ปฏิจจวาร
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์อาศัยสภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดีเกิดขึ้นเพราะ
นอธิปติปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ ที่มีมรรคเป็นอารมณ์อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีมรรคเป็น
อธิบดีเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๒)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุอาศัยสภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดีเกิดขึ้นเพราะ
นอธิปติปัจจัย ได้แก่ อธิบดีธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุอาศัยขันธ์ที่มีมรรคเป็นอธิบดี
เกิดขึ้น (๓)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์และที่มีมรรคเป็นอธิบดีอาศัยสภาวธรรมที่มี
มรรคเป็นอธิบดีเกิดขึ้นเพราะนอธิปติปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ ที่มีมรรคเป็นอารมณ์
และที่มีมรรคเป็นอธิบดีอาศัยขันธ์ ๑ ที่มีมรรคเป็นอธิบดีเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัย
ขันธ์ ๒ ฯลฯ (๔)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุและที่มีมรรคเป็นอธิบดีอาศัยสภาวธรรมที่มีมรรค
เป็นอธิบดีเกิดขึ้นเพราะนอธิปติปัจจัย ได้แก่ อธิบดีธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุและที่มี
มรรคเป็นอธิบดีอาศัยขันธ์ที่มีมรรคเป็นอธิบดีเกิดขึ้น (๕)
[๑๒] สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์อาศัยสภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์
และที่มีมรรคเป็นอธิบดีเกิดขึ้นเพราะนอธิปติปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ ที่มีมรรคเป็น
อารมณ์อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีมรรคเป็นอารมณ์และที่มีมรรคเป็นอธิบดีเกิดขึ้น ฯลฯ
อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดีอาศัยสภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์และที่มี
มรรคเป็นอธิบดีเกิดขึ้นเพราะนอธิปติปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ ที่มีมรรคเป็นอธิบดีอาศัย
ขันธ์ ๑ ที่มีมรรคเป็นอารมณ์และที่มีมรรคเป็นอธิบดีเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒
ฯลฯ (๒)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์และที่มีมรรคเป็นอธิบดีอาศัยสภาวธรรมที่มี
มรรคเป็นอารมณ์และที่มีมรรคเป็นอธิบดีเกิดขึ้นเพราะนอธิปติปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓
ที่มีมรรคเป็นอารมณ์และที่มีมรรคเป็นอธิบดีอาศัยขันธ์ ๑ ที่มีมรรคเป็นอารมณ์และ
ที่มีมรรคเป็นอธิบดีเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๒๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๖. มัคคารัมมณติกะ ๑. ปฏิจจวาร
[๑๓] สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุอาศัยสภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุและที่มี
มรรคเป็นอธิบดีเกิดขึ้นเพราะนอธิปติปัจจัย ได้แก่ อธิบดีธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุ
อาศัยขันธ์ที่มีมรรคเป็นเหตุและที่มีมรรคเป็นอธิบดีเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดีอาศัยสภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุและที่มี
มรรคเป็นอธิบดีเกิดขึ้นเพราะนอธิปติปัจจัย ได้แก่ อธิบดีธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดี
อาศัยขันธ์ที่มีมรรคเป็นเหตุและที่มีมรรคเป็นอธิบดีเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุและที่มีมรรคเป็นอธิบดีอาศัยสภาวธรรมที่มีมรรค
เป็นเหตุและที่มีมรรคเป็นอธิบดีเกิดขึ้นเพราะนอธิปติปัจจัย ได้แก่ อธิบดีธรรมที่มี
มรรคเป็นเหตุและที่มีมรรคเป็นอธิบดีอาศัยขันธ์ที่มีมรรคเป็นเหตุและที่มีมรรคเป็น
อธิบดีเกิดขึ้น (๓)

นปุเรชาตปัจจัยเป็นต้น
[๑๔] สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์อาศัยสภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์เกิด
ขึ้นเพราะนปุเรชาตปัจจัย เพราะนปัจฉาชาตปัจจัย (พึงทำให้บริบูรณ์ทั้ง ๒ วาระ)

นอาเสวนปัจจัย
[๑๕] สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์อาศัยสภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์
เกิดขึ้นเพราะนอาเสวนปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีมรรคเป็น
อารมณ์เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดีอาศัยสภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์เกิดขึ้น
เพราะนอาเสวนปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ ที่มีมรรคเป็นอธิบดีอาศัยขันธ์ ๑ ที่มี
มรรคเป็นอารมณ์เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๒)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์และที่มีมรรคเป็นอธิบดีอาศัยสภาวธรรมที่มี
มรรคเป็นอารมณ์เกิดขึ้นเพราะนอาเสวนปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ ที่มีมรรคเป็นอารมณ์
และที่มีมรรคเป็นอธิบดีอาศัยขันธ์ ๑ ที่มีมรรคเป็นอารมณ์เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัย
ขันธ์ ๒ ฯลฯ (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๒๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๖. มัคคารัมมณติกะ ๑. ปฏิจจวาร
[๑๖] สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดีอาศัยสภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดี
เกิดขึ้นเพราะนอาเสวนปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีมรรคเป็นอธิบดีเกิดขึ้น
ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์อาศัยสภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดีเกิดขึ้นเพราะ
นอาเสวนปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ ที่มีมรรคเป็นอารมณ์อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีมรรคเป็น
อธิบดีเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๒)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์และที่มีมรรคเป็นอธิบดีอาศัยสภาวธรรมที่มี
มรรคเป็นอธิบดีเกิดขึ้นเพราะนอาเสวนปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ ที่มีมรรคเป็นอารมณ์
และที่มีมรรคเป็นอธิบดีอาศัยขันธ์ ๑ ที่มีมรรคเป็นอธิบดีเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัย
ขันธ์ ๒ ฯลฯ (๓)
[๑๗] สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์อาศัยสภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์
และที่มีมรรคเป็นอธิบดีเกิดขึ้นเพราะนอาเสวนปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ ที่มีมรรค
เป็นอารมณ์อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีมรรคเป็นอารมณ์และที่มีมรรคเป็นอธิบดีเกิดขึ้น ฯลฯ
อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดีอาศัยสภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์และที่มี
มรรคเป็นอธิบดีเกิดขึ้นเพราะนอาเสวนปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ ที่มีมรรคเป็นอธิบดี
อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีมรรคเป็นอารมณ์และที่มีมรรคเป็นอธิบดีเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัย
ขันธ์ ๒ ฯลฯ (๒)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์และที่มีมรรคเป็นอธิบดีอาศัยสภาวธรรมที่มี
มรรคเป็นอารมณ์และที่มีมรรคเป็นอธิบดีเกิดขึ้นเพราะนอาเสวนปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓
ที่มีมรรคเป็นอารมณ์และที่มีมรรคเป็นอธิบดีอาศัยขันธ์ ๑ ที่มีมรรคเป็นอารมณ์และ
ที่มีมรรคเป็นอธิบดีเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๓)

นกัมมปัจจัย
[๑๘] สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์อาศัยสภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์
เกิดขึ้นเพราะนกัมมปัจจัย ได้แก่ เจตนาที่มีมรรคเป็นอารมณ์อาศัยขันธ์ที่มีมรรค
เป็นอารมณ์เกิดขึ้น (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๒๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๖. มัคคารัมมณติกะ ๑. ปฏิจจวาร
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดีอาศัยสภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์เกิดขึ้นเพราะ
นกัมมปัจจัย ได้แก่ เจตนาที่มีมรรคเป็นอธิบดีอาศัยขันธ์ที่มีมรรคเป็นอารมณ์
เกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์และที่มีมรรคเป็นอธิบดีอาศัยสภาวธรรมที่มี
มรรคเป็นอารมณ์เกิดขึ้นเพราะนกัมมปัจจัย ได้แก่ เจตนาที่มีมรรคเป็นอารมณ์
และที่มีมรรคเป็นอธิบดีอาศัยขันธ์ที่มีมรรคเป็นอารมณ์เกิดขึ้น (๓)
[๑๙] สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุอาศัยสภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุเกิด
ขึ้นเพราะนกัมมปัจจัย ได้แก่ เจตนาที่มีมรรคเป็นเหตุอาศัยขันธ์ที่มีมรรคเป็นเหตุ
เกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดีอาศัยสภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุเกิดขึ้นเพราะ
นกัมมปัจจัย ได้แก่ เจตนาที่มีมรรคเป็นอธิบดีอาศัยขันธ์ที่มีมรรคเป็นเหตุเกิด
ขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุและที่มีมรรคเป็นอธิบดีอาศัยสภาวธรรมที่มี
มรรคเป็นเหตุเกิดขึ้นเพราะนกัมมปัจจัย ได้แก่ เจตนาที่มีมรรคเป็นเหตุและที่มี
มรรคเป็นอธิบดีอาศัยขันธ์ที่มีมรรคเป็นเหตุเกิดขึ้น (๓)
[๒๐] สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดีอาศัยสภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดีเกิด
ขึ้นเพราะนกัมมปัจจัย ได้แก่ เจตนาที่มีมรรคเป็นอธิบดีอาศัยขันธ์ที่มีมรรคเป็น
อธิบดีเกิดขึ้น (มี ๕ วาระ)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์อาศัยสภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์และที่มี
มรรคเป็นอธิบดีเกิดขึ้นเพราะนกัมมปัจจัย (ฆฏนาที่ ๑ มี ๓ วาระ)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุอาศัยสภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุและที่มีมรรค
เป็นอธิบดีเกิดขึ้นเพราะนกัมมปัจจัย (ฆฏนาที่ ๒ มี ๓ วาระ)

นวิปากปัจจัย
[๒๑] สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์อาศัยสภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์
เกิดขึ้นเพราะนวิปากปัจจัย (พึงทำให้บริบูรณ์)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๓๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๖. มัคคารัมมณติกะ ๑. ปฏิจจวาร
นมัคคปัจจัย
[๒๒] สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์อาศัยสภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์
เกิดขึ้นเพราะนมัคคปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอเหตุกะซึ่งมี
มรรคเป็นอารมณ์เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)

นวิปปยุตตปัจจัย
[๒๓] สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์อาศัยสภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์
เกิดขึ้นเพราะนวิปปยุตตปัจจัย (พึงทำให้บริบูรณ์ พึงกําหนดแน่นอนว่าเป็นอรูป)

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒. สังขยาวาร

[๒๔] นเหตุปัจจัย มี ๑ วาระ
นอธิปติปัจจัย มี ๑๗ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย มี ๑๗ วาระ
นปัจฉาชาตปัจจัย มี ๑๗ วาระ
นอาเสวนปัจจัย มี ๙ วาระ
นกัมมปัจจัย มี ๑๗ วาระ
นวิปากปัจจัย มี ๑๗ วาระ
นมัคคปัจจัย มี ๑ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย มี ๑๗ วาระ (พึงนับอย่างนี้)

ปัจจนียะ จบ

๓. ปัจจยานุโลมปัจจนียะ
เหตุทุกนัย

[๒๕] นอธิปติปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๑๗ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย ” มี ๑๗ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๓๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๖. มัคคารัมมณติกะ ๑. ปฏิจจวาร

นปัจฉาชาตปัจจัย ” มี ๑๗ วาระ
นอาเสวนปัจจัย ” มี ๙ วาระ
นกัมมปัจจัย ” มี ๑๗ วาระ
นวิปากปัจจัย ” มี ๑๗ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย ” มี ๑๗ วาระ (พึงนับอย่างนี้)

อนุโลมปัจจนียะ จบ

๔. ปัจจยปัจจนียานุโลม
นเหตุทุกนัย

[๒๖] อารัมมณปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๑ วาระ
อนันตรปัจจัย ” มี ๑ วาระ
สมนันตรปัจจัย ” มี ๑ วาระ ฯลฯ
ฌานปัจจัย ” มี ๑ วาระ
สัมปยุตตปัจจัย ” มี ๑ วาระ
วิปปยุตตปัจจัย ” มี ๑ วาระ
อัตถิปัจจัย ” มี ๑ วาระ
นัตถิปัจจัย ” มี ๑ วาระ
วิคตปัจจัย ” มี ๑ วาระ
อวิคตปัจจัย ” มี ๑ วาระ (พึงนับอย่างนี้)

ปัจจยานุโลม จบ
ปฏิจจวาร จบ
(สหชาตวาร ปัจจยวาร นิสสยวาร สังสัฏฐวาร และสัมปยุตตวาร เหมือน
กับปฏิจจวาร)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๓๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๖. มัคคารัมมณติกะ ๗. ปัญหาวาร
๑๖. มัคคารัมมณติกะ ๗. ปัญหาวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๒๗] สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีมรรคเป็น
อารมณ์โดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่มีมรรคเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์
โดยเหตุปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดี
โดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่มีมรรคเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ที่มีมรรค
เป็นอธิบดีโดยเหตุปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์
และที่มีมรรคเป็นอธิบดีโดยเหตุปัจจัย (ด้วยเหตุนี้พึงเพิ่มเป็น ๑๗ วาระ)

อารัมมณปัจจัย
[๒๘] สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์
โดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ พระอริยะออกจากมรรคแล้วพิจารณามรรค รู้จิตของ
บุคคลผู้มีความพรั่งพร้อมด้วยจิตที่มีมรรคเป็นเหตุด้วยเจโตปริยญาณ ขันธ์ที่มี
มรรคเป็นเหตุเป็นปัจจัยแก่เจโตปริยญาณ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ อนาคตังสญาณ
และอาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดีโดย
อารัมมณปัจจัย ได้แก่ พระอริยะออกจากมรรคแล้วพิจารณามรรคให้เป็นอารมณ์
อย่างหนักแน่น (๒)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์และ
ที่มีมรรคเป็นอธิบดีโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ พระอริยะออกจากมรรคแล้ว
พิจารณามรรคให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๓๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๖. มัคคารัมมณติกะ ๗. ปัญหาวาร
[๒๙] สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีมรรคเป็น
อธิบดีโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ พระอริยะออกจากมรรคแล้วพิจารณามรรคให้
เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น (๑)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์โดย
อารัมมณปัจจัย ได้แก่ พระอริยะออกจากมรรคแล้วพิจารณามรรค รู้จิตของบุคคล
ผู้มีความพรั่งพร้อมด้วยจิตที่มีมรรคเป็นอธิบดีด้วยเจโตปริยญาณ ขันธ์ที่มีมรรค
เป็นอธิบดีเป็นปัจจัยแก่เจโตปริยญาณ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ อนาคตังสญาณ
และอาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์
และที่มีมรรคเป็นอธิบดีโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ พระอริยะออกจากมรรคแล้ว
พิจารณามรรคให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น (๓)
[๓๐] สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุและที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์โดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ พระอริยะออกจาก
มรรคแล้วพิจารณามรรค รู้จิตของบุคคลผู้มีความพรั่งพร้อมด้วยจิตที่มีมรรคเป็น
เหตุและที่มีมรรคเป็นอธิบดีด้วยเจโตปริยญาณ ขันธ์ที่มีมรรคเป็นเหตุและที่มีมรรค
เป็นอธิบดีเป็นปัจจัยแก่เจโตปริยญาณ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ อนาคตังสญาณ
และอาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุและที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่มีมรรคเป็นอธิบดีโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ พระอริยะออกจากมรรคแล้ว
พิจารณามรรคให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น (๒)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุและที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่มีมรรคเป็นอารมณ์และที่มีมรรคเป็นอธิบดีโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ พระอริยะ
ออกจากมรรคแล้วพิจารณามรรคให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น (๓)

อธิปติปัจจัย
[๓๑] สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีมรรคเป็น
อารมณ์โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่มี
มรรคเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์โดยอธิปติปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๓๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๖. มัคคารัมมณติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดีโดย
อธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่มีมรรคเป็น
อารมณ์เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ที่มีมรรคเป็นอธิบดีโดยอธิปติปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์
และที่มีมรรคเป็นอธิบดีโดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่
อธิบดีธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ที่มีมรรคเป็นอารมณ์
และที่มีมรรคเป็นอธิบดีโดยอธิปติปัจจัย (๓)
[๓๒] สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุ
โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่มีมรรค
เป็นเหตุเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์โดยอธิปติปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์โดย
อธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ พระอริยะออกจากมรรค
แล้วพิจารณามรรคให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น (๒)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดีโดย
อธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติและสหชาตาธิปติ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ พระอริยะออกจากมรรคแล้วพิจารณามรรคให้เป็น
อารมณ์อย่างหนักแน่น
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์
ที่มีมรรคเป็นอธิบดีโดยอธิปติปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์และ
ที่มีมรรคเป็นอธิบดีโดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ พระ
อริยะออกจากมรรคแล้วพิจารณามรรคให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น (๔)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุและที่มี
มรรคเป็นอธิบดีโดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดี
ธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ที่มีมรรคเป็นเหตุและที่มีมรรคเป็น
อธิบดีโดยอธิปติปัจจัย (๕)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๓๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๖. มัคคารัมมณติกะ ๗. ปัญหาวาร
[๓๓] สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดี
โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติและสหชาตาธิปติ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ พระอริยะออกจากมรรคแล้วพิจารณามรรคให้เป็น
อารมณ์อย่างหนักแน่น
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต-
ขันธ์โดยอธิปติปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์
โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติและสหชาตาธิปติ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ พระอริยะออกจากมรรคแล้วพิจารณามรรคให้เป็น
อารมณ์อย่างหนักแน่น
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต-
ขันธ์ที่มีมรรคเป็นอารมณ์โดยอธิปติปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุโดย
อธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่มีมรรคเป็น
อธิบดีเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ที่มีมรรคเป็นเหตุโดยอธิปติปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์
และที่มีมรรคเป็นอธิบดีโดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติและ
สหชาตาธิปติ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ พระอริยะออกจากมรรคแล้วพิจารณามรรคให้เป็น
อารมณ์อย่างหนักแน่น
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต-
ขันธ์ที่มีมรรคเป็นอารมณ์และที่มีมรรคเป็นอธิบดีโดยอธิปติปัจจัย (๔)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุและ
ที่มีมรรคเป็นอธิบดีโดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่
อธิบดีธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ที่มีมรรคเป็นเหตุและที่มี
มรรคเป็นอธิบดีโดยอธิปติปัจจัย (๕)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๓๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๖. มัคคารัมมณติกะ ๗. ปัญหาวาร
[๓๔] สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์และที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ
ได้แก่ อธิบดีธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์และที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็นปัจจัยแก่
สัมปยุตตขันธ์ที่มีมรรคเป็นอารมณ์โดยอธิปติปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์และที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่มีมรรคเป็นอธิบดีโดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดี-
ธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์และที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ที่มีมรรค
เป็นอธิบดีโดยอธิปติปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์และที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่มีมรรคเป็นอารมณ์และที่มีมรรคเป็นอธิบดีโดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์และที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็น
ปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ที่มีมรรคเป็นอารมณ์และที่มีมรรคเป็นอธิบดีโดยอธิปติปัจจัย (๓)
[๓๕] สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุและที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ
ได้แก่ พระอริยะออกจากมรรคแล้วพิจารณามรรคให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น (๑)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุและที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่มีมรรคเป็นเหตุโดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดี-
ธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุและที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ที่มีมรรค
เป็นเหตุโดยอธิปติปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุและที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่มีมรรคเป็นอธิบดีโดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติและ
สหชาตาธิปติ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ พระอริยะออกจากมรรคแล้วพิจารณามรรคให้เป็น
อารมณ์อย่างหนักแน่น

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๓๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๖. มัคคารัมมณติกะ ๗. ปัญหาวาร
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุและที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็น
ปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ที่มีมรรคเป็นอธิบดีโดยอธิปติปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุและที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่มีมรรคเป็นอารมณ์และที่มีมรรคเป็นอธิบดีโดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ พระอริยะออกจากมรรคแล้วพิจารณามรรคให้เป็นอารมณ์
อย่างหนักแน่น (๔)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุและที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่มีมรรคเป็นเหตุและที่มีมรรคเป็นอธิบดีโดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สห-
ชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุและที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็นปัจจัย
แก่สัมปยุตตขันธ์ที่มีมรรคเป็นเหตุและที่มีมรรคเป็นอธิบดีโดยอธิปติปัจจัย (๕)

อนันตรปัจจัย
[๓๖] สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีมรรคเป็น
อารมณ์โดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีมรรคเป็นอารมณ์ซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็น
ปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีมรรคเป็นอารมณ์ซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย อาวัชชนจิตเป็น
ปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีมรรคเป็นอารมณ์โดยอนันตรปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดี
โดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีมรรคเป็นอารมณ์ซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่
ขันธ์ที่มีมรรคเป็นอธิบดีซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย อาวัชชนจิตเป็นปัจจัยแก่
ขันธ์ที่มีมรรคเป็นอธิบดีโดยอนันตรปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์
และที่มีมรรคเป็นอธิบดีโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีมรรคเป็นอารมณ์ซึ่งเกิด
ก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีมรรคเป็นอารมณ์และที่มีมรรคเป็นอธิบดีซึ่งเกิดหลัง ๆ
โดยอนันตรปัจจัย อาวัชชนจิตเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีมรรคเป็นอารมณ์และที่มีมรรค
เป็นอธิบดีโดยอนันตรปัจจัย (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๓๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๖. มัคคารัมมณติกะ ๗. ปัญหาวาร
[๓๗] สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีมรรคเป็น
อธิบดีโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีมรรคเป็นอธิบดีซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัย
แก่ขันธ์ที่มีมรรคเป็นอธิบดีซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์
โดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีมรรคเป็นอธิบดีซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์
ที่มีมรรคเป็นอารมณ์ซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์และ
ที่มีมรรคเป็นอธิบดีโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีมรรคเป็นอธิบดีซึ่งเกิดก่อน ๆ
เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีมรรคเป็นอารมณ์และที่มีมรรคเป็นอธิบดีซึ่งเกิดหลัง ๆ โดย
อนันตรปัจจัย (๓)
[๓๘] สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์และที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์โดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีมรรคเป็น
อารมณ์และที่มีมรรคเป็นอธิบดีซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีมรรคเป็น
อารมณ์ซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์และที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่มีมรรคเป็นอธิบดีโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีมรรคเป็นอารมณ์และที่มี
มรรคเป็นอธิบดีซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีมรรคเป็นอธิบดีซึ่งเกิดหลัง ๆ
โดยอนันตรปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์และที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็นปัจจัยแก่สภาว-
ธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์และที่มีมรรคเป็นอธิบดีโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่
มีมรรคเป็นอารมณ์และที่มีมรรคเป็นอธิบดีซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มี
มรรคเป็นอารมณ์และที่มีมรรคเป็นอธิบดีซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย (๓)

สมนันตรปัจจัยเป็นต้น
[๓๙] สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีมรรคเป็น
อารมณ์โดยสมนันตรปัจจัย ฯลฯ (ปัจจัยนี้เหมือนกับอนันตรปัจจัย) เป็นปัจจัย
โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอัญญมัญญปัจจัย เป็นปัจจัยโดยนิสสยปัจจัย (แม้ปัจจัย
ทั้ง ๓ พึงเพิ่มเป็น ๑๗ วาระ)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๓๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๖. มัคคารัมมณติกะ ๗. ปัญหาวาร
อุปนิสสยปัจจัย
[๔๐] สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีมรรคเป็น
อารมณ์โดยอุปนิสสยปัจจัยมี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะและปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ปัจจเวกขณะเป็นปัจจัยแก่ปัจจเวกขณะโดยอุปนิสสย-
ปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดี
โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ปัจจเวกขณะเป็นปัจจัยแก่ปัจจเวกขณะโดยอุปนิสสย-
ปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์
และที่มีมรรคเป็นอธิบดีโดยอุปนิสสยปัจจัยมี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะและ
ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ปัจจเวกขณะเป็นปัจจัยแก่ปัจจเวกขณะโดยอุปนิสสย-
ปัจจัย (๓)
[๔๑] สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีมรรคเป็น
เหตุโดยอุปนิสสยปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ปฐมมรรคเป็น
ปัจจัยแก่ทุติยมรรคโดยอุปนิสสยปัจจัย ฯลฯ ตติยมรรคเป็นปัจจัยแก่จตุตถมรรค
โดยอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์โดย
อุปนิสสยปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณูปนิสสยะ ได้แก่ พระอริยะออกจาก
มรรคแล้วพิจารณามรรคให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น (๒)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดีโดย
อุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะและปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ปฐมมรรคเป็นปัจจัยแก่ทุติยมรรค ฯลฯ ตติยมรรค
เป็นปัจจัยแก่จตุตถมรรคโดยอุปนิสสยปัจจัย (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๔๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๖. มัคคารัมมณติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์และที่
มีมรรคเป็นอธิบดีโดยอุปนิสสยปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณูปนิสสยะ ได้แก่
พระอริยะออกจากมรรคแล้วพิจารณามรรคให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น (๔)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุและที่มี
มรรคเป็นอธิบดีโดยอุปนิสสยปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปกตูปนิสสยะ ได้แก่
ปฐมมรรคเป็นปัจจัยแก่ทุติยมรรค ฯลฯ ตติยมรรคเป็นปัจจัยแก่จตุตถมรรคโดย
อุปนิสสยปัจจัย (๕)
[๔๒] สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีมรรคเป็น
อธิบดีโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ
และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ปฐมมรรคเป็นปัจจัยแก่ทุติยมรรค ฯลฯ ตติยมรรคเป็น
ปัจจัยแก่จตุตถมรรคโดยอุปนิสสยปัจจัย ปัจจเวกขณะเป็นปัจจัยแก่ปัจจเวกขณะ
โดยอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์โดย
อุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และ
ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ปัจจเวกขณะเป็นปัจจัยแก่ปัจจเวกขณะโดยอุปนิสสย-
ปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุโดย
อุปนิสสยปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ปฐมมรรคเป็นปัจจัยแก่
ทุติยมรรค ฯลฯ ตติยมรรคเป็นปัจจัยแก่จตุตถมรรคโดยอุปนิสสยปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์
และที่มีมรรคเป็นอธิบดีโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ
อนันตรูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ปัจจเวกขณะเป็นปัจจัยแก่ปัจจเวกขณะโดยอุปนิสสย-
ปัจจัย (๔)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๔๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๖. มัคคารัมมณติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุและ
ที่มีมรรคเป็นอธิบดีโดยอุปนิสสยปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปกตูปนิสสยะ ได้แก่
ปฐมมรรคเป็นปัจจัยแก่ทุติยมรรค ฯลฯ ตติยมรรคเป็นปัจจัยแก่จตุตถมรรคโดย
อุปนิสสยปัจจัย (๕)
[๔๓] สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์และที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูป-
นิสสยะและปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ปัจจเวกขณะเป็นปัจจัยแก่ปัจจเวกขณะโดยอุปนิสสย-
ปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์และที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่มีมรรคเป็นอธิบดีโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะและ
ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ปัจจเวกขณะเป็นปัจจัยแก่ปัจจเวกขณะโดยอุปนิสสย-
ปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์และที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็นปัจจัยแก่สภาว-
ธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์และที่มีมรรคเป็นอธิบดีโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง
คือ อนันตรูปนิสสยะและปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ปัจจเวกขณะเป็นปัจจัยแก่ปัจจเวกขณะโดยอุปนิสสย-
ปัจจัย (๓)
[๔๔] สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุและที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็นปัจจัยแก่สภาว-
ธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์โดยอุปนิสสยปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณูปนิสสยะ
ได้แก่ พระอริยะออกจากมรรคแล้วพิจารณามรรคให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น (๑)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุและที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่มีมรรคเป็นเหตุโดยอุปนิสสยปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปกตูปนิสสยะ ได้แก่
ปฐมมรรคเป็นปัจจัยแก่ทุติยมรรค ฯลฯ ตติยมรรคเป็นปัจจัยแก่จตุตถมรรคโดย
อุปนิสสยปัจจัย (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๔๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๖. มัคคารัมมณติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุและที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่มีมรรคเป็นอธิบดีโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะและ
ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ปฐมมรรคเป็นปัจจัยแก่ทุติยมรรค ฯลฯ ตติยมรรค
เป็นปัจจัยแก่จตุตถมรรคโดยอุปนิสสยปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุและที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่มีมรรคเป็นอารมณ์และที่มีมรรคเป็นอธิบดีโดยอุปนิสสยปัจจัย มีอย่างเดียว คือ
อารัมมณูปนิสสยะ ได้แก่ พระอริยะออกจากมรรคแล้วพิจารณามรรคให้เป็น
อารมณ์อย่างหนักแน่น (๔)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุและที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
มีมรรคเป็นเหตุและที่มีมรรคเป็นอธิบดีโดยอุปนิสสยปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปกตูป-
นิสสยะ ได้แก่ ปฐมมรรคเป็นปัจจัยแก่ทุติยมรรค ฯลฯ ตติยมรรคเป็นปัจจัย
แก่จตุตถมรรคโดยอุปนิสสยปัจจัย (๕)

อาเสวนปัจจัย
[๔๕] สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีมรรคเป็น
อารมณ์โดยอาเสวนปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีมรรคเป็นอารมณ์ซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็น
ปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีมรรคเป็นอารมณ์ซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอาเสวนปัจจัย
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดี
โดยอาเสวนปัจจัย (ปัจจัยนี้เหมือนกับอนันตรปัจจัย พึงเพิ่มเป็น ๙ วาระ ไม่พึง
เพิ่มอาวัชชนจิต)

กัมมปัจจัยเป็นต้น
[๔๖] สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีมรรคเป็น
อารมณ์โดยกัมมปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย ฯลฯ (ไม่มีนานาขณิกะ พึง
เพิ่มเป็น ๑๗ วาระ)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๔๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๖. มัคคารัมมณติกะ ๗. ปัญหาวาร
อาหารปัจจัยเป็นต้น
[๔๗] สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีมรรคเป็น
อารมณ์โดยอาหารปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอินทรียปัจจัย เป็นปัจจัยโดยฌานปัจจัย
เป็นปัจจัยโดยมัคคปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสัมปยุตตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอัตถิปัจจัย
(๗ ปัจจัยนี้มี ๑๗ วาระเหมือนกับเหตุปัจจัย) เป็นปัจจัยโดยนัตถิปัจจัย เป็นปัจจัย
โดยวิคตปัจจัย (ปัจจัยนี้เหมือนกับอนันตรปัจจัย) เป็นปัจจัยโดยอวิคตปัจจัย (มี ๑๗
วาระ)

๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร

[๔๘] เหตุปัจจัย มี ๑๗ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๙ วาระ
อธิปติปัจจัย มี ๒๑ วาระ
อนันตรปัจจัย มี ๙ วาระ
สมนันตรปัจจัย มี ๙ วาระ
สหชาตปัจจัย มี ๑๗ วาระ
อัญญมัญญปัจจัย มี ๑๗ วาระ
นิสสยปัจจัย มี ๑๗ วาระ
อุปนิสสยปัจจัย มี ๒๑ วาระ
อาเสวนปัจจัย มี ๙ วาระ
กัมมปัจจัย มี ๑๗ วาระ
อาหารปัจจัย มี ๑๗ วาระ
อินทรียปัจจัย มี ๑๗ วาระ
ฌานปัจจัย มี ๑๗ วาระ
มัคคปัจจัย มี ๑๗ วาระ
สัมปยุตตปัจจัย มี ๑๗ วาระ
อัตถิปัจจัย มี ๑๗ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๔๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๖. มัคคารัมมณติกะ ๗. ปัญหาวาร

นัตถิปัจจัย มี ๙ วาระ
วิคตปัจจัย มี ๙ วาระ
อวิคตปัจจัย มี ๑๗ วาระ (พึงนับอย่างนี้)

อนุโลม จบ

๒. ปัจจนียุทธาร
[๔๙] สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีมรรคเป็น
อารมณ์โดยสหชาตปัจจัยและอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดี
โดยสหชาตปัจจัยและอุปนิสสยปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์
และที่มีมรรคเป็นอธิบดีโดยสหชาตปัจจัย และอุปนิสสยปัจจัย (๓)
[๕๐] สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุ
โดยสหชาตปัจจัยและอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์โดย
อารัมมณปัจจัยและอุปนิสสยปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดีโดย
อารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย และอุปนิสสยปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์และ
ที่มีมรรคเป็นอธิบดีโดยอารัมมณปัจจัย และอุปนิสสยปัจจัย (๔)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุและที่มี
มรรคเป็นอธิบดีโดยสหชาตปัจจัยและอุปนิสสยปัจจัย (๕)
[๕๑] สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีมรรคเป็น
อธิบดีโดยสหชาตปัจจัยและอุปนิสสยปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๔๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๖. มัคคารัมมณติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์
โดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย และอุปนิสสยปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุโดย
สหชาตปัจจัยและอุปนิสสยปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์
และที่มีมรรคเป็นอธิบดีโดยสหชาตปัจจัยและอุปนิสสยปัจจัย (๔)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุและ
ที่มีมรรคเป็นอธิบดีโดยสหชาตปัจจัยและอุปนิสสยปัจจัย (๕)
[๕๒] สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์และที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์โดยสหชาตปัจจัยและอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์และที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่มีมรรคเป็นอธิบดีโดยสหชาตปัจจัยและอุปนิสสยปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์และที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่มีมรรคเป็นอารมณ์และที่มีมรรคเป็นอธิบดีโดยสหชาตปัจจัยและอุปนิสสยปัจจัย (๓)
[๕๓] สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุและที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็นปัจจัยแก่สภาว-
ธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์โดยอารัมมณปัจจัยและอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุและที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่มีมรรคเป็นเหตุโดยสหชาตปัจจัยและอุปนิสสยปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุและที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่มีมรรคเป็นอธิบดีโดยสหชาตปัจจัยและอุปนิสสยปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุและที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่มีมรรคเป็นอารมณ์และที่มีมรรคเป็นอธิบดีโดยอุปนิสสยปัจจัย (๔)
สภาวธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุและที่มีมรรคเป็นอธิบดีเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่มีมรรคเป็นเหตุและที่มีมรรคเป็นอธิบดีโดยสหชาตปัจจัยและอุปนิสสยปัจจัย (๕)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๔๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๖. มัคคารัมมณติกะ ๗. ปัญหาวาร
๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๕๔] นเหตุปัจจัย มี ๒๑ วาระ
นอารัมมณปัจจัย มี ๑๗ วาระ

(เมื่อระบุนอารัมมณปัจจัยแล้ว ก็ขาดไป ๒ ปัจจัย คือ ปกตารัมมณปัจจัย และ
อุปนิสสยารัมมณปัจจัย)

นอธิปติปัจจัย มี ๒๑ วาระ
นอนันตรปัจจัย มี ๒๑ วาระ
นสมนันตรปัจจัย มี ๒๑ วาระ
นสหชาตปัจจัย มี ๒๑ วาระ
นอัญญมัญญปัจจัย มี ๒๑ วาระ
นนิสสยปัจจัย มี ๒๑ วาระ
นอุปนิสสยปัจจัย มี ๒๑ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย มี ๒๑ วาระ
นปัจฉาชาตปัจจัย มี ๒๑ วาระ
นอาเสวนปัจจัย มี ๒๑ วาระ
นกัมมปัจจัย มี ๒๑ วาระ
นวิปากปัจจัย มี ๒๑ วาระ
นอาหารปัจจัย มี ๒๑ วาระ
นอินทรียปัจจัย มี ๒๑ วาระ
นฌานปัจจัย มี ๒๑ วาระ
นมัคคปัจจัย มี ๒๑ วาระ
นสัมปยุตตปัจจัย มี ๒๑ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย มี ๒๑ วาระ
โนอัตถิปัจจัย มี ๒๑ วาระ
โนนัตถิปัจจัย มี ๒๑ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๔๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๖. มัคคารัมมณติกะ ๗. ปัญหาวาร

โนวิคตปัจจัย มี ๒๑ วาระ
โนอวิคตปัจจัย มี ๒๑ วาระ (พึงนับอย่างนี้)

ปัจจนียะ จบ

๓. ปัจจยานุโลมปัจจนียะ
เหตุทุกนัย

[๕๕] นอารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๑๗ วาระ
นอธิปติปัจจัย ” มี ๑๗ วาระ
นอนันตรปัจจัย ” มี ๑๗ วาระ
นสมนันตรปัจจัย ” มี ๑๗ วาระ
นอุปนิสสยปัจจัย ” มี ๑๗ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย ” มี ๑๗ วาระ
นปัจฉาชาตปัจจัย ” มี ๑๗ วาระ
นอาเสวนปัจจัย ” มี ๑๗ วาระ
นกัมมปัจจัย ” มี ๑๗ วาระ
นวิปากปัจจัย ” มี ๑๗ วาระ
นอาหารปัจจัย ” มี ๑๗ วาระ
นอินทรียปัจจัย ” มี ๑๗ วาระ
นฌานปัจจัย ” มี ๑๗ วาระ
นมัคคปัจจัย ” มี ๑๗ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย ” มี ๑๗ วาระ
โนนัตถิปัจจัย ” มี ๑๗ วาระ
โนวิคตปัจจัย ” มี ๑๗ วาระ (พึงนับอย่างนี้)

อนุโลมปัจจนียะ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๔๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๖. มัคคารัมมณติกะ ๗. ปัญหาวาร
๔. ปัจจยปัจจนียานุโลม
นเหตุทุกนัย

[๗๔] อารัมมณปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๙ วาระ
อธิปติปัจจัย ” มี ๒๑ วาระ
อนันตรปัจจัย ” มี ๙ วาระ
สมนันตรปัจจัย ” มี ๙ วาระ
สหชาตปัจจัย ” มี ๑๗ วาระ
อัญญมัญญปัจจัย ” มี ๑๗ วาระ
นิสสยปัจจัย ” มี ๑๗ วาระ
อุปนิสสยปัจจัย ” มี ๒๑ วาระ
อาเสวนปัจจัย ” มี ๙ วาระ
กัมมปัจจัย ” มี ๑๗ วาระ
อาหารปัจจัย ” มี ๑๗ วาระ
อินทรียปัจจัย ” มี ๑๗ วาระ
ฌานปัจจัย ” มี ๑๗ วาระ
มัคคปัจจัย ” มี ๑๗ วาระ
สัมปยุตตปัจจัย ” มี ๑๗ วาระ
อัตถิปัจจัย ” มี ๑๗ วาระ
นัตถิปัจจัย ” มี ๙ วาระ
วิคตปัจจัย ” มี ๙ วาระ
อวิคตปัจจัย ” มี ๑๗ วาระ (พึงนับอย่างนี้)

ปัจจนียานุโลม จบ
ปัญหาวาร จบ
มัคคารัมมณติกะที่ ๑๖ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๔๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๗. อุปปันนติกะ ๗. ปัญหาวาร
๑๗. อุปปันนติกะ ๗. ปัญหาวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๑] สภาวธรรมที่เกิดขึ้นเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เกิดขึ้นโดยเหตุปัจจัย ได้แก่
เหตุที่เกิดขึ้นเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิ-
ขณะ เหตุที่เกิดขึ้นเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และกฏัตตารูปโดยเหตุปัจจัย (๑)

อารัมมณปัจจัย
[๒] สภาวธรรมที่เกิดขึ้นเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เกิดขึ้นโดยอารัมมณปัจจัย
ได้แก่ บุคคลเห็นแจ้งจักษุที่เกิดขึ้นโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
ยินดีเพลิดเพลิน เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินจักษุนั้น ราคะจึงเกิดขึ้น
ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น วิจิกิจฉา ฯลฯ อุทธัจจะ ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น เห็นแจ้งโสตะที่
เกิดขึ้น ... ฆานะ ... ชิวหา ... กาย ... รูป ... เสียง ... กลิ่น ... รส ... โผฏฐัพพะ
... หทัยวัตถุ ... ขันธ์ที่เกิดขึ้นโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ฯลฯ
โทมนัสจึงเกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รูปายตนะ
เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะเป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ ฯลฯ
ขันธ์ที่เกิดขึ้นเป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณและอาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย (๑)
[๓] สภาวธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้นเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เกิดขึ้นโดยอารัมมณ-
ปัจจัย ได้แก่ บุคคลเห็นแจ้งรูปที่ยังไม่เกิดขึ้น ... เสียง ... กลิ่น ... รส ... โผฏฐัพพะ
... ขันธ์ที่ยังไม่เกิดขึ้นโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ฯลฯ
โทมนัสจึงเกิดขึ้น ขันธ์ที่ยังไม่เกิดขึ้นเป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ เจโตปริยญาณ
อนาคตังสญาณ และอาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย (๑)
[๔] สภาวธรรมที่จักเกิดขึ้นแน่นอนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เกิดขึ้นโดย
อารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลเห็นแจ้งจักษุที่จักเกิดขึ้นแน่นอน ฯลฯ กาย ... รูป
... เสียง ... กลิ่น ... รส ... โผฏฐัพพะ ... หทัยวัตถุ ... ขันธ์ที่จักเกิดขึ้น

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๕๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๗. อุปปันนติกะ ๗. ปัญหาวาร
แน่นอนโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น
ขันธ์ที่จักเกิดขึ้นแน่นอนเป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ เจโตปริยญาณ อนาคตังสญาณ
และอาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย (๑)

อธิปติปัจจัย
[๕] สภาวธรรมที่เกิดขึ้นเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เกิดขึ้นโดยอธิปติปัจจัย
มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติและสหชาตาธิปติ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลยินดีเพลิดเพลินจักษุที่เกิดขึ้นให้เป็นอารมณ์
อย่างหนักแน่น เพราะทำความยินดีเพลิดเพลินจักษุนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น
ราคะจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น บุคคลยินดีเพลิดเพลินโสตะที่เกิดขึ้น ... ฆานะ ...
ชิวหา ... กาย ... รูป ... เสียง ... กลิ่น ... รส ... โผฏฐัพพะ ... หทัยวัตถุ
... ขันธ์ที่เกิดขึ้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทำความยินดีเพลิดเพลินโสตะ
เป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะจึงเกิดขึ้น ฯลฯ
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่เกิดขึ้นเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และ
จิตตสมุฏฐานรูปโดยอธิปติปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้นเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เกิดขึ้นโดยอธิปติปัจจัย
มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลยินดีเพลิดเพลินรูปที่ยังไม่เกิดขึ้น ...
เสียง ... กลิ่น ... รส ... โผฏฐัพพะ ... ขันธ์ที่ยังไม่เกิดขึ้นให้เป็นอารมณ์
อย่างหนักแน่น เพราะทำความยินดีเพลิดเพลินรูปเป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์อย่าง
หนักแน่น ราคะจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่จักเกิดขึ้นแน่นอนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เกิดขึ้นโดยอธิปติปัจจัย
มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลยินดีเพลิดเพลินจักษุที่จักเกิดขึ้น
แน่นอน ฯลฯ กาย ... รูป ฯลฯ โผฏฐัพพะ ... หทัยวัตถุ ... ขันธ์ที่จักเกิดขึ้น
แน่นอนให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทำความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้น
นั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๕๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๗. อุปปันนติกะ ๗. ปัญหาวาร
สหชาตปัจจัย
[๖] สภาวธรรมที่เกิดขึ้นเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เกิดขึ้นโดยสหชาตปัจจัย ได้แก่
ขันธ์ ๑ ที่เกิดขึ้นเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปโดยสหชาตปัจจัย ฯลฯ
ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ และจิตตสมุฏฐานรูปโดยสหชาตปัจจัย ในปฏิสนธิ-
ขณะ ขันธ์ ๑ ที่เกิดขึ้นเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูปโดยสหชาตปัจจัย
ฯลฯ ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ และกฏัตตารูปโดยสหชาตปัจจัย ขันธ์เป็น
ปัจจัยแก่หทัยวัตถุโดยสหชาตปัจจัย หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์โดยสหชาตปัจจัย
มหาภูตรูป ๑ เป็นปัจจัยแก่มหาภูตรูป ๓ โดยสหชาตปัจจัย ฯลฯ มหาภูตรูป ๒
ฯลฯ มหาภูตรูปเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปโดย
สหชาตปัจจัย ... ที่เป็นภายนอก ... ที่มีอาหารเป็นสมุฏฐาน ... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน
... สำหรับเหล่าอสัญญสัตตพรหม มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ มหาภูตรูป ๒ ฯลฯ
มหาภูตรูปเป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปโดยสหชาตปัจจัย (๑)

อัญญมัญญปัจจัย
[๗] สภาวธรรมที่เกิดขึ้นเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เกิดขึ้นโดยอัญญมัญญปัจจัย
ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เกิดขึ้นเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัญญมัญญปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒
ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่เกิดขึ้นเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และหทัยวัตถุโดย
อัญญมัญญปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์เป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุโดยอัญญมัญญปัจจัย
หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์โดยอัญญมัญญปัจจัย มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ ที่เป็น
ภายนอก ... ที่มีอาหารเป็นสมุฏฐาน ... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ... สําหรับเหล่า
อสัญญสัตตพรหม มหาภูตรูป ๑ เป็นปัจจัยแก่มหาภูตรูป ๓ โดยอัญญมัญญปัจจัย
ฯลฯ มหาภูตรูป ๒ ฯลฯ (๑)

นิสสยปัจจัย
[๘] สภาวธรรมที่เกิดขึ้นเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เกิดขึ้นโดยนิสสยปัจจัย ได้แก่
ขันธ์ ๑ ที่เกิดขึ้นเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปโดยนิสสยปัจจัย
ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ ขันธ์เป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุ ฯลฯ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๕๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๗. อุปปันนติกะ ๗. ปัญหาวาร
หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ฯลฯ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ ที่เป็นภายนอก ... ที่มี
อาหารเป็นสมุฏฐาน ... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ... สําหรับเหล่าอสัญญสัตตพรหม
มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ มหาภูตรูปเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็น
อุปาทายรูป จักขายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ กายายตนะเป็นปัจจัย
แก่กายวิญญาณ ฯลฯ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เกิดขึ้นโดยนิสสยปัจจัย (๑)

อุปนิสสยปัจจัย
[๙] สภาวธรรมที่เกิดขึ้นเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เกิดขึ้นโดยอุปนิสสยปัจจัย มี
๒ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะและปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยอุตุที่เกิดขึ้นแล้วทําฌานให้เกิดขึ้น ทํา
วิปัสสนา ฯลฯ มรรค ฯลฯ อภิญญา ฯลฯ สมาบัติให้เกิดขึ้น มีมานะ ถือทิฏฐิ
อาศัยโภชนะที่เกิดขึ้น ฯลฯ เสนาสนะแล้วทําฌานให้เกิดขึ้น ทำวิปัสสนา ฯลฯ
มรรค ฯลฯ อภิญญา ฯลฯ สมาบัติให้เกิดขึ้น มีมานะ ถือทิฏฐิ อุตุที่เกิดขึ้น ...
โภชนะ ... เสนาสนะเป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เกิดขึ้น ฯลฯ ปัญญา ... สุขทางกาย
ทุกข์ทางกาย มรรค และผลสมาบัติโดยอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้นเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เกิดขึ้นโดยอุปนิสสยปัจจัย
มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะและปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเมื่อปรารถนาวรรณสมบัติที่ยังไม่เกิดขึ้น จึงให้
ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถ เมื่อปรารถนาสัททสมบัติที่ยังไม่เกิดขึ้น ...
คันธสมบัติ ... รสสมบัติ ... โผฏฐัพพสมบัติ ... ขันธ์ที่ยังไม่เกิดขึ้นจึงให้ทาน
สมาทานศีล รักษาอุโบสถ วรรณสมบัติที่ยังไม่เกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ที่ยังไม่เกิดขึ้น
เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เกิดขึ้น ฯลฯ ปัญญา ... สุขทางกาย ทุกข์ทางกาย มรรค
และผลสมาบัติโดยอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่จักเกิดขึ้นแน่นอนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เกิดขึ้นโดยอุปนิสสย-
ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะและปกตูปนิสสยะ ฯลฯ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๕๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๗. อุปปันนติกะ ๗. ปัญหาวาร
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเมื่อปรารถนาจักขุสมบัติที่จักเกิดขึ้นแน่นอนจึง
ให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถ ปรารถนาโสตสมบัติที่จักเกิดขึ้นแน่นอน ฯลฯ
กายสมบัติ ฯลฯ วรรณสมบัติ ... คันธสมบัติ ... รสสมบัติ ... โผฏฐัพพสมบัติ
... ขันธ์ที่จักเกิดขึ้นแน่นอน จึงให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถ จักขุสมบัติที่
จักเกิดขึ้นแน่นอน ฯลฯ กายสมบัติ ฯลฯ วรรณสมบัติ ฯลฯ โผฏฐัพพสมบัติ
ฯลฯ ขันธ์ที่จักเกิดขึ้นแน่นอนเป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เกิดขึ้น ฯลฯ ปัญญา ฯลฯ
สุขทางกาย ทุกข์ทางกาย มรรค และผลสมาบัติโดยอุปนิสสยปัจจัย (๑)

ปุเรชาตปัจจัย
[๑๐] สภาวธรรมที่เกิดขึ้นเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เกิดขึ้นโดยปุเรชาตปัจจัย
มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาตะและวัตถุปุเรชาตะ
อารัมมณปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลเห็นแจ้งจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุโดยเป็น
สภาวะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ยินดีเพลิดเพลิน เพราะปรารภความยินดี
เพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้น ราคะจึงเกิดขึ้น ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น บุคคลเห็นรูป
ด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รูปายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ
ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะเป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณโดยปุเรชาตปัจจัย
วัตถุปุเรชาตะ ได้แก่ จักขายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ หทัยวัตถุ
เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เกิดขึ้นโดยปุเรชาตปัจจัย (๑)

ปัจฉาชาตปัจจัย
[๑๑] สภาวธรรมที่เกิดขึ้นเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เกิดขึ้นโดยปัจฉาชาตปัจจัย
มีอย่างเดียว คือ ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่เกิดขึ้นเป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อน
โดยปัจฉาชาตปัจจัย (๑)

กัมมปัจจัย
[๑๒] สภาวธรรมที่เกิดขึ้นเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เกิดขึ้นโดยกัมมปัจจัย
ได้แก่ เจตนาที่เกิดขึ้นเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดยกัมมปัจจัย
ในปฏิสนธิขณะ เจตนาที่เกิดขึ้นเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และกฏัตตารูปโดย
กัมมปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๕๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๗. อุปปันนติกะ ๗. ปัญหาวาร
วิปากปัจจัย
[๑๓] สภาวธรรมที่เกิดขึ้นเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เกิดขึ้นโดยวิปากปัจจัย
ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เป็นวิบากซึ่งเกิดขึ้นเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป
โดยวิปากปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่เกิดขึ้นเป็นปัจจัย
แก่ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูป ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์เป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุโดย
วิปากปัจจัย (๑)

อาหารปัจจัย
[๑๔] สภาวธรรมที่เกิดขึ้นเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เกิดขึ้นโดยอาหารปัจจัย
ได้แก่ อาหารที่เกิดขึ้นเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดยอาหารปัจจัย
ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ กวฬิงการาหารเป็นปัจจัยแก่กายนี้โดยอาหารปัจจัย (๑)

อินทรียปัจจัย
[๑๕] สภาวธรรมที่เกิดขึ้นเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เกิดขึ้นโดยอินทรียปัจจัย
ได้แก่ อินทรีย์ที่เกิดขึ้นเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดยอินทรีย-
ปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ จักขุนทรีย์เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ กายินทรีย์
เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ ฯลฯ รูปชีวิตินทรีย์เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปโดยอินทรีย-
ปัจจัย (๑)

ฌานปัจจัยเป็นต้น
[๑๖] สภาวธรรมที่เกิดขึ้นเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เกิดขึ้นโดยฌานปัจจัยเป็น
ปัจจัยโดยมัคคปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสัมปยุตตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยวิปปยุตตปัจจัย
มี ๓ อย่าง คือ สหชาตะ ปุเรชาตะ และปัจฉาชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่เกิดขึ้นเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดยวิปปยุตตปัจจัย
ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่เกิดขึ้นเป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปโดยวิปปยุตตปัจจัย ขันธ์เป็น
ปัจจัยแก่หทัยวัตถุ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์โดยวิปปยุตตปัจจัย

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๕๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๗. อุปปันนติกะ ๗. ปัญหาวาร
ปุเรชาตะ ได้แก่ จักขายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ กายายตนะเป็น
ปัจจัยแก่กายวิญญาณ ฯลฯ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เกิดขึ้นโดยวิปปยุตตปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่เกิดขึ้นเป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อนโดยวิปปยุตต-
ปัจจัย (๑)

อัตถิปัจจัย
[๑๗] สภาวธรรมที่เกิดขึ้นเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เกิดขึ้นโดยอัตถิปัจจัย
มี ๕ อย่าง คือ สหชาตะ ปุเรชาตะ ปัจฉาชาตะ อาหาระ และอินทรียะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เกิดขึ้นเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป
โดยอัตถิปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ
ที่เป็นภายนอก ... ที่มีอาหารเป็นสมุฏฐาน ... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ... สําหรับ
เหล่าอสัญญสัตตพรหม ฯลฯ
ปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลเห็นแจ้งจักษุโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ฯลฯ
เห็นแจ้งหทัยวัตถุโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น บุคคลเห็นรูป
ด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รูปายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ
ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะเป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณโดยอัตถิปัจจัย จักขายตนะเป็น
ปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ กายายตนะเป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ ฯลฯ หทัยวัตถุ
เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เกิดขึ้นโดยอัตถิปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่เกิดขึ้นเป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อนโดยอัตถิปัจจัย
กวฬิงการาหารเป็นปัจจัยแก่กายนี้โดยอัตถิปัจจัย รูปชีวิตินทรีย์เป็นปัจจัยแก่
กฏัตตารูปโดยอัตถิปัจจัย (๑)

อวิคตปัจจัย
[๑๘] สภาวธรรมที่เกิดขึ้นเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เกิดขึ้นโดยอวิคตปัจจัย
ฯลฯ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๕๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๗. อุปปันนติกะ ๗. ปัญหาวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร

[๑๙] เหตุปัจจัย มี ๑ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๓ วาระ
อธิปติปัจจัย มี ๓ วาระ
สหชาตปัจจัย มี ๑ วาระ
อัญญมัญญปัจจัย มี ๑ วาระ
นิสสยปัจจัย มี ๑ วาระ
อุปนิสสยปัจจัย มี ๓ วาระ
ปุเรชาตปัจจัย มี ๑ วาระ
ปัจฉาชาตปัจจัย มี ๑ วาระ
กัมมปัจจัย มี ๑ วาระ
วิปากปัจจัย มี ๑ วาระ
อาหารปัจจัย มี ๑ วาระ
อินทรียปัจจัย มี ๑ วาระ
ฌานปัจจัย มี ๑ วาระ
มัคคปัจจัย มี ๑ วาระ
สัมปยุตตปัจจัย มี ๑ วาระ
วิปปยุตตปัจจัย มี ๑ วาระ
อัตถิปัจจัย มี ๑ วาระ
อวิคตปัจจัย มี ๑ วาระ (พึงนับอย่างนี้)

อนุโลม จบ

ปัจจนียุทธาร
[๒๐] สภาวธรรมที่เกิดขึ้นเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เกิดขึ้นโดยอารัมมณปัจจัย
สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย ปุเรชาตปัจจัย ปัจฉาชาตปัจจัย อาหารปัจจัย
และอินทรียปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๕๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๗. อุปปันนติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้นเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เกิดขึ้นโดยอารัมมณปัจจัย
และอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่จักเกิดขึ้นแน่นอนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เกิดขึ้นโดยอารัมมณ-
ปัจจัยและอุปนิสสยปัจจัย (๑)

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒. สังขยาวาร

[๒๑] นเหตุปัจจัย มี ๓ วาระ
นอารัมมณปัจจัย มี ๓ วาระ
นอธิปติปัจจัย มี ๓ วาระ ฯลฯ
นวิปปยุตตปัจจัย มี ๓ วาระ
โนอัตถิปัจจัย มี ๒ วาระ
โนนัตถิปัจจัย มี ๓ วาระ
โนวิคตปัจจัย มี ๓ วาระ
โนอวิคตปัจจัย มี ๒ วาระ (พึงนับอย่างนี้)

ปัจจนียะ จบ

๓. ปัจจยานุโลมปัจจนียะ

[๒๒] นราอัมมปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๑ วาระ ฯลฯ
โนนัตถิปัจจัย ” มี ๑ วาระ
โนวิคตปัจจัย ” มี ๑ วาระ

อนุโลมปัจจนียะ จบ

๔. ปัจจยปัจจนียานุโลม

[๒๓] อารัมมณปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๓ วาระ
อธิปติปัจจัย ” มี ๓ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๕๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๗. อุปปันนติกะ ๗. ปัญหาวาร

สหชาตปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๑ วาระ
อัญญมัญญปัจจัย ” มี ๑ วาระ
นิสสยปัจจัย ” มี ๑ วาระ
อุปนิสสยปัจจัย ” มี ๑ วาระ
ปุเรชาตปัจจัย ” มี ๑ วาระ
ปัจฉาชาตปัจจัย ” มี ๑ วาระ
กัมมปัจจัย ” มี ๑ วาระ
วิปากปัจจัย ” มี ๑ วาระ
อาหารปัจจัย ” มี ๑ วาระ
อินทรียปัจจัย ” มี ๑ วาระ
ฌานปัจจัย ” มี ๑ วาระ
มัคคปัจจัย ” มี ๑ วาระ
สัมปยุตตปัจจัย ” มี ๑ วาระ
วิปปยุตตปัจจัย ” มี ๑ วาระ
อัตถิปัจจัย ” มี ๑ วาระ
อวิคตปัจจัย ” มี ๑ วาระ

ปัจจนียานุโลม จบ
ปัญหาวาร จบ
อุปปันนติกะ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๕๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๘. อตีตติกะ ๗. ปัญหาวาร
๑๘. อตีตติกะ ๗. ปัญหาวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๑] สภาวธรรมที่เป็นปัจจุบันเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นปัจจุบันโดยเหตุปัจจัย
ได้แก่ เหตุที่เป็นปัจจุบันเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดยเหตุปัจจัย
ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)

อารัมมณปัจจัย
[๒] สภาวธรรมที่เป็นอดีตเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นปัจจุบัน โดยอารัมมณ-
ปัจจัย ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถ ฯลฯ พิจารณากุศลนั้น
พิจารณากุศลที่สั่งสมไว้ดีแล้ว ออกจากฌานแล้วพิจารณาฌาน พระอริยะออกจาก
มรรคแล้วพิจารณามรรค พิจารณาผล พิจารณากิเลสที่ละได้แล้ว พิจารณากิเลส
ที่ข่มได้แล้ว รู้กิเลสที่เคยเกิดขึ้น บุคคลเห็นแจ้งจักษุที่เป็นอดีตโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น เห็นแจ้งโสตะที่เป็นอดีต ฯลฯ ฆานะ
... ชิวหา ... กาย ... รูป ... เสียง ... กลิ่น ... รส ... โผฏฐัพพะ ... หทัยวัตถุ
... ขันธ์ที่เป็นอดีตโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ยินดีเพลิดเพลิน
เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินโสตะเป็นต้นนั้น ราคะจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น
วิจิกิจฉา ... อุทธัจจะ ... โทมนัสจึงเกิดขึ้น อากาสานัญจายตนะเป็นปัจจัยแก่
วิญญาณัญจายตนะโดยอารัมมณปัจจัย อากิญจัญญายตนะเป็นปัจจัยแก่เนวสัญญา-
นาสัญญายตนะโดยอารัมมณปัจจัย ขันธ์ที่เป็นอดีตเป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ
เจโตปริยญาณ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ยถากัมมูปคญาณ และอาวัชชนจิตโดย
อารัมมณปัจจัย (๑)
[๓] สภาวธรรมที่เป็นอนาคตเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นปัจจุบันโดย
อารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลเห็นแจ้งจักษุที่เป็นอนาคต ฯลฯ หทัยวัตถุ ... ขันธ์

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๖๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๘. อตีตติกะ ๗. ปัญหาวาร
ที่เป็นอนาคตโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น ขันธ์ที่เป็นอนาคต
เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ เจโตปริยญาณ อนาคตังสญาณ และอาวัชชนจิตโดย
อารัมมณปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เป็นปัจจุบันเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นปัจจุบันโดยอารัมมณ-
ปัจจัย ได้แก่ บุคคลเห็นแจ้งจักษุที่เป็นปัจจุบัน ฯลฯ กาย ... รูป ... เสียง ...
กลิ่น ... รส ... โผฏฐัพพะ ... หทัยวัตถุ ... ขันธ์ที่เป็นปัจจุบันโดยเป็นสภาวะไม่
เที่ยง ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ
รูปายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะเป็นปัจจัยแก่กาย-
วิญญาณ ฯลฯ ขันธ์ที่เป็นปัจจุบันเป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ และอาวัชชนจิตโดย
อารัมมณปัจจัย (๑)

อธิปติปัจจัย
[๔] สภาวธรรมที่เป็นอดีตเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นปัจจุบันโดยอธิปติปัจจัย
มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล ฯลฯ
พิจารณากุศลที่เคยสั่งสมไว้ดีแล้วให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ออกจากฌานแล้ว
พิจารณาฌานให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น พระอริยะออกจากมรรคแล้วพิจารณา
มรรคให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น พิจารณาผลให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น
บุคคลยินดีเพลิดเพลินจักษุที่เป็นอดีต ฯลฯ กาย ... รูป ... เสียง ... กลิ่น ...
รส ... โผฏฐัพพะ ... หทัยวัตถุ ... ขันธ์ที่เป็นอดีตให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น
เพราะทําความยินดีเพลิด เพลินจักษุเป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะ
จึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่เป็นอนาคตเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นปัจจุบันโดยอธิปติปัจจัย
มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลยินดีเพลิดเพลินจักษุที่เป็นอนาคต
ฯลฯ หทัยวัตถุและขันธ์ที่เป็นอนาคตให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทํา
ความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะจึงเกิดขึ้น
ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๖๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๘. อตีตติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่เป็นปัจจุบันเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นปัจจุบันโดยอธิปติปัจจัย
มี ๒ อย่างคือ อารัมมณาธิปติและสหชาตาธิปติ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลยินดีเพลิดเพลินจักษุที่เป็นปัจจุบัน ฯลฯ หทัยวัตถุ
... ขันธ์ที่เป็นปัจจุบันให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทําความยินดีเพลิดเพลิน
จักษุเป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่เป็นปัจจุบันเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์
และจิตตสมุฏฐานรูปโดยอธิปติปัจจัย (๑)

อนันตรปัจจัย
[๕] สภาวธรรมที่เป็นอดีตเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นปัจจุบันโดยอนันตร-
ปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่เป็นอดีตซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นปัจจุบันซึ่งเกิด
หลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย อนุโลมเป็นปัจจัยแก่โคตรภู อนุโลมเป็นปัจจัยแก่โวทาน
โคตรภูเป็นปัจจัยแก่มรรค โวทานเป็นปัจจัยแก่มรรค มรรคเป็นปัจจัยแก่ผล ผล
เป็นปัจจัยแก่ผล อนุโลมเป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติ เนวสัญญานาสัญญายตนะของท่าน
ผู้ออกจากนิโรธเป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติโดยอนันตรปัจจัย (๑)

สมนันตรปัจจัย
[๖] สภาวธรรมที่เป็นอดีตเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นปัจจุบันโดยสมนันตร-
ปัจจัย (ปัจจัยนี้เหมือนกับอนันตรปัจจัย) (๑)

สหชาตปัจจัยเป็นต้น
[๗] สภาวธรรมที่เป็นปัจจุบันเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นปัจจุบันโดยสหชาต-
ปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอัญญมัญญปัจจัย เป็นปัจจัยโดยนิสสยปัจจัย (ย่อ) (๑)

อุปนิสสยปัจจัย
[๘] สภาวธรรมที่เป็นอดีตเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นปัจจุบันโดยอุปนิสสย-
ปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยะ
ฯลฯ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๖๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๘. อตีตติกะ ๗. ปัญหาวาร
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยศรัทธาที่เป็นอดีตแล้วให้ทาน สมาทานศีล
รักษาอุโบสถ ทําฌานให้เกิดขึ้น ทำวิปัสสนา ... มรรค ... อภิญญา ... สมาบัติ
ให้เกิดขึ้น มีมานะ ถือทิฏฐิ อาศัยศีลที่เป็นอดีต ฯลฯ ปัญญา ฯลฯ ราคะ ฯลฯ
ความปรารถนา ฯลฯ สุขทางกาย ฯลฯ ทุกข์ทางกายแล้ว ให้ทาน สมาทานศีล
รักษาอุโบสถ ฯลฯ ทําสมาบัติให้เกิดขึ้น ฆ่าสัตว์ ฯลฯ ทําลายสงฆ์ ศรัทธาที่
เป็นอดีต ฯลฯ ปัญญา ฯลฯ ราคะ ฯลฯ ความปรารถนา ... สุขทางกาย ...
ทุกข์ทางกาย ... เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นปัจจุบัน ฯลฯ ปัญญา ฯลฯ ราคะ
ฯลฯ ความปราถนา ฯลฯ ผลสมาบัติโดยอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เป็นอนาคตเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นปัจจุบันโดยอุปนิสสย-
ปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยะ
ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเมื่อปรารถนาจักขุสมบัติที่เป็นอนาคต ฯลฯ
เมื่อปรารถนาโสตสมบัติ ... ฆานสมบัติ ... ชิวหาสมบัติ ... กายสมบัติ ...
วรรณสมบัติ ... สัททสมบัติ ... คันธสมบัติ ... รสสมบัติ ... โผฏฐัพพสมบัติ ฯลฯ
ขันธ์ที่เป็นอนาคตจึงให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถ จักขุสมบัติที่เป็นอนาคต
ฯลฯ วรรณสมบัติ ฯลฯ โผฏฐัพพสมบัติ ฯลฯ ขันธ์ที่เป็นอนาคตเป็นปัจจัยแก่
ศรัทธาที่เป็นปัจจุบัน ฯลฯ ปัญญา ... สุขทางกาย ทุกข์ทางกาย มรรค และ
ผลสมาบัติโดยอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เป็นปัจจุบันเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นปัจจุบันโดยอุปนิสสย-
ปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยะ
ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยอุตุที่เป็นปัจจุบันแล้ว ทําฌานให้เกิดขึ้น
ทำวิปัสสนา ฯลฯ อาศัยโภชนะที่เป็นปัจจุบัน ... เสนาสนะแล้ว ทําฌานให้เกิดขึ้น
ฯลฯ ทำสมาบัติให้เกิดขึ้น อุตุที่เป็นปัจจุบัน ... โภชนะ ... เสนาสนะเป็นปัจจัย
แก่ศรัทธาที่เป็นปัจจุบัน ฯลฯ ปัญญา ... สุขทางกาย ฯลฯ ผลสมาบัติโดย
อุปนิสสยปัจจัย (๑)


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๖๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๘. อตีตติกะ ๗. ปัญหาวาร
ปุเรชาตปัจจัย
[๙] สภาวธรรมที่เป็นปัจจุบันเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นปัจจุบันโดยปุเรชาต-
ปัจจัยมี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาตะและวัตถุปุเรชาตะ
อารัมมณปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลเห็นแจ้งจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุโดยเป็นสภาวะ
ไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพ-
โสตธาตุ รูปายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะเป็นปัจจัย
แก่กายวิญญาณโดยปุเรชาตปัจจัย
วัตถุปุเรชาตะ ได้แก่ จักขายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ กายายตนะ
เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ ฯลฯ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นปัจจุบันโดย
ปุเรชาตปัจจัย (๑)

ปัจฉาชาตปัจจัย
[๑๐] สภาวธรรมที่เป็นปัจจุบันเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นปัจจุบันโดย
ปัจฉาชาตปัจจัยมีอย่างเดียว คือ ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่เป็นปัจจุบันเป็น
ปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อนโดยปัจฉาชาตปัจจัย (๑)

อาเสวนปัจจัย
[๑๑] สภาวธรรมที่เป็นอดีตเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นปัจจุบันโดยอาเสวน-
ปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่เป็นอดีตซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นปัจจุบันซึ่งเกิด
หลัง ๆ โดยอาเสวนปัจจัย อนุโลมเป็นปัจจัยแก่โคตรภู อนุโลมเป็นปัจจัยแก่โวทาน
โคตรภูเป็นปัจจัยแก่มรรค โวทานเป็นปัจจัยแก่มรรคโดยอาเสวนปัจจัย (๑)

กัมมปัจจัย
[๑๒] สภาวธรรมที่เป็นอดีตเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นปัจจุบันโดยกัมมปัจจัย
มีอย่างเดียว คือ นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่เป็นอดีตเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็น
วิบากซึ่งเป็นปัจจุบันและกฏัตตารูปโดยกัมมปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๖๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๘. อตีตติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่เป็นปัจจุบันเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นปัจจุบันโดยกัมมปัจจัย
ได้แก่ เจตนาที่เป็นปัจจุบันเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดย
กัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เจตนาที่เป็นปัจจุบันเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และ
กฏัตตารูปโดยกัมมปัจจัย (๑)

วิปากปัจจัย
[๑๓] สภาวธรรมที่เป็นปัจจุบันเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นปัจจุบันโดยวิปาก-
ปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เป็นวิบากซึ่งเป็นปัจจุบันเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และ
จิตตสมุฏฐานรูปโดยวิปากปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
ขันธ์เป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุโดยวิปากปัจจัย (๑)

อาหารปัจจัยเป็นต้น
[๑๔] สภาวธรรมที่เป็นปัจจุบันเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นปัจจุบันโดย
อาหารปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอินทรียปัจจัย เป็นปัจจัยโดยฌานปัจจัย เป็นปัจจัย
โดยมัคคปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสัมปยุตตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๓
อย่าง คือ สหชาตะ ปุเรชาตะ และปัจฉาชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่เป็นปัจจุบันเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดยวิป-
ปยุตตปัจจัยในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่เป็นปัจจุบันเป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปโดยวิปปยุตต-
ปัจจัย ขันธ์เป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุโดยวิปปยุตตปัจจัย หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์
โดยวิปปยุตตปัจจัย
ปุเรชาตะ ได้แก่ จักขายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ กายายตนะ
เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ ฯลฯ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นปัจจุบันโดย
วิปปยุตตปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่เป็นปัจจุบันเป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อนโดย
วิปปยุตตปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๖๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๘. อตีตติกะ ๗. ปัญหาวาร
อัตถิปัจจัย
[๑๕] สภาวธรรมที่เป็นปัจจุบันเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นปัจจุบันโดย
อัตถิปัจจัย (ปัจจัยนี้เหมือนกับอัตถิปัจจัยในอุปปันนติกะ) (๑)

นัตถิปัจจัย วิคตปัจจัย และอวิคตปัจจัย
[๑๖] สภาวธรรมที่เป็นอดีตเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นปัจจุบันโดยนัตถิปัจจัย
เป็นปัจจัยโดยวิคตปัจจัย
สภาวธรรมที่เป็นปัจจุบันเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นปัจจุบันโดยอวิคตปัจจัย
ฯลฯ

๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร

[๑๗] เหตุปัจจัย มี ๑ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๓ วาระ
อธิปติปัจจัย มี ๓ วาระ
อนันตรปัจจัย มี ๑ วาระ สมนันตรปัจจัย มี ๑ วาระ
สหชาตปัจจัย มี ๑ วาระ
อัญญมัญญปัจจัย มี ๑ วาระ
นิสสยปัจจัย มี ๑ วาระ
อุปนิสสยปัจจัย มี ๓ วาระ
ปุเรชาตปัจจัย มี ๑ วาระ
ปัจฉาชาตปัจจัย มี ๑ วาระ
อาเสวนปัจจัย มี ๑ วาระ
กัมมปัจจัย มี ๒ วาระ
วิปากปัจจัย มี ๑ วาระ
อาหารปัจจัย มี ๑ วาระ ฯลฯ
อวิคตปัจจัย มี ๑ วาระ (พึงนับอย่างนี้)

อนุโลม จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๖๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๘. อตีตติกะ ๗. ปัญหาวาร
๒. ปัจจนียุทธาร
[๑๘] สภาวธรรมที่เป็นอดีตเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นปัจจุบันโดย
อารัมมณปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และกัมมปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เป็นอนาคตเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นปัจจุบันโดยอารัมมณ-
ปัจจัยและอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เป็นปัจจุบันเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นปัจจุบันโดยอารัมมณ
ปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย ปุเรชาตปัจจัย ปัจฉาชาตปัจจัย อาหารปัจจัย
และอินทรียปัจจัย (๑)

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒. สังขยาวาร

[๑๙] นเหตุปัจจัย มี ๓ วาระ
นอารัมมณปัจจัย มี ๓ วาระ
นอธิปติปัจจัย มี ๓ วาระ
นอนันตรปัจจัย มี ๓ วาระ ฯลฯ
นสัมปยุตตปัจจัย มี ๓ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย มี ๓ วาระ
โนอัตถิปัจจัย มี ๒ วาระ
โนนัตถิปัจจัย มี ๓ วาระ
โนวิคตปัจจัย มี ๓ วาระ
โนอวิคตปัจจัย มี ๒ วาระ (พึงนับอย่างนี้)

ปัจจนียะ จบ

๓. ปัจจยานุโลมปัจจนียะ

[๒๐] นอารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๑ วาระ
นอธิปติปัจจัย ” มี ๑ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๖๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๘. อตีตติกะ ๗. ปัญหาวาร

นอนันตรปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๑ วาระ
นสมนันตรปัจจัย ” มี ๑ วาระ
นอัญญมัญญปัจจัย ” มี ๑ วาระ
นอุปนิสสยปัจจัย ” มี ๑ วาระ ฯลฯ
นสัมปยุตตปัจจัย ” มี ๑ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย ” มี ๑ วาระ
โนนัตถิปัจจัย ” มี ๑ วาระ
โนวิคตปัจจัย ” มี ๑ วาระ (พึงนับอย่างนี้)

อนุโลมปัจจนียะ จบ

๔. ปัจจยปัจจนียานุโลม

[๒๑] อารัมมณปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๓ วาระ
อธิปติปัจจัย ” มี ๓ วาระ
อนันตรปัจจัย ” มี ๑ วาระ
สมนันตรปัจจัย ” มี ๑ วาระ ฯลฯ
สหชาตปัจจัย ” มี ๑ วาระ
อัญญมัญญปัจจัย ” มี ๑ วาระ
นิสสยปัจจัย ” มี ๑ วาระ
อุปนิสสยปัจจัย ” มี ๓ วาระ
ปุเรชาตปัจจัย ” มี ๑ วาระ
ปัจฉาชาตปัจจัย ” มี ๑ วาระ
อาเสวนปัจจัย ” มี ๑ วาระ
กัมมปัจจัย ” มี ๒ วาระ
วิปากปัจจัย ” มี ๑ วาระ

(ในบทเหล่านี้มีเพียง ๑ วาระเท่านั้น)

อวิคตปัจจัย ” มี ๑ วาระ (พึงนับอย่างนี้)

ปัจจนียานุโลม จบ ปัญหาวาร จบ
อตีตติกะ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๖๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๙. อตีตารัมมณติกะ ๑. ปฏิจจวาร
๑๙. อตีตารัมมณติกะ ๑. ปฏิจจวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๑] สภาวธรรมที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์อาศัยสภาวธรรมที่มีอดีตธรรมเป็น
อารมณ์เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีอดีตธรรมเป็น
อารมณ์เกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัย
ขันธ์ ๑ ที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์เกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น (๑)
[๒] สภาวธรรมที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์อาศัยสภาวธรรมที่มีอนาคตธรรม
เป็นอารมณ์เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีอนาคต
ธรรมเป็นอารมณ์เกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)
[๓] สภาวธรรมที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์อาศัยสภาวธรรมที่มีปัจจุบันธรรม
เป็นอารมณ์เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีปัจจุบันธรรม
เป็นอารมณ์เกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่มี
ปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์เกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)

อารัมมณปัจจัยเป็นต้น
[๔] สภาวธรรมที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์อาศัยสภาวธรรมที่มีอดีตธรรมเป็น
อารมณ์เกิดขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย เพราะอธิปติปัจจัย (อธิปติปัจจัย ไม่มีปฏิสนธิ)
เพราะอนันตรปัจจัย เพราะสมนันตรปัจจัย เพราะสหชาตปัจจัย เพราะอัญญมัญญปัจจัย
เพราะนิสสยปัจจัย เพราะอุปนิสสยปัจจัย เพราะปุเรชาตปัจจัย เพราะอาเสวนปัจจัย
(ปุเรชาตปัจจัยและอาเสวนปัจจัยไม่มีปฏิสนธิ) เพราะกัมมปัจจัย เพราะวิปากปัจจัย
(... อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นวิบากซึ่งมีอดีตธรรมเป็นอารมณ์ ... ๓ วาระ บริบูรณ์แล้ว
พึงเพิ่มปวัตติกาลและปฏิสนธิกาล) เพราะอาหารปัจจัย เพราะอินทรียปัจจัย
เพราะฌานปัจจัย เพราะมัคคปัจจัย เพราะสัมปยุตตปัจจัย เพราะวิปปยุตตปัจจัย
เพราะอัตถิปัจจัย เพราะนัตถิปัจจัย เพราะวิคตปัจจัย เพราะอวิคตปัจจัย

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๖๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๙. อตีตารัมมณติกะ ๑. ปฏิจจวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร

[๕] เหตุปัจจัย มี ๓ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๓ วาระ
อธิปติปัจจัย มี ๓ วาระ ฯลฯ

(ทุกปัจจัยมีปัจจัยละ ๓ วาระ)

วิคตปัจจัย มี ๓ วาระ
อวิคตปัจจัย มี ๓ วาระ (พึงนับอย่างนี้)

อนุโลม จบ

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๑. วิภังควาร
นเหตุปัจจัย
[๖] สภาวธรรมที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์อาศัยสภาวธรรมที่มีอดีตธรรมเป็น
อารมณ์เกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอเหตุกะซึ่ง
มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะที่เป็น
อเหตุกะ ฯลฯ โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วยอุทธัจจะอาศัยขันธ์ที่
สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเกิดขึ้น (๑)
[๗] สภาวธรรมที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์อาศัยสภาวธรรมที่มีอนาคตธรรม
เป็นอารมณ์เกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอเหตุกะ
ซึ่งมีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ โมหะที่สหรคต
ด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วยอุทธัจจะอาศัยขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคต
ด้วยอุทธัจจะเกิดขึ้น (๑)
[๘] สภาวธรรมที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์อาศัยสภาวธรรมที่มีปัจจุบันธรรม
เป็นอารมณ์เกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอเหตุกะซึ่ง
มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะที่เป็น
อเหตุกะ ฯลฯ โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วยอุทธัจจะอาศัยขันธ์ที่
สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วยอุทธัจจะที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์เกิดขึ้น (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๗๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๙. อตีตารัมมณติกะ ๑. ปฏิจจวาร
นอธิปติปัจจัย
[๙] สภาวธรรมที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์อาศัยสภาวธรรมที่มีอดีตธรรมเป็น
อารมณ์เกิดขึ้นเพราะนอธิปติปัจจัย (ปัจจัยนี้เหมือนกับสหชาตปัจจัยในอนุโลม)

นปุเรชาตปัจจัย
[๑๐] สภาวธรรมที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์อาศัยสภาวธรรมที่มีอดีตธรรม
เป็นอารมณ์เกิดขึ้นเพราะนปุเรชาตปัจจัย ได้แก่ ในอรูปาวจรภูมิ ... อาศัยขันธ์ ๑
ที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์ ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์อาศัยสภาวธรรมที่มีอนาคตธรรมเป็น
อารมณ์เกิดขึ้นเพราะนปุเรชาตปัจจัย ได้แก่ ในอรูปาวจรภูมิ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑
ที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์อาศัยสภาวธรรมที่มีปัจจุบันธรรมเป็น
อารมณ์เกิดขึ้นเพราะนปุเรชาตปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ ... อาศัยขันธ์ ๑
ที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์ ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)

นปัจฉาชาตปัจจัยเป็นต้น
[๑๑] สภาวธรรมที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์อาศัยสภาวธรรมที่มีอดีตธรรม
เป็นอารมณ์เกิดขึ้นเพราะนปัจฉาชาตปัจจัย เพราะนอาเสวนปัจจัย (ปัจจัยนี้
เหมือนกับนอธิปติปัจจัย) เพราะนกัมมปัจจัย ได้แก่ เจตนาที่มีอดีตธรรมเป็น
อารมณ์อาศัยขันธ์ที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์เกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์อาศัยสภาวธรรมที่มีอนาคตธรรมเป็น
อารมณ์เกิดขึ้นเพราะนกัมมปัจจัย ได้แก่ เจตนาที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์อาศัย
ขันธ์ที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์เกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์อาศัยสภาวธรรมที่มีปัจจุบันธรรมเป็น
อารมณ์เกิดขึ้นเพราะนกัมมปัจจัย ได้แก่ เจตนาที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์อาศัย
ขันธ์ที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์เกิดขึ้น (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๗๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๙. อตีตารัมมณติกะ ๑. ปฏิจจวาร
นวิปากปัจจัย
[๑๒] สภาวธรรมที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์อาศัยสภาวธรรมที่มีอดีตธรรมเป็น
อารมณ์เกิดขึ้นเพราะนวิปากปัจจัย ฯลฯ (นวิปากปัจจัย ไม่มีปฏิสนธิ)

นฌานปัจจัย
[๑๓] สภาวธรรมที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์อาศัยสภาวธรรมที่มีปัจจุบันธรรม
เป็นอารมณ์เกิดขึ้นเพราะนฌานปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วย
ปัญจวิญญาณเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)

นมัคคปัจจัย
[๑๔] สภาวธรรมที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์อาศัยสภาวธรรมที่มีอดีตธรรมเป็น
อารมณ์เกิดขึ้นเพราะนมัคคปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอเหตุกะ
ซึ่งมีอดีตธรรมเป็นอารมณ์เกิดขึ้น ฯลฯ (ปัจจัยนี้เหมือนกับนเหตุปัจจัย มี ๓ วาระ
ไม่มีโมหะ)

นวิปปยุตตปัจจัย
[๑๕] สภาวธรรมที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์อาศัยสภาวธรรมที่มีอดีตธรรมเป็น
อารมณ์เกิดขึ้นเพราะนวิปปยุตตปัจจัย ได้แก่ ในอรูปาวจรภูมิ ขันธ์ ๓ อาศัย
ขันธ์ ๑ ที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์อาศัยสภาวธรรมที่มีอนาคตธรรมเป็น
อารมณ์เกิดขึ้นเพราะนวิปปยุตตปัจจัย ได้แก่ ในอรูปาวจรภูมิ ขันธ์ ๓ อาศัย
ขันธ์ ๑ ที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒. สังขยาวาร

[๑๖] นเหตุปัจจัย มี ๓ วาระ
นอธิปติปัจจัย มี ๓ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย มี ๓ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๗๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๙. อตีตารัมมณติกะ ๑. ปฏิจจวาร

นปัจฉาชาตปัจจัย มี ๓ วาระ
นอาเสวนปัจจัย มี ๓ วาระ
นกัมมปัจจัย มี ๓ วาระ
นวิปากปัจจัย มี ๓ วาระ
นฌานปัจจัย มี ๑ วาระ
นมัคคปัจจัย มี ๓ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ วาระ (พึงนับอย่างนี้)

ปัจจนียะ จบ

๓. ปัจจยานุโลมปัจจนียะ
เหตุทุกนัย

[๑๗] นอธิปติปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๓ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย ” มี ๓ วาระ
นปัจฉาชาตปัจจัย ” มี ๓ วาระ
นอาเสวนปัจจัย ” มี ๓ วาระ
นกัมมปัจจัย ” มี ๓ วาระ
นวิปากปัจจัย ” มี ๓ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย ” มี ๒ วาระ (พึงนับอย่างนี้)

อนุโลมปัจจนียะ จบ

๔. ปัจจยปัจจนียานุโลม

[๑๘] อารัมมณปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๓ วาระ ฯลฯ (ทุกปัจจัยมีปัจจัยละ
๓ วาระ)
อวิคตปัจจัย ” มี ๓ วาระ (พึงนับอย่างนี้)

ปัจจนียานุโลม จบ ปฏิจจวาร จบ
(สหชาตวาร ปัจจยวาร นิสสยวาร สังสัฏฐวาร และสัมปยุตตวาร เหมือน
กับปฏิจจวาร)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๗๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๙. อตีตารัมมณติกะ ๗. ปัญหาวาร
๑๙. อตีตารัมมณติกะ ๗. ปัญหาวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๑๙] สภาวธรรมที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีอดีตธรรม
เป็นอารมณ์โดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่
สัมปยุตตขันธ์โดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เหตุที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัย
แก่สัมปยุตตขันธ์โดยเหตุปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีอนาคตธรรม
เป็นอารมณ์โดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่
สัมปยุตตขันธ์โดยเหตุปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีปัจจุบันธรรม
เป็นอารมณ์โดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่
สัมปยุตตขันธ์โดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เหตุที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์เป็น
ปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์โดยเหตุปัจจัย (๑)

อารัมมณปัจจัย
[๒๐] สภาวธรรมที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีอดีตธรรม
เป็นอารมณ์โดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลพิจารณาวิญญาณัญจายตนะที่เป็นอดีต
พิจารณาเนวสัญญานาสัญญายตนะ พิจารณาอิทธิวิธญาณที่เป็นอดีตซึ่งมีอดีตธรรม
เป็นอารมณ์ พิจารณาเจโตปริยญาณ ... ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ... ยถากัมมูปค-
ญาณ พระอริยะพิจารณากิเลสที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์ซึ่งละได้แล้ว พิจารณา
กิเลสที่ข่มได้แล้ว รู้กิเลสที่เคยเกิดขึ้น บุคคลเห็นแจ้งขันธ์ที่เป็นอดีตซึ่งมีอดีตธรรม
เป็นอารมณ์โดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ยินดีเพลิดเพลิน เพราะ
ปรารภความยินดีเพลิดเพลินขันธ์นั้น ราคะที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์จึงเกิดขึ้น ทิฏฐิ
ฯลฯ วิจิกิจฉา ฯลฯ อุทธัจจะ ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น ขันธ์ที่เป็นอดีตซึ่ง

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๗๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๙. อตีตารัมมณติกะ ๗. ปัญหาวาร
มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่เจโตปริยญาณ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
ยถากัมมูปคญาณ และอาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีอนาคตธรรมเป็น
อารมณ์โดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลพิจารณาวิญญาณัญจายตนะที่เป็นอนาคต
พิจารณาเนวสัญญานาสัญญายตนะ พิจารณาอิทธิวิธญาณที่เป็นอนาคตซึ่งมีอดีต-
ธรรมเป็นอารมณ์ พิจารณาเจโตปริยญาณ ฯลฯ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ฯลฯ
ยถากัมมูปคญาณ เห็นแจ้งขันธ์ที่เป็นอนาคตซึ่งมีอดีตธรรมเป็นอารมณ์โดยเป็น
สภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ ยินดีเพลิดเพลิน เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินขันธ์นั้น
ราคะที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์จึงเกิดขึ้น ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น ขันธ์ที่เป็น
อนาคตซึ่งมีอดีตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่เจโตปริยญาณ อนาคตังสญาณ
และอาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีปัจจุบันธรรม
เป็นอารมณ์โดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้มีความพรั่งพร้อมด้วย
จิตที่เป็นปัจจุบันซึ่งมีอดีตธรรมเป็นอารมณ์ด้วยเจโตปริยญาณ ขันธ์ที่เป็นปัจจุบัน
ซึ่งมีอดีตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่เจโตปริยญาณและอาวัชชนจิตโดยอารัมมณ-
ปัจจัย (๓)
[๒๑] สภาวธรรมที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มี
อนาคตธรรมเป็นอารมณ์โดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลพิจารณาอิทธิวิธญาณที่
เป็นอนาคตซึ่งมีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์ พิจารณาเจโตปริยญาณ ฯลฯ อนาคตังส-
ญาณ ฯลฯ บุคคลเห็นแจ้งขันธ์ที่เป็นอนาคตซึ่งมีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์โดยเป็น
สภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ ยินดีเพลิดเพลิน เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินขันธ์นั้น
ราคะที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์จึงเกิดขึ้น ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น ขันธ์ที่เป็น
อนาคตซึ่งมีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่เจโตปริยญาณ อนาคตังสญาณ
และอาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีอดีตธรรม
เป็นอารมณ์โดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลพิจารณาอิทธิวิธญาณที่เป็นอดีตซึ่งมี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๗๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๙. อตีตารัมมณติกะ ๗. ปัญหาวาร
อนาคตธรรมเป็นอารมณ์ พิจารณาเจโตปริยญาณ ... อนาคตังสญาณ ... พระอริยะ
พิจารณากิเลสที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์ซึ่งละได้แล้ว พิจารณากิเลสที่ข่มได้แล้ว
รู้กิเลสที่เคยเกิดขึ้น บุคคลเห็นแจ้งขันธ์ที่เป็นอดีตซึ่งมีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์โดย
เป็นสภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ ยินดีเพลิดเพลิน เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินขันธ์
นั้น ราคะที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์จึงเกิดขึ้น ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น ขันธ์ที่เป็นอดีต
ซึ่งมีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่เจโตปริยญาณ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
ยถากัมมูปคญาณ และอาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีปัจจุบันธรรม
เป็นอารมณ์โดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้มีความพรั่งพร้อม
ด้วยจิตที่เป็นปัจจุบันที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์ด้วยเจโตปริยญาณ ขันธ์ที่เป็น
ปัจจุบันซึ่งมีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่เจโตปริยญาณ และอาวัชชนจิต
โดยอารัมมณปัจจัย (๓)
[๒๒] สภาวธรรมที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มี
ปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์โดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้มีความ
พรั่งพร้อมด้วยจิตที่เป็นปัจจุบันซึ่งมีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์ด้วยเจโตปริยญาณ ขันธ์
ที่เป็นปัจจุบันซึ่งมีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่เจโตปริยญาณและอาวัชชน-
จิตโดยอารัมมณปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีอดีตธรรม
เป็นอารมณ์โดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลพิจารณาทิพพจักขุที่เป็นอดีต
พิจารณาทิพพโสตธาตุ พิจารณาอิทธิวิธญาณที่เป็นอดีตซึ่งมีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์
พิจารณาเจโตปริยญาณ พระอริยะพิจารณากิเลสที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์ซึ่งละ
ได้แล้ว พิจารณากิเลสที่ข่มได้แล้ว รู้กิเลสที่เคยเกิดขึ้น บุคคลเห็นแจ้งขันธ์ที่เป็น
อดีตซึ่งมีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์โดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ ยินดีเพลิดเพลิน
เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินขันธ์นั้น ราคะที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์จึงเกิดขึ้น
ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น ขันธ์ที่เป็นอดีตซึ่งมีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่
เจโตปริยญาณ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ยถากัมมูปคญาณ และอาวัชชนจิตโดย
อารัมมณปัจจัย (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๗๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๙. อตีตารัมมณติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีอนาคตธรรม
เป็นอารมณ์โดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลพิจารณาทิพพจักขุที่เป็นอนาคต
พิจารณาทิพพโสตธาตุ พิจารณาอิทธิวิธญาณที่เป็นอนาคตซึ่งมีปัจจุบันธรรมเป็น
อารมณ์ พิจารณาเจโตปริยญาณ ฯลฯ เห็นแจ้งขันธ์ที่เป็นอนาคตซึ่งมีปัจจุบันธรรม
เป็นอารมณ์ โดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินขันธ์
นั้น ราคะที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์จึงเกิดขึ้น ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น ขันธ์ที่เป็น
อนาคตซึ่งมีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์ เป็นปัจจัยแก่เจโตปริยญาณ อนาคตังสญาณ
และอาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย (๓)

อธิปติปัจจัย
[๒๓] สภาวธรรมที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีอดีตธรรม
เป็นอารมณ์โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติและสหชาตาธิปติ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลพิจารณาวิญญาณัญจายตนะที่เป็นอดีตให้เป็น
อารมณ์อย่างหนักแน่น พิจารณาเนวสัญญานาสัญญายตนะให้เป็นอารมณ์อย่าง
หนักแน่น พิจารณาอิทธิวิธญาณที่เป็นอดีตซึ่งมีอดีตธรรมเป็นอารมณ์ให้เป็นอารมณ์
อย่างหนักแน่น พิจารณาเจโตปริยญาณ ฯลฯ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ฯลฯ
ยถากัมมูปคญาณให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ยินดีเพลิดเพลินขันธ์ที่เป็นอดีตซึ่ง
มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทําความยินดีเพลิด
เพลินขันธ์นั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์จึงเกิดขึ้น
ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่
สัมปยุตตขันธ์โดยอธิปติปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีอนาคตธรรม
เป็นอารมณ์โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคล
พิจารณาวิญญาณัญจายตนะที่เป็นอนาคตให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ
พิจารณาเนวสัญญานาสัญญายตนะ ฯลฯ พิจารณาอิทธิวิธญาณที่เป็นอนาคตซึ่งมี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๗๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๙. อตีตารัมมณติกะ ๗. ปัญหาวาร
อดีตธรรมเป็นอารมณ์ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ พิจารณาเจโตปริยญาณ
ฯลฯ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ฯลฯ ยถากัมมูปคญาณ ฯลฯ บุคคลยินดี
เพลิดเพลินขันธ์ที่เป็นอนาคตซึ่งมีอดีตธรรมเป็นอารมณ์ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น
เพราะทําความยินดีเพลิดเพลินขันธ์นั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะที่มี
อนาคตธรรมเป็นอารมณ์จึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น (๒)
[๒๔] สภาวธรรมที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มี
อนาคตธรรมเป็นอารมณ์โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติและ
สหชาตาธิปติ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลพิจารณาอิทธิวิธญาณที่เป็นอนาคตซึ่งมี
อนาคตธรรมเป็นอารมณ์ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ พิจารณาเจโตปริย-
ญาณ ฯลฯ อนาคตังสญาณให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ยินดีเพลิดเพลินขันธ์ที่
เป็นอนาคตซึ่งมีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทํา
ความยินดีเพลิดเพลินขันธ์นั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะที่มีอนาคตธรรม
เป็นอารมณ์จึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่
สัมปยุตตขันธ์โดยอธิปติปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีอดีตธรรม
เป็นอารมณ์โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคล
พิจารณาอิทธิวิธญาณที่เป็นอดีตซึ่งมีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์ให้เป็นอารมณ์อย่าง
หนักแน่น ฯลฯ พิจารณาเจโตปริยญาณ ฯลฯ อนาคตังสญาณให้เป็นอารมณ์
อย่างหนักแน่น ฯลฯ ยินดีเพลิดเพลินขันธ์ที่เป็นอดีตซึ่งมีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์
ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทําความยินดีเพลิดเพลินขันธ์นั้นให้เป็น
อารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์จึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น (๒)
[๒๕] สภาวธรรมที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มี
ปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่
อธิบดีธรรมที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์โดยอธิปติปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๗๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๙. อตีตารัมมณติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีอดีตธรรม
เป็นอารมณ์โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคล
พิจารณาทิพพจักขุที่เป็นอดีตให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น พิจารณาทิพพโสตธาตุ
ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น พิจารณาอิทธิวิธญาณที่เป็นอดีตซึ่งมีปัจจุบันธรรม
เป็นอารมณ์ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ พิจารณาเจโตปริยญาณให้เป็นอารมณ์
อย่างหนักแน่น ฯลฯ ยินดีเพลิดเพลินขันธ์ที่เป็นอดีตซึ่งมีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์
ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทําความยินดีเพลิดเพลินขันธ์นั้นให้เป็นอารมณ์
อย่างหนักแน่น ราคะที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์จึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีอนาคตธรรม
เป็นอารมณ์โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคล
พิจารณาทิพพจักขุที่เป็นอนาคตให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น พิจารณาทิพพโสต-
ธาตุให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ พิจารณาอิทธิวิธญาณที่เป็นอนาคตซึ่งมี
ปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ พิจารณาเจโตปริย-
ญาณให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ ยินดีเพลิดเพลินขันธ์ที่เป็นอนาคตซึ่งมี
ปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทําความยินดีเพลิด
เพลินขันธ์นั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์จึงเกิด
ขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น (๓)

อนันตรปัจจัย
[๒๖] สภาวธรรมที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีอดีตธรรม
เป็นอารมณ์โดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์ซึ่งเกิดก่อน ๆ
เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์ซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีอนาคตธรรม
เป็นอารมณ์โดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ภวังคจิตที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัย
แก่อาวัชชนจิตที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์โดยอนันตรปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีปัจจุบันธรรม
เป็นอารมณ์โดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ จุติจิตที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๗๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๙. อตีตารัมมณติกะ ๗. ปัญหาวาร
ปฏิสนธิจิตที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์โดยอนันตรปัจจัย ภวังคจิตที่มีอดีตธรรมเป็น
อารมณ์เป็นปัจจัยแก่อาวัชชนจิตที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์โดยอนันตรปัจจัย (๓)
[๒๗] สภาวธรรมที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มี
อนาคตธรรมเป็นอารมณ์โดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีอนาคตธรรมเป็น
อารมณ์ซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์ซึ่งเกิดหลัง ๆ
โดยอนันตรปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีอดีตธรรม
เป็นอารมณ์โดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ อิทธิวิธญาณที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์เป็น
ปัจจัยแก่วุฏฐานะที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์ ฯลฯ เจโตปริยญาณเป็นปัจจัยแก่
วุฏฐานะที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์ ฯลฯ อนาคตังสญาณเป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะที่มี
อดีตธรรมเป็นอารมณ์ ฯลฯ ขันธ์ที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่
วุฏฐานะที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์โดยอนันตรปัจจัย (๒)
[๒๘] สภาวธรรมที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มี
ปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์โดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์
ซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์ซึ่งเกิดหลัง ๆ โดย
อนันตรปัจจัย ปฏิสนธิจิตที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่ภวังคจิตที่มี
ปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์ ฯลฯ ภวังคจิตที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่
ภวังคจิตที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์โดยอนันตรปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีอดีตธรรม
เป็นอารมณ์โดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ปฏิสนธิจิตที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์เป็น
ปัจจัยแก่ภวังคจิตที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์ ฯลฯ ภวังคจิตที่มีปัจจุบันธรรมเป็น
อารมณ์เป็นปัจจัยแก่ภวังคจิตที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์ ฯลฯ ขันธ์ที่มีปัจจุบันธรรม
เป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์โดยอนันตรปัจจัย (๒)

สมนันตรปัจจัย
[๒๙] สภาวธรรมที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีอดีต
ธรรมเป็นอารมณ์โดยสมนันตรปัจจัย (ปัจจัยนี้เหมือนกับอนันตรปัจจัย)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๘๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๙. อตีตารัมมณติกะ ๗. ปัญหาวาร
สหชาตปัจจัยเป็นต้น
[๓๐] สภาวธรรมที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีอดีต
ธรรมเป็นอารมณ์โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอัญญมัญญปัจจัย เป็นปัจจัย
โดยนิสสยปัจจัย (ปัจจัยแม้ทั้ง ๓ เหมือนกับปฏิจจวาร)

อุปนิสสยปัจจัย
[๓๑] สภาวธรรมที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีอดีต-
ธรรมเป็นอารมณ์โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ
อนันตรูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ อนิจจานุปัสสนา ทุกขานุปัสสนา และอนัตตานุปัสสนา
ที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่อนิจจานุปัสสนา ทุกขานุปัสสนา และ
อนัตตานุปัสสนาที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์โดยอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีอนาคตธรรม
เป็นอารมณ์โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ
และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ อนิจจานุปัสสนา ทุกขานุปัสสนา และอนัตตานุปัสสนา
ที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่อนิจจานุปัสสนา ทุกขานุปัสสนา และ
อนัตตานุปัสสนาที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์โดยอุปนิสสยปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีปัจจุบันธรรม
เป็นอารมณ์โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะและปกตูปนิสสยะ
ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ อนิจจานุปัสสนา ทุกขานุปัสสนา และอนัตตานุปัสสนา
ที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่อนิจจานุปัสสนา ทุกขานุปัสสนา และ
อนัตตานุปัสสนาที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์โดยอุปนิสสยปัจจัย (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๘๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๙. อตีตารัมมณติกะ ๗. ปัญหาวาร
[๓๒] สภาวธรรมที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มี
อนาคตธรรมเป็นอารมณ์โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ
อนันตรูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ อนิจจานุปัสสนา ทุกขานุปัสสนา และอนัตตานุปัสสนา
ที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่อนิจจานุปัสสนา ทุกขานุปัสสนา และ
อนัตตานุปัสสนาที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์โดยอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีอดีตธรรม
เป็นอารมณ์โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ
และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ อนิจจานุปัสสนา ทุกขานุปัสสนา และอนัตตานุปัสสนา
ที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่อนิจจานุปัสสนา ทุกขานุปัสสนา และ
อนัตตานุปัสสนาที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์โดยอุปนิสสยปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีปัจจุบัน
ธรรมเป็นอารมณ์โดยอุปนิสสยปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปกตูปนิสสยะ ได้แก่
อนิจจานุปัสสนา ทุกขานุปัสสนา และอนัตตานุปัสสนาที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์
เป็นปัจจัยแก่อนิจจานุปัสสนา ทุกขานุปัสสนา และอนัตตานุปัสสนาที่มีปัจจุบัน
ธรรมเป็นอารมณ์โดยอุปนิสสยปัจจัย (๓)
[๓๓] สภาวธรรมที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มี
ปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ
และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ อนิจจานุปัสสนา ทุกขานุปัสสนา และอนัตตานุปัสสนา
ที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่อนิจจานุปัสสนา ทุกขานุปัสสนา และ
อนัตตานุปัสสนาที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์โดยอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีอดีตธรรม
เป็นอารมณ์โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ
และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๘๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๙. อตีตารัมมณติกะ ๗. ปัญหาวาร
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ อนิจจานุปัสสนา ทุกขานุปัสสนา และอนัตตานุปัสสนา
ที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่อนิจจานุปัสสนา ทุกขานุปัสสนา และ
อนัตตานุปัสสนาที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์โดยอุปนิสสยปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีอนาคตธรรม
เป็นอารมณ์โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะและปกตูป-
นิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ อนิจจานุปัสสนา ทุกขานุปัสสนา และอนัตตานุปัสสนา
ที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่อนิจจานุปัสสนา ทุกขานุปัสสนา และ
อนัตตานุปัสสนาที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์โดยอุปนิสสยปัจจัย (๓)

อาเสวนปัจจัย
[๓๔] สภาวธรรมที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีอดีตธรรม
เป็นอารมณ์โดยอาเสวนปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์ซึ่งเกิดก่อน ๆ
เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์ซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอาเสวนปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีอนาคตธรรม
เป็นอารมณ์โดยอาเสวนปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์ซึ่งเกิดก่อน ๆ
เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์ซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอาเสวนปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีปัจจุบันธรรม
เป็นอารมณ์โดยอาเสวนปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์ซึ่งเกิดก่อน ๆ
เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์ซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอาเสวนปัจจัย (๑)

กัมมปัจจัย
[๓๕] สภาวธรรมที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีอดีตธรรม
เป็นอารมณ์โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและนานาขณิกะ
สหชาตะ ได้แก่ เจตนาที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์
โดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๘๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๙. อตีตารัมมณติกะ ๗. ปัญหาวาร
นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็น
วิบากซึ่งมีอดีตธรรมเป็นอารมณ์โดยกัมมปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีอนาคตธรรม
เป็นอารมณ์โดยกัมมปัจจัย มีอย่างเดียว คือ นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่มี
อดีตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นวิบากซึ่งมีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์โดย
กัมมปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีปัจจุบันธรรม
เป็นอารมณ์โดยกัมมปัจจัย มีอย่างเดียว คือ นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่มี
อดีตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นวิบากซึ่งมีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์โดย
กัมมปัจจัย (๓)
[๓๖] สภาวธรรมที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มี
อนาคตธรรมเป็นอารมณ์โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและนานาขณิกะ
สหชาตะ ได้แก่ เจตนาที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต-
ขันธ์โดยกัมมปัจจัย
นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่
เป็นวิบากซึ่งมีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์โดยกัมมปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีอดีตธรรม
เป็นอารมณ์โดยกัมมปัจจัย มีอย่างเดียว คือ นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่มี
อนาคตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นวิบากซึ่งมีอดีตธรรมเป็นอารมณ์
โดยกัมมปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีปัจจุบัน
ธรรมเป็นอารมณ์โดยกัมมปัจจัย มีอย่างเดียว คือ นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่มี
อนาคตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นวิบากซึ่งมีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์
โดยกัมมปัจจัย (๓)
[๓๗] สภาวธรรมที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มี
ปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและนานาขณิกะ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๘๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๙. อตีตารัมมณติกะ ๗. ปัญหาวาร
สหชาตะ ได้แก่ เจตนาที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต-
ขันธ์โดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่
เป็นวิบากซึ่งมีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์โดยกัมมปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีอดีตธรรม
เป็นอารมณ์โดยกัมมปัจจัย มีอย่างเดียว คือ นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่มี
ปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นวิบากซึ่งมีอดีตธรรมเป็นอารมณ์
โดยกัมมปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีอนาคตธรรม
เป็นอารมณ์โดยกัมมปัจจัย มีอย่างเดียว คือ นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่มี
ปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นวิบากซึ่งมีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์
โดยกัมมปัจจัย (๓)

วิปากปัจจัยเป็นต้น
[๓๘] สภาวธรรมที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีอดีตธรรม
เป็นอารมณ์โดยวิปากปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอาหารปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอินทรียปัจจัย
เป็นปัจจัยโดยฌานปัจจัย เป็นปัจจัยโดยมัคคปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสัมปยุตตปัจจัย
เป็นปัจจัยโดยอัตถิปัจจัย เป็นปัจจัยโดยนัตถิปัจจัย เป็นปัจจัยโดยวิคตปัจจัย เป็น
ปัจจัยโดยอวิคตปัจจัย

๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๓๙] เหตุปัจจัย มี ๓ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๙ วาระ
อธิปติปัจจัย มี ๗ วาระ
อนันตรปัจจัย มี ๗ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๘๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๙. อตีตารัมมณติกะ ๗. ปัญหาวาร

สมนันตรปัจจัย มี ๗ วาระ
สหชาตปัจจัย มี ๓ วาระ
อัญญมัญญปัจจัย มี ๓ วาระ
นิสสยปัจจัย มี ๓ วาระ
อุปนิสสยปัจจัย มี ๙ วาระ
อาเสวนปัจจัย มี ๓ วาระ
กัมมปัจจัย มี ๙ วาระ
วิปากปัจจัย มี ๓ วาระ
อาหารปัจจัย มี ๓ วาระ
อินทรียปัจจัย มี ๓ วาระ
ฌานปัจจัย มี ๓ วาระ
มัคคปัจจัย มี ๓ วาระ
สัมปยุตตปัจจัย มี ๓ วาระ
อัตถิปัจจัย มี ๓ วาระ
นัตถิปัจจัย มี ๗ วาระ
วิคตปัจจัย มี ๗ วาระ
อวิคตปัจจัย มี ๗ วาระ (พึงนับอย่างนี้)

อนุโลม จบ

๒. ปัจจนียุทธาร
[๔๐] สภาวธรรมที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีอดีตธรรม
เป็นอารมณ์โดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และกัมมปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีอนาคตธรรม
เป็นอารมณ์โดยอารัมมณปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และกัมมปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีปัจจุบันธรรม
เป็นอารมณ์โดยอารัมมณปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และกัมมปัจจัย (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๘๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๙. อตีตารัมมณติกะ ๗. ปัญหาวาร
[๔๑] สภาวธรรมที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มี
อนาคตธรรมเป็นอารมณ์โดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และ
กัมมปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีอดีตธรรม
เป็นอารมณ์โดยอารัมมณปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และกัมมปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีปัจจุบัน
ธรรมเป็นอารมณ์โดยอารัมมณปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และกัมมปัจจัย (๓)
[๔๒] สภาวธรรมที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มี
ปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์โดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และ
กัมมปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีอดีตธรรม
เป็นอารมณ์โดยอารัมมณปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และกัมมปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีอนาคต
ธรรมเป็นอารมณ์โดยอารัมมณปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และกัมมปัจจัย (๓)

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒. สังขยาวาร

[๔๓] นเหตุปัจจัย มี ๙ วาระ
นอารัมมณปัจจัย มี ๙ วาระ
นอธิปติปัจจัย มี ๙ วาระ
นอนันตรปัจจัย มี ๙ วาระ
นสมนันตรปัจจัย มี ๙ วาระ

(ย่อ ทุกปัจจัยมีปัจจัยละ ๙ วาระ)

โนวิคตปัจจัย มี ๙ วาระ
โนอวิคตปัจจัย มี ๙ วาระ (พึงนับอย่างนี้)

ปัจจนียะ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๘๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๙. อตีตารัมมณติกะ ๗. ปัญหาวาร
๓. ปัจจยานุโลมปัจจนียะ
เหตุทุกนัย

[๔๔] นอารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๓ วาระ
นอธิปติปัจจัย ” มี ๓ วาระ
นอนันตรปัจจัย ” มี ๓ วาระ
นสมนันตรปัจจัย ” มี ๓ วาระ
นอุปนิสสยปัจจัย ” มี ๓ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย ” มี ๓ วาระ
นปัจฉาชาตปัจจัย ” มี ๓ วาระ
นอาเสวนปัจจัย ” มี ๓ วาระ
นกัมมปัจจัย ” มี ๓ วาระ
นวิปากปัจจัย ” มี ๓ วาระ

(ทุกปัจจัยมีปัจจัยละ ๓ วาระ ย่อ)

โนนัตถิปัจจัย ” มี ๓ วาระ
โนวิคตปัจจัย ” มี ๓ วาระ (พึงนับอย่างนี้)

อนุโลมปัจจนียะ จบ

๔. ปัจจยปัจจนียานุโลม
นเหตุทุกนัย

[๔๕] อารัมมณปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๙ วาระ
อธิปติปัจจัย ” มี ๗ วาระ
อนันตรปัจจัย ” มี ๗ วาระ
สมนันตรปัจจัย ” มี ๗ วาระ
สหชาตปัจจัย ” มี ๓ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๘๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๑๙. อตีตารัมมณติกะ ๗. ปัญหาวาร

อัญญมัญญปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๓ วาระ
นิสสยปัจจัย ” มี ๓ วาระ
อุปนิสสยปัจจัย ” มี ๙ วาระ
อาเสวนปัจจัย ” มี ๓ วาระ
กัมมปัจจัย ” มี ๙ วาระ
วิปากปัจจัย ” มี ๓ วาระ
อาหารปัจจัย ” มี ๓ วาระ
อินทรียปัจจัย ” มี ๓ วาระ
ฌานปัจจัย ” มี ๓ วาระ
มัคคปัจจัย ” มี ๓ วาระ
สัมปยุตตปัจจัย ” มี ๓ วาระ
อัตถิปัจจัย ” มี ๓ วาระ
นัตถิปัจจัย ” มี ๗ วาระ
วิคตปัจจัย ” มี ๗ วาระ
อวิคตปัจจัย ” มี ๓ วาระ (พึงนับอย่างนี้)

ปัจจนียานุโลม จบ
ปัญหาวาร จบ
อตีตารัมมณติกะ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๘๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๐. อัชฌัตตติกะ ๑. ปฏิจจวาร
๒๐. อัชฌัตตติกะ ๑. ปฏิจจวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๑] สภาวธรรมที่เป็นภายในตนอาศัยสภาวธรรมที่เป็นภายในตนเกิดขึ้นเพราะ
เหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นภายในตนเกิดขึ้น
ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูปอาศัยขันธ์ ๑
ที่เป็นภายในตนเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ หทัยวัตถุอาศัยขันธ์เกิดขึ้น
ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น มหาภูตรูป ๓ อาศัยมหาภูตรูป ๑ เกิดขึ้น ฯลฯ
จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนอาศัยสภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนเกิดขึ้นเพราะ
เหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นภายนอกตนเกิด
ขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูปอาศัยขันธ์ ๑
ที่เป็นภายนอกตนเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น ฯลฯ หทัยวัตถุ
อาศัยขันธ์เกิดขึ้น ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น มหาภูตรูป ๓ อาศัยมหาภูตรูป ๑
เกิดขึ้น ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปอาศัยมหาภูตรูป
เกิดขึ้น (๑)

อารัมมณปัจจัย
[๒] สภาวธรรมที่เป็นภายในตนอาศัยสภาวธรรมที่เป็นภายในตนเกิดขึ้นเพราะ
อารัมมณปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นภายในตนเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์
๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นภายในตนเกิดขึ้น ฯลฯ
ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนอาศัยสภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนเกิดขึ้นเพราะ
อารัมมณปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นภายนอกตนเกิดขึ้น ฯลฯ
อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๙๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๐. อัชฌัตตติกะ ๑. ปฏิจจวาร
อธิปติปัจจัย
[๓] สภาวธรรมที่เป็นภายในตนอาศัยสภาวธรรมที่เป็นภายในตนเกิดขึ้นเพราะ
อธิปติปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นภายในตน
เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ อาศัยมหาภูตรูป ๑ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป
ที่เป็นอุปาทายรูป อาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนอาศัยสภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนเกิดขึ้นเพราะ
อธิปติปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นภายนอกตน
เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ อาศัยมหาภูตรูป ๑ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป
ที่เป็นอุปาทายรูปอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น (๑)

อนันตรปัจจัยเป็นต้น
[๔] สภาวธรรมที่เป็นภายในตนอาศัยสภาวธรรมที่เป็นภายในตนเกิดขึ้นเพราะ
อนันตรปัจจัย เพราะสมนันตรปัจจัย เพราะสหชาตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และ
จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นภายในตนเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ
ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นภายในตนเกิดขึ้น
ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ หทัยวัตถุอาศัยขันธ์เกิดขึ้น ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น
มหาภูตรูป ๓ อาศัยมหาภูตรูป ๑ เกิดขึ้น ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูป
ที่เป็นอุปาทายรูปอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น ... ที่มีอาหารเป็นสมุฏฐาน ... ที่มีอุตุ
เป็นสมุฏฐาน ... สําหรับเหล่าอสัญญสัตตพรหม ... อาศัยมหาภูตรูป ๑ ฯลฯ
กฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนอาศัยสภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนเกิดขึ้นเพราะ
สหชาตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นภายนอกตน
เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูปอาศัย
ขันธ์ ๑ ที่เป็นภายนอกตนเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ หทัยวัตถุอาศัย
ขันธ์เกิดขึ้น ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น ... อาศัยมหาภูตรูป ๑ ฯลฯ จิตต-
สมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น ... ที่เป็นภาย
นอก ... ที่มีอาหารเป็นสมุฏฐาน ... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ... สําหรับเหล่า
อสัญญสัตตพรหม ... อาศัยมหาภูตรูป ๑ ฯลฯ กฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูป
อาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๙๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๐. อัชฌัตตติกะ ๑. ปฏิจจวาร
อัญญมัญญปัจจัยเป็นต้น
[๕] สภาวธรรมที่เป็นภายในตนอาศัยสภาวธรรมที่เป็นภายในตนเกิดขึ้นเพราะ
อัญญมัญญปัจจัย เพราะนิสสยปัจจัย เพราะอุปนิสสยปัจจัย เพราะปุเรชาตปัจจัย
เพราะอาเสวนปัจจัย (ปุเรชาตปัจจัยและอาเสวนปัจจัย ไม่มีปฏิสนธิ) เพราะกัมม-
ปัจจัย เพราะวิปากปัจจัย เพราะอาหารปัจจัย เพราะอินทรียปัจจัย เพราะฌานปัจจัย
เพราะมัคคปัจจัย เพราะสัมปยุตตปัจจัย เพราะวิปปยุตตปัจจัย เพราะอัตถิปัจจัย
เพราะนัตถิปัจจัย เพราะวิคตปัจจัย เพราะอวิคตปัจจัย

๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร

[๖] เหตุปัจจัย มี ๒ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๒ วาระ ฯลฯ
อวิคตปัจจัย มี ๒ วาระ

อนุโลม จบ

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๑. วิภังควาร
นเหตุปัจจัย
[๗] สภาวธรรมที่เป็นภายในตนอาศัยสภาวธรรมที่เป็นภายในตนเกิดขึ้นเพราะ
นเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอเหตุกะซึ่ง
เป็นภายในตนเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะที่เป็นอเหตุกะ ฯลฯ
หทัยวัตถุอาศัยขันธ์เกิดขึ้น ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น ... อาศัยมหาภูตรูป ๑ ฯลฯ
ที่มีอาหารเป็นสมุฏฐาน ... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ... สําหรับเหล่าอสัญญสัตตพรหม
... มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ กฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น โมหะ
ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วยอุทธัจจะอาศัยขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา
และที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเกิดขึ้น (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๙๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๐. อัชฌัตตติกะ ๑. ปฏิจจวาร
สภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนอาศัยสภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนเกิดขึ้นเพราะ
นเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอเหตุกะซึ่ง
เป็นภายนอกตนเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะที่เป็นอเหตุกะ
ฯลฯ หทัยวัตถุอาศัยขันธ์เกิดขึ้น ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น ... อาศัยมหาภูตรูป ๑
ฯลฯ ที่เป็นภายนอก ... ที่มีอาหารเป็นสมุฏฐาน ... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ...
สําหรับเหล่าอสัญญสัตตพรหม ... อาศัยมหาภูตรูป ๑ ฯลฯ โมหะที่สหรคต
ด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วยอุทธัจจะอาศัยขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคต
ด้วยอุทธัจจะเกิดขึ้น (๑)

นอารัมมณปัจจัย
[๘] สภาวธรรมที่เป็นภายในตนอาศัยสภาวธรรมที่เป็นภายในตนเกิดขึ้นเพราะ
นอารัมมณปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่เป็นภายในตนเกิดขึ้น ใน
ปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูปอาศัยขันธ์ที่เป็นภายในตนเกิดขึ้น หทัยวัตถุอาศัยขันธ์เกิด
ขึ้น ฯลฯ อาศัยมหาภูตรูป ๑ ฯลฯ ที่มีอาหารเป็นสมุฏฐาน ... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน
... สําหรับเหล่าอสัญญสัตตพรหม ... อาศัยมหาภูตรูป ๑ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนอาศัยสภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนเกิดขึ้นเพราะ
นอารัมมณปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่เป็นภายนอกตนเกิดขึ้น ใน
ปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูปอาศัยขันธ์ที่เป็นภายนอกตนเกิดขึ้น หทัยวัตถุอาศัยขันธ์
เกิดขึ้น ฯลฯ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ ที่เป็นภายนอก ... ที่มีอาหารเป็นสมุฏฐาน ...
ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ... สําหรับเหล่าอสัญญสัตตพรหม ฯลฯ (๑)

นอธิปติปัจจัยเป็นต้น
[๙] สภาวธรรมที่เป็นภายในตนอาศัยสภาวธรรมที่เป็นภายในตนเกิดขึ้นเพราะ
นอธิปติปัจจัย ฯลฯ (ปัจจัยนี้เหมือนกับสหชาตปัจจัยในอนุโลม ไม่มีข้อต่างกัน)
เพราะนอนันตรปัจจัย เพราะนสมนันตรปัจจัย เพราะนอัญญมัญญปัจจัย เพราะ
นอุปนิสสยปัจจัย เพราะนปุเรชาตปัจจัย ได้แก่ ในอรูปาวจรภูมิ ... อาศัยขันธ์ ๑
ที่เป็นภายในตน ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่เป็นภายในตนเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๙๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๐. อัชฌัตตติกะ ๑. ปฏิจจวาร
ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นภายในตนเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒
ฯลฯ หทัยวัตถุอาศัยขันธ์เกิดขึ้น ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น ... อาศัยมหาภูต-
รูป ๑ ฯลฯ ที่มีอาหารเป็นสมุฏฐาน ... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ... สําหรับเหล่า
อสัญญสัตตพรหม ฯลฯ
[๑๐] สภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนอาศัยสภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนเกิดขึ้น
เพราะนปุเรชาตปัจจัย ได้แก่ ในอรูปาวจรภูมิ ... อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นภายนอกตน
ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่เป็นภายนอกตนเกิดขึ้น ใน
ปฏิสนธิขณะ (พึงทำให้บริบูรณ์) ... อาศัยมหาภูตรูป ๑ ฯลฯ ที่เป็นภายนอก ...
ที่มีอาหารเป็นสมุฏฐาน ... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ... สําหรับเหล่าอสัญญสัตตพรหม
ฯลฯ

นปัจฉาชาตปัจจัยเป็นต้น
[๑๑] สภาวธรรมที่เป็นภายในตนอาศัยสภาวธรรมที่เป็นภายในตนเกิดขึ้น
เพราะนปัจฉาชาตปัจจัย เพราะนอาเสวนปัจจัย เพราะนกัมมปัจจัย ได้แก่
เจตนาที่เป็นภายในตนอาศัยขันธ์ที่เป็นภายในตนเกิดขึ้น ... ที่มีอาหารเป็นสมุฏฐาน
... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนอาศัยสภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนเกิดขึ้นเพราะ
นกัมมปัจจัย ได้แก่ เจตนาที่เป็นภายนอกตนอาศัยขันธ์ที่เป็นภายนอกตนเกิดขึ้น ...
ที่เป็นภายนอก ... ที่มีอาหารเป็นสมุฏฐาน ... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ... (๑)

นวิปากปัจจัยเป็นต้น
[๑๒] สภาวธรรมที่เป็นภายในตนอาศัยสภาวธรรมที่เป็นภายในตนเกิดขึ้น
เพราะนวิปากปัจจัย (ไม่มีปฏิสนธิ) เพราะนอาหารปัจจัย ได้แก่ ... ที่มีอุตุเป็น
สมุฏฐาน ... สําหรับเหล่าอสัญญสัตตพรหม ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนอาศัยสภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนเกิดขึ้นเพราะ
นอาหารปัจจัย ได้แก่ ... ที่เป็นภายนอก ... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ... สําหรับ
เหล่าอสัญญสัตตพรหม ฯลฯ (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๙๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๐. อัชฌัตตติกะ ๑. ปฏิจจวาร
สภาวธรรมที่เป็นภายในตนอาศัยสภาวธรรมที่เป็นภายในตนเกิดขึ้นเพราะ
นอินทรียปัจจัย ได้แก่ ... ที่มีอาหารเป็นสมุฏฐาน ... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ...
สําหรับเหล่าอสัญญสัตตพรหมรูปชีวิตินทรีย์อาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนอาศัยสภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนเกิดขึ้นเพราะ
นอินทรียปัจจัย ได้แก่ ... ที่เป็นภายนอก ... ที่มีอาหารเป็นสมุฏฐาน ... ที่มีอุตุ
เป็นสมุฏฐาน ... สําหรับเหล่าอสัญญสัตตพรหม รูปชีวิตินทรีย์อาศัยมหาภูตรูป
เกิดขึ้น (๑)

นฌานปัจจัย
[๑๓] สภาวธรรมที่เป็นภายในตนอาศัยสภาวธรรมที่เป็นภายในตนเกิดขึ้นเพราะ
นฌานปัจจัย ได้แก่ ... ที่สหรคตด้วยปัญจวิญญาณ ฯลฯ ที่มีอาหารเป็นสมุฏฐาน
... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ... สําหรับเหล่าอสัญญสัตตพรหม ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่เป็นภายนอกตน อาศัยสภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนเกิดขึ้นเพราะ
นฌานปัจจัย ได้แก่ ... ที่สหรคตด้วยปัญจวิญญาณ ฯลฯ ที่เป็นภายนอก ...
ที่มีอาหารเป็นสมุฏฐาน ... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ... สําหรับเหล่าอสัญญสัตตพรหม
ฯลฯ (๑)

นมัคคปัจจัยเป็นต้น
[๑๔] สภาวธรรมที่เป็นภายในตนอาศัยสภาวธรรมที่เป็นภายในตนเกิดขึ้นเพราะ
นมัคคปัจจัย (ปัจจัยนี้เหมือนกับนเหตุปัจจัย ไม่มีโมหะ) เพราะนสัมปยุตตปัจจัย
เพราะนวิปปยุตตปัจจัย ได้แก่ ในอรูปาวจรภูมิ ฯลฯ ที่มีอาหารเป็นสมุฏฐาน ...
ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ... สําหรับเหล่าอสัญญสัตตพรหม ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนอาศัยสภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนเกิดขึ้นเพราะ
นวิปปยุตตปัจจัย ได้แก่ ในอรูปาวจรภูมิ ฯลฯ ที่เป็นภายนอก ... ที่มีอาหาร
เป็นสมุฏฐาน ... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ... สําหรับเหล่าอสัญญสัตตพรหม ฯลฯ
เพราะโนนัตถิปัจจัย เพราะโนวิคตปัจจัย

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๙๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๐. อัชฌัตตติกะ ๑. ปฏิจจวาร
๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒. สังขยาวาร

[๑๕] นเหตุปัจจัย มี ๒ วาระ
นอารัมมณปัจจัย มี ๒ วาระ
นอธิปติปัจจัย มี ๒ วาระ
นอนันตรปัจจัย มี ๒ วาระ
นสมนันตรปัจจัย มี ๒ วาระ

(ย่อ ทุกปัจจัยมีปัจจัยละ ๒ วาระ)

โนวิคตปัจจัย มี ๒ วาระ (พึงนับอย่างนี้)

ปัจจนียะ จบ

๓. ปัจจยานุโลมปัจจนียะ

[๑๖] นอารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๒ วาระ ฯลฯ
นวิปากปัจจัย ” มี ๒ วาระ
นสัมปยุตตปัจจัย ” มี ๒ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย ” มี ๒ วาระ
โนนัตถิปัจจัย ” มี ๒ วาระ
โนวิคตปัจจัย ” มี ๒ วาระ (พึงนับอย่างนี้)

อนุโลมปัจจนียะ จบ

๔. ปัจจยปัจจนียานุโลม

[๑๗] อารัมมณปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๒ วาระ
อนันตรปัจจัย ” มี ๒ วาระ ฯลฯ
มัคคปัจจัย ” มี ๒ วาระ ฯลฯ
อวิคตปัจจัย ” มี ๒ วาระ (พึงนับอย่างนี้)

ปัจจนียานุโลม จบ ปฏิจจวาร จบ
(สหชาตวารเหมือนกับปฏิจจวาร)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๙๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๐. อัชฌัตตติกะ ๓. ปัจจยวาร
๒๐. อัชฌัตตติกะ ๓. ปัจจยวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๑๘] สภาวธรรมที่เป็นภายในตนทำสภาวธรรมที่เป็นภายในตนให้เป็นปัจจัย
เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปทำขันธ์ ๑ ที่เป็นภาย
ในตนให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ทำขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ (พึงทำให้บริบูรณ์)
... ทำมหาภูตรูป ๑ ฯลฯ ขันธ์ที่เป็นภายในตนทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัย เกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนทำสภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนให้เป็นปัจจัยเกิด
ขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ ทำขันธ์ ๑ ที่เป็นภายนอกตนให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น
ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ ขันธ์ที่เป็นภายนอกตนทำ
หทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๑)

อารัมมณปัจจัย
[๑๙] สภาวธรรมที่เป็นภายในตนทำสภาวธรรมที่เป็นภายในตนให้เป็นปัจจัย
เกิดขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย (เหมือนกับปฏิจจวาร) จักขุวิญญาณทำจักขายตนะ
ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ กายวิญญาณทำกายายตนะให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ
ขันธ์ที่เป็นภายในตนทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนทำสภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนให้เป็นปัจจัย
เกิดขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย (เหมือนกับปฏิจจวาร) ... ทำจักขายตนะ ฯลฯ ทำ
กายายตนะ ฯลฯ ขันธ์ที่เป็นภายนอกตนทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๑)

อธิปติปัจจัยเป็นต้น
[๒๐] สภาวธรรมที่เป็นภายในตนทำสภาวธรรมที่เป็นภายในตนให้เป็นปัจจัย
เกิดขึ้นเพราะอธิปติปัจจัย (พึงเพิ่มหทัยวัตถุเข้ามาเหมือนกับปฏิจจวาร) เพราะ
อนันตรปัจจัย เพราะสมนันตรปัจจัย เพราะสหชาตปัจจัย (สหชาตวารพึงทำให้
บริบูรณ์) ... ทำมหาภูตรูป ฯลฯ (ภายหลังมหาภูตรูปและขันธ์พึงเพิ่มอายตนะ ๕
และหทัยวัตถุ) เพราะอัญญมัญญปัจจัย เพราะนิสสยปัจจัย ฯลฯ เพราะอวิคตปัจจัย

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๙๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๐. อัชฌัตตติกะ ๓. ปัจจยวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร

[๒๑] เหตุปัจจัย มี ๒ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๒ วาระ ฯลฯ
อวิคตปัจจัย มี ๒ วาระ

อนุโลม จบ

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๑. วิภังควาร
นเหตุปัจจัย
[๒๒] สภาวธรรมที่เป็นภายในตนทำสภาวธรรมที่เป็นภายในตนให้เป็นปัจจัยเกิด
ขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ ทำขันธ์ ๑ ที่เป็นอเหตุกะซึ่งเป็นภายในตน
ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะที่เป็นอเหตุกะ ฯลฯ หทัยวัตถุทำขันธ์
ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ขันธ์ทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ ที่มี
อาหารเป็นสมุฏฐาน ... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ... สําหรับเหล่าอสัญญสัตตพรหม ฯลฯ
ทำจักขายตนะ ฯลฯ ทำกายายตนะ ฯลฯ ขันธ์ที่เป็นอเหตุกะซึ่งเป็นภายในตน
ทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วย
อุทธัจจะทำขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และทำหทัยวัตถุให้
เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนทำสภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนให้เป็นปัจจัยเกิด
ขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย (พึงเพิ่มปวัตติกาลปฏิสนธิกาลและมหาภูตรูป) ทำจักขายตนะ
ฯลฯ ทำกายายตนะ ฯลฯ ขันธ์ที่เป็นอเหตุกะซึ่งเป็นภายนอกตน ทำหทัยวัตถุ
ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ทำขันธ์
ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาที่สหรคตด้วยอุทธัจจะและทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๑)

นอารัมมณปัจจัยเป็นต้น
[๒๓] ... เพราะนอารัมมณปัจจัย เพราะนอธิปติปัจจัย (ปัจจัยนี้เหมือนกับ
สหชาตปัจจัย) เพราะนอนันตรปัจจัย เพราะนสมนันตรปัจจัย เพราะนอัญญมัญญ-
ปัจจัย เพราะนอุปนิสสยปัจจัย เพราะนปุเรชาตปัจจัย (เหมือนกับปฏิจจวาร)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๙๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๐. อัชฌัตตติกะ ๓. ปัจจยวาร
เพราะนปัจฉาชาตปัจจัย เพราะนอาเสวนปัจจัย เพราะนกัมมปัจจัย ฯลฯ เพราะ
นวิปปยุตตปัจจัย (ปัจจัยนี้เหมือนกับวิปปยุตตปัจจัยในปัจจนียะแห่งปฏิจจวาร)
เพราะโนนัตถิปัจจัย เพราะโนวิคตปัจจัย

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒. สังขยาวาร

[๒๔] นเหตุปัจจัย มี ๒ วาระ
นอารัมมณปัจจัย มี ๒ วาระ ฯลฯ
โนวิคตปัจจัย มี ๒ วาระ

ปัจจนียะ จบ

๓. ปัจจยานุโลมปัจจนียะ

[๒๕] นอารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๒ วาระ
นอธิปติปัจจัย ” มี ๒ วาระ ฯลฯ
นวิปากปัจจัย ” มี ๒ วาระ
นสัมปยุตตปัจจัย ” มี ๒ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย ” มี ๒ วาระ
โนนัตถิปัจจัย ” มี ๒ วาระ
โนวิคตปัจจัย ” มี ๒ วาระ

อนุโลมปัจจนียะ จบ

๔. ปัจจยปัจจนียานุโลม

[๒๖] อารัมมณปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๒ วาระ ฯลฯ
อวิคตปัจจัย ” มี ๒ วาระ

ปัจจนียานุโลม จบ
(นิสสยวารเหมือนกับปัจจยวาร พึงขยายสังสัฏฐวารและสัมปยุตตวารให้พิสดาร)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๙๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๐. อัชฌัตตติกะ ๗. ปัญหาวาร
๒๐. อัชฌัตตติกะ ๗. ปัญหาวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๒๗] สภาวธรรมที่เป็นภายในตนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นภายในตน
โดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่เป็นภายในตนเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตต-
สมุฏฐานรูปโดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนโดย
เหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่เป็นภายนอกตนเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตต-
สมุฏฐานรูปโดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)

อารัมมณปัจจัย
[๒๘] สภาวธรรมที่เป็นภายในตนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นภายในตนโดย
อารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถแล้วพิจารณากุศลนั้น
พิจารณากุศลที่เคยสั่งสมไว้ดีแล้ว ฯลฯ ออกจากฌาน ฯลฯ พระอริยะออกจาก
มรรคแล้วพิจารณามรรค พิจารณาผล พิจารณากิเลสที่ละได้แล้ว พิจารณากิเลส
ที่ข่มได้แล้ว รู้กิเลสที่เคยเกิดขึ้น เห็นแจ้งจักษุที่เป็นภายในตน ฯลฯ กาย ฯลฯ รูป
ฯลฯ โผฏฐัพพะ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ ขันธ์ที่เป็นภายในตนโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ยินดีเพลิดเพลิน เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินจักษุ
เป็นต้นนั้น ราคะจึงเกิดขึ้น ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ
ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ อากาสานัญจายตนะเป็นปัจจัยแก่วิญญาณัญจายตนะ
โดยอารัมมณปัจจัย อากิญจัญญายตนะเป็นปัจจัยแก่เนวสัญญานาสัญญายตนะโดย
อารัมมณปัจจัย รูปายตนะ ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะเป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณโดย
อารัมมณปัจจัย ขันธ์ที่เป็นภายในตนเป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ ปุพเพนิวาสานุสสติ-
ญาณ ยถากัมมูปคญาณ อนาคตังสญาณ และอาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เป็นภายในตนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนโดย
อารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลอื่นเห็นแจ้งจักษุที่เป็นภายในตน ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๐๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๐. อัชฌัตตติกะ ๗. ปัญหาวาร
ขันธ์ที่เป็นภายในตนโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ยินดีเพลิดเพลิน
เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้น ราคะจึงเกิดขึ้น ฯลฯ โทมนัส
จึงเกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รู้จิตของบุคคล
ผู้มีความพรั่งพร้อมด้วยจิตที่เป็นภายในตนด้วยเจโตปริยญาณ รูปายตนะที่เป็น
ภายในตนเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณที่เป็นภายนอกตน ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะที่
เป็นภายในตนเป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณที่เป็นภายนอกตนโดยอารัมมณปัจจัย ขันธ์
ที่เป็นภายในตนเป็นปัจจัยแก่ อิทธิวิธญาณ เจโตปริยญาณ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
ยถากัมมูปคญาณ อนาคตังสญาณ และอาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย (๒)
[๒๙] สภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นภายนอกตน
โดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลอื่นให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถแล้วพิจารณา
กุศลนั้น พิจารณากุศลที่เคยสั่งสมไว้ดีแล้ว ออกจากฌาน ฯลฯ พระอริยะออกจาก
มรรคแล้วพิจารณามรรค พิจารณาผล พิจารณานิพพาน นิพพานเป็นปัจจัยแก่
โคตรภู โวทาน มรรค ผล และอาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย พระอริยะพิจารณา
กิเลสที่ละได้แล้ว พิจารณากิเลสที่ข่มได้แล้ว รู้กิเลสที่เคยเกิดขึ้น ฯลฯ บุคคลอื่น
เห็นแจ้งจักษุที่เป็นภายนอกตน ฯลฯ หทัยวัตถุ ขันธ์ที่เป็นภายนอกตนโดยเป็น
สภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วย
ทิพพโสตธาตุ รู้จิตของบุคคลผู้มีความพรั่งพร้อมด้วยจิตที่เป็นภายนอกตนด้วย
เจโตปริยญาณ ฯลฯ อากาสานัญจายตนะเป็นปัจจัยแก่วิญญาณัญจายตนะโดย
อารัมมณปัจจัย อากิญจัญญายตนะเป็นปัจจัยแก่เนวสัญญานาสัญญายตนะโดย
อารัมมณปัจจัย รูปายตนะที่เป็นภายนอกตนเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณที่เป็นภาย
นอกตน ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะที่เป็นภายนอกตนเป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณที่เป็น
ภายนอกตน ฯลฯ ขันธ์ที่เป็นภายนอกตนเป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ เจโตปริยญาณ
ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ยถากัมมูปคญาณ อนาคตังสญาณ และอาวัชชนจิตโดย
อารัมมณปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นภายในตนโดย
อารัมมณปัจจัย ได้แก่ พระอริยะพิจารณานิพพาน นิพพานเป็นปัจจัยแก่โคตรภู
โวทาน มรรค ผล และอาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย บุคคลเห็นแจ้งจักษุที่เป็น

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๐๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๐. อัชฌัตตติกะ ๗. ปัญหาวาร
ภายนอกตน ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ ขันธ์ที่เป็นภายนอกตนโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง
ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รู้จิต
ของบุคคลผู้มีความพรั่งพร้อมด้วยจิตที่เป็นภายนอกตนด้วยเจโตปริยญาณ รูปายตนะ
ที่เป็นภายนอกตนเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณที่เป็นภายในตน ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะ
ที่เป็นภายนอกตนเป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณที่เป็นภายในตน ฯลฯ ขันธ์ที่เป็นภาย
นอกตนเป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ เจโตปริยญาณ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
ยถากัมมูปคญาณ อนาคตังสญาณ และอาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย (๒)

อธิปติปัจจัย
[๓๐] สภาวธรรมที่เป็นภายในตนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นภายในตนโดย
อธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติและสหชาตาธิปติ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถแล้ว
พิจารณากุศลนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น พิจารณากุศลที่เคยสั่งสมไว้ดีแล้ว
ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ ออกจากฌานแล้ว พิจารณาฌานให้เป็น
อารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ พระอริยะออกจากมรรคแล้วพิจารณามรรคให้เป็น
อารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ พิจารณาผลให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น บุคคล
ยินดีเพลิดเพลินจักษุที่เป็นภายในตน ฯลฯ หทัยวัตถุ ... ขันธ์ที่เป็นภายในตนให้
เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทําความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้นให้เป็น
อารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่เป็นภายในตนเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์
และจิตตสมุฏฐานรูปโดยอธิปติปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เป็นภายในตนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนโดยอธิปติ-
ปัจจัยมีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลอื่นยินดีเพลิดเพลินจักษุที่
เป็นภายในตน ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ ขันธ์ที่เป็นภายในตนให้เป็นอารมณ์อย่างหนัก
แน่น เพราะทําความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น
ราคะจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๐๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๐. อัชฌัตตติกะ ๗. ปัญหาวาร
[๓๑] สภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นภายนอกตน
โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ และสหชาตาธิปติ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลอื่นให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถแล้ว
พิจารณากุศลนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น พิจารณากุศลที่เคยสั่งสมไว้ดีแล้วให้
เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ ออกจากฌาน ฯลฯ พระอริยะออกจากมรรคแล้ว
พิจารณามรรคให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ พิจารณาผลให้เป็นอารมณ์อย่าง
หนักแน่น ฯลฯ พิจารณานิพพานให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น นิพพานเป็น
ปัจจัยแก่โคตรภู โวทาน มรรค และผลโดยอธิปติปัจจัย บุคคลยินดีเพลิดเพลิน
จักษุที่เป็นภายนอกตน ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ ขันธ์ที่เป็นภายนอกตนให้เป็นอารมณ์
อย่างหนักแน่น เพราะทําความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์อย่าง
หนักแน่น ราคะจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่เป็นภายนอกตนเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต-
ขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดยอธิปติปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นภายในตนโดยอธิปติ-
ปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ พระอริยะพิจารณานิพพานให้
เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น นิพพานเป็นปัจจัยแก่โคตรภู โวทาน มรรค และผลโดย
อธิปติปัจจัย บุคคลยินดีเพลิดเพลินจักษุที่เป็นภายนอกตน ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ
ขันธ์ที่เป็นภายนอกตนให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทําความยินดีเพลิดเพลิน
จักษุเป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น (๒)

อนันตรปัจจัย
[๓๒] สภาวธรรมที่เป็นภายในตนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นภายในตนโดย
อนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่เป็นภายในตนซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็น
ภายในตนซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย อนุโลมเป็นปัจจัยแก่โคตรภู อนุโลมเป็น
ปัจจัยแก่โวทาน โคตรภูเป็นปัจจัยแก่มรรค โวทานเป็นปัจจัยแก่มรรค มรรคเป็น
ปัจจัยแก่ผล ผลเป็นปัจจัยแก่ผล อนุโลมเป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติ เนวสัญญานา-
สัญญายตนะของท่านผู้ออกจากนิโรธเป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติโดยอนันตรปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๐๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๐. อัชฌัตตติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนโดย
อนันตรปัจจัย (ข้อว่า ขันธ์ที่เป็นภายนอกตนซึ่งเกิดก่อน ๆ ดังนี้ เป็นข้อแตกต่างกัน
ข้อนั้นแหละพึงดําเนินความตามข้อความข้างต้น) (๑)

สมนันตรปัจจัยเป็นต้น
[๓๓] สภาวธรรมที่เป็นภายในตนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นภายในตน
โดยสมนันตรปัจจัย ฯลฯ (ปัจจัยนี้เหมือนกับอนันตรปัจจัย) เป็นปัจจัยโดยสหชาต-
ปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอัญญมัญญปัจจัย เป็นปัจจัยโดยนิสสยปัจจัย

อุปนิสสยปัจจัย
[๓๔] สภาวธรรมที่เป็นภายในตนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นภายในตนโดย
อุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และ
ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยศรัทธาที่เป็นภายในตนแล้วให้ทาน สมาทาน
ศีล รักษาอุโบสถ ฯลฯ ทําฌาน ฯลฯ วิปัสสนา ฯลฯ มรรค ฯลฯ อภิญญา ฯลฯ
สมาบัติให้เกิดขึ้น มีมานะ ถือทิฏฐิ บุคคลอาศัยศีลที่เป็นภายในตน ฯลฯ ปัญญา
ฯลฯ ราคะ ฯลฯ ความปรารถนา ฯลฯ สุขทางกาย ฯลฯ ทุกข์ทางกาย ฯลฯ
อุตุ ฯลฯ โภชนะ ฯลฯ เสนาสนะแล้วให้ทาน ฯลฯ ทําสมาบัติ ให้เกิดขึ้น ฆ่าสัตว์
ฯลฯ ทําลายสงฆ์ ศรัทธาที่เป็นภายในตน ฯลฯ ปัญญา ฯลฯ ราคะ ฯลฯ
ความปรารถนา ฯลฯ สุขทางกาย ฯลฯ ทุกข์ทางกาย ฯลฯ เสนาสนะเป็น
ปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นภายในตน ฯลฯ ปัญญา ฯลฯ ราคะ ฯลฯ ความปรารถนา
ฯลฯ สุขทางกาย ทุกข์ทางกาย มรรค และผลสมาบัติโดยอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เป็นภายในตนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนโดย
อุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะและปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอื่นอาศัยศรัทธาที่เป็นภายในตนแล้วให้ทาน ฯลฯ
มีมานะ ถือทิฏฐิ บุคคลอื่นอาศัยศีลที่เป็นภายในตน ฯลฯ เสนาสนะแล้วให้ทาน
ฆ่าสัตว์ ฯลฯ ทําลายสงฆ์ ศรัทธาที่เป็นภายในตน ฯลฯ เสนาสนะเป็นปัจจัยแก่
ศรัทธาที่เป็นภายนอกตน ฯลฯ มรรคและผลสมาบัติโดยอุปนิสสยปัจจัย (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๐๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๐. อัชฌัตตติกะ ๗. ปัญหาวาร
[๓๕] สภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นภายนอกตน
โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และ
ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอื่นอาศัยศรัทธาที่เป็นภายนอกตน ฯลฯ ความ
ปรารถนา ฯลฯ สุขทางกาย ฯลฯ เสนาสนะแล้วให้ทาน ฯลฯ ทําลายสงฆ์ ศรัทธา
ที่เป็นภายนอกตน ฯลฯ เสนาสนะเป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นภายนอกตน ฯลฯ
ผลสมาบัติโดยอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นภายในตนโดย
อุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยศรัทธาที่เป็นภายนอกตน ฯลฯ เสนาสนะ
แล้วให้ทาน ฯลฯ ทําลายสงฆ์ ศรัทธาที่เป็นภายนอกตน ฯลฯ เสนาสนะเป็น
ปัจจัยแก่ศรัทธาที่เป็นภายในตน ฯลฯ ผลสมาบัติโดยอุปนิสสยปัจจัย (๒)

ปุเรชาตปัจจัย
[๓๖] สภาวธรรมที่เป็นภายในตนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นภายในตนโดย
ปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาตะและวัตถุปุเรชาตะ
อารัมมณปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลเห็นแจ้งจักษุที่เป็นภายในตน ฯลฯ หทัยวัตถุ
โดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น บุคคลเห็น
รูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รูปายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ
ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะเป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณโดยปุเรชาตปัจจัย
วัตถุปุเรชาตะ ได้แก่ จักขายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ กายายตนะ
เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ ฯลฯ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นภายในตนโดย
ปุเรชาตปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เป็นภายในตนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนโดย
ปุเรชาตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลอื่นเห็นแจ้ง
จักษุที่เป็นภายในตน ฯลฯ หทัยวัตถุโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๐๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๐. อัชฌัตตติกะ ๗. ปัญหาวาร
บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รูปายตนะที่เป็นภายในตน
เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณที่เป็นภายนอกตน ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะที่เป็นภายในตน
เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณที่เป็นภายนอกตนโดยปุเรชาตปัจจัย (๒)
[๓๗] สภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นภายนอกตน
โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาตะและวัตถุปุเรชาตะ
อารัมมณปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลอื่นเห็นแจ้งจักษุที่เป็นภายนอกตน ฯลฯ
หทัยวัตถุโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ เห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพ-
โสตธาตุ รูปายตนะที่เป็นภายนอกตนเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณที่เป็นภายนอกตน
ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะที่เป็นภายนอกตนเป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณที่เป็นภายนอก
ตน ฯลฯ
วัตถุปุเรชาตะ ได้แก่ จักขายตนะที่เป็นภายนอกตน ฯลฯ กายายตนะ ฯลฯ
หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นภายนอกตนโดยปุเรชาตปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นภายในตนโดย
ปุเรชาตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลเห็นแจ้งจักษุที่
เป็นภายนอกตน ฯลฯ หทัยวัตถุโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น
บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รูปายตนะที่เป็นภายนอก
ตนเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณที่เป็นภายในตน ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะที่เป็นภาย
นอกตนเป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณที่เป็นภายในตนโดยปุเรชาตปัจจัย (๒)
[๓๘] สภาวธรรมที่เป็นภายในตนและที่เป็นภายนอกตนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่เป็นภายในตนโดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาตะและวัตถุ-
ปุเรชาตะ ได้แก่ รูปายตนะที่เป็นภายนอกตนและจักขายตนะที่เป็นภายในตนเป็น
ปัจจัยแก่จักขุวิญญาณที่เป็นภายในตนโดยปุเรชาตปัจจัย ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะที่
เป็นภายนอกตนและกายายตนะที่เป็นภายในตนเป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณที่เป็น
ภายในตน ฯลฯ รูปายตนะที่เป็นภายนอกตนและหทัยวัตถุที่เป็นภายในตน ฯลฯ
โผฏฐัพพายตนะที่เป็นภายนอกตนและหทัยวัตถุที่เป็นภายในตนเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่
เป็นภายในตนโดยปุเรชาตปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๐๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๐. อัชฌัตตติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่เป็นภายในตนและที่เป็นภายนอกตนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็น
ภายนอกตนโดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาตะและวัตถุปุเรชาตะ
ได้แก่ รูปายตนะที่เป็นภายในตนและจักขายตนะที่เป็นภายนอกตนเป็นปัจจัยแก่
จักขุวิญญาณที่เป็นภายนอกตนโดยปุเรชาตปัจจัย ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะที่เป็น
ภายในตนและกายายตนะที่เป็นภายนอกตนเป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณที่เป็นภายนอก
ตนโดยปุเรชาตปัจจัย รูปายตนะที่เป็นภายในตนและหทัยวัตถุที่เป็นภายนอกตน
ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะที่เป็นภายในตนและหทัยวัตถุที่เป็นภายนอกตนเป็นปัจจัยแก่
ขันธ์ที่เป็นภายนอกตนโดยปุเรชาตปัจจัย (๒)

ปัจฉาชาตปัจจัย
[๓๙] สภาวธรรมที่เป็นภายในตนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นภายในตนโดย
ปัจฉาชาตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่เป็นภายในตนซึ่งเกิดภายหลังเป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่
เกิดก่อนโดยปัจฉาชาตปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนโดย
ปัจฉาชาตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่เป็นภายนอกตนซึ่งเกิดภายหลังเป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่
เกิดก่อนโดยปัจฉาชาตปัจจัย (๑)

อาเสวนปัจจัย
[๔๐] สภาวธรรมที่เป็นภายในตนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นภายในตนโดย
อาเสวนปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่เป็นภายในตนซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็น
ภายในตนซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอาเสวนปัจจัย อนุโลมเป็นปัจจัยแก่โคตรภู อนุโลม
เป็นปัจจัยแก่โวทาน โคตรภูเป็นปัจจัยแก่มรรค โวทานเป็นปัจจัยแก่มรรคโดย
อาเสวนปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนโดย
อาเสวนปัจจัยได้แก่ ขันธ์ที่เกิดก่อน ๆ ฯลฯ (เหมือนกับสภาวธรรมที่เป็นภายใน
ตนนั่นเอง)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๐๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๐. อัชฌัตตติกะ ๗. ปัญหาวาร
กัมมปัจจัย
[๔๑] สภาวธรรมที่เป็นภายในตนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นภายในตนโดย
กัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและนานาขณิกะ
สหชาตะ ได้แก่ เจตนาที่เป็นภายในตนเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตต-
สมุฏฐานรูปโดยกัมมปัจจัย
นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่เป็นภายในตนเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นวิบากซึ่ง
เป็นภายในตนและกฏัตตารูปโดยกัมมปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนโดย
กัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและนานาขณิกะ
สหชาตะ ได้แก่ เจตนาที่เป็นภายนอกตนเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และ
จิตตสมุฏฐานรูปโดยกัมมปัจจัย
นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่เป็นภายนอกตนเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นวิบาก
ซึ่งเป็นภายนอกตนและกฏัตตารูปโดยกัมมปัจจัย (๑)

วิปากปัจจัย
[๔๒] สภาวธรรมที่เป็นภายในตนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นภายในตนโดย
วิปากปัจจัย ฯลฯ (พึงทำให้บริบูรณ์เหมือนกับปฏิจจวาร)

อาหารปัจจัย
[๔๓] สภาวธรรมที่เป็นภายในตนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นภายในตน
โดยอาหารปัจจัย ได้แก่ อาหารที่เป็นภายในตนเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และ
จิตตสมุฏฐานรูปโดยอาหารปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ กวฬิงการาหารที่เป็น
ภายในตนเป็นปัจจัยแก่กายที่เป็นภายในตนโดยอาหารปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เป็นภายในตนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนโดย
อาหารปัจจัย ได้แก่ กวฬิงการาหารที่เป็นภายในตนเป็นปัจจัยแก่กายที่เป็นภาย
นอกตนโดยอาหารปัจจัย (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๐๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๐. อัชฌัตตติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนโดย
อาหารปัจจัย (พึงเพิ่มปวัตติกาลและปฏิสนธิกาล) ได้แก่ กวฬิงการาหารที่เป็น
ภายนอกตนเป็นปัจจัยแก่กายที่เป็นภายนอกตนโดยอาหารปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นภายในตนโดย
อาหารปัจจัย ได้แก่ กวฬิงการาหารที่เป็นภายนอกตนเป็นปัจจัยแก่กายที่เป็น
ภายในตนโดยอาหารปัจจัย (๒)
[๔๔] สภาวธรรมที่เป็นภายในตนและสภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนเป็นปัจจัย
แก่สภาวธรรมที่เป็นภายในตนโดยอาหารปัจจัย ได้แก่ กวฬิงการาหารที่เป็น
ภายในตนและกวฬิงการกาหารที่เป็นภายนอกตนเป็นปัจจัยแก่กายที่เป็นภายในตน
โดยอาหารปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เป็นภายในตนและสภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนโดยอาหารปัจจัย ได้แก่ กวฬิงการาหารที่เป็นภายใน
ตนและกวฬิงการาหารที่เป็นภายนอกตนเป็นปัจจัยแก่กายที่เป็นภายนอกตนโดย
อาหารปัจจัย (๒)

อินทรียปัจจัยเป็นต้น
[๔๕] สภาวธรรมที่เป็นภายในตนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นภายในตน
โดยอินทรียปัจจัย ได้แก่ อินทรีย์ที่เป็นภายในตน (พึงขยายรูปชีวิตินทรีย์ให้พิสดาร)
เป็นปัจจัยโดยฌานปัจจัย เป็นปัจจัยโดยมัคคปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสัมปยุตตปัจจัย
เป็นปัจจัยโดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ สหชาตะ ปุเรชาตะ และปัจฉาชาตะ
(ผู้รู้พึงขยายบทมาติกาให้พิสดาร)
สภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนโดย
วิปปยุตตปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ สหชาตะ ปุเรชาตะ และปัจฉาชาตะ (ย่อ)

อัตถิปัจจัย
[๔๖] สภาวธรรมที่เป็นภายในตนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นภายในตนโดย
อัตถิปัจจัยมี ๕ อย่าง คือ สหชาตะ ปุเรชาตะ ปัจฉาชาตะ อาหาระ และอินทรียะ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๐๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๐. อัชฌัตตติกะ ๗. ปัญหาวาร
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เป็นภายในตนเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตต-
สมุฏฐานรูป ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ ขันธ์เป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุ
ฯลฯ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ฯลฯ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ สําหรับเหล่า
อสัญญสัตตพรหม มหาภูตรูป ๑ เป็นปัจจัยแก่มหาภูตรูป ๓ ฯลฯ
ปุเรชาตะ ได้แก่ ... เห็นแจ้งจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ (ปัจจัยนี้เหมือน
กับปุเรชาตปัจจัย) หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นภายในตนโดยอัตถิปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่เป็นภายในตนเป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อนโดย
อัตถิปัจจัย กวฬิงการาหารที่เป็นภายในตนเป็นปัจจัยแก่กายที่เป็นภายในตน ฯลฯ
รูปชีวิตินทรีย์เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูป ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่เป็นภายในตนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนโดย
อัตถิปัจจัยมี ๒ อย่าง คือ ปุเรชาตะ และอาหาระ
ปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลอื่นเห็นแจ้งจักษุที่เป็นภายในตน ฯลฯ หทัยวัตถุโดย
เป็นสภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ
รูปายตนะที่เป็นภายในตน ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะเป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณที่เป็น
ภายนอกตนโดยอัตถิปัจจัย กวฬิงการาหารที่เป็นภายในตนเป็นปัจจัยแก่กายที่เป็น
ภายนอกตนโดยอัตถิปัจจัย (๒)
[๔๗] สภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นภายนอก
ตนโดยอัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาตะ ปุเรชาตะ ปัจฉาชาตะ อาหาระ และ
อินทรียะ (สภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนไม่มีข้อแตกต่างกัน พึงขยายบทมาติกาให้
พิสดาร) (๑)
สภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นภายในตนโดยอัตถิ-
ปัจจัยมี ๒ อย่าง คือ ปุเรชาตะและอาหาระ
ปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลเห็นแจ้งจักษุที่เป็นภายนอกตน ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ
เห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รูปายตนะที่เป็นภายนอกตน
ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะเป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณที่เป็นภายในตนโดยอัตถิปัจจัย
กวฬิงการาหารที่เป็นภายนอกตนเป็นปัจจัยแก่กายที่เป็นภายในตนโดยอัตถิปัจจัย (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๑๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๐. อัชฌัตตติกะ ๗. ปัญหาวาร
[๔๘] สภาวธรรมที่เป็นภายในตนและสภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่เป็นภายในตนโดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ ปุเรชาตะและอาหาระ
ปุเรชาตะ ได้แก่ รูปายตนะที่เป็นภายนอกตนและจักษุที่เป็นภายในตนเป็น
ปัจจัยแก่จักขุวิญญาณที่เป็นภายในตน ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะที่เป็นภายนอกตนและ
กายายตนะที่เป็นภายในตนเป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณที่เป็นภายในตนโดยอัตถิปัจจัย
รูปายตนะที่เป็นภายนอกตนและหทัยวัตถุที่เป็นภายในตน ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะที่
เป็นภายนอกตนและหทัยวัตถุที่เป็นภายในตน เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นภายในตน
โดยอัตถิปัจจัย
อาหาระ ได้แก่ กวฬิงการาหารที่เป็นภายในตนและกวฬิงการาหารที่เป็น
ภายนอกตนเป็นปัจจัยแก่กายที่เป็นภายในตนโดยอัตถิปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เป็นภายในตนและสภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนเป็นปัจจัยแก่สภาว-
ธรรมที่เป็นภายนอกตนโดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ ปุเรชาตะและอาหาระ
ปุเรชาตะ ได้แก่ รูปายตนะที่เป็นภายในตนและจักขายตนะที่เป็นภายนอกตน
เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณที่เป็นภายนอกตนโดยอัตถิปัจจัย ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะ
ที่เป็นภายในตนและกายายตนะที่เป็นภายนอกตนเป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณที่เป็น
ภายนอกตนโดยอัตถิปัจจัย รูปายตนะที่เป็นภายในตนและหทัยวัตถุที่เป็นภายนอก
ตนเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นภายนอกตนโดยอัตถิปัจจัย ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะที่เป็น
ภายในตนและหทัยวัตถุที่เป็นภายนอกตน เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นภายนอกตนโดย
อัตถิปัจจัย
อาหาระ ได้แก่ กวฬิงการาหารที่เป็นภายในตนและกวฬิงการาหารที่เป็น
ภายนอกตนเป็นปัจจัยแก่กายที่เป็นภายนอกตนโดยอัตถิปัจจัย (๒)

นัตถิปัจจัย วิคตปัจจัย และอวิคตปัจจัย
[๔๙] สภาวธรรมที่เป็นภายในตนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นภายในตนโดย
นัตถิปัจจัย เป็นปัจจัยโดยวิคตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอวิคตปัจจัย

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๑๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๐. อัชฌัตตติกะ ๗. ปัญหาวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๕๐] เหตุปัจจัย มี ๒ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๔ วาระ
อธิปติปัจจัย มี ๔ วาระ
อนันตรปัจจัย มี ๒ วาระ
สมนันตรปัจจัย มี ๒ วาระ
สหชาตปัจจัย มี ๒ วาระ
อัญญมัญญปัจจัย มี ๒ วาระ
นิสสยปัจจัย มี ๒ วาระ
อุปนิสสยปัจจัย มี ๔ วาระ
ปุเรชาตปัจจัย มี ๖ วาระ
ปัจฉาชาตปัจจัย มี ๒ วาระ
อาเสวนปัจจัย มี ๒ วาระ
กัมมปัจจัย มี ๒ วาระ
วิปากปัจจัย มี ๒ วาระ
อาหารปัจจัย มี ๖ วาระ
อินทรียปัจจัย มี ๒ วาระ
ฌานปัจจัย มี ๒ วาระ
มัคคปัจจัย มี ๒ วาระ
สัมปยุตตปัจจัย มี ๒ วาระ
วิปปยุตตปัจจัย มี ๒ วาระ
อัตถิปัจจัย มี ๖ วาระ
นัตถิปัจจัย มี ๒ วาระ
วิคตปัจจัย มี ๒ วาระ
อวิคตปัจจัย มี ๖ วาระ (พึงนับอย่างนี้)

อนุโลม จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๑๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๐. อัชฌัตตติกะ ๗. ปัญหาวาร
๒. ปัจจนียุทธาร
[๕๑] สภาวธรรมที่เป็นภายในตนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นภายในตนโดย
อารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย ปุเรชาตปัจจัย ปัจฉาชาตปัจจัย
กัมมปัจจัย อาหารปัจจัย และอินทรียปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เป็นภายในตนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนโดย
อารัมมณปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย ปุเรชาตปัจจัย และอาหารปัจจัย (๒)
[๕๒] สภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นภายนอกตน
โดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย ปุเรชาตปัจจัย ปัจฉาชาตปัจจัย
กัมมปัจจัย อาหารปัจจัย และอินทรียปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นภายในตนโดย
อารัมมณปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย ปุเรชาตปัจจัย และอาหารปัจจัย (๒)
[๕๓] สภาวธรรมที่เป็นภายในตนและสภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนเป็นปัจจัย
แก่สภาวธรรมที่เป็นภายในตน มี ๒ อย่าง คือ ปุเรชาตะและอาหาระ (๑)
สภาวธรรมที่เป็นภายในตนและสภาวธรรมที่เป็นภายนอกตนเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่เป็นภายนอกตน มี ๒ อย่าง คือ ปุเรชาตะและอาหาระ (๒)

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒. สังขยาวาร

[๕๔] นเหตุปัจจัย มี ๖ วาระ
นอารัมมณปัจจัย มี ๖ วาระ
นอธิปติปัจจัย มี ๖ วาระ

(ย่อ ทุกปัจจัยพึงเพิ่มปัจจัยละ ๖ วาระ)

นวิปปยุตตปัจจัย มี ๖ วาระ
โนอัตถิปัจจัย มี ๔ วาระ
โนนัตถิปัจจัย มี ๖ วาระ
โนวิคตปัจจัย มี ๖ วาระ
โนอวิคตปัจจัย มี ๔ วาระ (พึงนับอย่างนี้)

ปัจจนียะ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๑๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๐. อัชฌัตตติกะ ๗. ปัญหาวาร
๓. ปัจจยานุโลมปัจจนียะ
เหตุทุกนัย

[๕๕] นอารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๒ วาระ
นอธิปติปัจจัย ” มี ๒ วาระ
นอนันตรปัจจัย ” มี ๒ วาระ
นสมนันตรปัจจัย ” มี ๒ วาระ
นอัญญมัญญปัจจัย ” มี ๒ วาระ
นอุปนิสสยปัจจัย ” มี ๒ วาระ

(ย่อ ทุกปัจจัยมีปัจจัยละ ๒ วาระ)

นสัมปยุตตปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๒ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย ” มี ๒ วาระ
โนนัตถิปัจจัย ” มี ๒ วาระ
โนวิคตปัจจัย ” มี ๒ วาระ

(พึงนับอย่างนี้)
อนุโลมปัจจนียะ จบ

๔. ปัจจยปัจจนียานุโลม

[๕๖] อารัมมณปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๔ วาระ
อธิปติปัจจัย ” มี ๔ วาระ (พึงนับบทอนุโลม)
อวิคตปัจจัย ” มี ๖ วาระ

(พึงนับอย่างนี้)
ปัจจนียานุโลม จบ ปัญหาวาร จบ
อัชฌัตตติกะ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๑๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๑. อัชฌัตตารัมมณติกะ ๑. ปฏิจจวาร
๒๑. อัชฌัตตารัมมณติกะ ๑. ปฏิจจวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๑] สภาวธรรมที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์อาศัยสภาวธรรมที่มีธรรมภาย
ในตนเป็นอารมณ์เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีธรรมภาย
ในตนเป็นอารมณ์เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัย
ขันธ์ ๑ ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์อาศัยสภาวธรรมที่มีธรรมภาย
นอกตนเป็นอารมณ์เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่มี
ธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ
ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัย
ขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)

อารัมมณปัจจัยเป็นต้น
[๒] สภาวธรรมที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์อาศัยสภาวธรรมที่มีธรรมภาย
ในตนเป็นอารมณ์เกิดขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย ฯลฯ เพราะอวิคตปัจจัย (ย่อ)

๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร

[๓] อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๒ วาระ

(ย่อ ทุกปัจจัยมีปัจจัยละ ๒ วาระ)

อวิคตปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๒ วาระ (พึงนับอย่างนี้)

อนุโลม จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๑๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๑. อัชฌัตตารัมมณติกะ ๑. ปฏิจจวาร
๒. ปัจจยปัจจนียะ ๑. วิภังควาร
นเหตุปัจจัย
[๔] สภาวธรรมที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์อาศัยสภาวธรรมที่มีธรรมภาย
ในตนเป็นอารมณ์เกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็น
อเหตุกะซึ่งมีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ใน
ปฏิสนธิขณะที่เป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์
เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วย
อุทธัจจะอาศัยขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์อาศัยสภาวธรรมที่มีธรรมภายนอก
ตนเป็นอารมณ์เกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็น
อเหตุกะซึ่งมีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ใน
ปฏิสนธิขณะที่เป็นอเหตุกะ ฯลฯ โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วย
อุทธัจจะอาศัยขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเกิดขึ้น (๑)

นอธิปติปัจจัยเป็นต้น
[๕] สภาวธรรมที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์อาศัยสภาวธรรมที่มีธรรม
ภายในตนเป็นอารมณ์เกิดขึ้นเพราะนอธิปติปัจจัย (ปัจจัยนี้เหมือนกับสหชาตปัจจัย
ในอนุโลม ไม่มีข้อแตกต่างกัน) เพราะนปุเรชาตปัจจัย ได้แก่ ในอรูปาวจรภูมิ ...
อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)
[๖] สภาวธรรมที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์อาศัยสภาวธรรมที่มีธรรมภาย
นอกตนเป็นอารมณ์เกิดขึ้นเพราะนปุเรชาตปัจจัย ได้แก่ ในอรูปาวจรภูมิ ขันธ์ ๓
อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เกิดขึ้น ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
เพราะนปัจฉาชาตปัจจัย เพราะนอาเสวนปัจจัย (ปัจจัยนี้เหมือนกับสหชาตปัจจัย)
เพราะนกัมมปัจจัย ได้แก่ เจตนาที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์อาศัยขันธ์ที่มี
ธรรมภายในตนเป็นอารมณ์เกิดขึ้น

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๑๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๑. อัชฌัตตารัมมณติกะ ๑. ปฏิจจวาร
สภาวธรรมที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์อาศัยสภาวธรรมที่มีธรรมภายนอก
ตนเป็นอารมณ์เกิดขึ้นเพราะนกัมมปัจจัย ได้แก่ เจตนาที่มีธรรมภายนอกตนเป็น
อารมณ์อาศัยขันธ์ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เกิดขึ้น

นวิปากปัจจัยเป็นต้น
[๗] สภาวธรรมที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์อาศัยสภาวธรรมที่มีธรรมภาย
ในตนเป็นอารมณ์เกิดขึ้นเพราะนวิปากปัจจัย (ไม่มีปฏิสนธิ) เพราะนฌานปัจจัย ฯลฯ
อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ซึ่งสหรคตด้วยปัญจวิญญาณ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์อาศัยสภาวธรรมที่มีธรรมภายนอก
ตนเป็นอารมณ์เกิดขึ้นเพราะนฌานปัจจัยได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีธรรมภาย
นอกตนเป็นอารมณ์ซึ่งสหรคตด้วยปัญจวิญญาณเกิดขึ้น ฯลฯ เพราะนมัคคปัจจัย
(ปัจจัยนี้เหมือนกับนเหตุปัจจัย ไม่มีโมหะ) เพราะนวิปปยุตตปัจจัย ได้แก่ ใน
อรูปาวจรภูมิ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์อาศัยสภาวธรรมที่มีธรรมภายนอก
ตนเป็นอารมณ์เกิดขึ้นเพราะนวิปปยุตตปัจจัย ได้แก่ ในอรูปาวจรภูมิ ขันธ์ ๓ อาศัย
ขันธ์ ๑ ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เกิดขึ้น ฯลฯ (๑)

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒. สังขยาวาร

[๘] นเหตุปัจจัย มี ๒ วาระ
นอธิปติปัจจัย มี ๒ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย มี ๒ วาระ
นปัจฉาชาตปัจจัย มี ๒ วาระ
นอาเสวนปัจจัย มี ๒ วาระ
นกัมมปัจจัย มี ๒ วาระ
นวิปากปัจจัย มี ๒ วาระ
นฌานปัจจัย มี ๒ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๑๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๑. อัชฌัตตารัมมณติกะ ๑. ปฏิจจวาร

นมัคคปัจจัย มี ๒ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ วาระ

(พึงนับอย่างนี้)
ปัจจนียะ จบ

๓. ปัจจยานุโลมปัจจนียะ

[๙] นอธิปติปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๒ วาระ ฯลฯ
นวิปากปัจจัย ” มี ๒ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย ” มี ๒ วาระ

(พึงนับอย่างนี้)
อนุโลมปัจจนียะ จบ

๔. ปัจจยปัจจนียานุโลม

[๑๐] อารัมมณปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๒ วาระ
อนันตรปัจจัย ” มี ๒ วาระ
สมนันตรปัจจัย ” มี ๒ วาระ ฯลฯ
มัคคปัจจัย ” มี ๒ วาระ ฯลฯ
อวิคตปัจจัย ” มี ๒ วาระ

(พึงนับอย่างนี้)
ปัจจนียานุโลม จบ
ปฏิจจวาร จบ
(สหชาตวาร ปัจจยวาร นิสสยวาร สังสัฏฐวาร และสัมปยุตตวารเหมือน
กับปฏิจจวาร)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๑๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๑. อัชฌัตตารัมมณติกะ ๗. ปัญหาวาร
๒๑. อัชฌัตตารัมมณติกะ ๗. ปัญหาวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๑๑] สภาวธรรมที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มี
ธรรมภายในตนเป็นอารมณ์โดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่มีธรรมภายในตนเป็น
อารมณ์เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์โดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เหตุที่มีธรรม
ภายในตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์โดยเหตุปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีธรรม
ภายนอกตนเป็นอารมณ์โดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่มีธรรมภายนอกตนเป็น
อารมณ์เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)

อารัมมณปัจจัย
[๑๒] สภาวธรรมที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มี
ธรรมภายในตนเป็นอารมณ์โดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลพิจารณาวิญญาณัญจา-
ยตนะที่เป็นภายในตน พิจารณาเนวสัญญานาสัญญายตนะ พิจารณาทิพพจักขุที่
เป็นภายในตนซึ่งมีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ พิจารณาทิพพโสตธาตุ ฯลฯ
อิทธิวิธญาณ ฯลฯ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ฯลฯ ยถากัมมูปคญาณ ฯลฯ
อนาคตังสญาณ พระอริยะพิจารณากิเลสที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ซึ่งละได้
แล้ว พิจารณากิเลสที่ข่มได้แล้ว รู้กิเลสที่เคยเกิดขึ้น บุคคลเห็นแจ้งขันธ์ที่เป็นภาย
ในตนซึ่งมีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์โดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ ยินดีเพลิดเพลิน
เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินขันธ์นั้น ราคะที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์จึง
เกิดขึ้น ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น ขันธ์ที่เป็นภายในตนซึ่งมีธรรมภายในตนเป็น
อารมณ์เป็นปัจจัยแก่ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ยถากัมมูปคญาณ อนาคตังสญาณ
และอาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีธรรมภาย
นอกตนเป็นอารมณ์โดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลพิจารณาวิญญาณัญจายตนะ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๑๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๑. อัชฌัตตารัมมณติกะ ๗. ปัญหาวาร
ที่เป็นภายนอกตน พิจารณาเนวสัญญานาสัญญายตนะ พิจารณาทิพพจักขุที่เป็น
ภายนอกตนซึ่งมีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ พิจารณาทิพพโสตธาตุ ฯลฯ อิทธิวิธญาณ
ฯลฯ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ฯลฯ ยถากัมมูปคญาณ ฯลฯ อนาคตังสญาณ
เห็นแจ้งขันธ์ที่เป็นภายนอกตนซึ่งมีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์โดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ฯลฯ รู้จิตของบุคคลผู้มีความพรั่งพร้อมด้วยจิตที่เป็นภายนอก
ตนซึ่งมีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ด้วยเจโตปริยญาณ ขันธ์ที่เป็นภายนอกตนซึ่งมี
ธรรมภายในตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่เจโตปริยญาณ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
ยถากัมมูปคญาณ อนาคตังสญาณ และอาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย (๒)
[๑๓] สภาวธรรมที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มี
ธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์โดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลพิจารณาทิพพจักขุ
ที่เป็นภายนอกตนซึ่งมีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ พิจารณาทิพพโสตธาตุ
พิจารณาอิทธิวิธญาณ ฯลฯ เจโตปริยญาณ ฯลฯ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ฯลฯ
ยถากัมมูปคญาณ ฯลฯ อนาคตังสญาณ เห็นแจ้งขันธ์ที่เป็นภายนอกตนซึ่งมีธรรม
ภายนอกตนเป็นอารมณ์โดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ฯลฯ รู้จิตของ
บุคคลผู้มีความพรั่งพร้อมด้วยจิตที่เป็นภายนอกตนซึ่งมีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์
ด้วยเจโตปริยญาณ ขันธ์ที่เป็นภายนอกตนซึ่งมีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เป็น
ปัจจัยแก่เจโตปริยญาณ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ยถากัมมูปคญาณ อนาคตังส-
ญาณ และอาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีธรรม
ภายในตนเป็นอารมณ์โดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล
รักษาอุโบสถแล้วพิจารณากุศลนั้น พิจารณากุศลที่เคยสั่งสมไว้ดีแล้ว ออกจาก
ฌานแล้วพิจารณาฌาน พระอริยะออกจากมรรคแล้วพิจารณามรรค พิจารณาผล
พิจารณากิเลสที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ซึ่งละได้แล้ว พิจารณากิเลสที่ข่มได้
แล้ว รู้กิเลสที่เคยเกิดขึ้น พิจารณาทิพพจักขุที่เป็นภายในตนซึ่งมีธรรมภายนอก
ตนเป็นอารมณ์ พิจารณาทิพพโสตธาตุ ... อิทธิวิธญาณ ... เจโตปริยญาณ ...
ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ... ยถากัมมูปคญาณ ... อนาคตังสญาณ ... ขันธ์ที่
เป็นภายในตนซึ่งมีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์โดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๒๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๑. อัชฌัตตารัมมณติกะ ๗. ปัญหาวาร
ยินดีเพลิดเพลิน เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินขันธ์นั้น ราคะที่มีธรรมภายใน
ตนเป็น อารมณ์จึงเกิดขึ้น ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น ขันธ์ที่เป็นภายในตนซึ่งมีธรรม
ภายนอกตนเป็น อารมณ์เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
ยถากัมมูปคญาณ อนาคตังสญาณ และอาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย (๒)

อธิปติปัจจัย
[๑๔] สภาวธรรมที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มี
ธรรมภายในตนเป็นอารมณ์โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ
และสหชาตาธิปติ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลพิจารณาวิญญาณัญจายตนะที่เป็นภายในตน
ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น พิจารณาเนวสัญญานาสัญญายตนะให้เป็นอารมณ์
อย่างหนักแน่น พิจารณาทิพพจักขุที่เป็นภายในตนซึ่งมีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์
ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ พิจารณาทิพพโสตธาตุ ฯลฯ อิทธิวิธญาณ ...
ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ... ยถากัมมูปคญาณ ... อนาคตังสญาณให้เป็น
อารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ ยินดีเพลิดเพลินขันธ์ที่เป็นภายในตนซึ่งมีธรรม
ภายในตนเป็นอารมณ์ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทําความยินดี
เพลิดเพลินขันธ์นั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะที่มีธรรมภายในตนเป็น
อารมณ์จึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัย
แก่สัมปยุตตขันธ์โดยอธิปติปัจจัย (๑)
[๑๕] สภาวธรรมที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ
ได้แก่ อธิบดีธรรมที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์โดย
อธิปติปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีธรรม
ภายในตนเป็นอารมณ์โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๒๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๑. อัชฌัตตารัมมณติกะ ๗. ปัญหาวาร
บุคคลให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถแล้วพิจารณากุศลนั้นให้เป็นอารมณ์อย่าง
หนักแน่น พิจารณากุศลที่เคยสั่งสมไว้ดีแล้วออกจากฌาน ฯลฯ พระอริยะออก
จากมรรคแล้วพิจารณามรรค พิจารณาผลให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น บุคคล
พิจารณาทิพพจักขุที่เป็นภายในตนซึ่งมีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ให้เป็นอารมณ์
อย่างหนักแน่น ฯลฯ พิจารณาทิพพโสตธาตุ ... อิทธิวิธญาณ ... เจโตปริยญาณ
... ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ .... ยถากัมมูปคญาณ .... อนาคตังสญาณให้เป็น
อารมณ์อย่างหนักแน่น ยินดีเพลิดเพลินขันธ์ที่เป็นภายในตนซึ่งมีธรรมภายนอกตน
เป็นอารมณ์ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทําความยินดีเพลิดเพลินขันธ์นั้นให้
เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์จึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึง
เกิดขึ้น (๒)

อนันตรปัจจัย
[๑๖] สภาวธรรมที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มี
ธรรมภายในตนเป็นอารมณ์โดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็น
อารมณ์ซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ซึ่งเกิดหลัง ๆ
โดยอนันตรปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีธรรม
ภายนอกตนเป็นอารมณ์โดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ จุติจิตที่มีธรรมภายในตนเป็น
อารมณ์เป็นปัจจัยแก่อุปปัตติจิตซึ่งมีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์โดยอนันตรปัจจัย
ภวังคจิตที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่อาวัชชนจิตซึ่งมีธรรมภายนอก
ตนเป็นอารมณ์โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่
วุฏฐานะซึ่งมีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์โดยอนันตรปัจจัย อนุโลมที่มีธรรม
ภายในตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่โคตรภู ... อนุโลมเป็นปัจจัยแก่โวทาน ... อนุโลม
เป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติ ... เนวสัญญานาสัญญายตนะของท่านผู้ออกจากนิโรธเป็น
ปัจจัยแก่ผลสมาบัติโดยอนันตรปัจจัย (๒)
[๑๗] สภาวธรรมที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์โดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีธรรมภายนอกตน

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๒๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๑. อัชฌัตตารัมมณติกะ ๗. ปัญหาวาร
เป็นอารมณ์ซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ซึ่งเกิด
หลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย อนุโลมที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่
โคตรภู ... อนุโลมเป็นปัจจัยแก่โวทาน ... โคตรภูเป็นปัจจัยแก่มรรค ... โวทาน
เป็นปัจจัยแก่มรรค ... มรรคเป็นปัจจัยแก่ผล ... ผลเป็นปัจจัยแก่ผล ... อนุโลมเป็น
ปัจจัยแก่ผลสมาบัติโดยอนันตรปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีธรรม
ภายในตนเป็นอารมณ์โดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ จุติจิตที่มีธรรมภายนอกตนเป็น
อารมณ์เป็นปัจจัยแก่อุปปัตติจิตที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์โดยอนันตรปัจจัย
ภวังคจิตที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่อาวัชชนจิตที่มีธรรมภายใน
ตนเป็นอารมณ์โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัย
แก่วุฏฐานะที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์โดยอนันตรปัจจัย (๒)

สมนันตรปัจจัยเป็นต้น
[๑๘] สภาวธรรมที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มี
ธรรมภายในตนเป็นอารมณ์โดยสมนันตรปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย
เป็นปัจจัยโดยอัญญมัญญปัจจัย เป็นปัจจัยโดยนิสสยปัจจัย

อุปนิสสยปัจจัย
[๑๙] สภาวธรรมที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มี
ธรรมภายในตนเป็นอารมณ์โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ
อนันตรูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ อนิจจานุปัสสนา ทุกขานุปัสสนา และอนัตตานุปัสสนา
ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ เป็นปัจจัยแก่อนิจจานุปัสสนา ทุกขานุปัสสนา
และอนัตตานุปัสสนาที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์โดยอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีธรรม
ภายนอกตนเป็นอารมณ์โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ
และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๒๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๑. อัชฌัตตารัมมณติกะ ๗. ปัญหาวาร
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ อนิจจานุปัสสนา ทุกขานุปัสสนา และอนัตตานุปัสสนา
ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่อนิจจานุปัสสนา ทุกขานุปัสสนา และ
อนัตตานุปัสสนาที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์โดยอุปนิสสยปัจจัย (๒)
[๒๐] สภาวธรรมที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ
และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ อนิจจานุปัสสนา ทุกขานุปัสสนา และอนัตตานุปัสสนา
ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่อนิจจานุปัสสนา ทุกขานุปัสสนา และ
อนัตตานุปัสสนาที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์โดยอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีธรรม
ภายในตนเป็นอารมณ์โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ
อนันตรูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ อนิจจานุปัสสนา ทุกขานุปัสสนา และอนัตตานุปัสสนา
ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่อนิจจานุปัสสนา ทุกขานุปัสสนา
และอนัตตานุปัสสนาที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์โดยอุปนิสสยปัจจัย (๒)

อาเสวนปัจจัย
[๒๑] สภาวธรรมที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มี
ธรรมภายในตนเป็นอารมณ์โดยอาเสวนปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็น
อารมณ์ซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ซึ่งเกิดหลัง ๆ
โดยอาเสวนปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีธรรม
ภายนอกตนเป็นอารมณ์โดยอาเสวนปัจจัย ได้แก่ อนุโลมที่มีธรรมภายในตนเป็น
อารมณ์เป็นปัจจัยแก่โคตรภู อนุโลมเป็นปัจจัยแก่โวทานโดยอาเสวนปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีธรรม
ภายนอกตนเป็นอารมณ์โดยอาเสวนปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีธรรมภายนอกตนเป็น

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๒๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๑. อัชฌัตตารัมมณติกะ ๗. ปัญหาวาร
อารมณ์ซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ซึ่งเกิด
หลัง ๆ โดยอาเสวนปัจจัย อนุโลมที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่
โคตรภู อนุโลมเป็นปัจจัยแก่โวทาน โคตรภูเป็นปัจจัยแก่มรรค โวทานเป็นปัจจัย
แก่มรรคโดยอาเสวนปัจจัย (๑)

กัมมปัจจัย
[๒๒] สภาวธรรมที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มี
ธรรมภายในตนเป็นอารมณ์โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและนานาขณิกะ
สหชาตะ ได้แก่ เจตนาที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต-
ขันธ์โดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่ขันธ์
ที่เป็นวิบากซึ่งมีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์โดยกัมมปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีธรรม
ภายนอกตนเป็นอารมณ์โดยกัมมปัจจัย มีอย่างเดียว คือ นานาขณิกะ ได้แก่
เจตนาที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นวิบากซึ่งมีธรรมภาย
นอกตนเป็นอารมณ์โดยกัมมปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีธรรม
ภายนอกตนเป็นอารมณ์โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและนานาขณิกะ
สหชาตะ ได้แก่ เจตนาที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่
สัมปยุตตขันธ์โดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่
ขันธ์ที่เป็นวิบากซึ่งมีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์โดยกัมมปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีธรรม
ภายในตนเป็นอารมณ์โดยกัมมปัจจัย มีอย่างเดียว คือ นานาขณิกะ ได้แก่
เจตนาที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นวิบากซึ่งมีธรรมภายใน
ตนเป็นอารมณ์โดยกัมมปัจจัย (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๒๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๑. อัชฌัตตารัมมณติกะ ๗. ปัญหาวาร
วิปากปัจจัยเป็นต้น
[๒๓] สภาวธรรมที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มี
ธรรมภายในตนเป็นอารมณ์โดยวิปากปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัยโดยอาหารปัจจัย เป็น
ปัจจัยโดยอินทรียปัจจัย เป็นปัจจัยโดยฌานปัจจัย เป็นปัจจัยโดยมัคคปัจจัย เป็น
ปัจจัยโดยสัมปยุตตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอัตถิปัจจัย เป็นปัจจัยโดยนัตถิปัจจัย เป็น
ปัจจัยโดยวิคตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอวิคตปัจจัย

๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๒๔] เหตุปัจจัย มี ๒ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๔ วาระ
อธิปติปัจจัย มี ๓ วาระ
อนันตรปัจจัย มี ๔ วาระ
สมนันตรปัจจัย มี ๔ วาระ
สหชาตปัจจัย มี ๒ วาระ
อัญญมัญญปัจจัย มี ๒ วาระ
นิสสยปัจจัย มี ๒ วาระ
อุปนิสสยปัจจัย มี ๔ วาระ
อาเสวนปัจจัย มี ๓ วาระ
กัมมปัจจัย มี ๔ วาระ
วิปากปัจจัย มี ๒ วาระ ฯลฯ

(ทุกปัจจัยมีปัจจัยละ ๒ วาระ)

สัมปยุตตปัจจัย มี ๒ วาระ
อัตถิปัจจัย มี ๒ วาระ
นัตถิปัจจัย มี ๔ วาระ
วิคตปัจจัย มี ๔ วาระ
อวิคตปัจจัย มี ๒ วาระ (พึงนับอย่างนี้)

อนุโลม จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๒๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๑. อัชฌัตตารัมมณติกะ ๗. ปัญหาวาร
๒. ปัจจนียุทธาร
[๒๕] สภาวธรรมที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มี
ธรรมภายในตนเป็นอารมณ์โดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย
และกัมมปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีธรรม
ภายนอกตนเป็นอารมณ์โดยอารัมมณปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และกัมมปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีธรรม
ภายนอกตนเป็นอารมณ์โดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และ
กัมมปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีธรรม
ภายในตนเป็นอารมณ์โดยอารัมมณปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และกัมมปัจจัย (๒)

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒. สังขยาวาร

[๒๖] นเหตุปัจจัย มี ๔ วาระ
นอารัมมณปัจจัย มี ๔ วาระ
นอธิปติปัจจัย มี ๔ วาระ
นอนันตรปัจจัย มี ๔ วาระ

(ย่อ ทุกปัจจัยมีปัจจัยละ ๔ วาระ)

นปุเรชาตปัจจัย มี ๔ วาระ
นปัจฉาชาตปัจจัย มี ๔ วาระ
นอาเสวนปัจจัย มี ๔ วาระ ฯลฯ
นวิปปยุตตปัจจัย มี ๔ วาระ ฯลฯ
โนอวิคตปัจจัย มี ๔ วาระ (พึงนับอย่างนี้)

ปัจจนียะ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๒๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๑. อัชฌัตตารัมมณติกะ ๗. ปัญหาวาร
๓. ปัจจยานุโลมปัจจนียะ

[๒๗] นอารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๒ วาระ
นอธิปติปัจจัย ” มี ๒ วาระ
นอนันตรปัจจัย ” มี ๒ วาระ
นสมนันตรปัจจัย ” มี ๒ วาระ
นอุปนิสสยปัจจัย ” มี ๒ วาระ
นอาเสวนปัจจัย ” มี ๒ วาระ
นกัมมปัจจัย ” มี ๒ วาระ ฯลฯ
โนนัตถิปัจจัย ” มี ๒ วาระ
โนวิคตปัจจัย ” มี ๒ วาระ

(ทุกปัจจัยมีปัจจัยละ ๒ วาระ)
(พึงนับอย่างนี้)
อนุโลมปัจจนียะ จบ

๔. ปัจจยปัจจนียานุโลม

[๒๘] อารัมมณปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๔ วาระ
อธิปติปัจจัย ” มี ๓ วาระ
อนันตรปัจจัย ” มี ๔ วาระ
สมนันตรปัจจัย ” มี ๔ วาระ
สหชาตปัจจัย ” มี ๒ วาระ
อัญญมัญญปัจจัย ” มี ๒ วาระ
นิสสยปัจจัย ” มี ๒ วาระ
อุปนิสสยปัจจัย ” มี ๒ วาระ
อาเสวนปัจจัย ” มี ๒ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๒๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๑. อัชฌัตตารัมมณติกะ ๗. ปัญหาวาร

กัมมปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๔ วาระ
วิปากปัจจัย ” มี ๒ วาระ ฯลฯ
สัมปยุตตปัจจัย ” มี ๒ วาระ
อัตถิปัจจัย ” มี ๒ วาระ
นัตถิปัจจัย ” มี ๔ วาระ
วิคตปัจจัย ” มี ๔ วาระ
อวิคตปัจจัย ” มี ๒ วาระ

(พึงนับอย่างนี้)
ปัจจนียานุโลม จบ
ปัญหาวาร จบ
อัชฌัตตารัมมณติกะ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๒๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๑. ปฏิจจวาร
๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๑. ปฏิจจวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๑] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้
เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ มหาภูตรูป ๒ อาศัยมหาภูตรูป ๑ ที่เห็นไม่ได้แต่
กระทบได้เกิดขึ้น มหาภูตรูป ๑ อาศัยมหาภูตรูป ๒ เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปและ
กฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยมหาภูตรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบ
ได้เกิดขึ้น จักขายตนะอาศัยโผฏฐัพพายตนะเกิดขึ้น ฯลฯ รสายตนะ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่เห็นได้และกระทบได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เกิด
ขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปที่เห็น
ได้และกระทบได้อาศัยมหาภูตรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เกิดขึ้น รูปายตนะอาศัย
โผฏฐัพพายตนะเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบ
ได้เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูป
ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้อาศัยมหาภูตรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เกิดขึ้น อาโปธาตุ
อิตถินทรีย์ ฯลฯ กวฬิงการาหารอาศัยโผฏฐัพพายตนะเกิดขึ้น (๓)
สภาวธรรมที่เห็นได้กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็น
ไม่ได้แต่กระทบได้เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่
เป็นอุปาทายรูปที่เห็นได้กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้อาศัยมหาภูตรูปที่เห็น
ไม่ได้แต่กระทบได้เกิดขึ้น รูปายตนะ อาโปธาตุ อิตถินทรีย์ ฯลฯ กวฬิงการาหาร
อาศัยโผฏฐัพพายตนะเกิดขึ้น (๔)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้อาศัยสภาวธรรม
ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ มหาภูตรูป ๒ และอาโปธาตุ
อาศัยมหาภูตรูป ๑ ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เกิดขึ้น มหาภูตรูป ๑ และอาโปธาตุ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๓๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๑. ปฏิจจวาร
อาศัยมหาภูตรูป ๒ เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปที่เห็น
ไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้อาศัยมหาภูตรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้
เกิดขึ้น จักขายตนะ ฯลฯ รสายตนะ อาโปธาตุ อิตถินทรีย์ ฯลฯ กวฬิงการาหาร
อาศัยโผฏฐัพพายตนะเกิดขึ้น (๕)
สภาวธรรมที่เห็นได้กระทบได้และที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็น
ไม่ได้แต่กระทบได้เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูป
ที่เป็นอุปาทายรูปที่เห็นได้กระทบได้และที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยมหาภูตรูปที่
เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เกิดขึ้น รูปายตนะ จักขายตนะ ฯลฯ รสายตนะอาศัย
โผฏฐัพพายตนะเกิดขึ้น (๖)
สภาวธรรมที่เห็นได้กระทบได้ ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ และที่เห็นไม่ได้
กระทบไม่ได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่
จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปที่เห็นได้กระทบได้ ที่เห็นไม่ได้แต่
กระทบได้ และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้อาศัยมหาภูตรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เกิด
ขึ้น รูปายตนะ จักขายตนะ ฯลฯ รสายตนะ อาโปธาตุ อิตถินทรีย์ ฯลฯ
กวฬิงการาหารอาศัยโผฏฐัพพายตนะเกิดขึ้น (๗)
[๒] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และ
กระทบไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปที่เห็นไม่ได้
และกระทบไม่ได้อาศัยขันธ์ ๑ ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ และ
จิตตสมุฏฐานรูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ
ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้อาศัยขันธ์ ๑ ที่เห็นไม่ได้และ
กระทบไม่ได้เกิดขึ้น ฯลฯ หทัยวัตถุอาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น
จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้อาศัย
อาโปธาตุเกิดขึ้น อิตถินทรีย์ ฯลฯ กวฬิงการาหารอาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่เห็นได้และกระทบได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้
เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปที่เห็นได้และกระทบได้อาศัยขันธ์ที่

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๓๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๑. ปฏิจจวาร
เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูปที่เห็นได้และกระทบได้
อาศัยขันธ์ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็น
อุปาทายรูปที่เห็นได้และกระทบได้อาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น รูปายตนะอาศัยอาโปธาตุ
เกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้
เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยขันธ์ที่
เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบ
ได้อาศัยขันธ์ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่
เป็นอุปาทายรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น จักขายตนะ ฯลฯ
รสายตนะอาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น (๓)
สภาวธรรมที่เห็นได้กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็น
ไม่ได้และกระทบไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป
ที่เห็นได้กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้อาศัยขันธ์ ๑ ที่เห็นไม่ได้และกระทบ
ไม่ได้เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูป
ที่เห็นได้กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้อาศัยขันธ์ ๑ ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่
ได้เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทาย-
รูปที่เห็นได้กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้อาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น รูปายตนะ
อิตถินทรีย์ ฯลฯ กวฬิงการาหารอาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น (๔)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้อาศัยสภาวธรรม
ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตต-
สมุฏฐานรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้อาศัยขันธ์ ๑ ที่เห็น
ไม่ได้และกระทบไม่ได้เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓
และกฏัตตารูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้อาศัยขันธ์ ๑ ที่เห็น
ไม่ได้และกระทบไม่ได้เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปและ
กฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้อาศัย
อาโปธาตุเกิดขึ้น จักขายตนะ ฯลฯ รสายตนะ อิตถินทรีย์ ฯลฯ กวฬิงการาหาร
อาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น (๕)


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๓๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๑. ปฏิจจวาร
สภาวธรรมที่เห็นได้กระทบได้และที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็น
ไม่ได้และกระทบไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปที่เห็นได้
กระทบได้และที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยขันธ์ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เกิดขึ้น
ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูปที่เห็นได้กระทบได้และที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยขันธ์
ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูป
ที่เห็นได้กระทบได้ และที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น รูปายตนะ
จักขายตนะ ฯลฯ รสายตนะอาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น (๖)
สภาวธรรมที่เห็นได้กระทบได้ ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ และที่เห็นไม่ได้กระทบ
ไม่ได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่
ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปที่เห็นได้กระทบได้ ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ และที่เห็น
ไม่ได้กระทบไม่ได้อาศัยขันธ์ ๑ ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัย
ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูปที่เห็นได้กระทบได้ที่เห็นไม่
ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้อาศัยขันธ์ ๑ ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้
เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูป
ที่เห็นได้กระทบได้ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้อาศัยอาโปธาตุ
เกิดขึ้น รูปายตนะ จักขายตนะ ฯลฯ รสายตนะ อิตถินทรีย์ ฯลฯ กวฬิงการาหาร
อาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น (๗)
[๓] สภาวธรรมที่เห็นได้และกระทบได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้
และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปที่เห็น
ได้และกระทบได้อาศัยขันธ์ที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้และอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น ใน
ปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูปที่เห็นได้และกระทบได้อาศัยขันธ์ที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้
และอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปที่
เห็นได้และกระทบได้อาศัยมหาภูตรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และอาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น
รูปายตนะอาศัยโผฏฐัพพายตนะและอาโปธาตุเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้
และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปที่เห็น

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๓๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๑. ปฏิจจวาร
ไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยขันธ์ที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้และอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น ใน
ปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยขันธ์ที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้และ
อาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น มหาภูตรูป ๒ อาศัยมหาภูตรูป ๑ ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบ
ได้และอาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น มหาภูตรูป ๑ อาศัยมหาภูตรูป ๒ และอาโปธาตุ
เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้
อาศัยมหาภูตรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และอาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น จักขายตนะ
ฯลฯ รสายตนะอาศัยโผฏฐัพพายตนะและอาโปธาตุเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้
และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปที่เห็นไม่
ได้และกระทบไม่ได้อาศัยขันธ์ที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้และอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น
ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้อาศัยขันธ์ที่เห็นไม่ได้กระทบ
ไม่ได้และอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูป
ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้อาศัยมหาภูตรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และอาศัยอาโป-
ธาตุเกิดขึ้น อิตถินทรีย์ ฯลฯ กวฬิงการาหารอาศัยโผฏฐัพพายตนะและอาโปธาตุ
เกิดขึ้น (๓)
สภาวธรรมที่เห็นได้กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็น
ไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตต-
สมุฏฐานรูปที่เห็นได้กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้อาศัยขันธ์ที่เห็นได้แต่กระทบ
ไม่ได้และอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูปที่เห็นได้กระทบได้และ
ที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้อาศัยขันธ์ที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้และอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น
จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปที่เห็นได้กระทบได้และที่เห็นไม่ได้
กระทบไม่ได้อาศัยมหาภูตรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และอาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น
รูปายตนะ อิตถินทรีย์ ฯลฯ กวฬิงการาหารอาศัยโผฏฐัพพายตนะและอาโปธาตุ
เกิดขึ้น (๔)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้อาศัยสภาวธรรม
ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๓๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๑. ปฏิจจวาร
จิตตสมุฏฐานรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้อาศัยขันธ์ที่เห็นไม่
ได้กระทบไม่ได้และอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูปที่เห็นไม่ได้
แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้อาศัยขันธ์ที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้และอาศัย
มหาภูตรูปเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปที่เห็นไม่ได้แต่
กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้อาศัยมหาภูตรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และอาศัย
อาโปธาตุเกิดขึ้น จักขายตนะ ฯลฯ รสายตนะ อิตถินทรีย์ ฯลฯ กวฬิงการาหาร
อาศัยโผฏฐัพพายตนะและอาโปธาตุเกิดขึ้น (๕)
สภาวธรรมที่เห็นได้กระทบได้และที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็น
ไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตต-
สมุฏฐานรูปที่เห็นได้กระทบได้และที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยขันธ์ที่เห็นไม่ได้กระทบ
ไม่ได้และอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูปที่เห็นได้กระทบได้และ
ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยขันธ์ที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้และอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น
จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูป ที่เห็นได้กระทบได้ และที่เห็นไม่
ได้แต่กระทบได้อาศัยมหาภูตรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และอาศัยอาโปธาตุเกิด
ขึ้น รูปายตนะ จักขายตนะ ฯลฯ รสายตนะอาศัยโผฏฐัพพายตนะและอาโปธาตุ
เกิดขึ้น (๖)
สภาวธรรมที่เห็นได้กระทบได้ ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ และที่เห็นไม่ได้กระทบ
ไม่ได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้เกิดขึ้น
เพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปที่เห็นได้กระทบได้ ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้
และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้อาศัยขันธ์ที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้และอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น
ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูปที่เห็นได้กระทบได้ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่
ได้กระทบไม่ได้อาศัยขันธ์ที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้และอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น จิตต-
สมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปที่เห็นได้กระทบได้ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้
และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้อาศัยมหาภูตรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และอาศัยอาโปธาตุ
เกิดขึ้น รูปายตนะ จักขายตนะ ฯลฯ รสายตนะ อิตถินทรีย์ ฯลฯ กวฬิงการาหาร
อาศัยโผฏฐัพพายตนะและอาโปธาตุเกิดขึ้น (๗)


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๓๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๑. ปฏิจจวาร
อารัมมณปัจจัย
[๔] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และ
กระทบไม่ได้เกิดขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เห็น
ไม่ได้และกระทบไม่ได้เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓
อาศัยขันธ์ ๑ ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ
ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น (๑)

อธิปติปัจจัย
[๕] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้
เกิดขึ้นเพราะอธิปติปัจจัย ได้แก่ มหาภูตรูป ๒ อาศัยมหาภูตรูป ๑ ที่เห็นไม่ได้
แต่กระทบได้เกิดขึ้น มหาภูตรูป ๑ อาศัยมหาภูตรูป ๒ เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูป
ที่เป็นอุปาทายรูปอาศัยมหาภูตรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เกิดขึ้น (๑)
(บทที่มีสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เป็นมูล พึงจําแนกเป็น ๗ วาระ
ด้วยเหตุนี้ ไม่มีบทสุดท้าย)
[๖] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และ
กระทบไม่ได้เกิดขึ้นเพราะอธิปติปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปที่เห็น
ไม่ได้และกระทบไม่ได้อาศัยขันธ์ ๑ ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัย
ขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปที่เป็นอุปาทายรูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้อาศัย
อาโปธาตุเกิดขึ้น
(ด้วยเหตุนี้ บทที่มีสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นมูล พึงจําแนก
เป็น ๗ วาระ ไม่มีบทจบ)
[๗] สภาวธรรมที่เห็นได้และกระทบได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบ
ได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้เกิดขึ้นเพราะอธิปติปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปที่
เห็นได้และกระทบได้อาศัยขันธ์ที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้และอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น
จิตตสมุฏฐานรูปที่เป็นอุปาทายรูปที่เห็นได้และกระทบได้อาศัยมหาภูตรูปที่เห็นไม่ได้
กระทบไม่ได้และอาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น (ด้วยเหตุนี้ พึงจําแนกเป็น ๗ วาระ)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๓๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๑. ปฏิจจวาร
อนันตรปัจจัยและสมนันตรปัจจัย
[๘] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และ
กระทบไม่ได้เกิดขึ้นเพราะอนันตรปัจจัย เพราะสมนันตรปัจจัย (ปัจจัยนี้เหมือนกับ
อารัมมณปัจจัย)

สหชาตปัจจัย
[๙] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบ ได้
เกิดขึ้นเพราะสหชาตปัจจัย ได้แก่ มหาภูตรูป ๒ อาศัยมหาภูตรูป ๑ ที่เห็นไม่ได้
แต่กระทบได้เกิดขึ้น มหาภูตรูป ๑ อาศัยมหาภูตรูป ๒ เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูป
และกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยมหาภูตรูปที่เห็นไม่ได้
แต่กระทบได้เกิดขึ้น จักขายตนะ ฯลฯ รสายตนะอาศัยโผฏฐัพพายตนะเกิดขึ้น ...
ที่เป็นภายนอก ... ที่มีอาหารเป็นสมุฏฐาน ... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ... สําหรับ
เหล่าอสัญญสัตตพรหม มหาภูตรูป ๒ อาศัยมหาภูตรูป ๑ เกิดขึ้น ฯลฯ
(พึงจำแนกบทที่มีสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เป็นมูลเป็น ๗ วาระ
ด้วยเหตุนี้)
[๑๐] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และ
กระทบไม่ได้เกิดขึ้นเพราะสหชาตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปที่เห็น
ไม่ได้และกระทบไม่ได้อาศัยขันธ์ ๑ ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัย
ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้
อาศัยขันธ์ ๑ ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ หทัย-
วัตถุอาศัยขันธ์เกิดขึ้น ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูป
ที่เป็นอุปาทายรูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้อาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น อิตถินทรีย์
ฯลฯ กวฬิงการาหารอาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น ... ที่เป็นภายนอก ... ที่มีอาหารเป็น
สมุฏฐาน ... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ... สําหรับเหล่าอสัญญสัตตพรหม กฏัตตารูป
ที่เป็นอุปาทายรูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้อาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น
(บทที่มีสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นมูล พึงเพิ่มเป็น ๗ วาระ
ด้วยเหตุนี้)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๓๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๑. ปฏิจจวาร
[๑๑] สภาวธรรมที่เห็นได้และกระทบได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้
และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้เกิดขึ้นเพราะสหชาตปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปที่
เห็นได้และกระทบได้อาศัยขันธ์ที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้และอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น
ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูปที่เห็นได้และกระทบได้อาศัยขันธ์ที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้
และอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปที่
เห็นได้และกระทบได้อาศัยมหาภูตรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และอาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น
รูปายตนะอาศัยโผฏฐัพพายตนะและอาโปธาตุเกิดขึ้น ... ที่เป็นภายนอก ... ที่มี
อาหารเป็นสมุฏฐาน ... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ... สําหรับเหล่าอสัญญสัตตพรหม
กฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปที่เห็นได้และกระทบได้อาศัยมหาภูตรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบ
ได้และอาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น (ด้วยเหตุนี้ พึงจําแนกเป็น ๗ วาระ)

อัญญมัญญปัจจัย
[๑๒] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบ
ได้เกิดขึ้นเพราะอัญญมัญญปัจจัย ได้แก่ มหาภูตรูป ๒ อาศัยมหาภูตรูป ๑ ที่
เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เกิดขึ้น มหาภูตรูป ๑ อาศัยมหาภูตรูป ๒ เกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้
เกิดขึ้นเพราะอัญญมัญญปัจจัย ได้แก่ อาโปธาตุอาศัยมหาภูตรูปที่เห็นไม่ได้แต่
กระทบได้เกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้อาศัยสภาวธรรม
ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เกิดขึ้นเพราะอัญญมัญญปัจจัย ได้แก่ มหาภูตรูป ๒ และ
อาโปธาตุอาศัยมหาภูตรูป ๑ ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เกิดขึ้น มหาภูตรูป ๑ และ
อาโปธาตุอาศัยมหาภูตรูป ๒ เกิดขึ้น ... ที่เป็นภายนอก ฯลฯ (๓)
[๑๓] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และ
กระทบไม่ได้เกิดขึ้นเพราะอัญญมัญญปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เห็น
ไม่ได้และกระทบไม่ได้เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓
และหทัยวัตถุอาศัยขันธ์ ๑ ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒
ฯลฯ หทัยวัตถุอาศัยขันธ์เกิดขึ้น ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๓๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๑. ปฏิจจวาร
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้
เกิดขึ้นเพราะอัญญมัญญปัจจัย ได้แก่ มหาภูตรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัย
อาโปธาตุเกิดขึ้น ... ที่เป็นภายนอก ฯลฯ (๒)
[๑๔] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบ
ได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้เกิดขึ้นเพราะอัญญมัญญปัจจัย ได้แก่ มหาภูตรูป ๒
อาศัยมหาภูตรูป ๑ ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และอาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น มหาภูตรูป
๑ อาศัยมหาภูตรูป ๒ และอาโปธาตุเกิดขึ้น ... ที่เป็นภายนอก ฯลฯ (๑)

นิสสยปัจจัยเป็นต้น
[๑๕] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่
กระทบได้เกิดขึ้นเพราะนิสสยปัจจัย เพราะอุปนิสสยปัจจัย เพราะปุเรชาตปัจจัย
เพราะอาเสวนปัจจัย เพราะกัมมปัจจัย เพราะวิปากปัจจัย เพราะอาหารปัจจัย
เพราะอินทรียปัจจัย เพราะฌานปัจจัย เพราะมัคคปัจจัย เพราะสัมปยุตตปัจจัย
เพราะวิปปยุตตปัจจัย เพราะอัตถิปัจจัย เพราะนัตถิปัจจัย เพราะวิคตปัจจัย
เพราะอวิคตปัจจัย

๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๑๖] เหตุปัจจัย มี ๒๑ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๑ วาระ
อธิปติปัจจัย มี ๒๑ วาระ
อนันตรปัจจัย มี ๑ วาระ
สมนันตรปัจจัย มี ๑ วาระ
สหชาตปัจจัย มี ๒๑ วาระ
อัญญมัญญปัจจัย มี ๖ วาระ
นิสสยปัจจัย มี ๒๑ วาระ
อุปนิสสยปัจจัย มี ๑ วาระ
ปุเรชาตปัจจัย มี ๑ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๓๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๑. ปฏิจจวาร

อาเสวนปัจจัย มี ๑ วาระ
กัมมปัจจัย มี ๒๑ วาระ
วิปากปัจจัย มี ๒๑ วาระ
อาหารปัจจัย มี ๒๑ วาระ
อินทรียปัจจัย มี ๒๑ วาระ
ฌานปัจจัย มี ๒๑ วาระ
มัคคปัจจัย มี ๒๑ วาระ
สัมปยุตตปัจจัย มี ๑ วาระ
วิปปยุตตปัจจัย มี ๒๑ วาระ
อัตถิปัจจัย มี ๒๑ วาระ
นัตถิปัจจัย มี ๑ วาระ
วิคตปัจจัย มี ๑ วาระ
อวิคตปัจจัย มี ๒๑ วาระ (พึงนับอย่างนี้)

อนุโลม จบ

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๑. วิภังควาร
นเหตุปัจจัย
[๑๗] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบ
ได้เกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ มหาภูตรูป ๒ อาศัยมหาภูตรูป ๑ ที่เห็นไม่ได้
แต่กระทบได้เกิดขึ้น มหาภูตรูป ๑ อาศัยมหาภูตรูป ๒ เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูป
และกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยมหาภูตรูปที่เห็นไม่ได้
แต่กระทบได้เกิดขึ้น จักขายตนะฯลฯ รสายตนะอาศัยโผฏฐัพพายตนะเกิดขึ้น ...
ที่เป็นภายนอก ... ที่มีอาหารเป็นสมุฏฐาน ... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ... สําหรับเหล่า
อสัญญสัตตพรหม มหาภูตรูป ๒ อาศัยมหาภูตรูป ๑ ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้
เกิดขึ้น มหาภูตรูป ๑ อาศัยมหาภูตรูป ๒ เกิดขึ้น ... อาศัยมหาภูตรูป ฯลฯ
(บทที่มีสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เป็นมูล พึงจําแนกเป็น ๗ วาระ
ด้วยเหตุนี้)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๔๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๑. ปฏิจจวาร
[๑๘] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และ
กระทบไม่ได้เกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปที่เห็นไม่ได้
และกระทบไม่ได้อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอเหตุกะซึ่งเห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เกิดขึ้น ฯลฯ
อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะที่เป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูปที่เห็น
ไม่ได้และกระทบไม่ได้อาศัยขันธ์ ๑ ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เกิดขึ้น ฯลฯ หทัยวัตถุ
อาศัยขันธ์เกิดขึ้น ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่
เป็นอุปาทายรูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้อาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น อิตถินทรีย์ ฯลฯ
กวฬิงการาหารอาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น ... ที่เป็นภายนอก ... ที่มีอาหารเป็นสมุฏฐาน
... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ... สําหรับเหล่าอสัญญสัตตพรหม กฏัตตารูปที่เป็น
อุปาทายรูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้อาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น โมหะที่สหรคตด้วย
วิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วยอุทธัจจะอาศัยขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วย
อุทธัจจะเกิดขึ้น
(พึงจําแนกบทที่มีสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นมูลเป็น ๗ วาระ
ด้วยเหตุนี้)
[๑๙] สภาวธรรมที่เห็นได้และกระทบได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้
และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้เกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปที่เห็น
ได้และกระทบได้อาศัยขันธ์ที่เป็นอเหตุกะซึ่งเห็นไม่ได้กระทบไม่ได้และอาศัยมหาภูตรูป
เกิดขึ้นในปฏิสนธิขณะที่เป็นอเหตุกะ กฏัตตารูปที่เห็นได้และกระทบได้อาศัยขันธ์ที่
เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้และอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่
เป็นอุปาทายรูปที่เห็นได้และกระทบได้อาศัยมหาภูตรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และอาศัย
อาโปธาตุเกิดขึ้น รูปายตนะอาศัยโผฏฐัพพายตนะและอาโปธาตุเกิดขึ้น ... ที่เป็น
ภายนอก ... ที่มีอาหารเป็นสมุฏฐาน ... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ... สําหรับเหล่า
อสัญญสัตตพรหม กฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปที่เห็นได้และกระทบได้อาศัย
มหาภูตรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และอาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น
(ด้วยเหตุนี้ ผู้รู้พึงขยายให้พิสดารเป็น ๗ วาระ )

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๔๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๑. ปฏิจจวาร
นอารัมมณปัจจัย
[๒๐] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบ
ได้เกิดขึ้นเพราะนอารัมมณปัจจัย ได้แก่ มหาภูตรูป ๒ อาศัยมหาภูตรูป ๑ ที่เห็น
ไม่ได้แต่กระทบได้เกิดขึ้น มหาภูตรูป ๑ อาศัยมหาภูตรูป ๒ เกิดขึ้น จิตต-
สมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยมหาภูตรูป
ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เกิดขึ้น จักขายตนะ ฯลฯ รสายตนะอาศัยโผฏฐัพพายตนะ
เกิดขึ้น ... ที่เป็นภายนอก ... ที่มีอาหารเป็นสมุฏฐาน ... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ...
สําหรับเหล่าอสัญญสัตตพรหม มหาภูตรูป ๒ อาศัยมหาภูตรูป ๑ ที่เห็นไม่ได้
แต่กระทบได้เกิดขึ้น มหาภูตรูป ๑ อาศัยมหาภูตรูป ๒ เกิดขึ้น ฯลฯ
(พึงขยายบทที่มีสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เป็นมูลให้พิสดารเป็น ๗ วาระ
ด้วยเหตุนี้)
[๒๑] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และ
กระทบไม่ได้เกิดขึ้นเพราะนอารัมมณปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปที่เห็นไม่ได้และ
กระทบไม่ได้อาศัยขันธ์ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูป
ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้อาศัยขันธ์ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เกิดขึ้น หทัยวัตถุ
อาศัยขันธ์เกิดขึ้น ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปที่เห็นไม่
ได้และกระทบไม่ได้อาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น อิตถินทรีย์ ฯลฯ กวฬิงการาหารอาศัย
อาโปธาตุเกิดขึ้น ... ที่เป็นภายนอก ... ที่มีอาหารเป็นสมุฏฐาน ... ที่มีอุตุเป็น
สมุฏฐาน ... สําหรับเหล่าอสัญญสัตตพรหม กฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปที่เห็น
ไม่ได้และกระทบไม่ได้อาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น
(บทที่มีสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นมูลพึงขยายให้พิสดารเป็น ๗
วาระ ด้วยเหตุนี้)
[๒๒] สภาวธรรมที่เห็นได้และกระทบได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบ ได้
และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้เกิดขึ้นเพราะนอารัมมณปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูป
ที่เห็นได้และกระทบได้อาศัยขันธ์ที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้และอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น
ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูปที่เห็นได้และกระทบได้อาศัยขันธ์ที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๔๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๑. ปฏิจจวาร
และอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปที่เห็น
ได้และกระทบได้อาศัยมหาภูตรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และอาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น
รูปายตนะอาศัยโผฏฐัพพายตนะและอาโปธาตุเกิดขึ้น ... ที่เป็นภายนอก ... ที่มี
อาหารเป็นสมุฏฐาน ... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ... สําหรับเหล่าอสัญญสัตตพรหม
กฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปที่เห็นได้และกระทบได้อาศัยมหาภูตรูปที่เห็นไม่ได้แต่
กระทบได้และอาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น
(ในฆฏนา พึงจําแนกเป็น ๗ วาระ ด้วยเหตุนี้)

นอธิปติปัจจัยเป็นต้น
[๒๓] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่
กระทบได้เกิดขึ้นเพราะนอธิปติปัจจัย (ปัจจัยนี้เหมือนกับสหชาตปัจจัย) เพราะ
นอนันตรปัจจัย เพราะนสมนันตรปัจจัย เพราะนอัญญมัญญปัจจัย ได้แก่ จิตต-
สมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยมหาภูตรูป
ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เกิดขึ้น จักขายตนะ ฯลฯ รสายตนะอาศัยโผฏฐัพพายตนะ
เกิดขึ้น ... ที่เป็นภายนอก ... ที่มีอาหารเป็นสมุฏฐาน ... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ...
สําหรับเหล่าอสัญญสัตตพรหม กฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปที่เห็นไม่ได้และกระทบ
ไม่ได้อาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น
(ด้วยเหตุนี้ พึงจําแนกเป็น ๒๑ วาระ )
... เพราะนอุปนิสสยปัจจัย เพราะนปุเรชาตปัจจัย เพราะนปัจฉาชาตปัจจัย
เพราะนอาเสวนปัจจัย เพราะนกัมมปัจจัย ได้แก่ ... ที่เป็นภายนอก ... ที่มี
อาหารเป็นสมุฏฐาน ... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ... มหาภูตรูป ๒ อาศัยมหาภูตรูป ๑
ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เกิดขึ้น มหาภูตรูป ๑ อาศัยมหาภูตรูป ๒ เกิดขึ้น
อุปาทายรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยมหาภูตรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เกิดขึ้น
(พึงจําแนกกัมมปัจจัยแล้วเพิ่มเป็น ๒๑ วาระ ด้วยนกัมมปัจจัยนั่นเอง) เพราะ
นวิปากปัจจัย (ไม่มีปฏิสนธิและกฏัตตารูป พึงเพิ่มเฉพาะในปัญจโวการภพเท่านั้น)
เพราะนอาหารปัจจัย ได้แก่ ... ที่เป็นภายนอก ... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ... สําหรับ
เหล่าอสัญญสัตตพรหม ฯลฯ (ด้วยเหตุนี้ พึงจําแนกเป็น ๒๑ วาระ)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๔๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๑. ปฏิจจวาร
นอินทรียปัจจัยเป็นต้น
[๒๔] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบ
ได้เกิดขึ้นเพราะนอินทรียปัจจัย ได้แก่ ... ที่เป็นภายนอก ... ที่มีอาหารเป็นสมุฏฐาน
... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ... อาศัยมหาภูตรูป ๑ ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ ฯลฯ
สําหรับเหล่าอสัญญสัตตพรหม รูปชีวิตินทรีย์อาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น (ย่อ พึง
จําแนกวาระทั้งปวง) เพราะนฌานปัจจัย ได้แก่ ... ที่เป็นภายนอก ... ที่มีอาหาร
เป็นสมุฏฐาน ... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ... สําหรับเหล่าอสัญญสัตตพรหม มหา-
ภูตรูป ๑ (ย่อ พึงจําแนกเป็น ๗ วาระ)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบ
ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะนฌานปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วย
ปัญจวิญญาณเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ... ที่เป็นภายนอก ... ที่มี
อาหารเป็นสมุฏฐาน ... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ... สําหรับเหล่าอสัญญสัตตพรหม
กฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้อาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น
(พึงจําแนกเป็น ๗ วาระ ด้วยอาการอย่างนี้)
[๒๕] สภาวธรรมที่เห็นได้และกระทบได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบ
ได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้เกิดขึ้นเพราะนฌานปัจจัย ได้แก่ ... ที่เป็นภายนอก ...
ที่มีอาหารเป็นสมุฏฐาน ... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ... สําหรับเหล่าอสัญญสัตตพรหม
ฯลฯ กฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปที่เห็นได้และกระทบได้อาศัยมหาภูตรูปที่เห็นไม่
ได้แต่กระทบได้และอาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น
(พึงจําแนกเป็น ๗ วาระด้วยอาการอย่างนี้) เพราะนมัคคปัจจัย (พึงทําให้
เหมือนกับนเหตุปัจจัย พึงทำให้บริบูรณ์ ไม่มีโมหะ) เพราะนสัมปยุตตปัจจัย
เพราะนวิปปยุตตปัจจัย (พึงทำให้บริบูรณ์) เพราะโนนัตถิปัจจัย เพราะโนวิคตปัจจัย

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๒๖] นเหตุปัจจัย มี ๒๑ วาระ
นอารัมมณปัจจัย มี ๒๑ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๔๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๑. ปฏิจจวาร

นอธิปติปัจจัย มี ๒๑ วาระ

(ย่อ ทุกปัจจัยมีปัจจัยละ ๒๑ วาระ)

โนนัตถิปัจจัย มี ๒๑ วาระ
โนวิคตปัจจัย มี ๒๑ วาระ (พึงนับอย่างนี้)

ปัจจนียะ จบ

๓. ปัจจยานุโลมปัจจนียะ
เหตุทุกนัย

[๒๗] นอารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๒๑ วาระ
นอธิปติปัจจัย ” มี ๒๑ วาระ ฯลฯ
นกัมมปัจจัย ” มี ๑ วาระ
นวิปากปัจจัย ” มี ๒๑ วาระ
นสัมปยุตตปัจจัย ” มี ๒๑ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย ” มี ๑ วาระ
โนนัตถิปัจจัย ” มี ๒๑ วาระ
โนวิคตปัจจัย ” มี ๒๑ วาระ (พึงนับอย่างนี้)

อนุโลมปัจจนียะ จบ

๔. ปัจจยปัจจนียานุโลม
นเหตุทุกนัย

[๒๘] อารัมมณปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๑ วาระ
อนันตรปัจจัย ” มี ๑ วาระ
สมนันตรปัจจัย ” มี ๑ วาระ
สหชาตปัจจัย ” มี ๒๑ วาระ ฯลฯ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๔๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๗. ปัญหาวาร

ฌานปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๒๑ วาระ
มัคคปัจจัย ” มี ๑ วาระ
สัมปยุตตปัจจัย ” มี ๑ วาระ
วิปปยุตตปัจจัย ” มี ๒๑ วาระ
อัตถิปัจจัย ” มี ๒๑ วาระ
นัตถิปัจจัย ” มี ๑ วาระ
วิคตปัจจัย ” มี ๑ วาระ
อวิคตปัจจัย ” มี ๒๑ วาระ (พึงนับอย่างนี้)

ปัจจนียานุโลม จบ ปฏิจจวาร จบ
(สหชาตวาร ปัจจยวาร และนิสสยวาร เหมือนกับปฏิจจวาร พึงเพิ่ม
สังสัฏฐวารและสัมปยุตตวารเฉพาะในอรูปาวจรภูมิเท่านั้น)

๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๗. ปัญหาวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๒๙] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้
และกระทบไม่ได้โดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัย
แก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยเหตุปัจจัย
ในปฏิสนธิขณะ เหตุที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และ
กฏัตตารูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยเหตุปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นได้และ
กระทบได้โดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่จิตต-
สมุฏฐานรูปที่เห็นได้และกระทบได้โดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๒)
(เฉพาะบทที่มีสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นมูล พึงจําแนกเป็น ๗
วาระ ด้วยเหตุนี้)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๔๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๗. ปัญหาวาร
อารัมมณปัจจัย
[๓๐] สภาวธรรมที่เห็นได้และกระทบได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และ
กระทบไม่ได้โดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลเห็นแจ้งรูปโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง เป็น
ทุกข์ เป็นอนัตตา ยินดีเพลิดเพลิน เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินรูปนั้น ราคะ
จึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น วิจิกิจฉาจึงเกิดขึ้น อุทธัจจะจึงเกิดขึ้น โทมนัสจึงเกิดขึ้น
บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ รูปายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณโดยอารัมมณปัจจัย
ขันธ์ที่เห็นได้และกระทบได้เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
อนาคตังสญาณ และอาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบ
ไม่ได้โดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลเห็นแจ้งจักษุ ฯลฯ กาย ... เสียง ... กลิ่น
... รส ... โผฏฐัพพะโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น บุคคลฟังเสียง
ด้วยทิพพโสตธาตุ สัททายตนะเป็นปัจจัยแก่โสตวิญญาณ ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะเป็น
ปัจจัยแก่กายวิญญาณ ฯลฯ ขันธ์ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ
ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ อนาคตังสญาณ และอาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย (๑)
[๓๑] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้
และกระทบไม่ได้โดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล รักษา
อุโบสถแล้วพิจารณากุศลนั้น พิจารณากุศลที่เคยสั่งสมไว้ดีแล้ว ออกจากฌาน ฯลฯ
พระอริยะออกจากมรรคแล้วพิจารณามรรค พิจารณาผล พิจารณานิพพาน นิพพาน
เป็นปัจจัยแก่โคตรภู โวทาน มรรค ผล และอาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย พระ
อริยะพิจารณากิเลสที่ละได้แล้ว พิจารณากิเลสที่ข่มได้แล้ว รู้กิเลสที่เคยเกิดขึ้น ฯลฯ
บุคคลเห็นแจ้งหทัยวัตถุ ... อิตถินทรีย์ ... ปุริสินทรีย์ ... ชีวิตินทรีย์ ... อาโปธาตุ
... กวฬิงการาหาร ... ขันธ์ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ
โทมนัสจึงเกิดขึ้น บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้มีความพรั่งพร้อมด้วยจิตที่เห็นไม่ได้และ
กระทบไม่ได้ด้วยเจโตปริยญาณ อากาสานัญจายตนะเป็นปัจจัยแก่วิญญาณัญจา-
ยตนะโดยอารัมมณปัจจัย อากิญจัญญายตนะเป็นปัจจัยแก่เนวสัญญานาสัญญายตนะ
ฯลฯ ขันธ์ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ เจโตปริยญาณ
ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ยถากัมมูปคญาณ อนาคตังสญาณ และอาวัชชนจิตโดย
อารัมมณปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๔๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๗. ปัญหาวาร
อธิปติปัจจัย
[๓๒] สภาวธรรมที่เห็นได้และกระทบได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และ
กระทบไม่ได้โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลยินดี
เพลิดเพลินรูปให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทําความยินดีเพลิดเพลินรูปนั้น
ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบ
ไม่ได้ โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลยินดี
เพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ กาย ... เสียง ... กลิ่น ... รส ... โผฏฐัพพะให้เป็นอารมณ์
อย่างหนักแน่น เพราะทําความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์อย่าง
หนักแน่น ราคะจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น (๑)
[๓๓] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็น
ไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติและ
สหชาตาธิปติ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถแล้ว
พิจารณากุศลนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ ออกจากฌาน ฯลฯ พระ
อริยะออกจากมรรค ฯลฯ ออกจากผล ฯลฯ พิจารณาผลให้เป็นอารมณ์อย่าง
หนักแน่น ฯลฯ พิจารณานิพพานให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ... นิพพานเป็น
ปัจจัยแก่โคตรภู โวทาน มรรค และผลโดยอธิปติปัจจัย บุคคลยินดีเพลิดเพลิน
หทัยวัตถุ ... อิตถินทรีย์ ... ปุริสินทรีย์ ... ชีวิตินทรีย์ ... อาโปธาตุ ...
กวฬิงการาหาร ... ขันธ์ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น
เพราะทําความยินดีเพลิดเพลินหทัยวัตถุเป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น
ราคะจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่
สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยอธิปติปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นได้และ
กระทบได้โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๔๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๗. ปัญหาวาร
เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้โดย
อธิปติปัจจัย (๒)
(บทที่มีสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นมูล พึงจําแนกเป็น ๗ วาระ
พึงจําแนกอธิบดีธรรมโดยสงเคราะห์เข้าในรูป ๓ อย่าง)

อนันตรปัจจัย
[๓๔] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้
และกระทบไม่ได้โดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้ซึ่งเกิด
ก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้ซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย
อนุโลมเป็นปัจจัยแก่โคตรภู อนุโลมเป็นปัจจัยแก่โวทาน โคตรภูเป็นปัจจัยแก่มรรค
โวทานเป็นปัจจัยแก่มรรค มรรคเป็นปัจจัยแก่ผล ผลเป็นปัจจัยแก่ผล อนุโลมเป็น
ปัจจัยแก่ผลสมาบัติ เนวสัญญานาสัญญายตนะของท่านผู้ออกจากนิโรธเป็นปัจจัย
แก่ผลสมาบัติโดยอนันตรปัจจัย (๑)

สมนันตรปัจจัย
[๓๕] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็น
ไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยสมนันตรปัจจัย (ปัจจัยนี้เหมือนกับอนันตรปัจจัย)

สหชาตปัจจัยเป็นต้น
[๓๖] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้
แต่กระทบได้โดยสหชาตปัจจัย (พึงทําให้เหมือนกับปฏิจจวาร ในอัญญมัญญปัจจัย
เหมือนกับอัญญมัญญปัจจัย ในปฏิจจวาร ในนิสสยปัจจัย เหมือนกับปฏิจจวาร)

อุปนิสสยปัจจัย
[๓๗] สภาวธรรมที่เห็นได้และกระทบได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และ
กระทบไม่ได้โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะและปกตูป-
นิสสยะ ฯลฯ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๔๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๗. ปัญหาวาร
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเมื่อปรารถนาวรรณสมบัติ จึงให้ทาน สมาทาน
ศีล รักษาอุโบสถ ฯลฯ วรรณสมบัติเป็นปัจจัยแก่ศรัทธา ฯลฯ ปัญญา ... ราคะ
... ความปรารถนา ... สุขทางกาย ... ทุกข์ทางกาย ... มรรคและผลสมาบัติ
โดยอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และ
กระทบไม่ได้โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะและปกตูป-
นิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเมื่อปรารถนาจักขุสมบัติ ฯลฯ เมื่อปรารถนา
กายสมบัติ ... สัททสมบัติ ... โผฏฐัพพสมบัติ จึงให้ทาน สมาทานศีล รักษา
อุโบสถ ... บุคคลอาศัยอุตุ ... เสนาสนะแล้วให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถ ...
ทําฌาน ... วิปัสสนา ... มรรค ... อภิญญา ... สมาบัติให้เกิดขึ้น ฆ่าสัตว์ ฯลฯ
ทําลายสงฆ์ จักขุสมบัติ ฯลฯ โผฏฐัพพสมบัติ ... อุตุ ... เสนาสนะเป็นปัจจัย
แก่ศรัทธา ฯลฯ ปัญญา ... ราคะ ฯลฯ ความปรารถนา ... สุขทางกาย ...
ทุกข์ทางกาย ... มรรคและผลสมาบัติโดยอุปนิสสยปัจจัย (๑)
[๓๘] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้
และกระทบไม่ได้โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ
อนันตรูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยศรัทธาแล้วให้ทาน สมาทานศีล รักษา
อุโบสถ ... ทําฌาน ... สมาบัติให้เกิดขึ้น มีมานะ ถือทิฏฐิ อาศัยศีล ฯลฯ ปัญญา
... ราคะ ฯลฯ ความปรารถนา ... สุขทางกาย ... ทุกข์ทางกายและโภชนะแล้ว
ให้ทาน ฯลฯ ทําลายสงฆ์ ศรัทธา ฯลฯ ปัญญา ... ราคะ ฯลฯ ความปรารถนา
... สุขทางกาย ทุกข์ทางกาย และโภชนะเป็นปัจจัยแก่ศรัทธา ฯลฯ ปัญญา ... มรรค
และผลสมาบัติโดยอุปนิสสยปัจจัย (๑)

ปุเรชาตปัจจัย
[๓๙] สภาวธรรมที่เห็นได้และกระทบได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้
และกระทบไม่ได้โดยปุเรชาตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณปุเรชาตะ ได้แก่

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๕๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๗. ปัญหาวาร
บุคคลเห็นแจ้งรูปโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ยินดีเพลิดเพลิน
เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินรูปนั้น ราคะจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิ ฯลฯ วิจิกิจฉา ฯลฯ
อุทธัจจะ ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ รูปายตนะเป็น
ปัจจัยแก่จักขุวิญญาณโดยปุเรชาตปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบ
ไม่ได้โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาตะและวัตถุปุเรชาตะ
อารัมณปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลเห็นแจ้งจักษุ ฯลฯ กาย ... เสียง ฯลฯ
โผฏฐัพพะโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น บุคคลฟังเสียงด้วย
ทิพพโสตธาตุ สัททายตนะเป็นปัจจัยแก่โสตวิญญาณ ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะเป็น
ปัจจัยแก่กายวิญญาณโดยปุเรชาตปัจจัย
วัตถุปุเรชาตะ ได้แก่ จักขายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ กายายตนะ
เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณโดยปุเรชาตปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และ
กระทบไม่ได้โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาตะและวัตถุปุเรชาตะ
อารัมมณปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลเห็นแจ้งหทัยวัตถุ ... อิตถินทรีย์ ...
ปุริสินทรีย์ ... ชีวิตินทรีย์ ... อาโปธาตุ ... กวฬิงการาหารโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง
ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น
วัตถุปุเรชาตะ ได้แก่ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้
โดยปุเรชาตปัจจัย (๑)
[๔๐] สภาวธรรมที่เห็นได้กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้เป็นปัจจัย
แก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ
อารัมมณปุเรชาตะและวัตถุปุเรชาตะ ได้แก่ รูปายตนะและหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่
ขันธ์ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยปุเรชาตปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณ-
ปุเรชาตะและวัตถุปุเรชาตะ ได้แก่ จักขายตนะและหทัยวัตถุ ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะ
และหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยปุเรชาตปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๕๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่เห็นได้กระทบได้และที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาตะ
และวัตถุปุเรชาตะ ได้แก่ รูปายตนะและจักขายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณโดย
ปุเรชาตปัจจัย (๑)

ปัจฉาชาตปัจจัย
[๔๑] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้
และกระทบไม่ได้โดยปัจฉาชาตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้ซึ่ง
เกิดภายหลังเป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อนซึ่งเห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยปัจฉาชาต-
ปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นได้และ
กระทบได้โดยปัจฉาชาตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้ซึ่งเกิดภายหลัง
เป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อนซึ่งเห็นได้และกระทบได้โดยปัจฉาชาตปัจจัย (๒)
(พึงจําแนกเป็น ๗ วาระอย่างนี้ สงเคราะห์รูป ๓ อย่าง) (๗)

อาเสวนปัจจัย
[๔๒] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็น
ไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยอาเสวนปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้ซึ่ง
เกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้ซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอาเสวน-
ปัจจัย อนุโลมเป็นปัจจัยแก่โคตรภู อนุโลมเป็นปัจจัยแก่โวทาน โคตรภูเป็นปัจจัย
แก่มรรค โวทานเป็นปัจจัยแก่มรรคโดยอาเสวนปัจจัย (๑)

กัมมปัจจัย
[๔๓] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่
ได้และกระทบไม่ได้โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและนานาขณิกะ
สหชาตะ ได้แก่ เจตนาที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์
และจิตตสมุฏฐานรูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๕๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๗. ปัญหาวาร
นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็น
วิบากและกฏัตตารูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยกัมมปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นได้และ
กระทบได้โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและนานาขณิกะ
สหชาตะ ได้แก่ เจตนาที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่จิตต-
สมุฏฐานรูปที่เห็นได้และกระทบได้โดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูป
ที่เห็นได้และกระทบได้โดยกัมมปัจจัย (๒)
(พึงจําแนกสหชาตะ และนานาขณิกะ เป็น ๗ วาระ อย่างนี้ ด้วยเหตุนี้
สงเคราะห์รูป ๓ อย่าง) (๗)

วิปากปัจจัย
[๔๔] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็น
ไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยวิปากปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เป็นวิบากซึ่งเห็นไม่ได้และ
กระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้
โดยวิปากปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่เห็นไม่ได้และ
กระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดย
วิปากปัจจัย ฯลฯ ขันธ์เป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุโดยวิปากปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นได้และ
กระทบได้โดยวิปากปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่เป็นวิบากซึ่งเห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็น
ปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปที่เห็นได้และกระทบได้โดยวิปากปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ
ขันธ์ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปที่เห็นได้และกระทบได้โดย
วิปากปัจจัย (๒)
(พึงขยายให้พิสดารเป็น ๗ วาระอย่างนี้ พึงขยายปวัตติกาลและปฏิสนธิกาล)
(๗)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๕๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๗. ปัญหาวาร
อาหารปัจจัย
[๔๕] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้
และกระทบไม่ได้โดยอาหารปัจจัย ได้แก่ อาหารที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็น
ปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยอาหารปัจจัย
ในปฏิสนธิขณะ อาหารที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และ
กฏัตตารูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยอาหารปัจจัย กวฬิงการาหารเป็นปัจจัย
แก่กายนี้ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยอาหารปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นได้และ
กระทบได้โดยอาหารปัจจัย ได้แก่ อาหารที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่
จิตตสมุฏฐานรูปที่เห็นได้และกระทบได้โดยอาหารปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ อาหารที่
เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปที่เห็นได้และกระทบได้โดยอาหารปัจจัย
กวฬิงการาหารเป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เห็นได้และกระทบได้โดยอาหารปัจจัย (๒)
(พึงจําแนกปวัตติกาล และปฏิสนธิกาลเป็น ๗ วาระอย่างนี้ แม้วาระทั้ง ๗
พึงเพิ่มกวฬิงการาหารด้วย) (๗)

อินทรียปัจจัย
[๔๖] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้
และกระทบไม่ได้โดยอินทรียปัจจัย ได้แก่ จักขุนทรีย์เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ
กายินทรีย์เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณโดยอินทรียปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และ
กระทบไม่ได้โดยอินทรียปัจจัย ได้แก่ อินทรีย์ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัย
แก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยอินทรียปัจจัย
ในปฏิสนธิขณะ อินทรีย์ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และ
กฏัตตารูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยอินทรียปัจจัย รูปชีวิตินทรีย์เป็นปัจจัยแก่
กฏัตตารูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยอินทรียปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๕๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นได้และ
กระทบได้โดยอินทรียปัจจัย ได้แก่ อินทรีย์ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่
จิตตสมุฏฐานรูปที่เห็นได้และกระทบได้โดยอินทรียปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ อินทรีย์ที่
เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปที่เห็นได้และกระทบได้โดยอินทรียปัจจัย
รูปชีวิตินทรีย์เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปที่เห็นได้และกระทบได้โดยอินทรียปัจจัย (๒)
(พึงจําแนกปวัตติกาลและปฏิสนธิกาลเป็น ๗ วาระ อย่างนี้ ส่วนรูปชีวิตินทรีย์
พึงเพิ่มในตอนท้าย ๆ) (๗)
[๔๗] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้เป็นปัจจัย
แก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยอินทรียปัจจัย ได้แก่ จักขุนทรีย์และ
จักขุวิญญาณเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่สหรคตด้วยจักขุวิญญาณโดยอินทรียปัจจัย ฯลฯ
กายินทรีย์และกายวิญญาณเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่สหรคตด้วยกายวิญญาณโดยอินทรีย-
ปัจจัย (๑)

ฌานปัจจัยเป็นต้น
[๔๘] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้
และกระทบไม่ได้โดยฌานปัจจัย เป็นปัจจัยโดยมัคคปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสัมปยุตต-
ปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดย
สัมปยุตตปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ

วิปปยุตตปัจจัย
[๔๙] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และ
กระทบไม่ได้โดยวิปปยุตตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาตะ ได้แก่ จักขายตนะเป็น
ปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ กายายตนะเป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณโดยวิปปยุตต-
ปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบ
ไม่ได้ โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ สหชาตะ ปุเรชาตะ และปัจฉาชาตะ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๕๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๗. ปัญหาวาร
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป
ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่เห็นไม่ได้และ
กระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยวิปปยุตตปัจจัย
ขันธ์เป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุโดยวิปปยุตตปัจจัย หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์โดย
วิปปยุตตปัจจัย
ปุเรชาตะ ได้แก่ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดย
วิปปยุตตปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิด
ก่อนซึ่งเห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยวิปปยุตตปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นได้และ
กระทบได้โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะ และปัจฉาชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐาน-
รูปที่เห็นได้และกระทบได้โดยวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่เห็นไม่ได้และ
กระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปที่เห็นได้และกระทบได้โดยวิปปยุตตปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิด
ก่อนซึ่งเห็นได้และกระทบได้โดยวิปปยุตตปัจจัย (๒)
(พึงขยายวาระทั้ง ๕ ที่เหลือให้พิสดารอย่างนี้ พึงขยายสหชาตะ และ
ปัจฉาชาตะให้พิสดาร)

อัตถิปัจจัย
[๕๐] สภาวธรรมที่เห็นได้และกระทบได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และ
กระทบไม่ได้โดยอัตถิปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาตะ ฯลฯ บุคคลเห็นแจ้ง
รูปโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ
รูปายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณโดยอัตถิปัจจัย (๑)
[๕๑] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้
แต่กระทบได้โดยอัตถิปัจจัย ได้แก่ มหาภูตรูป ๑ ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เป็นปัจจัย

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๕๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๗. ปัญหาวาร
แก่มหาภูตรูป ๒ โดยอัตถิปัจจัย มหาภูตรูป ๒ เป็นปัจจัยแก่มหาภูตรูป ๑ โดย
อัตถิปัจจัย มหาภูตรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปและ
กฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปซึ่งเห็นไม่ได้แต่กระทบได้โดยอัตถิปัจจัย โผฏฐัพพายตนะ
เป็นปัจจัยแก่จักขายตนะ ฯลฯ รสายตนะโดยอัตถิปัจจัย ... ที่เป็นภายนอก ...
ที่มีอาหารเป็นสมุฏฐาน ... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ... มหาภูตรูป ๑ เป็นปัจจัย
แก่มหาภูตรูป ๒ โดยอัตถิปัจจัย มหาภูตรูป ๒ เป็นปัจจัยแก่มหาภูตรูป ๑ โดย
อัตถิปัจจัย มหาภูตรูปที่มีอุตุเป็นสมุฏฐานเป็นปัจจัยแก่อุปาทายรูปที่เห็นไม่ได้แต่
กระทบได้โดยอัตถิปัจจัย สําหรับเหล่าอสัญญสัตตพรหม มหาภูตรูป ๑ ที่เห็นไม่ได้
แต่กระทบได้เป็นปัจจัยแก่มหาภูตรูป ๒ โดยอัตถิปัจจัย มหาภูตรูป ๒ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นได้และกระทบ
ได้โดยอัตถิปัจจัย (๒) (ปัจจัยนี้เหมือนกับนิสสยปัจจัยในปฏิจจวาร)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และ
กระทบไม่ได้โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปุเรชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ มหาภูตรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เป็นปัจจัยแก่จิตต-
สมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปซึ่งเห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยอัตถิปัจจัย
(พึงขยายให้พิสดารจนถึงอสัญญสัตตพรหม)
ปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลเห็นแจ้งจักษุ ฯลฯ กาย ... เสียง ฯลฯ
โผฏฐัพพะโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น จักขายตนะเป็นปัจจัยแก่
จักขุวิญญาณ ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะเป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณโดยอัตถิปัจจัย (๓)
(พึงขยาย ๔ วาระที่เหลือให้พิสดารเหมือนกับสหชาตปัจจัยในปฏิจจวาร
ไม่มีแตกต่างกัน) (๗)
[๕๒] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้
และกระทบไม่ได้โดยอัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาตะ ปุเรชาตะ ปัจฉาชาตะ
อาหาระ และอินทรียะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓
และจิตตสมุฏฐานรูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ใน

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๕๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๗. ปัญหาวาร
ปฏิสนธิขณะ ฯลฯ อาโปธาตุเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็น
อุปาทายรูปซึ่งเห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้ ฯลฯ อาโปธาตุเป็นปัจจัยแก่อิตถินทรีย์
ฯลฯ กวฬิงการาหารโดยอัตถิปัจจัย ... ที่เป็นภายนอก ... ที่มีอาหารเป็นสมุฏฐาน
... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ... สําหรับเหล่าอสัญญสัตตพรหม อาโปธาตุเป็นปัจจัย
แก่กฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปซึ่งเห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยอัตถิปัจจัย
ปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลเห็นแจ้งหทัยวัตถุ ... อิตถินทรีย์ ... ปุริสินทรีย์ ...
ชีวิตินทรีย์ ... อาโปธาตุ ... กวฬิงการาหารโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส
จึงเกิดขึ้น หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยอัตถิปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิด
ก่อนซึ่งเห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยอัตถิปัจจัย กวฬิงการาหารเป็นปัจจัยแก่กายนี้
ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยอัตถิปัจจัย รูปชีวิตินทรีย์เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปที่
เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยอัตถิปัจจัย (พึงจําแนก ๖ วาระที่เหลืออย่างนี้ พึง
เพิ่มสหชาตะ ปัจฉาชาตะ อาหาระ และอินทรียะ) (๗)
[๕๓] สภาวธรรมที่เห็นได้กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยอัตถิปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาตะ
ได้แก่ รูปายตนะและหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดย
อัตถิปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่เห็นได้และกระทบได้โดยอัตถิปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่เห็นไม่ได้กระทบไม่
ได้และมหาภูตรูปเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปที่เห็นได้และกระทบได้โดยอัตถิปัจจัย
ในปฏิสนธิขณะ (ย่อ สําหรับเหล่าอสัญญสัตตพรหมพึงจัดไว้ด้วย) (๑)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้โดยอัตถิปัจจัย (ย่อ) (๒)
[๕๔] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้เป็นปัจจัย
แก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะ
และปุเรชาตะ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๕๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๗. ปัญหาวาร
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้และมหาภูตรูปเป็นปัจจัยแก่จิตต-
สมุฏฐานรูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้ ฯลฯ (พึงเพิ่มจนถึงอสัญญสัตตพรหม)
ปุเรชาตะ ได้แก่ จักขายตนะและหทัยวัตถุ ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะและหทัย-
วัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยอัตถิปัจจัย (๓) (พึงจําแนก ๔
วาระที่เหลือ) (๗)
[๕๕] สภาวธรรมที่เห็นได้กระทบได้และที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยอัตถิปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาตะ
ได้แก่ รูปายตนะและจักขายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณโดยอัตถิปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เห็นได้กระทบได้ ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบ
ไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง
คือ สหชาตะและปุเรชาตะ ได้แก่ รูปายตนะจักขายตนะและจักขุวิญญาณเป็น
ปัจจัยแก่ขันธ์ที่สหรคตด้วยจักขุวิญญาณโดยอัตถิปัจจัย (๑)
(นัตถิปัจจัยและวิคตปัจจัยเหมือนกับอนันตรปัจจัย อวิคตปัจจัยเหมือนกับ
อัตถิปัจจัย)

๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๕๖] เหตุปัจจัย มี ๗ วาระ
อธิปติปัจจัย มี ๙ วาระ
อนันตรปัจจัย มี ๑ วาระ
สมนันตรปัจจัย มี ๑ วาระ
สหชาตปัจจัย มี ๒๑ วาระ
อัญญมัญญปัจจัย มี ๖ วาระ
นิสสยปัจจัย มี ๒๑ วาระ
อุปนิสสยปัจจัย มี ๓ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๕๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๗. ปัญหาวาร

ปุเรชาตปัจจัย มี ๖ วาระ
ปัจฉาชาตปัจจัย มี ๗ วาระ
อาเสวนปัจจัย มี ๑ วาระ
กัมมปัจจัย มี ๗ วาระ
วิปากปัจจัย มี ๗ วาระ
อาหารปัจจัย มี ๗ วาระ
อินทรียปัจจัย มี ๙ วาระ
ฌานปัจจัย มี ๗ วาระ
มัคคปัจจัย มี ๗ วาระ
สัมปยุตตปัจจัย มี ๑ วาระ
วิปปยุตตปัจจัย มี ๘ วาระ
อัตถิปัจจัย มี ๒๕ วาระ
นัตถิปัจจัย มี ๑ วาระ
วิคตปัจจัย มี ๑ วาระ
อวิคตปัจจัย มี ๒๕ วาระ

เหตุสภาคนัย

[๕๗] อธิปติปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๗ วาระ
สหชาตปัจจัย ” มี ๗ วาระ
อัญญมัญญปัจจัย ” มี ๑ วาระ
นิสสยปัจจัย ” มี ๗ วาระ
วิปากปัจจัย ” มี ๗ วาระ
อินทรียปัจจัย ” มี ๗ วาระ
มัคคปัจจัย ” มี ๗ วาระ
สัมปยุตตปัจจัย ” มี ๑ วาระ
วิปปยุตตปัจจัย ” มี ๗ วาระ
อัตถิปัจจัย ” มี ๗ วาระ
อวิคตปัจจัย ” มี ๗ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๖๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๗. ปัญหาวาร
เหตุสามัญญฆฏนา (๙)
[๕๘] ปัจจัย ๕ คือ เหตุ สหชาตะ นิสสยะ อัตถิ และอวิคตะ มี ๗ วาระ
ปัจจัย ๖ คือ เหตุ สหชาตะ อัญญมัญญะ นิสสยะ อัตถิ และอวิคตะ มี
๑ วาระ
ปัจจัย ๗ คือ เหตุ สหชาตะ อัญญมัญญะ นิสสยะ สัมปยุตตะ อัตถิ
และอวิคตะ มี ๑ วาระ
ปัจจัย ๖ คือ เหตุ สหชาตะ นิสสยะ วิปปยุตตะ อัตถิ และอวิคตะ มี ๗
วาระ (อวิปาก ๔)
ปัจจัย ๖ คือ เหตุ สหชาตะ นิสสยะ วิปากะ อัตถิ และอวิคตะ มี ๗ วาระ
ปัจจัย ๗ คือ เหตุ สหชาตะ อัญญมัญญะ นิสสยะ วิปากะ อัตถิ และอวิคตะ
มี ๑ วาระ
ปัจจัย ๘ คือ เหตุ สหชาตะ อัญญมัญญะ นิสสยะ วิปากะ สัมปยุตตะ อัตถิ
และอวิคตะ มี ๑ วาระ
ปัจจัย ๗ คือ เหตุ สหชาตะ นิสสยะ วิปากะ วิปปยุตตะ อัตถิ และอวิคตะ
มี ๗ วาระ
ปัจจัย ๘ คือ เหตุ สหชาตะ อัญญมัญญะ นิสสยะ วิปากะ วิปปยุตตะ อัตถิ
และอวิคตะ มี ๑ วาระ (สวิปากะ ๕)
(พึงนับวาระที่จะต้องนับทั้งหมดอย่างนี้)
อนุโลม จบ

๒. ปัจจนียุทธาร
[๕๙] สภาวธรรมที่เห็นได้และกระทบได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้
และกระทบไม่ได้โดยอารัมมณปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และปุเรชาตปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่
กระทบได้โดยสหชาตปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๖๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นได้และกระทบ
ได้โดยสหชาตปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบ
ไม่ได้ โดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และปุเรชาตปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นได้กระทบได้และ
ที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้โดยสหชาตปัจจัย (๔)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบ
ได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้โดยสหชาตปัจจัย (๕)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นได้กระทบได้และ
ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้โดยสหชาตปัจจัย (๖)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นได้กระทบได้ที่
เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้โดยสหชาตปัจจัย (๗)
[๖๐] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็น
ไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย ปุเรชาต-
ปัจจัย ปัจฉาชาตปัจจัย กัมมปัจจัย อาหารปัจจัย และอินทรียปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นได้และ
กระทบได้โดยสหชาตปัจจัย ปัจฉาชาตปัจจัย กัมมปัจจัย อาหารปัจจัย และ
อินทรียปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่
กระทบได้โดยสหชาตปัจจัย ปัจฉาชาตปัจจัย กัมมปัจจัย อาหารปัจจัย และ
อินทรียปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นได้กระทบ
ได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้โดยสหชาตปัจจัย ปัจฉาชาตปัจจัย กัมมปัจจัย
อาหารปัจจัย และอินทรียปัจจัย (๔)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่
กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้โดยสหชาตปัจจัย ปัจฉาชาตปัจจัย กัมมปัจจัย
อาหารปัจจัย และอินทรียปัจจัย (๕)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๖๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นได้กระทบได้
และที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้โดยสหชาตปัจจัย ปัจฉาชาตปัจจัย กัมมปัจจัย อาหารปัจจัย
และอินทรียปัจจัย (๖)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นได้กระทบได้
ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้โดยสหชาตปัจจัย ปัจฉาชาตปัจจัย
กัมมปัจจัย อาหารปัจจัย และอินทรียปัจจัย (๗)
[๖๑] สภาวธรรมที่เห็นได้กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้ มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาตะ (๑)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่เห็นได้และกระทบได้โดยสหชาตปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้โดยสหชาตปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้ มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะ และปุเรชาตะ (๓)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่เห็นได้กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้โดยสหชาตปัจจัย (๔)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้โดยสหชาตปัจจัย (๕)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่เห็นได้กระทบได้และที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้โดยสหชาตปัจจัย (๖)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาว-
ธรรมที่เห็นได้กระทบได้ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้โดย
สหชาตปัจจัย (๗)
[๖๒] สภาวธรรมที่เห็นได้กระทบได้และที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้ มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาตะ (๑)
สภาวธรรมที่เห็นได้กระทบได้ ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ และที่เห็นไม่ได้กระทบ
ไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยสหชาตปัจจัยและปุเรชาต-
ปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๖๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๗. ปัญหาวาร
๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๖๓] นเหตุปัจจัย มี ๒๕ วาระ
นอารัมมณปัจจัย มี ๒๒ วาระ
นอธิปติปัจจัย มี ๒๕ วาระ
นอนันตรปัจจัย มี ๒๕ วาระ
นสมนันตรปัจจัย มี ๒๕ วาระ
นสหชาตปัจจัย มี ๑๒ วาระ
นอัญญมัญญปัจจัย มี ๒๔ วาระ
นนิสสยปัจจัย มี ๙ วาระ
นอุปนิสสยปัจจัย มี ๒๕ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย มี ๒๒ วาระ
นปัจฉาชาตปัจจัย มี ๒๕ วาระ
นอาเสวนปัจจัย มี ๒๕ วาระ
นกัมมปัจจัย มี ๒๕ วาระ
นวิปากปัจจัย มี ๒๔ วาระ
นอาหารปัจจัย มี ๒๕ วาระ
นอินทรียปัจจัย มี ๒๓ วาระ
นฌานปัจจัย มี ๒๕ วาระ
นมัคคปัจจัย มี ๒๕ วาระ
นสัมปยุตตปัจจัย มี ๒๔ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย มี ๒๒ วาระ
โนอัตถิปัจจัย มี ๙ วาระ
โนนัตถิปัจจัย มี ๒๕ วาระ
โนวิคตปัจจัย มี ๒๕ วาระ
โนอวิคตปัจจัย มี ๙ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๖๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๗. ปัญหาวาร
นเหตุทุกนัย

นอารัมมณปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๒๒ วาระ (เหมือนกับข้อความตอนต้น)
โนอวิคตปัจจัย ” มี ๙ วาระ

นเหตุติกนัย

นอธิปติปัจจัย กับนเหตุปัจจัยและนอารัมมณปัจจัย มี ๒๒ วาระ
นอนันตรปัจจัย ” ” มี ๒๒ วาระ
นสมนันตรปัจจัย ” ” มี ๒๒ วาระ
นสหชาตปัจจัย ” ” มี ๙ วาระ
นอัญญมัญญปัจจัย ” ” มี ๒๒ วาระ
นนิสสยปัจจัย ” ” มี ๙ วาระ
นอุปนิสสยปัจจัย ” ” มี ๒๑ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย ” ” มี ๒๒ วาระ
นปัจฉาชาตปัจจัย ” ” มี ๒๒ วาระ ฯลฯ
นสัมปยุตตปัจจัย ” ” มี ๒๒ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย ” ” มี ๒๒ วาระ
โนอัตถิปัจจัย ” ” มี ๙ วาระ
โนนัตถิปัจจัย ” ” มี ๒๒ วาระ
โนวิคตปัจจัย ” ” มี ๒๒ วาระ
โนอวิคตปัจจัย ” ” มี ๙ วาระ

(พึงนับอย่างนี้)
ปัจจนียะ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๖๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๗. ปัญหาวาร
๓. ปัจจยานุโลมปัจจนียะ
เหตุทุกนัย

[๖๔] นอารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๗ วาระ
นอธิปติปัจจัย ” มี ๗ วาระ
นอนันตรปัจจัย ” มี ๗ วาระ
นสมนันตรปัจจัย ” มี ๗ วาระ
นอัญญมัญญปัจจัย ” มี ๗ วาระ
นอุปนิสสยปัจจัย ” มี ๗ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย ” มี ๗ วาระ
นปัจฉาชาตปัจจัย ” มี ๗ วาระ ฯลฯ
นสัมปยุตตปัจจัย ” มี ๗ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย ” มี ๗ วาระ
โนนัตถิปัจจัย ” มี ๗ วาระ
โนวิคตปัจจัย ” มี ๗ วาระ

เหตุสามัญญฆฏนา

[๖๕] นอารัมมณปัจจัย กับปัจจัย ๕ คือ เหตุ สหชาตะ นิสสยะ อัตถิ

และอวิคตะ มี ๗ วาระ ฯลฯ

นอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี ๗ วาระ
นสมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี ๗ วาระ
นอัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี ๗ วาระ

(แม้ในข้อความนี้ก็ย่อไว้)

นสัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี ๗ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี ๑ วาระ
โนนัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี ๗ วาระ
โนวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี ๗ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๖๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๗. ปัญหาวาร
นอารัมมณปัจจัย กับปัจจัย ๖ คือ เหตุ สหชาตะ อัญญมัญญะ นิสสยะ
อัตถิและอวิคตะ มี ๑ วาระ (ทุกปัจจัยมีปัจจัยละ ๑ วาระ)
โนวิคตปัจจัยกับ ฯลฯ มี ๑ วาระ (พึงนับอย่างนี้)
อนุโลมปัจจนียะ จบ

๔. ปัจจยปัจจนียานุโลม
นเหตุทุกนัย

[๖๖] อารัมมณปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๓ วาระ
อธิปติปัจจัย ” มี ๙ วาระ
อนันตรปัจจัย ” มี ๑ วาระ
สมนันตรปัจจัย ” มี ๑ วาระ
สหชาตปัจจัย ” มี ๒๑ วาระ
อัญญมัญญปัจจัย ” มี ๖ วาระ
นิสสยปัจจัย ” มี ๒๑ วาระ
อุปนิสสยปัจจัย ” มี ๓ วาระ
ปุเรชาตปัจจัย ” มี ๖ วาระ
ปัจฉาชาตปัจจัย ” มี ๗ วาระ
อาเสวนปัจจัย ” มี ๑ วาระ
กัมมปัจจัย ” มี ๗ วาระ
วิปากปัจจัย ” มี ๗ วาระ
อาหารปัจจัย ” มี ๗ วาระ
อินทรียปัจจัย ” มี ๙ วาระ
ฌานปัจจัย ” มี ๗ วาระ
มัคคปัจจัย ” มี ๗ วาระ
สัมปยุตตปัจจัย ” มี ๑ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๖๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๗. ปัญหาวาร

วิปปยุตตปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๘ วาระ
อัตถิปัจจัย ” มี ๒๕ วาระ
นัตถิปัจจัย ” มี ๑ วาระ
วิคตปัจจัย ” มี ๑ วาระ
อวิคตปัจจัย ” มี ๒๕ วาระ

(พึงนับอย่างนี้)
ปัจจนียานุโลม จบ ปัญหาวาร จบ
สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ จบ
ธัมมานุโลมติกปัฏฐานสุดท้าย จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๖๘ }


พระไตรปิฎกเล่มที่ ๔๑ อภิธรรมปิฎกที่ ๐๘ ปัฏฐาน ภาค ๒ จบ





eXTReMe Tracker