ค้นว่าอยู่เล่มใด แล้วกด [ctrl]+f หรือใช้คำสั่งของเครื่องหาตำแหน่งในเล่มอีกทีนะครับ



จัดรูปหน้าใหม่
เพื่อความสะดวก และสวยงาม
(เฉพาะหน้าจอใหญ่ เช่น คอมพิวเตอร์)
กรุณาคลิก จัดรูปหน้าใหม่
เพื่อให้กรอบ
ค้นข้อความ ปรากฎที่ด้านซ้ายของหน้า

พระไตรปิฎกภาษาไทย
ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ๔๕ เล่ม (ปกสีฟ้า)
ทั้งออนไลน์และออฟไลน์
ที่มาของข้อมูล : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับ มจร.
MCUTRAI Version 1.0

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๔๑-๑ อภิธรรมปิฎกที่ ๐๘ ปัฏฐาน ภาค ๒

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๑. ปฏิจจวาร

พระอภิธรรมปิฎก
ธัมมานุโลม ติกปัฏฐาน
_____________
ขอนอบน้อมพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

๖. วิตักกติกะ ๑. ปฏิจจวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย

[๑] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเกิด
ขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้น ขันธ์ ๑
อาศัยขันธ์ ๓ เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓
อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้น
เพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ วิตกอาศัยขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ
วิตกอาศัยขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้น
เพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้น ใน
ปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูปอาศัยขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้น (๓)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตก
และวิจารเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑
ที่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๒

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๑. ปฏิจจวาร
เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกและวิจาร
เกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ และกฏัตตารูปอาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น (๔)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มี
ทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ วิตกและจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์
ที่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ วิตกและกฏัตตารูปอาศัยขันธ์ที่มีทั้ง
วิตกและวิจารเกิดขึ้น (๕)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้ง
วิตกและวิจารเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และวิตกอาศัยขันธ์ ๑ ที่มีทั้ง
วิตกและวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ และวิตกอาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ
ขันธ์ ๓ และวิตกอาศัยขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ และ
วิตกอาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น (๖)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจาร ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร และที่ไม่มีทั้งวิตกวิจาร
อาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ วิตก
และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒
วิตกและจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ วิตกและ
กฏัตตารูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ วิตกและ
กฏัตตารูปอาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น (๗)
[๒] สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเกิดขึ้น
ฯลฯ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่
ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเกิดขึ้น
เพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยวิตกเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ
ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยวิตกเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ วิจารและจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียง

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๑. ปฏิจจวาร
วิจารเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยวิตกเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ วิจารและกฏัตตารูป
อาศัยขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูปอาศัยวิตก
เกิดขึ้น (๓)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีวิตก
มีเพียงวิจารเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและจิตตสมุฏฐานรูป
อาศัยวิตกเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและกฏัตตารูปอาศัยวิตก
เกิดขึ้น (๔)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารอาศัยสภาวธรรมที่
ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ วิจาร และจิตต-
สมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ วิจาร
และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ วิจาร
และกฏัตตารูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ วิจาร
และกฏัตตารูปอาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น (๕)
[๓] สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร
เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่มี
ทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น
จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยวิจารเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูปอาศัย
ขันธ์ ๑ ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ และกฏัตตารูปอาศัยขันธ์ ๒
เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูปอาศัยวิจารเกิดขึ้น หทัยวัตถุอาศัยขันธ์เกิดขึ้น
ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น หทัยวัตถุอาศัยวิจารเกิดขึ้น วิจารอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น
มหาภูตรูป ๓ อาศัยมหาภูตรูป ๑ เกิดขึ้น ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูป
ที่เป็นอุปาทายรูปอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้น
เพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยหทัยวัตถุ
เกิดขึ้น (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๑. ปฏิจจวาร
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้น
เพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัยวิจารเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ
ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัยวิจารเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียง
วิจารอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ วิตกอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น (๓)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตก
และวิจารเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจาร
อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น กฏัตตารูปอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น (๔)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่
มีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและ
จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยวิจารเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและ
กฏัตตารูปอาศัยวิจารเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัย
หทัยวัตถุเกิดขึ้น กฏัตตารูปอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ วิตกอาศัย
หทัยวัตถุเกิดขึ้น กฏัตตารูปอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่ไม่มี
วิตกมีเพียงวิจารและวิจารอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น (๕)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มี
ทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่มีทั้งวิตก
วิจารและวิตกอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น (๖)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจาร ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร และที่ไม่มีทั้งวิตกวิจาร
อาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิ-
ขณะ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตกอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น กฏัตตารูปอาศัยมหาภูตรูป
เกิดขึ้น (๗)
[๔] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่
ไม่มีทั้งวิตกวิจารเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัย
ขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกวิจารและอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒
และหทัยวัตถุเกิดขึ้น (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๑. ปฏิจจวาร
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้ง
วิตกวิจารเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ วิตกอาศัยขันธ์ที่มีทั้งวิตก
วิจารและอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้ง
วิตกวิจารเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่มีทั้งวิตก
วิจารและอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูปอาศัยขันธ์ที่มีทั้งวิตก
วิจารและอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น (๓)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตก
วิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓
อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกวิจารและอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ อาศัย
ขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุเกิดขึ้น กฏัตตารูปอาศัยขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและอาศัย
มหาภูตรูปเกิดขึ้น (๔)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มี
ทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ
วิตกอาศัยขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น กฏัตตารูปอาศัยขันธ์ที่มี
ทั้งวิตกวิจารและอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น (๕)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้ง
วิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ
ขันธ์ ๓ และวิตกอาศัยขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกวิจารและอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น ฯลฯ
ขันธ์ ๒ และวิตกอาศัยขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุเกิดขึ้น (๖)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจาร ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร และที่ไม่มีทั้งวิตกวิจาร
อาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่
ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และวิตกอาศัยขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกวิจารและอาศัยหทัยวัตถุ
เกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ และวิตกอาศัยขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุเกิดขึ้น กฏัตตารูป
อาศัยขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น (๗)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๑. ปฏิจจวาร
[๕] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและ
ที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่มีทั้งวิตก
และวิจารอาศัยวิตกและหทัยวัตถุเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและ
ที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่มี
วิตกมีเพียงวิจารและอาศัยวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ และวิจาร
เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและอาศัยวิจาร
เกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ และวิจารเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓
อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒
อาศัยขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและ
ที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่ไม่
มีวิตกมีเพียงวิจารและอาศัยวิจารเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่ไม่มีวิตกมี
เพียงวิจารและอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยวิตกและมหาภูตรูป
เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูปอาศัยขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและอาศัยวิจาร
เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูปอาศัยขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและอาศัย
มหาภูตรูปเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูปอาศัยวิตกและมหาภูตรูปเกิดขึ้น ใน
ปฏิสนธิขณะ วิจารอาศัยขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น (๓)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีวิตก
มีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ
ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยวิตกและหทัยวัตถุเกิดขึ้น กฏัตตารูปอาศัยวิตกและ
มหาภูตรูปเกิดขึ้น (๔)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่
มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และ
จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและอาศัยวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ
ขันธ์ ๒ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๒ และวิจารเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๑. ปฏิจจวาร
ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและอาศัยวิจารเกิดขึ้น
ฯลฯ ขันธ์ ๒ และกฏัตตารูปอาศัยขันธ์ ๒ และวิจารเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ
ขันธ์ ๓ และวิจารอาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น
ฯลฯ ขันธ์ ๒ และวิจารอาศัยขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุเกิดขึ้น (๕)
[๖] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่
มีวิตกมีเพียงวิจารเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีทั้ง
วิตกวิจารและอาศัยวิตกเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ และวิตกเกิดขึ้น
ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกวิจารและอาศัยวิตกเกิดขึ้น ฯลฯ
ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ และวิตกเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มี
วิตกมีเพียงวิจารเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่มีทั้งวิตก
วิจารและอาศัยวิตกเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูปอาศัยขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจาร
และอาศัยวิตกเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตก
วิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตต-
สมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกวิจารและอาศัยวิตกเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ และ
จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๒ และวิตกเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และ
กฏัตตารูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกวิจารและอาศัยวิตกเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ และ
กฏัตตารูปอาศัยขันธ์ ๒ และวิตกเกิดขึ้น (๓)
[๗] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารที่ไม่มีวิตก
มีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ
ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกวิจารอาศัยวิตกและหทัยวัตถุเกิดขึ้น ฯลฯ
ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ วิตกและหทัยวัตถุเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารที่ไม่มีวิตก
มีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐาน-
รูปอาศัยขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารอาศัยวิตกและมหาภูตรูปเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ
กฏัตตารูปอาศัยขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารอาศัยวิตกและมหาภูตรูปเกิดขึ้น (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๑. ปฏิจจวาร
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตก
วิจารที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ใน
ปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกวิจารอาศัยวิตกและหทัยวัตถุเกิดขึ้น
ขันธ์ ๑ อาศัยขันธ์ ๓ วิตกและหทัยวัตถุเกิดขึ้น ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ วิตก
และหทัยวัตถุเกิดขึ้น กฏัตตารูปอาศัยขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารอาศัยวิตกและมหาภูตรูป
เกิดขึ้น (๓)

อารัมมณปัจจัย
[๘] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจาร
เกิดขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกและวิจาร
เกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้น
เพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่ วิตกอาศัยขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้น ใน
ปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๒)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้ง
วิตกและวิจารเกิดขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และวิตกอาศัยขันธ์ ๑
ที่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ และวิตกอาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น ใน
ปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๓)
[๙] สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
เกิดขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
เกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเกิดขึ้น
เพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยวิตกเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ
ฯลฯ (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
เกิดขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่ วิจารอาศัยขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเกิดขึ้น
ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๑. ปฏิจจวาร
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่
มีวิตกมีเพียงวิจารเกิดขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และวิจารอาศัย
ขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ และวิจารอาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น
ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๔)
[๑๐] สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร
เกิดขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่มีทั้งวิตกและ
วิจารเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓
อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น
ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น วิจารอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้น
เพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัย
หทัยวัตถุเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้น
เพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัยวิจารเกิดขึ้น ใน
ปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัยวิจารเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์
ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ วิตกอาศัยหทัยวัตถุ
เกิดขึ้น (๓)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่
มีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่ไม่มี
วิตกมีเพียงวิจารและวิจารอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น (๔)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีทั้ง
วิตกและวิจารเกิดขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่มีทั้งวิตก
วิจารและวิตกอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น (๕)
[๑๑] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่
มีทั้งวิตกวิจารเกิดขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัย
ขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกวิจารและอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒
และหทัยวัตถุเกิดขึ้น (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๑. ปฏิจจวาร
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้ง
วิตกวิจารเกิดขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ วิตกอาศัยขันธ์ที่มี
ทั้งวิตกวิจารและอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตก
วิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเกิดขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ
ขันธ์ ๓ และวิตกอาศัยขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกวิจารและอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น ฯลฯ
ขันธ์ ๒ และวิตกอาศัยขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุเกิดขึ้น (๓)
[๑๒] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
และที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเกิดขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่
มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยวิตกและหทัยวัตถุเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและ
ที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเกิดขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่
ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและอาศัยวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ และ
วิจารเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและ
อาศัยวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ และวิจารเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ
ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น ฯลฯ
ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและ
ที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเกิดขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ วิจารอาศัย
ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น (๓)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่
มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเกิดขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่ ใน
ปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และวิจารอาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและอาศัย
หทัยวัตถุเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ และวิจารอาศัยขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุเกิดขึ้น (๔)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๑. ปฏิจจวาร
[๑๓] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่
มีวิตกมีเพียงวิจารเกิดขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่มี
ทั้งวิตกวิจารและอาศัยวิตกเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ และวิตกเกิดขึ้น
ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารที่ไม่มีวิตกมี
เพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเกิดขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ
ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกวิจารอาศัยวิตกและหทัยวัตถุเกิดขึ้น ฯลฯ
ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ วิตกและหทัยวัตถุเกิดขึ้น (๑)
(พึงจําแนกปัจจัย ๒๐ ที่เหลือเหมือนที่จําแนกปัจจัย ๒ ไว้ตามแนวทางการ
สาธยาย)

วิปปยุตตปัจจัย
[๑๔] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจาร
เกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกและวิจาร
เกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ
ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุ
เกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้น
เพราะวิปปยุตตปัจจัย ได้แก่ วิตกอาศัยขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้น ขันธ์อาศัย
หทัยวัตถุเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้น
เพราะวิปปยุตตปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้น
จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์เกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๓)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตก
และวิจารเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัย
ขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้นเพราะ
วิปปยุตตปัจจัย จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์เกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิ-
ขณะ ฯลฯ (๔)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๑. ปฏิจจวาร
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้ง
วิตกและวิจารเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย ได้แก่ วิตกและจิตตสมุฏฐานรูปอาศัย
ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้น วิตกอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย
จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์เกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๕)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตก
และวิจารเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และวิตกอาศัยขันธ์ ๑ ที่มี
ทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ และวิตกอาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น ขันธ์ ๒
และวิตกอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๖)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารอาศัย
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ วิตก
และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ วิตก
และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น ขันธ์และวิตกอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น
เพราะวิปปยุตตปัจจัย จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์เกิดขึ้น เพราะวิปปยุตตปัจจัย
ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๗)
[๑๕] สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
เกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์
๒ ฯลฯ ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเกิดขึ้น
เพราะวิปปยุตตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยวิตกเกิดขึ้น ขันธ์
อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเกิดขึ้น
เพราะวิปปยุตตปัจจัย ได้แก่ วิจารและจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียง
วิจารเกิดขึ้น วิจารอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย จิตตสมุฏฐานรูป
อาศัยขันธ์เกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยวิตกเกิดขึ้น จิตต-
สมุฏฐานรูปอาศัยวิตกเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๑. ปฏิจจวาร
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมี
เพียงวิจารเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและจิตต-
สมุฏฐานรูปอาศัยวิตกเกิดขึ้น ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย
จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยวิตกเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๔)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มี
วิตกมีเพียงวิจารเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ วิจารและจิตต-
สมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ วิจาร
และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น ขันธ์และวิจารอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น
เพราะวิปปยุตตปัจจัย จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์เกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย ใน
ปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๕)
[๑๖] สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร
เกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑
ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุ
เกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์เกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย
จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยวิจารเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยวิจารเกิดขึ้นเพราะ
วิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูปอาศัยวิจารเกิดขึ้น
กฏัตตารูปอาศัยวิจารเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย หทัยวัตถุอาศัยขันธ์เกิดขึ้น
ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย
หทัยวัตถุอาศัยขันธ์เกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย หทัยวัตถุอาศัยวิจารเกิดขึ้น
วิจารอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น วิจารอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย
หทัยวัตถุอาศัยวิจารเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย มหาภูตรูป ๓ อาศัยมหาภูตรูป
๑ เกิดขึ้น ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปอาศัยมหาภูตรูป
เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปอาศัยขันธ์เกิดขึ้นเพราะ
วิปปยุตตปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้น
เพราะวิปปยุตตปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัย
หทัยวัตถุเกิดขึ้น ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๑. ปฏิจจวาร
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร
เกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัยวิจารเกิดขึ้น
ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่ไม่มีวิตก
มีเพียงวิจารอาศัยวิจารเกิดขึ้น ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย
ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น ขันธ์อาศัย
หทัยวัตถุเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ วิตกอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น
วิตกอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตก
และวิจารเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและ
วิจารอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น กฏัตตารูปอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุ
เกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย กฏัตตารูปอาศัยขันธ์เกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย (๔)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่
มีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้นเพราะ
วิปปยุตตปัจจัย จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยวิจารเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย ใน
ปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและกฏัตตารูปอาศัยวิจารเกิดขึ้น ขันธ์
อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย กฏัตตารูปอาศัยวิจารเกิดขึ้นเพราะ
วิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น
กฏัตตารูปอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย
กฏัตตารูปอาศัยขันธ์เกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ วิตกอาศัย
หทัยวัตถุเกิดขึ้น กฏัตตารูปอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น วิตกอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น
เพราะวิปปยุตตปัจจัย กฏัตตารูปอาศัยขันธ์เกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย ใน
ปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิจารอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น ขันธ์และ
วิจารอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย (๕)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มี
ทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่มีทั้ง
วิตกวิจารและวิตกอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น ขันธ์และวิตกอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้นเพราะ
วิปปยุตตปัจจัย (๖)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๑. ปฏิจจวาร
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจาร อาศัย
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิ-
ขณะ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตกอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น กฏัตตารูปอาศัย
มหาภูตรูปเกิดขึ้น ขันธ์และวิตกอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย
กฏัตตารูปอาศัยขันธ์เกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย (๗)
[๑๗] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่
ไม่มีทั้งวิตกวิจารเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัย
ขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกวิจารและอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น
เพราะวิปปยุตตปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มี
ทั้งวิตกวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ วิตกอาศัยขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและอาศัย
หทัยวัตถุเกิดขึ้น วิตกอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้ง
วิตกวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและอาศัย
มหาภูตรูปเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์เกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย ใน
ปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๓)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตก
วิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑
ที่มีทั้งวิตกวิจารและอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ และ
หทัยวัตถุเกิดขึ้น กฏัตตารูปอาศัยขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น
ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย กฏัตตารูปอาศัยขันธ์เกิดขึ้นเพราะ
วิปปยุตตปัจจัย (๔)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มี
ทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ วิตกอาศัยขันธ์ที่
มีทั้งวิตกวิจารและอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น กฏัตตารูปอาศัยขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและ
อาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น วิตกอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย กฏัตตารูป
อาศัยขันธ์เกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย (๕)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๑. ปฏิจจวาร
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตก
วิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และวิตก
อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกวิจารและอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ และ
วิตกอาศัยขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุเกิดขึ้น ขันธ์ ๒ และวิตกอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น
เพราะวิปปยุตตปัจจัย (๖)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารอาศัย
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ
ขันธ์ ๓ และวิตกอาศัยขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกวิจารและอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น ฯลฯ
ขันธ์ ๒ และวิตกอาศัยขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุเกิดขึ้น กฏัตตารูปอาศัยขันธ์ที่มีทั้ง
วิตกวิจารและอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น ขันธ์และวิตกอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้นเพราะ
วิปปยุตตปัจจัย กฏัตตารูปอาศัยขันธ์เกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย (๗)
[๑๘] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
และที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัย
วิตกและหทัยวัตถุเกิดขึ้น ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและ
ที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและ
อาศัยวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้นเพราะ
วิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
และอาศัยวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น
เพราะวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตกมีเพียง
วิจารและอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุ
เกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่
ไม่มีทั้งวิตกวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและ
อาศัยวิจารเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์และวิจารเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย
จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น จิตต-

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๑. ปฏิจจวาร
สมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์เกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยวิตกและ
มหาภูตรูปเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยวิตกเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย ใน
ปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูปอาศัยขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและอาศัยวิจารเกิดขึ้น
กฏัตตารูปอาศัยขันธ์และวิจารเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ
กฏัตตารูปอาศัยขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น กฏัตตารูป
อาศัยขันธ์เกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูปอาศัยวิตกและ
มหาภูตรูปเกิดขึ้น กฏัตตารูปอาศัยวิตกเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิ-
ขณะ วิจารอาศัยขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น วิจารอาศัย
หทัยวัตถุเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมี
เพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ
ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยวิตกและหทัยวัตถุเกิดขึ้น กฏัตตารูปอาศัยวิตกและ
มหาภูตรูปเกิดขึ้น ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย กฏัตตารูป
อาศัยวิตกเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย (๔)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มี
วิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป
อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและอาศัยวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์อาศัย
หทัยวัตถุเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์และวิจารเกิดขึ้น
เพราะวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่
ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและอาศัยวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้นเพราะ
วิปปยุตตปัจจัย กฏัตตารูปอาศัยขันธ์และวิจารเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย ใน
ปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและอาศัยหทัยวัตถุ
เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ กฏัตตารูปอาศัยขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและ
อาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย กฏัตตา-
รูปอาศัยขันธ์เกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และวิจาร
อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒
ฯลฯ ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย (๕)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๑. ปฏิจจวาร
[๑๙] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่
มีวิตกมีเพียงวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกวิจารและอาศัย
วิตกเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตต-
ปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตก
มีเพียงวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและอาศัยวิตก
เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์และวิตกเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ
ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์และวิตกเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตก
วิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัย
ขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกวิจารและอาศัยวิตกเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์
อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์และวิตกเกิด
ขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้นเพราะ
วิปปยุตตปัจจัย กฏัตตารูปอาศัยขันธ์และวิตกเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย (๓)
[๒๐] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารที่ไม่มี
วิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓
อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกวิจารอาศัยวิตกและหทัยวัตถุเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒
ฯลฯ ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารที่ไม่มีวิตกมี
เพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่มีทั้ง
วิตกวิจารอาศัยวิตกและมหาภูตรูปเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์และวิตก
เกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์และ
วิตกเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตก
วิจาร ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร และที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย
ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกวิจารอาศัยวิตกและ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๑. ปฏิจจวาร
หทัยวัตถุเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ กฏัตตารูปอาศัยขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจาร
อาศัยวิตกและมหาภูตรูปเกิดขึ้น ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย
กฏัตตารูปอาศัยขันธ์และวิตกเกิดขึ้นเพราะวิปปยุตตปัจจัย (๓)

อัตถิปัจจัย - อวิคตปัจจัย
[๒๑] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเกิด
ขึ้นเพราะอัตถิปัจจัย ฯลฯ เพราะนัตถิปัจ จัย เพราะวิคตปัจจัย เพราะอวิคตปัจจัย (ย่อ)

๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๒๒] เหตุปัจจัย มี ๓๗ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๒๑ วาระ
อธิปติปัจจัย มี ๒๓ วาระ
อนันตรปัจจัย มี ๒๑ วาระ
สมนันตรปัจจัย มี ๒๑ วาระ
สหชาตปัจจัย มี ๓๗ วาระ
อัญญมัญญปัจจัย มี ๒๘ วาระ
นิสสยปัจจัย มี ๓๗ วาระ
อุปนิสสยปัจจัย มี ๒๑ วาระ
ปุเรชาตปัจจัย มี ๑๑ วาระ
อาเสวนปัยจัย มี ๑๑ วาระ
กัมมปัจจัย มี ๓๗ วาระ
วิปากปัจจัย มี ๓๗ วาระ
อาหารปัจจัย มี ๓๗ วาระ
อินทรียปัจจัย มี ๓๗ วาระ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๑. ปฏิจจวาร

ฌานปัจจัย มี ๓๗ วาระ
มัคคปัจจัย มี ๓๗ วาระ
สัมปยุตตปัจจัย มี ๒๑ วาระ
วิปปยุตตปัจจัย มี ๓๗ วาระ
อัตถิปัจจัย มี ๓๗ วาระ
นัตถิปัจจัย มี ๒๑ วาระ
วิคตปัจจัย มี ๒๑ วาระ
อวิคตปัจจัย มี ๓๗ วาระ

ทุกนัย

อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๒๑ วาระ ฯลฯ
อวิคตปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๓๗ วาระ (ย่อ)

(พึงนับเหมือนการนับในกุสลติกะ)

อนุโลม จบ

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๑. วิภังควาร
นเหตุปัจจัย
[๒๓] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจาร
เกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอเหตุกะซึ่งมีทั้งวิตกและ
วิจารเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะที่เป็นอเหตุกะ
ฯลฯ โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วยอุทธัจจะอาศัยขันธ์ที่สหรคตด้วย
วิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้น
เพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ วิตกอาศัยขันธ์ที่เป็นอเหตุกะซึ่งมีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้น
ในปฏิสนธิขณะที่เป็นอเหตุกะ ฯลฯ (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๒๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๑. ปฏิจจวาร
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้น
เพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่เป็นอเหตุกะซึ่งมีทั้งวิตกและ
วิจารเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะที่เป็นอเหตุกะ ฯลฯ (๓)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและ
วิจารเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑
ที่เป็นอเหตุกะซึ่งมีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ และจิตตสมุฏฐานรูป
อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะที่เป็นอเหตุกะ ฯลฯ (๔)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้ง
วิตกและวิจารเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ วิตกและจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์
ที่เป็นอเหตุกะซึ่งมีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะที่เป็นอเหตุกะ ฯลฯ (๕)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้ง
วิตกและวิจารเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และวิตกอาศัยขันธ์ ๑ ที่
เป็นอเหตุกะซึ่งมีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ และวิตกอาศัยขันธ์ ๒
เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะที่เป็นอเหตุกะ ฯลฯ (๖)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารอาศัย
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ วิตกและ
จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอเหตุกะซึ่งมีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ ใน
ปฏิสนธิขณะที่เป็นอเหตุกะ ฯลฯ (๗)
[๒๔] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
เกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยวิตกที่เป็นอเหตุกะ
เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะที่เป็นอเหตุกะ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยวิตกเกิดขึ้น
โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วยอุทธัจจะอาศัยวิตกที่สหรคตด้วย
วิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเกิดขึ้น
เพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยวิตกที่เป็นอเหตุกะเกิดขึ้น ใน
ปฏิสนธิขณะที่เป็นอเหตุกะ กฏัตตารูปอาศัยวิตกเกิดขึ้น (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๒๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๑. ปฏิจจวาร
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมี
เพียงวิจารเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและจิตตสมุฏฐานรูป
อาศัยวิตกที่เป็นอเหตุกะเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะที่เป็นอเหตุกะ ขันธ์ที่มีทั้งวิตก
วิจารและกฏัตตารูปอาศัยวิตกเกิดขึ้น (๓)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร
เกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอเหตุกะซึ่งไม่มีทั้ง
วิตกและวิจารเกิดขึ้น ขันธ์ ๑ อาศัยขันธ์ ๓ เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น
มหาภูตรูป ๓ อาศัยมหาภูตรูป ๑ เกิดขึ้น ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูป
ที่เป็นอุปาทายรูปอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น ... ที่เป็นภายนอก ... ที่มีอาหารเป็น
สมุฏฐาน ... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ... สําหรับเหล่าอสัญญสัตตพรหม ... อาศัย
มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ กฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้น
เพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะที่เป็นอเหตุกะ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและ
วิจารอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร
เกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะที่เป็นอเหตุกะ วิตกอาศัยหทัยวัตถุ
เกิดขึ้น (๓)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีทั้ง
วิตกและวิจารเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะที่เป็นอเหตุกะ ขันธ์
ที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น กฏัตตารูปอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น (๔)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มี
ทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะที่เป็นอเหตุกะ
วิตกอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น กฏัตตารูปอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น (๕)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มี
ทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะที่เป็นอเหตุกะ
ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตกอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น (๖)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๒๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๑. ปฏิจจวาร
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจาร ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร และที่ไม่มีทั้งวิตกวิจาร
อาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ ใน
ปฏิสนธิขณะที่เป็นอเหตุกะ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตกอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น
กฏัตตารูปอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น (๗)
[๒๕] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่
ไม่มีทั้งวิตกวิจารเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะที่เป็นอเหตุกะ
ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกวิจารและอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒
อาศัยขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มี
ทั้งวิตกวิจารเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะที่เป็นอเหตุกะ วิตก
อาศัยขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มี
ทั้งวิตกวิจารเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่เป็น
อเหตุกะซึ่งมีทั้งวิตกวิจารและอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะที่เป็นอเหตุกะ
กฏัตตารูปอาศัยขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น (๓)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตก
วิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะที่เป็น
อเหตุกะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกวิจารและอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น ฯลฯ
ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุเกิดขึ้น กฏัตตารูปอาศัยขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจาร
และอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น (๔)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้ง
วิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะที่
เป็นอเหตุกะ วิตกอาศัยขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น กฏัตตารูป
อาศัยขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น (๕)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตก
วิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะที่เป็น

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๒๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๑. ปฏิจจวาร
อเหตุกะ ขันธ์ ๓ และวิตกอาศัยขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกวิจารและอาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น
ฯลฯ ขันธ์ ๒ และวิตกอาศัยขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุเกิดขึ้น (๖)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารอาศัย
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่
ในปฏิสนธิขณะที่เป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๓ และวิตกอาศัยขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกวิจารและ
อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ และวิตกอาศัยขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุเกิดขึ้น
กฏัตตารูปอาศัยขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น (๗)
[๒๖] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
และที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะที่เป็นอเหตุกะ
ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยวิตกและหทัยวัตถุเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและ
ที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยวิตกที่เป็น
อเหตุกะและอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะที่เป็นอเหตุกะ กฏัตตารูปอาศัย
วิตกและมหาภูตรูปเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีวิตก
มีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ
ที่เป็นอเหตุกะ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยวิตกและหทัยวัตถุเกิดขึ้น กฏัตตารูป
อาศัยวิตกและมหาภูตรูปเกิดขึ้น (๓)
[๒๗] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่
ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่
เป็นอเหตุกะซึ่งมีทั้งวิตกวิจารและอาศัยวิตกเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒
และวิตกเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะที่เป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตก
วิจารและอาศัยวิตกเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ และวิตกเกิดขึ้น โมหะ
ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วยอุทธัจจะอาศัยขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา
ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะและอาศัยวิตกเกิดขึ้น (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๒๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๑. ปฏิจจวาร
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตก
มีเพียงวิจารเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่เป็นอเหตุกะ
ซึ่งมีทั้งวิตกวิจารและอาศัยวิตกเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะที่เป็นอเหตุกะ ฯลฯ (๒)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตก
วิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตต-
สมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอเหตุกะซึ่งมีทั้งวิตกวิจาร และอาศัยวิตกเกิดขึ้น ฯลฯ
ขันธ์ ๒ และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๒ และวิตกเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะที่
เป็นอเหตุกะ ฯลฯ (๓)
[๒๘] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารที่ไม่มีวิตก
มีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ
ที่เป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกวิจารอาศัยวิตกและหทัยวัตถุ
เกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ วิตกและหทัยวัตถุเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารที่ไม่มีวิตก
มีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูป
อาศัยขันธ์ที่เป็นอเหตุกะซึ่งมีทั้งวิตกวิจารอาศัยวิตกและมหาภูตรูปเกิดขึ้น ใน
ปฏิสนธิขณะที่เป็นอเหตุกะ ฯลฯ (๒)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตก
วิจาร ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่
ในปฏิสนธิขณะที่เป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกวิจารอาศัยวิตก
และหทัยวัตถุเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ วิตกและหทัยวัตถุเกิดขึ้น
กฏัตตารูปอาศัยขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารอาศัยวิตกและมหาภูตรูปเกิดขึ้น (๓)

นอารัมมณปัจจัย
[๒๙] สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจาร
เกิดขึ้นเพราะนอารัมมณปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่มีทั้งวิตกและ
วิจารเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูปอาศัยขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้น (๑))

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๒๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๑. ปฏิจจวาร
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเกิดขึ้น
เพราะนอารัมมณปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยวิตกเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูปอาศัยขันธ์ที่
ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูปอาศัยวิตกเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร
เกิดขึ้นเพราะนอารัมมณปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่ไม่มีทั้งวิตกและ
วิจารเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยวิจารเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูปอาศัย
ขันธ์ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้น กฏัตตารูปอาศัยวิจารเกิดขึ้น ทหัยวัตถุอาศัย
ขันธ์เกิดขึ้น หทัยวัตถุอาศัยวิจารเกิดขึ้น ... อาศัยมหาภูตรูป ๑ ฯลฯ ที่เป็น
ภายนอก ... ที่มีอาหารเป็นสมุฏฐาน ... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ... สําหรับเหล่า
อสัญญสัตตพรหม ...อาศัยมหาภูตรูป ๑ ฯลฯ (๑)
[๓๐] สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและ
ที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเกิดขึ้นเพราะนอารัมมณปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์
ที่มีทั้งวิตกวิจารและอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูปอาศัยขันธ์
ที่มีทั้งวิตกวิจารและอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและ
ที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเกิดขึ้นเพราะนอารัมมณปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์
ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและอาศัยวิจารเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่ไม่มีวิตก
มีเพียงวิจารและอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยวิตกและมหาภูตรูป
เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูปอาศัยขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและอาศัยวิจาร
ฯลฯ เกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตก
มีเพียงวิจารเกิดขึ้นเพราะนอารัมมณปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่มีทั้ง
วิตกวิจารและอาศัยวิตกเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารที่ไม่มีวิตกมี
เพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเกิดขึ้นเพราะนอารัมมณปัจจัย ได้แก่ จิตต-
สมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารอาศัยวิตกและมหาภูตรูปเกิดขึ้น ในปฏิสนธิ-
ขณะ ฯลฯ กฏัตตารูป (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๒๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๑. ปฏิจจวาร
นอธิปติปัจจัย
[๓๑] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจาร
เกิดขึ้นเพราะนอธิปติปัจจัย ฯลฯ มี ๗ วาระ
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
เกิดขึ้นเพราะนอธิปติปัจจัย ได้แก่ อธิบดีธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัยขันธ์ที่
ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเกิดขึ้น ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นวิบากซึ่งไม่มีวิตกมีเพียง
วิจารเกิดขึ้น ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเกิดขึ้น
เพราะนอธิปติปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยวิตกเกิดขึ้น ในปฏิสนธิ-
ขณะ ฯลฯ (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
เกิดขึ้นเพราะนอธิปติปัจจัย ได้แก่ วิจารและจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่เป็นวิบาก
ซึ่งไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเกิดขึ้นในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๓)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีวิตก
มีเพียงวิจารเกิดขึ้นเพราะนอธิปติปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและจิตต-
สมุฏฐานรูปอาศัยวิตกเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๔)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มี
วิตกมีเพียงวิจารเกิดขึ้นเพราะนอธิปติปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ วิจารและจิตตสมุฏฐาน-
รูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นวิบากซึ่งไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ
ฯลฯ (๕)
[๓๒] สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและ
วิจารเกิดขึ้นเพราะนอธิปติปัจจัย ได้แก่ อธิบดีธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัย
ขันธ์ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้น ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นวิบากซึ่งไม่มีทั้ง
วิตกและวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๒๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๑. ปฏิจจวาร
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้น
เพราะนอธิปติปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยหทัย
วัตถุเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้น
เพราะนอธิปติปัจจัย ได้แก่ อธิบดีธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัยวิจารเกิดขึ้น
ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัยวิจารที่เป็นวิบากเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๓)
... อาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร ... มี ๗ วาระ
[๓๓] ... อาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจาร ... มี ๗
วาระ (ย่อ)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร และ
ที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเกิดขึ้น เพราะ
นอธิปติปัจจัย อธิบดีธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัยขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
และอาศัยวิจารเกิดขึ้น ... อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นวิบากซึ่งไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและ
อาศัยวิจาร ... (ย่อ)

นอนันตรปัจจัยเป็นต้น
[๓๔] สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจาร
เกิดขึ้นเพราะนอนันตรปัจจัย เพราะนสมนันตรปัจจัย เพราะนอัญญมัญญปัจจัย
เพราะนอุปนิสสยปัจจัย (ปัจจัยนี้เหมือนกับนอารัมมณปัจจัย)

นปุเรชาตปัจจัย
[๓๕] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจาร
เกิดขึ้นเพราะนปุเรชาตปัจจัย มี ๗ วาระ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๒๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๑. ปฏิจจวาร
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเกิดขึ้น
เพราะนปุเรชาตปัจจัย ได้แก่ ในอรูปาวจรภูมิ ... อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตกมี
เพียงวิจาร ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเกิดขึ้น
เพราะนปุเรชาตปัจจัย ได้แก่ ในอรูปาวจรภูมิ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยวิตก
เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเกิดขึ้น
เพราะนปุเรชาตปัจจัย ได้แก่ ในอรูปาวจรภูมิ วิจารอาศัยขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูป
อาศัยวิตกเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๓)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมี
เพียงวิจารเกิดขึ้นเพราะนปุเรชาตปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจาร
และกฏัตตารูปอาศัยวิตกเกิดขึ้น (๔)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มี
วิตกมีเพียงวิจารเกิดขึ้นเพราะนปุเรชาตปัจจัย ฯลฯ ในอรูปาวจรภูมิ ขันธ์ ๓ และ
วิจารอาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๕)
[๓๖] สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร
เกิดขึ้นเพราะนปุเรชาตปัจจัย ได้แก่ ในอรูปาวจรภูมิ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่
ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่ไม่มีทั้งวิตกและ
วิจารเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยวิจารเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้น
เพราะนปุเรชาตปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัย
หทัยวัตถุเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้น
เพราะนปุเรชาตปัจจัย ได้แก่ ในอรูปาวจรภูมิ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัย
วิจารเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ (ย่อ) (๗)
... อาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจาร มี ๗ วาระ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๒๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๑. ปฏิจจวาร
[๓๗] สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียง
วิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเกิดขึ้นเพราะนปุเรชาตปัจจัย ได้แก่ ในอรูปาวจรภูมิ
ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและอาศัยวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ ใน
ปฏิสนธิขณะ (ย่อ) (๗)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่
มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ (ย่อ)
(ในนปุเรชาตมูลกนัย พึงเพิ่มรูปาวจรภูมิให้เหมือนกับอรูปาวจรภูมิล้วน ๆ)

นปัจฉาชาตปัจจัยเป็นต้น
[๓๘] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจาร
เกิดขึ้นเพราะนปัจฉาชาตปัจจัย ฯลฯ เพราะนอาเสวนปัจจัย มี ๗ วาระ
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเกิดขึ้น
เพราะนอาเสวนปัจจัย ได้แก่ ... อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นวิบากซึ่งไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
... (ย่อ) (๕)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้น
เพราะนอาเสวนปัจจัย ได้แก่ ... อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นวิบากซึ่งไม่มีทั้งวิตกและวิจาร
... (ย่อ)
(ในนอาเสวนมูลกนัย เมื่อรวมสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเข้ากับวิบาก
พึงทําให้เหมือนกับนปุเรชาตปัจจัย
อนึ่ง เมื่อรวมสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเข้ากับสภาวธรรมที่ไม่มีวิตก
มีเพียงวิจารก็พึงแสดงวิบากไว้ด้วย)

นกัมมปัจจัย
[๓๙] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจาร
เกิดขึ้นเพราะนกัมมปัจจัย ได้แก่ เจตนาที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยขันธ์ที่มีทั้งวิตก
และวิจารเกิดขึ้น (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๓๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๑. ปฏิจจวาร
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเกิดขึ้น
เพราะนกัมมปัจจัย ได้แก่ เจตนาที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัยขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียง
วิจารเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเกิดขึ้น
เพราะนกัมมปัจจัย ได้แก่ เจตนาที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยวิตกเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้น
เพราะนกัมมปัจจัย ได้แก่ เจตนาที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยขันธ์ที่ไม่มีทั้งวิตก
และวิจารเกิดขึ้น ... ที่เป็นภายนอก ... ที่มีอาหารเป็นสมุฏฐาน ... ที่มีอุตุเป็น
สมุฏฐาน ... อาศัยมหาภูตรูป ๑ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้น
เพราะนกัมมปัจจัย ได้แก่ เจตนาที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัยวิจารเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและ
ที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเกิดขึ้นเพราะนกัมมปัจจัย ได้แก่ เจตนาที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
อาศัยขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร และอาศัยวิจารเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตก
มีเพียงวิจารเกิดขึ้นเพราะนกัมมปัจจัย ได้แก่ เจตนาที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยขันธ์
ที่มีทั้งวิตกวิจารและอาศัยวิตกเกิดขึ้น (๑)

นวิปากปัจจัยเป็นต้น
[๔๐] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจาร
เกิดขึ้นเพราะนวิปากปัจจัย ฯลฯ เพราะนอาหารปัจจัย ได้แก่ ที่เป็นภายนอก ...
ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ฯลฯ เพราะนอินทรียปัจจัย ได้แก่ ... ที่เป็นภายนอก ...
ที่มีอาหารเป็นสมุฏฐาน ... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ... สําหรับเหล่าอสัญญสัตตพรหม
รูปชีวิตินทรีย์อาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น ฯลฯ เพราะนฌานปัจจัย ได้แก่ ... อาศัย
ขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยปัญจวิญญาณ ฯลฯ ที่เป็นภายนอก ... ที่มีอาหารเป็น
สมุฏฐาน ... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ... สําหรับเหล่าอสัญญสัตตพรหม ฯลฯ
เพราะนมัคคปัจจัย เพราะนสัมปยุตตปัจจัย

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๓๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๑. ปฏิจจวาร
นวิปปยุตตปัจจัย
[๔๑] ... เพราะนวิปปยุตตปัจจัย ได้แก่ ในอรูปาวจรภูมิ ขันธ์ ๓ อาศัย
ขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้น
เพราะนวิปปยุตตปัจจัย ได้แก่ ในอรูปาวจรภูมิ วิตกอาศัยขันธ์ที่มีทั้งวิตกและ
วิจารเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้ง
วิตกและวิจารเกิดขึ้นเพราะนวิปปยุตตปัจจัย ได้แก่ ในอรูปาวจรภูมิ ขันธ์ ๓
และวิตกอาศัยขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ และวิตกอาศัย
ขันธ์ ๒ เกิดขึ้น (๓)
[๔๒] สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียง
วิจารเกิดขึ้นเพราะนวิปปยุตตปัจจัย ได้แก่ ในอรูปาวจรภูมิ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑
ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเกิดขึ้น
เพราะนวิปปยุตตปัจจัย ได้แก่ ในอรูปาวจรภูมิ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัย
วิตกเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเกิดขึ้น
เพราะนวิปปยุตตปัจจัย ได้แก่ ในอรูปาวจรภูมิ วิจารอาศัยขันธ์ที่ไม่มีวิตก
มีเพียงวิจารเกิดขึ้น (๓)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่
มีวิตกมีเพียงวิจารเกิดขึ้นเพราะนวิปปยุตตปัจจัย ได้แก่ ในอรูปาวจรภูมิ ขันธ์ ๓
และวิจารอาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ และ
วิจารอาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น (๔)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้น
เพราะนวิปปยุตตปัจจัย ได้แก่ ในอรูปาวจรภูมิ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่มี
ทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น ... ที่เป็นภายนอก

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๓๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๑. ปฏิจจวาร
... ที่มีอาหารเป็นสมุฏฐาน ... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ... สําหรับเหล่าอสัญญสัตต-
พรหม ... อาศัยมหาภูตรูป ๑ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดขึ้น
เพราะนวิปปยุตตปัจจัย ได้แก่ ในอรูปาวจรภูมิ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัย
วิจารเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารอาศัยสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและ
ที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเกิดขึ้นเพราะนวิปปยุตตปัจจัย ได้แก่ ในอรูปาวจรภูมิ ขันธ์ ๓
อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร และอาศัยวิจารเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒
อาศัยขันธ์ ๒ และวิจารเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มี
วิตกมีเพียงวิจารเกิดขึ้นเพราะนวิปปยุตตปัจจัย ได้แก่ ในอรูปาวจรภูมิ ขันธ์ ๓
อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกวิจารและอาศัยวิตกเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒
และวิตกเกิดขึ้น (๑)

โนนัตถิปัจจัยและโนวิคตปัจจัย
[๔๓] สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารอาศัยสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจาร
เกิดขึ้นเพราะโนนัตถิปัจจัย เพราะโนวิคตปัจจัย (ย่อ)

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๔๔] นเหตุปัจจัย มี ๓๓ วาระ
นอารัมมณปัจจัย มี ๗ วาระ
นอธิปติปัจจัย มี ๓๗ วาระ
นอนันตรปัจจัย มี ๗ วาระ
นสมนันตรปัจจัย มี ๗ วาระ
นอัญญมัญญปัจจัย มี ๗ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๓๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๑. ปฏิจจวาร

นอุปนิสสยปัจจัย มี ๗ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย มี ๓๗ วาระ
นปัจฉาชาตปัจจัย มี ๓๗ วาระ
นอาเสวนปัจจัย มี ๓๗ วาระ
นกัมมปัจจัย มี ๗ วาระ
นวิปากปัจจัย มี ๒๓ วาระ
นอาหารปัจจัย มี ๑ วาระ
นอินทรียปัจจัย มี ๑ วาระ
นฌานปัจจัย มี ๑ วาระ
นมัคคปัจจัย มี ๓๓ วาระ
นสัมปยุตตปัจจัย มี ๗ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย มี ๑๑ วาระ
โนนัตถิปัจจัย มี ๗ วาระ
โนวิคตปัจจัย มี ๗ วาระ (ย่อ)

(พึงนับเหมือนการนับปัจจนียะในกุสลติกะ)
ปัจจนียะ จบ

๓. ปัจจยานุโลมปัจจนียะ

[๔๕] นอารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๗ วาระ ฯลฯ
โนวิคตปัจจัย ” มี ๗ วาระ

(พึงนับเหมือนการนับจำนวนอนุโลมปัจจนียะในกุสลติกะ)

๔. ปัจจยปัจจนียานุโลม
นเหตุทุกนัย

[๔๖] อารัมมณปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๑๔ วาระ
อนันตรปัจจัย ” มี ๑๔ วาระ
สมนันตรปัจจัย ” มี ๑๔ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๓๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๓. ปัจจยวาร

สหชาตปัจจัย ” มี ๓๓ วาระ
อัญญมัญญปัจจัย ” มี ๒๒ วาระ
นิสสยปัจจัย ” มี ๓๓ วาระ
อุปนิสสยปัจจัย ” มี ๑๔ วาระ
ปุเรชาตปัจจัย ” มี ๖ วาระ
อาเสวนปัจจัย ” มี ๕ วาระ
กัมมปัจจัย ” มี ๓๓ วาระ ฯลฯ
ฌานปัจจัย ” มี ๓๓ วาระ
มัคคปัจจัย ” มี ๓ วาระ
สัมปยุตตปัจจัย ” มี ๑๔ วาระ
วิปปยุตตปัจจัย ” มี ๓๓ วาระ ฯลฯ
อวิคตปัจจัย ” มี ๓๓ วาระ (ย่อ)

(พึงนับเหมือนการนับจำนวนปัจจนียานุโลมในกุสลติกะ)
ปฏิจจวาร จบ
(พึงเพิ่มสหชาตวารให้เหมือนกับปฏิจจวาร)

๖. วิตักกติกะ ๓. ปัจจยวาร
๑. ปัจจยานุโลม
เหตุปัจจัย
[๔๗] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารทำสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารให้เป็น
ปัจจัยเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ ทำขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกและวิจารให้เป็น
ปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒... มี ๗ วาระ
... ทำสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร ... มี ๕ วาระ (ปัจจัยนี้เหมือน
กับปฏิจจวาร)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๓๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๓. ปัจจยวาร
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารทำสภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารให้เป็น
ปัจจัยเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปทำขันธ์ ๑ ที่
ไม่มีทั้งวิตกและวิจารให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ทำขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป
ทำวิจารให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ ขันธ์ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารทำ
หทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น วิจารทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารทำสภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารให้เป็นปัจจัย
เกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ
ฯลฯ (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารทำสภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารให้เป็น
ปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารทำวิจารให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ขันธ์
ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น วิตกทำหทัยวัตถุให้เป็น
ปัจจัยเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๓)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารทำสภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตก
และวิจารให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารทำหทัยวัตถุให้เป็น
ปัจจัยเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปทำมหาภูตรูปให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ
ฯลฯ (๔)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารทำสภาวธรรมที่ไม่มีทั้ง
วิตกและวิจารให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและจิตต-
สมุฏฐานรูปทำวิจารให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารทำหทัยวัตถุ
ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปทำมหาภูตรูปให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น วิตก
ทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปทำมหาภูตรูปให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น
ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิจารทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ
ฯลฯ (๕)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารทำสภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตก
และวิจารให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตกทำหทัยวัตถุให้เป็น
ปัจจัยเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๖)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๓๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๓. ปัจจยวาร
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารทำภาว-
ธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและ
วิตกทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปทำมหาภูตรูปให้เป็นปัจจัย
เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๗)
[๔๘] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารทำสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มี
ทั้งวิตกวิจารให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๓ ทำขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกวิจารและ
ทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ทำขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารทำสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจาร
ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ (ปฏิสนธิขณะที่มีในอุทาหรณ์แรก พึงเพิ่มเป็น ๗ วาระ)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารทำสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มี
ทั้งวิตกวิจารให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารทำวิตกและหทัย-
วัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารทำสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่
มีทั้งวิตกวิจารให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๓ ทำขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
และทำวิจารให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๓ ทำขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
และทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ ทำขันธ์ ๑ ที่
ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและทำวิจารให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓
ทำขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารทำสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่
ไม่มีทั้งวิตกวิจารให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปทำขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียง
วิจารและทำวิจารให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปทำขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียง
วิจารและทำมหาภูตรูปให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปทำวิตกและมหาภูตรูป
ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น วิจารทำขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัย
เกิดขึ้น (ในปฏิสนธิขณะ มีอาการ ๔ เหมือนกัน) (๓)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารทำสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมี
เพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจาร

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๓๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๓. ปัจจยวาร
ทำวิตกและหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปทำวิตกและมหาภูตรูป ให้
เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๔)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารทำสภาวธรรมที่ไม่มี
วิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๓ และ
จิตตสมุฏฐานรูปทำขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและทำวิจารให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น
ฯลฯ ขันธ์ ๓ ทำขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น
ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปทำขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและทำมหาภูตรูปให้เป็นปัจจัย
เกิดขึ้น ขันธ์ ๓ และวิจารทำขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและทำหทัยวัตถุ
ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ ฯลฯ (๕)
(ในฆฏนาทั้ง ๒ ฝ่ายที่เหลือพึงขยายปวัตติกาลและปฏิสนธิกาลให้พิสดาร)
เหตุปัจจัย จบ
(ผู้รู้เหตุปัจจัย พึงขยายปัจจยวารให้พิสดาร พึงนับเหมือนการนับปฏิจจวาร
อธิปติปัจจัย มี ๓๗ วาระ ปุเรชาตปัจจัยและอาเสวนปัจจัย มี ๒๑ วาระ นี้
เป็นความต่างกันในปัจจยวารนี้)

๒. ปัจจยปัจจนียะ
[๔๙] ในปัจจนียะ นเหตุปัจจัย มี ๓๓ วาระ ในฐานทั้ง ๗ พึงยกโมหะ
ทั้ง ๗ ขึ้นแสดงไว้เฉพาะในบทที่เป็นมูล ในนอารัมมณปัจจัยพึงยกสภาวธรรมที่มี
จิตเป็นสมุฏฐานทั้ง ๗ ขึ้นแสดง

นอธิปติปัจจัย
[๕๐] ในนอธิปติปัจจัย พึงเพิ่มวาระที่มีสภาวธรรมซึ่งมีทั้งวิตกและวิจารเป็น
มูลไว้ ๗ วาระ
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารทำสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารให้เป็น
ปัจจัยเกิดขึ้นเพราะนอธิปติปัจจัย ได้แก่ อธิบดีธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารทำขันธ์

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๓๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๓. ปัจจยวาร
ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ขันธ์ ๓ ทำขันธ์ ๑ ที่เป็นวิบากซึ่งไม่
มีวิตกมีเพียงวิจารให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)
... ทำสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร ... (พึงเพิ่ม ๕ วาระเหมือนนัย
แห่งปฏิจจวาร)
[๕๑] สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารทำสภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร
ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ อธิบดีธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารทำขันธ์ที่ไม่มีทั้งวิตก
และวิจารให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปทำขันธ์ ๑ ที่เป็นวิบาก
ซึ่งไม่มีทั้งวิตกและวิจารให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปทำวิจารที่เป็น
วิบากให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ อธิบดีธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและ
วิจารทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ขันธ์ที่เป็นวิบากซึ่งไม่มีทั้งวิตกวิจารและวิจาร
ทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารทำสภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารให้เป็น
ปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ใน
ปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารทำสภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารให้เป็น
ปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ อธิบดีธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารทำวิจารให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น
อธิบดีธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ขันธ์ที่ไม่มีวิตก
มีเพียงวิจารทำวิจารที่เป็นวิบากให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ขันธ์ที่เป็นวิบากซึ่งไม่มีวิตก
มีเพียงวิจารทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๓)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารทำสภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตก
และวิจารให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารทำหทัยวัตถุให้เป็น
ปัจจัยเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปทำมหาภูตรูปให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ
ฯลฯ (๔)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารทำสภาวธรรมที่ไม่มี
ทั้งวิตกและวิจารให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและจิตต-

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๓๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๓. ปัจจยวาร
สมุฏฐานรูปทำวิจารที่เป็นวิบากให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ขันธ์ที่เป็นวิบากซึ่งไม่มีวิตกมี
เพียงวิจารทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปทำมหาภูตรูปให้เป็น
ปัจจัยเกิดขึ้น วิตกทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปทำมหาภูตรูป
ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ขันธ์ที่เป็นวิบากซึ่งไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิจารทำหทัยวัตถุ
ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๕)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารทำสภาวธรรมที่ไม่มีทั้ง
วิตกและวิจารให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตกทำหทัยวัตถุ
ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๖)
(ในฆฏนาแรก พึงเพิ่มให้ครบทั้ง ๗ วาระ)
[๕๒] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารทำสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
และที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารทำวิตก
และหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารทำสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่
ไม่มีทั้งวิตกวิจารให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ อธิบดีธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารทำ
ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและทำวิจารให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น อธิบดีธรรมที่ไม่มีวิตก
มีเพียงวิจาร ทำขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ...
ทำขันธ์ ๑ ที่เป็นวิบากซึ่งไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและทำวิจาร ฯลฯ ขันธ์ ๓ ทำ
ขันธ์ ๑ ที่เป็นวิบากซึ่งไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ
(ในปฏิสนธิขณะ พึงเพิ่มเป็น ๕ วาระ พึงเพิ่มวิบากไว้ในที่มาแห่งสภาว-
ธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร ในนัยที่มีนอธิปติปัจจัยเป็นมูล พึงเพิ่มเป็น ๓๗ วาระ)

นอนันตรปัจจัยเป็นต้น
[๕๓] นอนันตรปัจจัย นสมนันตรปัจจัย นอัญญมัญญปัจจัยและนอุปนิสสย-
ปัจจัย ทุกปัจจัยมีปัจจัยละ ๗ วาระ มีเฉพาะรูปเท่านั้น นปุเรชาตปัจจัยมี ๓๗ วาระ
เหมือนกับปัจจนียะในปฏิจจวาร นปัจฉาชาตปัจจัยมี ๓๗ วาระ แม้นอาเสวนปัจจัย
ก็เหมือนกัน พึงเพิ่มวิบากไว้ในที่มาแห่งสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๔๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๓. ปัจจยวาร
นกัมมปัจจัย
[๕๔] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารทำสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารให้เป็น
ปัจจัยเกิดขึ้นเพราะนกัมมปัจจัย ได้แก่ เจตนาที่มีทั้งวิตกและวิจารทำขันธ์ที่มีทั้ง
วิตกและวิจารให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารทำสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารให้เป็น
ปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ เจตนาที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารทำขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารให้
เป็นปัจจัยเกิดขึ้น สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจาร ฯลฯ เจตนาที่มีทั้งวิตกและ
วิจารทำวิตกให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารทำสภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารให้เป็น
ปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ เจตนาที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร ฯลฯ (พึงเพิ่มให้บริบูรณ์)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจาร ฯลฯ เจตนาที่มีทั้งวิตกและวิจารทำหทัยวัตถุให้
เป็นปัจจัยเกิดขึ้น สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร ฯลฯ เจตนาที่ไม่มีวิตกมี
เพียงวิจารทำวิจารให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น เจตนาที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารทำหทัยวัตถุ
ให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๓)
[๕๕] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารทำสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มี
ทั้งวิตกวิจารให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ เจตนาที่มีทั้งวิตกและวิจารทำขันธ์ที่มีทั้ง
วิตกวิจาร และทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารทำสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มี
ทั้งวิตกวิจารให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ เจตนาที่มีทั้งวิตกและวิจารทำวิตกและหทัย-
วัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารทำสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่
ไม่มีทั้งวิตกวิจารให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ เจตนาที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารทำขันธ์ที่
ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและทำวิจารให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น เจตนาที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
ทำขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและทำหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๔๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๓. ปัจจยวาร
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารทำสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมี
เพียงวิจารให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น ฯลฯ เจตนาที่มีทั้งวิตกและวิจารทำขันธ์ที่มีทั้งวิตก
วิจารและทำวิตกให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารทำสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารที่ไม่มีวิตกมีเพียง
วิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้นเพราะนกัมมปัจจัย ได้แก่ เจตนาที่มี
ทั้งวิตกและวิจารทำขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารวิตกและหทัยวัตถุให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น (๑)
(นวิปากปัจจัยพึงเพิ่มเป็น ๓๗ วาระ พึงขยายนอาหารปัจจัย นอินทรียปัจจัย
นฌานปัจจัย นมัคคปัจจัย นสัมปยุตตปัจจัย นวิปปยุตตปัจจัย โนนัตถิปัจจัย
และโนวิคตปัจจัยให้พิสดาร)

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๕๖] นเหตุปัจจัย มี ๓๓ วาระ
นอารัมมณปัจจัย มี ๗ วาระ
นอธิปติปัจจัย มี ๓๗ วาระ
นอนันตรปัจจัย มี ๗ วาระ
นสมนันตรปัจจัย มี ๗ วาระ
นอัญญมัญญปัจจัย มี ๗ วาระ
นอุปนิสสยปัจจัย มี ๗ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย มี ๓๗ วาระ
นปัจฉาชาตปัจจัย มี ๓๗ วาระ
นอาเสวนปัจจัย มี ๓๗ วาระ
นกัมมปัจจัย มี ๑๑ วาระ
นวิปากปัจจัย มี ๓๗ วาระ
นอาหารปัจจัย มี ๑ วาระ
นอินทรียปัจจัย มี ๑ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๔๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๓. ปัจจยวาร

นฌานปัจจัย มี ๑ วาระ
นมัคคปัจจัย มี ๓๓ วาระ
นสัมปยุตตปัจจัย มี ๗ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย มี ๑๑ วาระ
โนนัตถิปัจจัย มี ๗ วาระ
โนวิคตปัจจัย มี ๗ วาระ

๓. ปัจจยานุโลมปัจจนียะ

[๕๗] นอารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๗ วาระ ฯลฯ
โนวิคตปัจจัย ” มี ๗ วาระ

อนุโลมปัจจนียะ จบ

๔. ปัจจยปัจจนียานุโลม

[๕๘] อารัมมณปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๑๔ วาระ
อนันตรปัจจัย ” มี ๑๔ วาระ
สมนันตรปัจจัย ” มี ๑๔ วาระ
สหชาตปัจจัย ” มี ๓๓ วาระ
อัญญมัญญปัจจัย ” มี ๒๒ วาระ
นิสสยปัจจัย ” มี ๓๓ วาระ
อุปนิสสยปัจจัย ” มี ๑๔ วาระ
ปุเรชาตปัจจัย ” มี ๑๔ วาระ
อาเสวนปัจจัย ” มี ๑๓ วาระ
กัมมปัจจัย ” มี ๓๓ วาระ
วิปากปัจจัย ” มี ๓๓ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๔๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๕. สังสัฏฐวาร

อาหารปัจจัย ” มี ๓๓ วาระ
อินทรียปัจจัย ” มี ๓๓ วาระ
ฌานปัจจัย ” มี ๓๓ วาระ
มัคคปัจจัย ” มี ๕ วาระ
สัมปยุตตปัจจัย ” มี ๑๔ วาระ
วิปปยุตตปัจจัย ” มี ๓๓ วาระ
อัตถิปัจจัย ” มี ๓๓ วาระ ฯลฯ
อวิคตปัจจัย ” มี ๓๓ วาระ

ปัจจนียานุโลม จบ
ปัจจยวาร จบ
(แม้นิสสยวาร ก็ไม่ต่างกัน)

๖. วิตักกติกะ ๕. สังสัฏฐวาร
๑. ปัจจยานุโลม
เหตุปัจจัย
[๕๙] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดระคนกับสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและ
วิจารเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ เกิดระคนกับขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกและวิจาร ฯลฯ
เกิดระคนกับขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเกิดระคนกับสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจาร
ฯลฯ วิตกเกิดระคนกับขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจาร ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๒)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเกิดระคนกับสภาวธรรมที่
มีทั้งวิตกและวิจาร ฯลฯ ขันธ์ ๓ และวิตกเกิดระคนกับขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกและวิจาร
ฯลฯ เกิดระคนกับขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๔๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๕. สังสัฏฐวาร
[๖๐] สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเกิดระคนกับสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมี
เพียงวิจารเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ เกิดระคนกับขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตกมี
เพียงวิจาร ฯลฯ เกิดระคนกับขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดระคนกับสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
ฯลฯ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดระคนกับวิตก ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดระคนกับสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
ฯลฯ วิจารเกิดระคนกับขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร ในปฏิสนธิขณะ วิจารเกิดระคน
กับขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร (๓)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเกิดระคนกับสภาว-
ธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร ฯลฯ ขันธ์ ๓ และวิจารเกิดระคนกับขันธ์ ๑ ที่ไม่
มีวิตกมีเพียงวิจาร ฯลฯ เกิดระคนกับขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๔)
[๖๑] สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดระคนกับสภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตก
และวิจารเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ เกิดระคนกับขันธ์ ๑ ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร
ฯลฯ เกิดระคนกับขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเกิดระคนกับสภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและ
วิจาร ฯลฯ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเกิดระคนกับวิจาร ในปฏิสนธิขณะ ...
เกิดระคนกับวิจาร ฯลฯ (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเกิดระคนกับสภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
และที่ไม่มีทั้งวิตกวิจาร ฯลฯ ขันธ์ ๓ เกิดระคนกับขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
และเกิดระคนกับวิจาร ฯลฯ เกิดระคนกับขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเกิดระคนกับสภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่
ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ เกิดระคนกับขันธ์ ๑ ที่มี
ทั้งวิตกวิจารและเกิดระคนกับวิตก ฯลฯ เกิดระคนกับขันธ์ ๒ และวิตก ฯลฯ
ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)
(ผู้รู้เหตุปัจจัยพึงขยายทุกปัจจัยให้พิสดาร)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๔๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๕. สังสัฏฐวาร
สุทธนัย

[๖๒] เหตุปัจจัย มี ๑๑ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๑๑ วาระ
อธิปติปัจจัย มี ๑๑ วาระ
อนันตรปัจจัย มี ๑๑ วาระ
สมนันตรปัจจัย มี ๑๑ วาระ
สหชาตปัจจัย มี ๑๑ วาระ
อัญญมัญญปัจจัย มี ๑๑ วาระ
นิสสยปัจจัย มี ๑๑ วาระ
อุปนิสสยปัจจัย มี ๑๑ วาระ
ปุเรชาตปัจจัย มี ๑๑ วาระ
อาเสวนปัจจัย มี ๑๑ วาระ
กัมมปัจจัย มี ๑๑ วาระ
วิปากปัจจัย มี ๑๑ วาระ
อาหารปัจจัย มี ๑๑ วาระ
อินทรียปัจจัย มี ๑๑ วาระ
ฌานปัจจัย มี ๑๑ วาระ
มัคคปัจจัย มี ๑๑ วาระ
สัมปยุตตปัจจัย มี ๑๑ วาระ
วิปปยุตตปัจจัย มี ๑๑ วาระ
อัตถิปัจจัย มี ๑๑ วาระ
นัตถิปัจจัย มี ๑๑ วาระ
วิคตปัจจัย มี ๑๑ วาระ
อวิคตปัจจัย มี ๑๑ วาระ

ทุกปัจจัยมีปัจจัยละ ๑๑ วาระ
อนุโลม จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๔๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๕. สังสัฏฐวาร
๒. ปัจจยปัจจนียะ
(ผู้รู้พึงเพิ่มปัจจนียะไว้)

[๖๓] นเหตุปัจจัย มี ๖ วาระ
นอธิปติปัจจัย มี ๑๑ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย มี ๑๑ วาระ
ปัจฉาชาตปัจจัย มี ๑๑ วาระ
นอาเสวนปัจจัย มี ๑๑ วาระ
นกัมมปัจจัย มี ๗ วาระ
นวิปากปัจจัย มี ๑๑ วาระ
นฌานปัจจัย มี ๑ วาระ
นมัคคปัจจัย มี ๖ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย มี ๑๑ วาระ

ปัจจนียะ จบ

๓. ปัจจยานุโลมปัจจนียะ
ทุกนัย

[๖๔] นอธิปติปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๑๑ วาระ ฯลฯ
นวิปปยุตตปัจจัย ” มี ๑๑ วาระ (ย่อ)

อนุโลมปัจจนียะ จบ

๔. ปัจจยปัจจนียานุโลม

[๖๕] อารัมมณปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๖ วาระ ฯลฯ
ปุเรชาตปัจจัย ” มี ๖ วาระ
อาเสวนปัจจัย ” มี ๕ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๔๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร

กัมมปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๖ วาระ ฯลฯ
ฌานปัจจัย ” มี ๖ วาระ
มัคคปัจจัย ” มี ๓ วาระ
สัมปยุตตปัจจัย ” มี ๖ วาระ ฯลฯ
อวิคตปัจจัย ” มี ๖ วาระ

(พึงขยายสัมปยุตตวารให้พิสดาร)

๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๖๖] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและ
วิจารโดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์โดย
เหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียง
วิจารโดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่วิตกโดยเหตุปัจจัย
ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๒)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร
โดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดย
เหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เหตุที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปโดย
เหตุปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและ
ที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่
สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เหตุที่มีทั้งวิตก
และวิจารเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และกฏัตตารูปโดยเหตุปัจจัย (๔)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๔๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
และที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่
วิตกและจิตตสมุฏฐานรูปโดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เหตุที่มีทั้งวิตกและวิจาร
เป็นปัจจัยแก่วิตกและกฏัตตารูปโดยเหตุปัจจัย (๕)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่
ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่
สัมปยุตตขันธ์และวิตกโดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เหตุที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็น
ปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และวิตกโดยเหตุปัจจัย (๖)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารที่ไม่มีวิตก
มีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็น
ปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ วิตก และจิตตสมุฏฐานรูปโดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เหตุ
ที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ วิตก และกฏัตตารูปโดยเหตุปัจจัย (๗)
[๖๗] สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมี
เพียงวิจารโดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต-
ขันธ์โดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เหตุที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่
สัมปยุตตขันธ์โดยเหตุปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและ
วิจารโดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่วิจารและจิตต-
สมุฏฐานรูปโดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เหตุที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัย
แก่วิจารและกฏัตตารูปโดยเหตุปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
และที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัย
แก่สัมปยุตตขันธ์ วิจาร และจิตตสมุฏฐานรูปโดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เหตุที่ไม่
มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ วิจาร และกฏัตตารูปโดยเหตุปัจจัย (๓)
[๖๘] สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตก
และวิจารโดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๔๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
และจิตตสมุฏฐานรูปโดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เหตุที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร
เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และกฏัตตารูปโดยเหตุปัจจัย (๑)

อารัมมณปัจจัย
[๖๙] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและ
วิจารโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถแล้ว
พิจารณากุศลนั้น พิจารณากุศลที่เคยสั่งสมไว้ดีแล้ว ออกจากฌานที่มีทั้งวิตกและ
วิจาร ออกจากมรรค ออกจากผลแล้ว พิจารณาผล พระอริยะพิจารณากิเลสที่ละ
ได้แล้ว พิจารณากิเลสที่ข่มได้แล้ว รู้กิเลสที่เคยเกิดขึ้น เห็นแจ้งขันธ์ที่มีทั้งวิตก
และวิจาร โดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ยินดีเพลิดเพลิน
เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินขันธ์นั้น ราคะจึงเกิดขึ้น ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น
เพราะปรารภขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจาร ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารจึงเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
เพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถแล้ว
พิจารณากุศลนั้น เพราะปรารภกุศลนั้น วิตกจึงเกิดขึ้น พิจารณากุศลที่เคยสั่งสม
ไว้ดีแล้ว ออกจากฌานที่มีทั้งวิตกและวิจาร ออกจากมรรค ออกจากผลแล้ว
พิจารณาผล เพราะปรารภฌานเป็นต้นนั้น วิตกจึงเกิดขึ้น พระอริยะพิจารณา
กิเลสที่ละได้แล้ว พิจารณากิเลสที่ข่มได้แล้ว รู้กิเลสที่เคยเกิดขึ้นเห็นแจ้งขันธ์ที่มีทั้ง
วิตกและวิจารโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ยินดีเพลิดเพลิน
เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินขันธ์นั้น วิตกจึงเกิดขึ้น เพราะปรารภขันธ์ที่มี
ทั้งวิตกและวิจาร วิตกจึงเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร
โดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้มีความพรั่งพร้อมด้วยจิตที่มีทั้ง
วิตกและวิจารด้วยเจโตปริยญาณ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่เจโต-
ปริยญาณ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ยถากัมมูปคญาณ และอนาคตังสญาณโดย
อารัมมณปัจจัย เพราะปรารภขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจาร ขันธ์ที่ไม่มีทั้งวิตกและ
วิจารจึงเกิดขึ้น (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่
ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล รักษา
อุโบสถแล้วพิจารณากุศลนั้น เพราะปรารภกุศลนั้น ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตก
จึงเกิดขึ้น พิจารณากุศลที่เคยสั่งสมไว้ดีแล้ว ออกจากฌานที่มีทั้งวิตกและวิจาร
ออกจากมรรค ออกจากผลแล้วพิจารณาผล เพราะปรารภกุศลนั้น ขันธ์ที่มีทั้ง
วิตกวิจารและวิตกจึงเกิดขึ้น พระอริยะพิจารณากิเลสที่ละได้แล้ว พิจารณากิเลสที่
ข่มได้แล้ว รู้กิเลสที่เคยเกิดขึ้น เห็นแจ้งขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจาร โดยเป็นสภาวะ
ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ยินดีเพลิดเพลิน เพราะปรารภความยินดี
เพลิดเพลินขันธ์นั้น ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตกจึงเกิดขึ้น เพราะปรารภขันธ์ที่มี
ทั้งวิตกและวิจาร ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตกจึงเกิดขึ้น (๔)
[๗๐] สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมี
เพียงวิจารโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลออกจากฌานที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
ออกจากมรรค ออกจากผลแล้วพิจารณาผล เพราะปรารภกุศลนั้น วิตกจึงเกิดขึ้น
เห็นแจ้งขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิตกโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็น
อนัตตา ยินดีเพลิดเพลิน เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินขันธ์นั้น วิตกจึงเกิดขึ้น
เพราะปรารภขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิตก วิตกจึงเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและ
วิจารโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลออกจากฌานที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร ออก
จากมรรค ออกจากผลแล้วพิจารณาผล เพราะปรารภกุศลนั้น ขันธ์ที่มีทั้งวิตก
และวิจารจึงเกิดขึ้น เห็นแจ้งขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิตกโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ยินดีเพลิดเพลิน เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินขันธ์นั้น
ราคะจึงเกิดขึ้น ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น เพราะปรารภขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
และวิตก ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารจึงเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและ
วิจารโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้มีความพรั่งพร้อมด้วยจิตที่
ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารด้วยเจโตปริยญาณ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
เจโตปริยญาณ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ยถากัมมูปคญาณและอนาคตังสญาณ
โดยอารัมมณปัจจัย เพราะปรารภขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิตก ขันธ์ที่ไม่มี
ทั้งวิตกและวิจารจึงเกิดขึ้น (๓)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจาร
และที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลออกจากฌานที่ไม่มีวิตก
มีเพียงวิจาร ออกจากมรรค ออกจากผลแล้วพิจารณาผล เพราะปรารภกุศลนั้น
ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตกจึงเกิดขึ้น เห็นแจ้งขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและ
วิตกโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ยินดีเพลิดเพลิน เพราะ
ปรารภความยินดีเพลิดเพลินขันธ์นั้น ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตกจึงเกิดขึ้น
เพราะปรารภขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิตก ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตก
จึงเกิดขึ้น (๔)
[๗๑] สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตก
และวิจารโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ นิพพานเป็นปัจจัยแก่มรรค ผลที่ไม่มีทั้งวิตก
วิจารและวิจารโดยอารัมมณปัจจัย บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วย
ทิพพโสตธาตุ รู้จิตของบุคคลผู้มีความพรั่งพร้อมด้วยจิตที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร
ด้วยเจโตปริยญาณ อากาสานัญจายตนะเป็นปัจจัยแก่วิญญาณัญจายตนะ ฯลฯ
อากิญจัญญายตนะเป็นปัจจัยแก่เนวสัญญานาสัญญายตนะโดยอารัมมณปัจจัย
รูปายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะเป็นปัจจัยแก่กาย-
วิญญาณโดยอารัมมณปัจจัย ขันธ์ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ
เจโตปริยญาณ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ยถากัมมูปคญาณ และอนาคตังสญาณ
โดยอารัมมณปัจจัย เพราะปรารภขันธ์ที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารและวิจาร ขันธ์ที่ไม่มีทั้ง
วิตกและวิจารจึงเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจาร
โดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ พระอริยะออกจากฌานที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร ออก
จากมรรค ออกจากผลแล้วพิจารณาผล เพราะปรารภกุศลนั้น ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและ
วิจารจึงเกิดขึ้น พระอริยะพิจารณานิพพาน นิพพานเป็นปัจจัยแก่โคตรภู โวทาน

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
มรรค ผล ที่มีทั้งวิตกวิจาร และอาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย บุคคลเห็นแจ้งจักษุ
โดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ยินดีเพลิดเพลิน เพราะปรารภ
ความยินดีเพลิดเพลินจักษุนั้น ราคะจึงเกิดขึ้น ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น บุคคลเห็น
แจ้งโสตะ ... ฆานะ ... ชิวหา ... กาย ... รูป ... เสียง ... กลิ่น ... รส ...
โผฏฐัพพะ ... หทัยวัตถุ ... ขันธ์ที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารและวิจาร โดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ยินดีเพลิดเพลิน เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินโสตะ
เป็นต้นนั้น ราคะจึงเกิดขึ้น ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น เพราะปรารภขันธ์ที่ไม่มีทั้ง
วิตกวิจารและวิจาร ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารจึงเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียง
วิจารโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ พระอริยะออกจากฌานที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร
ออกจากมรรค ออกจากผลแล้วพิจารณาผล เพราะปรารภฌานเป็นต้นนั้น วิตก
จึงเกิดขึ้น พระอริยะพิจารณานิพพาน นิพพานเป็นปัจจัยแก่มรรค ผล ที่ไม่มี
วิตกมีเพียงวิจารและวิตก โดยอารัมมณปัจจัย บุคคลเห็นแจ้งจักษุโดยเป็นสภาวะ
ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ฯลฯ หทัยวัตถุ ... ขันธ์ที่ไม่มีทั้งวิตกวิจาร และ
วิจารโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ยินดีเพลิดเพลิน เพราะ
ปรารภความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้น วิตกจึงเกิดขึ้น เพราะปรารภขันธ์ที่ไม่
มีทั้งวิตกวิจารและวิจาร วิตกจึงเกิดขึ้น (๓)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียง
วิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ นิพพานเป็นปัจจัยแก่มรรค
ผลที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิจาร โดยอารัมมณปัจจัย (๔)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจาร
และที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ พระอริยะออกจากฌานที่ไม่
มีทั้งวิตกและวิจาร ออกจากมรรค ออกจากผลแล้วพิจารณาผล เพราะปรารภฌาน
เป็นต้นนั้น ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจาร และวิตกจึงเกิดขึ้น พระอริยะพิจารณานิพพาน
นิพพานเป็นปัจจัยแก่โคตรภูและวิตก โวทานและวิตก มรรคที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตก
ผลที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตก อาวัชชนจิตและวิตกโดยอารัมมณปัจจัย บุคคลเห็นแจ้ง

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
จักษุโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ยินดีเพลิดเพลิน เพราะ
ปรารภความยินดีเพลิดเพลินจักษุนั้น ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจาร และวิตกจึงเกิดขึ้น
บุคคลเห็นแจ้งโสตะ ฯลฯ โผฏฐัพพะ ... หทัยวัตถุ ... ขันธ์ที่ไม่มีทั้งวิตกวิจาร
และวิจารโดยความเป็นสภาวะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ยินดีเพลิดเพลิน
เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินโสตะเป็นต้นนั้น ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตกจึง
เกิดขึ้น (๕)
[๗๒] สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ เพราะปรารภขันธ์ที่ไม่มี
วิตกมีเพียงวิจารและวิจาร ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารจึงเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ เพราะปรารภขันธ์ที่ไม่มีวิตกมี
เพียงวิจารและวิจาร วิตกจึงเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร และ
วิจารเป็นปัจจัยแก่เจโตปริยญาณ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ยถากัมมูปคญาณ
และอนาคตังสญาณ โดยอารัมมณปัจจัย เพราะปรารภขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
และวิจาร ขันธ์ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารจึงเกิดขึ้น (๓)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ เพราะปรารภ
ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร และวิจาร ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตกจึงเกิดขึ้น (๔)
[๗๓] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาว-
ธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ เพราะปรารภขันธ์ที่มีทั้งวิตก
วิจารและวิตก ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารจึงเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ เพราะปรารภขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจาร
และวิตก วิตกจึงเกิดขึ้น (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตกเป็น
ปัจจัยแก่เจโตปริยญาณ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ยถากัมมูปคญาณ และ
อนาคตังสญาณโดยอารัมมณปัจจัย เพราะปรารภขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตก
ขันธ์ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารจึงเกิดขึ้น (๓)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ เพราะปรารภ
ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตก ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตกจึงเกิดขึ้น (๔)

อธิปติปัจจัย
[๗๔] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและ
วิจารโดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ และสหชาตาธิปติ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถแล้ว
พิจารณากุศลนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น พิจารณากุศลที่เคยสั่งสมไว้ดีแล้ว
ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ออกจากฌานที่มีทั้งวิตกและวิจาร ออกจากมรรค
ออกจากผลแล้วพิจารณาผลให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ยินดีเพลิดเพลินขันธ์ที่มี
ทั้งวิตกและวิจารให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทําความยินดีเพลิดเพลินขันธ์
นั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต-
ขันธ์โดยอธิปติปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติและสหชาตาธิปติ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถแล้ว
พิจารณากุศลนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทำการพิจารณากุศลนั้นให้
เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น วิตกจึงเกิดขึ้น บุคคลพิจารณากุศลที่เคยสั่งสมไว้ดีแล้ว
ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ออกจากฌานที่มีทั้งวิตกและวิจาร ออกจากมรรค

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
ออกจากผลแล้วพิจารณาผลให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทำการพิจารณา
ผลนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น วิตกจึงเกิดขึ้น บุคคลยินดีเพลิดเพลินขันธ์ที่มี
ทั้งวิตกและวิจาร ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทำความยินดีเพลิดเพลิน
ขันธ์นั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น วิตกจึงเกิดขึ้น
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่วิตกโดย
อธิปติปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร
โดยอธิปติปัจจัยมีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่มีทั้งวิตก
และวิจารเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดยอธิปติปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและ
ที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่
อธิบดีธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดย
อธิปติปัจจัย (๔)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
และที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่
อธิบดีธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่วิตกและจิตตสมุฏฐานรูปโดยอธิปติ-
ปัจจัย (๕)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่
ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ และ
สหชาตาธิปติ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถแล้ว
พิจารณากุศลนั้น ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทำการพิจารณากุศลนั้นให้
เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตกจึงเกิดขึ้น บุคคล
พิจารณากุศลที่เคยสั่งสมไว้ดีแล้วให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ออกจากฌานที่มี
ทั้งวิตกและวิจาร ออกจากมรรค ออกจากผลแล้วพิจารณาผลให้เป็นอารมณ์อย่าง

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
หนักแน่น เพราะทำการพิจารณาผลนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ขันธ์ที่มีทั้ง
วิตกวิจารและวิตกจึงเกิดขึ้น บุคคลยินดีเพลิดเพลินขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารให้เป็น
อารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทำความยินดีเพลิดเพลินขันธ์นั้นให้เป็นอารมณ์อย่าง
หนักแน่น ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตกจึงเกิดขึ้น
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต-
ขันธ์และวิตกโดยอธิปติปัจจัย (๖)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจาร ที่ไม่
มีวิตกมีเพียงวิจาร และที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์
วิตก และจิตตสมุฏฐานรูปโดยอธิปติปัจจัย (๗)
[๗๕] สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมี
เพียงวิจารโดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ และสหชาตาธิปติ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลออกจากฌานที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร ออกจาก
มรรค ออกจากผลแล้วพิจารณาผลให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทำการ
พิจารณาผลนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น วิตกจึงเกิดขึ้น บุคคลยินดีเพลิดเพลิน
ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิตกให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทําความ
ยินดีเพลิดเพลินขันธ์นั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น วิตกจึงเกิดขึ้น
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่
สัมปยุตตขันธ์โดยอธิปติปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจาร
โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลออกจากฌาน
ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร ออกจากมรรค ออกจากผลแล้วพิจารณาผลให้เป็นอารมณ์
อย่างหนักแน่น เพราะทำการพิจารณาผลนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ขันธ์ที่
มีทั้งวิตกและวิจารจึงเกิดขึ้น บุคคลยินดีเพลิดเพลิน ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
และวิตกให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทำความยินดีเพลิดเพลินขันธ์และวิตก
นั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและ
วิจารโดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่ไม่มี
วิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่วิจารและจิตตสมุฏฐานรูปโดยอธิปติปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
และที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่
อธิบดีธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์วิจารและจิตตสมุฏฐานรูป
โดยอธิปติปัจจัย (๔)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและ
ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่
บุคคลออกจากฌานที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร ออกจากมรรค ออกจากผลแล้ว
พิจารณาผลให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทำการพิจารณาผลนั้นให้เป็น
อารมณ์อย่างหนักแน่น ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตกจึงเกิดขึ้น บุคคลยินดี
เพลิดเพลินขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิตกให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะ
ทําความยินดีเพลิดเพลินขันธ์และวิตกนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ขันธ์ที่มีทั้ง
วิตกวิจารและวิตกจึงเกิดขึ้น (๕)
[๗๖] สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตก
และวิจารโดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ และสหชาตาธิปติ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ นิพพานเป็นปัจจัยแก่มรรค ผลที่ไม่มีทั้งวิตกวิจาร
และวิจารโดยอธิปติปัจจัย
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สัม-
ปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดยอธิปติปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจาร
โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ พระอริยะออกจาก
ฌานที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร ออกจากมรรค ออกจากผลแล้วพิจารณาผลให้เป็น
อารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทำการพิจารณาผลนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารจึงเกิดขึ้น พระอริยะพิจารณานิพพานให้เป็นอารมณ์อย่าง
หนักแน่น นิพพานเป็นปัจจัยแก่โคตรภู โวทาน มรรค และผล ที่มีทั้งวิตกและ
วิจารโดยอธิปติปัจจัย บุคคลยินดีเพลิดเพลินจักษุให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น
เพราะทําความยินดีเพลิดเพลินจักษุนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะจึงเกิดขึ้น
ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น บุคคลยินดีเพลิดเพลินโสตะ ... ฆานะ ... ชิวหา ... กาย ... รูป
... เสียง ...กลิ่น ... รส ... โผฏฐัพพะ ... หทัยวัตถุ ... ขันธ์ที่ไม่มีทั้งวิตกวิจาร
และวิจารให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทำความยินดีเพลิดเพลินโสตะเป็นต้น
นั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียง
วิจารโดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ พระอริยะออก
จากฌานที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร ออกจากมรรค ออกจากผลแล้วพิจารณาผลให้เป็น
อารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทำการพิจารณาผลนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น
วิตกจึงเกิดขึ้น พระอริยะพิจารณานิพพานให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น นิพพาน
เป็นปัจจัยแก่มรรค ผล ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิตกโดยอธิปติปัจจัย บุคคล
ยินดีเพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ... ขันธ์ที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารและวิจารให้เป็น
อารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทําความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้นให้เป็น
อารมณ์อย่างหนักแน่น วิตกจึงเกิดขึ้น (๓)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียง
วิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ
ได้แก่ นิพพานเป็นปัจจัยแก่มรรค ผลที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิจารโดยอธิปติ-
ปัจจัย (๔)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและ
ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่
พระอริยะออกจากฌานที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร ออกจากมรรค ออกจากผลแล้ว
พิจารณาผลให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทำการพิจารณาผลนั้นให้เป็น
อารมณ์อย่างหนักแน่น ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตกจึงเกิดขึ้น พระอริยะพิจารณา

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๕๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
นิพพานให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น นิพพานเป็นปัจจัยแก่โคตรภูและวิตก
โวทานและวิตก มรรคที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตก ผลที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตกโดย
อธิปติปัจจัย บุคคลยินดีเพลิดเพลินจักษุให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ
หทัยวัตถุ ... ขันธ์ที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารและวิจารให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะ
ทําความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ขันธ์ที่มีทั้ง
วิตกวิจารและวิตกจึงเกิดขึ้น (๕)
[๗๗] สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารโดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ
ได้แก่ เพราะทําขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิจารให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น
ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารจึงเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยอธิปติปัจจัยมีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่
เพราะทําขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิจารให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น วิตกจึง
เกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ เพราะทําขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิจารให้เป็น
อารมณ์อย่างหนักแน่น ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตกจึงเกิดขึ้น (๓)
[๗๘] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารโดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ
ได้แก่ เพราะทําขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตกให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ขันธ์ที่
มีทั้งวิตกและวิจารจึงเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่
เพราะทําขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตกให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น วิตกจึง
เกิดขึ้น (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ เพราะทําขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตกให้เป็นอารมณ์อย่าง
หนักแน่น ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตกจึงเกิดขึ้น (๓)

อนันตรปัจจัย
[๗๙] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและ
วิจารโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัย
แก่ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย อนุโลมเป็นปัจจัยแก่
โคตรภู อนุโลมเป็นปัจจัยแก่โวทาน โคตรภูเป็นปัจจัยแก่มรรคที่มีทั้งวิตกและวิจาร
โวทานเป็นปัจจัยแก่มรรคที่มีทั้งวิตกและวิจาร มรรคที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัย
แก่ผลที่มีทั้งวิตกและวิจาร ผลที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่ผลที่มีทั้งวิตกและ
วิจาร อนุโลมเป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติที่มีทั้งวิตกและวิจารโดยอนันตรปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
โดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่
วิตกซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย จุติจิตที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่
อุปปัตติจิตที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร ฯลฯ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่
วุฏฐานะที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิตก ฯลฯ บริกรรมฌานที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
เป็นปัจจัยแก่ฌานที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร โคตรภูเป็นปัจจัยแก่มรรคที่ไม่มีวิตกมี
เพียงวิจาร โวทานเป็นปัจจัยแก่มรรคที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร อนุโลมเป็นปัจจัยแก่
ผลสมาบัติที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร และวิตกโดยอนันตรปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร
โดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ จุติจิตที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่อุปปัตติจิตที่ไม่มีทั้ง
วิตกวิจารและวิจารโดยอนันตรปัจจัย อาวัชชนจิตเป็นปัจจัยแก่วิญญาณ ๕ โดย
อนันตรปัจจัย ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะที่ไม่มีทั้งวิตกวิจาร
และวิจาร ฯลฯ บริกรรมทุติยฌานเป็นปัจจัยแก่วิจารในทุติยฌานโดยอนันตรปัจจัย

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
บริกรรมตติยฌาน ฯลฯ บริกรรมจตุตถฌาน ฯลฯ บริกรรมอากาสานัญจายตนะ
ฯลฯ บริกรรมวิญญาณัญจายตนะ ฯลฯ บริกรรมอากิญจัญญายตนะ ฯลฯ
บริกรรมเนวสัญญานาสัญญายตนะ ฯลฯ บริกรรมทิพพจักขุ ฯลฯ บริกรรม
ทิพพโสตธาตุ ฯลฯ บริกรรมอิทธิวิธญาณ ฯลฯ บริกรรมเจโตปริยญาณ ฯลฯ
บริกรรมปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ฯลฯ บริกรรมยถากัมมูปคญาณ ฯลฯ บริกรรม
อนาคตังสญาณ ฯลฯ โคตรภูเป็นปัจจัยแก่มรรคที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารและวิจาร โวทาน
เป็นปัจจัยแก่มรรคที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารและวิจาร อนุโลมเป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติที่ไม่
มีทั้งวิตกวิจารและวิจารโดยอนันตรปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
และที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ จุติจิตที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัย
แก่อุปปัตติจิตที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร และวิจารโดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ที่มีทั้งวิตก
และวิจารเป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิจารโดยอนันตรปัจจัย
บริกรรมฌานที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่ฌานที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและ
วิจารโดยอนันตรปัจจัย โคตรภูเป็นปัจจัยแก่มรรคที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิจาร
โวทานเป็นปัจจัยแก่มรรคที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิจาร อนุโลมเป็นปัจจัยแก่ผล-
สมาบัติที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิจารโดยอนันตรปัจจัย (๔)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่
ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารซึ่งเกิดก่อน ๆ
เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารซึ่งเกิดหลัง ๆ และวิตกโดยอนันตรปัจจัย
อนุโลมเป็นปัจจัยแก่โคตรภูและวิตก อนุโลมเป็นปัจจัยแก่โวทานและวิตก โคตรภู
เป็นปัจจัยแก่มรรคที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตก โวทานเป็นปัจจัยแก่มรรคที่มีทั้งวิตก
วิจารและวิตก มรรคที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่ผลที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตก
ผลที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่ผลที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตก อนุโลมเป็นปัจจัย
แก่ผลสมาบัติที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตกโดยอนันตรปัจจัย (๕)
[๘๐] สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมี
เพียงวิจารโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ วิตกที่เกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่วิตกซึ่งเกิด

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
หลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่
ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย มรรคที่ไม่มีวิตกมีเพียง
วิจารเป็นปัจจัยแก่ผลที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร ผลที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัย
แก่ผลที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยอนันตรปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจาร
โดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ วิตกที่เกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจาร
ซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย จุติจิตที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่อุปปัตติ-
จิตที่มีทั้งวิตกและวิจารโดยอนันตรปัจจัย ภวังคจิตที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัย
แก่อาวัชชนจิตโดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะที่
มีทั้งวิตกและวิจารโดยอนันตรปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและ
วิจารโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัย
แก่วิจารซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย จุติจิตที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิตก
เป็นปัจจัยแก่อุปปัตติจิตที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารและวิจารโดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ที่ไม่มี
วิตกมีเพียงวิจารและวิตกเป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารและวิจารโดย
อนันตรปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียง
วิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารซึ่ง
เกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารซึ่งเกิดหลัง ๆ และวิจารโดย
อนันตรปัจจัย มรรคที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่ผลที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
และวิจาร ผลที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่ผลที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและ
วิจารโดยอนันตรปัจจัย (๔)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและ
ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ วิตกที่เกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์
ที่มีทั้งวิตกและวิจารซึ่งเกิดหลัง ๆ และวิตกโดยอนันตรปัจจัย จุติจิตที่ไม่มีวิตกมีเพียง
วิจารเป็นปัจจัยแก่อุปปัตติจิตที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตกโดยอนันตรปัจจัย ภวังคจิตที่

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่อาวัชชนจิตและวิตกโดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ที่ไม่มี
วิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตกโดยอนันตรปัจจัย (๕)
[๘๑] สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตก
และวิจารโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ วิจารที่เกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่วิจารซึ่งเกิด
หลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่
ขันธ์ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย มรรคที่ไม่มีทั้งวิตก
และวิจารเป็นปัจจัยแก่ผลที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร ผลที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็น
ปัจจัยแก่ผลที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารโดยอนันตรปัจจัย เนวสัญญานาสัญญายตนะ
ของท่านผู้ออกจากนิโรธเป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารและวิจารโดย
อนันตรปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจาร
โดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ จุติจิตที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารและวิจารเป็นปัจจัยแก่อุปปัตติจิต
ที่มีทั้งวิตกและวิจารโดยอนันตรปัจจัย ภวังคจิตที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารและวิจารเป็น
ปัจจัยแก่อาวัชชนจิตโดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารและวิจารเป็นปัจจัย
แก่วุฏฐานะที่มีทั้งวิตกและวิจารโดยอนันตรปัจจัย เนวสัญญานาสัญญายตนะของ
ท่านผู้ออกจากนิโรธเป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติที่มีทั้งวิตกและวิจารโดยอนันตรปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียง
วิจารโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ วิจารที่เกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมี
เพียงวิจารซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย จุติจิตที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารและวิจารเป็น
ปัจจัยแก่อุปปัตติจิตที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิตกโดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ที่ไม่มีทั้ง
วิตกวิจารและวิจารเป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิตกโดยอนันตร-
ปัจจัย เนวสัญญานาสัญญายตนะของท่านผู้ออกจากนิโรธเป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติที่
ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิตกโดยอนันตรปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียง
วิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ วิจารที่เกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัย
แก่ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารซึ่งเกิดหลัง ๆ และวิจารโดยอนันตรปัจจัย จุติจิตที่ไม่

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่อุปปัตติจิตที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิจารโดย
อนันตรปัจจัย ขันธ์ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะที่ไม่มีวิตกมีเพียง
วิจารและวิจารโดยอนันตรปัจจัย เนวสัญญานาสัญญายตนะของท่านผู้ออกจาก
นิโรธเป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิจารโดยอนันตรปัจจัย (๔)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและ
ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ จุติจิตที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารและวิจาร
เป็นปัจจัยแก่อุปปัตติจิตที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตกโดยอนันตรปัจจัย ภวังคจิตที่ไม่มี
ทั้งวิตกวิจารและวิจารเป็นปัจจัยแก่อาวัชชนจิตและวิตกโดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ที่ไม่
มีทั้งวิตกวิจารและวิจารเป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตกโดยอนันตรปัจจัย
เนวสัญญานาสัญญายตนะของท่านผู้ออกจากนิโรธเป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติที่มีทั้ง
วิตกวิจารและวิตกโดยอนันตรปัจจัย (๕)
[๘๒] สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ จุติจิตที่ไม่มีวิตกมีเพียง
วิจารและวิจารเป็นปัจจัยแก่อุปปัตติจิตที่มีทั้งวิตกและวิจารโดยอนันตรปัจจัย ภวังค-
จิตที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิจารเป็นปัจจัยแก่อาวัชชนจิตโดยอนันตรปัจจัย ขันธ์
ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิจารเป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะที่มีทั้งวิตกและวิจารโดยอนันตร-
ปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารซึ่งเกิด
ก่อน ๆ และวิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย
มรรคที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิจารเป็นปัจจัยแก่ผลที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดย
อนันตรปัจจัย ผลที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิจารเป็นปัจจัยแก่ผลที่ไม่มีวิตกมีเพียง
วิจารโดยอนันตรปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารซึ่งเกิด
ก่อน ๆ และวิจารเป็นปัจจัยแก่วิจารซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย จุติจิตที่ไม่มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
วิตกมีเพียงวิจารและวิจารเป็นปัจจัยแก่อุปปัตติจิตที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารโดยอนันตร-
ปัจจัย ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิจารเป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะที่ไม่มีทั้งวิตกและ
วิจารโดยอนันตรปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่มี
วิตกมีเพียงวิจารซึ่งเกิดก่อน ๆ และวิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารซึ่ง
เกิดหลัง ๆ และวิจารโดยอนันตรปัจจัย มรรคที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิจารเป็น
ปัจจัยแก่ผลที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิจารโดยอนันตรปัจจัย ผลที่ไม่มีวิตกมีเพียง
วิจารและวิจารเป็นปัจจัยแก่ผลที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิจารโดยอนันตรปัจจัย (๔)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ จุติจิตที่ไม่มีวิตก
มีเพียงวิจารและวิจารเป็นปัจจัยแก่อุปปัตติจิตที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตกโดยอนันตรปัจจัย
ภวังคจิตที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิจารเป็นปัจจัยแก่อาวัชชนจิตและวิตกโดย
อนันตรปัจจัย ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิจารเป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะที่มีทั้งวิตก
วิจารและวิตกโดยอนันตรปัจจัย (๕)
[๘๓] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาว-
ธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารซึ่งเกิด
ก่อน ๆ และวิตกเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตร-
ปัจจัย อนุโลมและวิตกเป็นปัจจัยแก่โคตรภู อนุโลมและวิตกเป็นปัจจัยแก่โวทาน
โคตรภูและวิตกเป็นปัจจัยแก่มรรคที่มีทั้งวิตกและวิจาร โวทานและวิตกเป็นปัจจัย
แก่มรรคที่มีทั้งวิตกและวิจาร มรรคที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตกเป็นปัจจัยแก่ผลที่มีทั้ง
วิตกและวิจาร ผลที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตกเป็นปัจจัยแก่ผลที่มีทั้งวิตกและวิจาร
อนุโลมและวิตกเป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติที่มีทั้งวิตกและวิจารโดยอนันตรปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารซึ่งเกิดก่อน ๆ
และวิตกเป็นปัจจัยแก่วิตกซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย จุติจิตที่มีทั้งวิตกวิจาร

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
และวิตกเป็นปัจจัยแก่อุปปัตติจิตที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ที่มี
ทั้งวิตกวิจารและวิตกเป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยอนันตรปัจจัย
บริกรรมฌานที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิตกเป็นปัจจัยแก่ฌานที่ไม่มีวิตกมีเพียง
วิจารโดยอนันตรปัจจัย โคตรภูและวิตกเป็นปัจจัยแก่มรรคที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
โวทานและวิตกเป็นปัจจัยแก่มรรคที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร อนุโลมและวิตกเป็นปัจจัย
แก่ผลสมาบัติที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยอนันตรปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ จุติจิตที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตกเป็น
ปัจจัยแก่อุปปัตติจิตที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารและวิจารโดยอนันตรปัจจัย อาวัชชนจิตและ
วิตกเป็นปัจจัยแก่วิญญาณ ๕ โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตกเป็น
ปัจจัยแก่วุฏฐานะที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารและวิจารโดยอนันตรปัจจัย บริกรรมทุติยฌาน
และวิตกเป็นปัจจัยแก่วิจารในทุติยฌานโดยอนันตรปัจจัย บริกรรมตติยฌานและวิตก
ฯลฯ บริกรรมจตุตถฌานและวิตก ฯลฯ บริกรรมอากาสานัญจายตนะและวิตก
ฯลฯ บริกรรมวิญญาณัญจายตนะและวิตก ฯลฯ บริกรรมอากิญจัญญายตนะและ
วิตก ฯลฯ บริกรรมเนวสัญญานาสัญญายตนะและวิตก ฯลฯ บริกรรมทิพพจักขุ
และวิตก ฯลฯ บริกรรมทิพพโสตธาตุและวิตก ฯลฯ บริกรรมอิทธิวิธญาณและวิตก
ฯลฯ บริกรรมเจโตปริยญาณและวิตก ฯลฯ บริกรรมปุพเพนิวาสานุสสติญาณและ
วิตก ฯลฯ บริกรรมยถากัมมูปคญาณและวิตก ฯลฯ บริกรรมอนาคตังสญาณและ
วิตก ฯลฯ โคตรภูและวิตกเป็นปัจจัยแก่มรรคที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารและวิจาร โวทาน
และวิตกเป็นปัจจัยแก่มรรคที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารและวิจาร อนุโลมและวิตกเป็นปัจจัย
แก่ผลสมาบัติที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารและวิจารโดยอนันตรปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ จุติจิตที่มี
ทั้งวิตกวิจารและวิตกเป็นปัจจัยแก่อุปปัตติจิตที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิจารโดย
อนันตรปัจจัย ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตกเป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะที่ไม่มีวิตกมีเพียง
วิจารและวิจารโดยอนันตรปัจจัย บริกรรมฌานที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิตกเป็น
ปัจจัยแก่ฌานที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิจารโดยอนันตรปัจจัย โคตรภูและวิตก

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
เป็นปัจจัยแก่มรรคที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิจารโดยอนันตรปัจจัย โวทานและ
วิตกเป็นปัจจัยแก่มรรคที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิจาร อนุโลมและวิตกเป็นปัจจัย
แก่ผลสมาบัติที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิจารโดยอนันตรปัจจัย (๔)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีทั้งวิตก
วิจารซึ่งเกิดก่อน ๆ และวิตกเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารซึ่งเกิดหลัง ๆ และ วิตก
โดยอนันตรปัจจัย อนุโลมและวิตกเป็นปัจจัยแก่โคตรภูและวิตก อนุโลมและวิตกเป็น
ปัจจัยแก่โวทานและวิตก โคตรภูและวิตกเป็นปัจจัยแก่มรรคที่มีทั้งวิตกวิจาร และวิตก
โวทานและวิตกเป็นปัจจัยแก่มรรคที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตกโดยอนันตรปัจจัย มรรค
ที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตกเป็นปัจจัยแก่ผลที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตก ผลที่มีทั้งวิตก
วิจารและวิตกเป็นปัจจัยแก่ผลที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตก อนุโลมและวิตกเป็นปัจจัย
แก่ผลสมาบัติที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตกโดยอนันตรปัจจัย (๕)

สมนันตรปัจจัย
[๘๔] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและ
วิจารโดยสมนันตรปัจจัย (อนันตรปัจจัยและสมนันตรปัจจัยเหมือนกัน)

สหชาตปัจจัย
[๘๕] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและ
วิจารโดยสหชาตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓
โดยสหชาตปัจจัย ขันธ์ ๓ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๑ โดยสหชาตปัจจัย ขันธ์ ๒
เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ โดยสหชาตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตก
และวิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ ฯลฯ ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
โดยสหชาตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่วิตกโดยสหชาตปัจจัย
ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร
โดยสหชาตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดย
สหชาตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ แก่กฏัตตารูป ฯลฯ (๓)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่
ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยสหชาตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่
ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปโดยสหชาตปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒
และจิตตสมุฏฐานรูปโดยสหชาตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๔)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
และที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยสหชาตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัย
แก่วิตกและจิตตสมุฏฐานรูปโดยสหชาตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๕)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่
ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยสหชาตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็น
ปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และวิตกโดยสหชาตปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒
และวิตกโดยสหชาตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๖)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารที่ไม่มี
วิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยสหชาตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่มีทั้ง
วิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ วิตกและจิตตสมุฏฐานรูปโดยสหชาตปัจจัย ฯลฯ
ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ วิตกและจิตตสมุฏฐานรูป ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ
ฯลฯ (๗)
[๘๖] สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมี
เพียงวิจารโดยสหชาตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่
ขันธ์ ๓ โดยสหชาตปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ
ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจาร
โดยสหชาตปัจจัย ได้แก่ วิตกเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารโดยสหชาตปัจจัย
ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร
โดยสหชาตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่วิจารและจิตต-
สมุฏฐานรูปโดยสหชาตปัจจัย วิตกเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดยสหชาตปัจจัย
ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๓)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและ
ที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยสหชาตปัจจัย ได้แก่ วิตกเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจาร
และจิตตสมุฏฐานรูปโดยสหชาตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๔)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียง
วิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยสหชาตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ วิจารและจิตตสมุฏฐานรูปโดยสหชาตปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒
เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ วิจารและจิตตสมุฏฐานรูป ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๕)
[๘๗] สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตก
และวิจารโดยสหชาตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่
ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปโดยสหชาตปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒
และจิตตสมุฏฐานรูปโดยสหชาตปัจจัย วิจารเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป ฯลฯ
ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูป
ฯลฯ ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ และกฏัตตารูป ฯลฯ วิจารเป็นปัจจัยแก่
กฏัตตารูป ฯลฯ ขันธ์เป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุ ฯลฯ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ฯลฯ
วิจารเป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุ ฯลฯ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่วิจาร ฯลฯ มหาภูตรูป ๑
เป็นปัจจัยแก่มหาภูตรูป ๓ ฯลฯ มหาภูตรูปเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปและ
กฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูป ฯลฯ ที่เป็นภายนอก ... ที่มีอาหารเป็นสมุฏฐาน ...
ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ... สําหรับเหล่าอสัญญสัตตพรหม มหาภูตรูป ๑ ... มหา-
ภูตรูปเป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปโดยสหชาตปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจาร
โดยสหชาตปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีทั้งวิตก
และวิจารโดยสหชาตปัจจัย (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๗๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียง
วิจารโดยสหชาตปัจจัย ได้แก่ วิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดย
สหชาตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ วิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดย
สหชาตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดย
สหชาตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่วิตกโดยสหชาตปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
และที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยสหชาตปัจจัย ได้แก่ วิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมี
เพียงวิจารและจิตตสมุฏฐานรูปโดยสหชาตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ วิจารเป็นปัจจัย
แก่ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและกฏัตตารูป ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุเป็น
ปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิจารโดยสหชาตปัจจัย (๔)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและ
ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยสหชาตปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุเป็น
ปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตกโดยสหชาตปัจจัย (๕)
[๘๘] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่มีทั้งวิตกและวิจารโดยสหชาตปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตก
วิจารและหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยสหชาตปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ และ
หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ โดยสหชาตปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยสหชาตปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจาร
และหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่วิตกโดยสหชาตปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่
มีทั้งวิตกและวิจารโดยสหชาตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและมหาภูตรูปเป็น
ปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดยสหชาตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจาร
และมหาภูตรูปเป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปโดยสหชาตปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มี
ทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยสหชาตปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๗๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
ขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกวิจารและหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และวิตก ฯลฯ ขันธ์ ๒
และหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ และวิตกโดยสหชาตปัจจัย (๔)
[๘๙] สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารโดยสหชาตปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ วิตกและ
หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารโดยสหชาตปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยสหชาตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและ
วิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ ฯลฯ ขันธ์ ๒ และวิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ โดยสหชาต-
ปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓
ฯลฯ ขันธ์ ๒ และวิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑
ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยสหชาตปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารโดยสหชาตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและ
วิจารเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดยสหชาตปัจจัย ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
และมหาภูตรูปเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป ฯลฯ วิตกและมหาภูตรูปเป็นปัจจัย
แก่จิตตสมุฏฐานรูป ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิจาร
เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูป ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและ
มหาภูตรูปเป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูป ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ วิตกและมหาภูตรูปเป็น
ปัจจัยแก่กฏัตตารูป ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและหทัยวัตถุ
เป็นปัจจัยแก่วิจารโดยสหชาตปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยสหชาตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่ไม่
มีวิตกมีเพียงวิจารและวิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปโดยสหชาต-
ปัจจัย ขันธ์ ๓ และวิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๑ และจิตตสมุฏฐานรูปโดยสหชาตปัจจัย
ขันธ์ ๒ และวิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ และจิตตสมุฏฐานรูปโดยสหชาตปัจจัย ใน

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๗๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
ปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และ
กฏัตตารูปโดยสหชาตปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่ไม่มี
วิตกมีเพียงวิจารและหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และวิจารโดยสหชาตปัจจัย ฯลฯ
ขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ และวิจารโดยสหชาตปัจจัย (๔)
[๙๐] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารโดยสหชาตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกวิจาร
และวิตกเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยสหชาตปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ และวิตกเป็นปัจจัยแก่
ขันธ์ ๒ โดยสหชาตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารโดยสหชาตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตกเป็น
ปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดยสหชาตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๒)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยสหชาตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตก
วิจารและวิตกเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปโดยสหชาตปัจจัย ฯลฯ
ขันธ์ ๒ และวิตกเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ และจิตตสมุฏฐานรูปโดยสหชาตปัจจัย ใน
ปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๓)
[๙๑] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจาร
เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารโดยสหชาตปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ
ขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกวิจารวิตกและหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยสหชาตปัจจัย
ฯลฯ ขันธ์ ๒ วิตกและหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ โดยสหชาตปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็น
ปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารโดยสหชาตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีทั้งวิตก
วิจาร วิตกและมหาภูตรูปเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดยสหชาตปัจจัย ใน
ปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจาร วิตกและมหาภูตรูปเป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปโดย
สหชาตปัจจัย (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๗๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
อัญญมัญญปัจจัย
[๙๒] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและ
วิจารโดยอัญญมัญญปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓
โดยอัญญมัญญปัจจัย ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็น
ปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัญญมัญญปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒
โดยอัญญมัญญปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
โดยอัญญมัญญปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่วิตกโดย
อัญญมัญญปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๒)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร
โดยอัญญมัญญปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัย
แก่หทัยวัตถุโดยอัญญมัญญปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่
ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยอัญญมัญญปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่มีทั้ง
วิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และหทัยวัตถุโดยอัญญมัญญปัจจัย ฯลฯ
ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุโดยอัญญมัญญปัจจัย (๔)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
และที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยอัญญมัญญปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่มีทั้ง
วิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่วิตกและหทัยวัตถุโดยอัญญมัญญปัจจัย (๕)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่
ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยอัญญมัญญปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกและวิจาร
เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และวิตกโดยอัญญมัญญปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่
ขันธ์ ๒ และวิตกโดยอัญญมัญญปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๖)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารที่ไม่มี
วิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยอัญญมัญญปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๗๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
ขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ วิตกและหทัยวัตถุโดยอัญญมัญญปัจจัย
ฯลฯ ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ วิตกและหทัยวัตถุโดยอัญญมัญญปัจจัย (๗)
[๙๓] สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมี
เพียงวิจารโดยอัญญมัญญปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัย
แก่ขันธ์ ๓ โดยอัญญมัญญปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ โดย
อัญญมัญญปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจาร
โดยอัญญมัญญปัจจัย ได้แก่ วิตกเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารโดย
อัญญมัญญปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร
โดยอัญญมัญญปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่วิจารโดย
อัญญมัญญปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่วิจาร
และหทัยวัตถุโดยอัญญมัญญปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ วิตกเป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุ
โดยอัญญมัญญปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและ
ที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยอัญญมัญญปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ วิตกเป็นปัจจัยแก่
ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและหทัยวัตถุโดยอัญญมัญญปัจจัย (๔)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
และที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยอัญญมัญญปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และวิจารโดยอัญญมัญญปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัย
แก่ขันธ์ ๒ และวิจารโดยอัญญมัญญปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตก
มีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ วิจารและหทัยวัตถุโดยอัญญมัญญปัจจัย ฯลฯ
ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ วิจารและหทัยวัตถุโดยอัญญมัญญปัจจัย (๕)
[๙๔] สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตก
และวิจารโดยอัญญมัญญปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัย

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๗๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
แก่ขันธ์ ๓ โดยอัญญมัญญปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ โดย
อัญญมัญญปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่
ขันธ์ ๓ และหทัยวัตถุโดยอัญญมัญญปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒
และหทัยวัตถุ โดยอัญญมัญญปัจจัย ขันธ์เป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุ ฯลฯ หทัยวัตถุ
เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ฯลฯ วิจารเป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุ ฯลฯ หทัยวัตถุเป็นปัจจัย
แก่วิจาร ฯลฯ มหาภูตรูป ๑ เป็นปัจจัยแก่มหาภูตรูป ๓ ฯลฯ ที่เป็นภายนอก
ฯลฯ ที่มีอาหารเป็นสมุฏฐาน ฯลฯ ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ฯลฯ สําหรับเหล่า
อสัญญสัตตพรหม มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจาร
โดยอัญญมัญญปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีทั้ง
วิตกและวิจารโดยอัญญมัญญปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
โดยอัญญมัญญปัจจัย ได้แก่ วิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดย
อัญญมัญญปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ วิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
โดยอัญญมัญญปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียง
วิจารโดยอัญญมัญญปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่วิตกโดย
อัญญมัญญปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียง
วิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยอัญญมัญญปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ วิจาร
เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและหทัยวัตถุโดยอัญญมัญญปัจจัย ใน
ปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิจารโดย
อัญญมัญญปัจจัย (๔)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและ
ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยอัญญมัญญปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุเป็น
ปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตกโดยอัญญมัญญปัจจัย (๕)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๗๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
[๙๕] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่มีทั้งวิตกและวิจารโดยอัญญมัญญปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่มีทั้ง
วิตกวิจารและหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ ฯลฯ ขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุเป็น
ปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ โดยอัญญมัญญปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่
มีวิตกมีเพียงวิจารโดยอัญญมัญญปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่มีทั้งวิตก
วิจารและหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่วิตกโดยอัญญมัญญปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้ง
วิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยอัญญมัญญปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ
ขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกวิจารและหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และวิตกโดยอัญญ-
มัญญปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ และวิตกโดย
อัญญมัญญปัจจัย (๓)
[๙๖] สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารโดยอัญญมัญญปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ วิตก
และหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารโดยอัญญมัญญปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยอัญญมัญญปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
และวิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัญญมัญญปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ และวิจาร
เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ โดยอัญญมัญญปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตก
มีเพียงวิจาร วิจารและหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ ฯลฯ ขันธ์ ๒ วิจารและ
หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ โดยอัญญมัญญปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารโดยอัญญมัญญปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่ไม่มีวิตก
มีเพียงวิจารและวิจารเป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุโดยอัญญมัญญปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ
ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่วิจารโดยอัญญมัญญปัจจัย (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๗๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยอัญญมัญญปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิ-
ขณะ ขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และหทัยวัตถุ
โดยอัญญมัญญปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ และวิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุ
โดยอัญญมัญญปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและหทัยวัตถุ
เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และวิจารโดยอัญญมัญญปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุ
เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ และวิจารโดยอัญญมัญญปัจจัย (๔)
[๙๗] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาว-
ธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารโดยอัญญมัญญปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกวิจารและ
วิตกเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัญญมัญญปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ และวิตกเป็น
ปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ โดยอัญญมัญญปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารโดยอัญญมัญญปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่มีทั้ง
วิตกวิจารและวิตกเป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุโดยอัญญมัญญปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยอัญญมัญญปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ
ขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตกเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และหทัยวัตถุโดยอัญญ-
มัญญปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ และวิตกเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุโดย
อัญญมัญญปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัย
แก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารโดยอัญญมัญญปัจจัย ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ
ขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกวิจาร วิตกและหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัญญ-
มัญญปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ วิตกและหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ โดย
อัญญมัญญปัจจัย (๔)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๗๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
นิสสยปัจจัย
[๙๘] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและ
วิจารโดยนิสสยปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ (ย่อ)
มี ๗ วาระ
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียง
วิจารโดยนิสสยปัจจัย (ย่อ) มี ๕ วาระ
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร
โดยนิสสยปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และ
จิตตสมุฏฐานรูปโดยนิสสยปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ และจิตต-
สมุฏฐานรูปโดยนิสสยปัจจัย วิจารเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดยนิสสยปัจจัย
ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูป
โดยนิสสยปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ ฯลฯ สําหรับเหล่า
อสัญญสัตตพรหม มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ จักขายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ
ฯลฯ กายายตนะเป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ ฯลฯ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่
ไม่มีทั้งวิตกวิจารและวิจารโดยนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจาร
โดยนิสสยปัจจัย ได้แก่ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารโดยนิสสย-
ปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ ฯลฯ (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียง
วิจารโดยนิสสยปัจจัย ได้แก่ วิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดย
นิสสยปัจจัย หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิตกโดยนิสสยปัจจัย
ในปฏิสนธิขณะ วิจาร ฯลฯ (๓)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
และที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยนิสสยปัจจัย ได้แก่ วิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมี
เพียงวิจารและจิตตสมุฏฐานรูป ฯลฯ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียง
วิจารและวิจารโดยนิสสยปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ วิจาร ฯลฯ (๔)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๗๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและ
ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยนิสสยปัจจัย ได้แก่ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีทั้ง
วิตกวิจารและวิตกโดยนิสสยปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ ฯลฯ (๕)
[๙๙] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่มีทั้งวิตกและวิจารโดยนิสสยปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกวิจารและหทัย-
วัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยนิสสยปัจจัย ฯลฯ (พึงแสดงทั้งปวัตติกาลและ
ปฏิสนธิกาล) (๑)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยนิสสยปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและหทัยวัตถุเป็น
ปัจจัยแก่วิตก ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๒)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
ไม่มีทั้งวิตกและวิจารโดยนิสสยปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและมหาภูตรูป
เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดยนิสสยปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๓)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยนิสสยปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่มีทั้ง
วิตกวิจารและหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และวิตกโดยนิสสยปัจจัย ฯลฯ ใน
ปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๔)
[๑๐๐] สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัย
แก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารโดยนิสสยปัจจัย ได้แก่ วิตกและหทัยวัตถุเป็น
ปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจาร ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยนิสสยปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
และวิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ ฯลฯ ขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและหทัยวัตถุ
เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารโดยนิสสยปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิจาร

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๘๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดยนิสสยปัจจัย ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและ
มหาภูตรูปเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป ฯลฯ วิตกและมหาภูตรูปเป็นปัจจัยแก่
จิตตสมุฏฐานรูป ฯลฯ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่
วิจารโดยนิสสยปัจจัย (บทที่เป็นมูลซึ่งมีในปฏิสนธิกาล มี ๔ วาระ ย่อ) (๓)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยนิสสยปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่ไม่
มีวิตกมีเพียงวิจารและวิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปโดยนิสสย-
ปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ และวิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ และจิตตสมุฏฐานรูปโดย
นิสสยปัจจัย ขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓
และวิจาร ฯลฯ ขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ และวิจารโดย
นิสสยปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๔)
[๑๐๑] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจาร ฯลฯ สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร ฯลฯ
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจาร ฯลฯ มี ๓ วาระ
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็น
ปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจาร ฯลฯ เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีทั้ง
วิตกและวิจารโดยนิสสยปัจจัย (พึงขยายทั้ง ๒ วาระให้พิสดาร)

อุปนิสสยปัจจัย
[๑๐๒] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตก
และวิจารโดยอุปนิสสยปัจจัยมี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ
และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยศรัทธาที่มีทั้งวิตกและวิจารแล้วให้ทาน
สมาทานศีล รักษาอุโบสถ ทําฌานที่มีทั้งวิตกและวิจารให้เกิดขึ้น ทำวิปัสสนาให้
เกิดขึ้น ทำมรรค ฯลฯ ทำสมาบัติให้เกิดขึ้น มีมานะ ถือทิฏฐิ อาศัยศีลที่มีทั้ง
วิตกและวิจาร ... สุตะ ... จาคะ ... ปัญญา ... ราคะ ... โทสะ ... โมหะ ...

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๘๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
มานะ ... ทิฏฐิ ... ความปรารถนาแล้วให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถ
ทําฌานที่มีทั้งวิตกและวิจารให้เกิดขึ้น ทำวิปัสสนาให้เกิดขึ้น ทำมรรค ... ทำ
สมาบัติ ... ฆ่าสัตว์ ฯลฯ ทําลายสงฆ์ ศรัทธาที่มีทั้งวิตกและวิจาร ... ศีล ...
สุตะ ... จาคะ ... ปัญญา ... ราคะ ... โทสะ ... โมหะ ... มานะ ... ทิฏฐิ ...
ความปรารถนาเป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่มีทั้งวิตกและวิจาร ... ศีล ... สุตะ ...
จาคะ ... ปัญญา ... ราคะ ... โทสะ ... โมหะ ... มานะ ... ทิฏฐิ ...
ความปรารถนาโดยอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
โดยอุปนิสสยปัจจัยมี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และ
ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยศรัทธาที่มีทั้งวิตกและวิจารแล้ว ทําฌานที่
ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารให้เกิดขึ้น ทํามรรค ฯลฯ ทำสมาบัติ ... อาศัยศีลที่มีทั้ง
วิตกและวิจาร ฯลฯ ความปรารถนาแล้ว ทําฌานที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารให้
เกิดขึ้น ทำมรรค ... ทำสมาบัติ ... ศรัทธาที่มีทั้งวิตกและวิจาร ... ความ
ปรารถนาเป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร ... ศีล ... สุตะ ... จาคะ ...
ปัญญาและวิตกโดยอุปนิสสยปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร
โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยศรัทธาที่มีทั้งวิตกและวิจารแล้ว ทําฌาน
ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารให้เกิดขึ้น ทำมรรค ฯลฯ ทำอภิญญา ฯลฯ ทำสมาบัติ
ให้เกิดขึ้น อาศัยศีลที่มีทั้งวิตกและวิจาร ฯลฯ ความปรารถนาแล้วทําฌานที่ไม่มี
ทั้งวิตกและวิจารให้เกิดขึ้น ทำมรรค ฯลฯ ทำอภิญญา ฯลฯ ทำสมาบัติให้เกิดขึ้น
ศรัทธาที่มีทั้งวิตกและวิจาร ฯลฯ ความปรารถนาเป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่ไม่มีทั้ง
วิตกและวิจาร ... ศีล ... สุตะ ... จาคะ ... ปัญญา และวิจาร ... สุขทางกาย
... ทุกข์ทางกายโดยอุปนิสสยปัจจัย (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๘๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
และที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ
และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ศรัทธาที่มีทั้งวิตกและวิจาร ฯลฯ ความปรารถนา
เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร ... ศีล ... สุตะ ... จาคะ ...
ปัญญาและวิจารโดยอุปนิสสยปัจจัย (๔)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่
ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ
อนันตรูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ศรัทธาที่มีทั้งวิตกและวิจาร ฯลฯ ความปรารถนา
เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่มีทั้งวิตกและวิจาร ฯลฯ ความปรารถนาและวิตกโดย
อุปนิสสยปัจจัย (๕)
[๑๐๓] สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตก
มีเพียงวิจารโดยอุปนิสสยปัจจัยมี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ
และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยศรัทธาที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารแล้วทําฌาน
ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารให้เกิดขึ้น ทำมรรค ฯลฯ ทำสมาบัติให้เกิดขึ้น อาศัยศีลที่
ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร ... สุตะ ... จาคะ ... ปัญญา ...วิตกแล้วทําฌานที่ไม่มี
วิตกมีเพียงวิจารให้เกิดขึ้น ทำมรรค ฯลฯ ทำสมาบัติให้เกิดขึ้น ศรัทธาที่ไม่มี
วิตกมีเพียงวิจาร ... ศีล ... สุตะ ... จาคะ ... ปัญญา และวิตกเป็นปัจจัยแก่
ศรัทธาที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร ... ศีล ... สุตะ ... จาคะ ... ปัญญา และวิตก
โดยอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจาร
โดยอุปนิสสยปัจจัยมี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และ
ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๘๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยศรัทธาที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารแล้วให้ทาน
สมาทานศีล รักษาอุโบสถ ทําฌานที่มีทั้งวิตกและวิจารให้เกิดขึ้น ทำวิปัสสนา ฯลฯ
ทำมรรค ฯลฯ ทำสมาบัติให้เกิดขึ้น มีมานะ ถือทิฏฐิ อาศัยศีลที่ไม่มีวิตกมี
เพียงวิจาร ... สุตะ ... จาคะ ... ปัญญา ... วิตกแล้วให้ทาน สมาทานศีล
รักษาอุโบสถ ทําฌานที่มีทั้งวิตกและวิจารให้เกิดขึ้น ทำวิปัสสนาให้เกิดขึ้น ทำ
มรรคให้เกิดขึ้น ทำสมาบัติให้เกิดขึ้น ฆ่าสัตว์ ฯลฯ ทําลายสงฆ์ ศรัทธาที่ไม่มี
วิตกมีเพียงวิจาร ... ศีล ... สุตะ ... จาคะ ... ปัญญา และวิตก เป็นปัจจัย
แก่ศรัทธาที่มีทั้งวิตกและวิจาร ฯลฯ ความปรารถนาโดยอุปนิสสยปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร
โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยศรัทธาที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารแล้วทําฌาน
ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารให้เกิดขึ้น ทำมรรค ฯลฯ ทำอภิญญา ฯลฯ ทำสมาบัติ
ให้เกิดขึ้น อาศัยศีลที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร ... สุตะ ... จาคะ ... ปัญญา ...
วิตกแล้วทําฌานที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารให้เกิดขึ้น ทำมรรค ฯลฯ ทำอภิญญา ฯลฯ
ทำสมาบัติให้เกิดขึ้น ศรัทธาที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร ... ศีล ... สุตะ ... จาคะ ...
ปัญญา และวิตกเป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร ... ศีล ... สุตะ ... จาคะ
... ปัญญา และวิจาร ... สุขทางกาย ... ทุกข์ทางกายโดยอุปนิสสยปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียง
วิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ
และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ศรัทธาที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร ... ศีล ... สุตะ ... จาคะ
... ปัญญา และวิตกเป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร ... ศีล ... สุตะ ...
จาคะ ... ปัญญา และวิจารโดยอุปนิสสยปัจจัย (๔)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจาร
และที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ
อนันตรูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๘๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ศรัทธาที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร ... ศีล ... สุตะ ...
จาคะ ... ปัญญา และวิตกเป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่มีทั้งวิตกและวิจาร ฯลฯ ความ
ปรารถนาและวิตกโดยอุปนิสสยปัจจัย (๕)
[๑๐๔] สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตก
และวิจารโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ
และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยศรัทธาที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารแล้วทําฌาน
ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารให้เกิดขึ้น ทำมรรค ... ทำอภิญญา ... ทำสมาบัติให้เกิดขึ้น
อาศัยศีลที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร ... สุตะ ... จาคะ ... ปัญญา ...วิจาร ... สุขทางกาย
... ทุกข์ทางกาย ... อุตุ ... โภชนะ ... เสนาสนะแล้วทําฌานที่ไม่มีทั้งวิตกและ
วิจารให้เกิดขึ้น ทำมรรค ... ทำอภิญญา ... ทำสมาบัติให้เกิดขึ้น ศรัทธาที่ไม่มี
ทั้งวิตกและวิจาร ... ศีล ... สุตะ ... จาคะ ... ปัญญา ... วิจาร ... สุขทางกาย
... ทุกข์ทางกาย ... อุตุ ... โภชนะ ...เสนาสนะเป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่ไม่มีทั้ง
วิตกและวิจาร ... ศีล ... สุตะ ... จาคะ .. ปัญญา ... วิจาร ... สุขทางกาย
และทุกข์ทางกายโดยอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจาร
โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และ
ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยศรัทธาที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารแล้วให้ทาน
สมาทานศีล รักษาอุโบสถ ทําฌานที่มีทั้งวิตกและวิจารให้เกิดขึ้น ทำวิปัสสนา ... ทำ
มรรค ... ทำสมาบัติให้เกิดขึ้น มีมานะ ถือทิฏฐิ อาศัยศีลที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร ...
สุตะ ... จาคะ ... ปัญญา ... วิจาร ... สุขทางกาย ... ทุกข์ทางกาย ... อุตุ
... โภชนะ ... เสนาสนะแล้วให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถ ทําฌานที่มีทั้งวิตก
และวิจารให้เกิดขึ้น ทำวิปัสสนา ... ทำมรรค ... ทำสมาบัติให้เกิดขึ้น ฆ่าสัตว์ ฯลฯ
ทําลายสงฆ์ ศรัทธาที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร ฯลฯ เสนาสนะเป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่
มีทั้งวิตกและวิจาร ... ศีล ... ความปรารถนาโดยอุปนิสสยปัจจัย (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๘๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และ
ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยศรัทธาที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารแล้วทําฌาน
ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารให้เกิดขึ้น ทำวิปัสสนา ... ทำมรรค ... ทำสมาบัติให้เกิดขึ้น
อาศัยศีลที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร ฯลฯ เสนาสนะแล้วทําฌานที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
ให้เกิดขึ้น ทำวิปัสสนา ... ทำมรรค ... ทำสมาบัติให้เกิดขึ้น ศรัทธาที่ไม่มีทั้ง
วิตกและวิจาร ฯลฯ เสนาสนะเป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร ... ศีล ...
สุตะ ... จาคะ ... ปัญญาและวิตกโดยอุปนิสสยปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียง
วิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ
อนันตรูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ศรัทธาที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร ฯลฯ เสนาสนะเป็น
ปัจจัยแก่ศรัทธาที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร ... ศีล ... สุตะ ... จาคะ ... ปัญญา
และวิจารโดยอุปนิสสยปัจจัย (๔)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและ
ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ
อนันตรูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ศรัทธาที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร ฯลฯ เสนาสนะเป็นปัจจัย
แก่ศรัทธาที่มีทั้งวิตกและวิจาร ... ศีล ... ความปรารถนาและวิตกโดยอุปนิสสย-
ปัจจัย (๕)
[๑๐๕] สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูป-
นิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๘๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ศรัทธาที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร ... ศีล ... สุตะ ...
จาคะ ... ปัญญาและวิจารเป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่มีทั้งวิตกและวิจาร ฯลฯ ความ
ปรารถนาโดยอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ
อนันตรูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ศรัทธาที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร ... ศีล ... สุตะ ... จาคะ
... ปัญญาและวิจารเป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร ... ศีล ... สุตะ ...
จาคะ ... ปัญญาและวิตกโดยอุปนิสสยปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาว
ธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ
และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ศรัทธาที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร ... ศีล ... สุตะ ... จาคะ
... ปัญญาและวิจารเป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร ... ศีล ... สุตะ ..
จาคะ ... ปัญญาและวิจาร ... สุขทางกาย ... ทุกข์ทางกายโดยอุปนิสสยปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ
อนันตรูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ศรัทธาที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร ... ศีล ... สุตะ ...
จาคะ ... ปัญญาและวิจารเป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร ... ศีล ...
สุตะ ... จาคะ ... ปัญญาและวิจารโดยอุปนิสสยปัจจัย (๔)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ
อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๘๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ศรัทธาที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร ... ศีล ... สุตะ ...
จาคะ ... ปัญญาและวิจารเป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่มีทั้งวิตกและวิจาร ... ศีล ...
สุตะ ... จาคะ ... ปัญญา ... ราคะ ... โทสะ ... โมหะ ... มานะ ... ทิฏฐิ ...
ความปรารถนา และวิตกโดยอุปนิสสยปัจจัย (๕)
[๑๐๖] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูป-
นิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ศรัทธาที่มีทั้งวิตกและวิจาร ... ศีล ... สุตะ ...
จาคะ ... ปัญญา ... ราคะ ... โทสะ ... โมหะ ... มานะ ... ทิฏฐิ ...
ความปรารถนาและวิตกเป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่มีทั้งวิตกและวิจาร ... ศีล ...
ความปรารถนาโดยอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ
อนันตรูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ศรัทธาที่มีทั้งวิตกและวิจาร ... ศีล ... ความ
ปรารถนาและวิตกเป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร ... ศีล ... สุตะ ...
จาคะ ... ปัญญา และวิตกโดยอุปนิสสยปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ
และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ศรัทธาที่มีทั้งวิตกและวิจาร ... ศีล ... สุตะ ...
จาคะ ... ปัญญา ฯลฯ ความปรารถนาและวิตกเป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่ไม่มีทั้ง
วิตกและวิจาร ฯลฯ ศีล... สุตะ ... จาคะ ... ปัญญาและวิจาร ... สุขทางกาย ...
ทุกข์ทางกายโดยอุปนิสสยปัจจัย (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๘๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ
อนันตรูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ศรัทธาที่มีทั้งวิตกและวิจาร ... ศีล ... สุตะ ...
จาคะ .. ปัญญา ... ความปรารถนาและวิตกเป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่ไม่มีวิตกมีเพียง
วิจาร ... ศีล ... สุตะ ... จาคะ .. ปัญญา และวิจารโดยอุปนิสสยปัจจัย (๔)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ
อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ศรัทธาที่มีทั้งวิตกและวิจาร ... ศีล ... สุตะ .. จาคะ
... ปัญญา ... ราคะ ... โทสะ ... โมหะ ... มานะ ... ทิฏฐิ ... ความ
ปรารถนาและวิตกเป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่มีทั้งวิตกและวิจาร ฯลฯ ความปรารถนา
และวิตกโดยอุปนิสสยปัจจัย (๕)

ปุเรชาตปัจจัย
[๑๐๗] สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตก
และวิจารโดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาตะและวัตถุปุเรชาตะ
อารัมมณปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วย
ทิพพโสตธาตุ รูปายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะเป็น
ปัจจัยแก่กายวิญญาณโดยปุเรชาตปัจจัย
วัตถุปุเรชาตะ ได้แก่ จักขายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ กายายตนะ
เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ ฯลฯ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่มีทั้งวิตกวิจาร
และวิจารโดยปุเรชาตปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจาร
โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาตะและวัตถุปุเรชาตะ
อารัมมณปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลเห็นแจ้งจักษุโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง เป็นทุกข์
เป็นอนัตตา ฯลฯ เห็นแจ้งโผฏฐัพพะ ... หทัยวัตถุโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง เป็นทุกข์

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๘๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
เป็นอนัตตา ยินดีเพลิดเพลิน เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้น
ราคะจึงเกิดขึ้น ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น
วัตถุปุเรชาตะ ได้แก่ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารโดย
ปุเรชาตปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียง
วิจารโดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาตะ และวัตถุปุเรชาตะ
อารัมมณปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลเห็นแจ้งจักษุโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง เป็นทุกข์
เป็นอนัตตา ยินดีเพลิดเพลิน เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินจักษุนั้น วิตกจึง
เกิดขึ้น ฯลฯ เห็นแจ้งหทัยวัตถุโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
ยินดีเพลิดเพลิน เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินหทัยวัตถุนั้น วิตกจึงเกิดขึ้น
วัตถุปุเรชาตะ ได้แก่ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและ
วิตกโดยปุเรชาตปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
และที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยปุเรชาตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ วัตถุปุเรชาตะ ได้แก่
หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิจารโดยปุเรชาตปัจจัย (๔)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและ
ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาตะ
และวัตถุปุเรชาตะ
อารัมมณปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลเห็นแจ้งจักษุโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง เป็น
ทุกข์ เป็นอนัตตา ยินดีเพลิดเพลิน เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินจักษุนั้น
ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตกจึงเกิดขึ้น เห็นแจ้งโสตะ ... ฆานะ ... ชิวหา ... กาย
... รูป ... เสียง ... กลิ่น ... รส ... โผฏฐัพพะ ... หทัยวัตถุโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ยินดีเพลิดเพลิน เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินโสตะ
เป็นต้นนั้น ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตกจึงเกิดขึ้น
วัตถุปุเรชาตะ ได้แก่ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตก
โดยปุเรชาตปัจจัย (๕)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๙๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
ปัจฉาชาตปัจจัย
[๑๐๘] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตก
และวิจารโดยปัจฉาชาตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารซึ่งเกิดภายหลังเป็น
ปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อนโดยปัจฉาชาตปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและ
วิจารโดยปัจฉาชาตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารซึ่งเกิดภายหลังและ
วิตกเป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อนโดยปัจฉาชาตปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและ
วิจารโดยปัจฉาชาตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารซึ่งเกิดภายหลังและ
วิจารเป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อนโดยปัจฉาชาตปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารโดยปัจฉาชาตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารซึ่ง
เกิดภายหลังและวิจารเป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อนโดยปัจฉาชาตปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารโดยปัจฉาชาตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารซึ่งเกิด
ภายหลังและวิตกเป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อนโดยปัจฉาชาตปัจจัย (๑)

อาเสวนปัจจัย
[๑๐๙] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตก
และวิจารโดยอาเสวนปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็น
ปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอาเสวนปัจจัย อนุโลมเป็น
ปัจจัยแก่โคตรภู ... อนุโลมเป็นปัจจัยแก่โวทาน ... โคตรภูเป็นปัจจัยแก่มรรคที่มี
ทั้งวิตกและวิจาร ... โวทานเป็นปัจจัยแก่มรรคที่มีทั้งวิตกและวิจารโดยอาเสวน-
ปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๙๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
โดยอาเสวนปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่
วิตกที่เกิดหลัง ๆ โดยอาเสวนปัจจัย บริกรรมฌานที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็น
ปัจจัยแก่ฌานที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยอาเสวนปัจจัย โคตรภูเป็นปัจจัยแก่มรรคที่
ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยอาเสวนปัจจัย โวทานเป็นปัจจัยแก่มรรคที่ไม่มีวิตกมีเพียง
วิจารโดยอาเสวนปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร
โดยอาเสวนปัจจัย ได้แก่ บริกรรมทุติยฌานเป็นปัจจัยแก่วิจารในทุติยฌานโดย
อาเสวนปัจจัย บริกรรมตติยฌานเป็นปัจจัยแก่ตติยฌาน ฯลฯ บริกรรมจตุตถฌาน
เป็นปัจจัยแก่จตุตถฌาน ฯลฯ บริกรรมอากาสานัญจายตนะเป็นปัจจัยแก่อากาสา-
นัญจายตนะ ฯลฯ บริกรรมวิญญาณัญจายตนะเป็นปัจจัยแก่วิญญาณัญจายตนะ
ฯลฯ บริกรรมอากิญจัญญายตนะเป็นปัจจัยแก่อากิญจัญญายตนะ ฯลฯ บริกรรม
เนวสัญญานาสัญญายตนะเป็นปัจจัยแก่เนวสัญญานาสัญญายตนะ ฯลฯ บริกรรม
ทิพพจักขุเป็นปัจจัยแก่ทิพพจักขุ ฯลฯ บริกรรมทิพพโสตธาตุเป็นปัจจัยแก่ทิพพ-
โสตธาตุ ฯลฯ บริกรรมอิทธิวิธญาณ ฯลฯ บริกรรมเจโตปริยญาณ ฯลฯ บริกรรม
ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ฯลฯ บริกรรมยถากัมมูปคญาณ ฯลฯ บริกรรม
อนาคตังสญาณ ฯลฯ โคตรภูเป็นปัจจัยแก่มรรคที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารและวิจาร ฯลฯ
โวทานเป็นปัจจัยแก่มรรคที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารและวิจารโดยอาเสวนปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
และที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยอาเสวนปัจจัย ได้แก่ บริกรรมฌานที่ไม่มีวิตกมีเพียง
วิจารเป็นปัจจัยแก่ฌานที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิจารโดยอาเสวนปัจจัย โคตรภู
เป็นปัจจัยแก่มรรคที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิจาร ฯลฯ โวทานเป็นปัจจัยแก่มรรค
ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิจารโดยอาเสวนปัจจัย (๔)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่
ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยอาเสวนปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารซึ่งเกิด
ก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารซึ่งเกิดหลัง ๆ และวิตกโดยอาเสวนปัจจัย
อนุโลมเป็นปัจจัยแก่โคตรภูและวิตก ... อนุโลมเป็นปัจจัยแก่โวทานและวิตก ...

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๙๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
โคตรภูเป็นปัจจัยแก่มรรคที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตก ... โวทานเป็นปัจจัยแก่มรรคที่
มีทั้งวิตกวิจารและวิตกโดยอาเสวนปัจจัย (๕)
[๑๑๐] สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตก
มีเพียงวิจารโดยอาเสวนปัจจัย ได้แก่ วิตกที่เกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่วิตกซึ่งเกิดหลัง
ๆ โดยอาเสวนปัจจัย ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่
ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอาเสวนปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจาร
โดยอาเสวนปัจจัย ได้แก่ วิตกที่เกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจาร
ซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอาเสวนปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร
โดยอาเสวนปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่
วิจารซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอาเสวนปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียง
วิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยอาเสวนปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
ซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารซึ่งเกิดหลัง ๆ และวิจารโดย
อาเสวนปัจจัย (๔)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและ
ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยอาเสวนปัจจัย ได้แก่ วิตกที่เกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่
ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารซึ่งเกิดหลัง ๆ และวิตกโดยอาเสวนปัจจัย (๕)
[๑๑๑] สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีทั้ง
วิตกและวิจารโดยอาเสวนปัจจัย ได้แก่ วิจารที่เกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่วิจารซึ่ง
เกิดหลัง ๆ โดยอาเสวนปัจจัย ขันธ์ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัย
แก่ขันธ์ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอาเสวนปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
โดยอาเสวนปัจจัย ได้แก่ วิจารที่เกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียง
วิจารซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอาเสวนปัจจัย (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๙๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียง
วิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยอาเสวนปัจจัย ได้แก่ วิจารที่เกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัย
แก่ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารซึ่งเกิดหลัง ๆ และวิจารโดยอาเสวนปัจจัย (๓)
[๑๑๒] สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัย
แก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยอาเสวนปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียง
วิจารซึ่งเกิดก่อน ๆ และวิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารซึ่งเกิดหลัง ๆ
โดยอาเสวนปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารโดยอาเสวนปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารที่เกิด
ก่อน ๆ และวิจารเป็นปัจจัยแก่วิจารซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอาเสวนปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยอาเสวนปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่มี
วิตกมีเพียงวิจารซึ่งเกิดก่อน ๆ และวิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารซึ่ง
เกิดหลัง ๆ และวิจารโดยอาเสวนปัจจัย (๓)
[๑๑๓] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารโดยอาเสวนปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารซึ่ง
เกิดก่อน ๆ และวิตกเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารซึ่งเกิดหลัง ๆ โดย
อาเสวนปัจจัย อนุโลมและวิตกเป็นปัจจัยแก่โคตรภู ... อนุโลมและวิตกเป็นปัจจัย
แก่โวทาน ... โคตรภูและวิตกเป็นปัจจัยแก่มรรคที่มีทั้งวิตกและวิจาร ... โวทานและ
วิตกเป็นปัจจัยแก่มรรคที่มีทั้งวิตกและวิจารโดยอาเสวนปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยอาเสวนปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารซึ่งเกิด
ก่อน ๆ และวิตกเป็นปัจจัยแก่วิตกซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอาเสวนปัจจัย บริกรรมฌาน
ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิตกเป็นปัจจัยแก่ฌานที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยอาเสวน-
ปัจจัย โคตรภูและวิตกเป็นปัจจัยแก่มรรคที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร ... โวทานและ
วิตกเป็นปัจจัยแก่มรรคที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยอาเสวนปัจจัย (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๙๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารโดยอาเสวนปัจจัย บริกรรมทุติยฌานและวิตกเป็นปัจจัยแก่
วิจารในทุติยฌานโดยอาเสวนปัจจัย ฯลฯ บริกรรมเนวสัญญานาสัญญายตนะและ
วิตก ฯลฯ บริกรรมทิพพจักขุและวิตก ฯลฯ บริกรรมอนาคตังสญาณและวิตก
เป็นปัจจัยแก่อนาคตังสญาณโดยอาเสวนปัจจัย โคตรภูและวิตกเป็นปัจจัยแก่มรรค
ที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารและวิจารโดยอาเสวนปัจจัย โวทานและวิตกเป็นปัจจัยแก่มรรคที่
ไม่มีทั้งวิตกวิจารและวิจารโดยอาเสวนปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยอาเสวนปัจจัย ได้แก่ บริกรรมฌาน
ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิตกเป็นปัจจัยแก่ฌานที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิจาร
โคตรภูและวิตกเป็นปัจจัยแก่มรรคที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิจาร โวทานและวิตก
เป็นปัจจัยแก่มรรคที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิจารโดยอาเสวนปัจจัย (๔)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยอาเสวนปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีทั้ง
วิตกวิจารซึ่งเกิดก่อน ๆ และวิตกเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารซึ่งเกิดหลัง ๆ
และวิตกโดยอาเสวนปัจจัย อนุโลมและวิตกเป็นปัจจัยแก่โคตรภูและวิตก อนุโลม
และวิตกเป็นปัจจัยแก่โวทานและวิตก โคตรภูและวิตกเป็นปัจจัยแก่มรรคที่มีทั้งวิตก
วิจารและวิตก โวทานและวิตกเป็นปัจจัยแก่มรรคที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตกโดย
อาเสวนปัจจัย (๕)

กัมมปัจจัย
[๑๑๔] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตก
และวิจารโดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและนานาขณิกะ
สหชาตะ ได้แก่ เจตนาที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์โดย
กัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เจตนาที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์
โดยกัมมปัจจัย

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๙๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นวิบาก
ซึ่งมีทั้งวิตกและวิจารโดยกัมมปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและนานาขณิกะ
สหชาตะ ได้แก่ เจตนาที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่วิตกโดยกัมมปัจจัย
ในปฏิสนธิขณะ เจตนาที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่วิตกโดยกัมมปัจจัย
นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่วิตกที่เป็นวิบาก
โดยกัมมปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร
โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและนานาขณิกะ
สหชาตะ ได้แก่ เจตนาที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป
โดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เจตนาที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูป
โดยกัมมปัจจัย
นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นวิบาก
ซึ่งไม่มีทั้งวิตกวิจารและกฏัตตารูปโดยกัมมปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่
ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและนานาขณิกะ
สหชาตะ ได้แก่ เจตนาที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และ
จิตตสมุฏฐานรูปโดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เจตนาที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็น
ปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และกฏัตตารูปโดยกัมมปัจจัย
นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นวิบาก
ซึ่งมีทั้งวิตกวิจารและกฏัตตารูปโดยกัมมปัจจัย (๔)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
และที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและนานาขณิกะ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๙๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
สหชาตะ ได้แก่ เจตนาที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่วิตกและจิตต-
สมุฏฐานรูปโดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เจตนาที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัย
แก่วิตกและกฏัตตารูปโดยกัมมปัจจัย
นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่วิตกที่เป็นวิบาก
และกฏัตตารูปโดยกัมมปัจจัย (๕)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่
ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและนานาขณิกะ
สหชาตะ ได้แก่ เจตนาที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และ
วิตกโดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เจตนาที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่
สัมปยุตตขันธ์และวิตกโดยกัมมปัจจัย
นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นวิบาก
ซึ่งมีทั้งวิตกวิจารและวิตกโดยกัมมปัจจัย (๖)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารที่ไม่มี
วิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะ
และนานาขณิกะ
สหชาตะ ได้แก่ เจตนาที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์วิตก
และจิตตสมุฏฐานรูปโดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เจตนาที่มีทั้งวิตกและวิจาร
เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์วิตกและกฏัตตารูปโดยกัมมปัจจัย
นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นวิบาก
ซึ่งมีทั้งวิตกวิจาร วิตกและกฏัตตารูปโดยกัมมปัจจัย (๗)
[๑๑๕] สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตก
มีเพียงวิจารโดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและนานาขณิกะ
สหชาตะ ได้แก่ เจตนาที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์
โดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็น
วิบากซึ่งไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยกัมมปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๙๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและ
วิจารโดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและนานาขณิกะ
สหชาตะ ได้แก่ เจตนาที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่วิจารและจิตต-
สมุฏฐานรูปโดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เจตนาที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็น
ปัจจัยแก่วิจารที่เป็นวิบากและกฏัตตารูปโดยกัมมปัจจัย
นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่วิจารที่เป็น
วิบากและกฏัตตารูปโดยกัมมปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียง
วิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและนานาขณิกะ
สหชาตะ ได้แก่ เจตนาที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์
วิจารและจิตตสมุฏฐานรูปโดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เจตนาที่ไม่มีวิตกมีเพียง
วิจารเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์วิจารและกฏัตตารูปโดยกัมมปัจจัย
นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็น
วิบากซึ่งไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร วิจารและกฏัตตารูปโดยกัมมปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและ
วิจารโดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและนานาขณิกะ
สหชาตะ ได้แก่ เจตนาที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และ
จิตตสมุฏฐานรูปโดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เจตนาที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็น
ปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และกฏัตตารูปโดยกัมมปัจจัย
นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นวิบาก
ซึ่งไม่มีทั้งวิตกวิจารและกฏัตตารูปโดยกัมมปัจจัย (๑)

วิปากปัจจัย
[๑๑๖] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตก
และวิจารโดยวิปากปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เป็นวิบากซึ่งมีทั้งวิตกและวิจารเป็น

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๙๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
ปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยวิปากปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกและวิจาร
เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยวิปากปัจจัย
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
โดยวิปากปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่เป็นวิบากซึ่งมีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่วิตกโดย
วิปากปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
(ปัญหาวารทั้ง ๗ วาระที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นมูลบริบูรณ์แล้ว)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
โดยวิปากปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เป็นวิบากซึ่งไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่
ขันธ์ ๓ โดยวิปากปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่เป็น
วิบากซึ่งไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร ฯลฯ
(พึงจัดปัญหาวารทั้ง ๕ ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นมูลไว้และพึงกําหนดว่าเป็น
วิบาก)
[๑๑๗] สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตก
และวิจารโดยวิปากปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เป็นวิบากซึ่งไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็น
ปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปโดยวิปากปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ วิจาร
ที่เป็นวิปากเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดยวิปากปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
ขันธ์เป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุโดยวิปากปัจจัย วิจารเป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุโดยวิปาก-
ปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียง
วิจารโดยวิปากปัจจัย ได้แก่ วิจารที่เป็นวิปากเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียง
วิจารโดยวิปากปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ วิจารที่เป็นวิบากเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่มี
วิตกมีเพียงวิจารโดยวิปากปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
และที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยวิปากปัจจัย ได้แก่ วิจารที่เป็นวิบากเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่
ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร และจิตตสมุฏฐานรูปโดยวิปากปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ วิจารที่
เป็นวิบากเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและกฏัตตารูปโดยวิปากปัจจัย (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๙๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
[๑๑๘] สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัย
แก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยวิปากปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เป็นวิบากซึ่ง
ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร และวิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยวิปากปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒
ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารโดยวิปากปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่เป็นวิบากซึ่งไม่มีวิตกมีเพียง
วิจารและวิจารเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดยวิปากปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์
ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร และวิจารเป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปโดยวิปากปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยวิปากปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เป็น
วิบากซึ่งไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร และวิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐาน-
รูปโดยวิปากปัจจัย ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่เป็นวิบากซึ่งไม่มีวิตกมี
เพียงวิจารและวิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูปโดยวิปากปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่มีทั้งวิตกและวิจารโดยวิปากปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เป็นวิบากซึ่งมีทั้งวิตกวิจาร
และวิตกเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยวิปากปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ
ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารโดยวิปากปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่เป็นวิบากซึ่งมีทั้งวิตกวิจารและ
วิตกเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดยวิปากปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๒)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยวิปากปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เป็นวิบาก
ซึ่งมีทั้งวิตกวิจาร และวิตกเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปโดยวิปากปัจจัย
ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๐๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
อาหารปัจจัย
[๑๑๙] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและ
วิจารโดยอาหารปัจจัย ได้แก่ อาหารที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต-
ขันธ์โดยอาหารปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
โดยอาหารปัจจัย ได้แก่ อาหารที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่วิตกโดยอาหาร-
ปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
(ด้วยเหตุนี้พึงจําแนกปัญหาวารทั้ง ๗ ที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นมูล)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
โดยอาหารปัจจัย ได้แก่ อาหารที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์
โดยอาหารปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร
โดยอาหารปัจจัย ได้แก่ อาหารที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่วิจารและจิตต-
สมุฏฐานรูปโดยอาหารปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
และที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยอาหารปัจจัย ได้แก่ อาหารที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็น
ปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ วิจารและจิตตสมุฏฐานรูปโดยอาหารปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ
ฯลฯ (๓)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร
โดยอาหารปัจจัย ได้แก่ อาหารที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์
และจิตตสมุฏฐานรูปโดยอาหารปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ กวฬิงการาหารเป็น
ปัจจัยแก่กายนี้โดยอาหารปัจจัย

อินทรียปัจจัย
[๑๒๐] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและ
วิจารโดยอินทรียปัจจัย ได้แก่ อินทรีย์ที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต-
ขันธ์โดยอินทรียปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๐๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
โดยอินทรียปัจจัย ได้แก่ อินทรีย์ที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่วิตกโดยอินทรีย-
ปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๗)
(ด้วยเหตุนี้พึงจําแนกปัญหาวารทั้ง ๗ ที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นมูล)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
โดยอินทรียปัจจัย ได้แก่ อินทรีย์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์
โดยอินทรียปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร
โดยอินทรียปัจจัย ได้แก่ อินทรีย์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่วิจารและ
จิตตสมุฏฐานรูปโดยอินทรียปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
และที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยอินทรียปัจจัย ได้แก่ อินทรีย์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็น
ปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ วิจารและจิตตสมุฏฐานรูปโดยอินทรียปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ
ฯลฯ (๓)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร
โดยอินทรียปัจจัย ได้แก่ อินทรีย์ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์
และจิตตสมุฏฐานรูปโดยอินทรียปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ จักขุนทรีย์เป็นปัจจัย
แก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ กายินทรีย์เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณโดยอินทรียปัจจัย รูป-
ชีวิตินทรีย์เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปโดยอินทรียปัจจัย (๑)

ฌานปัจจัย
[๑๒๑] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและ
วิจารโดยฌานปัจจัย ได้แก่ องค์ฌานที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์
โดยฌานปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๗)
(ด้วยเหตุนี้พึงจําแนกปัญหาวารทั้ง ๗ ที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นมูล)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๐๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
โดยฌานปัจจัย ได้แก่ องค์ฌานที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์
โดยฌานปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๕)
(ด้วยเหตุนี้พึงจําแนกปัญหาวารทั้ง ๗ ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นมูล)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร
โดยฌานปัจจัย ได้แก่ องค์ฌานที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์
และจิตตสมุฏฐานรูปโดยฌานปัจจัย วิจารเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดยฌาน-
ปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ วิจารเป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปโดยฌานปัจจัย วิจารเป็น
ปัจจัยแก่หทัยวัตถุโดยฌานปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
โดยฌานปัจจัย ได้แก่ วิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดย
ฌานปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ วิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดย
ฌานปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
และที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยฌานปัจจัย ได้แก่ วิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมี
เพียงวิจารและจิตตสมุฏฐานรูปโดยฌานปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ วิจารเป็นปัจจัยแก่
ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและกฏัตตารูปโดยฌานปัจจัย (๓)
[๑๒๒] สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยฌานปัจจัย ได้แก่ องค์ฌานที่ไม่มีวิตกมีเพียง
วิจารและวิจารเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์โดยฌานปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารโดยฌานปัจจัย ได้แก่ องค์ฌานที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและ
วิจารเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดยฌานปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยฌานปัจจัย ได้แก่ องค์ฌานที่ไม่มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๐๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
วิตกมีเพียงวิจารและวิจารเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดยฌาน-
ปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ องค์ฌานที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิจารเป็นปัจจัยแก่
สัมปยุตตขันธ์และกฏัตตารูปโดยฌานปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่มีทั้งวิตกและวิจารโดยฌานปัจจัย ได้แก่ องค์ฌานที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตกเป็น
ปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์โดยฌานปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารโดยฌานปัจจัย ได้แก่ องค์ฌานที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตกเป็น
ปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดยฌานปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๒)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยฌานปัจจัย ได้แก่ องค์ฌานที่มีทั้งวิตก
วิจารและวิตกเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดยฌานปัจจัย ใน
ปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๓)

มัคคปัจจัย
[๑๒๓] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตก
และวิจารโดยมัคคปัจจัย ได้แก่ องค์มรรคที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สัม-
ปยุตตขันธ์โดยมัคคปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
(ด้วยเหตุนี้พึงจําแนกปัญหาวารทั้ง ๗ ที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นมูล)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียง
วิจารโดยมัคคปัจจัย ได้แก่ องค์มรรคที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สัม-
ปยุตตขันธ์โดยมัคคปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
(ด้วยเหตุนี้พึงจําแนกปัญหาวารทั้ง ๕ ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นมูล)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร
โดยมัคคปัจจัย ได้แก่ องค์มรรคที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์
และจิตตสมุฏฐานรูปโดยมัคคปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๐๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่มีทั้งวิตกและวิจารโดยมัคคปัจจัย ได้แก่ องค์มรรคที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตกเป็น
ปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์โดยมัคคปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารโดยมัคคปัจจัย ได้แก่ องค์มรรคที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตกเป็น
ปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดยมัคคปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๒)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยมัคคปัจจัย ได้แก่ องค์มรรคที่มีทั้งวิตก
วิจารและวิตกเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดยมัคคปัจจัย ใน
ปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๓)

สัมปยุตตปัจจัย
[๑๒๔] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตก
และวิจารโดยสัมปยุตตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่
ขันธ์ ๓ โดยสัมปยุตตปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ ฯลฯ ใน
ปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดย
สัมปยุตตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่วิตกโดยสัมปยุตตปัจจัย
ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๒)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่
ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยสัมปยุตตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็น
ปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และวิตกโดยสัมปยุตตปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒
และวิตก ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๓)
[๑๒๕] สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตก
มีเพียงวิจารโดยสัมปยุตตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัย
แก่ขันธ์ ๓ โดยสัมปยุตตปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ ฯลฯ ใน
ปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๐๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารโดย
สัมปยุตตปัจจัย ได้แก่ วิตกเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารโดยสัมปยุตตปัจจัย
ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร
โดยสัมปยุตตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่วิจารโดย
สัมปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๓)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
และที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยสัมปยุตตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และวิจารโดยสัมปยุตตปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่
ขันธ์ ๒ และวิจาร ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๔)
[๑๒๖] สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีทั้ง
วิตกและวิจารโดยสัมปยุตตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัย
แก่ขันธ์ ๓ โดยสัมปยุตตปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ ฯลฯ ใน
ปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียง
วิจารโดยสัมปยุตตปัจจัย ได้แก่ วิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดย
สัมปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาว-
ธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยสัมปยุตตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตกมีเพียง
วิจาร และวิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยสัมปยุตตปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ และ
วิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่มีทั้งวิตกและวิจารโดยสัมปยุตตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตก
เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยสัมปยุตตปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ และวิตกเป็นปัจจัยแก่
ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๐๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
วิปปยุตตปัจจัย
[๑๒๗] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตก
และวิจารโดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปัจฉาชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดย
วิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูป
โดยวิปปยุตตปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อน
โดยวิปปยุตตปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและ
วิจารโดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปัจฉาชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป
โดยวิปปยุตตปัจจัย วิตกเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดยวิปปยุตตปัจจัย ใน
ปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปโดยวิปปยุตตปัจจัย
วิตกเป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปโดยวิปปยุตตปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร และวิตกเป็นปัจจัยแก่กายนี้
ที่เกิดก่อนโดยวิปปยุตตปัจจัย (๑)
[๑๒๘] สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีทั้ง
วิตกและวิจารโดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ สหชาตะ ปุเรชาตะ และ
ปัจฉาชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป
โดยวิปปยุตตปัจจัย วิจารเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดยวิปปยุตตปัจจัย ใน
ปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปโดยวิปปยุตตปัจจัย
วิจารเป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปโดยวิปปยุตตปัจจัย ขันธ์เป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุโดย
วิปปยุตตปัจจัย หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์โดยวิปปยุตตปัจจัย วิจารเป็นปัจจัยแก่
หทัยวัตถุโดยวิปปยุตตปัจจัย หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่วิจารโดยวิปปยุตตปัจจัย

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๐๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
ปุเรชาตะ ได้แก่ จักขายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณโดยวิปปยุตตปัจจัย
ฯลฯ กายายตนะเป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณโดยวิปปยุตตปัจจัย หทัยวัตถุเป็น
ปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารและวิจารโดยวิปปยุตตปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารและวิจารเป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อน
โดยวิปปยุตตปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจาร
โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปุเรชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและ
วิจารโดยวิปปยุตตปัจจัย
ปุเรชาตะ ได้แก่ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารโดย
วิปปยุตตปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียง
วิจารโดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปุเรชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมี
เพียงวิจารและวิตกโดยวิปปยุตตปัจจัย
ปุเรชาตะ ได้แก่ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิตก
โดยวิปปยุตตปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
และที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปุเรชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมี
เพียงวิจาร และวิจารโดยวิปปยุตตปัจจัย
ปุเรชาตะ ได้แก่ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร และ
วิจารโดยวิปปยุตตปัจจัย (๔)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและ
ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปุเรชาตะ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๐๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
สหชาตะ ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีทั้งวิตก
วิจารและวิตกโดยวิปปยุตตปัจจัย
ปุเรชาตะ ได้แก่ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตกโดย
วิปปยุตตปัจจัย (๕)
[๑๒๙] สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารโดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะ
และปัจฉาชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิจารเป็นปัจจัยแก่จิตต-
สมุฏฐานรูปโดยวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและ
วิจารเป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปโดยวิปปยุตตปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิจารเป็นปัจจัยแก่กายนี้
ที่เกิดก่อนโดยวิปปยุตตปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารโดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปัจฉาชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตกเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป
โดยวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตกเป็นปัจจัยแก่
กฏัตตารูปโดยวิปปยุตตปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตกเป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิด
ก่อนโดยวิปปยุตตปัจจัย (๑)

อัตถิปัจจัย
[๑๓๐] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและ
วิจารโดยอัตถิปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดย
อัตถิปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๐๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
โดยอัตถิปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่วิตกโดยอัตถิปัจจัย
ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๒)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร
โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปัจฉาชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดย
อัตถิปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปโดย
อัตถิปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อน
โดยอัตถิปัจจัย (๓)
(ในนัยที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นมูล ปัญหาวารที่เหลือเหมือนกับสหชาตปัจจัย)
[๑๓๑] สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมี
เพียงวิจารโดยอัตถิปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓
โดยอัตถิปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจาร
โดยอัตถิปัจจัย ได้แก่ วิตกเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารโดยอัตถิปัจจัย
ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร
โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปัจฉาชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่วิจารและจิตต-
สมุฏฐานรูปโดยอัตถิปัจจัย วิตกเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดยอัตถิปัจจัย ใน
ปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่วิจารและกฏัตตารูปโดย
อัตถิปัจจัย วิตกเป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปโดยอัตถิปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิตกเป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่
เกิดก่อนโดยอัตถิปัจจัย (๓)
(ปัญหาวารที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นมูล มี ๕ วาระ ที่เหลือเหมือนกับ
สหชาตปัจจัย)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๑๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
[๑๓๒] สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีทั้ง
วิตกและวิจารโดยอัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาตะ ปุเรชาตะ ปัจฉาชาตะ
อาหาระ และอินทรียะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และ
จิตตสมุฏฐานรูปโดยอัตถิปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ ฯลฯ วิจาร
เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดยอัตถิปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่ไม่มีทั้ง
วิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูปโดยอัตถิปัจจัย ฯลฯ ขันธ์เป็น
ปัจจัยแก่หทัยวัตถุโดยอัตถิปัจจัย หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์โดยอัตถิปัจจัย วิจาร
เป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุโดยอัตถิปัจจัย หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่วิจารโดยอัตถิปัจจัย
มหาภูตรูป ๑ เป็นปัจจัยแก่มหาภูตรูป ๓ โดยอัตถิปัจจัย ฯลฯ มหาภูตรูปเป็น
ปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทายรูปโดยอัตถิปัจจัย ... ที่
เป็นภายนอก ... ที่มีอาหารเป็นสมุฏฐาน ... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ... สําหรับเหล่า
อสัญญสัตตพรหม มหาภูตรูป ๑ เป็นปัจจัยแก่มหาภูตรูป ๓ ฯลฯ มหาภูตรูป
เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปโดยอัตถิปัจจัย
ปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ
รูปายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะเป็นปัจจัยแก่กาย-
วิญญาณโดยอัตถิปัจจัย จักขายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ กายายตนะ
เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณโดยอัตถิปัจจัย หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่มีทั้งวิตก
วิจารและวิจารโดยอัตถิปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารและวิจารเป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิด
ก่อนโดยอัตถิปัจจัย กวฬิงการาหารเป็นปัจจัยแก่กายนี้โดยอัตถิปัจจัย รูปชีวิตินทรีย์
เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปโดยอัตถิปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจาร
โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปุเรชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและ
วิจารโดยอัตถิปัจจัย

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๑๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
ปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลเห็นแจ้งจักษุโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็น
อนัตตา ยินดีเพลิดเพลิน เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินจักษุนั้น ราคะจึง
เกิดขึ้น ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น บุคคลเห็นแจ้งโสตะ ... ฆานะ ... ชิวหา ... กาย
... รูป ... เสียง ... กลิ่น ...รส ... โผฏฐัพพะ ... หทัยวัตถุโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีทั้ง
วิตกและวิจารโดยอัตถิปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปุเรชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ วิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยอัตถิปัจจัย
ในปฏิสนธิขณะ วิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยอัตถิปัจจัย ใน
ปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิตกโดยอัตถิปัจจัย
ปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลเห็นแจ้งจักษุ โดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง เป็นทุกข์
เป็นอนัตตา ยินดีเพลิดเพลิน เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินจักษุนั้น วิตกจึง
เกิดขึ้น บุคคลเห็นแจ้งโสตะ ... ฆานะ ... ชิวหา ... กาย ... รูป ... เสียง ...
กลิ่น ... รส ... โผฏฐัพพะ ... หทัยวัตถุโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
ยินดีเพลิดเพลิน เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินโสตะเป็นต้นนั้น วิตกจึงเกิดขึ้น
หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิตกโดยอัตถิปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
และที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปุเรชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ วิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและจิตต-
สมุฏฐานรูปโดยอัตถิปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ วิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียง
วิจารและกฏัตตารูปโดยอัตถิปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่
ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิจารโดยอัตถิปัจจัย
ปุเรชาตะ ได้แก่ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิจาร
โดยอัตถิปัจจัย (๔)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๑๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่
ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปุเรชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจาร
และวิตกโดยอัตถิปัจจัย
ปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลเห็นแจ้งจักษุโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็น
อนัตตา ยินดีเพลิดเพลินเพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินจักษุนั้น ขันธ์ที่มีทั้งวิตก
วิจารและวิตกจึงเกิดขึ้น บุคคลเห็นแจ้งโสตะ ... ฆานะ ... ชิวหา ... กาย ฯลฯ
หทัยวัตถุโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ยินดีเพลิดเพลิน เพราะ
ปรารภความยินดีเพลิดเพลินโสตะเป็นต้นนั้น ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตกจึง
เกิดขึ้น หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตกโดยอัตถิปัจจัย (๕)
[๑๓๓] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาว-
ธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารโดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปุเรชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกวิจาร และหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓
โดยอัตถิปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ โดยอัตถิปัจจัย
ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกวิจาร และหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดย
อัตถิปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ โดยอัตถิปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่
มีวิตกมีเพียงวิจารโดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปุเรชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจาร และหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่วิตกโดย
อัตถิปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจาร และหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่วิตก
โดยอัตถิปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่
มีทั้งวิตกและวิจารโดยอัตถิปัจจัย มี ๔ อย่าง คือ สหชาตะ ปัจฉาชาตะ อาหาระ
และอินทรียะ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๑๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและมหาภูตรูปเป็นปัจจัยแก่จิตต-
สมุฏฐานรูปโดยอัตถิปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและมหาภูตรูป
เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปโดยอัตถิปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและกวฬิงการาหารเป็นปัจจัยแก่
กายนี้ที่เกิดก่อนโดยอัตถิปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและรูปชีวิตินทรีย์เป็นปัจจัยแก่
กฏัตตารูปโดยอัตถิปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้ง
วิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะ
และปุเรชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกวิจารและหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓
และวิตกโดยอัตถิปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ และ
วิตกโดยอัตถิปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๔)
[๑๓๔] สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารโดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปุเรชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ วิตกและหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารโดย
อัตถิปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ วิตกและหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจาร
โดยอัตถิปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะ และปุเรชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓
โดยอัตถิปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ และวิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ ๑ ที่
ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัตถิปัจจัย ฯลฯ
ขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ โดยอัตถิปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ
ขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัตถิปัจจัย ฯลฯ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๑๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
ขันธ์ ๒ และวิจารเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตก
มีเพียงวิจารและหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ ฯลฯ ขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุเป็น
ปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ โดยอัตถิปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารโดยอัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาตะ ปุเรชาตะ
ปัจฉาชาตะ อาหาระ และอินทรียะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิจารเป็นปัจจัยแก่
จิตตสมุฏฐานรูปโดยอัตถิปัจจัย
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและมหาภูตรูปเป็นปัจจัยแก่
จิตตสมุฏฐานรูปโดยอัตถิปัจจัย
สหชาตะ ได้แก่ วิตกและมหาภูตรูปเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดย
อัตถิปัจจัย
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่วิจาร
โดยอัตถิปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิจารเป็นปัจจัยแก่
กฏัตตารูปโดยอัตถิปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและมหาภูต-
รูปเป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปโดยอัตถิปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ วิตกและมหาภูตรูปเป็น
ปัจจัยแก่กฏัตตารูปโดยอัตถิปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและ
หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่วิจารโดยอัตถิปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิจารเป็นปัจจัยแก่กายนี้
ที่เกิดก่อนโดยอัตถิปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร วิตกและกวฬิงการาหารเป็น
ปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อนโดยอัตถิปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร วิตกและรูปชีวิตินทรีย์เป็น
ปัจจัยแก่กฏัตตารูปโดยอัตถิปัจจัย (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๑๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ
สหชาตะและปุเรชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและวิจารเป็นปัจจัยแก่
ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปโดยอัตถิปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ และวิจาร ฯลฯ
ขันธ์ ๑ ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และวิจารโดย
อัตถิปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๔)
[๑๓๕] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารโดยอัตถิปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกวิจาร
และวิตกเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัตถิปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ และวิตก ฯลฯ
ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารโดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปัจฉาชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจารและวิตกเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป
โดยอัตถิปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจาร และวิตกเป็นปัจจัยแก่
กฏัตตารูปโดยอัตถิปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจาร และวิตกเป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิด
ก่อนโดยอัตถิปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยอัตถิปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกวิจาร
และวิตกเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปโดยอัตถิปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒
และวิตกเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๓)
[๑๓๖] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตก
วิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารโดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ
สหชาตะและปุเรชาตะ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๑๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่มีทั้งวิตกวิจาร วิตกและหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่
ขันธ์ ๓ โดยอัตถิปัจจัย ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็น
ปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารโดยอัตถิปัจจัย มี ๔ อย่าง คือ สหชาตะ
ปัจฉาชาตะ อาหาระ และอินทรียะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจาร วิตกและมหาภูตรูปเป็นปัจจัยแก่จิตต-
สมุฏฐานรูปโดยอัตถิปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจาร วิตกและกวฬิงการาหารเป็นปัจจัย
แก่กายนี้ที่เกิดก่อนโดยอัตถิปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่มีทั้งวิตกวิจาร วิตกและรูปชีวิตินทรีย์เป็นปัจจัย
แก่กฏัตตารูปโดยอัตถิปัจจัย (๒)

นัตถิปัจจัย วิคตปัจจัย และอวิคตปัจจัย
[๑๓๗] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและ
วิจารโดยนัตถิปัจจัย เป็นปัจจัยโดยวิคตปัจจัย (นัตถิปัจจัยและวิคตปัจจัย เหมือน
กับอนันตรปัจจัย อวิคตปัจจัยเหมือนกับอัตถิปัจจัย)

๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๑๓๘] เหตุปัจจัย มี ๑๑ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๒๑ วาระ
อธิปติปัจจัย มี ๒๓ วาระ
อนันตรปัจจัย มี ๒๕ วาระ
สมนันตรปัจจัย มี ๒๕ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๑๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร

สหชาตปัจจัย มี ๓๐ วาระ
อัญญมัญญปัจจัย มี ๒๘ วาระ
นิสสยปัจจัย มี ๓๐ วาระ
อุปนิสสยปัจจัย มี ๒๕ วาระ
ปุเรชาตปัจจัย มี ๕ วาระ
ปัจฉาชาตปัจจัย มี ๕ วาระ
อาเสวนปัจจัย มี ๒๑ วาระ
กัมมปัจจัย มี ๑๑ วาระ
วิปากปัจจัย มี ๒๑ วาระ
อาหารปัจจัย มี ๑๑ วาระ
อินทรียปัจจัย มี ๑๑ วาระ
ฌานปัจจัย มี ๒๑ วาระ
มัคคปัจจัย มี ๑๖ วาระ
สัมปยุตตปัจจัย มี ๑๑ วาระ
วิปปยุตตปัจจัย มี ๙ วาระ
อัตถิปัจจัย มี ๓๐ วาระ
นัตถิปัจจัย มี ๒๕ วาระ
วิคตปัจจัย มี ๒๕ วาระ
อวิคตปัจจัย มี ๓๐ วาระ

(ฆฏนาก็เหมือนกับกุสลติกะ ผู้รู้พึงนับปัญหาวารอย่างนี้)
อนุโลม จบ

๒. ปัจจนียุทธาร
[๑๓๙] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและ
วิจารโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และกัมมปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
โดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และกัมมปัจจัย (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๑๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร
โดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย ปัจฉาชาตปัจจัย และกัมม-
ปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่
ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยสหชาตปัจจัย และกัมมปัจจัย (๔)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
และที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยสหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และกัมมปัจจัย (๕)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่
ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และกัมม-
ปัจจัย (๖)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารที่ไม่มี
วิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยสหชาตปัจจัยและกัมมปัจจัย (๗)
[๑๔๐] สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตก
มีเพียงวิจารโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย และอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจาร
โดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย และอุปนิสสยปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร
โดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย ปัจฉาชาตปัจจัย และกัมม-
ปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและ
ที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยสหชาตปัจจัย (๔)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
และที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยสหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และกัมมปัจจัย (๕)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและ
ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยอารัมมณปัจจัยและอุปนิสสยปัจจัย (๖)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๑๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
[๑๔๑] สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีทั้ง
วิตกและวิจารโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย ปุเรชาตปัจจัย
ปัจฉาชาตปัจจัย กัมมปัจจัย อาหารปัจจัย และอินทรียปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจาร
โดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และปุเรชาตปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
โดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และปุเรชาตปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียง
วิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และ
ปุเรชาตปัจจัย (๔)
สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและ
ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร โดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และ
ปุเรชาตปัจจัย (๕)
[๑๔๒] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาว-
ธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจาร มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปุเรชาตะ (๑)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปุเรชาตะ (๒)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มี
ทั้งวิตกและวิจาร มี ๔ อย่าง คือ สหชาตะ ปัจฉาชาตะ อาหาระ และอินทรียะ (๓)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีทั้ง
วิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปุเรชาตะ (๔)
[๑๔๓] สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย
และปุเรชาตปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๒๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และ
ปุเรชาตปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย ปุเรชาต-
ปัจจัย ปัจฉาชาตปัจจัย อาหารปัจจัย และอินทรียปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยสหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และ
ปุเรชาตปัจจัย (๔)
สภาวธรรมที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยอารัมมณปัจจัยและอุปนิสสยปัจจัย (๕)
[๑๔๔] สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาว-
ธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจารโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย และอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยอารัมมณปัจจัย และอุปนิสสยปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร โดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และ
ปัจฉาชาตปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยสหชาตปัจจัย (๔)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารโดยอุปนิสสยปัจจัย (๕)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่มีทั้งวิตกวิจารและที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารโดยอารัมมณปัจจัยและอุปนิสสยปัจจัย (๖)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๒๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็นปัจจัย
แก่สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจาร มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปุเรชาตะ (๑)
สภาวธรรมที่มีทั้งวิตกวิจารที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารและที่ไม่มีทั้งวิตกวิจารเป็น
ปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร มี ๔ อย่าง คือ สหชาตะ ปัจฉาชาตะ
อาหาระ และอินทรียะ (๒)
ปัจจนียุทธาร จบ

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๑๔๕] นเหตุปัจจัย มี ๓๕ วาระ
นอารัมมณปัจจัย มี ๓๕ วาระ
นอธิปติปัจจัย มี ๓๕ วาระ
นอนันตรปัจจัย มี ๓๕ วาระ
นสมนันตรปัจจัย มี ๓๕ วาระ
นสหชาตปัจจัย มี ๒๙ วาระ
นอัญญมัญญปัจจัย มี ๒๙ วาระ
นนิสสยปัจจัย มี ๒๙ วาระ
นอุปนิสสยปัจจัย มี ๓๔ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย มี ๓๕ วาระ
นปัจฉาชาตปัจจัย มี ๓๕ วาระ
นอาเสวนปัจจัย มี ๓๕ วาระ
นกัมมปัจจัย มี ๓๕ วาระ
นวิปากปัจจัย มี ๓๕ วาระ
นอาหารปัจจัย มี ๓๕ วาระ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๒๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร

นอินทรียปัจจัย มี ๓๕ วาระ
นฌานปัจจัย มี ๓๕ วาระ
นมัคคปัจจัย มี ๓๕ วาระ
นสัมปยุตตปัจจัย มี ๒๙ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย มี ๒๗ วาระ
โนอัตถิปัจจัย มี ๒๗ วาระ
โนนัตถิปัจจัย มี ๓๕ วาระ
โนวิคตปัจจัย มี ๓๕ วาระ
โนอวิคตปัจจัย มี ๒๗ วาระ

(ผู้รู้ เมื่อจะนับปัจจนียะ พึงนับบทเหล่านี้)
ปัจจนียะ จบ

๓. ปัจจยานุโลมปัจจนียะ
เหตุทุกนัย

[๑๔๖] นอารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๑๑ วาระ
นอธิปติปัจจัย ” มี ๑๑ วาระ
นอนันตรปัจจัย ” มี ๑๑ วาระ
นสมนันตรปัจจัย ” มี ๑๑ วาระ
นอัญญมัญญปัจจัย ” มี ๓ วาระ
นอุปนิสสยปัจจัย ” มี ๑๑ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย ” มี ๑๑ วาระ
นปัจฉาชาตปัจจัย ” มี ๑๑ วาระ
นอาเสวนปัจจัย ” มี ๑๑ วาระ
นกัมมปัจจัย ” มี ๑๑ วาระ
นวิปากปัจจัย ” มี ๑๑ วาระ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๒๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร

นอาหารปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๑๑ วาระ
นอินทรียปัจจัย ” มี ๑๑ วาระ
นฌานปัจจัย ” มี ๑๑ วาระ
นมัคคปัจจัย ” มี ๑๑ วาระ
นสัมปยุตตปัจจัย ” มี ๓ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย ” มี ๗ วาระ
โนนัตถิปัจจัย ” มี ๑๑ วาระ
โนวิคตปัจจัย ” มี ๑๑ วาระ

(การนับอนุโลมปัจจนียะ พึงนับโดยเหตุนี้)
อนุโลมปัจจนียะ จบ

๔. ปัจจยปัจจนียานุโลม
นเหตุทุกนัย

[๑๔๗] อารัมมณปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๒๑ วาระ
อธิปติปัจจัย ” มี ๒๓ วาระ
อนันตรปัจจัย ” มี ๒๕ วาระ
สมนันตรปัจจัย ” มี ๒๕ วาระ
สหชาตปัจจัย ” มี ๓๐ วาระ
อัญญมัญญปัจจัย ” มี ๒๘ วาระ
นิสสยปัจจัย ” มี ๓๐ วาระ
อุปนิสสยปัจจัย ” มี ๒๕ วาระ
ปุเรชาตปัจจัย ” มี ๕ วาระ
ปัจฉาชาตปัจจัย ” มี ๕ วาระ
อาเสวนปัจจัย ” มี ๒๑ วาระ
กัมมปัจจัย ” มี ๑๑ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๒๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๖. วิตักกติกะ ๗. ปัญหาวาร

วิปากปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๒๑ วาระ
อาหารปัจจัย ” มี ๑๑ วาระ
อินทรียปัจจัย ” มี ๑๑ วาระ
ฌานปัจจัย ” มี ๒๑ วาระ
มัคคปัจจัย ” มี ๑๖ วาระ
สัมปยุตตปัจจัย ” มี ๑๑ วาระ
วิปปยุตตปัจจัย ” มี ๙ วาระ
อัตถิปัจจัย ” มี ๓๐ วาระ
นัตถิปัจจัย ” มี ๒๕ วาระ
วิคตปัจจัย ” มี ๒๕ วาระ
อวิคตปัจจัย ” มี ๓๐ วาระ

(พึงจําแนกปัจจนียานุโลมโดยเหตุนี้)
ปัจจนียานุโลม จบ
วิตักกติกะ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๒๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๗. ปีติติกะ ๑. ปฏิจจวาร
๗. ปีติติกะ ๑. ปฏิจจวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๑] สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติอาศัยสภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติเกิดขึ้นเพราะ
เหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยปีติเกิดขึ้น ขันธ์ ๑ อาศัย
ขันธ์ ๓ เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัย
ขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยปีติเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยสุขอาศัยสภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติเกิดขึ้นเพราะเหตุ-
ปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ ที่สหรคตด้วยสุขอาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยปีติเกิดขึ้น ฯลฯ
ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ ที่สหรคตด้วยสุขอาศัย
ขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยปีติเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขอาศัยสภาวธรรมที่สหรคต
ด้วยปีติเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ ที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคต
ด้วยสุขอาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยปีติเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น
ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ ที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขอาศัยขันธ์ ๑ ที่
สหรคตด้วยปีติเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น (๓)
[๒] สภาวธรรมที่สหรคตด้วยสุขอาศัยสภาวธรรมที่สหรคตด้วยสุขเกิดขึ้น
เพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยสุขเกิดขึ้น ขันธ์ ๑
อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยสุขเกิดขึ้น
ขันธ์ ๑ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติอาศัยสภาวธรรมที่สหรคตด้วยสุขเกิดขึ้นเพราะเหตุ-
ปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ ที่สหรคตด้วยปีติอาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยสุขเกิดขึ้น ฯลฯ
ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ ที่สหรคตด้วยปีติอาศัย
ขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยสุขเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๒๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๗. ปีติติกะ ๑. ปฏิจจวาร
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขอาศัยสภาวธรรมที่สหรคตด้วย
สุขเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๒ ที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุข
อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยสุขเกิดขึ้น ขันธ์ ๑ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ
ขันธ์ ๒ ที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขอาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยสุขเกิดขึ้น
ขันธ์ ๑ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น (๓)
[๓] สภาวธรรมที่สหรคตด้วยอุเบกขาอาศัยสภาวธรรมที่สหรคตด้วยอุเบกขา
เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยอุเบกขาเกิดขึ้น
ขันธ์ ๑ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติอาศัยสภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคต
ด้วยสุขเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ ที่สหรคตด้วยปีติอาศัยขันธ์ ๑ ที่
สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น
ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ ที่สหรคตด้วยปีติอาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยปีติและที่
สหรคตด้วยสุขเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยสุขอาศัยสภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วย
สุขเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๒ ที่สหรคตด้วยสุขอาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคต
ด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขเกิดขึ้น ขันธ์ ๑ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ
ขันธ์ ๒ ที่สหรคตด้วยสุขอาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขเกิดขึ้น
ขันธ์ ๑ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขอาศัยสภาวธรรมที่สหรคต
ด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๒ ที่สหรคต
ด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขอาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุข
เกิดขึ้น ขันธ์ ๑ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๒ ที่สหรคตด้วย
ปีติและที่สหรคตด้วยสุขอาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขเกิดขึ้น
ขันธ์ ๑ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๒๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๗. ปีติติกะ ๑. ปฏิจจวาร
อารัมมณปัจจัยเป็นต้น
[๔] สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติอาศัยสภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติเกิดขึ้นเพราะ
อารัมมณปัจจัย เพราะอธิปติปัจจัย (ในปฏิสนธิขณะไม่มี) เพราะอนันตรปัจจัย
เพราะสมนันตรปัจจัย เพราะสหชาตปัจจัย เพราะอัญญมัญญปัจจัย เพราะนิสสย-
ปัจจัย เพราะอุปนิสสยปัจจัย เพราะปุเรชาตปัจจัย (ปุเรชาตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ
ไม่มี) เพราะอาเสวนปัจจัย (ในอาเสวนปัจจัย วิบากไม่มี) เพราะกัมมปัจจัย
เพราะวิปากปัจจัย เพราะอาหารปัจจัย ฯลฯ เพราะอินทรียปัจจัย เพราะฌานปัจจัย
เพราะมัคคปัจจัย เพราะสัมปยุตตปัจจัย เพราะวิปปยุตตปัจจัย เพราะอัตถิปัจจัย
เพราะนัตถิปัจจัย เพราะวิคตปัจจัย เพราะอวิคตปัจจัย

๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๕] เหตุปัจจัย มี ๑๐ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๑๐ วาระ
อธิปติปัจจัย มี ๑๐ วาระ
อนันตรปัจจัย มี ๑๐ วาระ
สมนันตรปัจจัย มี ๑๐ วาระ
สหชาตปัจจัย มี ๑๐ วาระ
อัญญมัญญปัจจัย มี ๑๐ วาระ
นิสสยปัจจัย มี ๑๐ วาระ
อุปนิสสยปัจจัย มี ๑๐ วาระ
ปุเรชาตปัจจัย มี ๑๐ วาระ
อาเสวนปัจจัย มี ๑๐ วาระ
กัมมปัจจัย มี ๑๐ วาระ
วิปากปัจจัย มี ๑๐ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๒๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๗. ปีติติกะ ๑. ปฏิจจวาร

อาหารปัจจัย มี ๑๐ วาระ
อินทรียปัจจัย มี ๑๐ วาระ
ฌานปัจจัย มี ๑๐ วาระ
มัคคปัจจัย มี ๑๐ วาระ
สัมปยุตตปัจจัย มี ๑๐ วาระ
วิปปยุตตปัจจัย มี ๑๐ วาระ
อัตถิปัจจัย มี ๑๐ วาระ
นัตถิปัจจัย มี ๑๐ วาระ
วิคตปัจจัย มี ๑๐ วาระ
อวิคตปัจจัย มี ๑๐ วาระ

ทุกปัจจัยมีปัจจัยละ ๑๐ วาระ
(การนับอนุโลม พึงนับอย่างนี้)
อนุโลม จบ

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๑. วิภังควาร
นเหตุปัจจัย
[๖] สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติอาศัยสภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติเกิดขึ้นเพราะ
นเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอเหตุกะซึ่งสหรคตด้วย ปีติเกิดขึ้น
ฯลฯ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยสุขอาศัยสภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติเกิดขึ้นเพราะ
นเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ ที่สหรคตด้วยสุขอาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอเหตุกะซึ่ง
สหรคตด้วยปีติเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขอาศัยสภาวธรรมที่สหรคต
ด้วยปีติเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ ที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคต
ด้วยสุขอาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอเหตุกะซึ่งสหรคตด้วยปีติเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ อาศัย
ขันธ์ ๒ เกิดขึ้น (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๒๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๗. ปีติติกะ ๑. ปฏิจจวาร
[๗] สภาวธรรมที่สหรคตด้วยสุขอาศัยสภาวธรรมที่สหรคตด้วยสุขเกิดขึ้นเพราะ
นเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอเหตุกะซึ่งสหรคตด้วยสุขเกิดขึ้น
ขันธ์ ๑ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติอาศัยสภาวธรรมที่สหรคตด้วยสุขเกิดขึ้นเพราะ
นเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ ที่สหรคตด้วยปีติอาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอเหตุกะซึ่ง
สหรคตด้วยสุขเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขอาศัยสภาวธรรมที่สหรคต
ด้วยสุขเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๒ ที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคต
ด้วยสุขอาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอเหตุกะซึ่งสหรคตด้วยสุขเกิดขึ้น ขันธ์ ๑ อาศัยขันธ์ ๒
เกิดขึ้น (๓)
[๘] สภาวธรรมที่สหรคตด้วยอุเบกขาอาศัยสภาวธรรมที่สหรคตด้วยอุเบกขา
เกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอเหตุกะซึ่ง
สหรคตด้วยอุเบกขาเกิดขึ้น ขันธ์ ๑ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะที่เป็น
อเหตุกะ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยอุเบกขาเกิดขึ้น ขันธ์ ๑ อาศัย
ขันธ์ ๒ เกิดขึ้น โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วยอุทธัจจะอาศัยขันธ์
ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเกิดขึ้น (๑)
[๙] สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติอาศัยสภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคต
ด้วยสุขเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ ที่สหรคตด้วยปีติอาศัยขันธ์ ๑
ที่เป็นอเหตุกะซึ่งสหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ อาศัย
ขันธ์ ๒ เกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยสุขอาศัยสภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วย
สุขเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๒ ที่สหรคตด้วยสุขอาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็น
อเหตุกะซึ่งสหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขเกิดขึ้น ขันธ์ ๑ อาศัยขันธ์ ๒
เกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขอาศัยสภาวธรรมที่สหรคตด้วย
ปีติและที่สหรคตด้วยสุขเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๒ ที่สหรคตด้วยปีติ
และที่สหรคตด้วยสุขอาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอเหตุกะซึ่งสหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วย
สุขเกิดขึ้น ขันธ์ ๑ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๓๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๗. ปีติติกะ ๑. ปฏิจจวาร
นอธิปติปัจจัยและนอาเสวนปัจจัย
[๑๐] สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติอาศัยสภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติเกิดขึ้น
เพราะนอธิปติปัจจัย (นอธิปติปัจจัยบริบูรณ์แล้วในปฏิสนธิขณะ) เพราะนปุเรชาต-
ปัจจัย (พึงกําหนดคําว่า ในอรูป และคําว่า ในปฏิสนธิขณะ ไว้ด้วย) เพราะ
นปัจฉาชาตปัจจัย เพราะนอาเสวนปัจจัย

นกัมมปัจจัย
[๑๑] สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติอาศัยสภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติเกิดขึ้น
เพราะนกัมมปัจจัย ได้แก่ เจตนาที่สหรคตด้วยปีติอาศัยขันธ์ที่สหรคตด้วยปีติ
เกิดขึ้น
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยสุขอาศัยสภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติเกิดขึ้นเพราะ
นกัมมปัจจัย ได้แก่ เจตนาที่สหรคตด้วยสุขอาศัยขันธ์ที่สหรคตด้วยปีติเกิดขึ้น
(ด้วยเหตุนี้พึงขยายวาระทั้ง ๑๐ ให้พิสดาร)

นวิปากปัจจัย
[๑๒] สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติอาศัยสภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติเกิดขึ้น
เพราะนวิปากปัจจัย ฯลฯ (บริบูรณ์แล้ว ไม่มีปฏิสนธิ)

นฌานปัจจัยเป็นต้น
[๑๓] สภาวธรรมที่สหรคตด้วยสุขอาศัยสภาวธรรมที่สหรคตด้วยสุขเกิดขึ้น
เพราะนฌานปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยสุขและที่สหรคตด้วย
กายวิญญาณเกิดขึ้น ขันธ์ ๑ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยอุเบกขาอาศัยสภาวธรรมที่สหรคตด้วยอุเบกขา
เกิดขึ้นเพราะนฌานปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยจักขุวิญญาณ
เกิดขึ้น ขันธ์ ๑ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น (๑)
(เพราะนมัคคปัจจัยเหมือนกับนเหตุปัจจัย โมหะจึงไม่มีเพราะนวิปปยุตตปัจจัย
บริบูรณ์แล้ว จึงมีแต่อรูปปัญหาเท่านั้น)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๓๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๗. ปีติติกะ ๑. ปฏิจจวาร
๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๑๔] นเหตุปัจจัย มี ๑๐ วาระ
นอธิปติปัจจัย มี ๑๐ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย มี ๑๐ วาระ
นปัจฉาชาตปัจจัย มี ๑๐ วาระ
นอาเสวนปัจจัย มี ๑๐ วาระ
นกัมมปัจจัย มี ๑๐ วาระ
นวิปากปัจจัย มี ๑๐ วาระ
นฌานปัจจัย มี ๒ วาระ
นมัคคปัจจัย มี ๑๐ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย มี ๑๐ วาระ

(พึงทําปัจจนียะให้บริบูรณ์)
ปัจจนียะ จบ

๓. ปัจจยานุโลมปัจจนียะ
ทุกนัย

[๑๕] นอธิปติปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๑๐ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย ” มี ๑๐ วาระ
นปัจฉาชาตปัจจัย ” มี ๑๐ วาระ
นอาเสวนปัจจัย ” มี ๑๐ วาระ
นกัมมปัจจัย ” มี ๑๐ วาระ
นวิปากปัจจัย ” มี ๑๐ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย ” มี ๑๐ วาระ

(พึงนับอนุโลมปัจจนียะโดยพิสดาร)
อนุโลมปัจจนียะ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๓๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๗. ปีติติกะ ๑. ปฏิจจวาร
๔. ปัจจยปัจจนียานุโลม
ทุกนัย

[๑๖] อารัมมณปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๑๐ วาระ
อนันตรปัจจัย ” มี ๑๐ วาระ
สมนันตรปัจจัย ” มี ๑๐ วาระ
สหชาตปัจจัย ” มี ๑๐ วาระ
อัญญมัญญปัจจัย ” มี ๑๐ วาระ
นิสสยปัจจัย ” มี ๑๐ วาระ
อุปนิสสยปัจจัย ” มี ๑๐ วาระ
ปุเรชาตปัจจัย ” มี ๑๐ วาระ
อาเสวนปัจจัย ” มี ๑๐ วาระ
] กัมมปัจจัย ” มี ๑๐ วาระ
วิปากปัจจัย ” มี ๑๐ วาระ
อาหารปัจจัย ” มี ๑๐ วาระ
อินทรียปัจจัย ” มี ๑๐ วาระ
ฌานปัจจัย ” มี ๑๐ วาระ

ทุกปัจจัยมีปัจจัยละ ๑๐ วาระ

มัคคปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๑ วาระ
สัมปยุตตปัจจัย ” มี ๑๐ วาระ
วิปปยุตตปัจจัย ” มี ๑๐ วาระ
อัตถิปัจจัย ” มี ๑๐ วาระ
นัตถิปัจจัย ” มี ๑๐ วาระ
วิคตปัจจัย ” มี ๑๐ วาระ
อวิคตปัจจัย ” มี ๑๐ วาระ

ทุกปัจจัยมีปัจจัยละ ๑๐ วาระ
ปัจจนียานุโลม จบ ปฏิจจวาร จบ
(สหชาตวาร ปัจจยวาร นิสสยวาร สังสัฏฐวาร และสัมปยุตตวาร เหมือนกับ
ปฏิจจวาร)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๓๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๗. ปีติติกะ ๗. ปัญหาวาร
๗. ปีติติกะ ๗. ปัญหาวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๑๗] สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติโดย
เหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์โดยเหตุปัจจัย
ในปฏิสนธิขณะ เหตุที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์โดยเหตุปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยสุขโดย
เหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ซึ่งสหรคตด้วย
สุขโดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๒)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติและที่
สหรคตด้วยสุขโดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต-
ขันธ์ที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขโดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๓)
[๑๘] สภาวธรรมที่สหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยสุข
ฯลฯ สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติ ฯลฯ สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคต
ด้วยสุข ฯลฯ (สภาวธรรมที่มีสุขเป็นมูลมี ๓ วาระ)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยอุเบกขาเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยอุเบกขา
โดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่สหรคตด้วยอุเบกขาเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์โดย
เหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
สหรคตด้วยปีติ ฯลฯ สภาวธรรมที่สหรคตด้วยสุข ฯลฯ เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขโดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่สหรคตด้วยปีติ
และที่สหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วย
สุขโดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๓๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๗. ปีติติกะ ๗. ปัญหาวาร
อารัมมณปัจจัย
[๑๙] สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติโดย
อารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลมีจิตสหรคตด้วยปีติให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถ
แล้วพิจารณากุศลนั้นด้วยจิตที่สหรคตด้วยปีติ ออกจากฌานที่สหรคตด้วยปีติ ออก
จากมรรค ออกจากผลแล้วพิจารณาฌานเป็นต้นนั้นด้วยจิตที่สหรคตด้วยปีติ พระ
อริยะมีจิตสหรคตด้วยปีติพิจารณากิเลสที่สหรคตด้วยปีติซึ่งละได้แล้ว พิจารณากิเลส
ที่ข่มได้แล้ว รู้กิเลสที่เคยเกิดขึ้น บุคคลมีจิตสหรคตด้วยปีติเห็นแจ้งขันธ์ที่สหรคต
ด้วยปีติโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ยินดีเพลิดเพลิน เพราะ
ปรารภความยินดีเพลิดเพลินขันธ์นั้น ราคะที่สหรคตด้วยปีติจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิด
ขึ้น เพราะปรารภขันธ์ที่สหรคตด้วยปีติ ขันธ์ที่สหรคตด้วยปีติจึงเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยสุขโดย
อารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลมีจิตสหรคตด้วยปีติให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถ
แล้วพิจารณากุศลนั้นด้วยจิตที่สหรคตด้วยสุข ออกจากฌานที่สหรคตด้วยปีติ ออก
จากมรรค ออกจากผลแล้วพิจารณาฌานเป็นต้นนั้นด้วยจิตที่สหรคตด้วยสุข พระ
อริยะมีจิตสหรคตด้วยสุขพิจารณากิเลสที่สหรคตด้วยปีติซึ่งละได้แล้ว พิจารณากิเลส
ที่ข่มได้แล้ว รู้กิเลสที่เคยเกิดขึ้น บุคคลมีจิตสหรคตด้วยสุขเห็นแจ้งขันธ์ที่สหรคต
ด้วยปีติโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ยินดีเพลิดเพลิน เพราะ
ปรารภความยินดีเพลิดเพลินขันธ์นั้น ราคะที่สหรคตด้วยสุขจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิด
ขึ้น เพราะปรารภขันธ์ที่สหรคตด้วยปีติ ขันธ์ที่สหรคตด้วยสุขจึงเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยอุเบกขาโดย
อารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลมีจิตสหรคตด้วยปีติให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถ
แล้วพิจารณากุศลนั้นด้วยจิตที่สหรคตด้วยอุเบกขา ออกจากฌานที่สหรคตด้วย
ปีติ ออกจากมรรค ออกจากผลแล้วพิจารณาฌานเป็นต้นนั้นด้วยจิตที่สหรคตด้วย
อุเบกขา พระอริยะมีจิตสหรคตด้วยอุเบกขาพิจารณากิเลสที่สหรคตด้วยปีติซึ่งละได้
แล้ว พิจารณากิเลสที่ข่มได้แล้ว รู้กิเลสที่เคยเกิดขึ้น บุคคลมีจิตสหรคตด้วยอุเบกขา
เห็นแจ้งขันธ์ที่สหรคตด้วยปีติโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ยินดี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๓๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๗. ปีติติกะ ๗. ปัญหาวาร
เพลิดเพลิน เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินขันธ์นั้น ราคะที่สหรคตด้วยอุเบกขา
จึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น วิจิกิจฉาจึงเกิดขึ้น อุทธัจจะจึงเกิดขึ้น บุคคลรู้จิตของ
บุคคลผู้มีความพรั่งพร้อมด้วยจิตที่สหรคตด้วยปีติด้วยเจโตปริยญาณ ขันธ์ที่สหรคต
ด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่เจโตปริยญาณ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ยถากัมมูปคญาณ
อนาคตังสญาณ และอาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย เพราะปรารภขันธ์ที่สหรคต
ด้วยปีติ ขันธ์ที่สหรคตด้วยอุเบกขาจึงเกิดขึ้น (๓)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคต
ด้วยสุขโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลมีจิตสหรคตด้วยปีติให้ทาน สมาทาน
ศีล รักษาอุโบสถแล้วพิจารณากุศลนั้นด้วยจิตที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุข
ออกจากฌานที่สหรคตด้วยปีติ ออกจากมรรค ออกจากผลแล้ว พิจารณาฌาน
เป็นต้นนั้นด้วยจิตที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุข พระอริยะมีจิตสหรคตด้วย
ปีติและที่สหรคตด้วยสุขพิจารณากิเลสที่สหรคตด้วยปีติซึ่งละได้แล้ว พิจารณากิเลส
ที่ข่มได้แล้ว รู้กิเลสที่เคยเกิดขึ้น บุคคลมีจิตสหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุข
เห็นแจ้งขันธ์ที่สหรคตด้วยปีติโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ยินดี
เพลิดเพลิน เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินขันธ์นั้น ราคะที่สหรคตด้วยปีติ
และที่สหรคตด้วยสุขจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น เพราะปรารภขันธ์ที่สหรคตด้วยปีติ
ขันธ์ที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขจึงเกิดขึ้น (๔)
[๒๐] สภาวธรรมที่สหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยสุข
โดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ สภาวธรรมที่สหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
สหรคตด้วยปีติ ฯลฯ สภาวธรรมที่สหรคตด้วยอุเบกขา ฯลฯ เป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขโดยอารัมมณปัจจัย เพราะปรารภ
ขันธ์ที่สหรคตด้วยสุข ขันธ์ที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขจึงเกิดขึ้น (๔)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยอุเบกขาเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยอุเบกขา
โดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลมีจิตสหรคตด้วยอุเบกขาให้ทาน สมาทานศีล
รักษาอุโบสถแล้ว พิจารณากุศลนั้นด้วยจิตที่สหรคตด้วยอุเบกขา ออกจากฌานที่
สหรคตด้วยอุเบกขา ออกจากมรรค ออกจากผลแล้วพิจารณาฌานเป็นต้นนั้นด้วยจิต

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๓๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๗. ปีติติกะ ๗. ปัญหาวาร
ที่สหรคตด้วยอุเบกขา พระอริยะมีจิตสหรคตด้วยอุเบกขาพิจารณากิเลสที่สหรคตด้วย
อุเบกขาซึ่งละได้แล้ว พิจารณากิเลสที่ข่มได้แล้ว รู้กิเลสที่เคยเกิดขึ้น บุคคลมีจิตสหรคต
ด้วยอุเบกขาเห็นแจ้งขันธ์ที่สหรคตด้วยอุเบกขาโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง เป็นทุกข์
เป็นอนัตตา ยินดีเพลิดเพลิน เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินขันธ์นั้น ราคะที่
สหรคตด้วยอุเบกขาจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น วิจิกิจฉาจึงเกิดขึ้น อุทธัจจะจึงเกิดขึ้น
บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้มีความพรั่งพร้อมด้วยจิตที่สหรคตด้วยอุเบกขาด้วย เจโต-
ปริยญาณ อากาสานัญจายตนะเป็นปัจจัยแก่วิญญาณัญจายตนะโดยอารัมมณปัจจัย
ฯลฯ อากิญจัญญายตนะเป็นปัจจัยแก่เนวสัญญานาสัญญายตนะโดยอารัมมณปัจจัย
ขันธ์ที่สหรคตด้วยอุเบกขาเป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ เจโตปริยญาณ ปุพเพนิวาสา-
นุสสติญาณ ยถากัมมูปคญาณ อนาคตังสญาณ และอาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย
เพราะปรารภขันธ์ที่สหรคตด้วยอุเบกขา ขันธ์ที่สหรคตด้วยอุเบกขาจึงเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยอุเบกขาเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติ ฯลฯ
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยสุข ฯลฯ เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติและที่
สหรคตด้วยสุขโดยอารัมมณปัจจัย บุคคลมีจิตสหรคตด้วยอุเบกขาให้ทาน สมาทาน
ศีล รักษาอุโบสถแล้ว พิจารณากุศลนั้นด้วยจิตที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุข
ออกจากฌานที่สหรคตด้วยอุเบกขา ออกจากมรรค ออกจากผลแล้วพิจารณาฌาน
เป็นต้นนั้นด้วยจิตที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุข พระอริยะมีจิตสหรคตด้วย
ปีติและที่สหรคตด้วยสุขพิจารณากิเลสที่สหรคตด้วยอุเบกขาซึ่งละได้แล้ว พิจารณา
กิเลสที่ข่มได้แล้ว รู้กิเลสที่เคยเกิดขึ้น บุคคลมีจิตสหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วย
สุขเห็นแจ้งขันธ์ที่สหรคตด้วยอุเบกขาโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
ยินดีเพลิดเพลิน เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินขันธ์นั้น ราคะที่สหรคตด้วยปีติ
และที่สหรคตด้วยสุขจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น เพราะปรารภขันธ์ที่สหรคตด้วย
อุเบกขา ขันธ์ที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขจึงเกิดขึ้น (๔)
[๒๑] สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่สหรคตด้วยปีติ ฯลฯ แก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยสุข ฯลฯ เป็นปัจจัยแก่สภาว-
ธรรมที่สหรคตด้วยอุเบกขาโดยอารัมมณปัจจัย บุคคลมีจิตสหรคตด้วยปีติและ
สหรคตด้วยสุขให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถ ฯลฯ บุคคลมีจิตสหรคตด้วย

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๓๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๗. ปีติติกะ ๗. ปัญหาวาร
อุเบกขา เห็นแจ้งขันธ์ที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ยินดีเพลิดเพลิน เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินขันธ์นั้น
ราคะที่สหรคตด้วยอุเบกขาจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น วิจิกิจฉาจึงเกิดขึ้น อุทธัจจะ
จึงเกิดขึ้น รู้จิตของบุคคลผู้มีความพรั่งพร้อมด้วยจิตที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคต
ด้วยสุขด้วยเจโตปริยญาณ ขันธ์ที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัยแก่
เจโตปริยญาณ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ยถากัมมูปคญาณ อนาคตังสญาณ และ
อาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย เพราะปรารภขันธ์ที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคต
ด้วยสุข ขันธ์ที่สหรคตด้วยอุเบกขาจึงเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขโดยอารัมมณปัจจัย (ย่อ) (๔)

อธิปติปัจจัย
[๒๒] สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติ
โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติและสหชาตาธิปติ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลมีจิตสหรคตด้วยปีติ ให้ทาน สมาทานศีล
รักษาอุโบสถแล้ว พิจารณากุศลนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นด้วยจิตที่สหรคต
ด้วยปีติ ออกจากฌานที่สหรคตด้วยปีติ ออกจากมรรค ออกจากผลแล้วพิจารณา
ฌานเป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นด้วยจิตที่สหรคตด้วยปีติ บุคคลมีจิต
สหรคตด้วยปีติยินดีเพลิดเพลินขันธ์ที่สหรคตด้วยปีติให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น
เพราะทําความยินดีเพลิดเพลินขันธ์นั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะที่สหรคต
ด้วยปีติจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์
โดยอธิปติปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยสุขโดยอธิปติ-
ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติและสหชาตาธิปติ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลมีจิตสหรคตด้วยปีติ ให้ทาน ฯลฯ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๓๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๗. ปีติติกะ ๗. ปัญหาวาร
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์
ที่สหรคตด้วยสุขโดยอธิปติปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยอุเบกขาโดย
อธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลมีจิตสหรคตด้วยปีติ
ให้ทาน ฯลฯ ด้วยจิตที่สหรคตด้วยอุเบกขา (ย่อ) (๓)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติและที่
สหรคตด้วยสุขโดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติและสหชาตาธิปติ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลมีจิตสหรคตด้วยปีติให้ทาน ฯลฯ
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์
ที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขโดยอธิปติปัจจัย (๔)
[๒๓] สภาวธรรมที่สหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยสุข
โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ และสหชาตาธิปติ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลมีจิตสหรคตด้วยสุข ให้ทาน ฯลฯ
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่สหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์
โดยอธิปติปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติโดย
อธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติและสหชาตาธิปติ ฯลฯ
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่สหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์
ที่สหรคตด้วยปีติโดยอธิปติปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยอุเบกขาโดย
อธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ (ย่อ) (๓)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติและที่
สหรคตด้วยสุขโดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติและสหชาตาธิปติ
ฯลฯ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๓๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๗. ปีติติกะ ๗. ปัญหาวาร
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่สหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์
ที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขโดยอธิปติปัจจัย (๔)
[๒๔] สภาวธรรมที่สหรคตด้วยอุเบกขาเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วย
อุเบกขาโดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติและสหชาตาธิปติ ฯลฯ
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่สหรคตด้วยอุเบกขาเป็นปัจจัยแก่
สัมปยุตตขันธ์โดยอธิปติปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยอุเบกขาเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติโดย
อธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ (ย่อ) (๒)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยอุเบกขาเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยสุข
โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ (ย่อ) (๓)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยอุเบกขาเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติ
และที่สหรคตด้วยสุขโดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ (ย่อ) (๔)
[๒๕] สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่สหรคตด้วยปีติโดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติและสหชาตาธิปติ
ฯลฯ
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขเป็น
ปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ที่สหรคตด้วยปีติโดยอธิปติปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
สหรคตด้วยสุขโดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ และสหชาตาธิปติ
ฯลฯ
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขเป็น
ปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ที่สหรคตด้วยสุขโดยอธิปติปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
สหรคตด้วยอุเบกขาโดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ (ย่อ) (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๔๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๗. ปีติติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขโดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ
และสหชาตาธิปติ ฯลฯ
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขเป็น
ปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขโดยอธิปติปัจจัย (๔)

อนันตรปัจจัย
[๒๖] สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติโดย
อนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่สหรคตด้วยปีติซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่
สหรคตด้วยปีติซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย อนุโลมที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัย
แก่โคตรภูโดยอนันตรปัจจัย (ด้วยเหตุนี้พึงแสดงว่าเป็นปัจจัยแก่บททั้งปวง) อนุโลม
เป็นปัจจัยแก่โวทาน โคตรภูเป็นปัจจัยแก่มรรค โวทานเป็นปัจจัยแก่มรรค มรรค
เป็นปัจจัยแก่ผล ผลเป็นปัจจัยแก่ผล อนุโลมเป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติที่สหรคตด้วย
ปีติโดยอนันตรปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยสุขโดย
อนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่สหรคตด้วยปีติซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่
สหรคตด้วยสุขซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย อนุโลมที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัย
แก่โคตรภูที่สหรคตด้วยสุขโดยอนันตรปัจจัย อนุโลมที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่
โวทานที่สหรคตด้วยสุขโดยอนันตรปัจจัย อนุโลมที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่ผล
สมาบัติที่สหรคตด้วยสุขโดยอนันตรปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยอุเบกขาโดย
อนันตรปัจจัย ได้แก่ จุติจิตที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่อุปปัตติจิตที่สหรคตด้วย
อุเบกขาโดยอนันตรปัจจัย ภวังคจิตที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่อาวัชชนจิตโดย
อนันตรปัจจัย มโนวิญญาณธาตุที่เป็นวิบากซึ่งสหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่มโน-
วิญญาณธาตุที่เป็นกิริยาโดยอนันตรปัจจัย ภวังคจิตที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๔๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๗. ปีติติกะ ๗. ปัญหาวาร
ภวังคจิตที่สหรคตด้วยอุเบกขาโดยอนันตรปัจจัย กุศลและอกุศลที่สหรคตด้วยปีติ
เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะที่สหรคตด้วยอุเบกขา กิริยาเป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะ ผลเป็น
ปัจจัยแก่วุฏฐานะโดยอนันตรปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติและที่
สหรคตด้วยสุขโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่สหรคตด้วยปีติซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็น
ปัจจัยแก่ขันธ์ที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย
อนุโลมที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่โคตรภูที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุข
โดยอนันตรปัจจัย ฯลฯ อนุโลมที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติที่สหรคต
ด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขโดยอนันตรปัจจัย (๔)
[๒๗] สภาวธรรมที่สหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยสุขโดย
อนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่สหรคตด้วยสุขซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่สหรคต
ด้วยสุขซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย อนุโลมที่สหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัยแก่
โคตรภูที่สหรคตด้วยสุขโดยอนันตรปัจจัย ฯลฯ อนุโลมที่สหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัย
แก่ผลสมาบัติที่สหรคตด้วยสุขโดยอนันตรปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติโดย
อนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่สหรคตด้วยสุขซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่สหรคต
ด้วยปีติซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย ฯลฯ อนุโลมที่สหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัยแก่
ผลสมาบัติที่สหรคตด้วยปีติโดยอนันตรปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยอุเบกขา
โดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ จุติจิตที่สหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัยแก่อุปปัตติจิตที่สหรคต
ด้วยอุเบกขาโดยอนันตรปัจจัย ภวังคจิตที่สหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัยแก่อาวัชชนจิตโดย
อนันตรปัจจัย กายวิญญาณที่สหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัยแก่มโนธาตุที่เป็นวิบากโดย
อนันตรปัจจัย มโนวิญญาณธาตุที่เป็นวิบากซึ่งสหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัยแก่มโน-
วิญญาณธาตุที่เป็นกิริยาโดยอนันตรปัจจัย ภวังคจิตที่สหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัยแก่
ภวังคจิตที่สหรคตด้วยอุเบกขาโดยอนันตรปัจจัย กุศลและอกุศลที่สหรคตด้วยสุข
เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะที่สหรคตด้วยอุเบกขา กิริยาเป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะผลเป็น
ปัจจัยแก่วุฏฐานะโดยอนันตรปัจจัย (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๔๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๗. ปีติติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติและที่
สหรคตด้วยสุขโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่สหรคตด้วยสุขซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็น
ปัจจัยแก่ขันธ์ที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย
ฯลฯ อนุโลมที่สหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคต
ด้วยสุขโดยอนันตรปัจจัย (๔)
[๒๘] สภาวธรรมที่สหรคตด้วยอุเบกขาเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วย
อุเบกขาโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่สหรคตด้วยอุเบกขาซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็น
ปัจจัยแก่ขันธ์ที่สหรคตด้วยอุเบกขาซึ่งเกิดหลัง ๆ ฯลฯ อาวัชชนจิตเป็นปัจจัยแก่
วิญญาณ ๔ โดยอนันตรปัจจัย อนุโลมที่สหรคตด้วยอุเบกขาเป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติ
ที่สหรคตด้วยอุเบกขา เนวสัญญานาสัญญายตนะของท่านผู้ออกจากนิโรธเป็น
ปัจจัยแก่ผลสมาบัติที่สหรคตด้วยอุเบกขาโดยอนันตรปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยอุเบกขาเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติโดย
อนันตรปัจจัย ได้แก่ จุติจิตที่สหรคตด้วยอุเบกขาเป็นปัจจัยแก่อุปปัตติจิตที่สหรคต
ด้วยปีติ ฯลฯ อาวัชชนจิตเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่สหรคตด้วยปีติ ฯลฯ มโนธาตุที่เป็น
วิบากเป็นปัจจัยแก่มโนวิญญาณธาตุที่เป็นวิบากซึ่งสหรคตด้วยปีติ ฯลฯ ภวังคจิตที่
สหรคตด้วยอุเบกขาเป็นปัจจัยแก่ภวังคจิตที่สหรคตด้วยปีติ ฯลฯ กุศลและอกุศล
ที่สหรคตด้วยอุเบกขาเป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะที่สหรคตด้วยปีติ กิริยาเป็นปัจจัยแก่
วุฏฐานะ ผลเป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะ เนวสัญญานาสัญญายตนะของท่านผู้ออกจาก
นิโรธเป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติที่สหรคตด้วยปีติโดยอนันตรปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยอุเบกขาเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยสุข
ฯลฯ เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขโดยอนันตร-
ปัจจัย (๔)
(อนึ่ง พึงกําหนดข้อความเหล่านี้เท่านั้นเป็นหลัก)
[๒๙] สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่สหรคตด้วยปีติ ฯลฯ แก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยสุข ฯลฯ เป็นปัจจัยแก่สภาว-
ธรรมที่สหรคตด้วยอุเบกขาโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ จุติจิตที่สหรคตด้วยปีติและที่

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๔๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๗. ปีติติกะ ๗. ปัญหาวาร
สหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัยแก่อุปปัตติจิตที่สหรคตด้วยอุเบกขา ฯลฯ ภวังคจิตที่ สหรคต
ด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัยแก่อาวัชชนจิต ฯลฯ มโนวิญญาณธาตุที่
เป็นวิบากซึ่งสหรคตด้วยปีติและสหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัยแก่มโนวิญญาณธาตุที่เป็น
กิริยา ฯลฯ ภวังคจิตที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัยแก่ภวังคจิตที่
สหรคตด้วยอุเบกขา ฯลฯ กุศลและอกุศลที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุข
เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะที่สหรคตด้วยอุเบกขา กิริยาเป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะ ผลเป็น
ปัจจัยแก่วุฏฐานะโดยอนันตรปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่สหรคตด้วยปีติ
และที่สหรคตด้วยสุขซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคต
ด้วยสุขซึ่งเกิดหลัง ๆ ฯลฯ อนุโลมที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัย
แก่ผลสมาบัติที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขโดยอนันตรปัจจัย (๔)

สมนันตรปัจจัย
[๓๐] สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติ
โดยสมนันตรปัจจัย (ปัจจัยนี้เหมือนกับอนันตรปัจจัย)

สหชาตปัจจัย
[๓๑] สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติ
โดยสหชาตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดย
สหชาตปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ โดยสหชาตปัจจัย ฯลฯ
(ปัจจัยนี้เหมือนกับปฏิจจวาร สหชาตปัจจัย มี ๑๐ วาระ)

อัญญมัญญปัจจัยและนิสสยปัจจัย
[๓๒] สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติ
โดยอัญญมัญญปัจจัย เป็นปัจจัยโดยนิสสยปัจจัย (พึงเพิ่มเป็น ๑๐ วาระ)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๔๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๗. ปีติติกะ ๗. ปัญหาวาร
อุปนิสสยปัจจัย
[๓๓] สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติ
โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และ
ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลมีจิตสหรคตด้วยปีติอาศัยศรัทธาที่สหรคตด้วย
ปีติแล้วให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถ ทําฌานที่สหรคตด้วยปีติให้เกิดขึ้น
ทำวิปัสสนาให้เกิดขึ้น ทำมรรคให้เกิดขึ้น ทำสมาบัติให้เกิดขึ้น มีมานะ ถือทิฏฐิ
มีจิตสหรคตด้วยปีติอาศัยศีลที่สหรคตด้วยปีติ ... สุตะ ... จาคะ ... ปัญญาแล้ว
ให้ทาน สมาทานศีล ฯลฯ มีมานะ ถือทิฏฐิ มีจิตสหรคตด้วยปีติอาศัยจาคะที่
สหรคตด้วยปีติ ... โมหะ ... มานะ ... ทิฏฐิ ... ความปรารถนาแล้วให้ทาน
สมาทานศีล รักษาอุโบสถ ทําฌานที่สหรคตด้วยปีติให้เกิดขึ้น ฯลฯ ทำสมาบัติ
ให้เกิดขึ้น มีจิตสหรคตด้วยปีติ ลักทรัพย์ พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ งัดแงะ
ปล้นไม่ให้เหลือ ปล้นเรือนหลังเดียว ดักจี้ในทางเปลี่ยว ล่วงเกินภรรยาผู้อื่น ฆ่า
ชาวบ้าน ฆ่าชาวนิคม ศรัทธาที่สหรคตด้วยปีติ ... ศีล ... สุตะ ... จาคะ ... ปัญญา
... ราคะ ... โมหะ ... มานะ ... ทิฏฐิ ... ความปรารถนาเป็นปัจจัยแก่
ศรัทธาที่สหรคตด้วยปีติ ... ศีล ... สุตะ ... จาคะ ... ปัญญา ... ราคะ ... โมหะ
... มานะ ... ทิฏฐิ ... ความปรารถนาโดยอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยสุขโดย
อุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และ
ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลมีจิตสหรคตด้วยสุขอาศัยศรัทธาที่สหรคตด้วย
ปีติแล้วให้ทาน ฯลฯ ทําสมาบัติให้เกิดขึ้น มีมานะ ถือทิฏฐิ มีจิตสหรคตด้วยสุข
อาศัยศีลที่สหรคตด้วยปีติ ... สุตะ ... จาคะ ... ปัญญา ... ราคะ ... โมหะ
... มานะ ... ทิฏฐิ ... ความปรารถนาแล้วให้ทาน ฯลฯ ทําสมาบัติให้เกิดขึ้น
มีจิตสหรคตด้วยสุข ลักทรัพย์ ฯลฯ ฆ่าชาวนิคม ศรัทธาที่สหรคตด้วยปีติ ฯลฯ
ความปรารถนาเป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่สหรคตด้วยสุข ฯลฯ ความปรารถนา และ
กายวิญญาณที่สหรคตด้วยสุขโดยอุปนิสสยปัจจัย (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๔๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๗. ปีติติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยอุเบกขา
โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และ
ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลมีจิตสหรคตด้วยอุเบกขาอาศัยศรัทธาที่สหรคต
ด้วยปีติแล้วให้ทาน ฯลฯ ทําอภิญญาให้เกิดขึ้น ทำสมาบัติให้เกิดขึ้น มีมานะ ถือ
ทิฏฐิ มีจิตสหรคตด้วยอุเบกขาอาศัยศีลที่สหรคตด้วยปีติ ฯลฯ ความปรารถนาแล้ว
ให้ทาน ฯลฯ ฆ่าชาวนิคม ศรัทธาที่สหรคตด้วยปีติ ฯลฯ ความปรารถนาเป็น
ปัจจัยแก่ศรัทธาที่สหรคตด้วยอุเบกขา ฯลฯ ความปรารถนาโดยอุปนิสสยปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติและที่
สหรคตด้วยสุขโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูป-
นิสสยะ และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลมีจิตสหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขอาศัย
ศรัทธาที่สหรคตด้วยปีติแล้วให้ทาน ฯลฯ ถือทิฏฐิ มีจิตสหรคตด้วยปีติและที่
สหรคตด้วยสุขอาศัยศีลที่สหรคตด้วยปีติ ฯลฯ ความปรารถนาแล้วให้ทาน ฯลฯ
ฆ่าชาวนิคม ศรัทธาที่สหรคตด้วยปีติ ฯลฯ ความปรารถนาเป็นปัจจัยแก่ศรัทธา
ที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุข ฯลฯ ความปรารถนาโดยอุปนิสสย-
ปัจจัย (๔)
[๓๔] สภาวธรรมที่สหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยสุข
โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และ
ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลมีจิตสหรคตด้วยสุขอาศัยศรัทธาที่สหรคตด้วย
สุขแล้วให้ทาน ฯลฯ ถือทิฏฐิ มีจิตสหรคตด้วยสุขอาศัยศีลที่สหรคตด้วยสุข ฯลฯ
ความปรารถนา และกายวิญญาณที่สหรคตด้วยสุขแล้วให้ทาน ฯลฯ ฆ่าชาวนิคม
ศรัทธาที่สหรคตด้วยสุข ฯลฯ ความปรารถนา และกายวิญญาณที่สหรคตด้วยสุข
เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่สหรคตด้วยสุข ฯลฯ ความปรารถนา และกายวิญญาณที่
สหรคตด้วยสุขโดยอุปนิสสยปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๔๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๗. ปีติติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติโดย
อุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และ
ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลมีจิตสหรคตด้วยปีติอาศัยศรัทธาที่สหรคตด้วยสุข
แล้ว ให้ทาน ฯลฯ ถือทิฏฐิ มีจิตสหรคตด้วยปีติอาศัยศีลที่สหรคตด้วยสุข ฯลฯ
ความปรารถนา และกายวิญญาณที่สหรคตด้วยสุขแล้วให้ทาน ฯลฯ ฆ่าชาวนิคม
ศรัทธาที่สหรคตด้วยสุข ฯลฯ ความปรารถนา และกายวิญญาณที่สหรคตด้วยสุข
เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่สหรคตด้วยปีติ ฯลฯ ความปรารถนาโดยอุปนิสสยปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยอุเบกขา
โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และ
ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลมีจิตสหรคตด้วยอุเบกขาอาศัยศรัทธาที่สหรคต
ด้วยสุขแล้วให้ทาน ฯลฯ ทําอภิญญาให้เกิดขึ้น ฯลฯ ถือทิฏฐิ มีจิตสหรคตด้วย
อุเบกขาอาศัยศีลที่สหรคตด้วยสุข ฯลฯ ความปรารถนา และกายวิญญาณที่
สหรคตด้วยสุขแล้วให้ทาน ฯลฯ ฆ่าชาวนิคม ศรัทธาที่สหรคตด้วยสุข ฯลฯ
ความปรารถนา และกายวิญญาณที่สหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่สหรคต
ด้วยอุเบกขา ฯลฯ ความปรารถนาโดยอุปนิสสยปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติและที่
สหรคตด้วยสุขโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูป-
นิสสยะ และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลมีจิตสหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขอาศัย
ศรัทธาที่สหรคตด้วยสุขแล้วให้ทาน ฯลฯ ถือทิฏฐิ มีจิตสหรคตด้วยปีติและที่
สหรคตด้วยสุขอาศัยศีลที่สหรคตด้วยสุข ฯลฯ ความปรารถนา และกายวิญญาณ
ที่สหรคตด้วยสุขแล้วให้ทาน ฯลฯ ฆ่าชาวนิคม ศรัทธาที่สหรคตด้วยสุข ฯลฯ
ความปรารถนา และกายวิญญาณที่สหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่สหรคต
ด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุข ฯลฯ ความปรารถนาโดยอุปนิสสยปัจจัย (๔)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๔๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๗. ปีติติกะ ๗. ปัญหาวาร
[๓๕] สภาวธรรมที่สหรคตด้วยอุเบกขาเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วย
อุเบกขาโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ
และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลมีจิตสหรคตด้วยอุเบกขาอาศัยศรัทธาที่
สหรคตด้วยอุเบกขาแล้วให้ทาน ฯลฯ ทําอภิญญาให้เกิดขึ้น ฯลฯ ถือทิฏฐิ มี
จิตสหรคตด้วยอุเบกขาอาศัยศีลที่สหรคตด้วยอุเบกขา ฯลฯ ความปรารถนาแล้ว
ให้ทาน ฯลฯ ฆ่าชาวนิคม ศรัทธาที่สหรคตด้วยอุเบกขา ฯลฯ ความปรารถนา
เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่สหรคตด้วยอุเบกขา ฯลฯ ความปรารถนาโดยอุปนิสสย-
ปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยอุเบกขาเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติ
โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และ
ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลมีจิตสหรคตด้วยปีติอาศัยศรัทธาที่สหรคตด้วย
อุเบกขาแล้วให้ทาน ฯลฯ ถือทิฏฐิ มีจิตสหรคตด้วยปีติอาศัยศีลที่สหรคตด้วย
อุเบกขา ฯลฯ ความปรารถนาแล้วให้ทาน ฯลฯ ฆ่าชาวนิคม ศรัทธาที่สหรคต
ด้วยอุเบกขา ฯลฯ ความปรารถนาเป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่สหรคตด้วยปีติ ฯลฯ
ความปรารถนาโดยอุปนิสสยปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยอุเบกขาเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยสุข
โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และ
ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลมีจิตสหรคตด้วยสุขอาศัยศรัทธาที่สหรคตด้วย
อุเบกขาแล้วให้ทาน ฯลฯ ถือทิฏฐิ มีจิตสหรคตด้วยสุขอาศัยศีลที่สหรคตด้วย
อุเบกขา ฯลฯ ความปรารถนาแล้วให้ทาน ฯลฯ ฆ่าชาวนิคม ศรัทธาที่สหรคต
ด้วยอุเบกขา ฯลฯ ความปรารถนาเป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่สหรคตด้วยสุข ฯลฯ
ความปรารถนา และกายวิญญาณที่สหรคตด้วยสุขโดยอุปนิสสยปัจจัย (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๔๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๗. ปีติติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยอุเบกขาเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติ
และที่สหรคตด้วยสุขโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ
อนันตรูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลมีจิตสหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขอาศัย
ศรัทธาที่สหรคตด้วยอุเบกขาแล้วให้ทาน ฯลฯ ถือทิฏฐิ มีจิตสหรคตด้วยปีติและ
ที่สหรคตด้วยสุขอาศัยศีลที่สหรคตด้วยอุเบกขา ฯลฯ ความปรารถนาแล้วให้ทาน
ฯลฯ ฆ่าชาวนิคม ศรัทธาที่สหรคตด้วยอุเบกขา ฯลฯ ความปรารถนาเป็นปัจจัยแก่
ศรัทธาที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุข ฯลฯ ความปรารถนาโดยอุปนิสสย-
ปัจจัย (๔)
[๓๖] สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัยแก่สภาว-
ธรรมที่สหรคตด้วยปีติโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ
อนันตรูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลมีจิตสหรคตด้วยปีติอาศัยศรัทธาที่สหรคตด้วย
ปีติและที่สหรคตด้วยสุขแล้วให้ทาน ฯลฯ ถือทิฏฐิ มีจิตสหรคตด้วยปีติอาศัยศีล
ที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุข ฯลฯ ความปรารถนาแล้วให้ทาน ฯลฯ ฆ่า
ชาวนิคม ศรัทธาที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุข ฯลฯ ความปรารถนาเป็น
ปัจจัยแก่ศรัทธาที่สหรคตด้วยปีติ ฯลฯ ความปรารถนาโดยอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
สหรคตด้วยสุขโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูป-
นิสสยะ และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลมีจิตสหรคตด้วยสุขอาศัยศรัทธาที่สหรคตด้วย
ปีติและที่สหรคตด้วยสุขแล้ว ให้ทาน ฯลฯ ถือทิฏฐิ มีจิตสหรคตด้วยสุขอาศัย
ศีลที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุข ฯลฯ ความปรารถนาแล้วให้ทาน ฯลฯ
ฆ่าชาวนิคม ศรัทธาที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุข ฯลฯ ความปรารถนา
เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่สหรคตด้วยสุข ฯลฯ ความปรารถนา และกายวิญญาณที่
สหรคตด้วยสุขโดยอุปนิสสยปัจจัย (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๔๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๗. ปีติติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
สหรคตด้วยอุเบกขาโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ
อนันตรูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลมีจิตสหรคตด้วยอุเบกขาอาศัยศรัทธาที่สหรคต
ด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขแล้วให้ทาน ฯลฯ ทําอภิญญาให้เกิดขึ้น ฯลฯ ถือทิฏฐิ
มีจิตสหรคตด้วยอุเบกขาอาศัยศีลที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุข ฯลฯ
ความปรารถนาแล้วให้ทาน ฯลฯ ฆ่าชาวนิคม ศรัทธาที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคต
ด้วยสุข ฯลฯ ความปรารถนาเป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่สหรคตด้วยอุเบกขา ฯลฯ
ความปรารถนาโดยอุปนิสสยปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ
อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลมีจิตสหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขอาศัย
ศรัทธาที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขแล้ว ให้ทาน สมาทานศีล รักษา
อุโบสถ ทําฌานที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขให้เกิดขึ้น ทำวิปัสสนา ฯลฯ
ทำมรรค ฯลฯ ทำสมาบัติให้เกิดขึ้น มีมานะ ถือทิฏฐิ มีจิตสหรคตด้วยปีติและ
ที่สหรคตด้วยสุข อาศัยศีลที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุข ... สุตะ ... จาคะ
... ปัญญา ... ราคะ ... โมหะ ... มานะ ... ทิฏฐิ ... ความปรารถนาแล้วจึงให้
ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถ ทําฌานที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุข ...
วิปัสสนา ... มรรค ... สมาบัติให้เกิดขึ้น มีจิตสหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุข
ลักทรัพย์ พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ งัดแงะ ปล้นไม่ให้เหลือ ปล้นเรือน
หลังเดียว ดักจี้ในทางเปลี่ยว ล่วงเกินภรรยาผู้อื่น ฆ่าชาวบ้าน ฆ่าชาวนิคม
ศรัทธาที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุข ฯลฯ ความปรารถนาเป็นปัจจัยแก่
ศรัทธาที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุข ฯลฯ ความปรารถนาโดยอุปนิสสย-
ปัจจัย (๔)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๕๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๗. ปีติติกะ ๗. ปัญหาวาร
อาเสวนปัจจัย
[๓๗] สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติ
โดยอาเสวนปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่สหรคตด้วยปีติซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่
สหรคตด้วยปีติซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอาเสวนปัจจัย อนุโลมที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัย
แก่โคตรภูที่สหรคตด้วยปีติ อนุโลมเป็นปัจจัยแก่โวทาน โคตรภูเป็นปัจจัยแก่มรรค
โวทานเป็นปัจจัยแก่มรรคโดยอาเสวนปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยสุขโดย
อาเสวนปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่สหรคตด้วยปีติซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่
สหรคตด้วยสุขซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอาเสวนปัจจัย อนุโลมที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัย
แก่โคตรภูที่สหรคตด้วยสุขโดยอาเสวนปัจจัย อนุโลมที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่
โวทานที่สหรคตด้วยสุขโดยอาเสวนปัจจัย โคตรภูที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่
มรรคที่สหรคตด้วยสุข โวทานที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่มรรคที่สหรคตด้วยสุข
โดยอาเสวนปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติและที่
สหรคตด้วยสุขโดยอาเสวนปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่สหรคตด้วยปีติซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็น
ปัจจัยแก่ขันธ์ที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอาเสวนปัจจัย
ฯลฯ โวทานที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่มรรคที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วย
สุขโดยอาเสวนปัจจัย (๓)
[๓๘] สภาวธรรมที่สหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยสุข
ฯลฯ สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติ ฯลฯ เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วย
ปีติและที่สหรคตด้วยสุขโดยอาเสวนปัจจัย (ย่อ) (พึงดูนัยแห่งปีติแล้วเพิ่มเถิด)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยอุเบกขาเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยอุเบกขา
โดยอาเสวนปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่สหรคตด้วยอุเบกขาซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่
ขันธ์ที่สหรคตด้วยอุเบกขาซึ่งเกิดหลัง ๆ ฯลฯ โวทานที่สหรคตด้วยอุเบกขาเป็น
ปัจจัยแก่มรรคที่สหรคตด้วยอุเบกขาโดยอาเสวนปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๕๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๗. ปีติติกะ ๗. ปัญหาวาร
[๓๙] สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่สหรคตด้วยปีติ ฯลฯ สภาวธรรมที่สหรคตด้วยสุข ฯลฯ เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขโดยอาเสวนปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่สหรคตด้วย
ปีติและที่สหรคตด้วยสุขซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่สหรคตด้วยปีติและที่
สหรคตด้วยสุขซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอาเสวนปัจจัย ฯลฯ โวทานที่สหรคตด้วยปีติ
และที่สหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัยแก่มรรคที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขโดย
อาเสวนปัจจัย (๓)

กัมมปัจจัย
[๔๐] สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติ
โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะ และนานาขณิกะ
สหชาตะ ได้แก่ เจตนาที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์โดยกัมม-
ปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เจตนาที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์โดย
กัมมปัจจัย
นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นวิบากซึ่ง
สหรคตด้วยปีติโดยกัมมปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยสุขโดยกัมม-
ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะ และนานาขณิกะ
สหชาตะ ได้แก่ เจตนาที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ที่สหรคต
ด้วยสุขโดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เจตนาที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่
สัมปยุตตขันธ์ที่สหรคตด้วยสุขโดยกัมมปัจจัย
นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นวิบากซึ่ง
สหรคตด้วยสุขโดยกัมมปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยอุเบกขา
โดยกัมมปัจจัย มีอย่างเดียว คือ นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่สหรคตด้วยปีติ
เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นวิบากซึ่งสหรคตด้วยอุเบกขาโดยกัมมปัจจัย (๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๕๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๗. ปีติติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติและที่
สหรคตด้วยสุขโดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะ และนานาขณิกะ
สหชาตะ ได้แก่ เจตนาที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ที่สหรคต
ด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขโดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นวิบากซึ่ง
สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขโดยกัมมปัจจัย (๔)
[๔๑] สภาวธรรมที่สหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยสุข ...
(พึงดูการนับทั้ง ๔ แล้วเพิ่มเถิด)
[๔๒] สภาวธรรมที่สหรคตด้วยอุเบกขาเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วย
อุเบกขาโดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะ และนานาขณิกะ ฯลฯ
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยอุเบกขาเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติ
โดยกัมมปัจจัย มีอย่างเดียว คือ นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่สหรคตด้วยอุเบกขา
ฯลฯ
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยอุเบกขาเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยสุขโดย
กัมมปัจจัย มีอย่างเดียว คือ นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่สหรคตด้วยอุเบกขา ฯลฯ
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยอุเบกขาเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติและ
ที่สหรคตด้วยสุขโดยกัมมปัจจัย มีอย่างเดียว คือ นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่
สหรคตด้วยอุเบกขา ฯลฯ (๔)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
สหรคตด้วยปีติ ... (พึงเพิ่มเป็น ๔ วาระ ผู้รู้พึงจําแนกสภาวธรรมที่สหรคตด้วย
ปีติ) (๔)

วิปากปัจจัย
[๔๓] สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติโดย
วิปากปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เป็นวิบากซึ่งสหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๕๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๗. ปีติติกะ ๗. ปัญหาวาร
โดยวิปากปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ
ขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ ฯลฯ ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่
ขันธ์ ๒ ฯลฯ
(พึงขยายวาระทั้ง ๑๐ ให้พิสดารเหมือนเหตุปัจจัยในปฏิจจวาร)

อาหารปัจจัยเป็นต้น
[๔๔] สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติโดย
อาหารปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอินทรียปัจจัย เป็นปัจจัยโดยฌานปัจจัย เป็นปัจจัย
โดยมัคคปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสัมปยุตตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอัตถิปัจจัย (พึงขยาย
วาระทั้ง ๑๐ ให้พิสดาร) เป็นปัจจัยโดยนัตถิปัจจัย เป็นปัจจัยโดยวิคตปัจจัย
(นัตถิปัจจัยและวิคตปัจจัยเหมือนกับอนันตรปัจจัย) เป็นปัจจัยโดยอวิคตปัจจัย

๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๔๕] เหตุปัจจัย มี ๑๐ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๑๖ วาระ
อธิปติปัจจัย มี ๑๖ วาระ
อนันตรปัจจัย มี ๑๖ วาระ
สมนันตรปัจจัย มี ๑๖ วาระ
สหชาตปัจจัย มี ๑๐ วาระ
อัญญมัญญปัจจัย มี ๑๐ วาระ
นิสสยปัจจัย มี ๑๐ วาระ
อุปนิสสยปัจจัย มี ๑๖ วาระ
อาเสวนปัจจัย มี ๑๐ วาระ
กัมมปัจจัย มี ๑๖ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๕๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๗. ปีติติกะ ๗. ปัญหาวาร

วิปากปัจจัย มี ๑๐ วาระ
อาหารปัจจัย มี ๑๐ วาระ
อินทรียปัจจัย มี ๑๐ วาระ
ฌานปัจจัย มี ๑๐ วาระ
มัคคปัจจัย มี ๑๐ วาระ
สัมปยุตตปัจจัย มี ๑๐ วาระ
อัตถิปัจจัย มี ๑๐ วาระ
นัตถิปัจจัย มี ๑๖ วาระ
วิคตปัจจัย มี ๑๖ วาระ
อวิคตปัจจัย มี ๑๐ วาระ

(ผู้รู้พึงนับอนุโลมกุสลติกะ)
อนุโลม จบ

๒. ปัจจนียุทธาร
[๔๖] สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติโดย
อารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และกัมมปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยสุขโดย
อารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และกัมมปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยอุเบกขาโดย
อารัมมณปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และกัมมปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติและที่
สหรคตด้วยสุขโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และกัมมปัจจัย (๔)
[๔๗] สภาวธรรมที่สหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยสุข
โดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และกัมมปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๕๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๗. ปีติติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติโดย
อารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และกัมมปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยอุเบกขาโดย
อารัมมณปัจจัย อุปนิสสยปัจจัยและกัมมปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติและที่
สหรคตด้วยสุขโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และกัมมปัจจัย (๔)
[๔๘] สภาวธรรมที่สหรคตด้วยอุเบกขาเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วย
อุเบกขาโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัยและกัมมปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยอุเบกขาเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติ
โดยอารัมมณปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และกัมมปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยอุเบกขาเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยสุข
โดยอารัมมณปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และกัมมปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยอุเบกขาเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติ
และที่สหรคตด้วยสุขโดยอารัมมณปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และกัมมปัจจัย (๔)
[๔๙] สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่สหรคตด้วยปีติโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และกัมม-
ปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่สหรคตด้วยสุขโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และกัมม-
ปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
สหรคตด้วยอุเบกขาโดยอารัมมณปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และกัมมปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
สหรคตด้วยปีติและที่สหรคตด้วยสุขโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสย-
ปัจจัย และกัมมปัจจัย (๔)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๕๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๗. ปีติติกะ ๗. ปัญหาวาร
๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๕๐] นเหตุปัจจัย มี ๑๖ วาระ
นอารัมมณปัจจัย มี ๑๖ วาระ
นอธิปติปัจจัย มี ๑๖ วาระ
นอนันตรปัจจัย มี ๑๖ วาระ
นสมนันตรปัจจัย มี ๑๖ วาระ
นสหชาตปัจจัย มี ๑๖ วาระ
นอัญญมัญญปัจจัย มี ๑๖ วาระ
นนิสสยปัจจัย มี ๑๖ วาระ
นอุปนิสสยปัจจัย มี ๑๖ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย มี ๑๖ วาระ
นปัจฉาชาตปัจจัย มี ๑๖ วาระ
นอาเสวนปัจจัย มี ๑๖ วาระ
นกัมมปัจจัย มี ๑๖ วาระ
นวิปากปัจจัย มี ๑๖ วาระ
นอาหารปัจจัย มี ๑๖ วาระ
นอินทรียปัจจัย มี ๑๖ วาระ
นฌานปัจจัย มี ๑๖ วาระ
นมัคคปัจจัย มี ๑๖ วาระ
นสัมปยุตตปัจจัย มี ๑๖ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย มี ๑๖ วาระ
โนอัตถิปัจจัย มี ๑๖ วาระ
โนนัตถิปัจจัย มี ๑๖ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๕๗ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๗. ปีติติกะ ๗. ปัญหาวาร

โนวิคตปัจจัย มี ๑๖ วาระ
โนอวิคตปัจจัย มี ๑๖ วาระ

ทุกปัจจัยมีปัจจัยละ ๑๖ วาระ (ผู้รู้พึงนับปัจจนียะ)
ปัจจนียะ จบ

๓. ปัจจยานุโลมปัจจนียะ
ทุกนัย

[๕๑] นอารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๑๐ วาระ
นอธิปติปัจจัย ” มี ๑๐ วาระ
นอนันตรปัจจัย ” มี ๑๐ วาระ
นสมนันตรปัจจัย ” มี ๑๐ วาระ
นอุปนิสสยปัจจัย ” มี ๑๐ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย ” มี ๑๐ วาระ
นปัจฉาชาตปัจจัย ” มี ๑๐ วาระ
นอาเสวนปัจจัย ” มี ๑๐ วาระ
นกัมมปัจจัย ” มี ๑๐ วาระ
นวิปากปัจจัย ” มี ๑๐ วาระ
นอาหารปัจจัย ” มี ๑๐ วาระ
นอินทรียปัจจัย ” มี ๑๐ วาระ
นฌานปัจจัย ” มี ๑๐ วาระ
นมัคคปัจจัย ” มี ๑๐ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย ” มี ๑๐ วาระ
โนนัตถิปัจจัย ” มี ๑๐ วาระ
โนวิคตปัจจัย ” มี ๑๐ วาระ

ทุกปัจจัยมีปัจจัยละ ๑๐ วาระ (ผู้รู้พึงนับอนุโลมปัจจนียะ)
อนุโลมปัจจนียะ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๕๘ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๗. ปีติติกะ ๗. ปัญหาวาร
๔. ปัจจยปัจจนียานุโลม
ทุกนัย

[๕๒] อารัมมณปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๑๖ วาระ
อธิปติปัจจัย ” มี ๑๖ วาระ
อนันตรปัจจัย ” มี ๑๖ วาระ
สมนันตรปัจจัย ” มี ๑๖ วาระ
สหชาตปัจจัย ” มี ๑๐ วาระ
อัญญมัญญปัจจัย ” มี ๑๐ วาระ
นิสสยปัจจัย ” มี ๑๐ วาระ
อุปนิสสยปัจจัย ” มี ๑๖ วาระ
อาเสวนปัจจัย ” มี ๑๐ วาระ
กัมมปัจจัย ” มี ๑๖ วาระ
วิปากปัจจัย ” มี ๑๐ วาระ
อาหารปัจจัย ” มี ๑๐ วาระ
อินทรียปัจจัย ” มี ๑๐ วาระ
ฌานปัจจัย ” มี ๑๐ วาระ
มัคคปัจจัย ” มี ๑๐ วาระ
สัมปยุตตปัจจัย ” มี ๑๐ วาระ
อัตถิปัจจัย ” มี ๑๐ วาระ
นัตถิปัจจัย ” มี ๑๖ าระ
วิคตปัจจัย ” มี ๑๖ วาระ
อวิคตปัจจัย ” มี ๑๐ วาระ

(ผู้รู้พึงนับปัจจนียานุโลม)
ปัจจนียานุโลม จบ
ปีติติกะ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๕๙ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๘. ทัสสเนนปหาตัพพติกะ ๑. ปฏิจจวาร
๘. ทัสสเนนปหาตัพพติกะ ๑. ปฏิจจวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๑] สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคอาศัยสภาวธรรมที่ต้อง
ประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑
ที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ อาศัย
สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตต-
สมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและที่ไม่ต้องประหาณด้วย
โสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ อาศัยสภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติ-
มรรคเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่
ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ และจิตตสมุฏฐานรูป
อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น (๓)
[๒] สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ อาศัยสภาวธรรมที่ต้อง
ประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัย
ขันธ์ ๑ ที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ อาศัย
ขันธ์ ๒ เกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ อาศัย
สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่
จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ และที่ไม่ต้องประหาณด้วย
โสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ อาศัยสภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยมรรค
เบื้องบน ๓ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัย

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๖๐ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๘. ทัสสเนนปหาตัพพติกะ ๑. ปฏิจจวาร
ขันธ์ ๑ ที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ และจิตต-
สมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น (๓)
[๓] สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ อาศัย
สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ เกิดขึ้นเพราะ
เหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ต้องประหาณด้วย
โสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ เกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ และจิตตสมุฏฐานรูป
อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่
ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ เกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ และ
กฏัตตารูปอาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น หทัยวัตถุอาศัยขันธ์เกิดขึ้น ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุ
เกิดขึ้น มหาภูตรูป ๓ อาศัยมหาภูตรูป ๑ เกิดขึ้น ฯลฯ มหาภูตรูป ๒ อาศัย
มหาภูตรูป ๒ เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูป และกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปอาศัย
มหาภูตรูปเกิดขึ้น (๑)
[๔] สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓
อาศัยสภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและที่ไม่ต้องประหาณด้วย
โสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐาน-
รูปอาศัยขันธ์ที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและอาศัยมหาภูตรูป เกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ อาศัย
สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ และที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดา-
ปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูป
อาศัยขันธ์ที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ และอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น (๑)

อารัมมณปัจจัย
[๕] สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคอาศัยสภาวธรรมที่ต้อง
ประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเกิดขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัย
ขันธ์ ๑ ที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒
เกิดขึ้น (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๖๑ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๘. ทัสสเนนปหาตัพพติกะ ๑. ปฏิจจวาร
สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ อาศัยสภาวธรรมที่ต้องประหาณ
ด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เกิดขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัย ขันธ์ ๑
ที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ อาศัย
สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ เกิดขึ้นเพราะ
อารัมมณปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติ-
มรรคและมรรคเบื้องบน ๓ เกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น ใน
ปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและ
มรรคเบื้องบน ๓ เกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น ขันธ์อาศัย
หทัยวัตถุเกิดขึ้น (๑)

อธิปติปัจจัย
[๖] สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคอาศัยสภาวธรรมที่ต้อง
ประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเกิดขึ้นเพราะอธิปติปัจจัย มี ๓ วาระ
สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ อาศัยสภาวธรรมที่ต้อง
ประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เกิดขึ้นเพราะอธิปติปัจจัย มี ๓ วาระ
สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ อาศัย
สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ เกิดขึ้นเพราะ
อธิปติปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ต้องประหาณ
ด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ เกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ และจิตต-
สมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น มหาภูตรูป ๓ อาศัยมหาภูตรูป ๑ เกิดขึ้น ฯลฯ
มหาภูตรูป ๒ อาศัยมหาภูตรูป ๒ เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปที่เป็นอุปาทายรูป
อาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น (๑)
[๗] สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓
อาศัยสภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดา-
ปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ เกิดขึ้นเพราะอธิปติปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูป
อาศัยขันธ์ที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๖๒ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๘. ทัสสเนนปหาตัพพติกะ ๑. ปฏิจจวาร
สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ อาศัย
สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ และที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดา-
ปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ เกิดขึ้นเพราะอธิปติปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูป
อาศัยขันธ์ที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ และอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น (๑)

อนันตรปัจจัยและสมนันตรปัจจัย
[๘] สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคอาศัยสภาวธรรมที่ต้อง
ประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเกิดขึ้นเพราะอนันตรปัจจัย เพราะสมนันตรปัจจัย
(ปัจจัยนี้เหมือนกับอารัมมณปัจจัย)

สหชาตปัจจัย
[๙] สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคอาศัยสภาวธรรมที่ต้อง
ประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเกิดขึ้นเพราะสหชาตปัจจัย มี ๓ วาระ
สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ อาศัยสภาวธรรมที่ต้อง
ประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เกิดขึ้นเพราะสหชาตปัจจัย มี ๓ วาระ
สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ อาศัย
สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ เกิดขึ้น
เพราะสหชาตปัจจัย ฯลฯ อาศัยมหาภูตรูป ๑ ... ที่เป็นภายนอก ... ที่มีอาหารเป็น
สมุฏฐาน ... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ... สําหรับเหล่าอสัญญสัตตพรหม ... อาศัย
มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ (๑)
[๑๐] สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓
อาศัยสภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและที่ไม่ต้องประหาณด้วย
โสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ เกิดขึ้นเพราะสหชาตปัจจัย ได้แก่ จิตต-
สมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น
สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ อาศัย
สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ และที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดา-
ปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ เกิดขึ้นเพราะสหชาตปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูป
อาศัยขันธ์ที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ และอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๖๓ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๘. ทัสสเนนปหาตัพพติกะ ๑. ปฏิจจวาร
อัญญมัญญปัจจัย
[๑๑] สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคอาศัยสภาวธรรมที่ต้อง
ประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเกิดขึ้นเพราะอัญญมัญญปัจจัย มี ๑ วาระ
สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ อาศัยสภาวธรรมที่ต้อง
ประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เกิดขึ้นเพราะอัญญมัญญปัจจัย มี ๑ วาระ
สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ อาศัย
สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ เกิดขึ้นเพราะ
อัญญมัญญปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติ-
มรรคและมรรคเบื้องบน ๓ เกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น ใน
ปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และหทัยวัตถุอาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดา-
ปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ เกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุอาศัยขันธ์ ๒
เกิดขึ้น หทัยวัตถุอาศัยขันธ์เกิดขึ้น ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น มหาภูตรูป ๓
อาศัยมหาภูตรูป ๑ เกิดขึ้น ฯลฯ มหาภูตรูป ๒ อาศัยมหาภูตรูป ๒ เกิดขึ้น
... ที่เป็นภายนอก ... ที่มีอาหารเป็นสมุฏฐาน ... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ... สําหรับ
เหล่าอสัญญสัตตพรหม ฯลฯ มหาภูตรูป ๒ อาศัยมหาภูตรูป ๒ เกิดขึ้น

นิสสยปัจจัยเป็นต้น
[๑๒] สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคอาศัยสภาวธรรมที่
ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเกิดขึ้นเพราะนิสสยปัจจัย (ปัจจัยนี้เหมือนกับเหตุ-
ปัจจัย) เพราะอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ วาระ เพราะปุเรชาตปัจจัย มี ๓ วาระ
(ไม่มีปฏิสนธิ) เพราะอาเสวนปัจจัย (ไม่มีวิปากปฏิสนธิ) เพราะกัมมปัจจัย
(ปัจจัยมีนิสสยปัจจัยเป็นต้นบริบูรณ์แล้ว รูปที่เป็นภายในและมหาภูตรูปของเหล่า
อสัญญสัตตพรหมก็บริบูรณ์แล้ว)

วิปากปัจจัย
[๑๓] สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและด้วยมรรคเบื้อง
บน ๓ อาศัยสภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๖๔ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๘. ทัสสเนนปหาตัพพติกะ ๑. ปฏิจจวาร
เกิดขึ้นเพราะวิปากปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่
เป็นวิบากเกิดขึ้น ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ หทัยวัตถุอาศัยขันธ์เกิดขึ้น ขันธ์
อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น ... อาศัยมหาภูตรูป ๑ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัต
ตารูปที่เป็นอุปาทายรูปอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น (๑)

อาหารปัจจัยเป็นต้น
[๑๔] สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคอาศัยสภาวธรรมที่ต้อง
ประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเกิดขึ้นเพราะอาหารปัจจัย (ปัจจัยมีอาหารปัจจัยเป็นต้น
บริบูรณ์แล้ว มหาภูตรูปที่เป็นภายในและอาหารสมุฏฐานรูปก็บริบูรณ์แล้ว) เพราะ
อินทรียปัจจัย (ปัจจัยนี้เหมือนกับกัมมปัจจัย) เพราะฌานปัจจัย เพราะมัคคปัจจัย
(ปัจจัยนี้เหมือนกับเหตุปัจจัย) เพราะสัมปยุตตปัจจัย (ปัจจัยนี้เหมือนกับอารัมมณ-
ปัจจัย) เพราะวิปปยุตตปัจจัย (ปัจจัยนี้เหมือนกับวิปปยุตตปัจจัยในกุสลติกะ) เพราะ
อัตถิปัจจัย (ปัจจัยนี้เหมือนกับสหชาตปัจจัย) เพราะนัตถิปัจจัย เพราะวิคตปัจจัย
เพราะอวิคตปัจจัย

๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๑๕] เหตุปัจจัย มี ๙ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๓ วาระ
อธิปติปัจจัย มี ๙ วาระ
อนันตรปัจจัย มี ๓ วาระ
สมนันตรปัจจัย มี ๓ วาระ
สหชาตปัจจัย มี ๙ วาระ
อัญญมัญญปัจจัย มี ๓ วาระ
นิสสยปัจจัย มี ๙ วาระ
อุปนิสสยปัจจัย มี ๓ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๖๕ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๘. ทัสสเนนปหาตัพพติกะ ๑. ปฏิจจวาร

ปุเรชาตปัจจัย มี ๓ วาระ
อาเสวนปัจจัย มี ๓ วาระ
กัมมปัจจัย มี ๙ วาระ
วิปากปัจจัย มี ๑ วาระ
อาหารปัจจัย มี ๙ วาระ
อินทรียปัจจัย มี ๙ วาระ
ฌานปัจจัย มี ๙ วาระ
มัคคปัจจัย มี ๙ วาระ
สัมปยุตตปัจจัย มี ๓ วาระ
วิปปยุตตปัจจัย มี ๙ วาระ
อัตถิปัจจัย มี ๙ วาระ
นัตถิปัจจัย มี ๓ วาระ
วิคตปัจจัย มี ๓ วาระ
อวิคตปัจจัย มี ๙ วาระ

(ผู้รู้พึงนับอนุโลมตามบทเหล่านี้)
อนุโลม จบ

๒. ปัจจยปัจจนียะ ๑. วิภังควาร
นเหตุปัจจัย
[๑๖] สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคอาศัยสภาวธรรมที่ต้อง
ประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ โมหะที่สหรคตด้วย
วิจิกิจฉาอาศัยขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ อาศัยสภาวธรรมที่ต้อง
ประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ โมหะที่สหรคต
ด้วยอุทธัจจะอาศัยขันธ์ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเกิดขึ้น (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๖๖ }


พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๘. ทัสสเนนปหาตัพพติกะ ๑. ปฏิจจวาร
สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ อาศัย
สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ เกิดขึ้น เพราะ
นเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอเหตุกะซึ่งไม่
ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒
ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะที่เป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ต้อง
ประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ เกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ อาศัย
ขันธ์ ๒ เกิดขึ้น ฯลฯ หทัยวัตถุอาศัยขันธ์เกิดขึ้น ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น
มหาภูตรูป ๓ อาศัยมหาภูตรูป ๑ เกิดขึ้น ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูป
ที่เป็นอุปาทายรูปอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น ... ที่เป็นภายนอก ... ที่มีอาหารเป็น
สมุฏฐาน ... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ... สําหรับเหล่าอสัญญสัตตพรหม มหาภูตรูป ๓
อาศัยมหาภูตรูป ๑ เกิดขึ้น ฯลฯ กฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปอาศัยมหาภูตรูป
เกิดขึ้น (๑)

นอารัมมณปัจจัย
[๑๗] สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓
อาศัยสภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเกิดขึ้นเพราะนอารัมมณปัจจัย
ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ อาศัย
สภาวธรรมที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เกิดขึ้นเพราะนอารัมมณปัจจัย ได้แก่
จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ เกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ อาศัย
สภาวธรรมที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ เกิดขึ้นเพราะ
นอารัมมณปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดา-
ปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูปอาศัยขันธ์ที่ไม่
ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ เกิดขึ้น หทัยวัตถุอาศัยขันธ์

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๑๖๗ }


>>>>> หน้าต่อไป >>>>>





eXTReMe Tracker