ค้นว่าอยู่เล่มใด แล้วกด [ctrl]+f หรือใช้คำสั่งของเครื่องหาตำแหน่งในเล่มอีกทีนะครับ



จัดรูปหน้าใหม่
เพื่อความสะดวก และสวยงาม
(เฉพาะหน้าจอใหญ่ เช่น คอมพิวเตอร์)
กรุณาคลิก จัดรูปหน้าใหม่
เพื่อให้กรอบ
ค้นข้อความ ปรากฎที่ด้านซ้ายของหน้า

พระไตรปิฎกภาษาไทย
ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ๔๕ เล่ม (ปกสีฟ้า)
ทั้งออนไลน์และออฟไลน์
ที่มาของข้อมูล : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับ มจร.
MCUTRAI Version 1.0

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๕-๑ อภิธรรมปิฎกที่ ๐๒ วิภังค์

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๑.สุตตันตภาชนีย์ ๑.รูปขันธ์

พระอภิธรรมปิฎก
วิภังค์
_____________
ขอนอบน้อมพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

๑. ขันธวิภังค์
๑. สุตตันตภาชนีย์

[๑] ขันธ์๑ ๕ คือ

๑. รูปขันธ์ (กองรูป)
๒. เวทนาขันธ์ (กองเวทนา)
๓. สัญญาขันธ์ (กองสัญญา)
๔. สังขารขันธ์ (กองสังขาร)
๕. วิญญาณขันธ์ (กองวิญญาณ)

๑. รูปขันธ์
[๒] บรรดาขันธ์ ๕ นั้น รูปขันธ์ เป็นไฉน
รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ รูปที่เป็นอดีต รูปที่เป็นอนาคต รูปที่เป็นปัจจุบัน
รูปที่เป็นภายในตน รูปที่เป็นภายนอกตน รูปหยาบ รูปละเอียด รูปชั้นต่ำ รูปชั้น
ประณีต รูปไกล หรือรูปใกล้ ประมวลย่อเข้าเป็นกองเดียวกัน นี้เรียกว่า รูปขันธ์

เชิงอรรถ :
๑ สฺวายมิธ ราสิโต อธิปฺเปโต ขันธ์ในที่นี้ท่านหมายถึงกอง เช่นกองรูป ฯลฯ (อภิ.วิ.อ. ๑/๒-๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๑.สุตตันตภาชนีย์ ๑.รูปขันธ์
[๓] ในรูปขันธ์นั้น รูปที่เป็นอดีต เป็นไฉน
รูปใดล่วงไปแล้ว ดับไปแล้ว ปราศจากไปแล้ว แปรไปแล้ว ถึงความดับแล้ว
ถึงความดับสิ้นแล้ว ที่เกิดขึ้นปราศจากไปแล้ว ที่เป็นอดีต สงเคราะห์เข้ากับส่วนอดีต
ได้แก่ มหาภูตรูป ๔ และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป ๔ (อุปาทายรูป) นี้เรียกว่า รูปที่
เป็นอดีต
รูปที่เป็นอนาคต เป็นไฉน
รูปใดยังไม่เกิด ยังไม่เป็น ยังไม่เกิดพร้อม ยังไม่บังเกิด ยังไม่บังเกิดเฉพาะ
ยังไม่ปรากฏ ยังไม่เกิดขึ้น ยังไม่เกิดขึ้นพร้อม ยังไม่ตั้งขึ้น ยังไม่ตั้งขึ้นพร้อม ที่
เป็นอนาคต สงเคราะห์เข้ากับส่วนอนาคต ได้แก่ มหาภูตรูป ๔ และรูปที่อาศัย
มหาภูตรูป ๔ นี้เรียกว่า รูปที่เป็นอนาคต
รูปที่เป็นปัจจุบัน เป็นไฉน
รูปใดเกิดอยู่ เป็นอยู่ เกิดพร้อม บังเกิด บังเกิดเฉพาะ ปรากฏ เกิดขึ้น
เกิดขึ้นพร้อม ตั้งขึ้น ตั้งขึ้นพร้อม ที่เป็นปัจจุบัน สงเคราะห์เข้ากับส่วนปัจจุบัน
ได้แก่ มหาภูตรูป ๔ และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป ๔ นี้เรียกว่า รูปที่เป็นปัจจุบัน
[๔] รูปที่เป็นภายในตน เป็นไฉน
รูปใดของสัตว์นั้น ๆ ที่เป็นภายในตน มีเฉพาะตน เกิดในตน มีเฉพาะ
บุคคล ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือ๑ ได้แก่ มหาภูตรูป ๔ และ
รูปที่อาศัยมหาภูตรูป ๔ นี้เรียกว่า รูปที่เป็นภายในตน
รูปที่เป็นภายนอกตน เป็นไฉน
รูปใดของสัตว์อื่น ของบุคคลอื่นนั้น ๆ ที่เป็นภายในตน มีเฉพาะตน เกิดในตน
มีเฉพาะบุคคล ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือ ได้แก่ มหาภูตรูป ๔
และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป ๔ นี้เรียกว่า รูปที่เป็นภายนอกตน
[๕] รูปหยาบ เป็นไฉน
จักขายตนะ ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะ นี้เรียกว่า รูปหยาบ

เชิงอรรถ :
๑ ตัณหาและทิฏฐิที่เกิดพร้อมกับการกระทำที่ยึดติดโดยความเป็นอารมณ์ (อภิ.สงฺ.อ. ๔/๙๐)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๒ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๑.สุตตันตภาชนีย์ ๑.รูปขันธ์
รูปละเอียด เป็นไฉน
อิตถินทรีย์ ฯลฯ กวฬิงการาหาร๑ นี้เรียกว่า รูปละเอียด
[๖] รูปชั้นต่ำ เป็นไฉน
รูปใดของสัตว์นั้น ๆ ที่น่าดูหมิ่น น่าเหยียดหยาม น่าเกลียด น่าตำหนิ ไม่น่า
ยกย่อง เป็นชั้นต่ำ รู้กันว่าเป็นชั้นต่ำ สมมติกันว่าเป็นชั้นต่ำ ไม่น่าปรารถนา ไม่น่ารัก
ไม่น่าชอบใจ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ นี้เรียกว่า รูปชั้นต่ำ
รูปชั้นประณีต เป็นไฉน
รูปใดของสัตว์นั้น ๆ ที่ไม่น่าดูหมิ่น ไม่น่าเหยียดหยาม ไม่น่าเกลียด ไม่
น่าตำหนิ น่ายกย่อง เป็นชั้นประณีต รู้กันว่าเป็นชั้นประณีต สมมติกันว่าเป็นชั้น
ประณีต น่าปรารถนา น่ารัก น่าชอบใจ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ
นี้เรียกว่า รูปชั้นประณีต
พึงทราบรูปชั้นต่ำ รูปชั้นประณีต โดยอาศัยเทียบเคียงรูปนั้น ๆ เป็นชั้น ๆ ไป
[๗] รูปไกล เป็นไฉน
อิตถินทรีย์ ฯลฯ กวฬิงการาหาร หรือรูปแม้อื่น มีอยู่ในที่ไม่ใกล้ ในที่ไม่
ใกล้ชิด ในที่ไกล ในที่ไม่ใกล้ นี้เรียกว่า รูปไกล๒
รูปใกล้ เป็นไฉน
จักขายตนะ ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะ หรือรูปแม้อื่น มีอยู่ในที่ใกล้ ในที่ใกล้ชิด
ในที่ไม่ไกล ในที่ใกล้ นี้เรียกว่า รูปใกล้๓
พึงทราบรูปไกล รูปใกล้ โดยอาศัยเทียบเคียงรูปนั้น ๆ เป็นชั้น ๆ ไป

เชิงอรรถ :
๑ อภิ.สงฺ. ๓๔/๖๓๒-๖๔๕/๑๙๔-๙๖
๒ หมายถึงสุขุมรูป รูปละเอียด (อภิ.วิ.อ. ๗/๑๓)
๓ หมายถึงโอฬาริกรูป รูปหยาบ (อภิ.วิ.อ. ๗/๑๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๓ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๑.สุตตันตภาชนีย์ ๒.เวทนาขันธ์
๒. เวทนาขันธ์
[๘] บรรดาขันธ์ ๕ นั้น เวทนาขันธ์ เป็นไฉน
เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง๑ คือ เวทนาที่เป็นอดีต เวทนาที่เป็นอนาคต เวทนาที่
เป็นปัจจุบัน เวทนาที่เป็นภายในตน เวทนาที่เป็นภายนอกตน เวทนาหยาบ เวทนา
ละเอียด เวทนาชั้นต่ำ เวทนาชั้นประณีต เวทนาไกล หรือเวทนาใกล้ ประมวลย่อเข้า
เป็นกองเดียวกัน นี้เรียกว่า เวทนาขันธ์
[๙] ในเวทนาขันธ์นั้น เวทนาที่เป็นอดีต เป็นไฉน
เวทนาใดล่วงไปแล้ว ดับไปแล้ว ปราศจากไปแล้ว แปรไปแล้ว ถึงความดับแล้ว
ถึงความดับสิ้นแล้ว ที่เกิดขึ้นปราศจากไปแล้ว ที่เป็นอดีต สงเคราะห์เข้ากับส่วนอดีต
ได้แก่ สุขเวทนา ทุกขเวทนา และอทุกขมสุขเวทนา นี้เรียกว่า เวทนาที่เป็นอดีต
เวทนาที่เป็นอนาคต เป็นไฉน
เวทนาใดยังไม่เกิด ยังไม่เป็น ยังไม่เกิดพร้อม ยังไม่บังเกิด ยังไม่บังเกิดเฉพาะ
ยังไม่ปรากฏ ยังไม่เกิดขึ้น ยังไม่เกิดขึ้นพร้อม ยังไม่ตั้งขึ้น ยังไม่ตั้งขึ้นพร้อม ที่เป็น
อนาคต สงเคราะห์เข้ากับส่วนอนาคต ได้แก่ สุขเวทนา ทุกขเวทนา และ
อทุกขมสุขเวทนา นี้เรียกว่า เวทนาที่เป็นอนาคต
เวทนาที่เป็นปัจจุบัน เป็นไฉน
เวทนาใดเกิดอยู่ เป็นอยู่ เกิดพร้อม บังเกิด บังเกิดเฉพาะ ปรากฏ เกิดขึ้น
เกิดขึ้นพร้อม ตั้งขึ้น ตั้งขึ้นพร้อม ที่เป็นปัจจุบัน สงเคราะห์เข้ากับส่วนปัจจุบัน
ได้แก่ สุขเวทนา ทุกขเวทนา และอทุกขมสุขเวทนา นี้เรียกว่า เวทนาที่เป็นปัจจุบัน
[๑๐] เวทนาที่เป็นภายในตน เป็นไฉน
เวทนาใดของสัตว์นั้น ๆ ที่เป็นภายในตน มีเฉพาะตน เกิดในตน มีเฉพาะ
บุคคล ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือ ได้แก่ สุขเวทนา ทุกขเวทนา
และอทุกขมสุขเวทนา นี้เรียกว่า เวทนาที่เป็นภายในตน

เชิงอรรถ :
๑ หมายถึงเวทนาขันธ์ที่เป็นไปในภูมิ ๔ คือ กามภูมิ รูปภูมิ อรูปภูมิ และโลกุตตรภูมิ (อภิ.วิ.อ.๘/๑๔)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๔ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๑.สุตตันตภาชนีย์ ๒.เวทนาขันธ์
เวทนาที่เป็นภายนอกตน เป็นไฉน
เวทนาใดของสัตว์อื่น ของบุคคลอื่นนั้น ๆ ที่เป็นภายในตน มีเฉพาะตน
เกิดในตน มีเฉพาะบุคคล ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือ ได้แก่
สุขเวทนา ทุกขเวทนา และอทุกขมสุขเวทนา นี้เรียกว่า เวทนาที่เป็นภายนอกตน
[๑๑] เวทนาหยาบ เวทนาละเอียด เป็นไฉน
เวทนาที่เป็นอกุศลเป็นเวทนาหยาบ เวทนาที่เป็นกุศลและอัพยากฤตเป็น
เวทนาละเอียด เวทนาที่เป็นกุศลและอกุศลเป็นเวทนาหยาบ เวทนาที่เป็นอัพยา-
กฤตเป็นเวทนาละเอียด ทุกขเวทนาเป็นเวทนาหยาบ สุขเวทนาและอทุกขมสุขเวทนา
เป็นเวทนาละเอียด สุขเวทนาและทุกขเวทนาเป็นเวทนาหยาบ อทุกขมสุขเวทนา
เป็นเวทนาละเอียด เวทนาของผู้ไม่เข้าสมาบัติเป็นเวทนาหยาบ เวทนาของผู้เข้า
สมาบัติเป็นเวทนาละเอียด เวทนาที่เป็นอารมณ์ของอาสวะเป็นเวทนาหยาบ เวทนา
ที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะเป็นเวทนาละเอียด
พึงทราบเวทนาหยาบ เวทนาละเอียด โดยอาศัยเทียบเคียงเวทนานั้น ๆ เป็น
ชั้น ๆ ไป
[๑๒] เวทนาชั้นต่ำ เวทนาชั้นประณีต เป็นไฉน
เวทนาที่เป็นอกุศลเป็นเวทนาชั้นต่ำ เวทนาที่เป็นกุศลและอัพยากฤตเป็นเวทนา
ชั้นประณีต เวทนาที่เป็นกุศลและอกุศลเป็นเวทนาชั้นต่ำ เวทนาที่เป็นอัพยากฤตเป็น
เวทนาชั้นประณีต ทุกขเวทนาเป็นเวทนาชั้นต่ำ สุขเวทนาและอทุกขมสุขเวทนาเป็น
เวทนาชั้นประณีต สุขเวทนาและทุกขเวทนาเป็นเวทนาชั้นต่ำ อทุกขมสุขเวทนาเป็น
เวทนาชั้นประณีต เวทนาของผู้ไม่เข้าสมาบัติเป็นเวทนาชั้นต่ำ เวทนาของผู้เข้า
สมาบัติเป็นเวทนาชั้นประณีต เวทนาที่เป็นอารมณ์ของอาสวะเป็นเวทนาชั้นต่ำ
เวทนาที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะเป็นเวทนาชั้นประณีต
พึงทราบเวทนาชั้นต่ำ เวทนาชั้นประณีต โดยอาศัยเทียบเคียงเวทนานั้น ๆ เป็น
ชั้น ๆ ไป

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๑.สุตตันตภาชนีย์ ๒.เวทนาขันธ์
[๑๓] เวทนาไกล เป็นไฉน
เวทนาที่เป็นอกุศลเป็นเวทนาไกลจากเวทนาที่เป็นกุศลและอัพยากฤต เวทนา
ที่เป็นกุศลและอัพยากฤตเป็นเวทนาไกลจากเวทนาที่เป็นอกุศล เวทนาที่เป็นกุศลเป็น
เวทนาไกลจากเวทนาที่เป็นอกุศลและอัพยากฤต เวทนาที่เป็นอกุศลและอัพยากฤต
เป็นเวทนาไกลจากเวทนาที่เป็นกุศล เวทนาที่เป็นอัพยากฤตเป็นเวทนาไกลจาก
เวทนาที่เป็นกุศลและอกุศล เวทนาที่เป็นกุศลและอกุศลเป็นเวทนาไกลจากเวทนาที่
เป็นอัพยากฤต ทุกขเวทนาเป็นเวทนาไกลจากสุขเวทนาและอทุกขมสุขเวทนา สุข-
เวทนาและอทุกขมสุขเวทนาเป็นเวทนาไกลจากทุกขเวทนา สุขเวทนาเป็นเวทนาไกล
จากทุกขเวทนาและอทุกขมสุขเวทนา ทุกขเวทนาและอทุกขมสุขเวทนาเป็นเวทนา
ไกลจากสุขเวทนา อทุกขมสุขเวทนาเป็นเวทนาไกลจากสุขเวทนาและทุกขเวทนา
สุขเวทนาและทุกขเวทนาเป็นเวทนาไกลจากอทุกขมสุขเวทนา เวทนาของผู้ไม่เข้า
สมาบัติเป็นเวทนาไกลจากเวทนาของผู้เข้าสมาบัติ เวทนาของผู้เข้าสมาบัติเป็น
เวทนาไกลจากเวทนาของผู้ไม่เข้าสมาบัติ เวทนาที่เป็นอารมณ์ของอาสวะเป็นเวทนา
ไกลจากเวทนาที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะ เวทนาที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะเป็น
เวทนาไกลจากเวทนาที่เป็นอารมณ์ของอาสวะ นี้เรียกว่า เวทนาไกล
เวทนาใกล้ เป็นไฉน
เวทนาที่เป็นอกุศลเป็นเวทนาใกล้กับเวทนาที่เป็นอกุศล เวทนาที่เป็นกุศลเป็น
เวทนาใกล้กับเวทนาที่เป็นกุศล เวทนาที่เป็นอัพยากฤตเป็นเวทนาใกล้กับเวทนาที่
เป็นอัพยากฤต ทุกขเวทนาเป็นเวทนาใกล้กับทุกขเวทนา สุขเวทนาเป็นเวทนาใกล้
กับสุขเวทนา อทุกขมสุขเวทนาเป็นเวทนาใกล้กับอทุกขมสุขเวทนา เวทนาของผู้ไม่
เข้าสมาบัติเป็นเวทนาใกล้กับเวทนาของผู้ไม่เข้าสมาบัติ เวทนาของผู้เข้าสมาบัติเป็น
เวทนาใกล้กับเวทนาของผู้เข้าสมาบัติ เวทนาที่เป็นอารมณ์ของอาสวะเป็นเวทนา
ใกล้กับเวทนาที่เป็นอารมณ์ของอาสวะ เวทนาที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะเป็นเวทนา
ใกล้กับเวทนาที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะ นี้เรียกว่า เวทนาใกล้
พึงทราบเวทนาไกล เวทนาใกล้ โดยอาศัยเทียบเคียงเวทนานั้น ๆ เป็นชั้น ๆ ไป

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๑.สุตตันตภาชนีย์ ๓.สัญญาขันธ์
๓. สัญญาขันธ์
[๑๔] บรรดาขันธ์ ๕ นั้น สัญญาขันธ์ เป็นไฉน
สัญญาอย่างใดอย่างหนึ่ง๑ คือ สัญญาที่เป็นอดีต สัญญาที่เป็นอนาคต
สัญญาที่เป็นปัจจุบัน สัญญาที่เป็นภายในตน สัญญาที่เป็นภายนอกตน สัญญา
หยาบ สัญญาละเอียด สัญญาชั้นต่ำ สัญญาชั้นประณีต สัญญาไกล หรือสัญญา
ใกล้ ประมวลย่อเข้าเป็นกองเดียวกัน นี้เรียกว่า สัญญาขันธ์
[๑๕] ในสัญญาขันธ์นั้น สัญญาที่เป็นอดีต เป็นไฉน
สัญญาใดล่วงไปแล้ว ดับไปแล้ว ปราศจากไปแล้ว แปรไปแล้ว ถึงความดับ
แล้ว ถึงความดับสิ้นแล้ว ที่เกิดขึ้นปราศจากไปแล้ว ที่เป็นอดีต สงเคราะห์เข้ากับ
ส่วนอดีต ได้แก่ สัญญาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส สัญญาที่เกิดแต่โสตสัมผัส สัญญาที่
เกิดแต่ฆานสัมผัส สัญญาที่เกิดแต่ชิวหาสัมผัส สัญญาที่เกิดแต่กายสัมผัส สัญญา
ที่เกิดแต่มโนสัมผัส นี้เรียกว่า สัญญาที่เป็นอดีต
สัญญาที่เป็นอนาคต เป็นไฉน
สัญญาใดยังไม่เกิด ยังไม่เป็น ยังไม่เกิดพร้อม ยังไม่บังเกิด ยังไม่บังเกิดเฉพาะ
ยังไม่ปรากฏ ยังไม่เกิดขึ้น ยังไม่เกิดขึ้นพร้อม ยังไม่ตั้งขึ้น ยังไม่ตั้งขึ้นพร้อม ที่
เป็นอนาคต สงเคราะห์เข้ากับส่วนอนาคต ได้แก่ สัญญาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส ฯลฯ
สัญญาที่เกิดแต่มโนสัมผัส นี้เรียกว่า สัญญาที่เป็นอนาคต
สัญญาที่เป็นปัจจุบัน เป็นไฉน
สัญญาใดเกิดอยู่ เป็นอยู่ เกิดพร้อม บังเกิด บังเกิดเฉพาะ ปรากฏ เกิดขึ้น
เกิดขึ้นพร้อม ตั้งขึ้น ตั้งขึ้นพร้อม ที่เป็นปัจจุบัน สงเคราะห์เข้ากับส่วนปัจจุบัน
ได้แก่ สัญญาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส ฯลฯ สัญญาที่เกิดแต่มโนสัมผัส นี้เรียกว่า
สัญญาที่เป็นปัจจุบัน
[๑๖] สัญญาที่เป็นภายในตน เป็นไฉน

เชิงอรรถ :
๑ หมายถึงสัญญาขันธ์ที่เป็นไปในภูมิ ๔ คือ กามภูมิ รูปภูมิ อรูปภูมิ และโลกุตตรภูมิ (อภิ.วิ.อ. ๑๔/๒๐)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๗ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๑.สุตตันตภาชนีย์ ๓.สัญญาขันธ์
สัญญาใดของสัตว์นั้น ๆ ที่เป็นภายในตน มีเฉพาะตน เกิดในตน มีเฉพาะ
บุคคล ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือ ได้แก่ สัญญาที่เกิดแต่จักขุ-
สัมผัส ฯลฯ สัญญาที่เกิดแต่มโนสัมผัส นี้เรียกว่า สัญญาที่เป็นภายในตน
สัญญาที่เป็นภายนอกตน เป็นไฉน
สัญญาใดของสัตว์อื่น ของบุคคลอื่นนั้น ๆ ที่เป็นภายในตน มีเฉพาะตน เกิด
ในตน มีเฉพาะบุคคล ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือ ได้แก่ สัญญา
ที่เกิดแต่จักขุสัมผัส ฯลฯ สัญญาที่เกิดแต่มโนสัมผัส นี้เรียกว่า สัญญาที่เป็นภาย
นอกตน
[๑๗] สัญญาหยาบ สัญญาละเอียด เป็นไฉน
สัญญาที่เกิดแต่ปฏิฆสัมผัส๑ (คือสัมผัสที่เกิดทางปัญจทวาร) เป็นสัญญาหยาบ
สัญญาที่เกิดแต่อธิวจนสัมผัส(คือสัมผัสที่เกิดทางมโนทวาร) เป็นสัญญาละเอียด
สัญญาที่เป็นอกุศลเป็นสัญญาหยาบ สัญญาที่เป็นกุศลและอัพยากฤตเป็นสัญญา
ละเอียด สัญญาที่เป็นกุศลและอกุศลเป็นสัญญาหยาบ สัญญาที่เป็นอัพยากฤตเป็น
สัญญาละเอียด สัญญาที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาเป็นสัญญาหยาบ สัญญาที่สัมปยุต
ด้วยสุขเวทนาและอทุกขมสุขเวทนาเป็นสัญญาละเอียด สัญญาที่สัมปยุตด้วยสุข-
เวทนาและทุกขเวทนาเป็นสัญญาหยาบ สัญญาที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาเป็น
สัญญาละเอียด สัญญาของผู้ไม่เข้าสมาบัติเป็นสัญญาหยาบ สัญญาของผู้เข้าสมาบัติ
เป็นสัญญาละเอียด สัญญาที่เป็นอารมณ์ของอาสวะเป็นสัญญาหยาบ สัญญาที่ไม่
เป็นอารมณ์ของอาสวะเป็นสัญญาละเอียด
พึงทราบสัญญาหยาบ สัญญาละเอียด โดยอาศัยเทียบเคียงสัญญานั้น ๆ เป็น
ชั้น ๆ ไป
[๑๘] สัญญาชั้นต่ำ สัญญาชั้นประณีต เป็นไฉน
สัญญาที่เป็นอกุศลเป็นสัญญาชั้นต่ำ สัญญาที่เป็นกุศลและอัพยากฤตเป็น
สัญญาชั้นประณีต สัญญาที่เป็นกุศลและอกุศลเป็นสัญญาชั้นต่ำ สัญญาที่เป็น

เชิงอรรถ :
๑ หมายถึงความสัมผัสถูกต้องกันแห่งรูปที่กระทบกันได้ เช่นจักขุปสาทกระทบกับรูปารมณ์เป็นต้น (อภิ.วิ.อ.
๑๗/๒๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๘ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๑.สุตตันตภาชนีย์ ๓.สัญญาขันธ์
อัพยากฤตเป็นสัญญาชั้นประณีต สัญญาที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาเป็นสัญญาชั้นต่ำ
สัญญาที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาและอทุกขมสุขเวทนาเป็นสัญญาชั้นประณีต สัญญาที่
สัมปยุตด้วยสุขเวทนาและทุกขเวทนาเป็นสัญญาชั้นต่ำ สัญญาที่สัมปยุตด้วย
อทุกขมสุขเวทนาเป็นสัญญาชั้นประณีต สัญญาของผู้ไม่เข้าสมาบัติเป็นสัญญาชั้นต่ำ
สัญญาของผู้เข้าสมาบัติเป็นสัญญาชั้นประณีต สัญญาที่เป็นอารมณ์ของอาสวะเป็น
สัญญาชั้นต่ำ สัญญาที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะเป็นสัญญาชั้นประณีต
พึงทราบสัญญาชั้นต่ำ สัญญาชั้นประณีต โดยอาศัยเทียบเคียงสัญญานั้น ๆ
เป็นชั้น ๆ ไป
[๑๙] สัญญาไกล เป็นไฉน
สัญญาที่เป็นอกุศลเป็นสัญญาไกลจากสัญญาที่เป็นกุศลและอัพยากฤต
สัญญาที่เป็นกุศลและอัพยากฤตเป็นสัญญาไกลจากสัญญาที่เป็นอกุศล สัญญาที่
เป็นกุศลเป็นสัญญาไกลจากสัญญาที่เป็นอกุศลและอัพยากฤต สัญญาที่เป็นอกุศล
และอัพยากฤตเป็นสัญญาไกลจากสัญญาที่เป็นกุศล สัญญาที่เป็นอัพยากฤตเป็น
สัญญาไกลจากสัญญาที่เป็นกุศลและอกุศล สัญญาที่เป็นกุศลและอกุศลเป็นสัญญา
ไกลจากสัญญาที่เป็นอัพยากฤต สัญญาที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาเป็นสัญญาไกล
จากสัญญาที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาและอทุกขมสุขเวทนา สัญญาที่สัมปยุตด้วยสุข
เวทนาและอทุกขมสุขเวทนาเป็นสัญญาไกลจากสัญญาที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา
สัญญาที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาเป็นสัญญาไกลจากสัญญาที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา
และอทุกขมสุขเวทนา สัญญาที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาและอทุกขมสุขเวทนาเป็น
สัญญาไกลจากสัญญาที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา สัญญาที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุข-
เวทนาเป็นสัญญาไกลจากสัญญาที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาและทุกขเวทนา สัญญาที่
สัมปยุตด้วยสุขเวทนาและทุกขเวทนาเป็นสัญญาไกลจากสัญญาที่สัมปยุตด้วย
อทุกขมสุขเวทนา สัญญาของผู้ไม่เข้าสมาบัติเป็นสัญญาไกลจากสัญญาของผู้เข้า
สมาบัติ สัญญาของผู้เข้าสมาบัติเป็นสัญญาไกลจากสัญญาของผู้ไม่เข้าสมาบัติ
สัญญาที่เป็นอารมณ์ของอาสวะเป็นสัญญาไกลจากสัญญาที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะ
สัญญาที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะเป็นสัญญาไกลจากสัญญาที่เป็นอารมณ์ของอาสวะ
นี้เรียกว่า สัญญาไกล


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๙ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๑.สุตตันตภาชนีย์ ๔.สังขารขันธ์
สัญญาใกล้ เป็นไฉน
สัญญาที่เป็นอกุศลเป็นสัญญาใกล้กับสัญญาที่เป็นอกุศล สัญญาที่เป็นกุศล
เป็นสัญญาใกล้กับสัญญาที่เป็นกุศล สัญญาที่เป็นอัพยากฤตเป็นสัญญาใกล้กับ
สัญญาที่เป็นอัพยากฤต สัญญาที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาเป็นสัญญาใกล้กับสัญญา
ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา สัญญาที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาเป็นสัญญาใกล้กับสัญญา
ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา สัญญาที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาเป็นสัญญาใกล้กับ
สัญญาที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา สัญญาของผู้ไม่เข้าสมาบัติเป็นสัญญาใกล้
กับสัญญาของผู้ไม่เข้าสมาบัติ สัญญาของผู้เข้าสมาบัติเป็นสัญญาใกล้กับสัญญาของ
ผู้เข้าสมาบัติ สัญญาที่เป็นอารมณ์ของอาสวะเป็นสัญญาใกล้กับสัญญาที่เป็น
อารมณ์ของอาสวะ สัญญาที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะเป็นสัญญาใกล้กับสัญญาที่ไม่
เป็นอารมณ์ของอาสวะ นี้เรียกว่า สัญญาใกล้
พึงทราบสัญญาไกล สัญญาใกล้ โดยอาศัยเทียบเคียงสัญญานั้น ๆ เป็น
ชั้น ๆ ไป

๔. สังขารขันธ์
[๒๐] บรรดาขันธ์ ๕ นั้น สังขารขันธ์ เป็นไฉน
สังขารเหล่าใดเหล่าหนึ่ง๑ คือ สังขารที่เป็นอดีต สังขารที่เป็นอนาคต สังขาร
ที่เป็นปัจจุบัน สังขารที่เป็นภายในตน สังขารที่เป็นภายนอกตน สังขารหยาบ สังขาร
ละเอียด สังขารชั้นต่ำ สังขารชั้นประณีต สังขารไกล หรือสังขารใกล้ ประมวลย่อเข้า
เป็นกองเดียวกัน นี้เรียกว่า สังขารขันธ์
[๒๑] ในสังขารขันธ์นั้น สังขารที่เป็นอดีต เป็นไฉน
สังขารเหล่าใดล่วงไปแล้ว ดับไปแล้ว ปราศจากไปแล้ว แปรไปแล้ว ถึงความ
ดับแล้ว ถึงความดับสิ้นแล้ว ที่เกิดขึ้นปราศจากไปแล้ว ที่เป็นอดีต สงเคราะห์เข้ากับ
ส่วนอดีต ได้แก่ เจตนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส เจตนาที่เกิดแต่โสตสัมผัส เจตนาที่เกิด
แต่ฆานสัมผัส เจตนาที่เกิดแต่ชิวหาสัมผัส เจตนาที่เกิดแต่กายสัมผัส เจตนาที่เกิด
แต่มโนสัมผัส เหล่านี้เรียกว่า สังขารที่เป็นอดีต

เชิงอรรถ :
๑ ได้แก่ที่เป็นไปในภูมิ ๔ คือ กามภูมิ รูปภูมิ อรูปภูมิ และโลกุตตรภูมิ (อภิ.วิ.อ. ๒๐/๒๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๐ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๑.สุตตันตภาชนีย์ ๔.สังขารขันธ์
สังขารที่เป็นอนาคต เป็นไฉน
สังขารเหล่าใดยังไม่เกิด ยังไม่เป็น ยังไม่เกิดพร้อม ยังไม่บังเกิด ยังไม่บังเกิด
เฉพาะ ยังไม่ปรากฏ ยังไม่เกิดขึ้น ยังไม่เกิดขึ้นพร้อม ยังไม่ตั้งขึ้น ยังไม่ตั้งขึ้นพร้อม
ที่เป็นอนาคต สงเคราะห์เข้ากับส่วนอนาคต ได้แก่ เจตนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส ฯลฯ
เจตนาที่เกิดแต่มโนสัมผัส เหล่านี้เรียกว่า สังขารที่เป็นอนาคต
สังขารที่เป็นปัจจุบัน เป็นไฉน
สังขารเหล่าใดเกิดอยู่ เป็นอยู่ เกิดพร้อม บังเกิด บังเกิดเฉพาะ ปรากฏ เกิด
ขึ้น เกิดขึ้นพร้อม ตั้งขึ้น ตั้งขึ้นพร้อม ที่เป็นปัจจุบัน สงเคราะห์เข้ากับส่วนปัจจุบัน
ได้แก่ เจตนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส ฯลฯ เจตนาที่เกิดแต่มโนสัมผัส เหล่านี้เรียกว่า
สังขารที่เป็นปัจจุบัน
[๒๒] สังขารที่เป็นภายในตน เป็นไฉน
สังขารเหล่าใดของสัตว์นั้น ๆ ที่เป็นภายในตน มีเฉพาะตน เกิดในตน มี
เฉพาะบุคคล ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือ ได้แก่ เจตนาที่เกิดแต่
จักขุสัมผัส ฯลฯ เจตนาที่เกิดแต่มโนสัมผัส เหล่านี้เรียกว่า สังขารที่เป็นภายในตน
สังขารที่เป็นภายนอกตน เป็นไฉน
สังขารเหล่าใดของสัตว์อื่น ของบุคคลอื่นนั้น ๆ ที่เป็นภายในตน มีเฉพาะตน
เกิดในตน มีเฉพาะบุคคล ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือ ได้แก่
เจตนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส ฯลฯ เจตนาที่เกิดแต่มโนสัมผัส เหล่านี้เรียกว่า สังขารที่
เป็นภายนอกตน
[๒๓] สังขารหยาบ สังขารละเอียด เป็นไฉน
สังขารที่เป็นอกุศลเป็นสังขารหยาบ สังขารที่เป็นกุศลและอัพยากฤตเป็น
สังขารละเอียด สังขารที่เป็นกุศลและอกุศลเป็นสังขารหยาบ สังขารที่เป็นอัพยากฤต
เป็นสังขารละเอียด สังขารที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาเป็นสังขารหยาบ สังขารที่
สัมปยุตด้วยสุขเวทนาและอทุกขมสุขเวทนาเป็นสังขารละเอียด สังขารที่สัมปยุตด้วย
สุขเวทนาและทุกขเวทนาเป็นสังขารหยาบ สังขารที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา
เป็นสังขารละเอียด สังขารของผู้ไม่เข้าสมาบัติเป็นสังขารหยาบ สังขารของผู้เข้า
สมาบัติเป็นสังขารละเอียด สังขารที่เป็นอารมณ์ของอาสวะเป็นสังขารหยาบ
สังขารที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะเป็นสังขารละเอียด

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๑ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๑.สุตตันตภาชนีย์ ๔.สังขารขันธ์
พึงทราบสังขารหยาบ สังขารละเอียด โดยอาศัยเทียบเคียงสังขารนั้น ๆ เป็น
ชั้น ๆ ไป
[๒๔] สังขารชั้นต่ำ สังขารชั้นประณีต เป็นไฉน
สังขารที่เป็นอกุศลเป็นสังขารชั้นต่ำ สังขารที่เป็นกุศลและอัพยากฤตเป็น
สังขารชั้นประณีต สังขารที่เป็นกุศลและอกุศลเป็นสังขารชั้นต่ำ สังขารที่เป็น
อัพยากฤตเป็นสังขารชั้นประณีต สังขารที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาเป็นสังขารชั้นต่ำ
สังขารที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาและอทุกขมสุขเวทนาเป็นสังขารชั้นประณีต สังขารที่
สัมปยุตด้วยสุขเวทนาและทุกขเวทนาเป็นสังขารชั้นต่ำ สังขารที่สัมปยุตด้วยอทุกขม-
สุขเวทนาเป็นสังขารชั้นประณีต สังขารของผู้ไม่เข้าสมาบัติเป็นสังขารชั้นต่ำ สังขาร
ของผู้เข้าสมาบัติเป็นสังขารชั้นประณีต สังขารที่เป็นอารมณ์ของอาสวะเป็นสังขาร
ชั้นต่ำ สังขารที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะเป็นสังขารชั้นประณีต
พึงทราบสังขารชั้นต่ำ สังขารชั้นประณีต โดยอาศัยเทียบเคียงสังขารนั้น ๆ
เป็นชั้น ๆ ไป
[๒๕] สังขารไกล เป็นไฉน
สังขารที่เป็นอกุศลเป็นสังขารไกลจากสังขารที่เป็นกุศลและอัพยากฤต สังขาร
ที่เป็นกุศลและอัพยากฤตเป็นสังขารไกลจากสังขารที่เป็นอกุศล สังขารที่เป็นกุศล
เป็นสังขารไกลจากสังขารที่เป็นอกุศลและอัพยากฤต สังขารที่เป็นอกุศลและ
อัพยากฤตเป็นสังขารไกลจากสังขารที่เป็นกุศล สังขารที่เป็นอัพยากฤตเป็นสังขาร
ไกลจากสังขารที่เป็นกุศลและอกุศล สังขารที่เป็นกุศลและอกุศลเป็นสังขารไกลจาก
สังขารที่เป็นอัพยากฤต สังขารที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาเป็นสังขารไกลจากสังขาร
ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาและอทุกขมสุขเวทนา สังขารที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาและ
อทุกขมสุขเวทนาเป็นสังขารไกลจากสังขารที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา สังขารที่
สัมปยุตด้วยสุขเวทนาเป็นสังขารไกลจากสังขารที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาและอทุกขม-
สุขเวทนา สังขารที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาและอทุกขมสุขเวทนาเป็นสังขารไกลจาก
สังขารที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา สังขารที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาเป็นสังขารไกล
จากสังขารที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาและทุกขเวทนา สังขารที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา
และทุกขเวทนาเป็นสังขารไกลจากสังขารที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา สังขารของ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๒ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๑.สุตตันตภาชนีย์ ๕.วิญญาณขันธ์
ผู้ไม่เข้าสมาบัติเป็นสังขารไกลจากสังขารของผู้เข้าสมาบัติ สังขารของผู้เข้าสมาบัติ
เป็นสังขารไกลจากสังขารของผู้ไม่เข้าสมาบัติ สังขารที่เป็นอารมณ์ของอาสวะเป็น
สังขารไกลจากสังขารที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะ สังขารที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะ
เป็นสังขารไกลจากสังขารที่เป็นอารมณ์ของอาสวะ เหล่านี้เรียกว่า สังขารไกล
สังขารใกล้ เป็นไฉน
สังขารที่เป็นอกุศลเป็นสังขารใกล้กับสังขารที่เป็นอกุศล สังขารที่เป็นกุศลเป็น
สังขารใกล้กับสังขารที่เป็นกุศล สังขารที่เป็นอัพยากฤตเป็นสังขารใกล้กับสังขารที่
เป็นอัพยากฤต สังขารที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาเป็นสังขารใกล้กับสังขารที่สัมปยุต
ด้วยทุกขเวทนา สังขารที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาเป็นสังขารใกล้กับสังขารที่สัมปยุต
ด้วยสุขเวทนา สังขารที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาเป็นสังขารใกล้กับสังขารที่
สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา สังขารของผู้ไม่เข้าสมาบัติเป็นสังขารใกล้กับสังขาร
ของผู้ไม่เข้าสมาบัติ สังขารของผู้เข้าสมาบัติเป็นสังขารใกล้กับสังขารของผู้เข้า
สมาบัติ สังขารที่เป็นอารมณ์ของอาสวะเป็นสังขารใกล้กับสังขารที่เป็นอารมณ์ของ
อาสวะ สังขารที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะเป็นสังขารใกล้กับสังขารที่ไม่เป็นอารมณ์
ของอาสวะ เหล่านี้เรียกว่า สังขารใกล้
พึงทราบสังขารไกล สังขารใกล้ โดยอาศัยเทียบเคียงสังขารนั้น ๆ เป็นชั้น ๆ ไป

๕. วิญญาณขันธ์
[๒๖] บรรดาขันธ์ ๕ นั้น วิญญาณขันธ์ เป็นไฉน
วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่ง๑ คือ วิญญาณที่เป็นอดีต วิญญาณที่เป็นอนาคต
วิญญาณที่เป็นปัจจุบัน วิญญาณที่เป็นภายในตน วิญญาณที่เป็นภายนอกตน
วิญญาณหยาบ วิญญาณละเอียด วิญญาณชั้นต่ำ วิญญาณชั้นประณีต วิญญาณไกล
หรือวิญญาณใกล้ ประมวลย่อเข้าเป็นกองเดียวกัน นี้เรียกว่า วิญญาณขันธ์

เชิงอรรถ :
๑ ได้แก่ที่เป็นไปในภูมิ ๔ คือ กามภูมิ รูปภูมิ อรูปภูมิ และโลกุตตรภูมิ (อภิ.วิ.อ. ๒๖/๒๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๓ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๑.สุตตันตภาชนีย์ ๕.วิญญาณขันธ์
[๒๗] ในวิญญาณขันธ์นั้น วิญญาณที่เป็นอดีต เป็นไฉน
วิญญาณใดล่วงไปแล้ว ดับไปแล้ว ปราศจากไปแล้ว แปรไปแล้ว ถึงความดับแล้ว
ถึงความดับสิ้นแล้ว ที่เกิดขึ้นปราศจากไปแล้ว ที่เป็นอดีต สงเคราะห์เข้ากับส่วนอดีต
ได้แก่ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ
และมโนวิญญาณ นี้เรียกว่า วิญญาณที่เป็นอดีต
วิญญาณที่เป็นอนาคต เป็นไฉน
วิญญาณใดยังไม่เกิด ยังไม่เป็น ยังไม่เกิดพร้อม ยังไม่บังเกิด ยังไม่บังเกิด
เฉพาะ ยังไม่ปรากฏ ยังไม่เกิดขึ้น ยังไม่เกิดขึ้นพร้อม ยังไม่ตั้งขึ้น ยังไม่ตั้งขึ้นพร้อม
ที่เป็นอนาคต สงเคราะห์เข้ากับส่วนอนาคต ได้แก่ จักขุวิญญาณ ฯลฯ มโนวิญญาณ
นี้เรียกว่า วิญญาณที่เป็นอนาคต
วิญญาณที่เป็นปัจจุบัน เป็นไฉน
วิญญาณใดเกิดอยู่ เป็นอยู่ เกิดพร้อม บังเกิด บังเกิดเฉพาะ ปรากฏ เกิดขึ้น
เกิดขึ้นพร้อม ตั้งขึ้น ตั้งขึ้นพร้อม ที่เป็นปัจจุบัน สงเคราะห์เข้ากับส่วนปัจจุบัน
ได้แก่ จักขุวิญญาณ ฯลฯ มโนวิญญาณ นี้เรียกว่า วิญญาณที่เป็นปัจจุบัน
[๒๘] วิญญาณที่เป็นภายในตน เป็นไฉน
วิญญาณใด ของสัตว์นั้น ๆ ที่เป็นภายในตน มีเฉพาะตน เกิดในตน มีเฉพาะ
บุคคล ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือ ได้แก่ จักขุวิญญาณ ฯลฯ
มโนวิญญาณ นี้เรียกว่า วิญญาณที่เป็นภายในตน
วิญญาณที่เป็นภายนอกตน เป็นไฉน
วิญญาณใดของสัตว์อื่น ของบุคคลอื่นนั้น ๆ ที่เป็นภายในตน มีเฉพาะตน
เกิดในตน มีเฉพาะบุคคล ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือ ได้แก่
จักขุวิญญาณ ฯลฯ มโนวิญญาณ นี้เรียกว่า วิญญาณที่เป็นภายนอกตน
[๒๙] วิญญาณหยาบ วิญญาณละเอียด เป็นไฉน
วิญญาณที่เป็นอกุศลเป็นวิญญาณหยาบ วิญญาณที่เป็นกุศลและอัพยากฤต
เป็นวิญญาณละเอียด วิญญาณที่เป็นกุศลและอกุศลเป็นวิญญาณหยาบ วิญญาณที่
เป็นอัพยากฤตเป็นวิญญาณละเอียด วิญญาณที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาเป็นวิญญาณ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๔ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๑.สุตตันตภาชนีย์ ๕.วิญญาณขันธ์
หยาบ วิญญาณที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาและอทุกขมสุขเวทนาเป็นวิญญาณละเอียด
วิญญาณที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาและทุกขเวทนาเป็นวิญญาณหยาบ วิญญาณที่
สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาเป็นวิญญาณละเอียด วิญญาณของผู้ไม่เข้าสมาบัติเป็น
วิญญาณหยาบ วิญญาณของผู้เข้าสมาบัติเป็นวิญญาณละเอียด วิญญาณที่เป็น
อารมณ์ของอาสวะเป็นวิญญาณหยาบ วิญญาณที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะเป็น
วิญญาณละเอียด
พึงทราบวิญญาณหยาบ วิญญาณละเอียด โดยอาศัยเทียบเคียงวิญญาณนั้น ๆ
เป็นชั้น ๆ ไป
[๓๐] วิญญาณชั้นต่ำ วิญญาณชั้นประณีต เป็นไฉน
วิญญาณที่เป็นอกุศลเป็นวิญญาณชั้นต่ำ วิญญาณที่เป็นกุศลและอัพยากฤต
เป็นวิญญาณชั้นประณีต วิญญาณที่เป็นกุศลและอกุศลเป็นวิญญาณชั้นต่ำ วิญญาณ
ที่เป็นอัพยากฤตเป็นวิญญาณชั้นประณีต วิญญาณที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาเป็น
วิญญาณชั้นต่ำ วิญญาณที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาและอทุกขมสุขเวทนาเป็นวิญญาณ
ชั้นประณีต วิญญาณที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาและทุกขเวทนาเป็นวิญญาณชั้นต่ำ
วิญญาณที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาเป็นวิญญาณชั้นประณีต วิญญาณของผู้ไม่
เข้าสมาบัติเป็นวิญญาณชั้นต่ำ วิญญาณของผู้เข้าสมาบัติเป็นวิญญาณชั้นประณีต
วิญญาณที่เป็นอารมณ์ของอาสวะเป็นวิญญาณชั้นต่ำ วิญญาณที่ไม่เป็นอารมณ์ของ
อาสวะเป็นวิญญาณชั้นประณีต
พึงทราบวิญญาณชั้นต่ำ วิญญาณชั้นประณีต โดยอาศัยเทียบเคียงวิญญาณ
นั้น ๆ เป็นชั้น ๆ ไป
[๓๑] วิญญาณไกล เป็นไฉน
วิญญาณที่เป็นอกุศลเป็นวิญญาณไกลจากวิญญาณที่เป็นกุศลและอัพยากฤต
วิญญาณที่เป็นกุศลและอัพยากฤตเป็นวิญญาณไกลจากวิญญาณที่เป็นอกุศล วิญญาณ
ที่เป็นกุศลเป็นวิญญาณไกลจากวิญญาณที่เป็นอกุศลและอัพยากฤต วิญญาณที่เป็น
อกุศลและอัพยากฤตเป็นวิญญาณไกลจากวิญญาณที่เป็นกุศล วิญญาณที่เป็น
อัพยากฤตเป็นวิญญาณไกลจากวิญญาณที่เป็นกุศลและอกุศล วิญญาณที่เป็นกุศล
และอกุศลเป็นวิญญาณไกลจากวิญญาณที่เป็นอัพยากฤต วิญญาณที่สัมปยุตด้วย

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๕ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๑.สุตตันตภาชนีย์ ๕.วิญญาณขันธ์
ทุกขเวทนาเป็นวิญญาณไกลจากวิญญาณที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา และอทุกขมสุขเวทนา
วิญญาณที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาและอทุกขมสุขเวทนาเป็นวิญญาณไกลจากวิญญาณ
ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา วิญญาณที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาเป็นวิญญาณไกลจาก
วิญญาณที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาและอทุกขมสุขเวทนา วิญญาณที่สัมปยุตด้วย
ทุกขเวทนาและอทุกขมสุขเวทนาเป็นวิญญาณไกลจากวิญญาณที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา
วิญญาณที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาเป็นวิญญาณไกลจากวิญญาณที่สัมปยุตด้วย
สุขเวทนาและทุกขเวทนา วิญญาณที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาและทุกขเวทนาเป็นวิญญาณ
ไกลจากวิญญาณที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา วิญญาณของผู้ไม่เข้าสมาบัติเป็น
วิญญาณไกลจากวิญญาณของผู้เข้าสมาบัติ วิญญาณของผู้เข้าสมาบัติเป็นวิญญาณ
ไกลจากวิญญาณของผู้ไม่เข้าสมาบัติ วิญญาณที่เป็นอารมณ์ของอาสวะเป็นวิญญาณ
ไกลจากวิญญาณที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะ วิญญาณที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะ
เป็นวิญญาณไกลจากวิญญาณที่เป็นอารมณ์ของอาสวะ นี้เรียกว่า วิญญาณไกล
วิญญาณใกล้ เป็นไฉน
วิญญาณที่เป็นอกุศลเป็นวิญญาณใกล้กับวิญญาณที่เป็นอกุศล วิญญาณที่เป็น
กุศลเป็นวิญญาณใกล้กับวิญญาณที่เป็นกุศล วิญญาณที่เป็นอัพยากฤตเป็นวิญญาณ
ใกล้กับวิญญาณที่เป็นอัพยากฤต วิญญาณที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาเป็นวิญญาณ
ใกล้กับวิญญาณที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา วิญญาณที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาเป็น
วิญญาณใกล้กับวิญญาณที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา วิญญาณที่สัมปยุตด้วยอทุกขม-
สุขเวทนาเป็นวิญญาณใกล้กับวิญญาณที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา วิญญาณ
ของผู้ไม่เข้าสมาบัติเป็นวิญญาณใกล้กับวิญญาณของผู้ไม่เข้าสมาบัติ วิญญาณของผู้
เข้าสมาบัติเป็นวิญญาณใกล้กับวิญญาณของผู้เข้าสมาบัติ วิญญาณที่เป็นอารมณ์
ของอาสวะเป็นวิญญาณใกล้กับวิญญาณที่เป็นอารมณ์ของอาสวะ วิญญาณที่ไม่เป็น
อารมณ์ของอาสวะเป็นวิญญาณใกล้กับวิญญาณที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะ นี้เรียก
ว่า วิญญาณใกล้
พึงทราบวิญญาณไกล วิญญาณใกล้ โดยอาศัยเทียบเคียงวิญญาณนั้น ๆ เป็น
ชั้น ๆ ไป
สุตตันตภาชนีย์ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๖ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๑.รูปขันธ์
๒. อภิธรรมภาชนีย์
[๓๒] ขันธ์ ๕ คือ

๑. รูปขันธ์ (กองรูป)
๒. เวทนาขันธ์ (กองเวทนา)
๓. สัญญาขันธ์ (กองสัญญา)
๔. สังขารขันธ์ (กองสังขาร)
๕. วิญญาณขันธ์ (กองวิญญาณ)

๑. รูปขันธ์
[๓๓] บรรดาขันธ์ ๕ นั้น รูปขันธ์ เป็นไฉน
รูปขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ รูปทั้งหมด ไม่เป็นเหตุ ไม่มีเหตุ วิปปยุตจากเหตุ
มีปัจจัยปรุงแต่ง ถูกปัจจัยปรุงแต่ง เป็นรูป เป็นโลกิยะ เป็นอารมณ์ของอาสวะ เป็น
อารมณ์ของสังโยชน์ เป็นอารมณ์ของคันถะ เป็นอารมณ์ของโอฆะ เป็นอารมณ์ของ
โยคะ เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ เป็นอารมณ์ของปรามาส เป็นอารมณ์ของอุปาทาน
เป็นอารมณ์ของกิเลส เป็นอัพยากฤต รับรู้อารมณ์ไม่ได้ ไม่เป็นเจตสิก วิปปยุตจาก
จิต ไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบาก กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองแต่เป็นอารมณ์
ของกิเลส ไม่ใช่มีทั้งวิตกและวิจาร ไม่ใช่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร
ไม่สหรคตด้วยปีติ ไม่สหรคตด้วยสุข ไม่สหรคตด้วยอุเบกขา ไม่ต้องประหาณด้วย
โสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ ไม่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและ
มรรคเบื้องบน ๓ ไม่เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิ จุติ และนิพพาน ไม่เป็นของเสขบุคคล
และอเสขบุคคล เป็นปริตตะ เป็นกามาวจร ไม่เป็นรูปาวจร ไม่เป็นอรูปาวจร นับ
เนื่องในวัฏฏทุกข์ ไม่ใช่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ เป็นสภาวะไม่แน่นอน ไม่เป็นเหตุ
นำออกจากวัฏฏทุกข์ เป็นธรรมที่เกิดขึ้น อันวิญญาณ ๖ รู้ได้ เป็นของไม่เที่ยง ถูก
ชราครอบงำ๑
รูปขันธ์หมวดละ ๑ มีด้วยอาการอย่างนี้๒

เชิงอรรถ :
๑ นับเนื่องในวัฏฏะที่เป็นไปในภูมิ ๓ คือ กามภูมิ รูปภูมิ และอรูปภูมิ (อภิ.สงฺ.อ. ๘๓-๑๐๐/๙๗)
๒ อภิ.สงฺ. ๓๔/๕๘๔/๑๖๘-๑๖๙,๕๙๔/๑๘๑

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๗ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๑.รูปขันธ์
ทุกนัย
ปกิณณกทุกะ
รูปขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ รูปที่เป็นอุปาทายรูปก็มี ที่ไม่เป็นอุปาทายรูปก็มี
รูปที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือก็มี๑ ที่กรรมอันประกอบด้วย
ตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือก็มี
รูปที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือและเป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี
ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี
รูปที่เห็นได้ก็มี ที่เห็นไม่ได้ก็มี
รูปที่กระทบได้ก็มี ที่กระทบไม่ได้ก็มี
รูปที่เป็นอินทรีย์ก็มี ที่ไม่เป็นอินทรีย์ก็มี
รูปที่เป็นมหาภูตรูปก็มี ที่ไม่เป็นมหาภูตรูปก็มี
รูปที่เป็นวิญญัตติรูปก็มี ที่ไม่เป็นวิญญัตติรูปก็มี
รูปที่มีจิตเป็นสมุฏฐานก็มี ที่ไม่มีจิตเป็นสมุฏฐานก็มี
รูปที่เกิดพร้อมกับจิตก็มี ที่ไม่เกิดพร้อมกับจิตก็มี
รูปที่เป็นไปตามจิตก็มี ที่ไม่เป็นไปตามจิตก็มี
รูปที่เป็นภายในก็มี ที่เป็นภายนอกก็มี
รูปที่หยาบก็มี ที่ละเอียดก็มี
รูปที่ไกลก็มี ที่ใกล้ก็มี ฯลฯ
รูปที่เป็นกวฬิงการาหารก็มี ที่ไม่เป็นกวฬิงการาหารก็มี๒
รูปขันธ์หมวดละ ๒ มีด้วยอาการอย่างนี้๓
(ในที่นี้ก็พึงจำแนกรูปขันธ์ที่เหลือเหมือนในรูปกัณฑ์)
สุขุมรูปทุกะ จบ

เชิงอรรถ :
๑ ตรงกับคำบาลีว่า อุปาทินฺน (อภิ.สงฺ.อ. ๔/๙๐)
๒ คำว่า กวฬิงการาหาร หมายถึงอาหารที่ทำเป็นคำกลืนกิน (อภิ.สงฺ.อ. ๖๔๕/๓๘๘)
๓ อภิ.สงฺ. ๓๔/๕๘๔/๑๖๘-๑๗๑

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๘ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๑.รูปขันธ์
ติกนัย
ปกิณณกติกะ
อัชฌัตติกอุปาทาติกะ
รูปขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ รูปที่เป็นภายในเป็นอุปาทายรูป รูปที่เป็นภาย
นอกที่เป็นอุปาทายรูปก็มี ที่ไม่เป็นอุปาทายรูปก็มี

อัชฌัตติกอุปาทินนติกะ
รูปที่เป็นภายในเป็นรูปที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือ รูปที่เป็น
ภายนอกที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือก็มี ที่กรรมอันประกอบด้วย
ตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือก็มี
รูปที่เป็นภายในเป็นรูปที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือและเป็น
อารมณ์ของอุปาทาน รูปที่เป็นภายนอกที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึด
ถือและเป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือ
แต่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี

ฯลฯ
รูปที่เป็นภายในไม่เป็นกวฬิงการาหาร รูปที่เป็นภายนอกที่เป็นกวฬิงการาหาร
ก็มี ที่ไม่เป็นกวฬิงการาหารก็มี๑
รูปขันธ์หมวดละ ๓ มีด้วยอาการอย่างนี้

สุขุมรูปติกะ จบ

เชิงอรรถ :
๑ อภิ.สงฺ. ๓๔/๕๘๕/๑๗๑-๑๗๖

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๙ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๑.รูปขันธ์
จตุกกนัย
อุปาทินนจตุกกะ
รูปขันธ์หมวดละ ๔ ได้แก่ รูปที่เป็นอุปาทายรูป ที่กรรมอันประกอบด้วย
ตัณหาและทิฏฐิยึดถือก็มี ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือก็มี รูปที่
ไม่เป็นอุปาทายรูป ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือก็มี ที่กรรมอัน
ประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือก็มี

อุปาทาอุปาทินนุปาทานิยจตุกกะ
รูปที่เป็นอุปาทายรูปที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือและเป็น
อารมณ์ของอุปาทานก็มี ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือแต่เป็น
อารมณ์ของอุปาทานก็มี รูปที่ไม่เป็นอุปาทายรูปที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและ
ทิฏฐิยึดถือและเป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิ
ไม่ยึดถือแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี

อุปาทาสัปปฏิฆจตุกกะ
รูปที่เป็นอุปาทายรูปที่กระทบได้ก็มี ที่กระทบไม่ได้ก็มี รูปที่ไม่เป็นอุปาทายรูป
ที่กระทบได้ก็มี ที่กระทบไม่ได้ก็มี

อุปาทาโอฬาริกจตุกกะ
รูปที่เป็นอุปาทายรูปที่เป็นรูปหยาบก็มี ที่เป็นรูปละเอียดก็มี รูปที่ไม่เป็น
อุปาทายรูปที่เป็นรูปหยาบก็มี ที่เป็นรูปละเอียดก็มี

อุปาทาทูเรจตุกกะ
รูปที่เป็นอุปาทายรูปที่เป็นรูปไกลก็มี ที่เป็นรูปใกล้ก็มี รูปที่ไม่เป็นอุปาทายรูป
ที่เป็นรูปไกลก็มี ที่เป็นรูปใกล้ก็มี
ฯลฯ

ทิฏฐาทิจตุกกะ
รูปเป็นรูปที่เห็นได้ เป็นรูปที่สดับได้ เป็นรูปที่รู้ได้ เป็นรูปที่รู้แจ้งได้
รูปขันธ์หมวดละ ๔ มีด้วยอาการอย่างนี้๑

เชิงอรรถ :
๑ อภิ.สงฺ. ๓๔/๕๘๖/๑๗๖-๑๗๘

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๒๐ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๑.รูปขันธ์
ปัญจกนัย
รูปขันธ์หมวดละ ๕ ได้แก่ รูปที่เป็นปฐวีธาตุ รูปที่เป็นอาโปธาตุ รูปที่เป็น
เตโชธาตุ รูปที่เป็นวาโยธาตุ รูปที่เป็นอุปาทายรูป
รูปขันธ์หมวดละ ๕ มีด้วยอาการอย่างนี้๑

ฉักกนัย
รูปขันธ์หมวดละ ๖ ได้แก่ รูปที่จักขุวิญญาณรู้ได้ รูปที่โสตวิญญาณรู้ได้ รูปที่
ฆานวิญญาณรู้ได้ รูปที่ชิวหาวิญญาณรู้ได้ รูปที่กายวิญญาณรู้ได้ รูปที่มโนวิญญาณ
รู้ได้
รูปขันธ์หมวดละ ๖ มีด้วยอาการอย่างนี้๒

สัตตกนัย
รูปขันธ์หมวดละ ๗ ได้แก่ รูปที่จักขุวิญญาณรู้ได้ ฯลฯ รูปที่มโนธาตุรู้ได้
รูปที่มโนวิญญาณธาตุรู้ได้
รูปขันธ์หมวดละ ๗ มีด้วยอาการอย่างนี้๓

อัฏฐกนัย
รูปขันธ์หมวดละ ๘ ได้แก่ รูปที่จักขุวิญญาณรู้ได้ ฯลฯ รูปที่กายวิญญาณ
รู้ได้ ที่มีสัมผัสเป็นสุขก็มี ที่มีสัมผัสเป็นทุกข์ก็มี รูปที่มโนธาตุรู้ได้ รูปที่มโน-
วิญาณธาตุรู้ได้
รูปขันธ์หมวดละ ๘ มีด้วยอาการอย่างนี้๔

เชิงอรรถ :
๑ อภิ.สงฺ. ๓๔/๕๘๗/๑๗๘ ๒ อภิ.สงฺ. ๓๔/๕๘๘/๑๗๙
๓ อภิ.สงฺ. ๓๔/๕๘๙/๑๗๙ ๔ อภิ.สงฺ. ๓๔/๕๙๐/๑๗๙

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๒๑ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๒.เวทนาขันธ์
นวกนัย
รูปขันธ์หมวดละ ๙ ได้แก่ รูปที่เป็นจักขุนทรีย์ โสตินทรีย์ ฆานินทรีย์
ชิวหินทรีย์ กายินทรีย์ อิตถินทรีย์ ปุริสินทรีย์ ชีวิตินทรีย์ และรูปที่ไม่เป็นอินทรีย์
รูปขันธ์หมวดละ ๙ มีด้วยอาการอย่างนี้๑

ทสกนัย
รูปขันธ์หมวดละ ๑๐ ได้แก่ รูปที่เป็นจักขุนทรีย์ ฯลฯ ชีวิตินทรีย์ และรูป
ที่ไม่เป็นอินทรีย์ ที่กระทบได้ก็มี ที่กระทบไม่ได้ก็มี
รูปขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้๒

เอกาทสกนัย
รูปขันธ์หมวดละ ๑๑ ได้แก่ รูปที่เป็นจักขายตนะ โสตายตนะ ฆานายตนะ
ชิวหายตนะ กายายตนะ รูปายตนะ สัททายตนะ คันธายตนะ รสายตนะ
โผฏฐัพพายตนะ และรูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้ ซึ่งนับเนื่องในธัมมายตนะ
รูปขันธ์หมวดละ ๑๑ มีด้วยอาการอย่างนี้๓
นี้เรียกว่า รูปขันธ์

๒. เวทนาขันธ์
ทุกมูลกวาร
[๓๔] บรรดาขันธ์ ๕ นั้น เวทนาขันธ์ เป็นไฉน
เวทนาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่มีเหตุก็มี ที่ไม่มีเหตุก็มี

เชิงอรรถ :
๑ อภิ.สงฺ. ๓๔/๕๙๑/๑๘๐ ๒ อภิ.สงฺ. ๓๔/๕๙๒/๑๘๐
๓ อภิ.สงฺ. ๓๔/๕๙๓/๑๘๐

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๒๒ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๒.เวทนาขันธ์
เวทนาขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอกุศลก็มี
ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
เวทนาขันธ์หมวดละ ๔ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่เป็นกามาวจรก็มี ที่เป็น
รูปาวจรก็มี ที่เป็นอรูปาวจรก็มี ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี
เวทนาขันธ์หมวดละ ๕ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่เป็นสุขินทรีย์ก็มี ที่เป็น
ทุกขินทรีย์ก็มี ที่เป็นโสมนัสสินทรีย์ก็มี ที่เป็นโทมนัสสินทรีย์ก็มี ที่เป็นอุเปกขินทรีย์
ก็มี
เวทนาขันธ์หมวดละ ๕ มีด้วยอาการอย่างนี้
เวทนาขันธ์หมวดละ ๖ ได้แก่ เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส เวทนาที่เกิดแต่
โสตสัมผัส เวทนาที่เกิดแต่ฆานสัมผัส เวทนาที่เกิดแต่ชิวหาสัมผัส เวทนาที่เกิด
แต่กายสัมผัส เวทนาที่เกิดแต่มโนสัมผัส๑
เวทนาขันธ์หมวดละ ๖ มีด้วยอาการอย่างนี้
เวทนาขันธ์หมวดละ ๗ ได้แก่ เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส ฯลฯ เวทนาที่เกิด
แต่กายสัมผัส เวทนาที่เกิดแต่มโนธาตุสัมผัส เวทนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุ-
สัมผัส
เวทนาขันธ์หมวดละ ๗ มีด้วยอาการอย่างนี้
เวทนาขันธ์หมวดละ ๘ ได้แก่ เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส ฯลฯ เวทนาที่
เกิดแต่กายสัมผัส ที่เป็นสุขก็มี ที่เป็นทุกข์ก็มี เวทนาที่เกิดแต่มโนธาตุสัมผัส
เวทนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส
เวทนาขันธ์หมวดละ ๘ มีด้วยอาการอย่างนี้
เวทนาขันธ์หมวดละ ๙ ได้แก่ เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส ฯลฯ เวทนา
ที่เกิดแต่กายสัมผัส เวทนาที่เกิดแต่มโนธาตุสัมผัส เวทนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณ-
ธาตุสัมผัส ที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอกุศลก็มี ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
เวทนาขันธ์หมวดละ ๙ มีด้วยอาการอย่างนี้

เชิงอรรถ :
๑ ที.ปา. ๑๑/๓๒๓/๒๑๕, ม.มู. ๑๒/๙๗/๗๐, สํ.นิ. ๑๖/๒/๓, สํ.ข. ๑๗/๕๖/๔๙

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๒๓ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๒.เวทนาขันธ์
เวทนาขันธ์หมวดละ ๑๐ ได้แก่ เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส ฯลฯ เวทนา
ที่เกิดแต่กายสัมผัส ที่เป็นสุขก็มี ที่เป็นทุกข์ก็มี เวทนาที่เกิดแต่มโนธาตุสัมผัส
เวทนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอกุศลก็มี ที่เป็น
อัพยากฤตก็มี
เวทนาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๓๕] เวทนาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่มีเหตุก็มี ที่ไม่มีเหตุก็มี
เวทนาขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่เป็นวิบากก็มี ที่เป็นเหตุให้เกิด
วิบากก็มี ที่ไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี
เวทนาขันธ์ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือและเป็นอารมณ์ของ
อุปาทานก็มี ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือแต่เป็นอารมณ์ของ
อุปาทานก็มี ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือและไม่เป็นอารมณ์
ของอุปาทานก็มี
เวทนาขันธ์ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองและเป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี ที่กิเลสไม่
ทำให้เศร้าหมองแต่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี ที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองและไม่เป็น
อารมณ์ของกิเลสก็มี
เวทนาขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารก็มี ที่ไม่มีทั้งวิตก
และวิจารก็มี
เวทนาขันธ์ที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี๑ ที่ต้องประหาณด้วยมรรค
เบื้องบน ๓ ก็มี๒ ที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี
เวทนาขันธ์ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี ที่มีเหตุต้องประหาณ
ด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี ที่ไม่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรค
เบื้องบน ๓ ก็มี

เชิงอรรถ :
๑ ตรงกับบาลีว่า ทสฺสเนน ปหาตพฺพ หมายถึงธรรมที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค (อภิ.สงฺ.อ. ๘/๙๐)
๒ ตรงกับบาลีว่า ภาวนาย ปหาตพฺพ หมายถึงธรรมที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ (อภิ.สงฺ.อ. ๘/๙๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๒๔ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๒.เวทนาขันธ์
เวทนาขันธ์ที่เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิและจุติก็มี๑ ที่เป็นเหตุให้ถึงนิพพานก็มี๒ ที่
ไม่เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิ จุติ และนิพพานก็มี
เวทนาขันธ์ที่เป็นของเสขบุคคลก็มี ที่เป็นของอเสขบุคคลก็มี ที่ไม่เป็นของ
เสขบุคคลและอเสขบุคคลก็มี
เวทนาขันธ์ที่เป็นปริตตะ(กามาวจร)ก็มี ที่เป็นมหัคคตะ(รูปาวจรและอรูปาวจร)
ก็มี ที่เป็นอัปปมาณะ(โลกุตตระ)ก็มี
เวทนาขันธ์ที่มีปริตตะเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีมหัคคตะเป็นอารมณ์ก็มี ที่มี
อัปปมาณะเป็นอารมณ์ก็มี
เวทนาขันธ์ที่เป็นชั้นต่ำก็มี ที่เป็นชั้นกลางก็มี ที่เป็นชั้นประณีตก็มี
เวทนาขันธ์ที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนก็มี ที่มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอน
ก็มี ที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองนั้นก็มี
เวทนาขันธ์ที่มีมรรคเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีมรรคเป็นเหตุก็มี ที่มีมรรคเป็นอธิบดี
ก็มี
เวทนาขันธ์ที่เกิดขึ้นก็มี ที่ยังไม่เกิดขึ้นก็มี ที่จักเกิดขึ้นแน่นอนก็มี๓
เวทนาขันธ์ที่เป็นอดีตก็มี ที่เป็นอนาคตก็มี ที่เป็นปัจจุบันก็มี
เวทนาขันธ์ที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์ก็มี ที่มี
ปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์ก็มี
เวทนาขันธ์ที่เป็นภายในตนก็มี ที่เป็นภายนอกตนก็มี ที่เป็นภายในตนและ
ภายนอกตนก็มี
เวทนาขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์
ก็มี ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี
ฯลฯ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้

เชิงอรรถ :
๑ ตรงกับบาลีว่า อาจยคามิ หมายถึงธรรมเป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิและจุติ (อภิ.สงฺ.อ. ๑๐/๙๑)
๒ ตรงกับบาลีว่า อปจยคามิ หมายถึงธรรมที่เป็นเหตุให้ถึงนิพพาน (อภิ.สงฺ.อ. ๑๐/๙๑)
๓ อภิ.สงฺ.อ. ๑๗/๙๓

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๒๕ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๒.เวทนาขันธ์
[๓๖] เวทนาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยเหตุก็มี ที่วิปปยุต
จากเหตุก็มี
เวทนาขันธ์ที่ไม่เป็นเหตุแต่มีเหตุก็มี ที่ไม่เป็นเหตุและไม่มีเหตุก็มี
เวทนาขันธ์ที่เป็นโลกิยะก็มี ที่เป็นโลกุตตระก็มี
เวทนาขันธ์ที่จิตบางดวงรู้ได้ก็มี ที่จิตบางดวงรู้ไม่ได้ก็มี
เวทนาขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี ที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี
เวทนาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอาสวะก็มี ที่วิปปยุตจากอาสวะก็มี
เวทนาขันธ์ที่วิปปยุตจากอาสวะแต่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี ที่วิปปยุตจาก
อาสวะและไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี
เวทนาขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี ที่ไม่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี
เวทนาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์ก็มี ที่วิปปยุตจากสังโยชน์ก็มี
เวทนาขันธ์ที่วิปปยุตจากสังโยชน์แต่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี ที่วิปปยุตจาก
สังโยชน์และไม่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี
เวทนาขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี ที่ไม่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี
เวทนาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยคันถะก็มี ที่วิปปยุตจากคันถะก็มี
เวทนาขันธ์ที่วิปปยุตจากคันถะแต่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี ที่วิปปยุตจาก
คันถะและไม่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี
เวทนาขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของโอฆะก็มี ที่ไม่เป็นอารมณ์ของโอฆะก็มี
เวทนาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยโอฆะก็มี ที่วิปปยุตจากโอฆะก็มี
เวทนาขันธ์ที่วิปปยุตจากโอฆะแต่เป็นอารมณ์ของโอฆะก็มี ที่วิปปยุตจากโอฆะ
และไม่เป็นอารมณ์ของโอฆะก็มี
เวทนาขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของโยคะก็มี ที่ไม่เป็นอารมณ์ของโยคะก็มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๒๖ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๒.เวทนาขันธ์
เวทนาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยโยคะก็มี ที่วิปปยุตจากโยคะก็มี
เวทนาขันธ์ที่วิปปยุตจากโยคะแต่เป็นอารมณ์ของโยคะก็มี ที่วิปปยุตจากโยคะ
และไม่เป็นอารมณ์ของโยคะก็มี
เวทนาขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี ที่ไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี
เวทนาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยนิวรณ์ก็มี ที่วิปปยุตจากนิวรณ์ก็มี
เวทนาขันธ์ที่วิปปยุตจากนิวรณ์แต่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี ที่วิปปยุตจาก
นิวรณ์และไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี
เวทนาขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี ที่ไม่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี
เวทนาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยปรามาสก็มี ที่วิปปยุตจากปรามาสก็มี
เวทนาขันธ์ที่วิปปยุตจากปรามาสแต่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี ที่วิปปยุต
จากปรามาสและไม่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี
เวทนาขันธ์ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือก็มี ที่กรรมอัน
ประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือก็มี
เวทนาขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี ที่ไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี
เวทนาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอุปาทานก็มี ที่วิปปยุตจากอุปาทานก็มี
เวทนาขันธ์ที่วิปปยุตจากอุปาทานแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี ที่วิปปยุต
จากอุปาทานและไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี
เวทนาขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี ที่ไม่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี
เวทนาขันธ์ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองก็มี ที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองก็มี
เวทนาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยกิเลสก็มี ที่วิปปยุตจากกิเลสก็มี
เวทนาขันธ์ที่วิปปยุตจากกิเลสแต่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี ที่วิปปยุตจากกิเลส
และไม่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี
เวทนาขันธ์ที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี ที่ไม่ต้องประหาณด้วย
โสดาปัตติมรรคก็มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๒๗ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๒.เวทนาขันธ์
เวทนาขันธ์ที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี ที่ไม่ต้องประหาณด้วย
มรรคเบื้องบน ๓ ก็มี
เวทนาขันธ์ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี ที่ไม่มีเหตุต้อง
ประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี
เวทนาขันธ์ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี ที่ไม่มีเหตุต้อง
ประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี
เวทนาขันธ์ที่มีวิตกก็มี ที่ไม่มีวิตกก็มี
เวทนาขันธ์ที่มีวิจารก็มี ที่ไม่มีวิจารก็มี
เวทนาขันธ์ที่มีปีติก็มี ที่ไม่มีปีติก็มี
เวทนาขันธ์ที่สหรคตด้วยปีติก็มี ที่ไม่สหรคตด้วยปีติก็มี
เวทนาขันธ์ที่เป็นกามาวจรก็มี ที่ไม่เป็นกามาวจรก็มี
เวทนาขันธ์ที่เป็นรูปาวจรก็มี ที่ไม่เป็นรูปาวจรก็มี
เวทนาขันธ์ที่เป็นอรูปาวจรก็มี ที่ไม่เป็นอรูปาวจรก็มี
เวทนาขันธ์ที่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี
เวทนาขันธ์ที่เป็นเหตุนำออกจากวัฏฏทุกข์ก็มี ที่ไม่เป็นเหตุนำออกจากวัฏฏ-
ทุกข์ก็มี
เวทนาขันธ์ที่ให้ผลแน่นอนก็มี ที่ให้ผลไม่แน่นอนก็มี
เวทนาขันธ์ที่มีธรรมอื่นยิ่งกว่าก็มี ที่ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่าก็มี
เวทนาขันธ์ที่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี ที่ไม่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี๑
เวทนาขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอกุศลก็มี ที่
เป็นอัพยากฤตก็มี
ฯลฯ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้

เชิงอรรถ :
๑ อภิ.สงฺ.อ. ๘๓-๑๐๐/๙๘

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๒๘ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๒.เวทนาขันธ์
[๓๗] เวทนาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี ที่ไม่
เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี
เวทนาขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่เป็นวิบากก็มี ที่เป็นเหตุให้เกิด
วิบากก็มี ที่ไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี
เวทนาขันธ์ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือและเป็นอารมณ์ของ
อุปาทานก็มี
ฯลฯ
เวทนาขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายนอกตนเป็น
อารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี
ฯลฯ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
ทุกมูลกวาร จบ

ติกมูลกวาร
[๓๘] เวทนาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่มีเหตุก็มี ที่ไม่มีเหตุก็มี
เวทนาขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอกุศลก็มี
ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
ฯลฯ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๓๙] เวทนาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยเหตุก็มี ที่วิปปยุต
จากเหตุก็มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๒๙ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๒.เวทนาขันธ์
เวทนาขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอกุศลก็มี ที่
เป็นอัพยากฤตก็มี
ฯลฯ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๔๐] เวทนาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่ไม่เป็นเหตุแต่มีเหตุก็มี ที่ไม่เป็น
เหตุและไม่มีเหตุก็มี๑
เวทนาขันธ์ที่เป็นโลกิยะก็มี ที่เป็นโลกุตตระก็มี
เวทนาขันธ์ที่จิตบางดวงรู้ได้ก็มี ที่จิตบางดวงรู้ไม่ได้ก็มี
เวทนาขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี ที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี
เวทนาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอาสวะก็มี ที่วิปปยุตจากอาสวะก็มี
เวทนาขันธ์ที่วิปปยุตจากอาสวะแต่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี ที่วิปปยุตจาก
อาสวะและไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี
ฯลฯ
เวทนาขันธ์ที่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี ที่ไม่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี
เวทนาขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอกุศลก็มี ที่
เป็นอัพยากฤตก็มี
ฯลฯ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๔๑] เวทนาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่มีเหตุก็มี ที่ไม่มีเหตุก็มี
เวทนาขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่เป็นวิบากก็มี ที่เป็นเหตุให้
เกิดวิบากก็มี ที่ไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี

เชิงอรรถ :
๑ เวทนาที่อยู่ในอเหตุกจิต ๑๘ นั้น เวทนาไม่เป็นเหตุและไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วย (อภิธัมมัตถสังคหะ)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๓๐ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๒.เวทนาขันธ์
เวทนาขันธ์ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือและเป็นอารมณ์ของ
อุปาทานก็มี ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือแต่เป็นอารมณ์ของ
อุปาทานก็มี ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือและไม่เป็นอารมณ์ของ
อุปาทานก็มี
เวทนาขันธ์ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองและเป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี ที่กิเลสไม่
ทำให้เศร้าหมองแต่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี ที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองและไม่เป็น
อารมณ์ของกิเลสก็มี
เวทนาขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารก็มี ที่ไม่มีทั้งวิตก
และวิจารก็มี
เวทนาขันธ์ที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี ที่ต้องประหาณด้วยมรรค
เบื้องบน ๓ ก็มี ที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี
เวทนาขันธ์ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี ที่มีเหตุต้องประหาณ
ด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี ที่ไม่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรค
เบื้องบน ๓ ก็มี
เวทนาขันธ์ที่เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิและจุติก็มี ที่เป็นเหตุให้ถึงนิพพานก็มี ที่ไม่
เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิ จุติ และนิพพานก็มี
เวทนาขันธ์ที่เป็นของเสขบุคคลก็มี ที่เป็นของอเสขบุคคลก็มี ที่ไม่เป็นของ
เสขบุคคลและอเสขบุคคลก็มี
เวทนาขันธ์ที่เป็นปริตตะก็มี ที่เป็นมหัคคตะก็มี ที่เป็นอัปปมาณะก็มี
เวทนาขันธ์ที่มีปริตตะเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีมหัคคตะเป็นอารมณ์ก็มี ที่มี
อัปปมาณะเป็นอารมณ์ก็มี
เวทนาขันธ์ที่เป็นชั้นต่ำก็มี ที่เป็นชั้นกลางก็มี ที่เป็นชั้นประณีตก็มี
เวทนาขันธ์ที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนก็มี ที่มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอน
ก็มี ที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองนั้นก็มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๓๑ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๒.เวทนาขันธ์
เวทนาขันธ์ที่มีมรรคเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีมรรคเป็นเหตุก็มี ที่มีมรรคเป็น
อธิบดีก็มี
เวทนาขันธ์ที่เกิดขึ้นก็มี ที่ยังไม่เกิดขึ้นก็มี ที่จักเกิดขึ้นแน่นอนก็มี
เวทนาขันธ์ที่เป็นอดีตก็มี ที่เป็นอนาคตก็มี ที่เป็นปัจจุบันก็มี
เวทนาขันธ์ที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์ก็มี ที่มี
ปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์ก็มี
เวทนาขันธ์ที่เป็นภายในตนก็มี ที่เป็นภายนอกตนก็มี ที่เป็นภายในตนและ
ภายนอกตนก็มี
เวทนาขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์
ก็มี ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี
ฯลฯ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๔๒] เวทนาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยเหตุก็มี ที่วิปปยุตจาก
เหตุก็มี
เวทนาขันธ์ที่ไม่เป็นเหตุแต่มีเหตุก็มี ที่ไม่เป็นเหตุและไม่มีเหตุก็มี
เวทนาขันธ์ที่เป็นโลกิยะก็มี ที่เป็นโลกุตตระก็มี
เวทนาขันธ์ที่จิตบางดวงรู้ได้ก็มี ที่จิตบางดวงรู้ไม่ได้ก็มี
เวทนาขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี ที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี
เวทนาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอาสวะก็มี ที่วิปปยุตจากอาสวะก็มี
เวทนาขันธ์ที่วิปปยุตจากอาสวะแต่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี ที่วิปปยุตจาก
อาสวะและไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี
เวทนาขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี ที่ไม่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี
ฯลฯ
เวทนาขันธ์ที่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี ที่ไม่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๓๒ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๒.เวทนาขันธ์
เวทนาขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี
ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็น
อารมณ์ก็มี
ฯลฯ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
ติกมูลกวาร จบ

อุภโตวัฑฒกวาร๑
[๔๓] เวทนาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่มีเหตุก็มี ที่ไม่มีเหตุก็มี
เวทนาขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอกุศลก็มี ที่
เป็นอัพยากฤตก็มี
ฯลฯ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๔๔] เวทนาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยเหตุก็มี ที่วิปปยุต
จากเหตุก็มี
เวทนาขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่เป็นวิบากก็มี ที่เป็นเหตุให้เกิด
วิบากก็มี ที่ไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี
ฯลฯ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๔๕] เวทนาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่ไม่เป็นเหตุแต่มีเหตุก็มี ที่ไม่เป็น
เหตุและไม่มีเหตุก็มี

เชิงอรรถ :
๑ วาระที่ขยายทั้ง ๒ ฝ่าย คือ ติกะและทุกะให้มากขึ้น (อภิ.วิ.อ. ๓๔/๔๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๓๓ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๒.เวทนาขันธ์
เวทนาขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหา
และทิฏฐิยึดถือและเป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและ
ทิฏฐิไม่ยึดถือแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและ
ทิฏฐิไม่ยึดถือและไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี
ฯลฯ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๔๖] เวทนาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่เป็นโลกิยะก็มี ที่เป็นโลกุตตระ
ก็มี
เวทนาขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองและเป็น
อารมณ์ของกิเลสก็มี ที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองแต่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี ที่กิเลส
ไม่ทำให้เศร้าหมองและไม่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี
ฯลฯ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๔๗] เวทนาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่จิตบางดวงรู้ได้ก็มี ที่จิตบาง
ดวงรู้ไม่ได้ก็มี
เวทนาขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี ที่ไม่มี
วิตกมีเพียงวิจารก็มี ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี
ฯลฯ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๔๘] เวทนาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี ที่
ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๓๔ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๒.เวทนาขันธ์
เวทนาขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค
ก็มี ที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี ที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค
และมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี
ฯลฯ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๔๙] เวทนาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอาสวะก็มี ที่
วิปปยุตจากอาสวะก็มี
เวทนาขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติ-
มรรคก็มี ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี ที่ไม่มีเหตุต้องประหาณ
ด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี
ฯลฯ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๕๐] เวทนาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่วิปปยุตจากอาสวะแต่เป็นอารมณ์
ของอาสวะก็มี ที่วิปปยุตจากอาสวะและไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี
เวทนาขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิและจุติก็มี
ที่เป็นเหตุให้ถึงนิพพานก็มี ที่ไม่เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิ จุติ และนิพพานก็มี
ฯลฯ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๕๑] เวทนาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี ที่
ไม่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๓๕ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๒.เวทนาขันธ์
เวทนาขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่เป็นของเสขบุคคลก็มี ที่เป็น
ของอเสขบุคคลก็มี ที่ไม่เป็นของเสขบุคคลและอเสขบุคคลก็มี
ฯลฯ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๕๒] เวทนาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์ก็มี ที่
วิปปยุตจากสังโยชน์ก็มี
เวทนาขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่เป็นปริตตะก็มี ที่เป็นมหัคคตะ
ก็มี ที่เป็นอัปปมาณะก็มี
ฯลฯ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๕๓] เวทนาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่วิปปยุตจากสังโยชน์แต่เป็น
อารมณ์ของสังโยชน์ก็มี ที่วิปปยุตจากสังโยชน์และไม่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี
เวทนาขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่มีปริตตะเป็นอารมณ์ก็มี ที่มี
มหัคคตะเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีอัปปมาณะเป็นอารมณ์ก็มี
ฯลฯ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๕๔] เวทนาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี ที่
ไม่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี
เวทนาขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่เป็นชั้นต่ำก็มี ที่เป็นชั้นกลาง
ก็มี ที่เป็นชั้นประณีตก็มี
ฯลฯ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๓๖ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๒.เวทนาขันธ์
[๕๕] เวทนาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยคันถะก็มี ที่
วิปปยุตจากคันถะก็มี
เวทนาขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนก็มี
ที่มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอนก็มี ที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองนั้นก็มี
ฯลฯ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๕๖] เวทนาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่วิปปยุตจากคันถะแต่เป็นอารมณ์
ของคันถะก็มี ที่วิปปยุตจากคันถะและไม่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี
เวทนาขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่มีมรรคเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีมรรค
เป็นเหตุก็มี ที่มีมรรคเป็นอธิบดีก็มี
ฯลฯ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๕๗] เวทนาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของโอฆะก็มี ที่ไม่
เป็นอารมณ์ของโอฆะก็มี
เวทนาขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่เกิดขึ้นก็มี ที่ยังไม่เกิดขึ้นก็มี
ที่จักเกิดขึ้นแน่นอนก็มี
ฯลฯ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๕๘] เวทนาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยโอฆะก็มี ที่วิปปยุต
จากโอฆะก็มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๓๗ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๒.เวทนาขันธ์
เวทนาขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่เป็นอดีตก็มี ที่เป็นอนาคตก็มี
ที่เป็นปัจจุบันก็มี
ฯลฯ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๕๙] เวทนาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่วิปปยุตจากโอฆะแต่เป็นอารมณ์
ของโอฆะก็มี ที่วิปปยุตจากโอฆะและไม่เป็นอารมณ์ของโอฆะก็มี
เวทนาขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์ก็มี ที่มี
อนาคตธรรมเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์ก็มี
ฯลฯ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๖๐] เวทนาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของโยคะก็มี๑ ที่ไม่
เป็นอารมณ์ของโยคะก็มี
เวทนาขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่เป็นภายในตนก็มี ที่เป็นภายนอก
ตนก็มี ที่เป็นภายในตนและภายนอกตนก็มี
ฯลฯ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๖๑] เวทนาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยโยคะก็มี ที่วิปปยุต
จากโยคะก็มี

เชิงอรรถ :
๑ ดู โยคะ ๔ ข้อ ๙๓๘ หน้า ๕๙๙

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๓๘ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๒.เวทนาขันธ์
เวทนาขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี
ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์
ก็มี
ฯลฯ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
อุภโตวัฑฒกวาร จบ

พหุวิธวาร
เวทนาขันธ์หมวดละ ๗ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอกุศลก็มี ที่
เป็นอัพยากฤตก็มี ที่เป็นกามาวจรก็มี ที่เป็นรูปาวจรก็มี ที่เป็นอรูปาวจรก็มี ที่ไม่
นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี
เวทนาขันธ์หมวดละ ๗ มีด้วยอาการอย่างนี้
เวทนาขันธ์หมวดละ ๗ อีกหมวดหนึ่ง ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่เป็นวิบากก็มี
ที่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี ที่ไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี
ฯลฯ
เวทนาขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายนอกตนเป็น
อารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี ที่เป็นกามาวจร
ก็มี ที่เป็นรูปาวจรก็มี ที่เป็นอรูปาวจรก็มี ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี
เวทนาขันธ์หมวดละ ๗ มีด้วยอาการอย่างนี้
เวทนาขันธ์หมวดละ ๒๔ ได้แก่ เพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัย เวทนาขันธ์ที่
เป็นกุศล ๑ ที่เป็นอกุศล ๑ ที่เป็นอัพยากฤต ๑ จึงมี
เพราะโสตสัมผัสเป็นปัจจัย เวทนาขันธ์ ฯลฯ
เพราะฆานสัมผัสเป็นปัจจัย เวทนาขันธ์ ฯลฯ
เพราะชิวหาสัมผัสเป็นปัจจัย เวทนาขันธ์ ฯลฯ
เพราะกายสัมผัสเป็นปัจจัย เวทนาขันธ์ ฯลฯ
เพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย เวทนาขันธ์ที่เป็นกุศล ๑ ที่เป็นอกุศล ๑ ที่เป็น
อัพยากฤต ๑ จึงมี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๓๙ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๒.เวทนาขันธ์
เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส เวทนาที่เกิดแต่โสตสัมผัส เวทนาที่เกิดแต่ฆาน-
สัมผัส เวทนาที่เกิดแต่ชิวหาสัมผัส เวทนาที่เกิดแต่กายสัมผัส เวทนาที่เกิดแต่
มโนสัมผัส
เวทนาขันธ์หมวดละ ๒๔ มีด้วยอาการอย่างนี้
เวทนาขันธ์หมวดละ ๒๔ อีกหมวดหนึ่ง ได้แก่ เพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัย
เวทนาขันธ์ที่เป็นวิบาก ๑ ที่เป็นเหตุให้เกิดวิบาก ๑ ที่ไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุให้
เกิดวิบาก ๑ จึงมี
ฯลฯ
เวทนาขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายนอกตนเป็น
อารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี
เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส ฯลฯ เวทนาที่เกิดแต่มโนสัมผัส
เพราะโสตสัมผัสเป็นปัจจัย เวทนาขันธ์ ฯลฯ
เพราะฆานสัมผัสเป็นปัจจัย เวทนาขันธ์ ฯลฯ
เพราะชิวหาสัมผัสเป็นปัจจัย เวทนาขันธ์ ฯลฯ
เพราะกายสัมผัสเป็นปัจจัย เวทนาขันธ์ ฯลฯ
เพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย เวทนาขันธ์ที่เป็นวิบาก ๑ ที่เป็นเหตุให้เกิด
วิบาก ๑ ที่ไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบาก ๑ จึงมี
ฯลฯ
เวทนาขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายนอกตนเป็น
อารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี
เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส ฯลฯ เวทนาที่เกิดแต่มโนสัมผัส
เวทนาขันธ์หมวดละ ๒๔ มีด้วยอาการอย่างนี้
เวทนาขันธ์หมวดละ ๓๐ ได้แก่ เพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัย เวทนาขันธ์ที่เป็น
กามาวจร ๑ ที่เป็นรูปาวจร ๑ ที่เป็นอรูปาวจร ๑ ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ ๑ จึงมี
เพราะโสตสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะฆานสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะชิวหาสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๔๐ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๒.เวทนาขันธ์
เพราะกายสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย เวทนาขันธ์ที่เป็นกามาวจร ๑ ที่เป็นรูปาวจร ๑
ที่เป็นอรูปาวจร ๑ ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ ๑ จึงมี
เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส ฯลฯ เวทนาที่เกิดแต่มโนสัมผัส
เวทนาขันธ์หมวดละ ๓๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
เวทนาขันธ์หมวดละมากอย่าง ได้แก่ เพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัย เวทนาขันธ์
ที่เป็นกุศล ๑ ที่เป็นอกุศล ๑ ที่เป็นอัพยากฤต ๑ ที่เป็นกามาวจร ๑ ที่เป็นรูปาวจร ๑
ที่เป็นอรูปาวจร ๑ ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ ๑ จึงมี
เพราะโสตสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะฆานสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะชิวหาสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะกายสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย เวทนาขันธ์ที่เป็นกุศล ๑ ที่เป็นอกุศล ๑ ที่เป็น
อัพยากฤต ๑ ที่เป็นกามาวจร ๑ ที่เป็นรูปาวจร ๑ ที่เป็นอรูปาวจร ๑ ที่ไม่นับเนื่อง
ในวัฏฏทุกข์ ๑ จึงมี
เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส ฯลฯ เวทนาที่เกิดแต่มโนสัมผัส
เวทนาขันธ์หมวดละมากอย่างมีด้วยอาการอย่างนี้
เวทนาขันธ์หมวดละมากอย่าง อีกหมวดหนึ่ง ได้แก่ เพราะจักขุสัมผัสเป็น
ปัจจัย เวทนาขันธ์ที่เป็นวิบาก ๑ ที่เป็นเหตุให้เกิดวิบาก ๑ ที่ไม่เป็นวิบากและไม่
เป็นเหตุให้เกิดวิบาก ๑ จึงมี
ฯลฯ
เวทนาขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายนอกตนเป็น
อารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี ที่เป็นกามาวจรก็มี
ที่เป็นรูปาวจรก็มี ที่เป็นอรูปาวจรก็มี ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี
เพราะโสตสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะฆานสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๔๑ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๓.สัญญาขันธ์
เพราะชิวหาสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะกายสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย เวทนาขันธ์ที่เป็นวิบาก ๑ ที่เป็นเหตุให้เกิดวิบาก ๑
ที่ไม่เป็นวิบาก และไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบาก ๑ จึงมี
ฯลฯ
เวทนาขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายนอกตนเป็น
อารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี ที่เป็นกามาวจรก็มี
ที่เป็นรูปาวจรก็มี ที่เป็นอรูปาวจรก็มี ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี
เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส ฯลฯ เวทนาที่เกิดแต่มโนสัมผัส
เวทนาขันธ์หมวดละมากอย่างมีด้วยอาการอย่างนี้
นี้เรียกว่า เวทนาขันธ์
พหุวิธวาร จบ

๓. สัญญาขันธ์
ทุกมูลกวาร
[๖๒] บรรดาขันธ์ ๕ นั้น สัญญาขันธ์ เป็นไฉน
สัญญาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่มีเหตุก็มี ที่ไม่มีเหตุก็มี
สัญญาขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอกุศลก็มี ที่
เป็นอัพยากฤตก็มี
สัญญาขันธ์หมวดละ ๔ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่เป็นกามาวจรก็มี ที่เป็นรูปาวจร
ก็มี ที่เป็นอรูปาวจรก็มี ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี
สัญญาขันธ์หมวดละ ๕ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขินทรีย์ก็มี ที่
สัมปยุตด้วยทุกขินทรีย์ก็มี ที่สัมปยุตด้วยโสมนัสสินทรีย์ก็มี ที่สัมปยุตด้วย
โทมนัสสินทรีย์ก็มี ที่สัมปยุตด้วยอุเปกขินทรีย์ก็มี
สัญญาขันธ์หมวดละ ๕ มีด้วยอาการอย่างนี้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๔๒ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๓.สัญญาขันธ์
สัญญาขันธ์หมวดละ ๖ ได้แก่ สัญญาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส สัญญาที่เกิดแต่
โสตสัมผัส สัญญาที่เกิดแต่ฆานสัมผัส สัญญาที่เกิดแต่ชิวหาสัมผัส สัญญาที่เกิด
แต่กายสัมผัส สัญญาที่เกิดแต่มโนสัมผัส
สัญญาขันธ์หมวดละ ๖ มีด้วยอาการอย่างนี้
สัญญาขันธ์หมวดละ ๗ ได้แก่ สัญญาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส ฯลฯ สัญญา
ที่เกิดแต่กายสัมผัส สัญญาที่เกิดแต่มโนธาตุสัมผัส สัญญาที่เกิดแต่มโนวิญญาณ-
ธาตุสัมผัส
สัญญาขันธ์หมวดละ ๗ มีด้วยอาการอย่างนี้
สัญญาขันธ์หมวดละ ๘ ได้แก่ สัญญาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส ฯลฯ สัญญา
ที่เกิดแต่กายสัมผัส ที่สหรคตด้วยสุขก็มี ที่สหรคตด้วยทุกข์ก็มี สัญญาที่เกิดแต่
มโนธาตุสัมผัส สัญญาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส
สัญญาขันธ์หมวดละ ๘ มีด้วยอาการอย่างนี้
สัญญาขันธ์หมวดละ ๙ ได้แก่ สัญญาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส ฯลฯ สัญญา
ที่เกิดแต่กายสัมผัส สัญญาที่เกิดแต่มโนธาตุสัมผัส สัญญาที่เกิดแต่มโนวิญญาณ-
ธาตุสัมผัส ที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอกุศลก็มี ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
สัญญาขันธ์หมวดละ ๙ มีด้วยอาการอย่างนี้
สัญญาขันธ์หมวดละ ๑๐ ได้แก่ สัญญาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส ฯลฯ สัญญา
ที่เกิดแต่กายสัมผัส ที่สหรคตด้วยสุขก็มี ที่สหรคตด้วยทุกข์ก็มี สัญญาที่เกิดแต่
มโนธาตุสัมผัส สัญญาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็น
อกุศลก็มี ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
สัญญาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๖๓] สัญญาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่มีเหตุก็มี ที่ไม่มีเหตุก็มี
สัญญาขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี ที่
สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็มี ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๔๓ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๓.สัญญาขันธ์
สัญญาขันธ์ที่เป็นวิบากก็มี ที่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี๑ ที่ไม่เป็นวิบากและ
ไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี
สัญญาขันธ์ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือและเป็นอารมณ์ของ
อุปาทานก็มี ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือแต่เป็นอารมณ์ของ
อุปาทานก็มี ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือและไม่เป็นอารมณ์ของ
อุปาทานก็มี
สัญญาขันธ์ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองและเป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี ที่กิเลสไม่
ทำให้เศร้าหมองแต่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี ที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองและไม่เป็น
อารมณ์ของกิเลสก็มี
สัญญาขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารก็มี ที่ไม่มีทั้งวิตก
และวิจารก็มี
สัญญาขันธ์ที่สหรคตด้วยปีติก็มี ที่สหรคตด้วยสุขก็มี ที่สหรคตด้วย
อุเบกขาก็มี
สัญญาขันธ์ที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี ที่ต้องประหาณด้วยมรรค
เบื้องบน ๓ ก็มี ที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี
สัญญาขันธ์ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี ที่มีเหตุต้องประหาณ
ด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี ที่ไม่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรค
เบื้องบน ๓ ก็มี
สัญญาขันธ์ที่เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิและจุติก็มี ที่เป็นเหตุให้ถึงนิพพานก็มี ที่
ไม่เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิ จุติ และนิพพานก็มี
สัญญาขันธ์ที่เป็นของเสขบุคคลก็มี ที่เป็นของอเสขบุคคลก็มี ที่ไม่เป็นของ
เสขบุคคลและอเสขบุคคลก็มี
สัญญาขันธ์ที่เป็นปริตตะก็มี ที่เป็นมหัคคตะก็มี ที่เป็นอัปปมาณะก็มี
สัญญาขันธ์ที่มีปริตตะเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีมหัคคตะเป็นอารมณ์ก็มี ที่มี
อัปปมาณะเป็นอารมณ์ก็มี
สัญญาขันธ์ที่เป็นชั้นต่ำก็มี ที่เป็นชั้นกลางก็มี ที่เป็นชั้นประณีตก็มี

เชิงอรรถ :
๑ ตรงกับคำบาลีว่า วิปากธมฺมธมฺมา (อภิ.สงฺ.อ. ๓/๘๙)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๔๔ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๓.สัญญาขันธ์
สัญญาขันธ์ที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนก็มี ที่มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอน
ก็มี ที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองนั้นก็มี
สัญญาขันธ์ที่มีมรรคเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีมรรคเป็นเหตุก็มี ที่มีมรรคเป็นอธิบดี
ก็มี
สัญญาขันธ์ที่เกิดขึ้นก็มี ที่ยังไม่เกิดขึ้นก็มี ที่จักเกิดขึ้นแน่นอนก็มี
สัญญาขันธ์ที่เป็นอดีตก็มี ที่เป็นอนาคตก็มี ที่เป็นปัจจุบันก็มี
สัญญาขันธ์ที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์ก็มี ที่มี
ปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์ก็มี
สัญญาขันธ์ที่เป็นภายในตนก็มี ที่เป็นภายนอกตนก็มี ที่เป็นภายในตนและ
ภายนอกตนก็มี
สัญญาขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายนอกตนเป็น
อารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี
ฯลฯ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๖๔] สัญญาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่มีเหตุก็มี ที่ไม่มีเหตุก็มี
สัญญาขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่เป็นวิบากก็มี ที่เป็นเหตุให้เกิด
วิบากก็มี ที่ไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี
สัญญาขันธ์ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือและเป็นอารมณ์ของ
อุปาทานก็มี ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือแต่เป็นอารมณ์ของ
อุปาทานก็มี ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือและไม่เป็นอารมณ์ของ
อุปาทานก็มี
สัญญาขันธ์ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองและเป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี ที่กิเลสไม่
ทำให้เศร้าหมองแต่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี ที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองและไม่เป็น
อารมณ์ของกิเลสก็มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๔๕ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๓.สัญญาขันธ์
สัญญาขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารก็มี ที่ไม่มีทั้งวิตก
และวิจารก็มี
สัญญาขันธ์ที่สหรคตด้วยปีติก็มี ที่สหรคตด้วยสุขก็มี ที่สหรคตด้วยอุเบกขา
ก็มี
สัญญาขันธ์ที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี ที่ต้องประหาณด้วยมรรค
เบื้องบน ๓ ก็มี ที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี
สัญญาขันธ์ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี ที่มีเหตุต้องประหาณ
ด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี ที่ไม่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรค
เบื้องบน ๓ ก็มี
สัญญาขันธ์ที่เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิและจุติก็มี ที่เป็นเหตุให้ถึงนิพพานก็มี ที่
ไม่เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิ จุติ และนิพพานก็มี
สัญญาขันธ์ที่เป็นของเสขบุคคลก็มี ที่เป็นของอเสขบุคคลก็มี ที่ไม่เป็นของ
เสขบุคคลและอเสขบุคคลก็มี
สัญญาขันธ์ที่เป็นปริตตะก็มี ที่เป็นมหัคคตะก็มี ที่เป็นอัปปมาณะก็มี
สัญญาขันธ์ที่มีปริตตะเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีมหัคคตะเป็นอารมณ์ก็มี ที่มี
อัปปมาณะเป็นอารมณ์ก็มี
สัญญาขันธ์ที่เป็นชั้นต่ำก็มี ที่เป็นชั้นกลางก็มี ที่เป็นชั้นประณีตก็มี
สัญญาขันธ์ที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนก็มี ที่มีสภาวะชอบและให้ผลแน่
่นอนก็มี ที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองนั้นก็มี
สัญญาขันธ์ที่มีมรรคเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีมรรคเป็นเหตุก็มี ที่มีมรรคเป็นอธิบดี
ก็มี
สัญญาขันธ์ที่เกิดขึ้นก็มี ที่ยังไม่เกิดขึ้นก็มี ที่จักเกิดขึ้นแน่นอนก็มี
สัญญาขันธ์ที่เป็นอดีตก็มี ที่เป็นอนาคตก็มี ที่เป็นปัจจุบันก็มี
สัญญาขันธ์ที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์ก็มี ที่
มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์ก็มี
สัญญาขันธ์ที่เป็นภายในตนก็มี ที่เป็นภายนอกตนก็มี ที่เป็นภายในตนและ
ภายนอกตนก็มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๔๖ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๓.สัญญาขันธ์
สัญญาขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายนอกตนเป็น
อารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี
ฯลฯ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๖๕] สัญญาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยเหตุก็มี ที่วิปปยุต
จากเหตุก็มี
สัญญาขันธ์ที่ไม่เป็นเหตุแต่มีเหตุก็มี ที่ไม่เป็นเหตุและไม่มีเหตุก็มี
สัญญาขันธ์ที่เป็นโลกิยะก็มี ที่เป็นโลกุตตระก็มี
สัญญาขันธ์ที่จิตบางดวงรู้ได้ก็มี ที่จิตบางดวงรู้ไม่ได้ก็มี
สัญญาขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี ที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี
สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอาสวะก็มี ที่วิปปยุตจากอาสวะก็มี
สัญญาขันธ์ที่วิปปยุตจากอาสวะแต่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี ที่วิปปยุตจาก
อาสวะและไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี
สัญญาขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี ที่ไม่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี
สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์ก็มี ที่วิปปยุตจากสังโยชน์ก็มี
สัญญาขันธ์ที่วิปปยุตจากสังโยชน์แต่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี ที่วิปปยุตจาก
สังโยชน์และไม่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี
สัญญาขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี ที่ไม่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี
สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยคันถะก็มี ที่วิปปยุตจากคันถะก็มี
สัญญาขันธ์ที่วิปปยุตจากคันถะแต่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี ที่วิปปยุตจาก
คันถะและไม่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี
สัญญาขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของโอฆะก็มี ที่ไม่เป็นอารมณ์ของโอฆะก็มี
สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยโอฆะก็มี ที่วิปปยุตจากโอฆะก็มี
สัญญาขันธ์ที่วิปปยุตจากโอฆะแต่เป็นอารมณ์ของโอฆะก็มี ที่วิปปยุตจากโอฆะ
และไม่เป็นอารมณ์ของโอฆะก็มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๔๗ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๓.สัญญาขันธ์
สัญญาขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของโยคะก็มี ที่ไม่เป็นอารมณ์ของโยคะก็มี
สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยโยคะก็มี ที่วิปปยุตจากโยคะก็มี
สัญญาขันธ์ที่วิปปยุตจากโยคะแต่เป็นอารมณ์ของโยคะก็มี ที่วิปปยุตจากโยคะ
และไม่เป็นอารมณ์ของโยคะก็มี
สัญญาขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี ที่ไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี
สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยนิวรณ์ก็มี ที่วิปปยุตจากนิวรณ์ก็มี
สัญญาขันธ์ที่วิปปยุตจากนิวรณ์แต่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี ที่วิปปยุตจาก
นิวรณ์และไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี
สัญญาขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี ที่ไม่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี
สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยปรามาสก็มี ที่วิปปยุตจากปรามาสก็มี
สัญญาขันธ์ที่วิปปยุตจากปรามาสแต่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี ที่วิปปยุต
จากปรามาสและไม่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี
สัญญาขันธ์ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือก็มี ที่กรรมอัน
ประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือก็มี
สัญญาขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี ที่ไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี
สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอุปาทานก็มี ที่วิปปยุตจากอุปาทานก็มี
สัญญาขันธ์ที่วิปปยุตจากอุปาทานแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี ที่วิปปยุต
จากอุปาทานและไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี
สัญญาขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี ที่ไม่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี
สัญญาขันธ์ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองก็มี ที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองก็มี
สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยกิเลสก็มี ที่วิปปยุตจากกิเลสก็มี
สัญญาขันธ์ที่วิปปยุตจากกิเลสแต่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี ที่วิปปยุตจาก
กิเลสและไม่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี
สัญญาขันธ์ที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี ที่ไม่ต้องประหาณด้วย
โสดาปัตติมรรคก็มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๔๘ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๓.สัญญาขันธ์
สัญญาขันธ์ที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี ที่ไม่ต้องประหาณด้วย
มรรคเบื้องบน ๓ ก็มี
สัญญาขันธ์ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี ที่ไม่มีเหตุต้อง
ประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี
สัญญาขันธ์ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี ที่ไม่มีเหตุต้อง
ประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี
สัญญาขันธ์ที่มีวิตกก็มี ที่ไม่มีวิตกก็มี
สัญญาขันธ์ที่มีวิจารก็มี ที่ไม่มีวิจารก็มี
สัญญาขันธ์ที่มีปีติก็มี ที่ไม่มีปีติก็มี
สัญญาขันธ์ที่สหรคตด้วยปีติก็มี ที่ไม่สหรคตด้วยปีติก็มี
สัญญาขันธ์ที่สหรคตด้วยสุขก็มี ที่ไม่สหรคตด้วยสุขก็มี
สัญญาขันธ์ที่สหรคตด้วยอุเบกขาก็มี ที่ไม่สหรคตด้วยอุเบกขาก็มี
สัญญาขันธ์ที่เป็นกามาวจรก็มี ที่ไม่เป็นกามาวจรก็มี
สัญญาขันธ์ที่เป็นรูปาวจรก็มี ที่ไม่เป็นรูปาวจรก็มี
สัญาขันธ์ที่เป็นอรูปาวจรก็มี ที่ไม่เป็นอรูปาวจรก็มี
สัญญาขันธ์ที่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี
สัญญาขันธ์ที่เป็นเหตุนำออกจากวัฏฏทุกข์ก็มี ที่ไม่เป็นเหตุนำออกจากวัฏฏ-
ทุกข์ก็มี
สัญญาขันธ์ที่ให้ผลแน่นอนก็มี ที่ให้ผลไม่แน่นอนก็มี
สัญญาขันธ์ที่มีธรรมอื่นยิ่งกว่าก็มี ที่ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่าก็มี
สัญญาขันธ์ที่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี ที่ไม่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี
สัญญาขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอกุศลก็มี ที่
เป็นอัพยากฤตก็มี
ฯลฯ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๔๙ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๓.สัญญาขันธ์
[๖๖] สัญญาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี ที่ไม่
เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี
สัญญาขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี ที่
สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็มี ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี
สัญญาขันธ์ที่เป็นวิบากก็มี ฯลฯ
สัญญาขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายนอกตนเป็น
อารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี
ฯลฯ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
(พึงขยายติกะแม้ทั้งหมดให้พิสดารเหมือนในกุสลติกะ)
ทุกมูลกวาร จบ

ติกมูลกวาร
[๖๗] สัญญาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่มีเหตุก็มี ที่ไม่มีเหตุก็มี
สัญญาขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอกุศลก็มี
ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
ฯลฯ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๖๘] สัญญาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยเหตุก็มี ที่วิปปยุต
จากเหตุก็มี
ฯลฯ
สัญญาขันธ์ที่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี ที่ไม่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๐ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๓.สัญญาขันธ์
สัญญาขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอกุศลก็มี
ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
ฯลฯ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๖๙] สัญญาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่มีเหตุก็มี ที่ไม่มีเหตุก็มี
สัญญาขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี ที่
สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็มี ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี
สัญญาขันธ์ที่เป็นวิบากก็มี ฯลฯ
สัญญาขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายนอกตนเป็น
อารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี
ฯลฯ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๗๐] สัญญาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยเหตุก็มี ที่วิปปยุต
จากเหตุก็มี
ฯลฯ
สัญญาขันธ์ที่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี ที่ไม่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี
สัญญาขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี ที่
สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็มี ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี
ฯลฯ
สัญญาขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายนอกตนเป็น
อารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี
ฯลฯ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
ติกมูลกวาร จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๑ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๓.สัญญาขันธ์
อุภโตวัฑฒกวาร
[๗๑] สัญญาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่มีเหตุก็มี ที่ไม่มีเหตุก็มี
สัญญาขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอกุศลก็มี ที่
เป็นอัพยากฤตก็มี
ฯลฯ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๗๒] สัญญาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยเหตุก็มี ที่วิปปยุต
จากเหตุก็มี
สัญญาขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี ที่
สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็มี ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี
ฯลฯ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๗๓] สัญญาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่ไม่เป็นเหตุแต่มีเหตุก็มี ที่ไม่
เป็นเหตุและไม่มีเหตุก็มี
สัญญาขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่เป็นวิบากก็มี ที่เป็นเหตุให้เกิด
วิบากก็มี ที่ไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี
ฯลฯ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๗๔] สัญญาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่เป็นโลกิยะก็มี ที่เป็นโลกุตตระ
ก็มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๒ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๓.สัญญาขันธ์
สัญญาขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและ
ทิฏฐิยึดถือและเป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิ
ไม่ยึดถือแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่
ยึดถือและไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี
ฯลฯ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๗๕] สัญญาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่จิตบางดวงรู้ได้ก็มี ที่จิตบางดวง
รู้ไม่ได้ก็มี
สัญญาขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองและเป็น
อารมณ์ของกิเลสก็มี ที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองแต่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี ที่กิเลส
ไม่ทำให้เศร้าหมองและไม่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี
ฯลฯ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๗๖] สัญญาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี ที่ไม่
เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี
สัญญาขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี ที่ไม่มี
วิตกมีเพียงวิจารก็มี ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี
ฯลฯ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๗๗] สัญญาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอาสวะก็มี ที่วิปปยุต
จากอาสวะก็มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๓ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๓.สัญญาขันธ์
สัญญาขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่สหรคตด้วยปีติก็มี ที่สหรคต
ด้วยสุขก็มี ที่สหรคตด้วยอุเบกขาก็มี
ฯลฯ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๗๘] สัญญาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่วิปปยุตจากอาสวะแต่เป็นอารมณ์
ของอาสวะก็มี ที่วิปปยุตจากอาสวะและไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี
สัญญาขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค
ก็มี ที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี ที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค
และมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี
ฯลฯ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๗๙] สัญญาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี ที่ไม่
เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี
สัญญาขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดา-
ปัตติมรรคก็มี ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี ที่ไม่มีเหตุต้องประหาณ
ด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี
ฯลฯ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๘๐] สัญญาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์ก็มี ที่
วิปปยุตจากสังโยชน์ก็มี
สัญญาขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิและจุติก็มี
ที่เป็นเหตุให้ถึงนิพพานก็มี ที่ไม่เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิ จุติ และนิพพานก็มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๔ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๓.สัญญาขันธ์
ฯลฯ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๘๑] สัญญาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่วิปปยุตจากสังโยชน์แต่เป็น
อารมณ์ของสังโยชน์ก็มี ที่วิปปยุตจากสังโยชน์และไม่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี
สัญญาขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่เป็นของเสขบุคคลก็มี ที่เป็นของ
อเสขบุคคลก็มี ที่ไม่เป็นของเสขบุคคลและอเสขบุคคลก็มี
ฯลฯ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๘๒] สัญญาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี ที่ไม่
เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี
สัญญาขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่เป็นปริตตะก็มี ที่เป็นมหัคคตะ
ก็มี ที่เป็นอัปปมาณะก็มี
ฯลฯ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๘๓] สัญญาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยคันถะก็มี ที่วิปปยุต
จากคันถะก็มี
สัญญาขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่มีปริตตะเป็นอารมณ์ก็มี ที่มี
มหัคคตะเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีอัปปมาณะเป็นอารมณ์ก็มี
ฯลฯ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๘๔] สัญญาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่วิปปยุตจากคันถะแต่เป็นอารมณ์
ของคันถะก็มี ที่วิปปยุตจากคันถะและไม่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๕ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๓.สัญญาขันธ์
สัญญาขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่เป็นชั้นต่ำก็มี ที่เป็นชั้นกลาง
ก็มี ที่เป็นชั้นประณีตก็มี
ฯลฯ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๘๕] สัญญาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของโอฆะก็มี ที่ไม่
เป็นอารมณ์ของโอฆะก็มี
สัญญาขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนก็มี
ที่มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอนก็มี ที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองนั้นก็มี
ฯลฯ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๘๖] สัญญาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยโอฆะก็มี ที่วิปปยุต
จากโอฆะก็มี
สัญญาขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่มีมรรคเป็นอารมณ์ก็มี ที่มี
มรรคเป็นเหตุก็มี ที่มีมรรคเป็นอธิบดีก็มี
ฯลฯ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๘๗] สัญญาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่วิปปยุตจากโอฆะแต่เป็นอารมณ์
ของโอฆะก็มี ที่วิปปยุตจากโอฆะและไม่เป็นอารมณ์ของโอฆะก็มี
สัญญาขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่เกิดขึ้นก็มี ที่ยังไม่เกิดขึ้นก็มี
ที่จักเกิดขึ้นแน่นอนก็มี
ฯลฯ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๘๘] สัญญาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของโยคะก็มี ที่ไม่
เป็นอารมณ์ของโยคะก็มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๖ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๓.สัญญาขันธ์
สัญญาขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่เป็นอดีตก็มี ที่เป็นอนาคตก็มี
ที่เป็นปัจจุบันก็มี
ฯลฯ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๘๙] สัญญาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยโยคะก็มี ที่วิปปยุต
จากโยคะก็มี
สัญญาขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์ก็มี
ที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์ก็มี
ฯลฯ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๙๐] สัญญาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่วิปปยุตจากโยคะแต่เป็นอารมณ์
ของโยคะก็มี ที่วิปปยุตจากโยคะและไม่เป็นอารมณ์ของโยคะก็มี
สัญญาขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่เป็นภายในตนก็มี ที่เป็น
ภายนอกตนก็มี ที่เป็นภายในตนและภายนอกตนก็มี
ฯลฯ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๙๑] สัญญาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี ที่ไม่
เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี
สัญญาขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี
ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี
ฯลฯ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
อุภโตวัฑฒกวาร จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๗ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๓.สัญญาขันธ์
พหุวิธวาร
สัญญาขันธ์หมวดละ ๗ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอกุศลก็มี ที่
เป็นอัพยากฤตก็มี ที่เป็นกามาวจรก็มี ที่เป็นรูปาวจรก็มี ที่เป็นอรูปาวจรก็มี ที่ไม่
นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี
สัญญาขันธ์หมวดละ ๗ มีด้วยอาการอย่างนี้
สัญญาขันธ์หมวดละ ๗ อีกหมวดหนึ่ง ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วย
สุขเวทนาก็มี ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็มี ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี ที่เป็น
กามาวจรก็มี ที่เป็นรูปาวจรก็มี ที่เป็นอรูปาวจรก็มี ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี
ฯลฯ
สัญญาขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายนอกตนเป็น
อารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี ที่เป็นกามาวจรก็มี
ที่เป็นรูปาวจรก็มี ที่เป็นอรูปาวจรก็มี ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี
สัญญาขันธ์หมวดละ ๗ มีด้วยอาการอย่างนี้
สัญญาขันธ์หมวดละ ๒๔ ได้แก่ เพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัย สัญญาขันธ์
ที่เป็นกุศล ๑ ที่เป็นอกุศล ๑ ที่เป็นอัพยากฤต ๑ จึงมี
เพราะโสตสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะฆานสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะชิวหาสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะกายสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย สัญญาขันธ์ที่เป็นกุศล ๑ ที่เป็นอกุศล ๑ ที่เป็น
อัพยากฤต ๑ จึงมี
สัญญาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส สัญญาที่เกิดแต่โสตสัมผัส สัญญาที่เกิดแต่ฆาน-
สัมผัส สัญญาที่เกิดแต่ชิวหาสัมผัส สัญญาที่เกิดแต่กายสัมผัส สัญญาที่เกิดแต่
มโนสัมผัส
สัญญาขันธ์หมวดละ ๒๔ มีด้วยอาการอย่างนี้
สัญญาขันธ์หมวดละ ๒๔ อีกหมวดหนึ่ง ได้แก่ เพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัย
สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา ๑ ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา ๑ ที่สัมปยุตด้วย
อทุกขมสุขเวทนา ๑ จึงมี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๘ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๓.สัญญาขันธ์
ฯลฯ
สัญญาขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายนอกตนเป็น
อารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี
สัญญาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส ฯลฯ สัญญาที่เกิดแต่มโนสัมผัส
เพราะโสตสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะฆานสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะชิวหาสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะกายสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา ๑ จึงมี
ฯลฯ
สัญญาขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายนอกตนเป็น
อารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี
สัญญาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส ฯลฯ สัญญาที่เกิดแต่มโนสัมผัส
สัญญาขันธ์หมวดละ ๒๔ มีด้วยอาการอย่างนี้
สัญญาขันธ์หมวดละ ๓๐ ได้แก่ เพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัย สัญญาขันธ์ที่
เป็นกามาวจร ๑ ที่เป็นรูปาวจร ๑ ที่เป็นอรูปาวจร ๑ ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ ๑ จึงมี
เพราะโสตสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะฆานสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะชิวหาสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะกายสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย สัญญาขันธ์ที่เป็นกามาวจร ๑ ที่เป็นรูปาวจร ๑
ที่เป็นอรูปาวจร ๑ ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ ๑ จึงมี
สัญญาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส ฯลฯ สัญญาที่เกิดแต่มโนสัมผัส
สัญญาขันธ์หมวดละ ๓๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
สัญญาขันธ์หมวดละมากอย่าง ได้แก่ เพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัย สัญญาขันธ์
ที่เป็นกุศล ๑ ที่เป็นอกุศล ๑ ที่เป็นอัพยากฤต ๑ ที่เป็นกามาวจร ๑ ที่เป็นรูปาวจร
๑ ที่เป็นอรูปาวจร ๑ ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ ๑ จึงมี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๕๙ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๓.สัญญาขันธ์
เพราะโสตสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะฆานสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะชิวหาสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะกายสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย สัญญาขันธ์ที่เป็นกุศล ๑ ที่เป็นอกุศล ๑ ที่เป็น
อัพยากฤต ๑ ที่เป็นกามาวจร ๑ ที่เป็นรูปาวจร ๑ ที่เป็นอรูปาวจร ๑ ที่ไม่นับ
เนื่องในวัฏฏทุกข์ ๑ จึงมี
สัญญาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส ฯลฯ สัญญาที่เกิดแต่มโนสัมผัส
สัญญาขันธ์หมวดละมากอย่างมีด้วยอาการอย่างนี้
สัญญาขันธ์หมวดละมากอย่าง อีกหมวดหนึ่ง ได้แก่ เพราะจักขุสัมผัสเป็น
ปัจจัย สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา ๑ ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา ๑ ที่
สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา ๑ จึงมี
ฯลฯ
สัญญาขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายนอกตนเป็น
อารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี ที่เป็นกามาวจรก็มี
ที่เป็นรูปาวจรก็มี ที่เป็นอรูปาวจรก็มี ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี
เพราะโสตสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะฆานสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะชิวหาสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะกายสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย สัญญาขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ ๑ ที่มี
ธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ ๑ ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ ๑
ที่เป็นกามาวจร ๑ ที่เป็นรูปาวจร ๑ ที่เป็นอรูปาวจร ๑ ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ ๑
จึงมี
สัญญาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส ฯลฯ สัญญาที่เกิดแต่มโนสัมผัส
สัญญาขันธ์หมวดละมากอย่างมีด้วยอาการอย่างนี้
นี้เรียกว่า สัญญาขันธ์
พหุวิธวาร จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๐ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๔.สังขารขันธ์
๔. สังขารขันธ์
ทุกมูลกวาร๑
[๙๒] บรรดาขันธ์ ๕ นั้น สังขารขันธ์ เป็นไฉน
สังขารขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต
สังขารขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่เป็นเหตุก็มี ที่ไม่เป็นเหตุก็มี
สังขารขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอกุศลก็มี ที่
เป็นอัพยากฤตก็มี
สังขารขันธ์หมวดละ ๔ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่เป็นกามาวจรก็มี ที่เป็นรูปาวจร
ก็มี ที่เป็นอรูปาวจรก็มี ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี
สังขารขันธ์หมวดละ ๕ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขินทรีย์ก็มี ที่
สัมปยุตด้วยทุกขินทรีย์ก็มี ที่สัมปยุตด้วยโสมนัสสินทรีย์ก็มี ที่สัมปยุตด้วย
โทมนัสสินทรีย์ก็มี ที่สัมปยุตด้วยอุเปกขินทรีย์ก็มี
สังขารขันธ์หมวดละ ๕ มีด้วยอาการอย่างนี้
สังขารขันธ์หมวดละ ๖ ได้แก่ เจตนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส เจตนาที่เกิดแต่
โสตสัมผัส เจตนาที่เกิดแต่ฆานสัมผัส เจตนาที่เกิดแต่ชิวหาสัมผัส เจตนาที่เกิดแต่
กายสัมผัส เจตนาที่เกิดแต่มโนสัมผัส
สังขารขันธ์หมวดละ ๖ มีด้วยอาการอย่างนี้
สังขารขันธ์หมวดละ ๗ ได้แก่ เจตนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส ฯลฯ เจตนาที่เกิด
แต่กายสัมผัส เจตนาที่เกิดแต่มโนธาตุสัมผัส เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส
สังขารขันธ์หมวดละ ๗ มีด้วยอาการอย่างนี้

เชิงอรรถ :
๑ อภิ.วิ.อ. ๓๔/๔๑

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๑ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๔.สังขารขันธ์
สังขารขันธ์หมวดละ ๘ ได้แก่ เจตนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส ฯลฯ เจตนาที่เกิด
แต่กายสัมผัส ที่สหรคตด้วยสุขก็มี ที่สหรคตด้วยทุกข์ก็มี เจตนาที่เกิดแต่
มโนธาตุสัมผัส เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส
สังขารขันธ์หมวดละ ๘ มีด้วยอาการอย่างนี้
สังขารขันธ์หมวดละ ๙ ได้แก่ เจตนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส ฯลฯ เจตนาที่เกิด
แต่มโนธาตุสัมผัส เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็น
อกุศลก็มี ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
สังขารขันธ์หมวดละ ๙ มีด้วยอาการอย่างนี้
สังขารขันธ์หมวดละ ๑๐ ได้แก่ เจตนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส ฯลฯ เจตนา
ที่เกิดแต่กายสัมผัส ที่สหรคตด้วยสุขก็มี ที่สหรคตด้วยทุกข์ก็มี เจตนาที่เกิดแต่
มโนธาตุสัมผัส เจตนาที่เกิดแต่มโนวิญญาณธาตุสัมผัส ที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอกุศล
ก็มี ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
สังขารขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๙๓] สังขารขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต
สังขารขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่เป็นเหตุก็มี ที่ไม่เป็นเหตุก็มี
สังขารขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี ที่
สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็มี ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี
สังขารขันธ์ที่เป็นวิบากก็มี ที่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี ที่ไม่เป็นวิบากและไม่
เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี
สังขารขันธ์ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือและเป็นอารมณ์ของ
อุปาทานก็มี ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือแต่เป็นอารมณ์ของ
อุปาทานก็มี ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือและไม่เป็นอารมณ์ของ
อุปาทานก็มี
สังขารขันธ์ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองและเป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี ที่กิเลสไม่
ทำให้เศร้าหมองแต่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี ที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองและไม่เป็น
อารมณ์ของกิเลสก็มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๒ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๔.สังขารขันธ์
สังขารขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารก็มี ที่ไม่มีทั้งวิตก
และวิจารก็มี
สังขารขันธ์ที่สหรคตด้วยปีติก็มี ที่สหรคตด้วยสุขก็มี ที่สหรคตด้วยอุเบกขาก็มี
สังขารขันธ์ที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี ที่ต้องประหาณด้วยมรรค
เบื้องบน ๓ ก็มี ที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี
สังขารขันธ์ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี ที่มีเหตุต้องประหาณ
ด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี ที่ไม่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรค
เบื้องบน ๓ ก็มี
สังขารขันธ์ที่เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิและจุติก็มี ที่เป็นเหตุให้ถึงนิพพานก็มี ที่
ไม่เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิ จุติ และนิพพานก็มี
สังขารขันธ์ที่เป็นของเสขบุคคลก็มี ที่เป็นของอเสขบุคคลก็มี ที่ไม่เป็นของ
เสขบุคคลและอเสขบุคคลก็มี
สังขารขันธ์ที่เป็นปริตตะก็มี ที่เป็นมหัคคตะก็มี ที่เป็นอัปปมาณะก็มี
สังขารขันธ์ที่มีปริตตะเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีมหัคคตะเป็นอารมณ์ก็มี ที่มี
อัปปมาณะเป็นอารมณ์ก็มี
สังขารขันธ์ที่เป็นชั้นต่ำก็มี ที่เป็นชั้นกลางก็มี ที่เป็นชั้นประณีตก็มี
สังขารขันธ์ที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนก็มี ที่มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอน
ก็มี ที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองนั้นก็มี๑
สังขารขันธ์ที่มีมรรคเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีมรรคเป็นเหตุก็มี ที่มีมรรคเป็นอธิบดี
ก็มี
สังขารขันธ์ที่เกิดขึ้นก็มี ที่ยังไม่เกิดขึ้นก็มี ที่จักเกิดขึ้นแน่นอนก็มี
สังขารขันธ์ที่เป็นอดีตก็มี ที่เป็นอนาคตก็มี ที่เป็นปัจจุบันก็มี
สังขารขันธ์ที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์ก็มี ที่มี
ปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์ก็มี

เชิงอรรถ :
๑ อภิ.สงฺ.อ. ๑๕/๙๒

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๓ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๔.สังขารขันธ์
สังขารขันธ์ที่เป็นภายในตนก็มี ที่เป็นภายนอกตนก็มี ที่เป็นภายในตนและ
ภายนอกตนก็มี
สังขารขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายนอกตนเป็น
อารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี
ฯลฯ
สังขารขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๙๔] สังขารขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต
สังขารขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่มีเหตุก็มี ที่ไม่มีเหตุก็มี
สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยเหตุก็มี ที่วิปปยุตจากเหตุก็มี
สังขารขันธ์ที่เป็นเหตุและมีเหตุก็มี ที่มีเหตุแต่ไม่เป็นเหตุก็มี
สังขารขันธ์ที่เป็นเหตุและสัมปยุตด้วยเหตุก็มี ที่สัมปยุตด้วยเหตุแต่ไม่เป็นเหตุ
ก็มี
สังขารขันธ์ที่ไม่เป็นเหตุแต่มีเหตุก็มี ที่ไม่เป็นเหตุและไม่มีเหตุก็มี
สังขารขันธ์ที่เป็นโลกิยะก็มี ที่เป็นโลกุตตระก็มี
สังขารขันธ์ที่จิตบางดวงรู้ได้ก็มี ที่จิตบางดวงรู้ไม่ได้ก็มี
สังขารขันธ์ที่เป็นอาสวะก็มี ที่ไม่เป็นอาสวะก็มี
สังขารขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี ที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี
สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอาสวะก็มี ที่วิปปยุตจากอาสวะก็มี
สังขารขันธ์ที่เป็นอาสวะและเป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี ที่เป็นอารมณ์ของ
อาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะก็มี
สังขารขันธ์ที่เป็นอาสวะและสัมปยุตด้วยอาสวะก็มี ที่สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่
เป็นอาสวะก็มี
สังขารขันธ์ที่วิปปยุตจากอาสวะแต่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี ที่วิปปยุตจาก
อาสวะและไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๔ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๔.สังขารขันธ์
สังขารขันธ์ที่เป็นสังโยชน์ก็มี ที่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี
สังขารขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี ที่ไม่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี
สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์ก็มี ที่วิปปยุตจากสังโยชน์ก็มี
สังขารขันธ์ที่เป็นสังโยชน์และเป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี ที่เป็นอารมณ์ของ
สังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี
สังขารขันธ์ที่เป็นสังโยชน์และสัมปยุตด้วยสังโยชน์ก็มี ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์
แต่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี
สังขารขันธ์ที่วิปปยุตจากสังโยชน์แต่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี ที่วิปปยุตจาก
สังโยชน์และไม่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี
สังขารขันธ์ที่เป็นคันถะก็มี ที่ไม่เป็นคันถะก็มี
สังขารขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี ที่ไม่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี
สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยคันถะก็มี ที่วิปปยุตจากคันถะก็มี
สังขารขันธ์ที่เป็นคันถะและเป็นอารมณ์ของคันถะก็มี ที่เป็นอารมณ์ของคันถะ
แต่ไม่เป็นคันถะก็มี
สังขารขันธ์ที่เป็นคันถะและสัมปยุตด้วยคันถะก็มี ที่สัมปยุตด้วยคันถะแต่ไม่
เป็นคันถะก็มี
สังขารขันธ์ที่วิปปยุตจากคันถะแต่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี ที่วิปปยุตจาก
คันถะและไม่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี
สังขารขันธ์ที่เป็นโอฆะก็มี ที่ไม่เป็นโอฆะก็มี
สังขารขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของโอฆะก็มี ที่ไม่เป็นอารมณ์ของโอฆะก็มี
สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยโอฆะก็มี ที่วิปปยุตจากโอฆะก็มี
สังขารขันธ์ที่เป็นโอฆะและเป็นอารมณ์ของโอฆะก็มี ที่เป็นอารมณ์ของโอฆะแต่
ไม่เป็นโอฆะก็มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๕ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๔.สังขารขันธ์
สังขารขันธ์ที่เป็นโอฆะและสัมปยุตด้วยโอฆะก็มี ที่สัมปยุตด้วยโอฆะแต่ไม่เป็น
โอฆะก็มี
สังขารขันธ์ที่วิปปยุตจากโอฆะแต่เป็นอารมณ์ของโอฆะก็มี ที่วิปปยุตจากโอฆะ
และไม่เป็นอารมณ์ของโอฆะก็มี
สังขารขันธ์ที่เป็นโยคะก็มี ที่ไม่เป็นโยคะก็มี
สังขารขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของโยคะก็มี ที่ไม่เป็นอารมณ์ของโยคะก็มี
สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยโยคะก็มี ที่วิปปยุตจากโยคะก็มี
สังขารขันธ์ที่เป็นโยคะและเป็นอารมณ์ของโยคะก็มี ที่เป็นอารมณ์ของโยคะแต่
ไม่เป็นโยคะก็มี
สังขารขันธ์ที่เป็นโยคะและสัมปยุตด้วยโยคะก็มี ที่สัมปยุตด้วยโยคะแต่ไม่เป็น
โยคะก็มี
สังขารขันธ์ที่วิปปยุตจากโยคะแต่เป็นอารมณ์ของโยคะก็มี ที่วิปปยุตจากโยคะ
และไม่เป็นอารมณ์ของโยคะก็มี
สังขารขันธ์ที่เป็นนิวรณ์ก็มี ที่ไม่เป็นนิวรณ์ก็มี
สังขารขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี ที่ไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี
สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยนิวรณ์ก็มี ที่วิปปยุตจากนิวรณ์ก็มี
สังขารขันธ์ที่เป็นนิวรณ์และเป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี ที่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์
แต่ไม่เป็นนิวรณ์ก็มี
สังขารขันธ์ที่เป็นนิวรณ์และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ก็มี ที่สัมปยุตด้วยนิวรณ์แต่ไม่
เป็นนิวรณ์ก็มี
สังขารขันธ์ที่วิปปยุตจากนิวรณ์แต่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี ที่วิปปยุตจาก
นิวรณ์และไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี
สังขารขันธ์ที่เป็นปรามาสก็มี ที่ไม่เป็นปรามาสก็มี
สังขารขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี ที่ไม่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๖ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๔.สังขารขันธ์
สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยปรามาสก็มี ที่วิปปยุตจากปรามาสก็มี
สังขารขันธ์ที่เป็นปรามาสและเป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี ที่เป็นอารมณ์ของ
ปรามาสแต่ไม่เป็นปรามาสก็มี
สังขารขันธ์ที่วิปปยุตจากปรามาสแต่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี ที่วิปปยุต
จากปรามาสและไม่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี
สังขารขันธ์ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือก็มี ที่กรรมอัน
ประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือก็มี
สังขารขันธ์ที่เป็นอุปาทานก็มี ที่ไม่เป็นอุปาทานก็มี
สังขารขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี ที่ไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี
สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอุปาทานก็มี ที่วิปปยุตจากอุปาทานก็มี
สังขารขันธ์ที่เป็นอุปาทานและเป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี ที่เป็นอารมณ์
ของอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานก็มี
สังขารขันธ์ที่เป็นอุปาทานและสัมปยุตด้วยอุปาทานก็มี ที่สัมปยุตด้วย
อุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานก็มี
สังขารขันธ์ที่วิปปยุตจากอุปาทานแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี ที่วิปปยุต
จากอุปาทานและไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี
สังขารขันธ์ที่เป็นกิเลสก็มี ที่ไม่เป็นกิเลสก็มี
สังขารขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี ที่ไม่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี
สังขารขันธ์ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองก็มี ที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองก็มี
สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยกิเลสก็มี ที่วิปปยุตจากกิเลสก็มี
สังขารขันธ์ที่เป็นกิเลสและเป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี ที่เป็นอารมณ์ของกิเลสแต่
ไม่เป็นกิเลสก็มี
สังขารขันธ์ที่เป็นกิเลสและกิเลสทำให้เศร้าหมองก็มี ที่กิเลสทำให้เศร้าหมอง
แต่ไม่เป็นกิเลสก็มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๗ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๔.สังขารขันธ์
สังขารขันธ์ที่เป็นกิเลสและสัมปยุตด้วยกิเลสก็มี ที่สัมปยุตด้วยกิเลสแต่ไม่เป็น
กิเลสก็มี
สังขารขันธ์ที่วิปปยุตจากกิเลสแต่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี ที่วิปปยุตจากกิเลส
และไม่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี
สังขารขันธ์ที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี ที่ไม่ต้องประหาณด้วย
โสดาปัตติมรรคก็มี
สังขารขันธ์ที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี ที่ไม่ต้องประหาณด้วย
มรรคเบื้องบน ๓ ก็มี
สังขารขันธ์ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี ที่ไม่มีเหตุต้อง
ประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี
สังขารขันธ์ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี ที่ไม่มีเหตุต้อง
ประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี
สังขารขันธ์ที่มีวิตกก็มี ที่ไม่มีวิตกก็มี
สังขารขันธ์ที่มีวิจารก็มี ที่ไม่มีวิจารก็มี
สังขารขันธ์ที่มีปีติก็มี ที่ไม่มีปีติก็มี
สังขารขันธ์ที่สหรคตด้วยปีติก็มี ที่ไม่สหรคตด้วยปีติก็มี
สังขารขันธ์ที่สหรคตด้วยสุขก็มี ที่ไม่สหรคตด้วยสุขก็มี
สังขารขันธ์ที่สหรคตด้วยอุเบกขาก็มี ที่ไม่สหรคตด้วยอุเบกขาก็มี
สังขารขันธ์ที่เป็นกามาวจรก็มี ที่ไม่เป็นกามาวจรก็มี
สังขารขันธ์ที่เป็นรูปาวจรก็มี ที่ไม่เป็นรูปาวจรก็มี
สังขารขันธ์ที่เป็นอรูปาวจรก็มี ที่ไม่เป็นอรูปาวจรก็มี
สังขารขันธ์ที่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี
สังขารขันธ์ที่เป็นเหตุนำออกจากวัฏฏทุกข์ก็มี ที่ไม่เป็นเหตุนำออกจากวัฏฏทุกข์
ก็มี
สังขารขันธ์ที่ให้ผลแน่นอนก็มี ที่ให้ผลไม่แน่นอนก็มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๘ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๔.สังขารขันธ์
สังขารขันธ์ที่มีธรรมอื่นยิ่งกว่าก็มี ที่ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่าก็มี
สังขารขันธ์ที่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี ที่ไม่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี
สังขารขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอกุศลก็มี ที่
เป็นอัพยากฤตก็มี
ฯลฯ
สังขารขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๙๕] สังขารขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต
สังขารขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี ที่ไม่
เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี
สังขารขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี ที่
สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็มี ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี
ฯลฯ
สังขารขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายนอกตนเป็น
อารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี
ฯลฯ
สังขารขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
ทุกมูลกวาร จบ

ติกมูลกวาร
[๙๖] สังขารขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต
สังขารขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่เป็นเหตุก็มี ที่ไม่เป็นเหตุก็มี
สังขารขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอกุศลก็มี
ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
ฯลฯ
สังขารขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๖๙ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๔.สังขารขันธ์
[๙๗] สังขารขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต
สังขารขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี ที่
ไม่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี
สังขารขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอกุศลก็มี ที่
เป็นอัพยากฤตก็มี
ฯลฯ
สังขารขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๙๘] สังขารขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต
สังขารขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่เป็นเหตุก็มี ที่ไม่เป็นเหตุก็มี
สังขารขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี
ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็มี ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี
ฯลฯ
สังขารขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายนอกตนเป็น
อารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี
ฯลฯ
สังขารขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๙๙] สังขารขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต
สังขารขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี ที่ไม่
เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี
สังขารขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี
ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็มี ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี
ฯลฯ
สังขารขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายนอกตนเป็น
อารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี
ฯลฯ
สังขารขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
ติกมูลกวาร จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๗๐ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๔.สังขารขันธ์
อุภโตวัฑฒกวาร
[๑๐๐] สังขารขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต
สังขารขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่เป็นเหตุก็มี ที่ไม่เป็นเหตุก็มี
สังขารขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอกุศลก็มี
ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
ฯลฯ
สังขารขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๑๐๑] สังขารขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต
สังขารขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่มีเหตุก็มี ที่ไม่มีเหตุก็มี
สังขารขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี ที่
สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็มี ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี
ฯลฯ
สังขารขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๑๐๒] สังขารขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต
สังขารขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยเหตุก็มี ที่วิปปยุต
จากเหตุก็มี
สังขารขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่เป็นวิบากก็มี ที่เป็นเหตุให้เกิด
วิบากก็มี ที่ไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี
ฯลฯ
สังขารขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๑๐๓] สังขารขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต
สังขารขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่เป็นเหตุและมีเหตุก็มี ที่มีเหตุแต่
ไม่เป็นเหตุก็มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๗๑ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๔.สังขารขันธ์
สังขารขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและ
ทิฏฐิยึดถือและเป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิ
ไม่ยึดถือแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่
ยึดถือและไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี
ฯลฯ
สังขารขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๑๐๔] สังขารขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต
สังขารขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่เป็นเหตุและสัมปยุตด้วยเหตุก็มี
ที่สัมปยุตด้วยเหตุแต่ไม่เป็นเหตุก็มี
สังขารขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองและเป็น
อารมณ์ของกิเลสก็มี ที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองแต่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี ที่กิเลส
ไม่ทำให้เศร้าหมองและไม่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี
ฯลฯ
สังขารขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๑๐๕] สังขารขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต
สังขารขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่ไม่เป็นเหตุแต่มีเหตุก็มี ที่ไม่เป็น
เหตุและไม่มีเหตุก็มี
สังขารขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี ที่ไม่มีวิตก
มีเพียงวิจารก็มี ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี
ฯลฯ
สังขารขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๑๐๖] สังขารขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต
สังขารขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่เป็นโลกิยะก็มี ที่เป็นโลกุตตระ
ก็มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๗๒ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๔.สังขารขันธ์
สังขารขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สหรคตด้วยปีติก็มี ที่สหรคตด้วย
สุขก็มี ที่สหรคตด้วยอุเบกขาก็มี
ฯลฯ
สังขารขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๑๐๗] สังขารขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต
สังขารขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่จิตบางดวงรู้ได้ก็มี ที่จิตบางดวง
รู้ไม่ได้ก็มี
สังขารขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค
ก็มี ที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี ที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค
และมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี
ฯลฯ
สังขารขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๑๐๘] สังขารขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต
สังขารขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่เป็นอาสวะก็มี ที่ไม่เป็นอาสวะก็มี
สังขารขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดา-
ปัตติมรรคก็มี ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี ที่ไม่มีเหตุต้องประหาณ
ด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี
ฯลฯ
สังขารขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๑๐๙] สังขารขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต
สังขารขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี ที่ไม่
เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี
สังขารขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิและจุติก็มี
ที่เป็นเหตุให้ถึงนิพพานก็มี ที่ไม่เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิ จุติ และนิพพานก็มี
ฯลฯ
สังขารขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๗๓ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๔.สังขารขันธ์
[๑๑๐] สังขารขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต
สังขารขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอาสวะก็มี ที่วิปปยุต
จากอาสวะก็มี
สังขารขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่เป็นของเสขบุคคลก็มี ที่เป็นของ
อเสขบุคคลก็มี ที่ไม่เป็นของเสขบุคคลและอเสขบุคคลก็มี
ฯลฯ
สังขารขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๑๑๑] สังขารขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต
สังขารขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่เป็นอาสวะและเป็นอารมณ์ของ
อาสวะก็มี ที่เป็นอารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะก็มี
สังขารขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่เป็นปริตตะก็มี ที่เป็นมหัคคตะ
ก็มี ที่เป็นอัปปมาณะก็มี๑
ฯลฯ
สังขารขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๑๑๒] สังขารขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต
สังขารขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่เป็นอาสวะและสัมปยุตด้วยอาสวะ
ก็มี ที่สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะก็มี
สังขารขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่มีปริตตะเป็นอารมณ์ก็มี ที่มี
มหัคคตะเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีอัปปมาณะเป็นอารมณ์ก็มี
ฯลฯ
สังขารขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๑๑๓] สังขารขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต
สังขารขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่วิปปยุตจากอาสวะแต่เป็นอารมณ์
ของอาสวะก็มี ที่วิปปยุตจากอาสวะและไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี

เชิงอรรถ :
๑ อภิ.สงฺ.อ. ๑๒/๙๒

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๗๔ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๔.สังขารขันธ์
สังขารขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่เป็นชั้นต่ำก็มี ที่เป็นชั้นกลางก็มี
ที่เป็นชั้นประณีตก็มี
ฯลฯ
สังขารขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๑๑๔] สังขารขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต
สังขารขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่เป็นสังโยชน์ก็มี ที่ไม่เป็นสังโยชน์
ก็มี
สังขารขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนก็มี
ที่มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอนก็มี ที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองนั้นก็มี
ฯลฯ
สังขารขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๑๑๕] สังขารขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต
สังขารขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี ที่
ไม่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี
สังขารขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่มีมรรคเป็นอารมณ์ก็มี ที่มี
มรรคเป็นเหตุก็มี ที่มีมรรคเป็นอธิบดีก็มี
ฯลฯ
สังขารขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๑๑๖] สังขารขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต
สังขารขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์ก็มี ที่วิปปยุต
จากสังโยชน์ก็มี
สังขารขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่เกิดขึ้นก็มี ที่ยังไม่เกิดขึ้นก็มี
ที่จักเกิดขึ้นแน่นอนก็มี
ฯลฯ
สังขารขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๗๕ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๔.สังขารขันธ์
[๑๑๗] สังขารขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต
สังขารขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่เป็นสังโยชน์และเป็นอารมณ์ของ
สังโยชน์ก็มี ที่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี
สังขารขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่เป็นอดีตก็มี ที่เป็นอนาคตก็มี ที่
เป็นปัจจุบันก็มี
ฯลฯ
สังขารขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๑๑๘] สังขารขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต
สังขารขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่เป็นสังโยชน์และสัมปยุตด้วย
สังโยชน์ก็มี ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี
สังขารขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์ก็มี ที่มี
อนาคตธรรมเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์ก็มี๑
ฯลฯ
สังขารขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๑๑๙] สังขารขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต
สังขารขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่วิปปยุตจากสังโยชน์แต่เป็น
อารมณ์ของสังโยชน์ก็มี ที่วิปปยุตจากสังโยชน์และไม่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี
สังขารขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่เป็นภายในตนก็มี ที่เป็นภายนอก
ตนก็มี ที่เป็นภายในตนและภายนอกตนก็มี
ฯลฯ
สังขารขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๑๒๐] สังขารขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต
สังขารขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่เป็นคันถะก็มี ที่ไม่เป็นคันถะก็มี

เชิงอรรถ :
๑ อภิ.สงฺ.อ. ๑๙/๙๓

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๗๖ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๔.สังขารขันธ์
สังขารขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี
ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็น
อารมณ์ก็มี
ฯลฯ
สังขารขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
อุภโตวัฑฒกวาร จบ

พหุวิธวาร
สังขารขันธ์หมวดละ ๗ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอกุศลก็มี ที่
เป็นอัพยากฤตก็มี ที่เป็นกามาวจรก็มี ที่เป็นรูปาวจรก็มี ที่เป็นอรูปาวจรก็มี ที่
ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี
สังขารขันธ์หมวดละ ๗ มีด้วยอาการอย่างนี้
สังขารขันธ์หมวดละ ๗ อีกหมวดหนึ่ง ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วย
สุขเวทนาก็มี ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็มี ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี ที่
เป็นกามาวจรก็มี ฯลฯ
สังขารขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายนอกตนเป็น
อารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี ที่เป็นกามาวจรก็มี
ที่เป็นรูปาวจรก็มี ที่เป็นอรูปาวจรก็มี ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี
สังขารขันธ์หมวดละ ๗ มีด้วยอาการอย่างนี้
สังขารขันธ์หมวดละ ๒๔ ได้แก่ เพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัย สังขารขันธ์
ที่เป็นกุศล ๑ ที่เป็นอกุศล ๑ ที่เป็นอัพยากฤต ๑ จึงมี
เพราะโสตสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะฆานสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะชิวหาสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะกายสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๗๗ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๔.สังขารขันธ์
เพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย สังขารขันธ์ที่เป็นกุศล ๑ ที่เป็นอกุสล ๑ ที่เป็น
อัพยากฤต ๑ จึงมี
เจตนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส ฯลฯ เจตนาที่เกิดแต่มโนสัมผัส
สังขารขันธ์หมวดละ ๒๔ มีด้วยอาการอย่างนี้
สังขารขันธ์หมวดละ ๒๔ อีกหมวดหนึ่ง ได้แก่ เพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัย
สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา ๑ ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา ๑ ที่สัมปยุต
ด้วยอทุกขมสุขเวทนา ๑ จึงมี
ฯลฯ
สังขารขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายนอกตนเป็น
อารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี
เจตนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส ฯลฯ เจตนาที่เกิดแต่มโนสัมผัส
เพราะโสตสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะฆานสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะชิวหาสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะกายสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา ๑ จึงมี
ฯลฯ
สังขารขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายนอกตนเป็น
อารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี
เจตนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส ฯลฯ เจตนาที่เกิดแต่มโนสัมผัส
สังขารขันธ์หมวดละ ๒๔ มีด้วยอาการอย่างนี้
สังขารขันธ์หมวดละ ๓๐ ได้แก่ เพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัย สังขารขันธ์
ที่เป็นกามาวจร ๑ ที่เป็นรูปาวจร ๑ ที่เป็นอรูปาวจร ๑ ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์
๑ จึงมี
เพราะโสตสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะฆานสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะชิวหาสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๗๘ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๔.สังขารขันธ์
เพราะกายสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ เพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย สังขารขันธ์ที่เป็น
กามาวจร ๑ ที่เป็นรูปาวจร ๑ ที่เป็นอรูปาวจร ๑ ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ ๑ จึงมี
เจตนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส ฯลฯ เจตนาที่เกิดแต่มโนสัมผัส
สังขารขันธ์หมวดละ ๓๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
สังขารขันธ์หมวดละมากอย่าง ได้แก่ เพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัย สังขาร-
ขันธ์ที่เป็นกุศล ๑ ที่เป็นอกุศล ๑ ที่เป็นอัพยากฤต ๑ ที่เป็นกามาวจร ๑ ที่เป็น
รูปาวจร ๑ ที่เป็นอรูปาวจร ๑ ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ ๑ จึงมี
เพราะโสตสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะฆานสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะชิวหาสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะกายสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย สังขารขันธ์ที่เป็นกุศล ๑ ที่เป็นอกุศล ๑ ที่เป็น
อัพยากฤต ๑ ที่เป็นกามาวจร ๑ ที่เป็นรูปาวจร ๑ ที่เป็นอรูปาวจร ๑ ที่ไม่นับ
เนื่องในวัฏฏทุกข์ ๑ จึงมี
เจตนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส ฯลฯ เจตนาที่เกิดแต่มโนสัมผัส
สังขารขันธ์หมวดละมากอย่างมีด้วยอาการอย่างนี้
สังขารขันธ์หมวดละมากอย่าง อีกหมวดหนึ่ง ได้แก่ เพราะจักขุสัมผัสเป็น
ปัจจัย สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา ๑ ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา ๑ ที่
สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา ๑ จึงมี
ฯลฯ
สังขารขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายนอกตนเป็น
อารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี ที่เป็นกามาวจรก็มี
ที่เป็นรูปาวจรก็มี ที่เป็นอรูปาวจรก็มี ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี
เพราะโสตสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะฆานสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะชิวหาสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะกายสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๗๙ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๕.วิญญาณขันธ์
เพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา ๑ ฯลฯ
สังขารขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์
ก็มี ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี ที่เป็นกามาวจรก็มี ที่เป็น
รูปาวจรก็มี ที่เป็นอรูปาวจรก็มี ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี
เจตนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส ฯลฯ เจตนาที่เกิดแต่มโนสัมผัส
สังขารขันธ์หมวดละมากอย่างมีด้วยอาการอย่างนี้
นี้เรียกว่า สังขารขันธ์
พหุวิธวาร จบ

๕. วิญญาณขันธ์
ทุกมูลกวาร
[๑๒๑] บรรดาขันธ์ ๕ นั้น วิญญาณขันธ์ เป็นไฉน
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่มีเหตุก็มี ที่ไม่มีเหตุก็มี
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอกุศล
ก็มี ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๔ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่เป็นกามาวจรก็มี ที่เป็น
รูปาวจรก็มี ที่เป็นอรูปาวจรก็มี ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๕ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขินทรีย์ก็มี
ที่สัมปยุตด้วยทุกขินทรีย์ก็มี ที่สัมปยุตด้วยโสมนัสสินทรีย์ก็มี ที่สัมปยุตด้วย
โทมนัสสินทรีย์ก็มี ที่สัมปยุตด้วยอุเปกขินทรีย์ก็มี
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๕ มีด้วยอาการอย่างนี้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๘๐ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๕.วิญญาณขันธ์
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๖ ได้แก่ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ
ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ และมโนวิญญาณ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๖ มีด้วยอาการอย่างนี้
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๗ ได้แก่ จักขุวิญญาณ ฯลฯ กายวิญญาณ มโนธาตุ
และมโนวิญญาณธาตุ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๗ มีด้วยอาการอย่างนี้
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๘ ได้แก่ จักขุวิญญาณ ฯลฯ กายวิญญาณ ที่สหรคต
ด้วยสุขก็มี ที่สหรคตด้วยทุกข์ก็มี มโนธาตุ และมโนวิญญาณธาตุ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๘ มีด้วยอาการอย่างนี้
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๙ ได้แก่ จักขุวิญญาณ ฯลฯ กายวิญญาณ
มโนธาตุ และมโนวิญญาณธาตุ ที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอกุศลก็มี ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๙ มีด้วยอาการอย่างนี้
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑๐ ได้แก่ จักขุวิญญาณ ฯลฯ กายวิญญาณ ที่
สหรคตด้วยสุขก็มี ที่สหรคตด้วยทุกข์ก็มี มโนธาตุ และมโนวิญญาณธาตุ ที่เป็น
กุศลก็มี ที่เป็นอกุศลก็มี ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๑๒๒] วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่มีเหตุก็มี ที่ไม่มีเหตุก็มี
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี ที่
สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็มี ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี
วิญญาณขันธ์ที่เป็นวิบากก็มี ที่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี ที่ไม่เป็นวิบากและไม่
เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี
วิญญาณขันธ์ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือและเป็นอารมณ์ของ
อุปาทานก็มี ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือแต่เป็นอารมณ์ของ
อุปาทานก็มี ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือและไม่เป็นอารมณ์ของ
อุปาทานก็มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๘๑ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๕.วิญญาณขันธ์
วิญญาณขันธ์ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองและเป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี ที่กิเลสไม่
ทำให้เศร้าหมองแต่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี ที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองและไม่เป็น
อารมณ์ของกิเลสก็มี
วิญญาณขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารก็มี ที่ไม่มีทั้ง
วิตกและวิจารก็มี
วิญญาณขันธ์ที่สหรคตด้วยปีติก็มี ที่สหรคตด้วยสุขก็มี ที่สหรคตด้วยอุเบกขา
ก็มี
วิญญาณขันธ์ที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี ที่ต้องประหาณด้วยมรรค
เบื้องบน ๓ ก็มี ที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี
วิญญาณขันธ์ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี ที่มีเหตุต้อง
ประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี ที่ไม่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและ
มรรคเบื้องบน ๓ ก็มี
วิญญาณขันธ์ที่เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิและจุติก็มี ที่เป็นเหตุให้ถึงนิพพานก็มี
ที่ไม่เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิ จุติ และนิพพานก็มี
วิญญาณขันธ์ที่เป็นของเสขบุคคลก็มี ที่เป็นของอเสขบุคคลก็มี ที่ไม่เป็นของ
เสขบุคคลและอเสขบุคคลก็มี
วิญญาณขันธ์ที่เป็นปริตตะก็มี ที่เป็นมหัคคตะก็มี ที่เป็นอัปปมาณะก็มี
วิญญาณขันธ์ที่มีปริตตะเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีมหัคคตะเป็นอารมณ์ก็มี ที่มี
อัปปมาณะเป็นอารมณ์ก็มี
วิญญาณขันธ์ที่เป็นชั้นต่ำก็มี ที่เป็นชั้นกลางก็มี ที่เป็นชั้นประณีตก็มี
วิญญาณขันธ์ที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอนก็มี ที่มีสภาวะชอบและให้ผล
แน่นอนก็มี ที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองนั้นก็มี
วิญญาณขันธ์ที่มีมรรคเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีมรรคเป็นเหตุก็มี ที่มีมรรคเป็น
อธิบดีก็มี
วิญญาณขันธ์ที่เกิดขึ้นก็มี ที่ยังไม่เกิดขึ้นก็มี ที่จักเกิดขึ้นแน่นอนก็มี
วิญญาณขันธ์ที่เป็นอดีตก็มี ที่เป็นอนาคตก็มี ที่เป็นปัจจุบันก็มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๘๒ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๕.วิญญาณขันธ์
วิญญาณขันธ์ที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์ก็มี
ที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์ก็มี
วิญญาณขันธ์ที่เป็นภายในตนก็มี ที่เป็นภายนอกตนก็มี ที่เป็นภายในตนและ
ภายนอกตนก็มี
วิญญาณขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายนอกตนเป็น
อารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๑๒๓] วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยเหตุก็มี ที่
วิปปยุตจากเหตุก็มี
วิญญาณขันธ์ที่ไม่เป็นเหตุแต่มีเหตุก็มี ที่ไม่เป็นเหตุและไม่มีเหตุก็มี
วิญญาณขันธ์ที่เป็นโลกิยะก็มี ที่เป็นโลกุตตระก็มี
วิญญาณขันธ์ที่จิตบางดวงรู้ได้ก็มี ที่จิตบางดวงรู้ไม่ได้ก็มี
วิญญาณขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี ที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี
วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอาสวะก็มี ที่วิปปยุตจากอาสวะก็มี
วิญญาณขันธ์ที่วิปปยุตจากอาสวะแต่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี ที่วิปปยุตจาก
อาสวะและไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี
วิญญาณขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี ที่ไม่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี
วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์ก็มี ที่วิปปยุตจากสังโยชน์ก็มี
วิญญาณขันธ์ที่วิปปยุตจากสังโยชน์แต่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี ที่วิปปยุต
จากสังโยชน์และไม่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี
วิญญาณขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี ที่ไม่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี
วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยคันถะก็มี ที่วิปปยุตจากคันถะก็มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๘๓ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๕.วิญญาณขันธ์
วิญญาณขันธ์ที่วิปปยุตจากคันถะแต่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี ที่วิปปยุตจาก
คันถะและไม่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี
วิญญาณขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของโอฆะก็มี ที่ไม่เป็นอารมณ์ของโอฆะก็มี
วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยโอฆะก็มี ที่วิปปยุตจากโอฆะก็มี
วิญญาณขันธ์ที่วิปปยุตจากโอฆะแต่เป็นอารมณ์ของโอฆะก็มี ที่วิปปยุตจาก
โอฆะและไม่เป็นอารมณ์ของโอฆะก็มี
วิญญาณขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของโยคะก็มี ที่ไม่เป็นอารมณ์ของโยคะก็มี
วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยโยคะก็มี ที่วิปปยุตจากโยคะก็มี
วิญญาณขันธ์ที่วิปปยุตจากโยคะแต่เป็นอารมณ์ของโยคะก็มี ที่วิปปยุตจาก
โยคะและไม่เป็นอารมณ์ของโยคะก็มี
วิญญาณขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี ที่ไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี
วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยนิวรณ์ก็มี ที่วิปปยุตจากนิวรณ์ก็มี
วิญญาณขันธ์ที่วิปปยุตจากนิวรณ์แต่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี ที่วิปปยุตจาก
นิวรณ์และไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี
วิญญาณขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี ที่ไม่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี
วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยปรามาสก็มี ที่วิปปยุตจากปรามาสก็มี
วิญญาณขันธ์ที่วิปปยุตจากปรามาสแต่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี ที่วิปปยุต
จากปรามาสและไม่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี
วิญญาณขันธ์ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือก็มี ที่กรรมอัน
ประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือก็มี
วิญญาณขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี ที่ไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี
วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอุปาทานก็มี ที่วิปปยุตจากอุปาทานก็มี
วิญญาณขันธ์ที่วิปปยุตจากอุปาทานแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี ที่วิปปยุต
จากอุปาทานและไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี
วิญญาณขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี ที่ไม่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี
วิญญาณขันธ์ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองก็มี ที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองก็มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๘๔ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๕.วิญญาณขันธ์
วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยกิเลสก็มี ที่วิปปยุตจากกิเลสก็มี
วิญญาณขันธ์ที่วิปปยุตจากกิเลสแต่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี ที่วิปปยุตจาก
กิเลสและไม่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี
วิญญาณขันธ์ที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี ที่ไม่ต้องประหาณด้วย
โสดาปัตติมรรคก็มี
วิญญาณขันธ์ที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี ที่ไม่ต้องประหาณด้วย
มรรคเบื้องบน ๓ ก็มี
วิญญาณขันธ์ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี ที่ไม่มีเหตุต้อง
ประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี
วิญญาณขันธ์ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี ที่ไม่มีเหตุต้อง
ประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี
วิญญาณขันธ์ที่มีวิตกก็มี ที่ไม่มีวิตกก็มี
วิญญาณขันธ์ที่มีวิจารก็มี ที่ไม่มีวิจารก็มี
วิญญาณขันธ์ที่มีปีติก็มี ที่ไม่มีปีติก็มี
วิญญาณขันธ์ที่สหรคตด้วยปีติก็มี ที่ไม่สหรคตด้วยปีติก็มี
วิญญาณขันธ์ที่สหรคตด้วยสุขก็มี ที่ไม่สหรคตด้วยสุขก็มี
วิญญาณขันธ์ที่สหรคตด้วยอุเบกขาก็มี ที่ไม่สหรคตด้วยอุเบกขาก็มี
วิญญาณขันธ์ที่เป็นกามาวจรก็มี ที่ไม่เป็นกามาวจรก็มี
วิญญาณขันธ์ที่เป็นรูปาวจรก็มี ที่ไม่เป็นรูปาวจรก็มี
วิญญาณขันธ์ที่เป็นอรูปาวจรก็มี ที่ไม่เป็นอรูปาวจรก็มี
วิญญาณขันธ์ที่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี
วิญญาณขันธ์ที่เป็นเหตุนำออกจากวัฏฏทุกข์ก็มี ที่ไม่เป็นเหตุนำออกจาก
วัฏฏทุกข์ก็มี
วิญญาณขันธ์ที่ให้ผลแน่นอนก็มี ที่ให้ผลไม่แน่นอนก็มี
วิญญาณขันธ์ที่มีธรรมอื่นยิ่งกว่าก็มี ที่ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่าก็มี
วิญญาณขันธ์ที่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี ที่ไม่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๘๕ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๕.วิญญาณขันธ์
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอกุศล
ก็มี ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๑๒๔] วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี
ที่ไม่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี
ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็มี ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี
วิญญาณขันธ์ที่เป็นวิบากก็มี ฯลฯ
วิญญาณขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายนอกตนเป็น
อารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
ทุกมูลกวาร จบ

ติกมูลกวาร
[๑๒๕] วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่มีเหตุก็มี ที่ไม่มีเหตุก็มี
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอกุศลก็มี
ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๑๒๖] วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยเหตุก็มี ที่
วิปปยุตจากเหตุก็มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๘๖ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๕.วิญญาณขันธ์
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์ที่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี ที่ไม่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอกุศลก็มี
ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๑๒๗] วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่มีเหตุก็มี ที่ไม่มีเหตุก็มี
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี ที่
สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็มี ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี
วิญญาณขันธ์ที่เป็นวิบากก็มี ฯลฯ
วิญญาณขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายนอกตนเป็น
อารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๑๒๘] วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยเหตุก็มี ที่
วิปปยุตจากเหตุก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์ที่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี ที่ไม่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์
ก็มี ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็น
อารมณ์ก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
ติกมูลกวาร จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๘๗ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๕.วิญญาณขันธ์
อุภโตวัฑฒกวาร
[๑๒๙] วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่มีเหตุก็มี ที่ไม่มีเหตุก็มี
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอกุศล
ก็มี ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๑๓๐] วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยเหตุก็มี ที่
วิปปยุตจากเหตุก็มี
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี ที่
สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็มี ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๑๓๑] วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่ไม่เป็นเหตุแต่มีเหตุก็มี ที่
ไม่เป็นเหตุและไม่มีเหตุก็มี
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่เป็นวิบากก็มี ที่เป็นเหตุ
ให้เกิดวิบากก็มี ที่ไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๑๓๒] วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่เป็นโลกิยะก็มี ที่เป็น
โลกุตตระก็มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๘๘ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๕.วิญญาณขันธ์
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหา
และทิฏฐิยึดถือและเป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและ
ทิฏฐิไม่ยึดถือแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและ
ทิฏฐิไม่ยึดถือและไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๑๓๓] วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่จิตบางดวงรู้ได้ก็มี ที่จิต
บางดวงรู้ไม่ได้ก็มี๑
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองและ
เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี ที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองแต่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี ที่
กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองและไม่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๑๓๔] วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี
ที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี ที่ไม่
มีวิตกมีเพียงวิจารก็มี ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๑๓๕] วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอาสวะก็มี ที่
วิปปยุตจากอาสวะก็มี

เชิงอรรถ :
๑ อภิ.สงฺ.อ. ๗-๑๓/๙๕,๑๑๐๑/๔๒๖

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๘๙ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๕.วิญญาณขันธ์
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่สหรคตด้วยปีติก็มี ที่สหรคต
ด้วยสุขก็มี ที่สหรคตด้วยอุเบกขาก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๑๓๖] วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่วิปปยุตจากอาสวะแต่เป็น
อารมณ์ของอาสวะก็มี ที่วิปปยุตจากอาสวะและไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่ต้องประหาณด้วยโสดา-
ปัตติมรรคก็มี ที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี ที่ไม่ต้องประหาณด้วย
โสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๑๓๗] วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี
ที่ไม่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่มีเหตุต้องประหาณด้วย
โสดาปัตติมรรคก็มี ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี ที่ไม่มีเหตุต้อง
ประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๑๓๘] วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์ก็มี ที่
วิปปยุตจากสังโยชน์ก็มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๙๐ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๕.วิญญาณขันธ์
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิและจุติ
ก็มี ที่เป็นเหตุให้ถึงนิพพานก็มี ที่ไม่เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิ จุติ และนิพพานก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๑๓๙] วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่วิปปยุตจากสังโยชน์แต่เป็น
อารมณ์ของสังโยชน์ก็มี ที่วิปปยุตจากสังโยชน์และไม่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่เป็นของเสขบุคคลก็มี ที่เป็น
ของอเสขบุคคลก็มี ที่ไม่เป็นของเสขบุคคลและอเสขบุคคลก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๑๔๐] วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี
ที่ไม่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่เป็นปริตตะก็มี ที่เป็นมหัคคตะ
ก็มี ที่เป็นอัปปมาณะก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๑๔๑] วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยคันถะก็มี๑ ที่
วิปปยุตจากคันถะก็มี
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่มีปริตตะเป็นอารมณ์ก็มี ที่มี
มหัคคตะเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีอัปปมาณะเป็นอารมณ์ก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้

เชิงอรรถ :
๑ ดู คันถะ ๔ ข้อ ๙๓๘ หน้า ๕๘๗

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๙๑ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๕.วิญญาณขันธ์
[๑๔๒] วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่วิปปยุตจากคันถะแต่เป็น
อารมณ์ของคันถะก็มี ที่วิปปยุตจากคันถะและไม่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่เป็นชั้นต่ำก็มี ที่เป็นชั้นกลาง
ก็มี ที่เป็นชั้นประณีตก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๑๔๓] วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของโอฆะก็มี๑
ที่ไม่เป็นอารมณ์ของโอฆะก็มี
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอน
ก็มี ที่มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอนก็มี ที่ไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองนั้นก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๑๔๔] วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยโอฆะก็มี ที่
วิปปยุตจากโอฆะก็มี
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่มีมรรคเป็นอารมณ์ก็มี ที่
มีมรรคเป็นเหตุก็มี ที่มีมรรคเป็นอธิบดีก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๑๔๕] วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่วิปปยุตจากโอฆะแต่เป็น
อารมณ์ของโอฆะก็มี ที่วิปปยุตจากโอฆะและไม่เป็นอารมณ์ของโอฆะก็มี

เชิงอรรถ :
๑ ดู โอฆะ ๔ ข้อ ๙๓๘ หน้า ๕๘๘

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๙๒ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๕.วิญญาณขันธ์
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่เกิดขึ้นก็มี ที่ยังไม่เกิดขึ้นก็มี
ที่จักเกิดขึ้นแน่นอนก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๑๔๖] วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของโยคะก็มี
ที่ไม่เป็นอารมณ์ของโยคะก็มี
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่เป็นอดีตก็มี ที่เป็นอนาคต
ก็มี ที่เป็นปัจจุบันก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๑๔๗] วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยโยคะก็มี ที่
วิปปยุตจากโยคะก็มี
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์ก็มี
ที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์ก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
[๑๔๘] วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่วิปปยุตจากโยคะแต่เป็น
อารมณ์ของโยคะก็มี ที่วิปปยุตจากโยคะและไม่เป็นอารมณ์ของโยคะก็มี
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่เป็นภายในตนก็มี ที่เป็น
ภายนอกตนก็มี ที่เป็นภายในตนและภายนอกตนก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๙๓ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๕.วิญญาณขันธ์
[๑๔๙] วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี
ที่ไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์
ก็มี ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็น
อารมณ์ก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
อุภโตวัฑฒกวาร จบ

พหุวิธวาร
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๗ ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอกุศลก็มี
ที่เป็นอัพยากฤตก็มี ที่เป็นกามาวจรก็มี ที่เป็นรูปาวจรก็มี ที่เป็นอรูปาวจรก็มี ที่ไม่
นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๗ มีด้วยอาการอย่างนี้
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๗ อีกหมวดหนึ่ง ได้แก่ วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วย
สุขเวทนาก็มี ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็มี ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี ที่
เป็นกามาวจรก็มี ที่เป็นรูปาวจรก็มี ที่เป็นอรูปาวจรก็มี ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์
ก็มี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายนอกตนเป็น
อารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี ที่เป็นกามาวจรก็มี
ที่เป็นรูปาวจรก็มี ที่เป็นอรูปาวจรก็มี ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๗ มีด้วยอาการอย่างนี้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๙๔ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๕.วิญญาณขันธ์
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๒๔ ได้แก่ เพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัย วิญญาณขันธ์
ที่เป็นกุศล ๑ ที่เป็นอกุศล ๑ ที่เป็นอัพยากฤต ๑ จึงมี
เพราะโสตสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะฆานสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะชิวหาสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะกายสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย วิญญาณขันธ์ที่เป็นกุศล ๑ ที่เป็นอกุศล ๑ ที่
เป็นอัพยากฤต ๑ จึงมี
จักขุวิญญาณ ฯลฯ มโนวิญญาณ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๒๔ มีด้วยอาการอย่างนี้
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๒๔ อีกหมวดหนึ่ง ได้แก่ เพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัย
วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา ๑ ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา ๑ ที่สัมปยุต
ด้วยอทุกขมสุขเวทนา ๑ จึงมี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายนอกตนเป็น
อารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี
จักขุวิญญาณ ฯลฯ กายวิญญาณ และมโนวิญญาณ
เพราะโสตสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะฆานสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะชิวหาสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย วิญญาณขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ ๑
ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ ๑ ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็น
อารมณ์ ๑ จึงมี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๙๕ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๕.วิญญาณขันธ์
จักขุวิญญาณ ฯลฯ มโนวิญญาณ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๒๔ มีด้วยอาการอย่างนี้
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๓๐ ได้แก่ เพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัย วิญญาณขันธ์
ที่เป็นกามาวจร ๑ ที่เป็นรูปาวจร ๑ ที่เป็นอรูปาวจร ๑ ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ ๑
จึงมี
เพราะโสตสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะฆานสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะชิวหาสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะกายสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย วิญญาณขันธ์ที่เป็นกามาวจร ๑ ที่เป็นรูปาวจร ๑
ที่เป็นอรูปาวจร ๑ ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ ๑ จึงมี
จักขุวิญญาณ ฯลฯ มโนวิญญาณ
วิญญาณขันธ์หมวดละ ๓๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
วิญญาณขันธ์หมวดละมากอย่าง ได้แก่ เพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัย วิญญาณ-
ขันธ์ที่เป็นกุศล ๑ ที่เป็นอกุศล ๑ ที่เป็นอัพยากฤต ๑ ที่เป็นกามาวจร ๑ ที่เป็น
รูปาวจร ๑ ที่เป็นอรูปาวจร ๑ ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ ๑ จึงมี
จักขุวิญญาณ ฯลฯ มโนวิญญาณ
เพราะโสตสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะฆานสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะชิวหาสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะกายสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย วิญญาณขันธ์ที่เป็นกุศล ๑ ที่เป็นอกุศล ๑ ที่เป็น
อัพยากฤต ๑ ที่เป็นกามาวจร ๑ ที่เป็นรูปาวจร ๑ ที่เป็นอรูปาวจร ๑ ที่ไม่นับ
เนื่องในวัฏฏทุกข์ ๑ จึงมี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๙๖ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์ ๕.วิญญาณขันธ์
จักขุวิญญาณ ฯลฯ มโนวิญญาณ
วิญญาณขันธ์หมวดละมากอย่างมีด้วยอาการอย่างนี้
วิญญาณขันธ์หมวดละมากอย่าง อีกหมวดหนึ่ง ได้แก่ เพราะจักขุสัมผัสเป็น
ปัจจัย วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา ๑ ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา ๑ ที่
สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา ๑ จึงมี
ฯลฯ
วิญญาณขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายนอกตนเป็น
อารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี ที่เป็นกามาวจรก็มี
ที่เป็นรูปาวจรก็มี ที่เป็นอรูปาวจรก็มี ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี
เพราะโสตสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะฆานสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะชิวหาสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะกายสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ
เพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา ๑ ฯลฯ
วิญญาณขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายนอกตนเป็น
อารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี ที่เป็นกามาวจรก็มี
ที่เป็นรูปาวจรก็มี ที่เป็นอรูปาวจรก็มี ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี
จักขุวิญญาณ ฯลฯ มโนวิญญาณ
วิญญาณขันธ์หมวดละมากอย่างมีด้วยอาการอย่างนี้
นี้เรียกว่า วิญญาณขันธ์
พหุวิธวาร จบ

อภิธรรมภาชนีย์ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๙๗ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๓.ปัญหาปุจฉกะ ๑.ติกมาติกาวิสัชนา
๓. ปัญหาปุจฉกะ
[๑๕๐] ขันธ์ ๕ คือ
๑. รูปขันธ์
๒. เวทนาขันธ์
๓. สัญญาขันธ์
๔. สังขารขันธ์
๕. วิญญาณขันธ์

ติกมาติกาปุจฉา ทุกมาติกาปุจฉา
[๑๕๑] บรรดาขันธ์ ๕ ขันธ์เท่าไรเป็นกุศล เท่าไรเป็นอกุศล เท่าไรเป็น
อัพยากฤต ฯลฯ เท่าไรเป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ เท่าไรไม่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้

๑. ติกมาติกาวิสัชนา
๑. กุสลติกวิสัชนา
[๑๕๒] รูปขันธ์เป็นอัพยากฤต ขันธ์ ๔ ที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอกุศลก็มี ที่
เป็นอัพยากฤตก็มี

๒. เวทนาติกวิสัชนา
ขันธ์ ๒ กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยสุขเวทนา สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา หรือ
สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา ขันธ์ ๓ ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี ที่สัมปยุตด้วย
ทุกขเวทนาก็มี ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี

๓. วิปากติกวิสัชนา
รูปขันธ์ไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบาก ขันธ์ ๔ ที่เป็นวิบากก็มี ที่
เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี ที่ไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๙๘ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๓.ปัญหาปุจฉกะ ๑.ติกมาติกาวิสัชนา
๔. อุปาทินนติกวิสัชนา
รูปขันธ์ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือและเป็นอารมณ์ของ
อุปาทานก็มี ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือแต่เป็นอารมณ์ของ
อุปาทานก็มี ขันธ์ ๔ ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือและเป็นอารมณ์
ของอุปาทานก็มี ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือแต่เป็นอารมณ์ของ
อุปาทานก็มี ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือและไม่เป็นอารมณ์ของ
อุปาทานก็มี

๕. สังกิลิฏฐติกวิสัชนา
รูปขันธ์กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองแต่เป็นอารมณ์ของกิเลส ขันธ์ ๔ ที่กิเลส
ทำให้เศร้าหมองและเป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี ที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองแต่เป็น
อารมณ์ของกิเลสก็มี ที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองและไม่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี

๖. สวิตักกติกวิสัชนา
รูปขันธ์ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร ขันธ์ ๓ ที่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี ที่ไม่มีวิตกมี
เพียงวิจารก็มี ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี สังขารขันธ์ที่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี ที่ไม่มี
วิตกมีเพียงวิจารก็มี ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า มีทั้งวิตกและวิจาร
ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร หรือไม่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี

๗. ปีติติกวิสัชนา
รูปขันธ์กล่าวไม่ได้ว่า สหรคตด้วยปีติ สหรคตด้วยสุข หรือสหรคตด้วยอุเบกขา
เวทนาขันธ์ที่สหรคตด้วยปีติแต่ไม่สหรคตด้วยสุขและไม่สหรคตด้วยอุเบกขาก็มี ที่
กล่าวไม่ได้ว่า สหรคตด้วยปีติก็มี ขันธ์ ๓ ที่สหรคตด้วยปีติก็มี ที่สหรคตด้วยสุขก็มี
ที่สหรคตด้วยอุเบกขาก็มี แต่กล่าวไม่ได้ว่า สหรคตด้วยปีติ สหรคตด้วยสุข หรือ
สหรคตด้วยอุเบกขาก็มี

๘. ทัสสนติกวิสัชนา
รูปขันธ์ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ ขันธ์ ๔ ที่
ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี ที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี ที่
ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๙๙ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๓.ปัญหาปุจฉกะ ๑.ติกมาติกาวิสัชนา
๙. ทัสสนเหตุติกวิสัชนา
รูปขันธ์ไม่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ ขันธ์ ๔
ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน
๓ ก็มี ที่ไม่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี

๑๐. อาจยคามิติกวิสัชนา
รูปขันธ์ไม่เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิ จุติ และนิพพาน ขันธ์ ๔ ที่เป็นเหตุให้ถึง
ปฏิสนธิและจุติก็มี ที่เป็นเหตุให้ถึงนิพพานก็มี ที่ไม่เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิ จุติ และ
นิพพานก็มี

๑๑. เสกขติกวิสัชนา
รูปขันธ์ไม่เป็นของเสขบุคคลและอเสขบุคคล ขันธ์ ๔ ที่เป็นของเสขบุคคลก็มี
ที่เป็นของอเสขบุคคลก็มี ที่ไม่เป็นของเสขบุคคลและอเสขบุคคลก็มี

๑๒. ปริตตติกวิสัชนา
รูปขันธ์เป็นปริตตะ ขันธ์ ๔ ที่เป็นปริตตะก็มี ที่เป็นมหัคคตะก็มี ที่เป็น
อัปปมาณะก็มี

๑๓. ปริตตารัมมณติกวิสัชนา
รูปขันธ์รับรู้อารมณ์ไม่ได้ ขันธ์ ๔ ที่มีปริตตะเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีมหัคคตะ
เป็นอารมณ์ก็มี ที่มีอัปปมาณะเป็นอารมณ์ก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า มีปริตตะเป็นอารมณ์
มีมหัคคตะเป็นอารมณ์ หรือมีอัปปมาณะเป็นอารมณ์ก็มี

๑๔. หีนติกวิสัชนา
รูปขันธ์เป็นชั้นกลาง ขันธ์ ๔ ที่เป็นชั้นต่ำก็มี ที่เป็นชั้นกลางก็มี ที่เป็นชั้น
ประณีตก็มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๐๐ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๓.ปัญหาปุจฉกะ ๑.ติกมาติกาวิสัชนา
๑๕. มิจฉัตตติกวิสัชนา
รูปขันธ์เป็นธรรมชาติไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองนั้น ขันธ์ ๔ ที่มีสภาวะผิด
และให้ผลแน่นอนก็มี ที่มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอนก็มี ที่เป็นธรรมชาติไม่แน่
นอนโดยอาการทั้งสองนั้นก็มี

๑๖. มัคคารัมมณติกวิสัชนา
รูปขันธ์รับรู้อารมณ์ไม่ได้ ขันธ์ ๔ ที่มีมรรคเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีมรรคเป็นเหตุ
ก็มี ที่มีมรรคเป็นอธิบดีก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า มีมรรคเป็นอารมณ์ มีมรรคเป็นเหตุ
หรือมีมรรคเป็นอธิบดีก็มี

๑๗. อุปปันนติกวิสัชนา
ขันธ์ ๕ ที่เกิดขึ้นก็มี ที่ยังไม่เกิดขึ้นก็มี ที่จักเกิดขึ้นแน่นอนก็มี

๑๘. อตีตติกวิสัชนา
ขันธ์ ๕ ที่เป็นอดีตก็มี ที่เป็นอนาคตก็มี ที่เป็นปัจจุบันก็มี

๑๙. อตีตารัมมณติกวิสัชนา
รูปขันธ์รับรู้อารมณ์ไม่ได้ ขันธ์ ๔ ที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีอนาคต
ธรรมเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์ก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า มีอดีตธรรม
เป็นอารมณ์ มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์ หรือมีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์ก็มี

๒๐. อัชฌัตตติกวิสัชนา
ขันธ์ ๕ ที่เป็นภายในตนก็มี ที่เป็นภายนอกตนก็มี ที่เป็นภายในตนและภาย
นอกตนก็มี

๒๑. อัชฌัตตารัมมณติกวิสัชนา
รูปขันธ์รับรู้อารมณ์ไม่ได้ ขันธ์ ๔ ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีธรรม
ภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี ที่

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๐๑ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๓.ปัญหาปุจฉกะ ๒.ทุกมาติกาวิสัชนา
กล่าวไม่ได้ว่า มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ หรือมี
ธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี

๒๒. สนิทัสสนติกวิสัชนา
ขันธ์ ๔ เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้ รูปขันธ์ที่เห็นได้และกระทบได้ก็มี ที่เห็นไม่
ได้แต่กระทบได้ก็มี ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้ก็มี

๒. ทุกมาติกาวิสัชนา
๑. เหตุโคจฉกวิสัชนา
[๑๕๓] ขันธ์ ๔ ไม่เป็นเหตุ สังขารขันธ์ที่เป็นเหตุก็มี ที่ไม่เป็นเหตุก็มี
รูปขันธ์ไม่มีเหตุ ขันธ์ ๔ ที่มีเหตุก็มี ที่ไม่มีเหตุก็มี
รูปขันธ์วิปปยุตจากเหตุ ขันธ์ ๔ ที่สัมปยุตด้วยเหตุก็มี ที่วิปปยุตจากเหตุก็มี
รูปขันธ์กล่าวไม่ได้ว่า เป็นเหตุและมีเหตุ หรือมีเหตุแต่ไม่เป็นเหตุ ขันธ์ ๓
กล่าวไม่ได้ว่า เป็นเหตุและมีเหตุ ที่มีเหตุแต่ไม่เป็นเหตุก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า มีเหตุแต่
ไม่เป็นเหตุก็มี สังขารขันธ์ที่เป็นเหตุและมีเหตุก็มี ที่มีเหตุแต่ไม่เป็นเหตุก็มี ที่กล่าว
ไม่ได้ว่า เป็นเหตุและมีเหตุ หรือมีเหตุแต่ไม่เป็นเหตุก็มี
รูปขันธ์กล่าวไม่ได้ว่า เป็นเหตุและสัมปยุตด้วยเหตุ หรือสัมปยุตด้วยเหตุแต่ไม่
เป็นเหตุ ขันธ์ ๓ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นเหตุและสัมปยุตด้วยเหตุ ที่สัมปยุตด้วยเหตุแต่
ไม่เป็นเหตุก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยเหตุแต่ไม่เป็นเหตุก็มี สังขารขันธ์ที่เป็น
เหตุและสัมปยุตด้วยเหตุก็มี ที่สัมปยุตด้วยเหตุแต่ไม่เป็นเหตุก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า
เป็นเหตุและสัมปยุตด้วยเหตุ หรือสัมปยุตด้วยเหตุแต่ไม่เป็นเหตุก็มี
รูปขันธ์ไม่เป็นเหตุและไม่มีเหตุ ขันธ์ ๓ ที่ไม่เป็นเหตุแต่มีเหตุก็มี ที่ไม่เป็น
เหตุและไม่มีเหตุก็มี สังขารขันธ์ที่ไม่เป็นเหตุแต่มีเหตุก็มี ที่ไม่เป็นเหตุและไม่มีเหตุ
ก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า ไม่เป็นเหตุแต่มีเหตุ หรือไม่เป็นเหตุและไม่มีเหตุก็มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๐๒ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๓.ปัญหาปุจฉกะ ๒.ทุกมาติกาวิสัชนา
๒. จูฬันตรทุกวิสัชนา
ขันธ์ ๕ มีปัจจัยปรุงแต่ง ถูกปัจจัยปรุงแต่ง
ขันธ์ ๔ เห็นไม่ได้ รูปขันธ์ที่เห็นได้ก็มี ที่เห็นไม่ได้ก็มี
ขันธ์ ๔ กระทบไม่ได้ รูปขันธ์ที่กระทบได้ก็มี ที่กระทบไม่ได้ก็มี
รูปขันธ์เป็นรูป ขันธ์ ๔ ไม่เป็นรูป
รูปขันธ์เป็นโลกิยะ ขันธ์ ๔ ที่เป็นโลกิยะก็มี ที่เป็นโลกุตตระก็มี
ขันธ์ ๕ ที่จิตบางดวงรู้ได้ก็มี ที่จิตบางดวงรู้ไม่ได้ก็มี

๓. อาสวโคจฉกวิสัชนา
ขันธ์ ๔ ไม่เป็นอาสวะ สังขารขันธ์ที่เป็นอาสวะก็มี ที่ไม่เป็นอาสวะก็มี
รูปขันธ์เป็นอารมณ์ของอาสวะ ขันธ์ ๔ ที่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี ที่ไม่เป็น
อารมณ์ของอาสวะก็มี
รูปขันธ์วิปปยุตจากอาสวะ ขันธ์ ๔ ที่สัมปยุตด้วยอาสวะก็มี ที่วิปปยุตจาก
อาสวะก็มี
รูปขันธ์กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอาสวะและเป็นอารมณ์ของอาสวะ หรือเป็นอารมณ์
ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะ ขันธ์ ๓ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอาสวะและเป็นอารมณ์ของ
อาสวะ ที่เป็นอารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอารมณ์
ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะก็มี สังขารขันธ์ที่เป็นอาสวะและเป็นอารมณ์ของอาสวะ
ก็มี ที่เป็นอารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอาสวะและ
เป็นอารมณ์ของอาสวะ หรือเป็นอารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะก็มี
รูปขันธ์กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอาสวะและสัมปยุตด้วยอาสวะ หรือสัมปยุตด้วย
อาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะ ขันธ์ ๓ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอาสวะและสัมปยุตด้วยอาสวะ ที่
สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่
เป็นอาสวะก็มี สังขารขันธ์ที่เป็นอาสวะและสัมปยุตด้วยอาสวะก็มี ที่สัมปยุตด้วย
อาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอาสวะและสัมปยุตด้วยอาสวะ หรือ
สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะก็มี
รูปขันธ์วิปปยุตจากอาสวะแต่เป็นอารมณ์ของอาสวะ ขันธ์ ๔ ที่วิปปยุตจาก
อาสวะแต่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี ที่วิปปยุตจากอาสวะและไม่เป็นอารมณ์ของ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๐๓ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๓.ปัญหาปุจฉกะ ๒.ทุกมาติกาวิสัชนา
อาสวะก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า วิปปยุตจากอาสวะแต่เป็นอารมณ์ของอาสวะ หรือวิปปยุต
จากอาสวะและไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี

๔. สัญโญชนโคจฉกวิสัชนา
ขันธ์ ๔ ไม่เป็นสังโยชน์ สังขารขันธ์ที่เป็นสังโยชน์ก็มี ที่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี
รูปขันธ์เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ ขันธ์ ๔ ที่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี ที่ไม่
เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี
รูปขันธ์วิปปยุตจากสังโยชน์ ขันธ์ ๔ ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์ก็มี ที่วิปปยุต
จากสังโยชน์ก็มี
รูปขันธ์กล่าวไม่ได้ว่า เป็นสังโยชน์และเป็นอารมณ์ของสังโยชน์ หรือเป็น
อารมณ์ของสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ ขันธ์ ๓ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นสังโยชน์และเป็น
อารมณ์ของสังโยชน์ ที่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า
เป็นอารมณ์ของสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี สังขารขันธ์ที่เป็นสังโยชน์และเป็น
อารมณ์ของสังโยชน์ก็มี ที่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี ที่กล่าว
ไม่ได้ว่า เป็นสังโยชน์และเป็นอารมณ์ของสังโยชน์ หรือเป็นอารมณ์ของสังโยชน์แต่
ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี
รูปขันธ์กล่าวไม่ได้ว่า เป็นสังโยชน์และสัมปยุตด้วยสังโยชน์ หรือสัมปยุตด้วย
สังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ ขันธ์ ๓ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นสังโยชน์และสัมปยุตด้วย
สังโยชน์ ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วย
สังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี สังขารขันธ์ที่เป็นสังโยชน์และสัมปยุตด้วยสังโยชน์ก็มี
ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นสังโยชน์และสัมปยุต
ด้วยสังโยชน์ หรือสัมปยุตด้วยสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี
รูปขันธ์วิปปยุตจากสังโยชน์แต่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ ขันธ์ ๔ ที่วิปปยุตจาก
สังโยชน์แต่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี ที่วิปปยุตจากสังโยชน์และไม่เป็นอารมณ์ของ
สังโยชน์ก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า วิปปยุตจากสังโยชน์แต่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ หรือ
วิปปยุตจากสังโยชน์และไม่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๐๔ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๓.ปัญหาปุจฉกะ ๒.ทุกมาติกาวิสัชนา
๕. คันถโคจฉกวิสัชนา
ขันธ์ ๔ ไม่เป็นคันถะ สังขารขันธ์ที่เป็นคันถะก็มี ที่ไม่เป็นคันถะก็มี
รูปขันธ์เป็นอารมณ์ของคันถะ ขันธ์ ๔ ที่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี ที่ไม่เป็น
อารมณ์ของคันถะก็มี
รูปขันธ์วิปปยุตจากคันถะ ขันธ์ ๔ ที่สัมปยุตด้วยคันถะก็มี ที่วิปปยุตจาก
คันถะก็มี
รูปขันธ์กล่าวไม่ได้ว่า เป็นคันถะและเป็นอารมณ์ของคันถะ หรือเป็นอารมณ์
ของคันถะแต่ไม่เป็นคันถะ ขันธ์ ๓ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นคันถะและเป็นอารมณ์ของคันถะ
ที่เป็นอารมณ์ของคันถะแต่ไม่เป็นคันถะก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอารมณ์ของคันถะแต่
ไม่เป็นคันถะก็มี สังขารขันธ์ที่เป็นคันถะและเป็นอารมณ์ของคันถะก็มี ที่เป็นอารมณ์
ของคันถะแต่ไม่เป็นคันถะก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นคันถะและเป็นอารมณ์ของคันถะ
หรือเป็นอารมณ์ของคันถะแต่ไม่เป็นคันถะก็มี
รูปขันธ์กล่าวไม่ได้ว่า เป็นคันถะและสัมปยุตด้วยคันถะ หรือสัมปยุตด้วยคันถะ
แต่ไม่เป็นคันถะ ขันธ์ ๓ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นคันถะและสัมปยุตด้วยคันถะ ที่สัมปยุต
ด้วยคันถะแต่ไม่เป็นคันถะก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยคันถะแต่ไม่เป็นคันถะก็มี
สังขารขันธ์ที่เป็นคันถะและสัมปยุตด้วยคันถะก็มี ที่สัมปยุตด้วยคันถะแต่ไม่เป็น
คันถะก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นคันถะและสัมปยุตด้วยคันถะ หรือสัมปยุตด้วยคันถะ
แต่ไม่เป็นคันถะก็มี
รูปขันธ์วิปปยุตจากคันถะแต่เป็นอารมณ์ของคันถะ ขันธ์ ๔ ที่วิปปยุตจาก
คันถะแต่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี ที่วิปปยุตจากคันถะ และไม่เป็นอารมณ์ของ
คันถะก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า วิปปยุตจากคันถะแต่เป็นอารมณ์ของคันถะ หรือวิปปยุต
จากคันถะและไม่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี

๖-๘. โอฆโคจฉกาทิวิสัชนา
ขันธ์ ๔ ไม่เป็นโอฆะ ฯลฯ ไม่เป็นโยคะ ฯลฯ ไม่เป็นนิวรณ์ สังขารขันธ์ที่
เป็นนิวรณ์ก็มี ที่ไม่เป็นนิวรณ์ก็มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๐๕ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๓.ปัญหาปุจฉกะ ๒.ทุกมาติกาวิสัชนา
รูปขันธ์เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ ขันธ์ ๔ ที่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี ที่ไม่
เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี
รูปขันธ์วิปปยุตจากนิวรณ์ ขันธ์ ๔ ที่สัมปยุตด้วยนิวรณ์ก็มี ที่วิปปยุตจาก
นิวรณ์ก็มี
รูปขันธ์กล่าวไม่ได้ว่า เป็นนิวรณ์และเป็นอารมณ์ของนิวรณ์ หรือเป็นอารมณ์
ของนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ ขันธ์ ๓ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นนิวรณ์และเป็นอารมณ์ของ
นิวรณ์ ที่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่าเป็นอารมณ์ของ
นิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ก็มี สังขารขันธ์ที่เป็นนิวรณ์และเป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี ที่
เป็นอารมณ์ของนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นนิวรณ์และเป็นอารมณ์
ของนิวรณ์ หรือเป็นอารมณ์ของนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ก็มี
รูปขันธ์กล่าวไม่ได้ว่า เป็นนิวรณ์และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ หรือสัมปยุตด้วย
นิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ ขันธ์ ๓ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นนิวรณ์และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ ที่
สัมปยุตด้วยนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยนิวรณ์แต่ไม่เป็น
นิวรณ์ก็มี สังขารขันธ์ที่เป็นนิวรณ์และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ก็มี ที่สัมปยุตด้วยนิวรณ์แต่
ไม่เป็นนิวรณ์ก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นนิวรณ์และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ หรือสัมปยุตด้วย
นิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ก็มี
รูปขันธ์วิปปยุตจากนิวรณ์แต่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ ขันธ์ ๔ ที่วิปปยุตจาก
นิวรณ์แต่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี ที่วิปปยุตจากนิวรณ์และไม่เป็นอารมณ์ของ
นิวรณ์ก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า วิปปยุตจากนิวรณ์แต่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ หรือวิปปยุต
จากนิวรณ์และไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี

๙. ปรามาสโคจฉกวิสัชนา
ขันธ์ ๔ ไม่เป็นปรามาส สังขารขันธ์ที่เป็นปรามาสก็มี ที่ไม่เป็นปรามาสก็มี
รูปขันธ์เป็นอารมณ์ของปรามาส ขันธ์ ๔ ที่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี ที่ไม่
เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี
รูปขันธ์วิปปยุตจากปรามาส ขันธ์ ๓ ที่สัมปยุตด้วยปรามาสก็มี ที่วิปปยุต
จากปรามาสก็มี สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยปรามาสก็มี ที่วิปปยุตจากปรามาสก็มี
ที่กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยปรามาส หรือวิปปยุตจากปรามาสก็มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๐๖ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๓.ปัญหาปุจฉกะ ๒.ทุกมาติกาวิสัชนา
รูปขันธ์กล่าวไม่ได้ว่า เป็นปรามาสและเป็นอารมณ์ของปรามาส หรือเป็น
อารมณ์ของปรามาสแต่ไม่เป็นปรามาส ขันธ์ ๓ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นปรามาสและ
เป็นอารมณ์ของปรามาส ที่เป็นอารมณ์ของปรามาสแต่ไม่เป็นปรามาสก็มี ที่กล่าว
ไม่ได้ว่า เป็นอารมณ์ของปรามาสแต่ไม่เป็นปรามาสก็มี สังขารขันธ์ที่เป็นปรามาส
และเป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี ที่เป็นอารมณ์ของปรามาสแต่ไม่เป็นปรามาสก็มี
ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นปรามาสและเป็นอารมณ์ของปรามาส หรือเป็นอารมณ์ของ
ปรามาสแต่ไม่เป็นปรามาสก็มี
รูปขันธ์วิปปยุตจากปรามาสแต่เป็นอารมณ์ของปรามาส ขันธ์ ๔ ที่วิปปยุต
จากปรามาสแต่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี ที่วิปปยุตจากปรามาสและไม่เป็น
อารมณ์ของปรามาสก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า วิปปยุตจากปรามาสแต่เป็นอารมณ์ของ
ปรามาส หรือวิปปยุตจากปรามาสและไม่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี

๑๐. ปิฏฐิทุกะ
รูปขันธ์รับรู้อารมณ์ไม่ได้ ขันธ์ ๔ รับรู้อารมณ์ได้
วิญญาณขันธ์เป็นจิต ขันธ์ ๔ ไม่เป็นจิต
ขันธ์ ๓ เป็นเจตสิก ขันธ์ ๒ ไม่เป็นเจตสิก
ขันธ์ ๓ สัมปยุตด้วยจิต รูปขันธ์วิปปยุตจากจิต วิญญาณขันธ์กล่าวไม่ได้ว่า
สัมปยุตด้วยจิต หรือวิปปยุตจากจิต
ขันธ์ ๓ ระคนกับจิต รูปขันธ์ไม่ระคนกับจิต วิญญาณขันธ์กล่าวไม่ได้ว่า
ระคนกับจิต หรือไม่ระคนกับจิต
ขันธ์ ๓ มีจิตเป็นสมุฏฐาน วิญญาณขันธ์ไม่มีจิตเป็นสมุฏฐาน รูปขันธ์ที่มีจิต
เป็นสมุฏฐานก็มี ที่ไม่มีจิตเป็นสมุฏฐานก็มี
ขันธ์ ๓ เกิดพร้อมกับจิต วิญญาณขันธ์ไม่เกิดพร้อมกับจิต รูปขันธ์ที่เกิด
พร้อมกับจิตก็มี ที่ไม่เกิดพร้อมกับจิตก็มี
ขันธ์ ๓ เป็นไปตามจิต วิญญาณขันธ์ไม่เป็นไปตามจิต รูปขันธ์ที่เป็นไปตามจิต
ก็มี ที่ไม่เป็นไปตามจิตก็มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๐๗ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๓.ปัญหาปุจฉกะ ๒.ทุกมาติกาวิสัชนา
ขันธ์ ๓ ระคนกับจิตและมีจิตเป็นสมุฏฐาน ขันธ์ ๒ ไม่ระคนกับจิตและมีจิต
เป็นสมุฏฐาน
ขันธ์ ๓ ระคนกับจิตมีจิตเป็นสมุฏฐานและเกิดพร้อมกับจิต ขันธ์ ๒ ไม่ระคน
กับจิตมีจิตเป็นสมุฏฐานและเกิดพร้อมกับจิต
ขันธ์ ๓ ระคนกับจิตมีจิตเป็นสมุฏฐานและเป็นไปตามจิต ขันธ์ ๒ ไม่ระคน
กับจิตมีจิตเป็นสมุฏฐานและเป็นไปตามจิต

๑๑. อุปาทานโคจฉกะ
วิญญาณขันธ์เป็นภายใน ขันธ์ ๓ เป็นภายนอก รูปขันธ์ที่เป็นภายในก็มี ที่
เป็นภายนอกก็มี
ขันธ์ ๔ ไม่เป็นอุปาทายรูป รูปขันธ์ที่เป็นอุปาทายรูปก็มี ที่ไม่เป็นอุปาทายรูป
ก็มี
ขันธ์ ๕ ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือก็มี ที่กรรมอัน
ประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือก็มี
ขันธ์ ๔ ไม่เป็นอุปาทาน สังขารขันธ์ที่เป็นอุปาทานก็มี ที่ไม่เป็นอุปาทานก็มี
รูปขันธ์เป็นอารมณ์ของอุปาทาน ขันธ์ ๔ ที่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี ที่
ไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี
รูปขันธ์วิปปยุตจากอุปาทาน ขันธ์ ๔ ที่สัมปยุตด้วยอุปาทานก็มี ที่วิปปยุต
จากอุปาทานก็มี
รูปขันธ์กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอุปาทานและเป็นอารมณ์ของอุปาทาน หรือเป็น
อารมณ์ของอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทาน ขันธ์ ๓ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอุปาทานและ
เป็นอารมณ์ของอุปาทาน ที่เป็นอารมณ์ของอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานก็มี ที่กล่าว
ไม่ได้ว่า เป็นอารมณ์ของอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานก็มี สังขารขันธ์ที่เป็นอุปาทาน
และเป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี ที่เป็นอารมณ์ของอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานก็มี
ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอุปาทานและเป็นอารมณ์ของอุปาทาน หรือเป็นอารมณ์ของ
อุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานก็มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๐๘ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๓.ปัญหาปุจฉกะ ๒.ทุกมาติกาวิสัชนา
รูปขันธ์กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอุปาทานและสัมปยุตด้วยอุปาทาน หรือสัมปยุตด้วย
อุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทาน ขันธ์ ๓ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอุปาทานและสัมปยุตด้วย
อุปาทาน ที่สัมปยุตด้วยอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วย
อุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานก็มี สังขารขันธ์ที่เป็นอุปาทานและสัมปยุตด้วยอุปาทาน
ก็มี ที่สัมปยุตด้วยอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอุปาทานและ
สัมปยุตด้วยอุปาทาน หรือสัมปยุตด้วยอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานก็มี
รูปขันธ์วิปปยุตจากอุปาทานแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน ขันธ์ ๔ ที่วิปปยุต
จากอุปาทานแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี ที่วิปปยุตจากอุปาทานและไม่เป็น
อารมณ์ของอุปาทานก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า วิปปยุตจากอุปาทานแต่เป็นอารมณ์ของ
อุปาทาน หรือวิปปยุตจากอุปาทานและไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี

๑๒. กิเลสโคจฉกะ
ขันธ์ ๔ ไม่เป็นกิเลส สังขารขันธ์ที่เป็นกิเลสก็มี ที่ไม่เป็นกิเลสก็มี
รูปขันธ์เป็นอารมณ์ของกิเลส ขันธ์ ๔ ที่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี ที่ไม่เป็น
อารมณ์ของกิเลสก็มี
รูปขันธ์กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมอง ขันธ์ ๔ ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองก็มี ที่กิเลส
ไม่ทำให้เศร้าหมองก็มี
รูปขันธ์วิปปยุตจากกิเลส ขันธ์ ๔ ที่สัมปยุตด้วยกิเลสก็มี ที่วิปปยุตจาก
กิเลสก็มี
รูปขันธ์กล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและเป็นอารมณ์ของกิเลส หรือเป็นอารมณ์ของ
กิเลสแต่ไม่เป็นกิเลส ขันธ์ ๓ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและเป็นอารมณ์ของกิเลส ที่
เป็นอารมณ์ของกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอารมณ์ของกิเลสแต่ไม่
เป็นกิเลสก็มี สังขารขันธ์ที่เป็นกิเลสและเป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี ที่เป็นอารมณ์
ของกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและเป็นอารมณ์ของกิเลส
หรือเป็นอารมณ์ของกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี
รูปขันธ์กล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและกิเลสทำให้เศร้าหมอง หรือกิเลสทำให้
เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลส ขันธ์ ๓ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและกิเลสทำให้เศร้าหมอง

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๐๙ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๓.ปัญหาปุจฉกะ ๒.ทุกมาติกาวิสัชนา
ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า กิเลสทำให้เศร้าหมองแต่
ไม่เป็นกิเลสก็มี สังขารขันธ์ที่เป็นกิเลสและกิเลสทำให้เศร้าหมองก็มี ที่กิเลสทำให้
เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและกิเลสทำให้เศร้าหมอง
หรือกิเลสทำให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี
รูปขันธ์กล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและสัมปยุตด้วยกิเลส หรือสัมปยุตด้วยกิเลส
แต่ไม่เป็นกิเลส ขันธ์ ๓ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและสัมปยุตด้วยกิเลส ที่สัมปยุต
ด้วยกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี
สังขารขันธ์ที่เป็นกิเลสและสัมปยุตด้วยกิเลสก็มี ที่สัมปยุตด้วยกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลส
ก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและสัมปยุตด้วยกิเลส หรือสัมปยุตด้วยกิเลสแต่ไม่
เป็นกิเลสก็มี
รูปขันธ์วิปปยุตจากกิเลสแต่เป็นอารมณ์ของกิเลส ขันธ์ ๔ ที่วิปปยุตจากกิเลส
แต่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี ที่วิปปยุตจากกิเลสและไม่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี ที่
กล่าวไม่ได้ว่า วิปปยุตจากกิเลสแต่เป็นอารมณ์ของกิเลส หรือวิปปยุตจากกิเลสและ
ไม่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี

๑๓. มหันตรทุกวิสัชนา
รูปขันธ์ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค ขันธ์ ๔ ที่ต้องประหาณด้วย
โสดาปัตติมรรคก็มี ที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี
รูปขันธ์ไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ขันธ์ ๔ ที่ต้องประหาณด้วย
มรรคเบื้องบน ๓ ก็มี ที่ไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี
รูปขันธ์ไม่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค ขันธ์ ๔ ที่มีเหตุต้อง
ประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี ที่ไม่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี
รูปขันธ์ไม่มีเหตุต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ขันธ์ ๔ ที่มีเหตุต้อง
ประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี ที่ไม่มีเหตุต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี
รูปขันธ์ไม่มีวิตก ขันธ์ ๔ ที่มีวิตกก็มี ที่ไม่มีวิตกก็มี
รูปขันธ์ไม่มีวิจาร ขันธ์ ๔ ที่มีวิจารก็มี ที่ไม่มีวิจารก็มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๑๐ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑.ขันธวิภังค์] ๓.ปัญหาปุจฉกะ ๒.ทุกมาติกาวิสัชนา
รูปขันธ์ไม่มีปีติ ขันธ์ ๔ ที่มีปีติก็มี ที่ไม่มีปีติก็มี
รูปขันธ์ไม่สหรคตด้วยปีติ ขันธ์ ๔ ที่สหรคตด้วยปีติก็มี ที่ไม่สหรคตด้วย
ปีติก็มี
ขันธ์ ๒ ไม่สหรคตด้วยสุข ขันธ์ ๓ ที่สหรคตด้วยสุขก็มี ที่ไม่สหรคตด้วย
สุขก็มี
ขันธ์ ๒ ไม่สหรคตด้วยอุเบกขา ขันธ์ ๓ ที่สหรคตด้วยอุเบกขาก็มี ที่ไม่
สหรคตด้วยอุเบกขาก็มี
รูปขันธ์เป็นกามาวจร ขันธ์ ๔ ที่เป็นกามาวจรก็มี ที่ไม่เป็นกามาวจรก็มี
รูปขันธ์ไม่เป็นรูปาวจร ขันธ์ ๔ ที่เป็นรูปาวจรก็มี ที่ไม่เป็นรูปาวจรก็มี
รูปขันธ์ไม่เป็นอรูปาวจร ขันธ์ ๔ ที่เป็นอรูปาวจรก็มี ที่ไม่เป็นอรูปาวจรก็มี
รูปขันธ์นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ ขันธ์ ๔ ที่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี ที่ไม่นับเนื่อง
ในวัฏฏทุกข์ก็มี
รูปขันธ์ไม่เป็นเหตุนำออกจากวัฏฏทุกข์ ขันธ์ ๔ ที่เป็นเหตุนำออกจากวัฏฏทุกข์
ก็มี ที่ไม่เป็นเหตุนำออกจากวัฏฏทุกข์ก็มี
รูปขันธ์เป็นธรรมชาติไม่แน่นอน๑ ขันธ์ ๔ ที่ให้ผลแน่นอนก็มี ที่ให้ผลไม่แน่นอน
ก็มี
รูปขันธ์มีธรรมอื่นยิ่งกว่า ขันธ์ ๔ ที่มีธรรมอื่นยิ่งกว่าก็มี ที่ไม่มีธรรมอื่นยิ่ง
กว่าก็มี
รูปขันธ์ไม่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ ขันธ์ ๔ ที่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี ที่ไม่
เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี (๑๓)

ปัญหาปุจฉกะ จบ

ขันธวิภังค์ จบบริบูรณ์

เชิงอรรถ :
๑ คือเป็นธรรมชาติที่ไม่แน่นอนโดยการให้ผลหรือไม่ให้ผล

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๑๑ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๒.อายตนวิภังค์] ๑. สุตตันตภาชนีย์
๒. อายตนวิภังค์
๑. สุตตันตภาชนีย์
[๑๕๔] อายตนะ๑ ๑๒ คือ

๑. จักขายตนะ ๒. รูปายตนะ
๓. โสตายตนะ ๔. สัททายตนะ
๕. ฆานายตนะ ๖. คันธายตนะ
๗. ชิวหายตนะ ๘. รสายตนะ
๙. กายายตนะ ๑๐. โผฏฐัพพายตนะ
๑๑. มนายตนะ ๑๒. ธัมมายตนะ


จักษุไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มีความแปรผันไปเป็นธรรมดา
รูปไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มีความแปรผันไปเป็นธรรมดา
โสตะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มีความแปรผันไปเป็นธรรมดา
สัททะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มีความแปรผันไปเป็นธรรมดา
ฆานะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มีความแปรผันไปเป็นธรรมดา
คันธะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มีความแปรผันไปเป็นธรรมดา
ชิวหาไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มีความแปรผันไปเป็นธรรมดา
รสไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มีความแปรผันไปเป็นธรรมดา
กายไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มีความแปรผันไปเป็นธรรมดา
โผฏฐัพพะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มีความแปรผันไปเป็นธรรมดา
มโนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มีความแปรผันไปเป็นธรรมดา
ธรรมไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มีความแปรผันไปเป็นธรรมดา

สุตตันตภาชนีย์ จบ

เชิงอรรถ :
๑ อภิ.วิ.อ. ๑๕๔/๕๐

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๑๒ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๒.อายตนวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์
๒. อภิธรรมภาชนีย์
[๑๕๕] อายตนะ ๑๒ คือ

๑. จักขายตนะ ๒. รูปายตนะ
๓. โสตายตนะ ๔. สัททายตนะ
๕. ฆานายตนะ ๖. คันธายตนะ
๗. ชิวหายตนะ ๘. รสายตนะ
๙. กายายตนะ ๑๐. โผฏฐัพพายตนะ
๑๑. มนายตนะ ๑๒. ธัมมายตนะ

[๑๕๖] บรรดาอายตนะ ๑๒ นั้น จักขายตนะ เป็นไฉน
จักษุใดเป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ นับเนื่องในอัตภาพ เป็นรูปที่เห็น
ไม่ได้แต่กระทบได้ เช่น บุคคลเคยเห็น กำลังเห็น จักเห็น หรือพึงเห็นรูปที่เห็นได้และ
กระทบได้ ด้วยจักษุใด ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ นี้เรียกว่า จักขุบ้าง จักขายตนะบ้าง
จักขุธาตุบ้าง จักขุนทรีย์บ้าง โลกบ้าง ทวารบ้าง สมุทรบ้าง ปัณฑระบ้าง เขตบ้าง
วัตถุบ้าง เนตรบ้าง นัยน์ตาบ้าง ฝั่งนี้บ้าง บ้านว่างบ้าง นี้เรียกว่า จักขายตนะ๑ (๑)
[๑๕๗] โสตายตนะ เป็นไฉน
โสตะใดเป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ นับเนื่องในอัตภาพ เป็นรูปที่เห็น
ไม่ได้แต่กระทบได้ เช่น บุคคลเคยฟัง กำลังฟัง จักฟัง หรือพึงฟังเสียงที่เห็นไม่ได้
แต่กระทบได้ด้วยโสตะใด ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ นี้เรียกว่า โสตะบ้าง โสตายตนะ
บ้าง โสตธาตุบ้าง โสตินทรีย์บ้าง โลกบ้าง ทวารบ้าง สมุทรบ้าง ปัณฑระบ้าง
เขตบ้าง วัตถุบ้าง ฝั่งนี้บ้าง บ้านว่างบ้าง นี้เรียกว่า โสตายตนะ๒ (๒)
[๑๕๘] ฆานายตนะ เป็นไฉน
ฆานะใดเป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ นับเนื่องในอัตภาพ เป็นรูปที่เห็น
ไม่ได้แต่กระทบได้ เช่น บุคคลเคยดม กำลังดม จักดม หรือพึงดมกลิ่นที่เห็นไม่ได้แต่

เชิงอรรถ :
๑ อภิ.สงฺ. ๓๔/๕๙๖/๑๘๒ ๒ อภิ.สงฺ. ๓๔/๖๐๐/๑๘๓

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๑๓ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๒.อายตนวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์
กระทบได้ด้วยฆานะใด ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ นี้เรียกว่า ฆานะบ้าง ฆานายตนะบ้าง
ฆานธาตุบ้าง ฆานินทรีย์บ้าง โลกบ้าง ทวารบ้าง สมุทรบ้าง ปัณฑระบ้าง เขตบ้าง
วัตถุบ้าง ฝั่งนี้บ้าง บ้านว่างบ้าง นี้เรียกว่า ฆานายตนะ๑ (๓)
[๑๕๙] ชิวหายตนะ เป็นไฉน
ชิวหาใดเป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ นับเนื่องในอัตภาพ เป็นรูปที่
เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ เช่น บุคคลเคยลิ้ม กำลังลิ้ม จักลิ้ม หรือพึงลิ้มรสที่เห็นไม่ได้
แต่กระทบได้ด้วยชิวหาใด ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ นี้เรียกว่า ชิวหาบ้าง ชิวหายตนะ
บ้าง ชิวหาธาตุบ้าง ชิวหินทรีย์บ้าง โลกบ้าง ทวารบ้าง สมุทรบ้าง ปัณฑระบ้าง
เขตบ้าง วัตถุบ้าง ฝั่งนี้บ้าง บ้านว่างบ้าง นี้เรียกว่า ชิวหายตนะ๒ (๔)
[๑๖๐] กายายตนะ เป็นไฉน
กายใดเป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ นับเนื่องในอัตภาพ เป็นรูปที่เห็นไม่
ได้แต่กระทบได้ เช่น บุคคลเคยถูกต้อง กำลังถูกต้อง จักถูกต้อง หรือพึงถูกต้อง
โผฏฐัพพะที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ด้วยกายใดที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ นี้เรียกว่า กาย
บ้าง กายายตนะบ้าง กายธาตุบ้าง กายินทรีย์บ้าง โลกบ้าง ทวารบ้าง สมุทรบ้าง
ปัณฑระบ้าง เขตบ้าง วัตถุบ้าง ฝั่งนี้บ้าง บ้านว่างบ้าง นี้เรียกว่า กายายตนะ๓ (๕)
[๑๖๑] มนายตนะ เป็นไฉน
มนายตนะหมวดละ ๑ ได้แก่ มนายตนะที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
มนายตนะหมวดละ ๒ ได้แก่ มนายตนะที่มีเหตุก็มี ที่ไม่มีเหตุก็มี
มนายตนะหมวดละ ๓ ได้แก่ มนายตนะที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอกุศลก็มี
ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
มนายตนะหมวดละ ๔ ได้แก่ มนายตนะที่เป็นกามาวจรก็มี ที่เป็นรูปาวจร
ก็มี ที่เป็นอรูปาวจรก็มี ที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี

เชิงอรรถ :
๑ อภิ.สงฺ. ๓๔/๖๐๔/๑๘๔ ๒ อภิ.สงฺ. ๓๔/๖๐๘/๑๘๕
๓ อภิ.สงฺ. ๓๔/๖๑๒/๑๘๗

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๑๔ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๒.อายตนวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์
มนายตนะหมวดละ ๕ ได้แก่ มนายตนะที่สัมปยุตด้วยสุขินทรีย์ก็มี ที่สัมปยุต
ด้วยทุกขินทรีย์ก็มี ที่สัมปยุตด้วยโสมนัสสินทรีย์ก็มี ที่สัมปยุตด้วยโทมนัสสินทรีย์
ก็มี ที่สัมปยุตด้วยอุเปกขินทรีย์ก็มี
มนายตนะหมวดละ ๖ ได้แก่ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ
ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ และมโนวิญญาณ
มนายตนะหมวดละ ๖ มีด้วยอาการอย่างนี้
มนายตนะหมวดละ ๗ ได้แก่ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ
ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนธาตุ และมโนวิญญาณธาตุ
มนายตนะหมวดละ ๗ มีด้วยอาการอย่างนี้
มนายตนะหมวดละ ๘ ได้แก่ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ
ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ ที่สหรคตด้วยสุขก็มี ที่สหรคตด้วยทุกข์ก็มี มโนธาตุ
และมโนวิญญาณธาตุ
มนายตนะหมวดละ ๘ มีด้วยอาการอย่างนี้
มนายตนะหมวดละ ๙ ได้แก่ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ
ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนธาตุ และมโนวิญญาณธาตุ ที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็น
อกุศลก็มี ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
มนายตนะหมวดละ ๙ มีด้วยอาการอย่างนี้
มนายตนะหมวดละ ๑๐ ได้แก่ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ
ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ ที่สหรคตด้วยสุขก็มี ที่สหรคตด้วยทุกข์ก็มี มโนธาตุ
และมโนวิญญาณธาตุ ที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอกุศลก็มี ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
มนายตนะหมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
มนายตนะหมวดละ ๑ ได้แก่ มนายตนะที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
มนายตนะหมวดละ ๒ ได้แก่ มนายตนะที่มีเหตุก็มี ที่ไม่มีเหตุก็มี


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๑๕ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๒.อายตนวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์
มนายตนะหมวดละ ๓ ได้แก่ มนายตนะที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี ที่
สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็มี ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี
ฯลฯ
มนายตนะหมวดละมากอย่างมีด้วยอาการอย่างนี้
นี้เรียกว่า มนายตนะ (๖)
[๑๖๒] รูปายตนะ เป็นไฉน
รูปใดเป็นสีต่าง ๆ อาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นรูปที่เห็นได้และกระทบได้ เช่น
สีเขียว สีเหลือง สีแดง สีขาว สีดำ สีหงสบาท๑ สีคล้ำ สีเขียวใบไม้ สีม่วง ยาว
สั้น ละเอียด หยาบ กลม รี สี่เหลี่ยม หกเหลี่ยม แปดเหลี่ยม สิบหกเหลี่ยม ลุ่ม
ดอน เงา แดด สว่าง มืด เมฆ หมอก ควัน ละออง แสงจันทร์ แสงอาทิตย์
แสงดาว แสงกระจก แสงแก้วมณี แสงสังข์ แสงแก้วมุกดา แสงแก้วไพฑูรย์
แสงทอง แสงเงิน หรือรูปแม้อื่นใด ที่เป็นสีต่าง ๆ อาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นรูปที่เห็น
ได้และกระทบได้มีอยู่ เช่น บุคคลเคยเห็น กำลังเห็น จักเห็น หรือพึงเห็นรูปใดที่เห็น
ได้และกระทบได้ ด้วยจักษุที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ นี้เรียกว่า รูปบ้าง รูปายตนะบ้าง
รูปธาตุบ้าง นี้เรียกว่า รูปายตนะ๒ (๗)
[๑๖๓] สัททายตนะ เป็นไฉน
เสียงใดอาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ เช่น เสียงกลอง
เสียงตะโพน เสียงสังข์ เสียงบัณเฑาะว์ เสียงขับร้อง เสียงประโคม เสียงกรับ เสียง
ปรบมือ เสียงร้องของสัตว์ เสียงกระทบกันแห่งธาตุ เสียงลม เสียงน้ำ เสียงมนุษย์
เสียงอมนุษย์ หรือเสียงแม้อื่นใด อาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้
มีอยู่ เช่น บุคคลเคยฟัง กำลังฟัง จักฟัง หรือพึงฟังเสียงใด ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้
ด้วยโสตะที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ นี้เรียกว่า สัททะบ้าง สัททายตนะบ้าง สัททธาตุ
บ้าง นี้เรียกว่า สัททายตนะ๓ (๘)

เชิงอรรถ :
๑ สีหงสบาท สีคล้ายเท้าหงส์ สีแดงปนเหลือง สีแดงเรื่อ หรือ สีแสดก็ว่า (พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตย-
สถาน พ.ศ. ๒๕๒๕)
๒ อภิ.สงฺ. ๓๔/๖๑๖/๑๘๘ ๓ อภิ.สงฺ. ๓๔/๖๒๐/๑๙๐

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๑๖ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๒.อายตนวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์
[๑๖๔] คันธายตนะ เป็นไฉน
กลิ่นใดอาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ เช่น กลิ่นรากไม้
กลิ่นแก่นไม้ กลิ่นเปลือกไม้ กลิ่นใบไม้ กลิ่นดอกไม้ กลิ่นผลไม้ กลิ่นบูด กลิ่นเน่า
กลิ่นหอม กลิ่นเหม็น หรือกลิ่นแม้อื่นใด อาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นรูปที่เห็นไม่ได้แต่
กระทบได้มีอยู่ เช่น บุคคลเคยดม กำลังดม จักดม หรือพึงดมกลิ่นใดที่เห็นไม่ได้แต่
กระทบได้ ด้วยฆานะที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ นี้เรียกว่า คันธะบ้าง คันธายตนะบ้าง
คันธธาตุบ้าง นี้เรียกว่า คันธายตนะ๑ (๙)
[๑๖๕] รสายตนะ เป็นไฉน
รสใดอาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ เช่น รสรากไม้
รสลำต้น รสเปลือกไม้ รสใบไม้ รสดอกไม้ รสผลไม้ รสเปรี้ยว หวาน ขม เผ็ด เค็ม
ขื่น เฝื่อน ฝาด อร่อย ไม่อร่อย หรือรสแม้อื่นใดอาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นรูปที่เห็น
ไม่ได้แต่กระทบได้มีอยู่ เช่น บุคคลเคยลิ้ม กำลังลิ้ม จักลิ้ม หรือพึงลิ้มรสใดที่เห็น
ไม่ได้แต่กระทบได้ ด้วยชิวหาที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ นี้เรียกว่า รสบ้าง รสายตนะ
บ้าง รสธาตุบ้าง นี้เรียกว่า รสายตนะ๒ (๑๐)
[๑๖๖] โผฏฐัพพายตนะ เป็นไฉน
ปฐวีธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ ที่แข็ง อ่อน ละเอียด หยาบ มีสัมผัสเป็นสุข
มีสัมผัสเป็นทุกข์ หนัก เบา เช่น บุคคลเคยถูกต้อง กำลังถูกต้อง จักถูกต้อง
หรือพึงถูกต้องโผฏฐัพพะใดที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ ด้วยกายที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้
นี้เรียกว่า โผฏฐัพพะบ้าง โผฏฐัพพายตนะบ้าง โผฏฐัพพธาตุบ้าง นี้เรียกว่า
โผฏฐัพพายตนะ๓ (๑๑)
[๑๖๗] ธัมมายตนะ เป็นไฉน
เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ และสังขารขันธ์ รูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้ ซึ่ง
นับเนื่องในธัมมายตนะ และธาตุที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง๔
เวทนาขันธ์ เป็นไฉน

เชิงอรรถ :
๑ อภิ.สงฺ. ๓๔/๖๒๔/๑๙๒ ๒ อภิ.สงฺ. ๓๔/๖๒๘/๑๙๓
๓ อภิ.สงฺ. ๓๔/๖๔๗/๑๙๖
๔ คำบาลีคือ อสงฺขตา ธาตุ แปลว่า ธาตุที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง ได้แก่ พระนิพพาน (อภิ.วิ.อ. ๑๖๗/๕๗)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๑๗ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๒.อายตนวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์
เวทนาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
ฯลฯ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
ฯลฯ
เวทนาขันธ์หมวดละมากอย่างมีด้วยอาการอย่างนี้ นี้เรียกว่า เวทนาขันธ์ (๑)
สัญญาขันธ์ เป็นไฉน
สัญญาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
ฯลฯ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
ฯลฯ
สัญญาขันธ์หมวดละมากอย่างมีด้วยอาการอย่างนี้
นี้เรียกว่า สัญญาขันธ์ (๒)
สังขารขันธ์ เป็นไฉน
สังขารขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต
ฯลฯ
สังขารขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
ฯลฯ
สังขารขันธ์หมวดละมากอย่างมีด้วยอาการอย่างนี้
นี้เรียกว่า สังขารขันธ์ (๓)
รูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้ซึ่งนับเนื่องในธัมมายตนะ เป็นไฉน
อิตถินทรีย์ ฯลฯ กวฬิงการาหาร นี้เรียกว่า รูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้
ซึ่งนับเนื่องในธัมมายตนะ (๔)
ธาตุที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง เป็นไฉน
สภาวธรรมเป็นที่สิ้นราคะ เป็นที่สิ้นโทสะ เป็นที่สิ้นโมหะ นี้เรียกว่า ธาตุที่
ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง (๕)
นี้เรียกว่า ธัมมายตนะ
อภิธรรมภาชนีย์ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๑๘ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๒.อายตนวิภังค์] ๓.ปัญหาปุจฉกะ ๑.ติกมาติกาวิสัชนา
๓. ปัญหาปุจฉกะ
[๑๖๘] อายตนะ ๑๒ คือ
๑. จักขายตนะ ๒. รูปายตนะ
ฯลฯ
๑๑. มนายตนะ ๑๒. ธัมมายตนะ
[๑๖๙] บรรดาอายตนะ ๑๒ อายตนะเท่าไรเป็นกุศล เท่าไรเป็นอกุศล
เท่าไรเป็นอัพยากฤต ฯลฯ เท่าไรเป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ เท่าไรไม่เป็นเหตุให้สัตว์
ร้องไห้

๑. ติกมาติกาวิสัชนา
๑. กุสลติกวิสัชนา
[๑๗๐] อายตนะ ๑๐ เป็นอัพยากฤต อายตนะ ๒ ที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็น
อกุศลก็มี ที่เป็นอัพยากฤตก็มี

๒. เวทนาติกวิสัชนา
อายตนะ ๑๐ กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยสุขเวทนา สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา
หรือสัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา มนายตนะที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี ที่สัมปยุต
ด้วยทุกขเวทนาก็มี ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี ธัมมายตนะที่สัมปยุตด้วย
สุขเวทนาก็มี ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็มี ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี ที่
กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยสุขเวทนา สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา หรือสัมปยุตด้วย
อทุกขมสุขเวทนาก็มี

๓. วิปากติกวิสัชนา
อายตนะ ๑๐ ไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบาก อายตนะ ๒ ที่เป็นวิบาก
ก็มี ที่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี ที่ไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๑๙ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๒.อายตนวิภังค์] ๓.ปัญหาปุจฉกะ ๑.ติกมาติกาวิสัชนา
๔. อุปาทินนติกวิสัชนา
อายตนะ ๕ กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือและเป็นอารมณ์ของ
อุปาทาน สัททายตนะกรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือแต่เป็น
อารมณ์ของอุปาทาน อายตนะ ๔ ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือ
และเป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือ
แต่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี ที่ไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี อายตนะ ๒ ที่
กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือและเป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี ที่
กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี ที่
กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือและไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี

๕. สังกิลิฏฐติกวิสัชนา
อายตนะ ๑๐ กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองแต่เป็นอารมณ์ของกิเลส อายตนะ ๒
ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองและเป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี ที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองแต่
เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี ที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองและไม่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี

๖. สวิตักกติกวิสัชนา
อายตนะ ๑๐ ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร มนายตนะที่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี ที่ไม่มี
วิตกมีเพียงวิจารก็มี ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี ธัมมายตนะที่มีทั้งวิตกและวิจาร
ก็มี ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารก็มี ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า มีทั้ง
วิตกและวิจาร ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร หรือไม่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี

๗. ปีติติกวิสัชนา
อายตนะ ๑๐ กล่าวไม่ได้ว่า สหรคตด้วยปีติ สหรคตด้วยสุข หรือสหรคตด้วย
อุเบกขา อายตนะ ๒ ที่สหรคตด้วยปีติก็มี ที่สหรคตด้วยสุขก็มี ที่สหรคตด้วย
อุเบกขาก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า สหรคตด้วยปีติ สหรคตด้วยสุข หรือสหรคตด้วย
อุเบกขาก็มี


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๒๐ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๒.อายตนวิภังค์] ๓.ปัญหาปุจฉกะ ๑.ติกมาติกาวิสัชนา
๘. ทัสสนติกวิสัชนา
อายตนะ ๑๐ ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓
อายตนะ ๒ ที่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี ที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้อง
บน ๓ ก็มี ที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี

๙. ทัสสนเหตุติกวิสัชนา
อายตนะ ๑๐ ไม่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓
อายตนะ ๒ ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี ที่มีเหตุต้องประหาณด้วย
มรรคเบื้องบน ๓ ก็มี ที่ไม่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน
๓ ก็มี

๑๐. อาจยคามิติกวิสัชนา
อายตนะ ๑๐ ไม่เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิ จุติ และนิพพาน อายตนะ ๒ ที่เป็น
เหตุให้ถึงปฏิสนธิและจุติก็มี ที่เป็นเหตุให้ถึงนิพพานก็มี ที่ไม่เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิ
จุติ และนิพพานก็มี

๑๑. เสกขติกวิสัชนา
อายตนะ ๑๐ ไม่เป็นของเสขบุคคลและอเสขบุคคล อายตนะ ๒ ที่เป็นของ
เสขบุคคลก็มี ที่เป็นของอเสขบุคคลก็มี ที่ไม่เป็นของเสขบุคคลและอเสขบุคคลก็มี

๑๒. ปริตตติกวิสัชนา
อายตนะ ๑๐ เป็นปริตตะ อายตนะ ๒ ที่เป็นปริตตะก็มี ที่เป็นมหัคคตะก็มี
ที่เป็นอัปปมาณะก็มี

๑๓. ปริตตารัมมณติกวิสัชนา
อายตนะ ๑๐ รับรู้อารมณ์ไม่ได้ อายตนะ ๒ ที่มีปริตตะเป็นอารมณ์ก็มี ที่มี
มหัคคตะเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีอัปปมาณะเป็นอารมณ์ก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า มีปริตตะ
เป็นอารมณ์ มีมหัคคตะเป็นอารมณ์ หรือมีอัปปมาณะเป็นอารมณ์ก็มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๒๑ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๒.อายตนวิภังค์] ๓.ปัญหาปุจฉกะ ๑.ติกมาติกาวิสัชนา
๑๔. หีนติกวิสัชนา
อายตนะ ๑๐ เป็นชั้นกลาง อายตนะ ๒ ที่เป็นชั้นต่ำก็มี ที่เป็นชั้นกลางก็มี
ที่เป็นชั้นประณีตก็มี

๑๕. มิจฉัตตติกวิสัชนา
อายตนะ ๑๐ เป็นธรรมชาติไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองนั้น อายตนะ ๒ ที่มี
สภาวะผิดและให้ผลแน่นอนก็มี ที่มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอนก็มี ที่เป็น
ธรรมชาติไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองนั้นก็มี

๑๖. มัคคารัมมณติกวิสัชนา
อายตนะ ๑๐ รับรู้อารมณ์ไม่ได้ อายตนะ ๒ ที่มีมรรคเป็นอารมณ์ก็มี ที่มี
มรรคเป็นเหตุก็มี ที่มีมรรคเป็นอธิบดีก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า มีมรรคเป็นอารมณ์ มี
มรรคเป็นเหตุ หรือมีมรรคเป็นอธิบดีก็มี

๑๗. อุปปันนติกวิสัชนา
อายตนะ ๕ ที่เกิดขึ้นก็มี ที่จักเกิดขึ้นแน่นอนก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า ยังไม่เกิดขึ้น
ก็มี สัททายตนะที่เกิดขึ้นก็มี ที่ยังไม่เกิดขึ้นก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า จักเกิดขึ้นแน่นอนก็มี
อายตนะ ๕ ที่เกิดขึ้นก็มี ที่ยังไม่เกิดขึ้นก็มี ที่จักเกิดขึ้นแน่นอนก็มี ธัมมายตนะ
ที่เกิดขึ้นก็มี ที่ยังไม่เกิดขึ้นก็มี ที่จักเกิดขึ้นแน่นอนก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า เกิดขึ้น ยัง
ไม่เกิดขึ้น หรือจักเกิดขึ้นแน่นอนก็มี

๑๘. อตีตติกวิสัชนา
อายตนะ ๑๑ ที่เป็นอดีตก็มี ที่เป็นอนาคตก็มี ที่เป็นปัจจุบันก็มี ธัมมายตนะ
ที่เป็นอดีตก็มี ที่เป็นอนาคตก็มี ที่เป็นปัจจุบันก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอดีต เป็น
อนาคต หรือเป็นปัจจุบันก็มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๒๒ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๒.อายตนวิภังค์] ๓.ปัญหาปุจฉกะ ๒.ทุกมาติกาวิสัชนา
๑๙. อตีตารัมมณติกวิสัชนา
อายตนะ ๑๐ รับรู้อารมณ์ไม่ได้ อายตนะ ๒ ที่มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์ก็มี
ที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์ก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า
มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์ มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์ หรือมีปัจจุบันธรรมเป็น
อารมณ์ก็มี

๒๐. อัชฌัตตติกวิสัชนา
อายตนะ ๑๒ ที่เป็นภายในตนก็มี ที่เป็นภายนอกตนก็มี ที่เป็นภายในตนและ
ภายนอกตนก็มี

๒๑. อัชฌัตตารัมมณติกวิสัชนา
อายตนะ ๑๐ รับรู้อารมณ์ไม่ได้ อายตนะ ๒ ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์
ก็มี ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็น
อารมณ์ก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ มีธรรมภายนอกตนเป็น
อารมณ์ หรือมีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี

๒๒. สนิทัสสนติกวิสัชนา
รูปายตนะเห็นได้และกระทบได้ อายตนะ ๙ เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ อายตนะ
๒ เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้
ติกมาติกาวิสัชนา จบ

๒. ทุกมาติกาวิสัชนา
๑. เหตุโคจฉกวิสัชนา
[๑๗๑] อายตนะ ๑๑ ไม่เป็นเหตุ ธัมมายตนะที่เป็นเหตุก็มี ที่ไม่เป็นเหตุก็มี
อายตนะ ๑๐ ไม่มีเหตุ อายตนะ ๒ ที่มีเหตุก็มี ที่ไม่มีเหตุก็มี
อายตนะ ๑๐ วิปปยุตจากเหตุ อายตนะ ๒ ที่สัมปยุตด้วยเหตุก็มี ที่วิปปยุต
จากเหตุก็มี


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๒๓ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๒.อายตนวิภังค์] ๓.ปัญหาปุจฉกะ ๒.ทุกมาติกาวิสัชนา
อายตนะ ๑๐ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นเหตุและมีเหตุ หรือมีเหตุแต่ไม่เป็นเหตุ
มนายตนะ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นเหตุและมีเหตุ ที่มีเหตุแต่ไม่เป็นเหตุก็มี ที่กล่าวไม่ได้
ว่า มีเหตุแต่ไม่เป็นเหตุก็มี ธัมมายตนะที่เป็นเหตุและมีเหตุก็มี ที่มีเหตุแต่ไม่เป็น
เหตุก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นเหตุและมีเหตุ หรือมีเหตุแต่ไม่เป็นเหตุก็มี
อายตนะ ๑๐ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นเหตุและสัมปยุตด้วยเหตุ หรือสัมปยุตด้วย
เหตุแต่ไม่เป็นเหตุ มนายตนะกล่าวไม่ได้ว่า เป็นเหตุและสัมปยุตด้วยเหตุ ที่สัมปยุต
ด้วยเหตุแต่ไม่เป็นเหตุก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยเหตุแต่ไม่เป็นเหตุก็มี
ธัมมายตนะที่เป็นเหตุและสัมปยุตด้วยเหตุก็มี ที่สัมปยุตด้วยเหตุแต่ไม่เป็นเหตุ
ก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นเหตุและสัมปยุตด้วยเหตุ หรือสัมปยุตด้วยเหตุแต่ไม่เป็นเหตุ
ก็มี
อายตนะ ๑๐ ไม่เป็นเหตุและไม่มีเหตุ มนายตนะที่ไม่เป็นเหตุแต่มีเหตุก็มี ที่ไม่
เป็นเหตุและไม่มีเหตุก็มี ธัมมายตนะที่ไม่เป็นเหตุแต่มีเหตุก็มี ที่ไม่เป็นเหตุและ
ไม่มีเหตุก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า ไม่เป็นเหตุแต่มีเหตุ หรือไม่เป็นเหตุและไม่มีเหตุก็มี

๒. จูฬันตรทุกวิสัชนา
อายตนะ ๑๑ มีปัจจัยปรุงแต่ง ธัมมายตนะที่มีปัจจัยปรุงแต่งก็มี ที่ไม่มีปัจจัย
ปรุงแต่งก็มี
อายตนะ ๑๑ ถูกปัจจัยปรุงแต่ง ธัมมายตนะที่ถูกปัจจัยปรุงแต่งก็มี ที่ไม่ถูก
ปัจจัยปรุงแต่งก็มี
รูปายตนะเห็นได้ อายตนะ ๑๑ เห็นไม่ได้
อายตนะ ๑๐ กระทบได้ อายตนะ ๒ กระทบไม่ได้
อายตนะ ๑๐ เป็นรูป มนายตนะไม่เป็นรูป ธัมมายตนะที่เป็นรูปก็มี ที่ไม่เป็น
รูปก็มี
อายตนะ ๑๐ เป็นโลกิยะ อายตนะ ๒ ที่เป็นโลกิยะก็มี ที่เป็นโลกุตตระก็มี
อายตนะ ๑๒ ที่จิตบางดวงรู้ได้ก็มี ที่จิตบางดวงรู้ไม่ได้ก็มี


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๒๔ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๒.อายตนวิภังค์] ๓.ปัญหาปุจฉกะ ๒.ทุกมาติกาวิสัชนา
๓. อาสวโคจฉกวิสัชนา
อายตนะ ๑๑ ไม่เป็นอาสวะ ธัมมายตนะที่เป็นอาสวะก็มี ที่ไม่เป็นอาสวะก็มี
อายตนะ ๑๐ เป็นอารมณ์ของอาสวะ อายตนะ ๒ ที่เป็นอารมณ์ของอาสวะ
ก็มี ที่ไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี
อายตนะ ๑๐ วิปปยุตจากอาสวะ อายตนะ ๒ ที่สัมปยุตด้วยอาสวะก็มี ที่
วิปปยุตจากอาสวะก็มี
อายตนะ ๑๐ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอาสวะและเป็นอารมณ์ของอาสวะ หรือเป็น
อารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะ มนายตนะกล่าวไม่ได้ว่า เป็นอาสวะและเป็น
อารมณ์ของอาสวะ ที่เป็นอารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า
เป็นอารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะก็มี ธัมมายตนะที่เป็นอาสวะและเป็นอารมณ์
ของอาสวะก็มี ที่เป็นอารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็น
อาสวะและเป็นอารมณ์ของอาสวะ หรือเป็นอารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะก็มี
อายตนะ ๑๐ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอาสวะและสัมปยุตด้วยอาสวะ หรือสัมปยุต
ด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะ มนายตนะกล่าวไม่ได้ว่า เป็นอาสวะและสัมปยุตด้วย
อาสวะ ที่สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วย
อาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะก็มี ธัมมายตนะที่เป็นอาสวะและสัมปยุตด้วยอาสวะก็มี ที่
สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอาสวะและสัมปยุตด้วย
อาสวะ หรือสัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะก็มี
อายตนะ ๑๐ วิปปยุตจากอาสวะแต่เป็นอารมณ์ของอาสวะ อายตนะ ๒ ที่
วิปปยุตจากอาสวะแต่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี ที่วิปปยุตจากอาสวะและไม่เป็น
อารมณ์ของอาสวะก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า วิปปยุตจากอาสวะแต่เป็นอารมณ์ของอาสวะ
หรือวิปปยุตจากอาสวะและไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี

๔. สัญโญชนโคจฉกวิสัชนา
อายตนะ ๑๑ ไม่เป็นสังโยชน์ ธัมมายตนะที่เป็นสังโยชน์ก็มี ที่ไม่เป็นสังโยชน์
ก็มี


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๒๕ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๒.อายตนวิภังค์] ๓.ปัญหาปุจฉกะ ๒.ทุกมาติกาวิสัชนา
อายตนะ ๑๐ เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ อายตนะ ๒ ที่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์
ก็มี ที่ไม่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี
อายตนะ ๑๐ วิปปยุตจากสังโยชน์ อายตนะ ๒ ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์ก็มี ที่
วิปปยุตจากสังโยชน์ก็มี
อายตนะ ๑๐ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นสังโยชน์และเป็นอารมณ์ของสังโยชน์ หรือ
เป็นอารมณ์ของสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ มนายตนะกล่าวไม่ได้ว่า เป็นสังโยชน์และ
เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ ที่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี ที่กล่าวไม่
ได้ว่า เป็นอารมณ์ของสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี ธัมมายตนะที่เป็นสังโยชน์และ
เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี ที่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี ที่กล่าว
ไม่ได้ว่า เป็นสังโยชน์และเป็นอารมณ์ของสังโยชน์ หรือเป็นอารมณ์ของสังโยชน์แต่ไม่
เป็นสังโยชน์ก็มี
อายตนะ ๑๐ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นสังโยชน์และสัมปยุตด้วยสังโยชน์ หรือสัมปยุต
ด้วยสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ มนายตนะกล่าวไม่ได้ว่า เป็นสังโยชน์และสัมปยุต
ด้วยสังโยชน์ ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุต
ด้วยสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี ธัมมายตนะที่เป็นสังโยชน์และสัมปยุตด้วย
สังโยชน์ก็มี ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็น
สังโยชน์และสัมปยุตด้วยสังโยชน์ หรือสัมปยุตด้วยสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี
อายตนะ ๑๐ วิปปยุตจากสังโยชน์แต่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ อายตนะ ๒
ที่วิปปยุตจากสังโยชน์แต่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี ที่วิปปยุตจากสังโยชน์และไม่
เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า วิปปยุตจากสังโยชน์แต่เป็นอารมณ์ของ
สังโยชน์ หรือวิปปยุตจากสังโยชน์และไม่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี

๕. คันถโคจฉกวิสัชนา
อายตนะ ๑๑ ไม่เป็นคันถะ ธัมมายตนะที่เป็นคันถะก็มี ที่ไม่เป็นคันถะก็มี
อายตนะ ๑๐ เป็นอารมณ์ของคันถะ อายตนะ ๒ ที่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี
ที่ไม่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๒๖ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๒.อายตนวิภังค์] ๓.ปัญหาปุจฉกะ ๒.ทุกมาติกาวิสัชนา
อายตนะ ๑๐ วิปปยุตจากคันถะ อายตนะ ๒ ที่สัมปยุตด้วยคันถะก็มี ที่
วิปปยุตจากคันถะก็มี
อายตนะ ๑๐ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นคันถะและเป็นอารมณ์ของคันถะ หรือเป็น
อารมณ์ของคันถะแต่ไม่เป็นคันถะ มนายตนะกล่าวไม่ได้ว่า เป็นคันถะและเป็น
อารมณ์ของคันถะ ที่เป็นอารมณ์ของคันถะแต่ไม่เป็นคันถะก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็น
อารมณ์ของคันถะแต่ไม่เป็นคันถะก็มี ธัมมายตนะที่เป็นคันถะและเป็นอารมณ์ของ
คันถะก็มี ที่เป็นอารมณ์ของคันถะแต่ไม่เป็นคันถะก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นคันถะและ
เป็นอารมณ์ของคันถะ หรือเป็นอารมณ์ของคันถะแต่ไม่เป็นคันถะก็มี
อายตนะ ๑๐ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นคันถะและสัมปยุตด้วยคันถะ หรือสัมปยุตด้วย
คันถะแต่ไม่เป็นคันถะ มนายตนะกล่าวไม่ได้ว่า เป็นคันถะและสัมปยุตด้วยคันถะ ที่
สัมปยุตด้วยคันถะแต่ไม่เป็นคันถะก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยคันถะแต่ไม่เป็น
คันถะก็มี ธัมมายตนะที่เป็นคันถะและสัมปยุตด้วยคันถะก็มี ที่สัมปยุตด้วยคันถะแต่
ไม่เป็นคันถะก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นคันถะและสัมปยุตด้วยคันถะ หรือสัมปยุตด้วย
คันถะแต่ไม่เป็นคันถะก็มี
อายตนะ ๑๐ วิปปยุตจากคันถะแต่เป็นอารมณ์ของคันถะ อายตนะ ๒ ที่
วิปปยุตจากคันถะแต่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี ที่วิปปยุตจากคันถะและไม่เป็น
อารมณ์ของคันถะก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า วิปปยุตจากคันถะแต่เป็นอารมณ์ของคันถะ
หรือวิปปยุตจากคันถะและไม่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี

๖-๘. โอฆโคจฉกาทิวิสัชนา
อายตนะ ๑๑ ไม่เป็นโอฆะ ฯลฯ ไม่เป็นโยคะ ฯลฯ ไม่เป็นนิวรณ์ ธัมมายตนะ
ที่เป็นนิวรณ์ก็มี ที่ไม่เป็นนิวรณ์ก็มี
อายตนะ ๑๐ เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ อายตนะ ๒ ที่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์
ก็มี ที่ไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี
อายตนะ ๑๐ วิปปยุตจากนิวรณ์ อายตนะ ๒ ที่สัมปยุตด้วยนิวรณ์ก็มี ที่
วิปปยุตจากนิวรณ์ก็มี


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๒๗ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๒.อายตนวิภังค์] ๓.ปัญหาปุจฉกะ ๒.ทุกมาติกาวิสัชนา
อายตนะ ๑๐ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นนิวรณ์และเป็นอารมณ์ของนิวรณ์ หรือเป็น
อารมณ์ของนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ มนายตนะกล่าวไม่ได้ว่า เป็นนิวรณ์และเป็น
อารมณ์ของนิวรณ์ ที่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็น
อารมณ์ของนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ก็มี ธัมมายตนะที่เป็นนิวรณ์และเป็นอารมณ์ของ
นิวรณ์ก็มี ที่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นนิวรณ์
และเป็นอารมณ์ของนิวรณ์ หรือเป็นอารมณ์ของนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ก็มี
อายตนะ ๑๐ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นนิวรณ์และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ หรือสัมปยุต
ด้วยนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ มนายตนะกล่าวไม่ได้ว่า เป็นนิวรณ์และสัมปยุตด้วย
นิวรณ์ ที่สัมปยุตด้วยนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยนิวรณ์
แต่ไม่เป็นนิวรณ์ก็มี ธัมมายตนะที่เป็นนิวรณ์และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ก็มี ที่สัมปยุต
ด้วยนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นนิวรณ์และสัมปยุตด้วยนิวรณ์
หรือที่สัมปยุตด้วยนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ก็มี
อายตนะ ๑๐ วิปปยุตจากนิวรณ์แต่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ อายตนะ ๒ ที่
วิปปยุตจากนิวรณ์แต่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี ที่วิปปยุตจากนิวรณ์และไม่เป็น
อารมณ์ของนิวรณ์ก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า วิปปยุตจากนิวรณ์แต่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์
หรือวิปปยุตจากนิวรณ์และไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี

๙. ปรามาสโคจฉกวิสัชนา
อายตนะ ๑๑ ไม่เป็นปรามาส ธัมมายตนะที่เป็นปรามาสก็มี ที่ไม่เป็นปรามาส
ก็มี
อายตนะ ๑๐ เป็นอารมณ์ของปรามาส อายตนะ ๒ ที่เป็นอารมณ์ของ
ปรามาสก็มี ที่ไม่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี
อายตนะ ๑๐ วิปปยุตจากปรามาส มนายตนะที่สัมปยุตด้วยปรามาสก็มี ที่
วิปปยุตจากปรามาสก็มี ธัมมายตนะที่สัมปยุตด้วยปรามาสก็มี ที่วิปปยุตจาก
ปรามาสก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยปรามาส หรือวิปปยุตจากปรามาสก็มี
อายตนะ ๑๐ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นปรามาสและเป็นอารมณ์ของปรามาส หรือ
เป็นอารมณ์ของปรามาสแต่ไม่เป็นปรามาส มนายตนะกล่าวไม่ได้ว่า เป็นปรามาส


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๒๘ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๒.อายตนวิภังค์] ๓.ปัญหาปุจฉกะ ๒.ทุกมาติกาวิสัชนา
และเป็นอารมณ์ของปรามาส ที่เป็นอารมณ์ของปรามาสแต่ไม่เป็นปรามาสก็มี ที่
กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอารมณ์ของปรามาสแต่ไม่เป็นปรามาสก็มี ธัมมายตนะที่เป็น
ปรามาสและเป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี ที่เป็นอารมณ์ของปรามาสแต่ไม่เป็น
ปรามาสก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นปรามาสและเป็นอารมณ์ของปรามาส หรือเป็น
อารมณ์ของปรามาสแต่ไม่เป็นปรามาสก็มี
อายตนะ ๑๐ วิปปยุตจากปรามาสแต่เป็นอารมณ์ของปรามาส อายตนะ ๒
ที่วิปปยุตจากปรามาสแต่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี ที่วิปปยุตจากปรามาสและ
ไม่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า วิปปยุตจากปรามาสแต่เป็นอารมณ์
ของปรามาส หรือวิปปยุตจากปรามาสและไม่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี

๑๐. มหันตรทุกวิสัชนา
อายตนะ ๑๐ รับรู้อารมณ์ไม่ได้ มนายตนะรับรู้อารมณ์ได้ ธัมมายตนะที่รับรู้
อารมณ์ได้ก็มี ที่รับรู้อารมณ์ไม่ได้ก็มี
มนายตนะเป็นจิต อายตนะ ๑๑ ไม่เป็นจิต
อายตนะ ๑๑ ไม่เป็นเจตสิก ธัมมายตนะที่เป็นเจตสิกก็มี ที่ไม่เป็นเจตสิกก็มี
อายตนะ ๑๐ วิปปยุตจากจิต ธัมมายตนะที่สัมปยุตด้วยจิตก็มี ที่วิปปยุตจาก
จิตก็มี มนายตนะกล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยจิต หรือวิปปยุตจากจิต
อายตนะ ๑๐ ไม่ระคนกับจิต ธัมมายตนะที่ระคนกับจิตก็มี ที่ไม่ระคนกับจิต
ก็มี มนายตนะกล่าวไม่ได้ว่า ระคนกับจิต หรือไม่ระคนกับจิต
อายตนะ ๖ ไม่มีจิตเป็นสมุฏฐาน อายตนะ ๖ ที่มีจิตเป็นสมุฏฐานก็มี ที่ไม่มี
จิตเป็นสมุฏฐานก็มี
อายตนะ ๑๑ ไม่เกิดพร้อมกับจิต ธัมมายตนะที่เกิดพร้อมกับจิตก็มี ที่ไม่เกิด
พร้อมกับจิตก็มี
อายตนะ ๑๑ ไม่เป็นไปตามจิต ธัมมายตนะที่เป็นไปตามจิตก็มี ที่ไม่เป็นไป
ตามจิตก็มี
อายตนะ ๑๑ ไม่ระคนกับจิตและมีจิตเป็นสมุฏฐาน ธัมมายตนะที่ระคนกับจิต
และมีจิตเป็นสมุฏฐานก็มี ที่ไม่ระคนกับจิตและมีจิตเป็นสมุฏฐานก็มี


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๒๙ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๒.อายตนวิภังค์] ๓.ปัญหาปุจฉกะ ๒.ทุกมาติกาวิสัชนา
อายตนะ ๑๑ ไม่ระคนกับจิตมีจิตเป็นสมุฏฐานและเกิดพร้อมกับจิต ธัมมายตนะ
ที่ระคนกับจิตมีจิตเป็นสมุฏฐานและเกิดพร้อมกับจิตก็มี ที่ไม่ระคนกับจิตมีจิตเป็น
สมุฏฐานและเกิดพร้อมกับจิตก็มี
อายตนะ ๑๑ ไม่ระคนกับจิตมีจิตเป็นสมุฏฐานและเป็นไปตามจิต ธัมมายตนะ
ที่ระคนกับจิตมีจิตเป็นสมุฏฐานและเป็นไปตามจิตก็มี ที่ไม่ระคนกับจิตมีจิตเป็น
สมุฏฐานและเป็นไปตามจิตก็มี
อายตนะ ๖ เป็นภายใน อายตนะ ๖ เป็นภายนอก
อายตนะ ๙ เป็นอุปาทายรูป อายตนะ ๒ ไม่เป็นอุปาทายรูป ธัมมายตนะที่
เป็นอุปาทายรูปก็มี ที่ไม่เป็นอุปาทายรูปก็มี

๑๑. อุปาทานโคจฉกวิสัชนา
อายตนะ ๕ กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือ สัททายตนะกรรมอัน
ประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือ อายตนะ ๖ ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหา
และทิฏฐิยึดถือก็มี ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือก็มี
อายตนะ ๑๑ ไม่เป็นอุปาทาน ธัมมายตนะที่เป็นอุปาทานก็มี ที่ไม่เป็น
อุปาทานก็มี
อายตนะ ๑๐ เป็นอารมณ์ของอุปาทาน อายตนะ ๒ ที่เป็นอารมณ์ของ
อุปาทานก็มี ที่ไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี
อายตนะ ๑๐ วิปปยุตจากอุปาทาน อายตนะ ๒ ที่สัมปยุตด้วยอุปาทานก็มี
ที่วิปปยุตจากอุปาทานก็มี
อายตนะ ๑๐ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอุปาทานและเป็นอารมณ์ของอุปาทาน หรือ
เป็นอารมณ์ของอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทาน มนายตนะกล่าวไม่ได้ว่า เป็นอุปาทาน
และเป็นอารมณ์ของอุปาทาน ที่เป็นอารมณ์ของอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานก็มี ที่
กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอารมณ์ของอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานก็มี ธัมมายตนะที่เป็น
อุปาทานและเป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี ที่เป็นอารมณ์ของอุปาทานแต่ไม่เป็น
อุปาทานก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอุปาทานและเป็นอารมณ์ของอุปาทาน หรือเป็น
อารมณ์ของอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานก็มี


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๓๐ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๒.อายตนวิภังค์] ๓.ปัญหาปุจฉกะ ๒.ทุกมาติกาวิสัชนา
อายตนะ ๑๐ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอุปาทานและสัมปยุตด้วยอุปาทาน หรือ
สัมปยุตด้วยอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทาน มนายตนะกล่าวไม่ได้ว่า เป็นอารมณ์ของ
อุปาทานและสัมปยุตด้วยอุปาทาน ที่สัมปยุตด้วยอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานก็มี ที่
กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานก็มี ธัมมายตนะที่เป็น
อุปาทานและสัมปยุตด้วยอุปาทานก็มี ที่สัมปยุตด้วยอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานก็มี
ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอุปาทานและสัมปยุตด้วยอุปาทาน หรือสัมปยุตด้วยอุปาทาน
แต่ไม่เป็นอุปาทานก็มี
อายตนะ ๑๐ วิปปยุตจากอุปาทานแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน อายตนะ ๒
ที่สัมปยุตด้วยอุปาทานและเป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี ที่วิปปยุตจากอุปาทานและ
ไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า วิปปยุตจากอุปาทานแต่เป็นอารมณ์
ของอุปาทาน หรือวิปปยุตจากอุปาทานและไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี

๑๒. กิเลสโคจฉกวิสัชนา
อายตนะ ๑๑ ไม่เป็นกิเลส ธัมมายตนะที่เป็นกิเลสก็มี ที่ไม่เป็นกิเลสก็มี
อายตนะ ๑๐ เป็นอารมณ์ของกิเลส อายตนะ ๒ ที่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี ที่
ไม่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี
อายตนะ ๑๐ กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมอง อายตนะ ๒ ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองก็มี
ที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองก็มี
อายตนะ ๑๐ วิปปยุตจากกิเลส อายตนะ ๒ ที่สัมปยุตด้วยกิเลสก็มี ที่วิปปยุต
จากกิเลสก็มี
อายตนะ ๑๐ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและเป็นอารมณ์ของกิเลส หรือเป็น
อารมณ์ของกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลส มนายตนะกล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและเป็นอารมณ์
ของกิเลส ที่เป็นอารมณ์ของกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอารมณ์ของ
กิเลสแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี ธัมมายตนะที่เป็นกิเลสและเป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี ที่เป็น
อารมณ์ของกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและเป็นอารมณ์ของ
กิเลส หรือเป็นอารมณ์ของกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๓๑ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๒.อายตนวิภังค์] ๓.ปัญหาปุจฉกะ ๒.ทุกมาติกาวิสัชนา
อายตนะ ๑๐ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและกิเลสทำให้เศร้าหมอง หรือกิเลส
ทำให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลส มนายตนะกล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและกิเลสทำให้
เศร้าหมอง หรือกิเลสทำให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า กิเลส
ทำให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี ธัมมายตนะที่เป็นกิเลสและกิเลสทำให้เศร้าหมองก็มี
ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและกิเลสทำให้
เศร้าหมอง หรือกิเลสทำให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี
อายตนะ ๑๐ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและสัมปยุตด้วยกิเลส หรือสัมปยุตด้วย
กิเลสแต่ไม่เป็นกิเลส มนายตนะกล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและสัมปยุตด้วยกิเลส ที่
สัมปยุตด้วยกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยกิเลสแต่ไม่เป็น
กิเลสก็มี ธัมมายตนะที่เป็นกิเลสและสัมปยุตด้วยกิเลสก็มี ที่สัมปยุตด้วยกิเลสแต่ไม่
เป็นกิเลสก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและสัมปยุตด้วยกิเลส หรือสัมปยุตด้วย
กิเลสแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี
อายตนะ ๑๐ วิปปยุตจากกิเลสแต่เป็นอารมณ์ของกิเลส อายตนะ ๒ ที่
วิปปยุตจากกิเลสแต่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี ที่วิปปยุตจากกิเลสและไม่เป็น
อารมณ์ของกิเลสก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า วิปปยุตจากกิเลสแต่เป็นอารมณ์ของกิเลส
หรือวิปปยุตจากกิเลสและไม่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี

๑๓. ปิฏฐิทุกวิสัชนา
อายตนะ ๑๐ ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค อายตนะ ๒ ที่ต้อง
ประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี ที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี
อายตนะ ๑๐ ไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ อายตนะ ๒ ที่ต้องประหาณ
ด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี ที่ไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี
อายตนะ ๑๐ ไม่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค อายตนะ ๒ ที่มีเหตุ
ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี ที่ไม่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี
อายตนะ ๑๐ ไม่มีเหตุต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ อายตนะ ๒ ที่มีเหตุ
ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี ที่ไม่มีเหตุต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๓๒ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๒.อายตนวิภังค์] ๓.ปัญหาปุจฉกะ ๒.ทุกมาติกาวิสัชนา
อายตนะ ๑๐ ไม่มีวิตก อายตนะ ๒ ที่มีวิตกก็มี ที่ไม่มีวิตกก็มี
อายตนะ ๑๐ ไม่มีวิจาร อายตนะ ๒ ที่มีวิจารก็มี ที่ไม่มีวิจารก็มี
อายตนะ ๑๐ ไม่มีปีติ อายตนะ ๒ ที่มีปีติก็มี ที่ไม่มีปีติก็มี
อายตนะ ๑๐ ไม่สหรคตด้วยปีติ อายตนะ ๒ ที่สหรคตด้วยปีติก็มี ที่ไม่
สหรคตด้วยปีติก็มี
อายตนะ ๑๐ ไม่สหรคตด้วยสุข อายตนะ ๒ ที่สหรคตด้วยสุขก็มี ที่ไม่
สหรคตด้วยสุขก็มี
อายตนะ ๑๐ ไม่สหรคตด้วยอุเบกขา อายตนะ ๒ ที่สหรคตด้วยอุเบกขาก็มี
ที่ไม่สหรคตด้วยอุเบกขาก็มี
อายตนะ ๑๐ เป็นกามาวจร อายตนะ ๒ ที่เป็นกามาวจรก็มี ที่ไม่เป็น
กามาวจรก็มี
อายตนะ ๑๐ ไม่เป็นรูปาวจร อายตนะ ๒ ที่เป็นรูปาวจรก็มี ที่ไม่เป็นรูปาวจรก็มี
อายตนะ ๑๐ ไม่เป็นอรูปาวจร อายตนะ ๒ ที่เป็นอรูปาวจรก็มี ที่ไม่เป็น
อรูปาวจรก็มี
อายตนะ ๑๐ นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ อายตนะ ๒ ที่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี ที่ไม่
นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี
อายตนะ ๑๐ ไม่เป็นเหตุนำออกจากวัฏฏทุกข์ อายตนะ ๒ ที่เป็นเหตุนำออก
จากวัฏฏทุกข์ก็มี ที่ไม่เป็นเหตุนำออกจากวัฏฏทุกข์ก็มี
อายตนะ ๑๐ ให้ผลไม่แน่นอน อายตนะ ๒ ที่ให้ผลแน่นอนก็มี ที่ให้ผลไม่แน่
นอนก็มี
อายตนะ ๑๐ มีธรรมอื่นยิ่งกว่า อายตนะ ๒ ที่มีธรรมอื่นยิ่งกว่าก็มี ที่ไม่มี
ธรรมอื่นยิ่งกว่าก็มี
อายตนะ ๑๐ ไม่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ อายตนะ ๒ ที่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี
ที่ไม่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี

ปัญหาปุจฉกะ จบ

อายตนวิภังค์ จบบริบูรณ์


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๓๓ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๓.ธาตุวิภังค์] ๑.สุตตันตภาชนีย์
๓. ธาตุวิภังค์
๑. สุตตันตภาชนีย์
[๑๗๒] ธาตุ ๖ คือ

๑. ปฐวีธาตุ (ธาตุดิน)
๒. อาโปธาตุ (ธาตุน้ำ)
๓. เตโชธาต (ธาตุไฟ)
๔. วาโยธาตุ (ธาตุลม)
๕. อากาสธาตุ (ธาตุคือที่ว่าง)
๖. วิญญาณธาตุ (ธาตุคือวิญญาณ)

[๑๗๓] บรรดาธาตุ ๖ นั้น ปฐวีธาตุ เป็นไฉน
ปฐวีธาตุมี ๒ อย่าง คือ ปฐวีธาตุที่เป็นภายในก็มี ที่เป็นภายนอกก็มี
ในปฐวีธาตุ ๒ อย่างนั้น ปฐวีธาตุที่เป็นภายใน เป็นไฉน
ธรรมชาติที่แข็ง ธรรมชาติที่กระด้าง ความแข็ง ภาวะที่แข็ง เป็นภายในตน
มีเฉพาะตน ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือ ซึ่งเป็นภายในตน เช่น
ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ไต หัวใจ ตับ พังผืด ม้าม
ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า หรือธรรมชาติที่แข็ง ธรรมชาติที่กระด้าง
ความแข็ง ภาวะที่แข็ง เป็นภายในตน มีเฉพาะตน ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหา
และทิฏฐิยึดถือ ซึ่งเป็นภายในตน แม้อื่นใดมีอยู่ นี้เรียกว่า ปฐวีธาตุที่เป็นภายใน
ปฐวีธาตุที่เป็นภายนอก เป็นไฉน
ธรรมชาติที่แข็ง ธรรมชาติที่กระด้าง ความแข็ง ภาวะที่แข็ง เป็นภายนอกตน
ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือ ซึ่งเป็นภายนอกตน เช่น เหล็ก
โลหะ ดีบุกขาว ดีบุกดำ เงิน แก้วมุกดา แก้วมณี แก้วไพฑูรย์ สังข์ ศิลา แก้ว
ประพาฬ เงินตรา ทอง แก้วมณีแดง แก้วมณีลาย หญ้า ท่อนไม้ ก้อนกรวด
กระเบื้อง แผ่นดิน แผ่นหิน ภูเขา หรือธรรมชาติที่แข็ง ธรรมชาติที่กระด้าง

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๓๔ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๓.ธาตุวิภังค์] ๑.สุตตันตภาชนีย์
ความแข็ง ภาวะที่แข็ง เป็นภายนอกตน ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่
ยึดถือ ซึ่งเป็นภายนอกตน แม้อื่นใดมีอยู่ นี้เรียกว่า ปฐวีธาตุที่เป็นภายนอก
ประมวลย่อปฐวีธาตุที่เป็นภายในและปฐวีธาตุที่เป็นภายนอกเข้าเป็นหมวด
เดียวกัน นี้เรียกว่า ปฐวีธาตุ (๑)
[๑๗๔] อาโปธาตุ เป็นไฉน
อาโปธาตุมี ๒ อย่าง คือ อาโปธาตุที่เป็นภายในก็มี ที่เป็นภายนอกก็มี
ในอาโปธาตุ ๒ อย่างนั้น อาโปธาตุที่เป็นภายใน เป็นไฉน
ความเอิบอาบ ธรรมชาติที่เอิบอาบ ความเหนียว ธรรมชาติที่เหนียว
ธรรมชาติเป็นเครื่องเกาะกุมรูป เป็นภายในตน มีเฉพาะตน ที่กรรมอันประกอบด้วย
ตัณหาและทิฏฐิยึดถือ ซึ่งเป็นภายในตน เช่น ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น
น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร หรือความเอิบอาบ ธรรมชาติที่เอิบอาบ
ความเหนียว ธรรมชาติที่เหนียว ธรรมชาติเป็นเครื่องเกาะกุมรูป เป็นภายในตน มี
เฉพาะตน ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือ ซึ่งเป็นภายในตน แม้อื่นใด
มีอยู่ นี้เรียกว่า อาโปธาตุที่เป็นภายใน
อาโปธาตุที่เป็นภายนอก เป็นไฉน
ความเอิบอาบ ธรรมชาติที่เอิบอาบ ความเหนียว ธรรมชาติที่เหนียว
ธรรมชาติเป็นเครื่องเกาะกุมรูป เป็นภายนอกตน ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและ
ทิฏฐิไม่ยึดถือ ซึ่งเป็นภายนอกตน เช่น น้ำรากไม้ น้ำลำต้น น้ำเปลือกไม้ น้ำใบไม้
น้ำดอกไม้ น้ำผลไม้ นมสด นมส้ม เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย น้ำในพื้นดิน
น้ำในอากาศ หรือความเอิบอาบ ธรรมชาติที่ซึมซาบ ความเหนียว ธรรมชาติที่
เหนียว ธรรมชาติเป็นเครื่องเกาะกุมรูป เป็นภายนอกตน ที่กรรมอันประกอบด้วย
ตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือ ซึ่งเป็นภายนอกตน แม้อื่นใดมีอยู่ นี้เรียกว่า อาโปธาตุ
ที่เป็นภายนอก
ประมวลย่ออาโปธาตุที่เป็นภายในและอาโปธาตุที่เป็นภายนอกเข้าเป็นหมวดเดียว
กัน นี้เรียกว่า อาโปธาตุ (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๓๕ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๓.ธาตุวิภังค์] ๑.สุตตันตภาชนีย์
[๑๗๕] เตโชธาตุ เป็นไฉน
เตโชธาตุมี ๒ อย่าง คือ เตโชธาตุที่เป็นภายในก็มี ที่เป็นภายนอกก็มี
ในเตโชธาตุ ๒ อย่างนั้น เตโชธาตุที่เป็นภายใน เป็นไฉน
ความร้อน ธรรมชาติที่ร้อน ความอุ่น ธรรมชาติที่อุ่น ความอบอุ่น ธรรมชาติ
ที่อบอุ่น เป็นภายในตน มีเฉพาะตน ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือ
ซึ่งเป็นภายในตน เช่น เตโชธาตุที่ทำให้ร่างกายอบอุ่น ที่ทำให้ร่างกายทรุดโทรม ที่
ทำให้เร่าร้อนและที่ทำให้ของกิน ของดื่ม ของเคี้ยว ของลิ้ม ถึงความย่อยไปด้วยดี
หรือความร้อน ธรรมชาติที่ร้อน ความอุ่น ธรรมชาติที่อุ่น ความอบอุ่น ธรรมชาติที่
อบอุ่น เป็นภายในตน มีเฉพาะตน ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือ
ซึ่งเป็นภายในตน แม้อื่นใดมีอยู่ นี้เรียกว่า เตโชธาตุที่เป็นภายใน
เตโชธาตุที่เป็นภายนอก เป็นไฉน
ความร้อน ธรรมชาติที่ร้อน ความอุ่น ธรรมชาติที่อุ่น ความอบอุ่น ธรรมชาติ
ที่อบอุ่น เป็นภายนอกตน ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือ ซึ่งเป็น
ภายนอกตน เช่น ไฟฟืน ไฟสะเก็ดไม้ ไฟหญ้า ไฟมูลโค ไฟแกลบ ไฟหยากเยื่อ ไฟ
อสนิบาต ความร้อนแห่งไฟ ความร้อนแห่งดวงอาทิตย์ ความร้อนแห่งกองฟืน
ความร้อนแห่งกองหญ้า ความร้อนแห่งกองข้าวเปลือก ความร้อนแห่งกองขี้เถ้า หรือ
ความร้อน ธรรมชาติที่ร้อน ความอบอุ่น ธรรมชาติที่อบอุ่น เป็นภายนอกตน ที่
กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือ ซึ่งเป็นภายนอกตน แม้อื่นใดมีอยู่ นี้
เรียกว่า เตโชธาตุที่เป็นภายนอก
ประมวลย่อเตโชธาตุที่เป็นภายในและเตโชธาตุที่เป็นภายนอกเข้าเป็นหมวด
เดียวกัน นี้เรียกว่า เตโชธาตุ (๓)
[๑๗๖] วาโยธาตุ เป็นไฉน
วาโยธาตุมี ๒ อย่าง คือ วาโยธาตุที่เป็นภายในก็มี ที่เป็นภายนอกก็มี
ในวาโยธาตุ ๒ อย่างนั้น วาโยธาตุที่เป็นภายใน เป็นไฉน
ความพัดไปมา ธรรมชาติที่พัดไปมา ธรรมชาติเครื่องค้ำจุนรูป เป็นภายในตน
มีเฉพาะตน ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือ ซึ่งเป็นภายในตน เช่น

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๓๖ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๓.ธาตุวิภังค์] ๑.สุตตันตภาชนีย์
ลมพัดขึ้นเบื้องบน ลมพัดลงเบื้องต่ำ ลมในท้อง ลมในไส้ ลมพัดไปตามตัว ลมศัสตรา๑
ลมมีดโกน๑ ลมเพิกหัวใจ ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก หรือความพัดไปมา
ธรรมชาติที่พัดไปมา ธรรมชาติเครื่องค้ำจุนรูปเป็นภายในตน มีเฉพาะตน ที่กรรม
อันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือ ซึ่งเป็นภายในตน แม้อื่นใดมีอยู่ นี้เรียกว่า
วาโยธาตุที่เป็นภายใน
วาโยธาตุที่เป็นภายนอก เป็นไฉน
ความพัดไปมา ธรรมชาติที่พัดไปมา ความเคร่งตึงแห่งรูป เป็นภายนอกตน ที่
กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือ ซึ่งเป็นภายนอกตน เช่น ลม
ตะวันออก ลมตะวันตก ลมเหนือ ลมใต้ ลมมีฝุ่นละออง ลมไม่มีฝุ่นละออง ลมหนาว
ลมร้อน ลมอ่อน ลมแรง ลมดำ ลมบน ลมกระพือปีก ลมปีกครุฑ ลมใบกังหัน
ลมพัดโบก หรือความพัดไปมา ธรรมชาติที่พัดไปมา ธรรมชาติเครื่องค้ำจุนรูป
เป็นภายนอกตน ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือ ซึ่งเป็นภายนอกตน
แม้อื่นใดมีอยู่ นี้เรียกว่า วาโยธาตุที่เป็นภายนอก
ประมวลย่อวาโยธาตุที่เป็นภายในและวาโยธาตุที่เป็นภายนอกเข้าเป็นหมวด
เดียวกัน นี้เรียกว่า วาโยธาตุ (๔)
[๑๗๗] อากาสธาตุ เป็นไฉน
อากาสธาตุมี ๒ อย่าง คือ อากาสธาตุที่เป็นภายในก็มี ที่เป็นภายนอกก็มี
ในอากาสธาตุ ๒ อย่างนั้น อากาสธาตุที่เป็นภายใน เป็นไฉน
อากาศ ธรรมชาติที่นับว่าอากาศ ความว่างเปล่า ธรรมชาติที่นับว่าความ
ว่างเปล่า ช่องว่าง ธรรมชาติที่นับว่าช่องว่าง ซึ่งเนื้อและเลือดไม่ถูกต้องแล้ว เป็น
ภายในตน มีเฉพาะตน ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือ ซึ่งเป็นภาย
ในตน เช่น ช่องหู ช่องจมูก ช่องปาก ช่องสำหรับกลืนของกิน ของดื่ม ของเคี้ยว

เชิงอรรถ :
๑ ในอรรถกถาขยายว่า (สตฺถกวาตาติ สนฺธิพนฺธนานิ กตฺตริยา ฉินฺทนฺตา วิย ปวตฺตวาตา. ขุรก-
วาตาติ ขุเรน วิย หทยํ ผาลนกวาตา) คำว่า สตฺถกวาตา อธิบายว่า ลมที่พัดหมุนไป ประดุจตัดสิ่งที่
ต่อกันไว้ที่ผูกกันไว้ด้วยมีดโกน คำว่า ขุรกวาตา อธิบายว่า ลมที่เฉือดเฉือน ประดุจเฉือนหทัยด้วยมีด
อันคม (อภิ.วิ.อ. ๑๗๖/๗๗)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๓๗ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๓.ธาตุวิภังค์] ๑.สุตตันตภาชนีย์
ของลิ้ม ช่องที่พักอยู่แห่งของกิน ของดื่ม ของเคี้ยว ของลิ้มและช่องสำหรับของกิน
ของดื่ม ของเคี้ยว ของลิ้มไหลลงเบื้องต่ำ หรืออากาศ ธรรมชาติที่นับว่าอากาศ
ความว่างเปล่า ธรรมชาติที่นับว่าความว่างเปล่า ช่องว่าง ธรรมชาติที่นับว่าช่องว่าง
ซึ่งเนื้อและเลือดไม่ถูกต้องแล้ว เป็นภายในตน มีเฉพาะตน ที่กรรมอันประกอบด้วย
ตัณหาและทิฏฐิยึดถือ ซึ่งเป็นภายในตน แม้อื่นใดมีอยู่ นี้เรียกว่า อากาสธาตุที่เป็น
ภายใน
อากาสธาตุที่เป็นภายนอก เป็นไฉน
อากาศ ธรรมชาติที่นับว่าอากาศ ความว่างเปล่า ธรรมชาติที่นับว่าความ
ว่างเปล่า ช่องว่าง ธรรมชาติที่นับว่าช่องว่างซึ่งมหาภูตรูป ๔ ไม่ถูกต้องแล้ว เป็น
ภายนอกตน ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือ ซึ่งเป็นภายนอกตน
นี้เรียกว่า อากาสธาตุที่เป็นภายนอก
ประมวลย่ออากาสธาตุที่เป็นภายในและอากาสธาตุที่เป็นภายนอกเข้าเป็น
หมวดเดียวกัน นี้เรียกว่า อากาสธาตุ (๕)
[๑๗๘] วิญญาณธาตุ เป็นไฉน
จักขุวิญญาณธาตุ โสตวิญญาณธาตุ ฆานวิญญาณธาตุ ชิวหาวิญญาณธาตุ
กายวิญญาณธาตุ และมโนวิญญาณธาตุ นี้เรียกว่า วิญญาณธาตุ (๖)
เหล่านี้เรียกว่า ธาตุ ๖
[๑๗๙] ธาตุ ๖๑ อีกนัยหนึ่ง คือ

๑. สุขธาตุ ๒. ทุกขธาตุ
๓. โสมนัสสธาตุ ๔. โทมนัสสธาตุ
๕. อุเปกขาธาตุ ๖. อวิชชาธาตุ

[๑๘๐] บรรดาธาตุ ๖ นั้น สุขธาตุ เป็นไฉน

เชิงอรรถ :
๑ อภิ.วิ.อ. ๑๗๙/๗๙

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๓๘ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๓.ธาตุวิภังค์] ๑.สุตตันตภาชนีย์
ความสำราญทางกาย ความสุขทางกาย ความเสวยอารมณ์ที่สำราญเป็น
สุข อันเกิดแต่กายสัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์ที่สำราญเป็นสุข อันเกิดแต่กายสัมผัส
นี้เรียกว่า สุขธาตุ (๑)
ทุกขธาตุ เป็นไฉน
ความไม่สำราญทางกาย ความทุกข์ทางกาย ความเสวยอารมณ์ที่ไม่สำราญ
เป็นทุกข์ อันเกิดแต่กายสัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์ที่ไม่สำราญเป็นทุกข์ อันเกิดแต่
กายสัมผัส นี้เรียกว่า ทุกขธาตุ (๒)
โสมนัสสธาตุ เป็นไฉน
ความสำราญทางใจ ความสุขทางใจ ความเสวยอารมณ์ที่สำราญเป็นสุข
อันเกิดแต่เจโตสัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์ที่สำราญเป็นสุข อันเกิดแต่เจโตสัมผัส
นี้เรียกว่า โสมนัสสธาตุ (๓)
โทมนัสสธาตุ เป็นไฉน
ความไม่สำราญทางใจ ความทุกข์ทางใจ ความเสวยอารมณ์ที่ไม่สำราญเป็น
ทุกข์ อันเกิดแต่เจโตสัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์ที่ไม่สำราญเป็นทุกข์ อันเกิดแต่
เจโตสัมผัส นี้เรียกว่า โทมนัสสธาตุ (๔)
อุเปกขาธาตุ เป็นไฉน
ความสำราญทางใจก็ไม่ใช่ ความไม่สำราญทางใจก็ไม่ใช่ ความเสวยอารมณ์ที่
ไม่ทุกข์ไม่สุข อันเกิดแต่เจโตสัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์ที่ไม่ทุกข์ไม่สุข อันเกิดแต่
เจโตสัมผัส นี้เรียกว่า อุเปกขาธาตุ (๕)
อวิชชาธาตุ เป็นไฉน
ความไม่รู้ ความไม่เห็น ความไม่ตรัสรู้ ความไม่รู้โดยสมความ ความไม่รู้ตาม
ความเป็นจริง ความไม่แทงตลอด ความไม่ถือเอาให้ถูกต้อง ความไม่หยั่งลงอย่าง
รอบคอบ ความไม่ใคร่ครวญ ความไม่พิจารณา ความไม่ทำให้ประจักษ์ ความด้อย
ปัญญา ความโง่เขลา ความไม่รู้ชัด ความหลง ความลุ่มหลง ความหลงใหล อวิชชา
โอฆะคืออวิชชา โยคะคืออวิชชา อนุสัยคืออวิชชา ปริยุฏฐานะคืออวิชชา ลิ่มคือ
อวิชชา อกุศลมูลคือโมหะ นี้เรียกว่า อวิชชาธาตุ (๖)
เหล่านี้เรียกว่า ธาตุ ๖


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๓๙ }


[๑๘๑] ธาตุ ๖ อีกนัยหนึ่ง คือ

๑. กามธาตุ ๒. พยาปาทธาตุ
๓. วิหิงสาธาตุ ๔. เนกขัมมธาตุ
๕. อัพยาปาทธาตุ ๖. อวิหิงสาธาตุ

[๑๘๒] บรรดาธาตุ ๖ นั้น กามธาตุ เป็นไฉน
ความตรึก ความตรึกโดยอาการต่าง ๆ ความดำริ ความที่จิตแนบแน่นใน
อารมณ์ ความที่จิตแนบสนิทในอารมณ์ ความยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ มิจฉาสังกัปปะ
ที่ประกอบด้วยกาม นี้เรียกว่า กามธาตุ๑
ขันธ์ ธาตุ อายตนะ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่ท่องเที่ยวนับเนื่อง
อยู่ในระหว่างนี้ ชั้นต่ำมีอเวจีนรกเป็นที่สุด ชั้นสูงมีเทพชั้นปรนิมมิตวสวัตตีเป็นที่สุด
นี้เรียกว่า กามธาตุ (๑)
พยาปาทธาตุ เป็นไฉน
ความตรึก ความตรึกโดยอาการต่าง ๆ ฯลฯ มิจฉาสังกัปปะที่ประกอบด้วย
พยาบาท นี้เรียกว่า พยาปาทธาตุ๒
อีกนัยหนึ่ง ความที่จิตอาฆาตในอาฆาตวัตถุ ๑๐ ความอาฆาตที่รุนแรง
ความกระทบกระทั่ง ความแค้น ความพิโรธตอบ ความกำเริบ ความกำเริบหนัก
ความกำเริบหนักขึ้น ความคิดร้าย ความคิดประทุษร้าย ความคิดประทุษร้ายหนัก
ความที่จิตคิดพยาบาท ความที่จิตคิดประทุษร้าย ความโกรธ กิริยาที่โกรธ ภาวะที่
โกรธ ความคิดปองร้าย กิริยาที่คิดปองร้าย ภาวะที่คิดปองร้าย ความพยาบาท
กิริยาที่พยาบาท ภาวะที่พยาบาท ความพิโรธ ความพิโรธตอบ ความดุร้าย
ความเกรี้ยวกราด ความที่จิตไม่แช่มชื่น นี้เรียกว่า พยาปาทธาตุ (๒)

เชิงอรรถ :
๑ กามมี ๒ คือ วัตถุกาม และกิเลสกาม ธาตุที่เกี่ยวเนื่องกับกิเลสกามเป็นชื่อของกามวิตก ธาตุที่เกี่ยว
เนื่องกับวัตถุกามเป็นชื่อสภาวธรรมที่เป็นกามาวจร (อภิ.วิ.อ. ๑๘๑/๘๐)
๒ พยาปาทธาตุนี้เป็นชื่อของพยาบาทวิตก (อภิ.วิ.อ. ๑๘๑/๘๐)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๔๐ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๓.ธาตุวิภังค์] ๑.สุตตันตภาชนีย์
วิหิงสาธาตุ เป็นไฉน
ความตรึก ความตรึกโดยอาการต่าง ๆ ฯลฯ มิจฉาสังกัปปะที่ประกอบด้วย
วิหิงสา นี้เรียกว่า วิหิงสาธาตุ
บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมใช้ฝ่ามือ ก้อนดิน ท่อนไม้ ศัสตรา หรือเชือก
อย่างใดอย่างหนึ่งเบียดเบียนสัตว์ ความเบียดเบียน กิริยาที่เบียดเบียน ความรังแก
กิริยาที่รังแก ความเกรี้ยวกราด กิริยาที่กระทบกระทั่งอย่างรุนแรง ความเข้าไป
เบียดเบียนสัตว์อื่นเห็นปานนี้ นี้เรียกว่า วิหิงสาธาตุ (๓)
เนกขัมมธาตุ เป็นไฉน
ความตรึก ความตรึกโดยอาการต่าง ๆ ฯลฯ สัมมาสังกัปปะที่ประกอบ
ด้วยเนกขัมมะ นี้เรียกว่า เนกขัมมธาตุ
สภาวธรรมที่เป็นกุศลทั้งหมดชื่อว่า เนกขัมมธาตุ (๔)
อัพยาปาทธาตุ เป็นไฉน
ความตรึก ความตรึกโดยอาการต่าง ๆ ฯลฯ สัมมาสังกัปปะที่ประกอบด้วย
อัพยาบาท นี้เรียกว่า อัพยาปาทธาตุ
ความมีไมตรี ความเจริญเมตตา ภาวะที่แผ่เมตตาในสัตว์ทั้งหลาย เมตตา-
เจโตวิมุตติ (ความหลุดพ้นทางใจที่มีเมตตาเป็นอารมณ์) นี้เรียกว่า อัพยาปาทธาตุ (๕)
อวิหิงสาธาตุ เป็นไฉน
ความตรึก ความตรึกโดยอาการต่าง ๆ ความดำริที่ประกอบด้วยอวิหิงสา
ความที่จิตแนบแน่นในอารมณ์ ความที่จิตแนบสนิทในอารมณ์ ความยกจิตขึ้นสู่
อารมณ์ สัมมาสังกัปปะ นี้เรียกว่า อวิหิงสาธาตุ
กรุณา ความเจริญกรุณา ภาวะที่แผ่กรุณาในสัตว์ทั้งหลาย กรุณาเจโตวิมุตติ
(ความหลุดพ้นทางใจที่มีกรุณาเป็นอารมณ์) นี้เรียกว่า อวิหิงสาธาตุ (๖)
เหล่านี้เรียกว่า ธาตุ ๖
ประมวลย่อธาตุ ๖ สามหมวดนี้เข้าเป็นหมวดเดียวกันจึงเป็นธาตุ ๑๘ ด้วย
อาการอย่างนี้
สุตตันตภาชนีย์ จบ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๔๑ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๓.ธาตุวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์
๒. อภิธรรมภาชนีย์
[๑๘๓] ธาตุ ๑๘ คือ

๑. จักขุธาตุ ๒. รูปธาตุ
๓. จักขุวิญญาณธาตุ ๔. โสตธาตุ
๕. สัททธาตุ ๖. โสตวิญญาณธาตุ
๗. ฆานธาตุ ๘. คันธธาตุ
๙. ฆานวิญญาณธาตุ ๑๐. ชิวหาธาตุ
๑๑. รสธาตุ ๑๒. ชิวหาวิญญาณธาตุ
๑๓. กายธาตุ ๑๔. โผฏฐัพพธาตุ
๑๕. กายวิญญาณธาตุ ๑๖. มโนธาตุ
๑๗. ธัมมธาตุ ๑๘. มโนวิญญาณธาตุ

[๑๘๔] บรรดาธาตุ ๑๘ นั้น จักขุธาตุ เป็นไฉน
จักษุใดเป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ ฯลฯ นี้ชื่อว่าบ้านว่างบ้าง นี้
เรียกว่า จักขุธาตุ (๑)
รูปธาตุ เป็นไฉน
รูปใดเป็นสีต่าง ๆ อาศัยมหาภูตรูป ๔ ฯลฯ นี้ชื่อว่ารูปธาตุบ้าง นี้เรียกว่า
รูปธาตุ (๒)
จักขุวิญญาณธาตุ เป็นไฉน
จิต มโน มานัส หทัย ปัณฑระ มโน มนายตนะ มนินทรีย์ วิญญาณ
วิญญาณขันธ์ จักขุวิญญาณธาตุที่เหมาะสมกัน อาศัยจักษุและรูปเกิดขึ้น นี้เรียกว่า
จักขุวิญญาณธาตุ (๓)
โสตธาตุ เป็นไฉน
โสตะใดเป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ ฯลฯ นี้ชื่อว่าบ้านว่างบ้าง นี้
เรียกว่า โสตธาตุ (๔)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๔๒ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๓.ธาตุวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์
สัททธาตุ เป็นไฉน
สัททะ (เสียง) ใดอาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ ฯลฯ นี้
ชื่อสัททธาตุบ้าง นี้เรียกว่า สัททธาตุ (๕)
โสตวิญญาณธาตุ เป็นไฉน
จิต มโน มานัส หทัย ปัณฑระ มโน มนายตนะ มนินทรีย์ วิญญาณ
วิญญาณขันธ์ โสตวิญญาณธาตุที่เหมาะสมกัน อาศัยโสตะ (หู) และเสียงเกิดขึ้น
นี้เรียกว่า โสตวิญญาณธาตุ (๖)
ฆานธาตุ เป็นไฉน
ฆานะ (จมูก) ใดเป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ ฯลฯ นี้ชื่อว่าบ้านว่างบ้าง
นี้เรียกว่า ฆานธาตุ (๗)
คันธธาตุ เป็นไฉน
คันธะ (กลิ่น) ใดอาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ ฯลฯ นี้
ชื่อว่าคันธธาตุบ้าง นี้เรียกว่า คันธธาตุ (๘)
ฆานวิญญาณธาตุ เป็นไฉน
จิต มโน มานัส หทัย ปัณฑระ มโน มนายตนะ มนินทรีย์ วิญญาณ
วิญญาณขันธ์ ฆานวิญญาณธาตุที่เหมาะสมกัน อาศัยฆานะและกลิ่นเกิดขึ้น นี้เรียก
ว่า ฆานวิญญาณธาตุ (๙)
ชิวหาธาตุ เป็นไฉน
ชิวหา (ลิ้น) ใดเป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ ฯลฯ นี้ชื่อว่าบ้านว่างบ้าง
นี้เรียกว่า ชิวหาธาตุ (๑๐)
รสธาตุ เป็นไฉน
รสใดอาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ ฯลฯ นี้ชื่อว่ารสธาตุ
บ้าง นี้เรียกว่า รสธาตุ (๑๑)


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๔๓ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๓.ธาตุวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์
ชิวหาวิญญาณธาตุ เป็นไฉน
จิต มโน มานัส หทัย ปัณฑระ มโน มนายตนะ มนินทรีย์ วิญญาณ
วิญญาณขันธ์ ชิวหาวิญญาณธาตุที่เหมาะสมกัน อาศัยชิวหาและรสเกิดขึ้น นี้เรียก
ว่า ชิวหาวิญญาณธาตุ (๑๒)
กายธาตุ เป็นไฉน
กายใดเป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ ฯลฯ นี้ชื่อว่าบ้านว่างบ้าง นี้เรียก
ว่า กายธาตุ (๑๓)
โผฏฐัพพธาตุ เป็นไฉน
ปฐวีธาตุ ฯลฯ นี้ชื่อว่าโผฏฐัพพธาตุบ้าง นี้เรียกว่า โผฏฐัพพธาตุ (๑๔)
กายวิญญาณธาตุ เป็นไฉน
จิต มโน มานัส หทัย ปัณฑระ มโน มนายตนะ มนินทรีย์ วิญญาณ
วิญญาณขันธ์ กายวิญญาณธาตุที่เหมาะสมกัน อาศัยกายและโผฏฐัพพะเกิดขึ้น นี้
เรียกว่า กายวิญญาณธาตุ (๑๕)
มโนธาตุ เป็นไฉน
จิต มโน มานัส หทัย ปัณฑระ มโน มนายตนะ มนินทรีย์ วิญญาณ
วิญญาณขันธ์ มโนธาตุที่เหมาะสมกัน เกิดขึ้นในลำดับแห่งการเกิดดับแห่ง
จักขุวิญญาณธาตุ ฯลฯ โสตวิญญาณธาตุ ฯลฯ ฆานวิญญาณธาตุ ฯลฯ
ชิวหาวิญญาณธาตุ ฯลฯ
จิต มโน มานัส หทัย ปัณฑระ มโน มนายตนะ มนินทรีย์ วิญญาณ
วิญญาณขันธ์ มโนธาตุที่เหมาะสมกัน เกิดขึ้นในลำดับแห่งการเกิดดับแห่งกาย-
วิญญาณธาตุ หรือการพิจารณาอารมณ์ครั้งแรกในสภาวธรรมทั้งปวง จิต มโน
มานัส ปัณฑระ มโน มนายตนะ มนินทรีย์ วิญญาณ วิญญาณขันธ์ มโนธาตุที่
เหมาะสมกันเกิดขึ้น
นี้เรียกว่า มโนธาตุ (๑๖)


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๔๔ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๓.ธาตุวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์
ธัมมธาตุ เป็นไฉน
เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ รูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้ ซึ่งนับ
เนื่องในธัมมายตนะ และธาตุที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง
บรรดาธัมมธาตุนั้น เวทนาขันธ์ เป็นไฉน
เวทนาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่มีเหตุก็มี ที่ไม่มีเหตุก็มี
เวทนาขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ เวทนาขันธ์ที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอกุศลก็มี ที่
เป็นอัพยากฤตก็มี
ฯลฯ
เวทนาขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
ฯลฯ
เวทนาขันธ์หมวดละมากอย่างมีด้วยอาการอย่างนี้ นี้เรียกว่า เวทนาขันธ์ (๑)
สัญญาขันธ์ เป็นไฉน
สัญญาขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่สัมปยุตด้วยผัสสะ
สัญญาขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่มีเหตุก็มี ที่ไม่มีเหตุก็มี
สัญญาขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สัญญาขันธ์ที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอกุศลก็มี
ที่เป็นอัพยากฤตก็มี
ฯลฯ
สัญญาขันธ์หมวดละมากอย่างมีด้วยอาการอย่างนี้ นี้เรียกว่า สัญญาขันธ์ (๒)
สังขารขันธ์ เป็นไฉน
สังขารขันธ์หมวดละ ๑ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่สัมปยุตด้วยจิต
สังขารขันธ์หมวดละ ๒ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่เป็นเหตุก็มี ที่ไม่เป็นเหตุก็มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๔๕ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๓.ธาตุวิภังค์] ๒.อภิธรรมภาชนีย์
สังขารขันธ์หมวดละ ๓ ได้แก่ สังขารขันธ์ที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอกุศลก็มี ที่
เป็นอัพยากฤตก็มี
ฯลฯ
สังขารขันธ์หมวดละ ๑๐ มีด้วยอาการอย่างนี้
ฯลฯ
สังขารขันธ์หมวดละมากอย่างมีด้วยอาการอย่างนี้ นี้เรียกว่า สังขารขันธ์ (๓)
รูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้ซึ่งนับเนื่องในธัมมายตนะ เป็นไฉน
อิตถินทรีย์ ฯลฯ กวฬิงการาหาร นี้เรียกว่า รูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้
ซึ่งนับเนื่องในธัมมายตนะ (๔)
ธาตุที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง เป็นไฉน
สภาวธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งราคะ เป็นที่สิ้นไปแห่งโทสะและเป็นที่สิ้นไปแห่งโมหะ
นี้เรียกว่า ธาตุที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง นี้เรียกว่า ธัมมธาตุ (๕-๑๗)
มโนวิญญาณธาตุ เป็นไฉน
มโนธาตุเกิดขึ้นในลำดับแห่งการเกิดดับแห่งจักขุวิญญาณธาตุ
จิต มโน มานัส ฯลฯ มโนวิญญาณธาตุที่เหมาะสมกัน เกิดขึ้นในลำดับแห่ง
การเกิดดับแห่งมโนธาตุ
มโนธาตุเกิดขึ้นในลำดับแห่งการเกิดดับแห่งจักขุวิญญาณธาตุ ฯลฯ โสต-
วิญญาณธาตุ ฯลฯ ฆานวิญญาณธาตุ ฯลฯ ชิวหาวิญญาณธาตุ ฯลฯ
กายวิญญาณธาตุ
จิต มโน มานัส ฯลฯ มโนวิญญาณธาตุที่เหมาะสมกัน เกิดขึ้นในลำดับแห่ง
การเกิดดับแม้แห่งมโนธาตุ
จิต มโน มานัส หทัย ปัณฑระ มโน มนายตนะ มนินทรีย์ วิญญาณ
วิญญาณขันธ์ มโนวิญญาณธาตุที่เหมาะสมกัน อาศัยภวังคจิตและธรรมารมณ์
เกิดขึ้น
นี้เรียกว่า มโนวิญญาณธาตุ (๑๘)
อภิธรรมภาชนีย์ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๔๖ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๓.ธาตุวิภังค์] ๓.ปัญหาปุจฉกะ ๑.ติกมาติกาวิสัชนา
๓. ปัญหาปุจฉกะ
[๑๘๕] ธาตุ ๑๘ คือ

๑. จักขุธาตุ ๒. รูปธาตุ
๓. จักขุวิญญาณธาตุ ๔. โสตธาตุ
๕. สัททธาตุ ๖. โสตวิญญาณธาตุ
๗. ฆานธาตุ ๘. คันธธาตุ
๙. ฆานวิญญาณธาตุ ๑๐. ชิวหาธาตุ
๑๑. รสธาตุ ๑๒. ชิวหาวิญญาณธาตุ
๑๓. กายธาตุ ๑๔. โผฏฐัพพธาตุ
๑๕. กายวิญญาณธาตุ ๑๖. มโนธาตุ
๑๗. ธัมมธาตุ ๑๘. มโนวิญญาณธาตุ

๑. ติกมาติกาปุจฉา ทุกมาติกาปุจฉา
[๑๘๖] บรรดาธาตุ ๑๘ ธาตุเท่าไรเป็นกุศล เท่าไรเป็นอกุศล เท่าไรเป็น
อัพยากฤต ฯลฯ เท่าไรเป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ เท่าไรไม่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้

๑. ติกมาติกาวิสัชนา
๑. กุสลติกวิสัชนา
[๑๘๗] ธาตุ ๑๖ เป็นอัพยากฤต ธาตุ ๒ ที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอกุศลก็มี ที่
เป็นอัพยากฤตก็มี

๒. เวทนาติกวิสัชนา
ธาตุ ๑๐ กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยสุขเวทนา สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา หรือ
สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา ธาตุ ๕ สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา กายวิญญาณ-
ธาตุที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็มี มโนวิญญาณธาตุที่

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๔๗ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๓.ธาตุวิภังค์] ๓.ปัญหาปุจฉกะ ๑.ติกมาติกาวิสัชนา
สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็มี ที่สัมปยุตด้วยอทุกขมสุข-
เวทนาก็มี ธัมมธาตุที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาก็มี ที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็มี ที่
สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยสุขเวทนา สัมปยุต
ด้วยทุกขเวทนา หรือสัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็มี

๓. วิปากติกวิสัชนา
ธาตุ ๑๐ ไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบาก ธาตุ ๕ เป็นวิบาก มโนธาตุ
ที่เป็นวิบากก็มี ที่ไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี ธาตุ ๒ ที่เป็นวิบาก
ก็มี ที่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี ที่ไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบากก็มี

๔. อุปาทินนติกวิสัชนา
ธาตุ ๑๐ กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือและเป็นอารมณ์ของ
อุปาทาน สัททธาตุ กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือแต่เป็นอารมณ์
ของอุปาทาน ธาตุ ๕ ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือและเป็น
อารมณ์ของอุปาทานก็มี ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือแต่เป็น
อารมณ์ของอุปาทานก็มี ธาตุ ๒ ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือ
และเป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือแต่
เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือและไม่
เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี

๕. สังกิลิฏฐติกวิสัชนา
ธาตุ ๑๖ กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองแต่เป็นอารมณ์ของกิเลส ธาตุ ๒ ที่กิเลส
ทำให้เศร้าหมองและเป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี ที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองแต่เป็น
อารมณ์ของกิเลสก็มี ที่กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองและไม่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี

๖. สวิตักกติกวิสัชนา
ธาตุ ๑๕ ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร มโนธาตุมีทั้งวิตกและวิจาร มโนวิญญาณธาตุ
ที่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารก็มี ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๔๘ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๓.ธาตุวิภังค์] ๓.ปัญหาปุจฉกะ ๑.ติกมาติกาวิสัชนา
ธัมมธาตุที่มีทั้งวิตกและวิจารก็มี ที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารก็มี ที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร
ก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า มีทั้งวิตกและวิจาร ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร หรือไม่มีทั้งวิตกและ
วิจารก็มี

๗. ปีติติกวิสัชนา
ธาตุ ๑๐ กล่าวไม่ได้ว่า สหรคตด้วยปีติ สหรคตด้วยสุข หรือสหรคตด้วย
อุเบกขา ธาตุ ๕ สหรคตด้วยอุเบกขา กายวิญญาณธาตุไม่สหรคตด้วยปีติ ที่
สหรคตด้วยสุขแต่ไม่สหรคตด้วยอุเบกขาก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า สหรคตด้วยสุขก็มี
ธาตุ ๒ ที่สหรคตด้วยปีติก็มี ที่สหรคตด้วยสุขก็มี ที่สหรคตด้วยอุเบกขาก็มี ที่กล่าว
ไม่ได้ว่า สหรคตด้วยปีติ สหรคตด้วยสุข หรือสหรคตด้วยอุเบกขาก็มี

๘. ทัสสนติกวิสัชนา
ธาตุ ๑๖ ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ ธาตุ ๒ ที่
ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี ที่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี ที่ไม่
ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี

๙. ทัสสนเหตุติกวิสัชนา
ธาตุ ๑๖ ไม่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓
ธาตุ ๒ ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี ที่มีเหตุต้องประหาณด้วยมรรค
เบื้องบน ๓ ก็มี ที่ไม่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓
ก็มี

๑๐. อาจยคามิติกวิสัชนา
ธาตุ ๑๖ ไม่เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิ จุติ และนิพพาน ธาตุ ๒ ที่เป็นเหตุให้ถึง
ปฏิสนธิและจุติก็มี ที่เป็นเหตุให้ถึงนิพพานก็มี ที่ไม่เป็นเหตุให้ถึงปฏิสนธิ จุติ และ
นิพพานก็มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๔๙ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๓.ธาตุวิภังค์] ๓.ปัญหาปุจฉกะ ๑.ติกมาติกาวิสัชนา
๑๑. เสกขติกวิสัชนา
ธาตุ ๑๖ ไม่เป็นของเสขบุคคลและอเสขบุคคล ธาตุ ๒ ที่เป็นของเสขบุคคล
ก็มี ที่เป็นของอเสขบุคคลก็มี ที่ไม่เป็นของเสขบุคคลและอเสขบุคคลก็มี

๑๒. ปริตตติกวิสัชนา
ธาตุ ๑๖ เป็นปริตตะ ธาตุ ๒ ที่เป็นปริตตะก็มี ที่เป็นมหัคคตะก็มี ที่เป็น
อัปปมาณะก็มี

๑๓. ปริตตารัมมณติกวิสัชนา
ธาตุ ๑๐ รับรู้อารมณ์ไม่ได้ ธาตุ ๖ มีปริตตะเป็นอารมณ์ ธาตุ ๒ ที่มีปริตตะ
เป็นอารมณ์ก็มี ที่มีมหัคคตะเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีอัปปมาณะเป็นอารมณ์ก็มี ที่
กล่าวไม่ได้ว่า มีปริตตะเป็นอารมณ์ มีมหัคคตะเป็นอารมณ์ หรือมีอัปปมาณะเป็น
อารมณ์ก็มี

๑๔. หีนติกวิสัชนา
ธาตุ ๑๖ เป็นชั้นกลาง ธาตุ ๒ ที่เป็นชั้นต่ำก็มี ที่เป็นชั้นกลางก็มี ที่เป็นชั้น
ประณีตก็มี

๑๕. มิจฉัตตติกวิสัชนา
ธาตุ ๑๖ เป็นธรรมชาติไม่แน่นอนโดยอาการทั้งสองนั้น ธาตุ ๒ ที่มีสภาวะ
ผิดและให้ผลแน่นอนก็มี ที่มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอนก็มี ที่เป็นธรรมชาติไม่แน่
นอนโดยอาการทั้งสองนั้นก็มี

๑๖. มัคคารัมมณติกวิสัชนา
ธาตุ ๑๐ รับรู้อารมณ์ไม่ได้ ธาตุ ๖ กล่าวไม่ได้ว่า มีมรรคเป็นอารมณ์ มี
มรรคเป็นเหตุ หรือมีมรรคเป็นอธิบดี ธาตุ ๒ ที่มีมรรคเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีมรรค
เป็นเหตุก็มี ที่มีมรรคเป็นอธิบดีก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า มีมรรคเป็นอารมณ์ มีมรรค
เป็นเหตุ หรือมีมรรคเป็นอธิบดีก็มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๕๐ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๓.ธาตุวิภังค์] ๓.ปัญหาปุจฉกะ ๑.ติกมาติกาวิสัชนา
๑๗. อุปปันนติกวิสัชนา
ธาตุ ๑๐ ที่เกิดขึ้นก็มี ที่จักเกิดขึ้นแน่นอนก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า ยังไม่เกิดขึ้นก็มี
สัททธาตุที่เกิดขึ้นก็มี ที่ยังไม่เกิดขึ้นก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า จักเกิดขึ้นแน่นอนก็มี
ธาตุ ๖ ที่เกิดขึ้นก็มี ที่ยังไม่เกิดขึ้นก็มี ที่จักเกิดขึ้นแน่นอนก็มี ธัมมธาตุที่เกิดขึ้นก็มี
ที่ยังไม่เกิดขึ้นก็มี ที่จักเกิดขึ้นแน่นอนก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า เกิดขึ้น ยังไม่เกิดขึ้น หรือ
จักเกิดขึ้นแน่นอนก็มี

๑๘. อตีตติกวิสัชนา
ธาตุ ๑๗ ที่เป็นอดีตก็มี ที่เป็นอนาคตก็มี ที่เป็นปัจจุบันก็มี ธัมมธาตุที่เป็น
อดีตก็มี ที่เป็นอนาคตก็มี ที่เป็นปัจจุบันก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอดีต เป็นอนาคต
หรือเป็นปัจจุบันก็มี

๑๙. อตีตารัมมณติกวิสัชนา
ธาตุ ๑๐ รับรู้อารมณ์ไม่ได้ ธาตุ ๖ มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์ ธาตุ ๒ ที่
มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีปัจจุบันธรรมเป็น
อารมณ์ก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า มีอดีตธรรมเป็นอารมณ์ มีอนาคตธรรมเป็นอารมณ์
หรือมีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์ก็มี

๒๐. อัชฌัตตติกวิสัชนา
ธาตุ ๑๘ ที่เป็นภายในตนก็มี ที่เป็นภายนอกตนก็มี ที่เป็นภายในตนและ
ภายนอกตนก็มี

๒๑. อัชฌัตตารัมมณติกวิสัชนา
ธาตุ ๑๐ รับรู้อารมณ์ไม่ได้ ธาตุ ๖ ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี ที่มี
ธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี
ธาตุ ๒ ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ก็มี ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี
ที่มีธรรมภายในตนและภายนอกตนเป็นอารมณ์ก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า มีธรรมภายใน
ตนเป็นอารมณ์ มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ หรือมีธรรมภายในตนและภายนอก
ตนเป็นอารมณ์ก็มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๕๑ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๓.ธาตุวิภังค์] ๓.ปัญหาปุจฉกะ ๒.ทุกมาติกาวิสัชนา
๒๒. สนิทัสสนติกวิสัชนา
รูปธาตุเห็นได้และกระทบได้ ธาตุ ๙ เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ ธาตุ ๘ เห็น
ไม่ได้และกระทบไม่ได้

๒. ทุกมาติกาวิสัชนา
๑. เหตุโคจฉกวิสัชนา
[๑๘๘] ธาตุ ๑๗ ไม่เป็นเหตุ ธัมมธาตุที่เป็นเหตุก็มี ที่ไม่เป็นเหตุก็มี
ธาตุ ๑๖ ไม่มีเหตุ ธาตุ ๒ ที่มีเหตุก็มี ที่ไม่มีเหตุก็มี
ธาตุ ๑๖ วิปปยุตจากเหตุ ธาตุ ๒ ที่สัมปยุตด้วยเหตุก็มี ที่วิปปยุตจากเหตุก็มี
ธาตุ ๑๖ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นเหตุและมีเหตุ หรือมีเหตุแต่ไม่เป็นเหตุ มโน-
วิญญาณธาตุกล่าวไม่ได้ว่า เป็นเหตุและมีเหตุ ที่มีเหตุแต่ไม่เป็นเหตุก็มี ที่กล่าว
ไม่ได้ว่า มีเหตุแต่ไม่เป็นเหตุก็มี ธัมมธาตุที่เป็นเหตุและมีเหตุก็มี ที่มีเหตุแต่ไม่เป็น
เหตุก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นเหตุและมีเหตุ หรือมีเหตุแต่ไม่เป็นเหตุก็มี
ธาตุ ๑๖ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นเหตุและสัมปยุตด้วยเหตุ หรือสัมปยุตด้วยเหตุแต่
ไม่เป็นเหตุ มโนวิญญาณธาตุกล่าวไม่ได้ว่า เป็นเหตุและสัมปยุตด้วยเหตุ ที่สัมปยุต
ด้วยเหตุแต่ไม่เป็นเหตุก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยเหตุแต่ไม่เป็นเหตุก็มี ธัมมธาตุ
ที่เป็นเหตุและสัมปยุตด้วยเหตุก็มี ที่สัมปยุตด้วยเหตุแต่ไม่เป็นเหตุก็มี ที่กล่าวไม่
ได้ว่า เป็นเหตุและสัมปยุตด้วยเหตุ หรือสัมปยุตด้วยเหตุแต่ไม่เป็นเหตุก็มี
ธาตุ ๑๖ ไม่เป็นเหตุและไม่มีเหตุ มโนวิญญาณธาตุที่ไม่เป็นเหตุแต่มีเหตุก็มี
ที่ไม่เป็นเหตุและไม่มีเหตุก็มี ธัมมธาตุที่ไม่เป็นเหตุแต่มีเหตุก็มี ที่ไม่เป็นเหตุและไม่มี
เหตุก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า ไม่เป็นเหตุแต่มีเหตุ หรือไม่เป็นเหตุและไม่มีเหตุก็มี

๒. จูฬันตรทุกวิสัชนา
ธาตุ ๑๗ มีปัจจัยปรุงแต่ง ธัมมธาตุที่มีปัจจัยปรุงแต่งก็มี ที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง
ก็มี


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๕๒ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๓.ธาตุวิภังค์] ๓.ปัญหาปุจฉกะ ๒.ทุกมาติกาวิสัชนา
ธาตุ ๑๗ ถูกปัจจัยปรุงแต่ง ธัมมธาตุที่ถูกปัจจัยปรุงแต่งก็มี ที่ไม่ถูกปัจจัย
ปรุงแต่งก็มี
รูปธาตุเห็นได้ ธาตุ ๑๗ เห็นไม่ได้
ธาตุ ๑๐ กระทบได้ ธาตุ ๘ กระทบไม่ได้
ธาตุ ๑๐ เป็นรูป ธาตุ ๗ ไม่เป็นรูป ธัมมธาตุที่เป็นรูปก็มี ที่ไม่เป็นรูปก็มี
ธาตุ ๑๖ เป็นโลกิยะ ธาตุ ๒ ที่เป็นโลกิยะก็มี ที่เป็นโลกุตตระก็มี
ธาตุ ๑๘ ที่จิตบางดวงรู้ได้ก็มี ที่จิตบางดวงรู้ไม่ได้ก็มี

๓. อาสวโคจฉกวิสัชนา
ธาตุ ๑๗ ไม่เป็นอาสวะ ธัมมธาตุที่เป็นอาสวะก็มี ที่ไม่เป็นอาสวะก็มี
ธาตุ ๑๖ เป็นอารมณ์ของอาสวะ ธาตุ ๒ ที่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี ที่ไม่
เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี
ธาตุ ๑๖ วิปปยุตจากอาสวะ ธาตุ ๒ ที่สัมปยุตด้วยอาสวะก็มี ที่วิปปยุตจาก
อาสวะก็มี
ธาตุ ๑๖ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอาสวะและเป็นอารมณ์ของอาสวะ หรือเป็น
อารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะ มโนวิญญาณธาตุกล่าวไม่ได้ว่า เป็นอาสวะและ
เป็นอารมณ์ของอาสวะ ที่เป็นอารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า
เป็นอารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะก็มี ธัมมธาตุที่เป็นอาสวะและเป็นอารมณ์
ของอาสวะก็มี ที่เป็นอารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็น
อาสวะและเป็นอารมณ์ของอาสวะ หรือเป็นอารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะก็มี
ธาตุ ๑๖ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอาสวะและสัมปยุตด้วยอาสวะ หรือสัมปยุตด้วย
อาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะ มโนวิญญาณธาตุกล่าวไม่ได้ว่า เป็นอาสวะและสัมปยุตด้วย
อาสวะ ที่สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วย
อาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะก็มี ธัมมธาตุที่เป็นอาสวะและสัมปยุตด้วยอาสวะก็มี ที่
สัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอาสวะและสัมปยุตด้วย
อาสวะ หรือสัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะก็มี


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๕๓ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๓.ธาตุวิภังค์] ๓.ปัญหาปุจฉกะ ๒.ทุกมาติกาวิสัชนา
ธาตุ ๑๖ วิปปยุตจากอาสวะแต่เป็นอารมณ์ของอาสวะ ธาตุ ๒ ที่วิปปยุต
จากอาสวะแต่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี ที่วิปปยุตจากอาสวะและไม่เป็นอารมณ์ของ
อาสวะก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า วิปปยุตจากอาสวะแต่เป็นอารมณ์ของอาสวะ หรือวิปปยุต
จากอาสวะและไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็มี

๔. สัญโญชนโคจฉกวิสัชนา
ธาตุ ๑๗ ไม่เป็นสังโยชน์ ธัมมธาตุที่เป็นสังโยชน์ก็มี ที่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี
ธาตุ ๑๖ เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ ธาตุ ๒ ที่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี ที่
ไม่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี
ธาตุ ๑๖ วิปปยุตจากสังโยชน์ ธาตุ ๒ ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์ก็มี ที่วิปปยุต
จากสังโยชน์ก็มี
ธาตุ ๑๖ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นสังโยชน์และเป็นอารมณ์ของสังโยชน์ หรือเป็น
อารมณ์ของสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ มโนวิญาณธาตุกล่าวไม่ได้ว่า เป็นสังโยชน์
และเป็นอารมณ์ของสังโยชน์ ที่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี ที่
กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอารมณ์ของสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี ธัมมธาตุที่เป็นสังโยชน์
และเป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี ที่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี ที่
กล่าวไม่ได้ว่า เป็นสังโยชน์และเป็นอารมณ์ของสังโยชน์ หรือเป็นอารมณ์ของสังโยชน์
แต่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี
ธาตุ ๑๖ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นสังโยชน์และสัมปยุตด้วยสังโยชน์ หรือสัมปยุต
ด้วยสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ มโนวิญญาณธาตุกล่าวไม่ได้ว่า เป็นสังโยชน์และ
สัมปยุตด้วยสังโยชน์ ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า
สัมปยุตด้วยสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี ธัมมธาตุที่เป็นสังโยชน์และสัมปยุตด้วย
สังโยชน์ก็มี ที่สัมปยุตด้วยสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็น
สังโยชน์และสัมปยุตด้วยสังโยชน์ หรือสัมปยุตด้วยสังโยชน์แต่ไม่เป็นสังโยชน์ก็มี
ธาตุ ๑๖ วิปปยุตจากสังโยชน์แต่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ ธาตุ ๒ ที่วิปปยุต
จากสังโยชน์แต่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี ที่วิปปยุตจากสังโยชน์และไม่เป็นอารมณ์


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๕๔ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๓.ธาตุวิภังค์] ๓.ปัญหาปุจฉกะ ๒.ทุกมาติกาวิสัชนา
ของสังโยชน์ก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า วิปปยุตจากสังโยชน์แต่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์
หรือวิปปยุตจากสังโยชน์และไม่เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ก็มี

๕. คันถโคจฉกวิสัชนา
ธาต ๑๗ ไม่เป็นคันถะ ธัมมธาตุที่เป็นคันถะก็มี ที่ไม่เป็นคันถะก็มี
ธาตุ ๑๖ เป็นอารมณ์ของคันถะ ธาตุ ๒ ที่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี ที่ไม่
เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี
ธาตุ ๑๖ วิปปยุตจากคันถะ ธาตุ ๒ ที่สัมปยุตด้วยคันถะก็มี ที่วิปปยุตจาก
คันถะก็มี
ธาตุ ๑๖ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นคันถะและเป็นอารมณ์ของคันถะ หรือเป็นอารมณ์
ของคันถะแต่ไม่เป็นคันถะ มโนวิญญาณธาตุกล่าวไม่ได้ว่า เป็นคันถะและเป็นอารมณ์
ของคันถะ ที่เป็นอารมณ์ของคันถะแต่ไม่เป็นคันถะก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอารมณ์
ของคันถะแต่ไม่เป็นคันถะก็มี ธัมมธาตุที่เป็นคันถะและเป็นอารมณ์ของคันถะก็มี ที่
เป็นอารมณ์ของคันถะแต่ไม่เป็นคันถะก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นคันถะและเป็นอารมณ์
ของคันถะ หรือเป็นอารมณ์ของคันถะแต่ไม่เป็นคันถะก็มี
ธาตุ ๑๖ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นคันถะและสัมปยุตด้วยคันถะ หรือสัมปยุตด้วย
คันถะแต่ไม่เป็นคันถะ มโนวิญญาณธาตุกล่าวไม่ได้ว่า เป็นคันถะและสัมปยุตด้วย
คันถะ ที่สัมปยุตด้วยคันถะแต่ไม่เป็นคันถะก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยคันถะแต่
ไม่เป็นคันถะก็มี ธัมมธาตุที่เป็นคันถะและสัมปยุตด้วยคันถะก็มี ที่สัมปยุตด้วย
คันถะแต่ไม่เป็นคันถะก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นคันถะและสัมปยุตด้วยคันถะ หรือ
สัมปยุตด้วยคันถะแต่ไม่เป็นคันถะก็มี
ธาตุ ๑๖ วิปปยุตจากคันถะแต่เป็นอารมณ์ของคันถะ ธาตุ ๒ ที่วิปปยุตจาก
คันถะแต่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี ที่วิปปยุตจากคันถะและไม่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี
ที่กล่าวไม่ได้ว่า วิปปยุตจากคันถะแต่เป็นอารมณ์ของคันถะ หรือวิปปยุตจากคันถะ
และไม่เป็นอารมณ์ของคันถะก็มี


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๕๕ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๓.ธาตุวิภังค์] ๓.ปัญหาปุจฉกะ ๒.ทุกมาติกาวิสัชนา
๖-๘. โอฆโคจฉกาทิวิสัชนา
ธาตุ ๑๗ ไม่เป็นโอฆะ ฯลฯ ไม่เป็นโยคะ ฯลฯ ไม่เป็นนิวรณ์ ธัมมธาตุที่
เป็นนิวรณ์ก็มี ที่ไม่เป็นนิวรณ์ก็มี
ธาตุ ๑๖ เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ ธาตุ ๒ ที่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี ที่ไม่
เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี
ธาตุ ๑๖ วิปปยุตจากนิวรณ์ ธาตุ ๒ ที่สัมปยุตด้วยนิวรณ์ก็มี ที่วิปปยุต
จากนิวรณ์ก็มี
ธาตุ ๑๖ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นนิวรณ์และเป็นอารมณ์ของนิวรณ์ หรือเป็นอารมณ์
ของนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ มโนวิญญาณธาตุกล่าวไม่ได้ว่า เป็นนิวรณ์และเป็น
อารมณ์ของนิวรณ์ ที่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็น
อารมณ์ของนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ก็มี ธัมมธาตุที่เป็นนิวรณ์และเป็นอารมณ์ของ
นิวรณ์ก็มี ที่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นนิวรณ์
และเป็นอารมณ์ของนิวรณ์ หรือเป็นอารมณ์ของนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ก็มี
ธาตุ ๑๖ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นนิวรณ์และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ หรือสัมปยุตด้วย
นิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ มโนวิญญาณธาตุกล่าวไม่ได้ว่า เป็นนิวรณ์และสัมปยุตด้วย
นิวรณ์ ที่สัมปยุตด้วยนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยนิวรณ์
แต่ไม่เป็นนิวรณ์ก็มี ธัมมธาตุที่เป็นนิวรณ์และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ก็มี ที่สัมปยุตด้วย
นิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นนิวรณ์และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ หรือ
สัมปยุตด้วยนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ก็มี
ธาตุ ๑๖ วิปปยุตจากนิวรณ์แต่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ ธาตุ ๒ ที่วิปปยุตจาก
นิวรณ์แต่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี ที่วิปปยุตจากนิวรณ์และไม่เป็นอารมณ์ของ
นิวรณ์ก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า วิปปยุตจากนิวรณ์แต่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ หรือวิปปยุต
จากนิวรณ์และไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ก็มี


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๕๖ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๓.ธาตุวิภังค์] ๓.ปัญหาปุจฉกะ ๒.ทุกมาติกาวิสัชนา
๙. ปรามาสโคจฉกวิสัชนา
ธาตุ ๑๗ ไม่เป็นปรามาส ธัมมธาตุที่เป็นปรามาสก็มี ที่ไม่เป็นปรามาสก็มี
ธาตุ ๑๖ เป็นอารมณ์ของปรามาส ธาตุ ๒ ที่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี
ที่ไม่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี
ธาตุ ๑๖ วิปปยุตจากปรามาส มโนวิญญาณธาตุที่สัมปยุตด้วยปรามาสก็มี
ที่วิปปยุตจากปรามาสก็มี ธัมมธาตุที่สัมปยุตด้วยปรามาสก็มี ที่วิปปยุตจาก
ปรามาสก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยปรามาส หรือวิปปยุตจากปรามาสก็มี
ธาตุ ๑๖ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นปรามาสและเป็นอารมณ์ของปรามาส หรือเป็น
อารมณ์ของปรามาสแต่ไม่เป็นปรามาส มโนวิญญาณธาตุกล่าวไม่ได้ว่า เป็นปรามาส
และเป็นอารมณ์ของปรามาส ที่เป็นอารมณ์ของปรามาสแต่ไม่เป็นปรามาสก็มี ที่
กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอารมณ์ของปรามาสแต่ไม่เป็นปรามาสก็มี ธัมมธาตุที่เป็น
ปรามาสและเป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี ที่เป็นอารมณ์ของปรามาสแต่ไม่เป็นปรามาส
ก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นปรามาสและเป็นอารมณ์ของปรามาส หรือเป็นอารมณ์ของ
ปรามาสแต่ไม่เป็นปรามาสก็มี
ธาตุ ๑๖ วิปปยุตจากปรามาสแต่เป็นอารมณ์ของปรามาส ธาตุ ๒ ที่วิปปยุต
จากปรามาสแต่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี ที่วิปปยุตจากปรามาสและไม่เป็น
อารมณ์ของปรามาสก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า วิปปยุตจากปรามาสแต่เป็นอารมณ์ของ
ปรามาส หรือวิปปยุตจากปรามาสและไม่เป็นอารมณ์ของปรามาสก็มี

๑๐. มหันตรทุกวิสัชนา
ธาตุ ๑๐ รับรู้อารมณ์ไม่ได้ ธาตุ ๗ รับรู้อารมณ์ได้ ธัมมธาตุที่รับรู้อารมณ์
ได้ก็มี ที่รับรู้อารมณ์ไม่ได้ก็มี
ธาตุ ๗ เป็นจิต ธาตุ ๑๑ ไม่เป็นจิต
ธาตุ ๑๗ ไม่เป็นเจตสิก ธัมมธาตุที่เป็นเจตสิกก็มี ที่ไม่เป็นเจตสิกก็มี
ธาตุ ๑๐ วิปปยุตจากจิต ธัมมธาตุที่สัมปยุตด้วยจิตก็มี ที่วิปปยุตจากจิตก็มี
ธาตุ ๗ กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยจิต หรือวิปปยุตจากจิต


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๕๗ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๓.ธาตุวิภังค์] ๓.ปัญหาปุจฉกะ ๒.ทุกมาติกาวิสัชนา
ธาตุ ๑๐ ไม่ระคนกับจิต ธัมมธาตุที่ระคนกับจิตก็มี ที่ไม่ระคนกับจิตก็มี
ธาตุ ๗ กล่าวไม่ได้ว่า ระคนกับจิต หรือไม่ระคนกับจิต
ธาตุ ๑๒ ไม่มีจิตเป็นสมุฏฐาน ธาตุ ๖ ที่มีจิตเป็นสมุฏฐานก็มี ที่ไม่มีจิตเป็น
สมุฏฐานก็มี
ธาตุ ๑๗ ไม่เกิดพร้อมกับจิต ธัมมธาตุที่เกิดพร้อมกับจิตก็มี ที่ไม่เกิดพร้อม
กับจิตก็มี
ธาตุ ๑๗ ไม่เป็นไปตามจิต ธัมมธาตุที่เป็นไปตามจิตก็มี ที่ไม่เป็นไปตาม
จิตก็มี
ธาตุ ๑๗ ไม่ระคนกับจิตและมีจิตเป็นสมุฏฐาน ธัมมธาตุที่ระคนกับจิตและ
มีจิตเป็นสมุฏฐานก็มี ที่ไม่ระคนกับจิตและมีจิตเป็นสมุฏฐานก็มี
ธาตุ ๑๗ ไม่ระคนกับจิตมีจิตเป็นสมุฏฐานและเกิดพร้อมกับจิต ธัมมธาตุที่
ระคนกับจิตมีจิตเป็นสมุฏฐานและเกิดพร้อมกับจิตก็มี ที่ไม่ระคนกับจิตมีจิตเป็น
สมุฏฐานและเกิดพร้อมกับจิตก็มี
ธาตุ ๑๗ ไม่ระคนกับจิตมีจิตเป็นสมุฏฐานและเป็นไปตามจิต ธัมมธาตุที่ระคน
กับจิตมีจิตเป็นสมุฏฐานและเป็นไปตามจิตก็มี ที่ไม่ระคนกับจิตมีจิตเป็นสมุฏฐาน
และเป็นไปตามจิตก็มี
ธาตุ ๑๒ เป็นภายใน ธาตุ ๖ เป็นภายนอก
ธาตุ ๙ เป็นอุปาทายรูป ธาตุ ๘ ไม่เป็นอุปาทายรูป ธัมมธาตุที่เป็น
อุปาทายรูปก็มี ที่ไม่เป็นอุปาทายรูปก็มี

๑๑. อุปาทานโคจฉกวิสัชนา
ธาตุ ๑๐ กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิยึดถือ สัททธาตุกรรมอัน
ประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือ ธาตุ ๗ ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและ
ทิฏฐิยึดถือก็มี ที่กรรมอันประกอบด้วยตัณหาและทิฏฐิไม่ยึดถือก็มี


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๕๘ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๓.ธาตุวิภังค์] ๓.ปัญหาปุจฉกะ ๒.ทุกมาติกาวิสัชนา
ธาตุ ๑๗ ไม่เป็นอุปาทาน ธัมมธาตุที่เป็นอุปาทานก็มี ที่ไม่เป็นอุปาทานก็มี
ธาตุ ๑๖ เป็นอารมณ์ของอุปาทาน ธาตุ ๒ ที่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี
ที่ไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี
ธาตุ ๑๖ วิปปยุตจากอุปาทาน ธาตุ ๒ ที่สัมปยุตด้วยอุปาทานก็มี ที่
วิปปยุตจากอุปาทานก็มี
ธาตุ ๑๖ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอุปาทานและเป็นอารมณ์ของอุปาทาน หรือเป็น
อารมณ์ของอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทาน มโนวิญญาณธาตุกล่าวไม่ได้ว่า เป็น
อุปาทานและเป็นอารมณ์ของอุปาทาน ที่เป็นอารมณ์ของอุปาทานแต่ไม่เป็น
อุปาทานก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอารมณ์ของอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานก็มี ธัมม-
ธาตุที่เป็นอุปาทานและเป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี ที่เป็นอารมณ์ของอุปาทานแต่
ไม่เป็นอุปาทานก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอุปาทานและเป็นอารมณ์ของอุปาทาน
หรือเป็นอารมณ์ของอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานก็มี
ธาตุ ๑๖ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอุปาทานและสัมปยุตด้วยอุปาทาน หรือสัมปยุต
ด้วยอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทาน มโนวิญญาณธาตุกล่าวไม่ได้ว่า เป็นอุปาทาน
และสัมปยุตด้วยอุปาทาน ที่สัมปยุตด้วยอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานก็มี ที่กล่าว
ไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานก็มี ธัมมธาตุที่เป็นอุปาทานและ
สัมปยุตด้วยอุปทานก็มี ที่สัมปยุตด้วยอุปาทานแต่ไม่เป็นอุปาทานก็มี ที่กล่าว
ไม่ได้ว่า เป็นอุปาทานและสัมปยุตด้วยอุปาทาน หรือสัมปยุตด้วยอุปาทานแต่ไม่
เป็นอุปาทานก็มี
ธาตุ ๑๖ วิปปยุตจากอุปาทานแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน ธาตุ ๒ ที่วิปปยุต
จากอุปาทานแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี ที่วิปปยุตจากอุปาทานและไม่เป็น
อารมณ์ของอุปาทานก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า วิปปยุตจากอุปาทานแต่เป็นอารมณ์ของ
อุปาทาน หรือวิปปยุตจากอุปาทานและไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็มี


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๕๙ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๓.ธาตุวิภังค์] ๓.ปัญหาปุจฉกะ ๒.ทุกมาติกาวิสัชนา
๑๒. กิเลสโคจฉกวิสัชนา
ธาตุ ๑๗ ไม่เป็นกิเลส ธัมมธาตุที่เป็นกิเลสก็มี ที่ไม่เป็นกิเลสก็มี
ธาตุ ๑๖ เป็นอารมณ์ของกิเลส ธาตุ ๒ ที่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี ที่ไม่เป็น
อารมณ์ของกิเลสก็มี
ธาตุ ๑๖ กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมอง ธาตุ ๒ ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองก็มี ที่
กิเลสไม่ทำให้เศร้าหมองก็มี
ธาตุ ๑๖ วิปปยุตจากกิเลส ธาตุ ๒ ที่สัมปยุตด้วยกิเลสก็มี ที่วิปปยุต
จากกิเลสก็มี
ธาตุ ๑๖ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและเป็นอารมณ์ของกิเลส หรือเป็นอารมณ์
ของกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลส มโนวิญญาณธาตุกล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและเป็นอารมณ์
ของกิเลส ที่เป็นอารมณ์ของกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอารมณ์
ของกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี ธัมมธาตุที่เป็นกิเลสและเป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี ที่
เป็นอารมณ์ของกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและเป็นอารมณ์
ของกิเลส หรือเป็นอารมณ์ของกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี
ธาตุ ๑๖ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและกิเลสทำให้เศร้าหมอง หรือกิเลสทำให้
เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลส มโนวิญญาณธาตุกล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและกิเลสทำให้
เศร้าหมอง ที่กิเลสทำให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า กิเลสทำให้
เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี ธัมมธาตุที่เป็นกิเลสและกิเลสทำให้เศร้าหมองก็มี ที่
กิเลสทำให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและกิเลสทำให้
เศร้าหมอง หรือกิเลสทำให้เศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี
ธาตุ ๑๖ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและสัมปยุตด้วยกิเลส หรือสัมปยุตด้วย
กิเลสแต่ไม่เป็นกิเลส มโนวิญญาณธาตุกล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและสัมปยุตด้วยกิเลส
ที่สัมปยุตด้วยกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า สัมปยุตด้วยกิเลสแต่ไม่เป็น
กิเลสก็มี ธัมมธาตุที่เป็นกิเลสและสัมปยุตด้วยกิเลสก็มี ที่สัมปยุตด้วยกิเลสแต่ไม่


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๖๐ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๓.ธาตุวิภังค์] ๓.ปัญหาปุจฉกะ ๒.ทุกมาติกาวิสัชนา
เป็นกิเลสก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสและสัมปยุตด้วยกิเลส หรือสัมปยุตด้วย
กิเลสแต่ไม่เป็นกิเลสก็มี
ธาตุ ๑๖ วิปปยุตจากกิเลสแต่เป็นอารมณ์ของกิเลส ธาตุ ๒ ที่วิปปยุตจาก
กิเลสแต่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี ที่วิปปยุตจากกิเลสและไม่เป็นอารมณ์ของกิเลส
ก็มี ที่กล่าวไม่ได้ว่า วิปปยุตจากกิเลสแต่เป็นอารมณ์ของกิเลส หรือวิปปยุตจาก
กิเลสและไม่เป็นอารมณ์ของกิเลสก็มี

๑๓. ปิฏฐิทุกวิสัชนา
ธาตุ ๑๖ ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค ธาตุ ๒ ที่ต้องประหาณด้วย
โสดาปัตติมรรคก็มี ที่ไม่ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี
ธาตุ ๑๖ ไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ธาตุ ๒ ที่ต้องประหาณด้วย
มรรคเบื้องบน ๓ ก็มี ที่ไม่ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี
ธาตุ ๑๖ ไม่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค ธาตุ ๒ ที่มีเหตุต้อง
ประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี ที่ไม่มีเหตุต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรคก็มี
ธาตุ ๑๖ ไม่มีเหตุต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ธาตุ ๒ ที่มีเหตุต้อง
ประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓ ก็มี ที่ไม่มีเหตุต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓
ก็มี
ธาตุ ๑๕ ไม่มีวิตก มโนธาตุมีวิตก ธาตุ ๒ ที่มีวิตกก็มี ที่ไม่มีวิตกก็มี
ธาตุ ๑๕ ไม่มีวิจาร มโนธาตุมีวิจาร ธาตุ ๒ ที่มีวิจารก็มี ที่ไม่มีวิจารก็มี
ธาตุ ๑๖ ไม่มีปีติ ธาตุ ๒ ที่มีปีติก็มี ที่ไม่มีปีติก็มี
ธาตุ ๑๖ ไม่สหรคตด้วยปีติ ธาตุ ๒ ที่สหรคตด้วยปีติก็มี ที่ไม่สหรคตด้วย
ปีติก็มี
ธาตุ ๑๕ ไม่สหรคตด้วยสุข ธาตุ ๓ ที่สหรคตด้วยสุขก็มี ที่ไม่สหรคตด้วย
สุขก็มี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๖๑ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๓.ธาตุวิภังค์] ๓.ปัญหาปุจฉกะ ๒.ทุกมาติกาวิสัชนา
ธาตุ ๑๑ ไม่สหรคตด้วยอุเบกขา ธาตุ ๕ สหรคตด้วยอุเบกขา ธาตุ ๒
ที่สหรคตด้วยอุเบกขาก็มี ที่ไม่สหรคตด้วยอุเบกขาก็มี
ธาตุ ๑๖ เป็นกามาวจร ธาตุ ๒ ที่เป็นกามาวจรก็มี ที่ไม่เป็นกามาวจรก็มี
ธาตุ ๑๖ ไม่เป็นรูปาวจร ธาตุ ๒ ที่เป็นรูปาวจรก็มี ที่ไม่เป็นรูปาวจรก็มี
ธาตุ ๑๖ ไม่เป็นอรูปาวจร ธาตุ ๒ ที่เป็นอรูปาวจรก็มี ที่ไม่เป็นอรูปาวจรก็มี
ธาตุ ๑๖ นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ ธาตุ ๒ ที่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ก็มี ที่ไม่นับเนื่อง
ในวัฏฏทุกข์ก็มี
ธาตุ ๑๖ ไม่เป็นเหตุนำออกจากวัฏฏทุกข์ ธาตุ ๒ ที่เป็นเหตุนำออกจาก
วัฏฏทุกข์ก็มี ที่ไม่เป็นเหตุนำออกจากวัฏฏทุกข์ก็มี
ธาตุ ๑๖ ให้ผลไม่แน่นอน ธาตุ ๒ ที่ให้ผลแน่นอนก็มี ที่ให้ผลไม่แน่นอนก็มี
ธาตุ ๑๖ มีธรรมอื่นยิ่งกว่า ธาตุ ๒ ที่มีธรรมอื่นยิ่งกว่าก็มี ที่ไม่มีธรรมอื่นยิ่ง
กว่าก็มี
ธาตุ ๑๖ ไม่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ ธาตุ ๒ ที่เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี ที่ไม่
เป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้ก็มี (๑๓)

ปัญหาปุจฉกะ จบ

ธาตุวิภังค์ จบบริบูรณ์

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๖๒ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [ ๔. สัจจวิภังค์] ๑. สุตตันตภาชนีย์
๔. สัจจวิภังค์
๑. สุตตันตภาชนีย์
[๑๘๙] อริยสัจ๑ ๔ คือ
๑. ทุกขอริยสัจ (อริยสัจคือทุกข์)
๒. ทุกขสมุทยอริยสัจ (อริยสัจคือเหตุเกิดแห่งทุกข์)
๓. ทุกขนิโรธอริยสัจ (อริยสัจคือความดับทุกข์)
๔. ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ (อริยสัจคือข้อปฏิบัติให้ถึงความ
ดับทุกข์)

๑. ทุกขสัจ
[๑๙๐] บรรดาอริยสัจ ๔ นั้น ทุกขอริยสัจ เป็นไฉน
ชาติเป็นทุกข์ ชราเป็นทุกข์ มรณะเป็นทุกข์ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส
อุปายาสเป็นทุกข์ การประสบกับอารมณ์อันไม่เป็นที่รักเป็นทุกข์ ความพลัดพราก
จากอารมณ์อันเป็นที่รักเป็นทุกข์ การไม่ได้สิ่งที่ต้องการเป็นทุกข์ โดยย่อ อุปาทาน-
ขันธ์๒ ๕ เป็นทุกข์๓
[๑๙๑] บรรดาทุกขอริยสัจนั้น ชาติ เป็นไฉน
ความเกิด ความเกิดพร้อม ความหยั่งลง ความบังเกิดเฉพาะ ความปรากฏ
แห่งขันธ์ ความได้อายตนะ ในหมู่สัตว์นั้น ๆ ของเหล่าสัตว์นั้น ๆ นี้เรียกว่า ชาติ๔

เชิงอรรถ :
๑ ความจริงของพระอริยะ, ความจริงที่ทำให้ผู้เข้าถึงกลายเป็นพระอริยะ, สัจจะที่พระอริยะพึงรู้ (วิภงฺคมูลฏี.
๑๘๙/๕๘)
๒ อภิธัมมัตถวิ. ๒๒๗
๓ วิ.ม. ๔/๑๔/๑๔, ม.มู. ๑๒/๙๑/๖๖, ม.อุ. ๑๔/๓๗๓/๓๑๗, ขุ.ป. ๓๑/๓๓/๓๘, อภิ.วิ.อ. ๑๙๐/๑๐๐
๔ ที.ม. ๑๐/๓๘๗/๒๖๑, ม.มู. ๑๒/๙๓/๖๗, ม.อุ. ๑๔/๓๗๓/๓๑๗, สํ.นิ. ๑๖/๒/๓, ขุ.ป. ๓๑/๓๓/๓๙,
อภิ.วิ. ๓๕/๒๓๕/๑๖๓

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๖๓ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๔.สัจจวิภังค์] ๑.สุตตันตภาชนีย์ ๑.ทุกขสัจ
[๑๙๒] ชรา เป็นไฉน
ความแก่ ความคร่ำคร่า ความมีฟันหลุด ความมีผมหงอก ความมีหนังเหี่ยว
ย่น ความเสื่อมอายุ ความแก่หง่อมแห่งอินทรีย์ ในหมู่สัตว์นั้น ๆ ของเหล่าสัตว์
นั้น ๆ นี้เรียกว่า ชรา๑
[๑๙๓] มรณะ เป็นไฉน
ความจุติ ความเคลื่อนไป ความทำลายไป ความหายไป ความตายกล่าวคือ
มฤตยู การทำกาละ ความแตกแห่งขันธ์ ความทอดทิ้งร่างกาย ความขาดสูญแห่ง
ชีวิตินทรีย์ ของเหล่าสัตว์นั้น ๆ จากหมู่สัตว์นั้น ๆ นี้เรียกว่า มรณะ๒
[๑๙๔] โสกะ เป็นไฉน
ความเศร้าโศก กิริยาที่เศร้าโศก ภาวะที่เศร้าโศก ความแห้งผากภายใน
ความแห้งกรอบภายใน ความเกรียมใจ ความโทมนัส ลูกศรคือความโศก ของผู้ที่
ถูกความเสื่อมญาติ ความเสื่อมโภคทรัพย์ ความเสื่อมเกี่ยวด้วยโรค ความเสื่อมศีล
หรือความเสื่อมทิฏฐิกระทบ ของผู้ประกอบด้วยความเสื่อมอย่างใดอย่างหนึ่ง
(หรือ)ผู้ที่ถูกเหตุแห่งทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งกระทบ นี้เรียกว่า โสกะ๓
[๑๙๕] ปริเทวะ เป็นไฉน
ความร้องไห้ ความคร่ำครวญ กิริยาที่ร้องไห้ กิริยาที่คร่ำครวญ ภาวะที่ร้องไห้
ภาวะที่คร่ำครวญ ความบ่นถึง ความพร่ำเพ้อ ความร่ำไห้ ความพิไรรำพัน กิริยาที่
พิไรรำพัน ภาวะที่พิไรรำพัน ของผู้ที่ถูกความเสื่อมญาติ ความเสื่อมโภคทรัพย์
ความเสื่อมเกี่ยวด้วยโรค ความเสื่อมศีล หรือความเสื่อมทิฏฐิกระทบ ของผู้ที่
ประกอบด้วยความเสื่อมอย่างใดอย่างหนึ่ง (หรือ)ผู้ที่ถูกเหตุแห่งทุกข์อย่างใดอย่าง
หนึ่งกระทบ นี้เรียกว่า ปริเทวะ๔

เชิงอรรถ :
๑ ที.ม. ๑๐/๓๘๙/๒๖๐, ม.มู.๑๒/๙๒/๖๖-๗, ม.อุ. ๑๔/๓๗๓/๓๑๗, สํ.นิ. ๑๖/๒/๓,๒๗/๔๑,๒๘/๔๒,๓๓/๕๕,
ขุ.ป. ๓๑/๓๓/๓๙, อภิ.วิ. ๓๕/๒๓๖/๑๖๓.
๒ ที.ม. ๑๐/๓๙๐/๒๖๐, ม.มู. ๑๒/๙๒/๖๗, ม.อุ.๑๔/๓๗๓/๓๑๘, สํ.นิ. ๑๖/๒/๓,๒๗/๔๑,๒๘/๔๒,๓๓/๕๕,
ขุ.ม. ๒๙/๔๑/๑๐๒, ขุ.ป.๓๑/๓๓/๓๙, อภิ.วิ. ๓๕/๒๓๖/๑๖๔
๓ ขุ.ม. ๒๙/๔๔/๑๐๖,๙๗/๒๑๐, ขุ.จู. ๓๐/๒๑/๗๖, ขุ.ป. ๓๑/๓๓/๓๙, อภิ.วิ. ๓๕/๒๓๗/๑๖๔
๔ ขุ.ม. ๒๙/๔๔/๑๐๖,๙๗/๒๑๐, ขุ.จู. ๓๐/๒๑/๗๖, ขุ.ป. ๓๑/๓๓/๓๙, อภิ.วิ. ๓๕/๒๓๘/๑๖๔

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๖๔ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๔.สัจจวิภังค์] ๑.สุตตันตภาชนีย์ ๑.ทุกขสัจ
[๑๙๖] ทุกข์ เป็นไฉน
ความไม่สำราญทางกาย ความทุกข์ทางกาย ความเสวยอารมณ์ที่ไม่สำราญ
เป็นทุกข์ อันเกิดแต่กายสัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์ที่ไม่สำราญเป็นทุกข์ อันเกิดแต่
กายสัมผัส นี้เรียกว่า ทุกข์๑
[๑๙๗] โทมนัส เป็นไฉน
ความไม่สำราญทางใจ ความทุกข์ทางใจ ความเสวยอารมณ์ที่ไม่สำราญ
เป็นทุกข์ อันเกิดแต่เจโตสัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์ที่ไม่สำราญเป็นทุกข์ อันเกิดแต่
เจโตสัมผัส นี้เรียกว่า โทมนัส๒
[๑๙๘] อุปายาส เป็นไฉน
ความแค้น ความคับแค้น ภาวะที่แค้น ภาวะที่คับแค้น ของผู้ที่ถูกความ
เสื่อมญาติ ความเสื่อมโภคทรัพย์ ความเสื่อมเกี่ยวด้วยโรค ความเสื่อมศีล หรือ
ความเสื่อมทิฏฐิกระทบ ของผู้ที่ประกอบด้วยความเสื่อมอย่างใดอย่างหนึ่งกระทบ
(หรือ)ผู้ที่ถูกเหตุแห่งทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งกระทบ นี้เรียกว่า อุปายาส๓
[๑๙๙] การประสบกับอารมณ์อันไม่เป็นที่รักเป็นทุกข์ เป็นไฉน
การไปร่วม การมาร่วม การประชุมร่วม การอยู่ร่วมกับอารมณ์อันไม่เป็นที่
ปรารถนา ไม่เป็นที่รักใคร่ ไม่เป็นที่ชอบใจของเขาในโลกนี้ เช่น รูป เสียง กลิ่น รส
โผฏฐัพพะ หรือจากบุคคลผู้ปรารถนาแต่สิ่งที่มิใช่ประโยชน์ ปรารถนาแต่สิ่งที่ไม่
เกื้อกูล ปรารถนาแต่สิ่งที่ไม่ผาสุก ไม่ปรารถนาความหลุดพ้นจากโยคะ๔ ของเขา
นี้เรียกว่า การประสบกับอารมณ์อันไม่เป็นที่รักเป็นทุกข์๕
[๒๐๐] การพลัดพรากจากอารมณ์อันเป็นที่รักเป็นทุกข์ เป็นไฉน
การไม่ไปร่วม การไม่มาร่วม การไม่ประชุมร่วม การไม่อยู่ร่วมกับอารมณ์อัน
เป็นที่ปรารถนาเป็นที่รักใคร่ชอบใจของเขาในโลกนี้ เช่น รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ

เชิงอรรถ :
๑ ขุ.ป. ๓๑/๓๓/๓๙, อภิ.สงฺ. ๓๔/๕๕๙/๑๕๘, อภิ.วิ. ๓๕/๒๓๙/๑๖๔
๒ ขุ.ป. ๓๑/๓๓/๓๙, อภิ.สงฺ. ๓๔/๔๑๗/๑๑๖, อภิ.วิ. ๓๕/๒๔๐/๑๖๔
๓ ขุ.ป. ๓๑/๓๓/๓๙-๔๐, อภิ.วิ. ๓๕/๒๔๑/๑๖๕
๔ ดู โยคะ ๔ ข้อ ๙๓๘ หน้า ๕๘๘ ในเล่มนี้
๕ ขุ.ป. ๓๑/๓๓/๔๐, อภิ.วิ. ๓๕/๒๔๑/๑๖๕

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๖๕ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๔.สัจจวิภังค์] ๑.สุตตันตภาชนีย์ ๑.ทุกขสัจ
หรือจากบุคคลผู้ที่มุ่งประโยชน์ มุ่งความเกื้อกูล มุ่งความผาสุก มุ่งความเกษมจาก
โยคะของเขา เช่น มารดา บิดา พี่ชาย น้องชาย พี่หญิง น้องหญิง มิตร อำมาตย์
ญาติ หรือสายโลหิต นี้เรียกว่า การพลัดพรากจากอารมณ์อันเป็นที่รักเป็นทุกข์๑
[๒๐๑] การไม่ได้สิ่งที่ต้องการเป็นทุกข์ เป็นไฉน
เหล่าสัตว์ผู้มีความเกิดเป็นธรรมดา เกิดความปรารถนาขึ้นอย่างนี้ว่า ไฉนหนอ
ขอเราอย่าได้มีความเกิดเป็นธรรมดา หรือขอความเกิดอย่าได้มาถึงเราเลยนะ ข้อนี้
ไม่พึงสำเร็จได้ตามความปรารถนา นี้เรียกว่า การไม่ได้สิ่งที่ต้องการเป็นทุกข์
เหล่าสัตว์ผู้มีความแก่เป็นธรรมดา ฯลฯ เหล่าสัตว์ผู้มีความเจ็บเป็นธรรมดา
ฯลฯ เหล่าสัตว์ผู้มีความตายเป็นธรรมดา ฯลฯ เหล่าสัตว์ผู้มีความเศร้าโศก
ความพิไรรำพัน ความทุกข์ ความโทมนัส และความคับแค้นเป็นธรรมดา ต่างก็เกิด
ความปรารถนาขึ้นอย่างนี้ว่า ไฉนหนอ ขอเราอย่าได้เป็นผู้มีความเศร้าโศก ความ
พิไรรำพัน ความทุกข์ ความโทมนัส และความคับแค้นเป็นธรรมดาเลย ขอ
ความเศร้าโศก ความพิไรรำพัน ความทุกข์ ความโทมนัส และความคับแค้น อย่า
ได้มาถึงเราเลยนะ ข้อนี้ไม่พึงสำเร็จได้ตามความต้องการ นี้เรียกว่า การไม่ได้สิ่งที่
ต้องการเป็นทุกข์๒
[๒๐๒] โดยย่อ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ เป็นไฉน
รูปูปาทานขันธ์ (กองรูปที่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน) เวทนูปาทานขันธ์ (กอง
เวทนาที่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน) สัญญูปาทานขันธ์ (กองสัญญาที่เป็นอารมณ์
ของอุปาทาน) สังขารูปาทานขันธ์ (กองสังขารที่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน) และ
วิญญาณูปาทานขันธ์ (กองวิญญาณที่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน) เหล่านี้เรียกว่า
โดยย่อ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์๓
นี้เรียกว่า ทุกขอริยสัจ

เชิงอรรถ :
๑ ขุ.ป. ๓๑/๓๓/๔๐
๒ ม.อุ. ๑๔/๓๗๓/๓๑๘, ขุ.ป. ๓๑/๓๓/๔๐
๓ ม.อุ. ๑๔/๓๗๓/๓๑๘, ขุ.ป. ๓๑/๓๓/๔๐-๑

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๖๖ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๔.สัจจวิภังค์] ๑.สุตตันตภาชนีย์ ๒.สมุทยสัจ
๒. สมุทยสัจ
[๒๐๓] ทุกขสมุทยอริยสัจ เป็นไฉน
ตัณหานี้เป็นเหตุเกิดในภพใหม่ สหรคตด้วยความกำหนัดยินดี เป็นเหตุ
เพลิดเพลินในอารมณ์นั้น ๆ คือ กามตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหา
ก็ตัณหานี้แหละเมื่อเกิด เกิดที่ไหน เมื่อตั้งอยู่ ตั้งอยู่ที่ไหน
ปิยรูปสาตรูป๑ เป็นสภาวะที่มีอยู่ในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่ปิยรูป-
สาตรูปนี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่ปิยรูปสาตรูปนี้
ก็อะไรเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก
จักษุเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่จักษุนี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้ง
อยู่ที่จักษุนี้ โสตะ ฯลฯ ในโลก ฆานะ ... ในโลก ชิวหา ... ในโลก กาย ... ในโลก
มโนเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่มโนนี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่
มโนนี้
รูปเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่รูปนี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่
รูปนี้ เสียง ฯลฯ ในโลก กลิ่น ... ในโลก รส ... ในโลก โผฏฐัพพะ ... ในโลก
ธรรมเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่ธรรมนี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่
ที่ธรรมนี้
จักขุวิญญาณเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่จักขุวิญญาณ
นี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่จักขุวิญญาณนี้ โสตวิญญาณ ฯลฯ ในโลก ฆานวิญญาณ ...
ในโลก ชิวหาวิญญาณ ... ในโลก กายวิญญาณ ... ในโลก มโนวิญญาณเป็น
ปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่มโนวิญญาณนี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่
มโนวิญญาณนี้
จักขุสัมผัสเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่จักขุสัมผัสนี้
เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่จักขุสัมผัสนี้ โสตสัมผัส ฯลฯ ในโลก ฆานสัมผัส ... ในโลก

เชิงอรรถ :
๑ ปิยรูปสาตรูป สภาวะที่น่ารักน่าชื่นใจ ส่วนที่เป็นอิฏฐารมณ์ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดตัณหา (อภิ.วิ.อ. ๒๐๓/๑๑๙)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๖๗ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๔.สัจจวิภังค์] ๑.สุตตันตภาชนีย์ ๒.สมุทยสัจ
ชิวหาสัมผัส ... ในโลก กายสัมผัส ... ในโลก มโนสัมผัสเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก
ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่มโนสัมผัสนี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่มโนสัมผัสนี้
เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัสเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิด
ที่เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัสนี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัสนี้
เวทนาที่เกิดแต่โสตสัมผัส ฯลฯ ในโลก เวทนาที่เกิดแต่ฆานสัมผัส ... ในโลก
เวทนาที่เกิดแต่ชิวหาสัมผัส... ในโลก เวทนาที่เกิดแต่กายสัมผัส ... ในโลก เวทนา
ที่เกิดแต่มโนสัมผัสเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่เวทนาที่เกิด
แต่มโนสัมผัสนี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่เวทนาที่เกิดแต่มโนสัมผัสนี้
รูปสัญญา (ความหมายรู้รูป) เป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิด
ที่รูปสัญญานี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่รูปสัญญานี้ สัททสัญญา ฯลฯ ในโลก คันธ-
สัญญา ... ในโลก รสสัญญา ... ในโลก โผฏฐัพพสัญญา ... ในโลก ธัมมสัญญาเป็น
ปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่ธัมมสัญญานี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่
ธัมมสัญญานี้
รูปสัญเจตนา (ความคิดอ่านในรูป) เป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด
ก็เกิดที่รูปสัญเจตนานี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่รูปสัญเจตนานี้ สัททสัญเจตนา ฯลฯ
ในโลก คันธสัญเจตนา ... ในโลก รสสัญเจตนา ...ในโลก โผฏฐัพพสัญเจตนา ... ในโลก
ธัมมสัญเจตนาเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่ธัมมสัญเจตนานี้
เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่ธัมมสัญเจตนานี้
รูปตัณหา (ความติดใจในรูป) เป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิด
ที่รูปตัณหานี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่รูปตัณหานี้ สัททตัณหา ฯลฯ ในโลก คันธ-
ตัณหา ... ในโลก รสตัณหา ... ในโลก โผฏฐัพพตัณหา ... ในโลก ธัมมตัณหาเป็น
ปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่ธัมมตัณหานี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่
ธัมมตัณหานี้
รูปวิตก (ความตรึกถึงรูป) เป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่
รูปวิตกนี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่รูปวิตกนี้ สัททวิตก ฯลฯ ในโลก คันธวิตก ... ในโลก

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๖๘ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๔.สัจจวิภังค์] ๑.สุตตันตภาชนีย์ ๓.นิโรธสัจ
รสวิตก ... ในโลก โผฏฐัพพวิตก ... ในโลก ธัมมวิตก เป็นปิยรูปสาตรูปในโลก
ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่ธัมมวิตกนี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่ธัมมวิตกนี้
รูปวิจาร (ความตรองถึงรูป) เป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิด
ที่รูปวิจารนี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่รูปวิจารนี้ สัททวิจาร ฯลฯ ในโลก คันธวิจาร ...
ในโลก รสวิจาร ... ในโลก โผฏฐัพพวิจาร ... ในโลก ธัมมวิจารเป็นปิยรูปสาตรูป
ในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่ธัมมวิจารนี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่ธัมมวิจารนี้๑
นี้เรียกว่า ทุกขสมุทยอริยสัจ

๓. นิโรธสัจ
[๒๐๔] ทุกขนิโรธอริยสัจ เป็นไฉน
ความสำรอกและความดับตัณหานั้นนั่นแลโดยไม่เหลือ ความปล่อยวาง ความ
ส่งคืน ความพ้น ความไม่ติดอยู่
ก็ตัณหานี้เมื่อละ ละที่ไหน เมื่อดับ ดับที่ไหน
ปิยรูปสาตรูปใดมีอยู่ในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่ปิยรูปสาตรูปนี้ เมื่อดับ ก็
ดับที่ปิยรูปสาตรูปนี้
ก็อะไรเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก
จักษุเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่จักษุนี้ เมื่อดับก็ดับที่
จักษุนี้ โสตะ ฯลฯ ในโลก ฆานะ ... ในโลก ชิวหา ... ในโลก กาย ... ในโลก
มโนเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่มโนนี้ เมื่อดับ ก็ดับที่มโนนี้
รูปเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่รูปนี้ เมื่อดับก็ดับที่รูปนี้
เสียง ฯลฯ ในโลก กลิ่น ... ในโลก รส ... ในโลก โผฏฐัพพะ ... ในโลก ธรรม
เป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้ เมื่อละ ก็ละที่ธรรมนี้ เมื่อดับ ก็ดับที่ธรรมนี้

เชิงอรรถ :
๑ ขุ.ป.๓๑/๓๔/๔๑

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๖๙ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๔.สัจจวิภังค์] ๑.สุตตันตภาชนีย์ ๓.นิโรธสัจ
จักขุวิญญาณเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่จักขุวิญญาณนี้
เมื่อดับ ก็ดับที่จักขุวิญญาณนี้ โสตวิญญาณ ฯลฯ ในโลก ฆานวิญญาณ ... ในโลก
ชิวหาวิญญาณ ...ในโลก กายวิญญาณ ... ในโลก มโนวิญญาณเป็นปิยรูปสาตรูปใน
โลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่มโนวิญญาณนี้ เมื่อดับ ก็ดับที่มโนวิญญาณนี้
จักขุสัมผัสเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่จักขุสัมผัสนี้ เมื่อ
ดับ ก็ดับที่จักขุสัมผัสนี้ โสตสัมผัส ฯลฯ ในโลก ฆานสัมผัส ...ในโลก ชิวหาสัมผัส
... ในโลก กายสัมผัส ... ในโลก มโนสัมผัสเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อ
ละ ก็ละที่มโนสัมผัสนี้ เมื่อดับ ก็ดับที่มโนสัมผัสนี้
เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัสเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละ
ที่เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัสนี้ เมื่อดับ ก็ดับที่เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัสนี้ เวทนาที่
เกิดแต่โสตสัมผัส ฯลฯ ในโลก เวทนาที่เกิดแต่ฆานสัมผัส ... ในโลก เวทนาที่เกิด
แต่ชิวหาสัมผัส ... ในโลก เวทนาที่เกิดแต่กายสัมผัส ... ในโลก เวทนาที่เกิดแต่
มโนสัมผัสเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่เวทนาที่เกิดแต่มโนสัมผัสนี้
เมื่อดับ ก็ดับที่เวทนาที่เกิดแต่มโนสัมผัสนี้
รูปสัญญาเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่รูปสัญญานี้ เมื่อ
ดับ ก็ดับที่รูปสัญญานี้ สัททสัญญา ฯลฯ ในโลก คันธสัญญา ... ในโลก รสสัญญา
... ในโลก โผฏฐัพพสัญญา ... ในโลก ธัมมสัญญาเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหา
นี้เมื่อละ ก็ละที่ธัมมสัญญานี้ เมื่อดับ ก็ดับที่ธัมมสัญญานี้
รูปสัญเจตนาเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่รูปสัญเจตนา
นี้ เมื่อดับ ก็ดับที่รูปสัญเจตนานี้ สัททสัญเจตนา ฯลฯ ในโลก คันธสัญเจตนา ...
ในโลก รสสัญเจตนา ...ในโลก โผฏฐัพพสัญเจตนา ... ในโลก ธัมมสัญเจตนา
เป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่ธัมมสัญเจตนานี้ เมื่อดับ ก็ดับที่
ธัมมสัญเจตนานี้
รูปตัณหาเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่รูปตัณหานี้ เมื่อ
ดับ ก็ดับที่รูปตัณหานี้ สัททตัณหา ฯลฯ ในโลก คันธตัณหา ... ในโลก รสตัณหา ...
ในโลก โผฏฐัพพตัณหา ... ในโลก ธัมมตัณหาเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้
เมื่อละ ก็ละที่ธัมมตัณหานี้ เมื่อดับ ก็ดับที่ธัมมตัณหานี้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๗๐ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๔.สัจจวิภังค์] ๑.สุตตันตภาชนีย์ ๔.มัคคสัจ
รูปวิตกเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่รูปวิตกนี้ เมื่อดับ
ก็ดับที่รูปวิตกนี้ สัททวิตก ฯลฯ ในโลก คันธวิตก ... ในโลก รสวิตก ... ในโลก
โผฏฐัพพวิตก ... ในโลก ธัมมวิตกเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละ
ที่ธัมมวิตกนี้ เมื่อดับ ก็ดับที่ธัมมวิตกนี้
รูปวิจารเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่รูปวิจารนี้ เมื่อ
ดับก็ดับที่รูปวิจารนี้ สัททวิจาร ฯลฯ ในโลก คันธวิจาร ... ในโลก รสวิจาร ... ใน
โลก โผฏฐัพพวิจาร ... ในโลก ธัมมวิจารเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละ
ก็ละที่ธัมมวิจารนี้ เมื่อดับ ก็ดับที่ธัมมวิจารนี้๑
นี้เรียกว่า ทุกขนิโรธอริยสัจ

๔. มัคคสัจ
[๒๐๕] ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ เป็นไฉน
อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้นั่นแล คือ

๑. สัมมาทิฏฐิ (เห็นชอบ) ๒. สัมมาสังกัปปะ (ดำริชอบ)
๓. สัมมาวาจา (เจรจาชอบ) ๔. สัมมากัมมันตะ (กระทำชอบ)
๕. สัมมาอาชีวะ (เลี้ยงชีพชอบ) ๖. สัมมาวายามะ (พยายามชอบ)
๗. สัมมาสติ (ระลึกชอบ) ๘. สัมมาสมาธิ (ตั้งจิตมั่นชอบ)

บรรดาอริยมรรคมีองค์ ๘ นั้น สัมมาทิฏฐิ เป็นไฉน
ความรู้ในทุกข์ (ความทุกข์) ความรู้ในทุกขสมุทัย (เหตุเกิดแห่งทุกข์) ความรู้
ในทุกขนิโรธ (ความดับทุกข์) ความรู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา (ข้อปฏิบัติให้ถึง
ความดับทุกข์) นี้เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ (๑)
สัมมาสังกัปปะ เป็นไฉน
ความดำริในการออกจากกาม ความดำริในการไม่พยาบาท ความดำริในการ
ไม่เบียดเบียน นี้เรียกว่า สัมมาสังกัปปะ (๒)

เชิงอรรถ :
๑ ขุ.ป. ๓๑/๓๔/๔๑

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๗๑ }


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๔.สัจจวิภังค์] ๑.สุตตันตภาชนีย์ ๔.มัคคสัจ
สัมมาวาจา เป็นไฉน
เจตนาเป็นเหตุงดเว้นจากการพูดเท็จ เจตนาเป็นเหตุงดเว้นจากการพูดส่อเสียด
เจตนาเป็นเหตุงดเว้นจากการพูดคำหยาบ เจตนาเป็นเหตุงดเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ
นี้เรียกว่า สัมมาวาจา (๓)
สัมมากัมมันตะ เป็นไฉน
เจตนาเป็นเหตุงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ เจตนาเป็นเหตุงดเว้นจากการลักทรัพย์
เจตนาเป็นเหตุงดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม นี้เรียกว่า สัมมากัมมันตะ (๔)
สัมมาอาชีวะ เป็นไฉน
ข้อที่พระอริยสาวกในธรรมวินัยนี้ละมิจฉาอาชีวะแล้ว สำเร็จการเลี้ยงชีพด้วย
สัมมาอาชีวะ นี้เรียกว่า สัมมาอาชีวะ (๕)
สัมมาวายามะ เป็นไฉน
ข้อที่ภิกษุในธรรมวินัยนี้สร้างฉันทะ พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิต
มุ่งมั่นเพื่อป้องกันบาปอกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดมิให้เกิดขึ้น ฯลฯ เพื่อละบาปอกุศล-
ธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ฯลฯ เพื่อทำบาปอกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้นมิให้เกิดขึ้น ฯลฯ
สร้างฉันทะ พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิต มุ่งมั่นเพื่อความดำรงอยู่ไม่
เลือนหาย ภิยโยภาพ ไพบูลย์ เจริญเต็มที่แห่งกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว นี้เรียกว่า
สัมมาวายามะ (๖)
สัมมาสติ เป็นไฉน
ข้อที่ภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็นผู้มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พิจารณา
เห็นกายในกายอยู่ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกได้ พิจารณาเห็นเวทนา
ในเวทนาอยู่ ฯลฯ พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ฯลฯ เป็นผู้มีความเพียร มีสัมปชัญญะ
มีสติ พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกได้ นี้เรียกว่า
สัมมาสติ (๗)
สัมมาสมาธิ เป็นไฉน
ข้อที่ภิกษุในธรรมวินัยนี้สงัดจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลาย บรรลุปฐมฌาน
ที่มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดจากวิเวกอยู่ เพราะวิตกวิจารสงบระงับไปแล้ว

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๕ หน้า :๑๗๒ }


>>>>> หน้าต่อไป >>>>>





eXTReMe Tracker