!doctype>
!doctype>
สมถะกับวิปัสสนา
ผู้สนใจท่านหนึ่งได้เมล์มาสนทนาเกี่ยวกับเรื่องนี้
ทางผู้ดำเนินการเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์ แก่ท่านอื่นๆ ด้วย จึงขออนุญาตนำมาลงเอาไว้
ณ ที่นี้ ดังนี้
เนื้อความ
เคยอ่านเจอจากที่ใดไม่ทราบ ลืมแหล่งไปแล้วค่ะ บอกว่าวิปัสสนาเป็นทางตรง สมถะทำให้แวะ
ตอบ
สวัสดีครับ
ขออธิบายเพิ่มเติมเรื่องสมถะ(สมาธิ) กับวิปัสสนา อีกนิดนะครับ (ป้องกันการเข้าใจผิด)
ที่บางท่านกล่าวว่าสมถะเป็นทางอ้อม หรือเป็นการแวะพักผ่อนข้างทางนั้น ความจริงแล้วขึ้นกับการนำไปใช้ครับ
(สังเกตได้ว่าไม่เคยเจอตรงไหนที่พระพุทธเจ้าทรงห้ามการทำสมาธิเลยนะครับ) ขอแยกอธิบายเป็นกรณีดังนี้ครับ
-
ถ้าทำสมาธิแล้วมัวหลงใหล เพลิดเพลินอยู่กับสมาธิ ไม่กระตือรือร้นที่จะเจริญวิปัสสนา
อย่างนั้นก็เป็นทางอ้อมอย่างมากครับ หรืออาจเรียกว่าผิดทางเลยก็ได้ บางสำนักกลัวเกิดกรณีนี้ขึ้นจนถึงกับห้ามนั่งสมาธิเลยก็มีครับ
หรือบางคนอาจถึงขั้นหลงผิด คือด้วยอำนาจของสมาธิที่สามารถข่มกิเลสบางตัวได้ชั่วคราวนั้น
ทำให้เข้าใจผิดคิดว่ากิเลสตัวนั้นๆ หมดไปแล้วจริงๆ เลยคิดว่าตนได้บรรลุมรรค/ผล
ขั้นนั้นขั้นนี้แล้วก็มี กรณีนี้ก็คงต้องเรียกว่าหลงทางนะครับ
-
การทำสมาธิไปด้วย พร้อมกับเจริญวิปัสสนาไปด้วยควบคู่กันไป อย่างนี้ก็จะเกื้อหนุนกันครับ
คือผลของสมาธิก็ทำให้เกิดวิปัสสนาปัญญาได้ง่ายขึ้น และผลของวิปัสสนา (ความปล่อยวาง,
ความไม่ยึดมั่น) ก็ทำให้นิวรณ์ (สิ่งขวางกั้นสมาธิ) เกิดน้อยลง หรือลดกำลังลงไป
ทำให้สมาธิเกิดได้ง่ายขึ้นเช่นกันครับ อย่างนี้ก็คงไม่น่าเรียกว่าเป็นทางอ้อมนะครับ
โดยเฉพาะคนที่มีพื้นฐานทางสมาธิอยู่ก่อนแล้ว
-
การใช้สมาธิให้เป็นฐานของวิปัสสนาโดยตรง วิธีที่ 1.
คือ การพิจารณาธรรมชาติของสมาธิ คือความไม่เที่ยง แปรปรวนไปตลอดเวลา ไม่อยู่ในอำนาจ
เสื่อมได้ง่าย เอาแน่อะไรไม่ได้ ยึดมั่นอะไรไม่ได้ ฯลฯ (คือคนที่ได้สมาธิขั้นสูงนั้น
ก็มักจะยึดมั่นในสมาธิ เหมือนกับว่าสมาธิเป็นที่พึ่งพิงทั้งหมดของชีวิต เห็นสมาธิเป็นสรณะ
พอใช้วิธีนี้แล้วทำให้หมดความยึดมั่นในสมาธิไปได้ ก็จะส่งผลให้หมดความยึดมั่นในสิ่งทั้งปวงลงไปด้วยเช่นกัน)
-
การใช้สมาธิให้เป็นฐานของวิปัสสนาโดยตรง วิธีที่ 2.
คือ วิธีที่เรียกว่าวิชชา 3 (วิธีเดียวกับที่เจ้าชายสิทธัตถะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า)
คือเมื่อทำสมาธิจนถึงขั้นจตุตถฌาน (ฌานที่ 4.) ซึ่งเป็นขั้นสูงสุดของรูปฌานแล้ว
ก็ฝึกอภิญญาต่อไป จนกระทั่งได้วิชชา 3 คือ
-
ปุพเพนิวาสานุสติญาณ คือระลึกชาติได้
-
จุตูปปาตญาณ คือได้ตาทิพย์มองเห็นสัตว์กำลังตายบ้าง กำลังเกิดบ้าง มีอาการดีบ้าง
เลวบ้าง ตามกรรมของตน
-
อาสวักขยญาณ คือปัญญาที่ทำให้กิเลสทั้งหลายสิ้นไป
กรณีที่ 3. และ 4. นี้ก็ขึ้นกับพื้นฐานของสมาธิที่มีอยู่เดิมครับ คือ ถ้าเดิมมีสมาธิถึงขั้นนั้นอยู่แล้ว
ก็ใช้สมาธินั้นเป็นฐานเจริญวิปัสสนาได้ทันที อย่างนี้ก็ไม่เป็นทางอ้อมครับ แต่เป็นทางที่เร็วด้วยซ้ำไป
แต่ถ้าพื้นฐานทางสมาธิเดิมมีไม่พอ ทำให้ต้องมาเสียเวลาฝึกสมาธิให้ถึงขั้นที่ต้องการซะก่อน
แล้วถึงจะทำวิปัสสนา อย่างนั้นก็เรียกได้ว่าเป็นทางอ้อมครับ
ธัมมโชติ
6 กรกฎาคม 2545
ขอเชิญทุกๆ ท่าน ร่วมลงนามเยี่ยม
และวิจารณ์เว็บไซต์ของเราใน สมุดเยี่ยม ด้วยนะครับ