!doctype>
!doctype>
นั่งสมาธิแล้วอยากได้นู่นได้นี่
ผู้สนใจท่านหนึ่งได้เมล์มาถามปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้
ทางผู้ดำเนินการเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์ แก่ท่านอื่นๆ ด้วย จึงขออนุญาตนำมาลงเอาไว้
ณ ที่นี้ ดังนี้
คำถาม
ตอนนี้กุมบังเหียนใจตัวเองไม่ให้กระเพื่อมตามโลกธรรม 8 มากนักได้ดีขึ้น นั่งสมาธินิ่ง
แต่เกิดกิเลส เวลานั่งแล้วไม่เอาแค่นิ่งแบบเดิม อยากได้นู่นนี่ เช่น อยากไปถึงสุข
อุเบกขา ปฐมญาณ เข้าออกได้ตามใจ และเวลาเกิดอาการใดๆ ทั้งเก่าและใหม่ก็ดีใจชื่นชม
(จริงๆนะคะ) ไม่เฉยๆ แบบเมื่อก่อน พยายามไม่ทำให้รู้สึก แต่ก็รู้สึกดีอยากทำ ความรู้สึกเหล่านี้
ดีหรือร้ายคะ ต้องแก้ไขหรือไม่ หากต้องแก้ ให้ทำอย่างไรคะ
ตอบ
สวัสดีครับ
ขอบคุณครับที่ให้ความสนใจเว็บไซต์ ธัมมโชติ
-
การควบคุมจิตได้ดีขึ้น และเข้าสมาธิได้เร็วขึ้นเป็นสิ่งดีครับ แต่การอยากได้นู่นได้นี่
จะทำให้จิตไม่อยู่กับปัจจุบัน คือไปอยู่ที่อนาคต คือสิ่งที่อยากได้ซึ่งยังไม่เกิดขึ้น
จะทำให้สมาธิไม่ก้าวหน้า และอาจถอยหลังได้ครับ
ต้องตัดความรู้สึกอยากออกไป แล้วดึงจิตให้อยู่กับปัจจุบัน คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นเฉพาะหน้า
แล้วสมาธิถึงจะเกิดและก้าวหน้าไปได้ครับ ต้องคิดเอาไว้ว่าถ้ายิ่งอยากก็จะยิ่งไม่ได้
(สมาธิไม่เกิด) แต่ถ้าไม่อยากแล้วก็จะได้เองตามเหตุปัจจัยครับ
(เพราะจิตจะรวมได้ง่าย)
อาการลักษณะนี้เกิดจากวิริยินทรีย์ (วิริยะ + อินทรีย์ = สิ่งที่เป็นใหญ่ในความเพียร)
คือวิริยะ หรือความเพียรมีกำลังมากเกินไปครับ จะต้องข่มจิตลง คือลดความมุ่งมั่น
หรือความอยากลง สมาธิถึงจะเกิดได้ง่ายขึ้นครับ (ไม่ใช่ให้ลดการนั่งสมาธิลงนะครับ
แต่ให้ลดความรู้สึกมุ่งมั่นลง ทำใจให้ผ่อนคลายขึ้น คิดว่าได้แค่ไหนก็แค่นั้น
แล้วดูมันไปเรื่อยๆ )
-
เรื่องการจะได้ฌานนั้น เวลาทำสมาธิต้องคอยสังเกตทางไปของสมาธิ หรือทางดำเนินของจิตให้ดีครับ
คือสังเกตว่าเมื่อทำจิตแบบไหน แล้วผลที่ได้เป็นยังไง เมื่อฉลาดในทางดำเนินของจิต
และมีความชำนาญในการสร้างเหตุปัจจัย ให้จิตเป็นไปในสภาวะที่ต้องการแล้ว โอกาสได้ฌานก็จะมากขึ้นตามลำดับครับ
-
ความรู้สึกดีใจชื่นชมเป็นสิ่งที่เพิ่มกำลังของวิริยินทรีย์ครับ ถ้าน้อยเกินไปก็หดหู่
ท้อถอย ไม่มีความเพียร แต่ถ้ามากเกินไปก็จะส่งผลอย่างที่อธิบายแล้วในข้อ 1. ต้องประคับประคองให้สมดุลถึงจะส่งผลดีที่สุดครับ
คือ ต้องยกจิตเมื่อควรยก ข่มจิตเมื่อควรข่ม ประคองจิตเมื่อควรประคอง
การแก้ไข คือการข่มจิต อธิบายแล้วในข้อ 1. ครับ
-
ขออธิบายเรื่องญาณ และฌานนิดนึงนะครับ
ญาณ คือปัญญา ความรู้แจ้ง โดยมากใช้กับปัญญาที่เกิดจากการทำวิปัสสนา
คือความรู้ความเข้าใจธรรมชาติของรูปนาม หรือร่างกายและจิตใจตามความเป็นจริง เรียกว่าวิปัสสนาญาณ
ฌาน ตามศัพท์แปลว่าการเพ่ง ใช้กับการทำสมาธิ
ผู้ที่ได้ฌาน จะต้องเข้าออกสมาธิในขั้นนั้นๆ ได้อย่างใจต้องการ และสามารถอยู่ในสมาธิขั้นนั้นได้นานตามต้องการด้วย
เรียกว่าได้วสี คือความชำนาญ
ถ้ายังไม่กระจ่าง หรือมีข้อสงสัยอะไรอีก ก็เชิญถามมาได้ใหม่นะครับ ไม่ต้องเกรงใจ
ธัมมโชติ
4 สิงหาคม 2545
ขอเชิญทุกๆ ท่าน ร่วมลงนามเยี่ยม
และวิจารณ์เว็บไซต์ของเราใน สมุดเยี่ยม ด้วยนะครับ