|
มงคลในพระพุทธศาสนา
ปัจจุบันนี้
ชาวพุทธทั้งหลายมีความเชื่อในเรื่องสิ่งที่เป็นมงคลแตกต่างกันไป บางคนก็ไม่เชื่อเลย
คิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระ บางคนก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่บางคนก็เชื่ออย่างไม่ลืมหูลืมตา
คิดว่าทำอย่างนั้นแล้วดี เป็นศิริมงคล ทำอย่างนี้ไม่ดี ทำแล้วจะแย่
ลองมาดูกันว่า พระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่องนี้เอาไว้อย่างไรบ้าง
สมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
ใกล้พระนครสาวัตถี ครั้งนั้น มีผู้กราบทูลถามพระพุทธเจ้า ถึงสิ่งที่เป็นมงคล
พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า :
การไม่คบคนพาล
๑ การคบบัณฑิต ๑
การบูชาบุคคลที่ควรบูชา ๑ นี้เป็นอุดมมงคล
การอยู่ในประเทศอันสมควร ๑ ความเป็นผู้มีบุญอันกระทำแล้วในกาลก่อน
๑
การตั้งตนไว้ชอบ ๑ นี้เป็นอุดมมงคล
พาหุสัจจะ ๑ การมีศิลปวิทยา
๑ วินัยที่ศึกษาดีแล้ว ๑
วาจาสุภาษิต ๑ นี้เป็นอุดมมงคล
การบำรุงมารดาบิดา ๑ การสงเคราะห์บุตรภรรยา ๑
การงานอันไม่อากูล ๑ นี้เป็นอุดมมงคล
การให้ทาน ๑ การประพฤติธรรม ๑ การสงเคราะห์ญาติ ๑
การกระทำอันไม่มีโทษ ๑ นี้เป็นอุดมมงคล
การงดการเว้นจากบาป ๑ ความสำรวมจากการดื่มน้ำเมา ๑
ความไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย ๑ นี้เป็นอุดมมงคล
ความเคารพผู้อื่น ๑ ความประพฤติถ่อมตน ๑ ความสันโดษ
๑ ความกตัญญู ๑
การฟังธรรมตามกาล ๑ นี้เป็นอุดมมงคล
ความอดทน ๑ ความเป็นผู้ว่าง่าย ๑ การได้เห็นสมณะทั้งหลาย
๑
การสนทนาธรรมตามกาล ๑ นี้เป็นอุดมมงคล
ความเพียรเผากิเลส ๑ การประพฤติพรหมจรรย์ ๑ การเห็นอริยสัจ
๑
การกระทำนิพพานให้แจ้ง ๑ นี้เป็นอุดมมงคล
จิตของผู้ใดอันโลกธรรมทั้งหลายถูกต้องแล้วย่อมไม่หวั่นไหว
๑
จิตไม่เศร้าโศก ๑ จิตปราศจากธุลีแห่งกิเลส ๑ มีจิตอันเกษม ๑ นี้เป็นอุดมมงคล
เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ทำมงคลเช่นนี้แล้ว เป็นผู้ไม่ปราชัยในข้าศึกทุกหมู่เหล่า
ย่อมถึงความสวัสดีในที่ทุกสถาน นี้เป็นอุดมมงคลของเทวดาและมนุษย์เหล่านั้น ฯ
อธิบายเพิ่มเติม
* มงคล = สิ่งที่นำมาซึ่งความสุขความเจริญ
* การบูชาบุคคลที่ควรบูชา - เป็นมงคลเพราะเมื่อเราเคารพนับถือใคร
ก็จะดำเนินรอยตามคนคนนั้น ถ้าคนคนนั้นเป็นผู้ที่ควรบูชา เราก็จะเป็นคนดีตามไปด้วย
* การอยู่ในประเทศอันสมควร - คือการอยู่ในท้องถิ่นที่เหมาะสมในการดำเนินชีวิต
มีสิ่งแวดล้อมที่ดี
* พาหุสัจจะ = พหูสูต คือเป็นผู้ได้ยินได้ฟังมามาก
มีความรู้มาก
* การมีศิลปวิทยา - หมายถึงมีความรู้ที่ใช้ประกอบอาชีพได้
* วาจาสุภาษิต - การพูดในสิ่งที่ดี มีประโยชน์
* การงานอันไม่อากูล = การงานอันไม่ยุ่งเหยิง สับสน
* ความสันโดษ = พอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่
* การได้เห็นสมณะทั้งหลาย - เป็นมงคลเพราะจะได้มีโอกาสฟังธรรม
สนทนาธรรม และไขข้อข้องใจต่างๆ
* การเห็นอริยสัจ = การบรรลุมรรค/ผล การมีดวงตาเห็นธรรม
* การกระทำนิพพานให้แจ้ง - ความหมายใกล้เคียงกับการเห็นอริยสัจ
แต่เน้นหนักไปที่ผลจิต ในขณะที่การเห็นอริยสัจเน้นหนักไปที่มรรคจิต
* โลกธรรม - สิ่งที่เป็นธรรมดาของโลก มี 8 อย่างคือ
มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ ได้รับการสรรเสริญ ถูกนินทา มีสุข มีทุกข์
ซึ่งมงคลเหล่านี้ ก็คือคำแปลของมงคลสูตร ที่พระภิกษุนิยมสวดเวลามีงานบุญต่างๆ
เช่น งานขึ้นบ้านใหม่ นั่นเอง ซึ่งถ้าพิจารณาแล้วจะเห็นว่า มงคลที่พระพุทธเจ้าทรงสอนนั้น
เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ถือปฏิบัติอย่างแท้จริง
ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เหลวไหลไร้สาระเลย และมงคลเหล่านี้จะเป็นมงคลอย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อ
นำไปใช้ปฏิบัติเท่านั้น ไม่ใช่เพียงแค่นั่งฟังพระสวดแล้วจะเป็นมงคลขึ้นมาได้
ซึ่งบทสวดที่เป็นภาษาบาลีนั้นมีเนื้อความว่า :
อเสวนา จ พาลานํ ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา
ปูชา จ ปูชนียานํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ฯ
ปฏิรูปเทสวาโส จ ปุพฺเพ จ กตปุญฺญตา
อตฺตสมฺมาปณิธิ จ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ฯ
พาหุสจฺจญฺจ สิปฺปญฺจ วินโย จ สุสิกฺขิโต
สุภาสิตา จ ยา วาจา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ฯ
มาตาปิตุอุปฏฺฐานํ ปุตฺตทารสฺส สงฺคโห
อนากุลา จ กมฺมนฺตา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ฯ
ทานญฺจ ธมฺมจริยา จ ญาตกานญฺจ สงฺคโห
อนวชฺชานิ กมฺมานิ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ฯ
อารตี วิรตี ปาปา มชฺชปานา จ สญฺญโม
อปฺปมาโท จ ธมฺเมสุ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ฯ
คารโว จ นิวาโต จ สนฺตุฏฺฐี จ กตญฺญุตา
กาเลน ธมฺมสฺสวนํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ฯ
ขนฺตี จ โสวจสฺสตา สมณานญฺจ ทสฺสนํ
กาเลน ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ฯ
ตโป จ พฺรหฺมจริยญฺจ อริยสจฺจานทสฺสนํ
นิพฺพานสจฺฉิกิริยา จ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ฯ
ผุฏฺฐสฺส โลกธมฺเมหิ จิตฺตํ ยสฺส น กมฺปติ
อโสกํ วิรชํ เขมํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ฯ
เอตาทิสานิ กตฺวาน สพฺพตฺถมปราชิตา
สพฺพตฺถ โสตฺถึ คจฺฉนฺติ ตนฺเตสํ มงฺคลมุตฺตมนฺติ ฯ
ธัมมโชติ
6 มีนาคม 2544
ขอเชิญทุกๆ ท่าน ร่วมลงนามเยี่ยม
และวิจารณ์เว็บไซต์ของเราใน สมุดเยี่ยม ด้วยนะครับ