เต้านมเป็นอวัยวะสำคัญที่บ่งบอกถึงความเป็นสัตว์โลกที่เลี้ยงลูกด้วยนม
สำหรับมนุษย์ถือว่าเต้านมเป็นสัญลักษณ์ทางเพศสำคัญอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะเพศหญิงตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงวัยแก่
ถ้าปราศจากอวัยวะนี้แล้วคงจะมีปัญหาเกิดขึ้นมากมาย
อย่างน้อยที่สุดความเป็นผู้หญิงคงจะด้อยลงไป
เต้านมยังทำหน้าที่สำคัญในการสืบทอดความเป็นสิ่งมีชีวิต
กล่าวคือขั้นตอนของการสืบพันธุ์สำหรับสตรีเลี้ยงลูกด้วยนมนั้น
เต้านมต้องทำหน้าที่ผลิตน้ำนมเพื่อเลี้ยงทารกด้วย
การเปลี่ยนแปลงทางเต้านม
เมื่อเติบโตเข้าระยะวัยรุ่น เต้านมจะเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ภายใต้การควบคุมของฮอร์โมน 2 ชนิด คือ ฮอร์โมนเอสโตเจนจากรังไข่กระตุ้นให้เกิดการขยายตัวของหัวนม, รวมทั้งท่อน้ำมันต่างๆ
พร้อมกับกระตุ้นให้มีไขมันแทรกระหว่างท่อน้ำนม ฮอร์โมนอีกชนิดคือ โปรเจสเตอโรน
ซึ่งร่างกายจะผลิตออกมาทุกเดือนตามรอบเดือน
คอยกระตุ้นปลายท่อน้ำนมให้ขยายเป็นที่อยู่ของต่อมน้ำนม ทำหน้าที่ผลิตน้ำนม
ดังนั้นเวลาประจำเดือนใกล้จะมาผู้หญิงจะรู้สึกเต้านมโตขึ้น
และตึงคัด ซึ่งเป็นปฏิกริยาตามธรรมชาติที่ร่างกายตอบสนองฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ที่หลั่งออกมาในช่วงเวลาดังกล่าว
เต้านมที่เติบโตเต็มที่จะมีรูปร่างเกือบจะเป็นครึ่งทรงกลม
มีส่วนปลายยื่นเข้าไปบริเวณรักแร้ หัวนมจะเชิดขึ้นเล็กน้อย เป็นที่เปิดของท่อน้ำนม, หัวนมจะล้อมรอบด้วยเนื้อเยื่อสีชมพู เรียกฐานหัวนม (AREOLA)
เต้านมแต่ละข้างมีเส้นประสาทและเนื้อเยื่อพังผืดประกอบจนเป็นรูปร่างที่มีความเต่งตึงในยามสัมผัส
หัวนมจะมีเส้นประสาทมาหล่อเลี้ยงเพื่อประโยชน์ในการเลี้ยงลูกด้วยนม
เต้านมของผู้ชายจะไม่เจริญเท่าผู้หญิง นอกจากในช่วงแตกเนื้อหนุ่ม
อาจโตขึ้นเล็กน้อยเป็นการชั่วคราวที่เรียกว่า "นมแตกพาน"
การตรวจเต้านมด้วยตนเอง
สำคัญมากสำหรับผู้หญิงที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป
ควรสร้างอุปนิสัยในการตรวจเต้านมของตนเองอย่างสม่ำเสมอและหมั่นคลำหาก้อนที่ผิดปกติในเต้านม
การตรวจเต้านมด้วยตนเองโดยการคลำอย่างเป็นระบบ
ใช้มือขวาในการคลำเต้านมข้างซ้าย และสลับกันคือ ใช้มือซ้ายคลำเต้านมด้านขวา
คลำเต้านมโดยใช้ฝ่านิ้วมือเพียง 2-3 นิ้ว สัมผัสด้วยการหมุนไปรอบๆ
ตามเข็มนาฬิกากดเบาๆเพื่อให้ผิวหนังอยู่กับที่ เริ่มจากขอบนอกบนสุดหมุนเป็นวงกลมช้าๆตามเข็มนาฬิกาจนกลับมาถึงจุดเริ่มต้น
ขยับนิ้วมือเข้าไปหาหัวนมราว 1 นิ้ว แล้วหมุนรอบซ้ำแบบเดิมอีกจนเข้ามาในสุดถึงหัวนม
พยายามใช้ความรู้สึกสัมผัสของเต้านมปกติว่าเป็นอย่างไร เพื่อจะได้จำได้ว่าเวลาเกิดความผิดปกติแล้วมันจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร
? ท่านที่มีรูปร่างผอมบางอาจมีปัญหาว่ากระดูกหน้าอกอาจปรากฏชัดเจน
จนคลำดูเหมือนก้อน
โปรดระลึกไว้เสมอว่า
แม้ว่าท่านจะตรวจพบก้อนที่เต้านมด้วยตนเองก็ตามแต่แพทย์เท่านั้นที่จะเป็นผู้ยืนยันว่าก้อนที่ท่านคลำได้นั้น
เป็นก้อนที่ผิดปกติหรือไม่ ? และเป็นชนิดไม่ร้ายแรงหรือเป็นมะเร็ง
ข้อสำคัญของเพียงแต่ให้ขยันหมั่นตรวจเต้านมด้วยตนเองบ่อยๆเป็นประจำ
ก้อนที่เต้านม
ก้อนที่เต้านมหรือเนื้องอกที่เต้านม มักเกิดหลังอายุ 30 ปี
แล้วเกิดจากการที่เซลล์มีการแบ่งตัวผิดปกติ
โดยเนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรงจะมีการแบ่งตัวแล้วไม่ลุกลามนอกเปลือกหุ้ม
ในขณะที่เซลล์มะเร็งจะมีการกระจายไปทั่ว
ก้อนของเต้านมส่วนใหญ่เป็นชนิดไม่ร้ายแรง ประมาณร้อยละ80
เรานิยมรักษาโดยผ่าตัดเอาออกเพื่อไม่ให้รบกวนการทำงานปกติของเต้านม
ก้อนเต้านมชนิดไม่ร้ายแรงนี้จะไม่ลุกลามไปยังเนื้อเยื่อส่วนดีอื่นๆของเต้านมและไม่เป็นอันตรายต่อชีวิต
มะเร็งเต้านม
เนื้องอกชนิดร้ายแรงของเต้านม เราเรียกว่า "มะเร็งเต้านม"
อาการสำคัญสำหรับมะเร็งเต้านมก็คือ การคลำได้ก้อนภายในเต้านม โดยไม่มีอาการเจ็บปวด, เวลามีประจำเดือนมา ก้อนนี้จะไม่เปลี่ยนขนาด
หรือความนุ่มแข็ง, อาการอื่นๆที่เกิดได้ก็คือ
การมีของเหลวไหลออกมาจากหัวนมหรือผิวหนังเหนือเต้านมขรุขระไปเหมือนผิวส้ม
เราแบ่งมะเร็งเต้านมอย่างง่ายๆเป็น 3 ระยะด้วยกัน
1.
มะเร็งเต้านมระยะเริ่มต้น
หมายถึงมะเร็งที่มีก้อนขนาดเล็กไม่เกิน 1 นิ้ว การแพทย์สมัยใหม่สามารถตรวจพบมะเร็งที่มีก้อนขนาดเล็กกว่านี้มาก
เช่น ตรวจด้วย mammogram, ก้อนขนาดนี้จริงๆแล้วอาจมีการเจริญเติบโตมานานแล้ว
ซึ่งถ้าหากหมั่นตรวจเต้านมด้วยตนเองอยู่เสมอจะสามารถคลำได้ก่อนที่จะโตเท่านี้
โอกาสที่จะอยู่รอด 5 ปี หลังการรักษามีสูงถึง 85%
2. มะเร็งเต้านมระยะเป็นมาก
คือมะเร็งที่กระจายจากเต้านมสู่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณต่าง เช่น ที่รักแร้, คอ, ทรวงอก
โอกาสที่จะอยู่รอดเกิน 5 ปีหลังการรักษาจะลดลงเหลือเพียง 40%
หรือต่ำกว่านี้
3.
มะเร็งเต้านมชนิดแพร่กระจาย
คือมะเร็งที่ลุกลามไปถึงต่อมน้ำเหลืองแล้วกระจายไปตามท่อน้ำเหลือง
และกระแสโลหิตสู่ส่วนต่างๆของร่างกาย เช่น กระดูก,ตับ,ปอด และสมอง โอกาสที่จะอยู่รอดเกิน 5 ปี
แม้จะให้การรักษาด้วย
แทบจะไม่มีเลย
การรักษาโรคมะเร็งเต้านมอย่างจริงจัง ได้เริ่มขึ้นเมื่อต้นคริสศตวรรษที่
19 โดยการผ่าตัดเต้านม, ต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้
และกล้ามเนื้อหน้าอกออกจนหมดได้ผลดี
แต่หน้าอกด้านที่ถูกผ่าตัดจะแบนราบเห็นรอยกระดูกซี่โครงชัดเจน
ต่อมาความรู้ความเข้าใจเรื่องโรคมะเร็งเต้านมของสตรีดีขึ้น
ผู้ป่วยจะมาพบแพทย์เร็วขึ้น
จึงได้มีวิวัฒนาการผ่าตัดเอาเฉพาะเต้านมและต่อมน้ำเหลืองออก แต่เหลือกล้ามเนื้อบริเวณหน้าอกเอาไว้
ผลการผ่าตัดจะไม่เห็นรอยซี่โครงและโอกาสจะมาเสริมแต่งหน้าอกและใส่เต้านมเทียมมากขึ้น วิวัฒนาการการรักษาโรคมะเร็งเต้านมไม่เพียงแต่ทางศัลยกรรมเท่านั้น
ยังมีการใช้เคมีบำบัด และรังสีบำบัดมาร่วมในการรักษาทั้งก่อนและหลังการผ่าตัด
ทำให้เปอร์เซ็นต์การอยู่รอดของผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งเต้านมดีขึ้น
ในระยะ 10 ปีที่ผ่านมา
มีการนำเอาวิธีการรักษามะเร็งเต้านม โดยไม่ตัดเอาเต้านมออกหมดมาใช้ร่วมกับการฉายรังสีและเคมีบำบัด
ใช้เฉพาะมะเร็งเต้านมระยะแรกเริ่มได้ผล
และปลอดภัยใกล้เคียงกับการรักษาโดยการตัดออกทั้งหมด
ทั้งหมดที่ได้กล่าวจะเห็นได้ว่า
การรักษามะเร็งเต้านมในปัจจุบันและอนาคตมีการหันเหไปใช้วิธีการเก็บเต้านมไว้มากขึ้น
สิ่งเหล่านี้กระทำได้เนื่องจากประชาชนมีความรู้ ความเข้าใจ
ในเรื่องโรคมะเร็งเต้านมดีขึ้น
มีการตื่นตัวที่จะตรวจตัวเองและให้แพทย์ตรวจ
เพื่อค้นหามะเร็งเต้านมตั้งแต่ระยะเริ่มแรก
นับเป็นโอกาสทองของชีวิตที่จะรักษาตัวเองให้หายจากมะเร็งเต้านม
และไม่ต้องสูญเสียเต้านมอีกด้วย
(จากหนังสือ สาระน่ารู้ทางศัลยกรรม 50ปี รพ.ภูมิพลดุลยเดช พ.ศ.2542)