นก พ่อ และชีวิตที่มากับสายฝน
เรื่อง-ถ่ายภาพ พอพล นนทภา
เขียน สิงหาคม 2545

1.

         ในวันหนึ่งตอนต้นฤดูฝนขณะที่เมฆฝนก่อตัวขึ้นในยามค่ำ ลูกชายวัยแปดขวบวิ่งหน้า
ตื่นมาบอกขณะผมกำลังนอนอ่านหนังสือเพลินอยู่ชั้นล่าง
         "พ่อครับมีนกทำรังอยู่ที่ต้นมะม่วงตรงริมระเบียงครับ"
         "รูปร่างนกเป็นยังไงล่ะลูก" ผมถาม
         "ตัวใหญ่ๆสีเทาครับ" แกตอบฉะฉาน
          หลังจากลูกชายบอกผมก็เดาได้ทันทีว่าคงไม่พ้นเป็นนกเขาหลวงหรืออีกชื่อว่านก
เขาใหญ่ ( Spotted Dove ) ที่มักพบในซอยเป็นแน่ แต่ผมก็รีบขึ้นชั้นสองตามลูกชายไปดู
และผมก็พบว่าตรงง่ามกิ่งของต้นมะม่วงซึ่งอยู่ห่างจากระเบียงออกไปเพียงสองเมตรมีนก
เขาใหญ่ตัวหนึ่งนอนกกไข่อยู่บนรัง
          น่าแปลกที่ตอนสร้างรังผมไม่สังเกตเห็น  คงเป็นเพราะตลอดสัปดาห์ผมต้องออก
ไปทำงานแต่เช้าทุกวันกลับมาอีกทีก็ตอนเย็นเลยพลาดโอกาสเห็นนกทำรังในตอนกลางวัน
แต่ก็นั่นแหละถึงเห็นผมก็คงดูอยู่ห่างๆเพราะไม่เช่นนั้นนกอาจหนีไปทำรังที่อื่นซึ่งอาจไม่
ปลอดภัยเท่าตรงระเบียงซึ่งมันสำรวจอย่างดีแล้วว่าปลอดภัยกว่าจุดอื่นๆ มันจึงเลือกตรงนี้
เป็นจุดแรกแม้ว่าจะอยู่ใก้ลบ้านคนก็ตาม
           ผมยืนดูอยู่กับลูกครู่เดียวก็หลบเข้าตัวบ้านปิดประตูเพราะไม่อยากให้นกตื่นกลัว
และขณะนั้นก็ค่ำแล้วอีกทั้งเมฆฝนที่ก่อตัวขึ้นทางทิศตะวันตกก็กำลังถูกลมพัดนำความมืด
มาแผ่คลุมจนครึ้มลงอย่างรวดเร็ว อีกไม่ช้าฝนก็จะตกลงมา สิ่งที่ผมวิตกก็คือนกจะอยู่กัน
อย่างไรในสภาพเช่นนี้  
        
           ไม่นานฝนก็เทลงมาดังคาด คราวนี้ผมย่องขึ้นชั้นบนไปพร้อมกับกล้องและแฟลช
ส่วนลูกชายย่องตามผมมาติดๆพร้อมกับไฟฉายในมือที่ผมให้แกถือไว้ส่วนแม่ของแกยังคง
ง่วนอยู่กับผัดกระเพราปลาหมึกที่กำลังส่งกลิ่นหอมไปทั้งบ้าน
           ผมและลูกมาหยุดอยู่ตรงระเบียง มองไปยังต้นมะม่วงที่ขณะนี้มืดทึบ  ผมคว้า
ไฟฉายจากมือลูกส่องเข้าไปในพุ่ม  แสงไฟถูกส่องไปยังรังมองเห็นนกยังคงกกไข่อยู่อย่าง
ไม่หวั่นไหวกับสภาพฝนที่กำลังตกหนัก ผมเห็นเม็ดฝนเกาะพราวอยู่ตามลำตัว  ฝนตกหนัก
อย่างนี้มันยังไม่หนีไปไหน ขอเพียงไออุ่นจากร่างกายของมันยังคงถ่ายเทให้กับลูกของมัน
ในไข่ให้อบอุ่นปลอดภัยอยู่ตลอดเวลา
          ผมเรียกให้ลูกดู แกอุทานขึ้น "พ่อครับ มันไม่หนาวเหรอ" แล้วผมก็บอกให้ลูกชาย
ถือไฟฉายแทนเพื่อผมจะได้โฟกัสแล้วกดชัตเตอร์บันทึกภาพอันน่าประทับใจนี้เก็บเอาไว้
ถ่ายไปได้ไม่กี่ภาพลมที่กรรโชกแรงก็สาดนำละอองฝนสาดเข้ามามากขึ้นๆ จนรู้สึกเปียก
ไปทั้งแขนขา  และที่ตัวกล้องก็ถูกจับไปด้วยละอองน้ำ เราจึงพากันหลบเข้าบ้านไปก่อน
          นกยังคงผจญอยู่กับลมฝนไปตามลำพังไม่ว่าลมฝนจะแรงเพียงใด สิ่งเดียงที่มัน
ตระหนักคือต้องปกป้องลูกของมันเอาไว้ให้ถึงที่สุด  นี่คือธรรมชาติและสัญชาติญาณของสิ่ง
มีชีวิตกระมัง
          ผมยังคงยืนอยู่ชั้นสองปิดไพห้องเพื่อไม่ให้นกรู้สึกรบกวน เรายืนมองผ่านกระจก
หน้าต่างออกมาภายนอก แสงไฟจากหลอดโคมของเสาไฟริมถนนยังส่องแสงจ้าทำให้เห็น
เม็ดฝนที่ยังตกลงมาไม่ขาดสาย แล้วภาพหนึ่งเมื่อครั้งในวัยเยาว์ก็ปรากฏขึ้นในความคิด
บนถนนซีเมนต์เมื่อครั้งยังเป็นถนนดินปนหินบ้านของเรายังเป็นบ้านไม้ชั้นเดียวมุงสังกะสี
..ครั้งนั้นพ่อเคยแบกผมออกจากบ้านฝ่าความมืดออกไปในวันฝนพรำ




ไม่เคยหวาดหวั่นแม้ฝนจะตกลงมาเท่าใดก็ตาม

2.

             ตอนนั้นผมยังเด็กมากคงราวๆลูกผมในตอนนี้ ค่ำคืนนั้นฝนพรำหลังจากพายุฝน
ได้ผ่านไป พ่อแบกผมไว้บนหลัง มือหนึ่งถือร่มมือหนึ่งอ้อมมาพยุงก้นผมไว้ ส่วนพ่อใช้ผ้า
ขะม้าโพกหัวกันฝนที่ยังพรำอยู่ จำได้ว่าผมนอนทาบอยู่บนหลังพ่ออย่างคนสิ้นแรง แนบตัว
อยู่อย่างอ่อนระโหยมือสองข้างอ้อมมากอดคอพ่อไว้อย่างหลวมๆเท่าที่เรี่ยวแรงยังพอมี
พ่อกำลังพาผมไปหาหมอ
             
           "เขาว่าบ้านนั้นเป็นหมอ เดี๋ยวพ่อจะพาลูกไปเอง"พ่อบอกกับแม่ก่อนจะแบกผม
ออกมาพร้อมร่มเก่าๆคันหนึ่งพ่อไม่มีแม้กระทั่งไฟฉาย สองข้างทางในเวลานั้นมีบ้านปลูก
อยู่ห่างๆพื้นที่ส่วนใหญ่ยังคงสภาพพื้นนาเก่าที่กำลังเปลี่ยนสภาพเป็นชุมชนชานเมือง มอง
ผ่าความมืดของทุ่งหญ้าไกลออกไปตรงปากซอยคือไฟจากถนนลาดพร้าวที่มีสภาพเป็น
ถนนลาดยางสองเลน ค่ำมืดเช่นนี้นานๆจะเห็นรถวิ่งมาสักคัน
            เป้าหมายของพ่ออยู่ที่บ้านหลังหนึ่งราวกลางซอยห่างจากบ้านเราไปสักสามร้อย
เมตร เป็นบ้านที่เพิ่งสร้างเสร็จและมีคนเข้ามาอาศัยเพียงไม่กี่เดือน เพื่อนบ้านในละแวก
บอกกันปากต่อปากว่าเจ้าของบ้านเป็นหมอ ข้อมูลเพียงเท่านี้ก็มากพอที่จะทำให้พ่อยังพอ
มีความหวัง
            พ่อเดินออกมาโดยปล่อยให้แม่อยู่เป็นเพื่อนพี่น้องของผมอีกสองคน เวลานั้นแม้
จะราวสองทุ่มแต่ก็ดูมืดไปทั่วบริเวณ  บ้านที่มีอยู่โหรงเหรงบางหลังก็ปิดไฟนอนแล้วบ้าน
ไหนฐานะดีหน่อยอาจกำลังสนุกอยู่กับการชมทีวีช่องสี่บางขุนพรหม ที่พ่อยังคงมีความหวัง
เพราะบ้านหลังนั้นยังเปิดไฟอยู่
              พ่อคลำทางไปตามถนนที่เจิ่งไปด้วยน้ำ ไม่นานพ่อก็มายืนอยู่หน้าบ้านของหมอ
ที่ประตูบ้านเป็นเหล็กทึบสีเทา รั้วเป็นคอนกรีตสูงเพียงหัว พ่อชะเง้อมองเข้าไปในบ้าน
ผมมองเห็นหลอดไฟบนชั้นสองสว่างพร่าตรงนั้นคงเป็นห้องนอนของหมอ พ่อลังเลเล็กน้อย
ตามนิสัยขี้เกรงใจแต่แล้วพ่อก็ตะโกนเรียกออกไป
              "หมอครับหมอ"พ่อตะโกนเรียกอยู่สองสามครั้ง ผมเห็นมีเงาเคลื่อนไหวที่ตรง
หน้าต่างจากนั้นไฟชั้นล่างของบ้านก็สว่างขึ้น ครู่เดียวประตูรั้วก็ถูกเปิดออกแสงไฟจากเสา
รั้วทำให้ผมมองเห็นแววตาอารีผ่านแว่นหนาของชายอายุราวสี่สิบปีคนนั้น ผมได้ยินพ่อพูดขึ้น
               "ใช่บ้านหมอหรือเปล่าครับ" พ่อถามขึ้นอย่างเกรงใจ
               "ใช่ครับผมนี่แหละหมอ" แต่ยังไม่ทันที่พ่อจะพูดอะไรต่อหมอก็พูดขัดขึ้น
               "อ้าว นั่นลูกชายเป็นอะไรไปครับ เข้ามาก่อน เข้ามาก่อน เดี๋ยวหมอดูให้"
             หมอพูดขึ้นอย่างตกใจเมื่อมองเห็นหน้าซีดเซียวของผม พ่อแบกผมตามหมอ
เข้าไปในบ้าน ผมเห็นภรรยาหมอเดินลงบันไดเข้ามาช่วยพยุงผมให้นอนลง พ่อรับหมอน
จากหมอมาหนุนหัวให้  หมอถามอาการจากพ่อแล้วเอาปรอทสอดวัดใต้ลิ้นให้ผมอมไว้แล้ว
ใช้หูฟังตรวจคนไข้วางไปที่อกและท้อง ส่วนผมยังนอนนิ่งรู้สึกหนาวไปถึงกระดูกไม่รู้ว่าเรี่ยว
แรงมันหายไปไหนหมดมีเพียงตาที่ยังมองเห็นและหูที่ยังได้ยินเรื่องราวต่างๆ  พ่ออธิบาย
ให้หมอฟังถึงอาการของผมที่มาหนักจนน่ากลัวในช่วงตอนเย็นก่อนพายุฝนจะมา จากสอง
วันก่อนที่เพียงแค่ท้องเสีย มาเมื่อวานผมเริ่มมีไข้และมาวันนี้ผมกินอะไรเข้าไปเป็นต้อง
อาเจียนออกมา และในช่วงเย็นไข้ผมขึ้นสูงและไข้ไม่ยอมลง อาการของผมหนักเกินกว่าที่
ยาตำราหลวงที่พ่อซื้อไว้ติดบ้านจะเยียวยาไหว หลังพายุฝนผ่านไปพอจึงแบกผมฝ่าความ
มืดออกมาที่นี่
            หมอตรวจผมอย่างละเอียดแล้วฉีดยาให้หนึ่งเข็มจากนั้นให้ยาพ่อมาทั้งชนิดน้ำ
และเม็ดมาหลายอย่าง ผมเห็นพ่อพยายามกำเงินเท่าที่มียัดเยียดให้หมอเท่าใดหมอก็ไม่
ยอมรับท่าเดียวจนพ่อรู้สึกเกรงใจ จากนั้นหมอและภรรยาเดินมาส่งเราที่ประตูรั้วพร้อมพูด
กำชับมาอีกว่าถ้ามีเรื่องฉุกเฉินก็ไม่ต้องเกรงใจมาหาได้ทุกเวลา พ่อไห้วและขอบคุณหมอ
เป็นการใหญ่ จากนั้นพ่อก็เดินออกมา
           พ่อเดินเข้าสู่ซอยมืดแล้วถามผมที่แบกอยู่บนหลังด้วยเสียงสั่นเครือ
           "เป็นยังไงบ้างลูกอาการดีขึ้นหรือเปล่า กินยาหมดนี่ก็จะหายแล้วล่ะลูก"
           และพ่อก็ไม่พูดใดๆออกมาอีก ได้ยินก็แต่เพียงเสียงกบและอึ่งอ่างที่พากันร้อง
ระงมหลังฝน พร้อมกับเสียงก้าวย่างไปบนน้ำที่กำลังมุ่งสู่บ้านหลังเล็กของเราที่มองเห็น
ไฟหลอดกลมสีเหลืองที่ยังสว่างเป็นจุดเล็กๆ อยู่ท่ามกลางความมืดของท้องทุ่ง


สองนกเด็กขณะกำลังนอนรออาหารจากพ่อและแม่ของมันอยู่ในรัง

3.

             วันหยุดในสัปดาห์ถัดมาผมมีโอกาสมาดูครอบครัวบนกิ่งมะม่วงอย่างจริงๆจังๆ
อีกครั้ง  ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีฝนตกหลายวันแต่ผมก็พบว่าครอบครัวนี้ยังปลอดภัยแถม
ยังฟักลูกจากไข่ออกมาเป็นนกเด็กที่มีขนหรอมแหร็มเป็นที่น่าชัง ตอนนี้พ่อแม่ของมัน
ผลัดกันออกไปหาแมลงมาป้อนลูกที่กำลังโตวันโตคืน
          ผมเกิดคำถามในใจเมื่อลูกโตขนาดนี้แล้วหากฝนตกลงมาพ่อแม่นกจะทำอย่างไร
เพราะขนอ่อนของลูกมันยังไม่สามารถป้องกันน้ำและความหนาวได้เช่นนกที่โตแล้วซึ่งขน
จะมีต่อมน้ำมันหล่อเลี้ยงขนนกเอาไว้จึงไม่เปียกเมื่อถูกฝน
           ค่ำวันถัดมาขณะฝนตกผมจึงคว้าไฟฉายไปส่องดู แล้วผมก็รู้ว่าแม้ลูกจะโตขึ้น
มามากจนดูท่าว่าพ่อหรือแม่ของมันจะกางปีกป้องได้ลำบากแต่มันก็ยังสามารถนั่งค่อม
และซุกลูกของมันไว้ใต้อุ้งปีกที่จะให้ทั้งความอบอุ่นและปลอดภัยจากการเปียกฝน

          ไม่กี่วันต่อมาลูกนกก็โตขึ้นจนล้นรังขนนกเริ่มผลัดเข้าสู่นกที่เริ่มโตเต็มวัยแบบ
พ่อแม่ของมัน รังเล็กๆจึงถูกเบียดเสียดด้วยลูกของมันจนล้น ดูแล้วอบอุ่นแม้จะแน่นขนัด
ต่อมารังก็ไม่สามารถใช้ประโยชน์สำหรับครอบครัวที่มีลูกโตขึ้นมามาก อีกไม่นานคงถึง
เวลาที่ครอบครัวน้อยๆ จะทิ้งรังบนต้นมะม่วงแห่งนี้ไป
            ตอนนี้เวลาที่ลูกนกรออาหารก็จะมาเกาะที่กิ่งแทนพร้อมกับหัดกระพือปีก
และกระโดดไปมาระหว่างกิ่งเป็นการเรียนรู้การฝึกบิน บ่งบอกว่าใก้ลเวลาแล้วที่มันจะ
ออกไปเผชิญโลกกว้างเรียนรู้ชีวิตจริง ส่วนลูกชายผมก็รู้สึกยินดีกับการเติบโตของลูกนก
ทั้งสอง แกตั้งชื่อมันแก๋ไก๋ว่า" ฝันดี-ฝันเด่น "
            ผมเชื่อว่าอีกเพียงวันหรือสองวันเท่านั้นที่เจ้าฝันดี-ฝันเด่นและพ่อแม่ของมัน
ก็จะทิ้งต้นมะม่วงนี้ไป หรือบางทีอาจเป็นวันพรุ่งนี้ด้วยซ้ำเพราะดูทั้งคู่แข็งแรงและต่าง
พากันฝึกกระพือปีกโผไปมาจนชำนาญแล้ว

            แต่ก่อนที่มันจะได้ออกไปเผชิญโลกจริงๆค่ำวันนั้นฝนก็ตกลงมา ผมไม่รอช้า
ที่จะขึ้นไปดูมันอีก ครั้งนี้ทีแรกผมตั้งใจจะเรียกลูกชายที่กำลังนั่งดูรายการทีวีอยู่ขึ้นไปกับ
ผมด้วย แต่ผมก็เปลี่ยนใจเพราะเห็นแกนั่งซึมหลังจากที่ไปขี่จักรยานเล่นกับเพื่อนตั้งแต่
ตอนช่วงบ่ายจนถึงเย็น แกอาจยังคงเหนื่อยอยู่
            แต่ลูกก็ผลุนผลันผละออกจากโทรทัศน์ตามผมขึ้นบันไดไปโดยมิได้บอกกล่าว
เมื่อแกเห็นผมสะพายกล้องและถือไฟฉายเดินขึ้นชั้นบน"พ่อครับผมไปด้วย" แกพูดด้วย
น้ำเสียงเนือยๆไม่ค่อยแจ่มใสอย่างที่เคยเป็น แกตามผมขึ้นชั้นสองแล้วขอไฟฉายจากผม
ไปถืออย่างรู้หน้าที่

ตอนนี้เจ้า "ฝันดี-ฝันเด่น" เริ่มโตจนผลัดขนอ่อนไปจนเกือบหมด มันเริ่มฝึกกระพือปีก
แต่ก็ยังชอบซบไออุ่นอยู่กับพ่อหรือแม่ของมัน

            เรายืนมองดูฝนผ่านกระจกหน้าต่าง ลมยังแรง ฟ้ายังแลบและร้องจากระยะไกล
มาเป็นระยะ ผมตัดสินใจเปิดประตูระเบียงออกไปลมที่กรรโชกเข้ามาพัดเอาละอองฝน
เข้ามาปะทะจนรู้สึกเย็นวาบ ตามพื้นก็ชุ่มไปด้วยละอองฝน เลือกได้มุมเหมาะลูกชายก็
สาดแสงไฟฉายไปยังต้นมะม่วง แต่ยังไม่ทันพบนกฟ้าก็ผ่าลงมาเปรี้ยงใหญ่จากที่ไหน
สักแห่งไม่ห่างจากบ้านเรานัก แล้วเสียงคำรามลั่นของฟ้าก็ตามมาติดๆ
          ถึงตรงนี้แสงไฟฉายได้หายไปพร้อมกับสายฝนเสียแล้ว ไฟฉายได้หลุดออกจาก
มือลูกตกลงไปกลิ้งอยู่กับพื้น ลูกตกใจเสียงฟ้าร้องเข้ามากอดผมไว้ แกกลัวเสียงฟ้าร้อง
มาแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่แรกเกิดเมื่อฟ้าร้องดังแกจะร้องไห้จ้าแม้ความกลัวจะลดน้อยลง
ตามวันเวลาแต่ครั้งนี้มันใก้ลมากจนผมเองยังหวั่นไหว
         ในอ้อมกอดลูกนั้นเองที่ผมสัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง หน้าผากและตัวลูก
รุมร้อนเหมือนคนเป็นไข้ ผมใช้ตัวบังแกจากละอองฝนแล้วพาเข้ามาในบ้าน เปิดไฟแล้วให้
แกนั่งลงบนเก้าอี้ ผมแตะที่หน้าผากลูก ร้อนจนน่าตกใจ แกบ่นหนาวผมรีบเดินไปที่ระเบียง
เพื่อปิดประตูและเก็บไฟฉายที่แสงยังสาดเป็นลำทอดยาวอยู่บนพื้น
           ผมหยิบไฟฉายขึ้นแล้วปิดมัน ชั่วขณะนั้นผมเหม่อมองไปยังโคมไฟจากเสาไฟฟ้า
ริมถนน มองเห็นเม็ดฝนที่ยังสาดลงมาไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ บนถนนมองเห็นน้ำที่เริ่ม
เจิ่งนองเพราะระบายลงท่อไม่ทัน แล้วภาพหนึ่งในวันเก่าก็ย้อนเข้ามาในความคิดของผม
            บนถนนเส้นนี้ในวันที่มืดและมีฝนพรำพ่อแบกผมไว้บนหลังแล้วเดินฝ่าความมืด
ย่ำน้ำออกไปเพียงลำพัง เหตุการณ์นี้มันผ่านมานานมากแล้ว นานจนผมน่าจะลืม
แต่ภาพนั้น
กลับยังแจ่มชัดและไม่เคยเลือนไปจากความทรงจำของผมเลย

Hosted by www.Geocities.ws

1