Home หนังสือ สัมภาษณลิงค Webboard Download  
สัมภาษณ์

บำบัดด้วยดุลยภาพบำบัด

รศ.พ.ญ.ลดาวัลย์ สุวรรณกิตติ

(คัดจาก นิตยสารดิฉัน ปีที่ 21 ฉบับที่ 504 28 กุมภาพันธ์ 2541)

                    สรรพสิ่งในโลกจะดำรงอยู่ได้ต้องมีสมดุล ร่างกายของมนุษย์ก็เช่นกัน หากร่างกายเสียสมดุลแล้ว โรคภัยไข้เจ็บก็พากันมาเยือน การรักษาโรคภัยไข้เจ็บอาจทำได้ด้วยการรักษาแผนโบราณ  และการแพทย์แผนปัจจุบัน แต่ปัจจุบันมีการคิดค้นวิธีการรักษาโรคแบบใหม่ เรียกว่าดุลยภาพบำบัดเป็นการนำเอาการแพทย์แผนโบราณมาเสริมเข้ากับการแพทย์แผนปัจจุบัน เพื่อให้การรักษาโรคเป็นไปอย่างได้ผลยิ่งขึ้น

                    ผู้คิดค้นวิธีการรักษาด้วยดุลยภาพบำบัดคือ รศ.พ.ญ.ลดาวัลย์ สุวรรณกิตติ อดีตวิสัญญีแพทย์จากโรงพยาบาลศิริราช ซึ่งให้คำจำกัดความของดุลยภาพบำบัดเอาไว้ว่า

                    “ดุลยภาพบำบัดคือการรักษาโรค โดยยึดหลักสมดุลตามแนวทางธรรมชาติของมนุษย์ โดยคำนึงถึงโครงสร้าง หน้าที่ของอวัยวะทุกระบบ สภาพจิตใจ อาชีพ อิริยาบถประจำวัน อาหารตลอดจนสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ...ฉะนั้นการบำบัดรักษาจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องพิจารณาทุกอย่างที่กล่าวมาร่วมกัน เรียกว่า Holistic approach (การพิจารณาแบบองค์รวม)”

                     คุณหมอได้นำเอาการนวดแบบไทยและการฝังเข็มแบบจีนโบราณ มาใช้ร่วมกับการแพทย์สมัยใหม่ โดยการรักษาของคุณหมอนั้น ไม่ได้รักษาเฉพาะอาการเจ็บป่วยจุดใดจุดหนึ่งไม่ได้รักษาเฉพาะอาการเจ็บป่วยจุดใดจุดหนึ่งเหมือนการแพทย์แผนปัจจุบัน ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงตามมา แต่เป็นการปรับโครงสร้างของร่างกายทั้งระบบเพราะคุณหมอเชื่อว่าเมื่อร่างกายทั้งระบบเพราะคุณหมอเชื่อว่าเมื่อร่างกายส่งสัญญาณว่าเกิดการผิดปกติขึ้นที่ใดที่หนึ่ง ย่อมส่งผลถึงโครงสร้างร่างกายทั้งระบบด้วย

                    เช่น การนั่งทำงานด้วยท่านั่งที่ไม่ ถูกต้องติดต่อกันเป็นเวลานานทำให้เกิดโรคปวดหลัง ถ้าไม่แก้ไขก็อาจทำให้เป็นโรคอื่นตามมา เช่น ปวดศรีษะ ปวดประจำเดือน ฯลฯ ถ้ารักษาอาการปวดด้วยการกินยาแก้ปวดอย่างต่อเนื่อง ก็อาจส่งผลกระทบต่อระบบ ตับไต และกระเพาะ ดังนั้นการรักษาแบบดุลยภาพบำบัด คือการพิจารณาและแก้ปัญหาที่เหตุ ไม่ใช่คอยแก้ปัญหาที่ผลที่เกิดตามมา
น่าเสียดายที่ความคิดของคุณหมอไม่ได้รับการสนับสนุนให้มีการศึกษา วิจัยเพิ่มเติมเพื่อนำมาใช้เสริมในการรักษาคนไข้ ควบคู่ไปกับการแพทย์แผนปัจจุบันทำให้คุณหมดตัดสินใจลาออกจากราชการมาเปิดคลินิก รักษาคนไข้ตามแนวทางของตนเองที่โรงพยาบาลบ้านสวน และมีคนไข้ที่หมดหนทางรักษาจากที่อื่น หันมาเลือก รักษาด้วยวิธีดุลยภาพบำบัดเป็นจำนวนมาก รวมทั้งคนไข้ชาวต่างประเทศที่เดินทางมาให้คุณหมอ รักษาถึงเมืองไทยด้วย

                        การที่คุณหมอได้รับความเชื่อมั่น ทั้งที่เป็นการรักษาแบบใหม่นี้ อาจเป็นเพราะว่าคุณหมอมีปริญญาแพทยศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแพทย์ในเยอรมณี ที่คุณหมอใช้เวลาเรียน เกือบ 10 ปี เป็นเสมือนใบรับประกันความสามารถ

                           คุณหมอเท้าความให้ฟังว่า

                         “หมอเรียนแพทย์แผนปัจจุบันมาก่อน จบโรงเรียนเตรียมฯจากเมืองไทย แล้วไปอยู่เยอรมัน เพราะต้องการศึกษาแพทย์ตะวันตก คุณแม่ก็คิดว่าถ้าอย่างนั้นก็ไปเรียนเยอรมันก็แล้วกัน”

                        คุณหมอเลือกเรียนหมอตามใจคุณแม่มากกว่าตามใจตัวเอง

                        “คุณแม่เป็นคนที่วางแปลนให้ลูกแต่ลูกเองไม่ได้นึกถึงอะไรมากมาย ก็ไปตามฟอร์ม เพื่อนฝูงเรียนกันยังไงก็เฮกัน

                        ...ทีนี้เมื่อก่อนคุณแม่เคยไปป่วยที่ศิริราช ก็ไปเห็นความทุกข์ คือคนป่วยนอนกันที่พื้นเต็มไปหมด นั่นคือเมื่อสมัย 60 กว่าปีก่อน เขานอนแบกันที่พื้น หรือนอนเตียงซ้อน ๆ กัน คุณแม่ก็บอกว่าถ้าเรียนหมอได้ ก็อยากให้ลูกสักคนหนึ่งเรียน

                        ...คุณแม่ก็บอกว่ามี 2 ทาง คือมีบัญชี เพราะเราทำการค้า คุณพ่อก็อยากให้เรียนบัญชี เพื่อจะได้มาช่วยการค้า แต่คุณแม่บอกว่าถ้าเรียนแพทย์ได้ก็เรียนไปเถอะ แล้วน้องก็ให้เรียนบัญชีไปก็แล้วกัน

                           ...อีกทางคืออยากจะไปเมืองแล้วเพื่อนฝูง ญาติๆก็ชวนไปอังกฤษ คุณแม่บอกอังกฤษไม่ให้ไป มีพี่น้องเยอะ อเมริกาก็ไม่ให้ไป เพื่อนฝูงเยอะ คุณแม่เป็นคนโบราณนิด ๆ ก็เป็นห่วง มีความรู้สึกว่าเขาอิสระมาก แต่เยอรมันคือคุม ที่สำคัญคือว่าที่นี่แหละเป็นสิ่งที่ควบคุมได้

                            ...ขนาดไปอย่างนั้นคุณแม่ยังไม่กล้าดูหนังต่างชาติเป็นเวลานานเลยนะคะ เพราะหนังต่างชาติมีจับมือกัน อะไรกัน คุณแม่ก็กลัวตลอด ไม่กล้าดู

                               ...ก็ไปอยู่สตุทการ์ท ไปทูบิงเง่น ครอบครัวที่รู้จักกับคุณแม่เป็นผู้ใหญ่ที่ทำงานเดินเรือ ก็อาสามารับที่เมืองไทย แล้วพาไปอยู่ที่แฟมิลี่ เพราะแฟมิลี่อยู่ใกล้ ๆ สตุทการ์ท แล้วพี่สาวน้องสาวก็เคยไปอยู่ที่นี่ด้วย

                                ...ทูบิงเง่นเป็นมหาวิทยาลัยแพทย์ที่เล็กมาก พอวีคเอนด์ก็นั่งรถไฟกลับไปบ้าน คุณแม่ถึงไว้ใจ แล้วมีเพื่อนสนิทกัน เรียนโรงเรียนเตรียม ฯ ด้วยกันก็ไปเยอรมันด้วยกันก็เลยมีเพื่อน

                                ...พอไปถึงที่โน่น มีผู้หญิงเรียนน้อยมาก ก็มีหมอกับเพื่อน แต่อยู่คนละเมืองกัน ไปถึงระยะหนึ่งถึงได้ทราบว่ามีผู้หญิงไทยรุ่นพี่เรียนหมออีกสองคน ซึ่งเขาไปตั้งแต่เรียนอยู่ จุฬาฯ ก็มีผู้หญิงอยู่ 4 คน น้อยมาก”

                                เมื่อไปถึงเยอรมันแล้ว คุณหมอกเรียนแพทย์เลยไม่ได้ เพราะระบบการศึกษาที่โน่นต่างไปจากบ้านเรามาก

                                “การแพทย์ที่เยอรมันสมัยนั้นต้องจบ ม.9 แต่บ้านเราจบ ม.8 บ้านเราเรียนน้อยกว่าเขา 1 ปี พอดียุคนั้นกำลังเปลี่ยนแปลงระบบการแพทย์ของเขาว่า ถ้าจะเข้าแล้วต้องไปสอบเข้า ม.9 ใหม่

                                ...ทีนี้มหาวิทยาลัยทั้งประเทศเขาเริ่มเปลี่ยนแปลง แต่ที่ทูบิงเง่นยังไม่เปลี่ยนโชคดีนะคะ เพราะบางทีเก่งก็ไม่สำคัญ เฮงก็สำคัญด้วย เพราะเพื่อนไปเรียนที่ไฮเดลแบร์ก เขาเปลี่ยนระบบแล้ว ก็จะต้องไปเรียน ม.9 ก่อน

                                ...แต่หมอไปทูบิงเง่น เขากำลังเปลี่ยนระบบ ยังไม่เต็มที่ เขาบอกว่ายูสามารถที่จะเอาผลการเรียน ม.8 มาได้ ถ้าผลการเรียนเข้าขั้นเขาจะให้ไปสอบเทียบ หมอถึงว่าเก่งกับเฮงนี่ คนเราไม่จำเป็นต้องเก่งเสมอไป

                                ...เขาเลยให้ไปสอบเทียบ พอสอบเทียบได้เขาก็คิดให้ครึ่งต่อครึ่ง เราเลยไม่ต้องไปเรียน ม.9 ซึ่งยากมากเลย

                                ...แล้วภาษาก็ยากมาก แล้วจะเรียนแพทย์ก็ต้องเรียนภาษาละติน เพราะศัพท์แพทย์เป็นภาษาละติน เขาถือตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ ก็ต้องไปเรียนภาษาละตินก่อน

                                ...อีกอย่างที่สำคัญมากก็คือระบบแพทย์ ซึ่งเราจบ ๆ ๆๆเร็ว ๆ แล้วเด็กยังไม่ mature ยังไม่รู้ว่าตัวจะรักอะไร แล้วตัวจะมีความอดทนได้ไหม ที่เยอรมันเขาจะมีระบบของเขาเลย ไม่ใช่การแพทย์อย่างเดียว จะเรียนบัญชี จะเรียนวิศวะ เขาจะต้องไปฝึกงานก่อน ต้องฝึกอย่างอดทนมากเลย 3 เดือน หมอเองเกือบจะล้มเหลวเหมือนกันถ้าไม่มีความตั้งมั่นจริง ๆ

                                ...ตอนอยู่บ้านเรา ไปไหนมาไหนขึ้นรถเมล์ยังไม่เป็น ไปไหนมาไหนคุณแม่ก็ให้คนรถไปส่ง แล้วคุณแม่ก็ไม่อนุญาตให้ไปไหนด้วย แต่เมื่อไปอยู่โน่นต้องไปฝึกงาน แต่เช้า มันหนาว แล้วมืด

                                ...ก็ไปฝึกงาน เราไม่เคยรู้เรื่องเลยว่าการแพทย์คืออะไร เพราะเราคิดอย่างเดียวว่าใส่เสื้อกาวน์ ไปรักษาคนไข้ ไปฉีด ยาคนไข้ รู้สึกว่าภูมิใจ โก้หรู

                                ...ปรากฏว่าต้องไปเป็นลูกน้องเขาก่อน แล้วไม่ใช่เป็นผู้ช่วยพยาบาล ผู้ช่วยหมอนะคะ ยิ่งเสียกว่าอีกค่ะ ทำงานเป็นคนงานคนหนึ่ง เช่นถ้าเขาบอกให้เช็ดตัวคนไข้เราก็ต้องทำ ปัสสาวะอุจจาระเทกระโถนต้องทำหมด

                                ...เขาสั่งอะไรต้องทำหมดทุกอย่างเลย เขาบอกทุกอันยูต้องรู้ เช่นตรวจคนไข้ปัสสาวะเป็นอย่างไร อุจจาระเป็นอย่างไร สีเป็นอย่างไร แข็งหรือเหลว คุณก็ต้องไปหาคนไข้ ป้อนข้าวให้คนไข้ นี่สำคัญมาก

                                ...เรื่องนี้เป็นการแพทย์ที่เยอรมัน เขาสอน ซึ่งไม่เหมือนคนอื่น และหมอว่าเป็นสิ่งที่ดีงามมากที่หมอได้มา ซึ่งตอนนั้นหมอไม่ทราบเลยว่าทำไมมีประโยชน์จนถึงบัดนี้ เพราะเราจะได้สัมผัสกับคนไข้โดยตรง รู้ความทุกข์ยากของเขา

                                   ...ที่สำคัญที่สุดคือไม่เพ้อเจ้อ ไม่งั้นเวลาไปเรียนแพทย์เราจะดูแต่หนังสือ ไม่ได้แอพโพรชคนไข้จริง ๆ เวลาไปฝึกงานเราจะผิวเผิน เราไม่เคยไปไถ่ถามความเป็นจริงเขาคืออะไร บางทีเขาอ้าปากาจะบอกหมอไม่ทันไรเลยหมอไปแล้ว แต่นี่เราจะอยู่กับคนไข้ เราจะรู้ความทุกข์เขาว่าคนไข้พูดกับหมออย่างไร นี่คือฝึกงาน 3 เดือน

                                    ...แล้วระบบเขาที่ดีอย่างคือ เขาไม่ให้ฝึกที่เดียวกันด้วย เพราะถ้าที่เดียวกันเราอาจจะไปขอเซ็นกับใครมาได้ เขาให้ 3 ที่จะไปทางเหนือทางใต้ก็ได้ หมอก็ไปฝึกงานที่นั่นแล้วไปฝึกที่ภาคกลาง และอีกที่หนึ่งเป็น 3 แห่ง หมอเกือบตาย ฝึกงานตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าถึงทุ่มครึ่ง

                                    ...แล้วเวลาทานเข้าเที่ยง กาแฟ เราก็ทานไม่เป็น ไม่เคยทาน เขาเบรคปุ๊บก็มี กาแฟ น้ำชา เขามีแซนด์วิชเขาก็เคี้ยว ๆ สองคำ แอปเปิ้ลหนึ่งลูก เขาก็สบาย เราก็ต้องคอยทานข้าว ต้องกลับไปบ้าน(หัวเราะ ) ตอนนั้นไม่คุ้น

                                    ...ไป 3 เดือนแรกไปเรียนภาษาที่แฟมิลี่เขาพาไป เขาบอกสงสัยต้องส่งกลับแล้ว เพราะทานอะไรไม่ได้เลย หน้างี้บูด (หัวเราะ) อยู่ 3 เดือนเท่านั้นเองปรับตัวเองได้มันก็สนุก มีรสมีชาติ”

                                       หลังจากฝึกงานจนแน่ใจว่าอยากเป็นหมอจริง ๆ แล้ว ขั้นต่อไปก็คือการเรียนรู้ในโรงเรียนแพทย์

                                    “หลังจากนั้นก็ไปเรียนเป็นพรีคลินิก แล้วก็คลินิก...วิธีการเรียนพรี-คลินิกของเขาก็ต่างกันอีก เขาจะสอบตั้งแต่ต้นจนจบเลย  เป็นทั้งระบบเลย แต่ที่เมืองไทยสอบปีต่อปีเทอมต่อเทอมแล้วทิ้ง ซึ่งอาจารย์จรัส สุวรรณเวลา บอกว่าแพทย์ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ มันถึงเวลาแล้ว แล้วหลักสูตรการแพทย์ก็น่าจะมีการปรับใหม่ เพราะว่าเรียน 3 ปีตอนต้น กับ 3 ปีตอนท้าย วิชาการไม่ต่อเนื่องกันเลยซึ่งมันก็จริง ...สิ่งนี้ที่หมอว่ามันดีที่หมอมีโอกาสได้เรียน ซึ่งตอนนั้นทุกตนบอกว่ามันสากรรจ์จริง ๆเลย ใครจะไปจำได้ ปีหนึ่งถึงปี 5 สอบหมดเลย หรือปีหนึ่งถึงปีสาม สอบหมดเลย สอบปากเปล่าด้วย ไม่สอบข้อเขียนนะคะ ถ้าตกก็ตกไปหมดเลย
                                    ...แต่คนไทยดีอย่าง หมอเองตั้งแต่เล็ก ๆ อยู่ในวัดมา เพราะคุณยายศรัทธาวัดปากน้ำ ภาษีเจริญมาก พอลูกๆ โตหมดแล้ว คุณยายก็ไปถือศีล แล้วก็ได้ธรรมกาย คุณแม่ก็ไปหาคุณแม่ทุกอาทิตย์ แล้วพาลูกไปหาคุณยายด้วย...ที่บ้านคุณยากจะเป็นเรือนไม้สัก ก็เริ่มเปิดการสอนนั่นสมาธิ หมอก็ถูกคุณยายจับนั่นสมาธิ หมอก็นั่งพิงเสาหลับ ก็ได้บ้างไม่ได้บ้าง นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่ทำให้เราได้สัมผัสกับพุทธศาสนาที่แท้จริงได้อะไรที่เราไม่รู้อีกเยอะเลย มันเข้าไปข้างในถึงกระดูก ไม่ใช่ผิวเผินแบบคนสมัยนี้ที่มีความทุกข์ถึงไปหาวัด
                                   ...แต่เราไม่ได้มีความทุกข์ เรามีความสนุกอยู่ และเราก็ได้อะไรมาก ซึ่งเป็นประโยชน์กับการเรียนมาก ทำให้เราไปสัมผัสกับคนได้ง่าย เราก็ไปเจ๊าะแจ๊ะ ๆ กับเขา ช่วยเขาในสิ่งที่เราทำได้ อะไรที่เราทำไม่ได้เราก็ไปขอเขา อ่อนน้อมถ่อมตนกับเขา เขาก็เวทนาเรา ตัวเราเล็ก
...พวกฝรั่งตัวโต ๆ เวลาเรียนเขาก็ไปนั่งข้างหน้า เราจะไปนั่งที่ไหนล่ะ เราขาก็สั้น เดินช้ากว่าเขา เราก็ต้องไปตีสติ๊ก เอาความขยันเข้าว่า ก็แลกกัน โอ.เค. ฉันทำอันนี้ให้ อันนี้เธอทำนะ แล้วเธอวิ่งไปเธอจองให้ฉันนะ แล้ววิชานี้ฉันมาเช้าก่อน ฉันจองให้เธอ เธอมาสายได้ (หัวเราะ) ใช้ระบบอุปถัมภ์
...วิธีการเรียนสมัยก่อนทำให้เรามีความอดทนมาก และต้องเข้ากับคนอื่นให้ได้ ซึ่งตรงนี้กว่าจะได้มามันไม่ใช่ของง่าย “

                                     ชีวิตนักเรียนแพทย์ นอกจากต้องศึกษาค้นคว้าจากตำรับตำราแล้ว วิชาสำคัญอย่างอนาโตมีหรือกายวิภาค นักเรียนแพทย์ต้องเรียนรู้จากศพ “อย่างเราเรียนเรื่องเส้นประสาท เขาจะแยกเป็นระบบประสาท ระบบหลอดเลือด ระบบกล้ามเนื้อ ระบบกระดูก อวัยวะภายใน โปรเฟสเซอร์เฟียไนท์ ซึ่งเป็นโปรเฟสเซอร์เกี่ยวกับนิวโรอนาโตมี กายวิภาคทางเส้นประสาททั้งระบบ เป็นคนสอน...วันที่สอบอวัยวะภายใน เราจะต้องหาเพื่อนมา 4 คน มีคนหนึ่งเป็นลูกโปรเฟสเซอร์ เขาไปฟังมา เขาก็มาบอกว่าโปรเฟสเซอร์จะถามเรื่องอวัยวะภายใน เขาจะถามเรื่องเส้นประสาท ยูต้องดูนะ...เวลาสอบกายวิภาคก็มีศพอยู่ข้างหน้า โปรเฟสเซอร์ก็เขี่ยชิ้นนั้นขึ้นมา ชิ้นนี้ขึ้นมาถาม แก่ก็บอกว่าวันนี้จะสอบอวัยวะภายใน ทุกคนก็ดูอวัยวะภายในหมด ตั้งแต่ปอด หัวใจ ลำไส้ ฯลฯ ท่องกันหมดเลยว่าอะไรอยู่ตรงไหน เลี้ยงกันยังไง เส้นประสาทมาจากไหน อู๊ย ท่องกันสนุกสนาน
                                     ...ปรากฏว่าเวลาถาม แกไม่ได้ถามตรงไปตรงมา ซึ่งเพื่อนบอกไว้ก่อนแล้ว แต่คนเยอรมันด้วยกันไม่มีใครเชื่อ แต่เราเป็นคนไทย เหมือนจิ้งจกทักเราต้องทำ ก็คิดว่าถ้าดูเพิ่มก็ไม่เสียหายอะไร ...คืนสอนคืนนั้นก็ไปตีสนิทกับคนผ่าศพ ไปกลางคืน อู๊ย ดูแล้วกลัวมากเลย หมอเป็นคนที่กลัวศพที่สุด กลัวผีที่สุด (หัวเราะ) คุณแม่บอกก่อนไปให้ไหว้ครูแล้วอธิษฐาน เราจะได้วิชาจากนั้น...ก็ขอเขาไปดูผ่าศพ ไปคนเดียวเขาก็ดี๊ดี เปิดให้ดู คงสงสาร ก็ท่องหมดเลย เพราะเพื่อนบอก ยูไปดูที่ศพน่ะง่ายที่สุด แล้วเปิดหนังสือ เขี่ยมาให้ทุกอันเลยนะ มันได้จริง ๆ สอบได้ ดร.เฟียไนท์บอกว่านึกไม่ถึงเลย                 ...ตอนนั้นมีอาจารย์อีกท่านหนึ่ง อาจารย์รัศมี จบแพทย์ไปจากเมืองไทยแล้วไปทำปริญญาเอกที่นั่น โปรเฟสเซอร์เฟียไนท์ก็ถาม ก็บอกเอ๊ะ นี่คนไทยมาอีกแล้ว ทำไมเก่งอนาโตมี แต่ความจริงเราไม่ได้เก่งเลย เป็นเพราะเพื่อนมาบอกเราก็ไปท่องก็ได้”

                                            การเรียนแพทย์ที่เยอรมันแบ่งเป็น 2 ช่วง เพราะที่เยอรมันจะไม่ให้ใบประกอบโรคศิลป์กับแพทย์ต่างชาติ “การศึกษาที่เยอรมันเป็นสองตอนก็เนื่องจากว่า ตอนแรกเมื่อเราจบเราจะไม่สามารถได้ใบประกอบโรคศิลป์ เราต้องมาสอบใบประกอบโรคศิลป์ที่เมืองไทย เพราะฉะนั้นพอเราเรียนจบส่วนหนึ่งแล้วเราต้องมาฝึกงานที่เมืองไทย เพราะต้องสอบใบประกอบโรคศิลป์ คือที่เยอรมันเขาจะกันคนต่างชาติไม่ให้ใบประกอบโรคศิลป์

                                            ...ก็กลับมาฝึกงานที่ศิริราช ก็เป็นโอกาสอีกเหมือนกันที่ได้เข้าไปฝึกงานที่ศิริราช ศิริราชเป็นโรงพยาบาลที่มีคนไข้หลากหลาย แล้วตอนนั้นไม่ได้อยู่เฉพาะหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง คือได้ฝึกไปหมด ก็ได้เห็นข้อเปรียบเทียบจากเมืองนอกกับทางนี้

                                            ...พอถึงจุดหนึ่ง พอมาประจำอยู่ภาควิสัญญีที่หมอเขาไปสมัครเป็นสต๊าฟ ก็กลับไปทำผู้เชี่ยวชาญสาขาวิสัญญีต่อที่เยอรมันอีก ...ปรกติผู้เชี่ยวชาญสาขาเขาจะทำ 5 ปีที่เมืองนอก แต่ของเมืองไทยเรา 3 ปี เผอิญตอนนั้นเริ่มต้นทำที่เมืองไทย แล้วไปต่อที่โน่น” 

                                             น่าสนใจว่าทำไมคุณหมอถึงเลือกเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการวางยาสลบ หรือเป็นหมอดมยา“มันเป็นจังหวะนะคะ มันเป็นโอกาส ...หมอเป็นคนรักเด็ก จริง ๆ แล้ว อยากอยู่ภาควิชากุมาร แต่เผอิ๊ญอาจารย์ภาควิชากุมารยุคนั้นหมอไม่ประทับใจ การที่เราจะอยู่ที่ไหน เหมือนคบที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก หรือเป็นวิชาการอะไร ถึงใจเรารักก็จริง ถ้าตรงไหนที่เขาต้องการเรา หรือตรงนั้นมันขาด ก็คิดว่าตรงนั้นคงจะดี                                        ...ทีนี้ภาควิชากุมารยุคนั้นหมออาจจะอยากเรียนกันเยอะ 
                                                                            ส่วนวิสัญญีตอนนั้นเพิ่งเริ่มต้น ก็ไม่ค่อยมีใครเรียน ที่สำคัญที่สุดคือหมอมีความประทับใจมาก ๆ กับอาจารย์ผู้ใหญ่ แล้วช่วงนั้นก็มีอาจารย์สองท่านคือ คุณหญิงสลาด กับอาจารย์หมอจิรพรรณ ท่านก็ให้ลองทำ ลองให้คนไข้ดมยาสลบ ...หมอก็ให้คนไข้ใส่ทิวป์เพื่อแทนการหายใจเวลาดมยาสลบ ก่อนใส่เข้าไปหมอก็ถอนฟันคนไข้เอง ก็คิดว่าคงจะต้องโดนดุ ปรากฏว่าอาจารย์ผู้ใหญ่บอกว่า หนูจริง ๆ แล้วฟันโยกขนาดนี้หนูต้องถอนก่อนดีแล้วที่หนูถอนออกไป เพราะเขากลัวฟันหลุดเข้าไปในคอไงคะ

                                               ...นี่คือวิธีการสอนของท่าน คือ ท่านดุ ท่านว่า แต่ท่านมีเหตุผล ท่านพูดดี ให้กำลังใจเรา ถ้าวันนั้นเราโดนอีกอย่าง เราคงตกใจ คงไม่เอาแล้ว (หัวเราะ) ก็ประทับใจอาจารย์ผู้ใหญ่ เลยรู้สึกว่าวิชานี้น่าสนใจ ...แล้วเขาก็ขาดหมอดมยาด้วย เพราะตอนนั้นเพิ่งเปิดใหม่ เราก็คิดว่าดีเหมือนกันนะ แล้วเราก็สนใจในห้องผ่าตัด กระฉับกระเฉง เราไม่ชอบนั่งเฉย ๆ ก็เลย เปลี่ยนมาเป็นวิสัญญีแพทย์”

                                               จบจากทำผู้เชี่ยวชาญสาขาจากเยอรมันแล้ว คุณหมอก็กลับมาเป็นวิสัญญีแพทย์ที่โรงพยาบาลศิริราช และต่อมาก็สนใจเรื่องการฝังเข็มเพื่อนำมาใช้ร่วมกับการผ่าตัด
                                               “หมอสนใจเรื่องฝังเข็มตั้งแต่อยู่เยอรมัน มันเป็นศาสตร์ ๆ หนึ่งที่คนทั่วโลกสนใจ เพราะตอนไปทำวิสัญญีที่นั่น นิกสันไปเที่ยวเมืองจีน เมืองไทยตอนนั้นยังไม่มีสัมพันธไมตรีด้วย เมื่อไม่มี เราก็ไม่มีโอกาสดูเรื่องฝังเข็ม แต่อยู่เยอรมันเรามีโอกาสถ่ายทอดไปหมดเลย ก็คิดว่ามันแปลก
...แล้วตอนนั้นมีหมอจีนมาสอนที่สวิตเซอร์แลนด์ เราก็สนใจ แล้วฝรั่งก็ไม่เรียนกัน หมอก็ไปเรียนกัน หมอก็ไปจากเยอรมัน ไปสวิตเซอร์แลนด์เพื่อไปเรียน อุตส่าห์ยอมเสียเงินไปเองก็แพงนะคะ แต่ความอยากรู้อยากเห็นน่ะ เพราะเราไม่มีโอกาส...ตอนนั้นเราเรียนดมยา แหม เราต้องใส่ยามีเครื่องเยอะแยะ นี่เขาบอกปักเข็มได้ มันก็ท้าทาย เราก็อยากรู้อยากเห็นแต่ทีแรกพูดตรง ๆ ไม่เชื่อ และยังมีข้อกังขาอีกเยอะมาก
                                                ...อย่างมันมีปัญหาในห้องผ่าตัด ความดันจะลงต่ำ ที่หมอจะคอนโทรลไม่ค่อยอยู่

                                                    ...สอง ความดันโลหิตจะสูง ตรงนั้นที่เราจะวัดความดันอยู่ได้ ความดันกับ Pulse คือหัวใจเต้น ในขณะดมยาสลบเราจะไม่มีความรู้สึก เพราะฉะนั้นผลที่จะออกมาเร็วหรือช้า หรือความดันจะสูงหรือต่ำ นี่คือปัญหาที่เกิดขึ้น

                                           ...ก็ถามเขาว่าถ้าความดันโลหิตสูงคุณจะทำอย่างไร คือสนใจในแง่มุมของหมอดมยา ตอนนั้นยังไม่ได้สนใจเรื่องอื่นเลย เพราะเรายังเหมือนกับคนตาบอด ไม่รู้เรื่องอะไรเลย เหมือนเพิ่งเริ่ม ก.ไก่ ข.ไข่

                                                    ...ก็ถามเขาว่าถ้าความดันโลหิตสูงจะทำอย่างไร เขาบอกว่ามีจุดหนึ่งถ้าความดันโลหิตต่ำเกินไปล่ะจะทำยังไง คือนึกว่าจะเอาไปใช้ในวิชาการวิสัญญีถ้ามีปัญหานอกเหนือการใช้ยา เขาก็บอกมีอีกจุดหนึ่ง

                                           ...เราฟังแล้วก็เหมือนเว่อร์ อะไรเอาเข็มอย่างเดียวกันปัก แต่เขาบอกจุดคนละจุด แต่กระตุ้นแล้วมีการหมุนขวาหมุนซ้ายทวนเข็มนาฬิกา ตามเข็มนาฬิกา เอ๊ มันอะไรกันนะ...คือการแพทย์เราเรียนมาคนละอย่างกัน เราไม่เข้าใจเขาเลย ไม่น่าเชื่อถือ มันแปลก แต่ก็คิดว่าทำไมเขารักษาคนไข้หายได้ เลยบอกเขาว่าขอเรียนหน่อยเถอะ ก็เรียนกับเขาที่สวิส

                                            ...นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่เรียนฝังเข็มเรียนระยะสั้นมากค่ะ เป็นอาทิตย์เท่านั้นเอง

                                                ...ตอนนั้นก็จำเป็นจุด เขาจะมีจุดเฉพาะ เช่นจุดปวดหลัง จุดปวดศรีษะ จุดปวดไหล่ จุดความดันโลหิตสูง จุดโรคไต ปัสสาวะ อุจจาระ คือท้องเสียกับท้องผูก ซึ่งเขาก็อธิบายให้เราฟังไม่ได้ เราก็ไม่เข้าใจเขา เราเพียงแต่คิดว่ามันก็แปลกดีเนาะ แต่คุณแม่สอนให้ยอมรับทุกอย่างมาตั้งแต่เล็กเราก็เลยไม่ปฏิเสธ เราก็ฟังแบบรู้ไว้ใช้ว่าใส่บ่าแบกหาม

                                                ...พอกลับมาเมืองไทย คุณหญิงสลาดท่านเป็นหัวหน้าภาค ท่านสนใจ คือนักบริหารรุ่นเดอะ จะเป็นคนมองกว้างมองลึกคือมีวิชั่น ท่านก็มองว่าก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ ถ้าวันนึงวิกฤติขึ้นมา ไม่มียา สงครามขึ้นมา แล้วจะเอายาตรงไหน แล้วจะทำได้อย่างไร ท่านบอกให้ศึกษา ถ้าดีเราก็เอามาทำ ไม่ดีเราก็ทิ้งมันไป

                                                ...ท่านก็เริ่มต้นเลย เอามาศึกษา หมอก็เหมือนกับเป็นหนุมานอาสา พอกลับมา เออ เอาอันนี้ดีกว่า ...ท่านอาจารย์ก็บอกว่าถ้าใครจะจับเรื่องนี้ ต้องทิ้งดมยาสลบ ถ้าไปจับวิสัญญีเหมือนกระโดดไปกระโดดมา ท่านทราบว่าคนเราจับปลาสองมือไม่ได้ นี่ผ่านมาแล้วหมอเพิ่งมองเห็น สมัยก่อนหมอไม่เข้าใจ ก็มีข้อกังขา อยู่ในภาควิชาเดียวกันทำไมต้องทิ้งอีกอย่างนึง ทั้ง ๆ ที่เป็นหมอดมยา ...ท่านก็เริ่มเปิดวิสัญญีแพทย์ คือไม่ใช่ห้องดมยาสลบอย่างเดียว พอดมยาสลบมีปัญหา หมอก็ต้องมาดูต่อว่าเราให้ยาอะไรไป ท่านก็ต้องมีอินเทนซีฟแคร์ที่ต้องร่วมกับหมอศัลย์ ท่านมีวิชั่น ท่านบอกต้องดู แล้วต่อมาถ้าฝังเข็มดี ระงับปวดได้ ก็น่าจะเป็นหน่วยระงับปวดขึ้นมาได้ ท่านก็มองเห็นอนาคต ท่านก็จับตรงนี้ขึ้นมา
                                                ...แต่ท่านแปลก ท่านบอกว่าไอซียูกับดมยาโอ.เค. ยังไปด้วยกัน แต่ถ้าฝังเข็มแล้วต้องแยกออกมาเป็นเอกเทศ ต้องมาทำจริง ๆ ซึ่งก็เป็นจริงของท่าน ซึ่งตอนนั้นเรายังไม่ทราบเรื่องฝังเข็มอีกเยอะมากเลย เพียงแต่ว่าเป็นสาขาหนึ่งสามารถระงับปวดได้ เพราะตอนนั้นเราเพิ่งฮือฮากัน ...แล้วตอนหลังมีงานวิจัย โปรเฟสเซอร์เมลแส็ค แอนน์ วอลล์ ค้นพบ gate theory คือพบว่ามีประตูปิดประตูเปิดในตัวเราเอง ปักเข็มไปแล้วศูนย์ประสาทจะถูกปิดแล้วมันจะไม่ส่งไปที่สมอง ...และโปรเฟสเซอร์ฮันส์พบว่าปักเข็มแล้วทำให้เอ็นดอฟีนหลั่ง และรีพอร์ทว่าระงับปวดได้แทนมอร์ฟีน เขาคิดเพียงแก้ปวดในระหว่างดมยาสลบถึงผ่าตัดได้
                                        ...ตอนนั้นเราสนใจแค่นั้น แต่ปรากฏว่าฝังเข็มมันช่วยอะไรได้อีกมาก มันไม่ใช่ระงับปวด คนโบราณเขาใช้รักษาโรคและใช้ฟื้นฟูป้องกันรักษาโรค ป้องกันและฟื้นฟู ...ตอนนั้นเราสนใจแค่นั้น แต่ปรากฏว่าฝังเข็มมันช่วยอะไรได้อีกมาก มันไม่ใช่ระงับปวด คนโบราณเขาใช้รักษาโรคและใช้ฟื้นฟูป้องกันรักษาโรค ป้องกันและฟื้นฟู ...ตอนหลังหมอก็เริ่มสนใจ หมอก็เป็นหนุมานอาสาอีก เพราะตอนเย็น ๆ หมอไม่ได้ทำคลินิก พอแต่งงานสามีจะให้ออกจากราชการด้วยซ้ำ อยากให้อยู่บ้าน ...หมอก็ขอ เขาก็บอกว่าได้ แต่ตอนเย็น ๆ ต้องไม่ไปดมยาสลบ ถึงใครเรียกก็ไม่ต้องไป พูดง่าย ๆ สี่โมงเย็นก็คือจบ กลับบ้าน ถ้าจะเอาก็โอ.เค. ก็ตกลงกันอย่างนั้น แต่ถ้าให้ออก คุณแม่บอกไม่ให้แต่งงาน ก็เป็นข้อแม้กัน

                               ...พอท่านอาจารย์เปิดโอกาส หมอก็อาสาเลย หมอทิ้งหมด หมอไม่ทำดมยาเพราะยังไงตอนเย็นสามีก็ไม่ให้ทำอยู่แล้ว ก็มาจับตรงนี้

...ตอนหลังก็มีทุน อาจารย์ก็ให้ไปเมืองจีน นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ”  3 เดือนในเมืองจีน คุณหมอขวนขวายหาความรู้เรื่องฝังเข็มใส่ตัวให้มากที่สุด

                               “ตอนอยู่เมืองจีน เราไม่ได้ไปดูฝังเข็มเฉพาะที่โรงเรียนที่เขาสอนเรา หมอของเขาไปดูที่อื่น
...แรกเริ่มหมอขอไปอย่างเดียวว่า หมอเป็นหมอดมยา ปักเข็มเพื่อผ่าตัด หมอก็ขอไปเข้าห้องผ่าตัด พอผ่าแล้วหมอก็แปลกใจว่ามันมีอะไรที่มากว่านั้น หมอก็ขอเขาไปดูการฝังเข็มเพื่อรักษาโรค ...เขาบอกว่าคุณขอมาดูในห้องผ่าตัด คุณขอไปดูรักษาโรคไม่ได้ หมอก็ชักกระวนกระวายแล้ว เราไป 3 เดือน เวลา สามเดือนนั้นมีค่า เราจะมาอยู่นิ่งดูเฉพาะผ่าตัด 3 เดือนไม่ได้

                            ...หมอก็ซื้อจักรยานคันหนึ่ง พอวันหยุดก็ขี่ไป ไปดูที่ฝังเข็มที่ไม่ได้อยู่ในสกูลที่เขาให้เราเรียน
...หมอก็ไปถามเขาว่าทำไมฝังเข็มอย่างนี้ ทำไมปวดหลังถึงฝังตรงนี้ เขาอธิบายไม่ได้ แต่หมอถามคนไข้ เขาบอกว่าหาย แล้วรู้ได้อย่างไร เขาบอกว่าเขาเรียนต่อเนื่องกันมาอย่างนี้ ปู่ย่าตายายสอนกันมา...พอหมอไปถามกับหมอคนไหน เขาบอกฝังเข็มถึงบอกว่ามาผ่าตัดบ้านเมืองเขาเงินทองไม่มี เขาถึงได้พยายามเอาฝังเข็มมาช่วย ก็ปรากฏฝังเข็มช่วยระงับปวดในการผ่าตัดได้

                            ...ยิ่งกว่านั้นคนแก่ที่หมอไปคุยด้วย ตอนนั้นเป็นฤดูใบไม้ผลิ เขาบอกว่าพอย่างเข้าหน้าร้อนเขาเอาหมอฝังเข็มไปออกหน่วย หมอถามว่าทำไม เขาบอกว่าเวลาฤดูใบไม้ผลิเข้าฤดูร้อนที่มีการเปลี่ยนอากาศเขาจะมีการฝังเข็ม คนที่อายุเจ็ดแปดสิบปี เขาจะกระตุ้นของเขาเอง นั่นทำให้หมอฉุกคิด ทำไมเขาทำอันนั้น แต่เราไม่รู้เรื่องเลย แล้วหมอจีนก็บอกว่าเขาไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่เขารู้ว่าคนแก่เขาแข็งแรง

                            ...เพราะฉะนั้นคนจีนเขาไม่ค่อยให้วิจัย เขาบอกว่าเมื่อคนโบราณเขาทำมานานว่าดี แล้วเขาจน เขาไม่มีเงิน เขารุกไปเลยมันไม่เห็นเสียหายตรงไหน ปักเลย ไม่ว่าคนนั้นจะท้องเสีย คนนี้เป็นถูมิแพ้ คนนี้มีหวัดเป็นประจำ เขาลุยเลย ออกหน่วยกันเลย เขาเรียกหมอเท้าเปล่า ...แล้วหมอได้ไปเซี่ยงไฮ้ด้วย ไปดูงานวิจัย เขาเอากระต่ายมาผ่าคอ แล้วฝังเข็มกระต่ายตัวที่ 2 ไม่ได้ฝังเข็ม พอนาบความร้อน ปรากฏว่าตัวแรกสามารถทนความเจ็บปวดได้ แสดงว่ามันต้องมีสารอะไรหลั่งออกมาหลังจากที่ปักเข็ม ก็เจอเอ็นดอฟีนซึ่งมีฤทธิ์สูงกว่ามอร์ฟีน 10 เท่าตัว คนถึงได้ฮือฮากันทั่วโลกว่าทำไมฝังเข็มแล้วถึงระดับปวดได้”

                            เมื่อกลับมาเมืองไทย คุณหมอนำการฝังเข็มเพื่อระงับปวดมาใช้กับคนไข้ผ่าตัดที่โรงพยาบาลศิริราช และยังพบว่าการฝังเข็มสามารถใช้รักษาโรคอื่น ๆ ได้อีก เช่น ความดันโลหิตสูง และเบาหวาน และทราบสาเหตุด้วยว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น แต่คุณหมอก็ต้องผิดหวัง เพราะทางโรงพยาบาลไม่ให้การสนับสนุนศาสตร์แขนงนี้เท่าไรนัก จนต้องปิดแผนกฝังเข็มไป

                            “พอหมอเริ่มจับนอกจากระงับปวดคนไข้บางคนรักษาไประงับปวดไป ความดันโลหิตกลับดีขึ้น เบาหวานกลับดีขึ้น ก็เกิดเป็นคดีใหญ่ หาว่าหมอลดาวัลย์รักษาโรคความดันโลหิตสูง ไม่ใช่หน้าที่หมอลดาวัลย์...ถ้าเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่แท้ มันน่าตื่นเต้นไหมที่เราค้นพบสิ่งใหม่ ทำไมมันมีเอฟเฟ็คท์อย่างนั้น ทั้ง ๆ ที่เข็มเขาไม่ได้บอกเลยว่าลดเบาหวาน ลดความดัน แต่ตอนที่หมอไปเรียนที่สวิตเซอร์แลนด์ เขาบอกว่า จุดหนึ่งลดความดัน อีกจุดหนึ่งเพิ่มความดัน แสดงว่าร่างกายเราต้องมีอะไรที่แปลก

                            ...หมอก็เริ่มเปิดตำราใหม่ เผอิญตำราเก่าของหมอที่ ดร.เฟียไนท์สอน และตำราของเยอรมัน หมอเก็บเอาไว้หมดเลย และเอาตำรานักศึกษาแพทย์ที่เรียนที่นี่มาดูใหม่ ก็จริงอย่างอาจารย์จรัสพูด และหมอลดาวัลย์เห็น มันเป็นสิ่งที่เราเรียนปีหนึ่ง ปีสอง ปีสาม พอปีสี่ห้า ปีหกเราทิ้งหมด
                                    ...ถ้าปีหนึ่งเราเรียนฟิสิกส์ เมื่อความต้านทางสูง ความดันจะสูงไหมคะ น้ำจะไหลน้อยไหมคะ เหมือนก๊อกน้ำ 10 ก๊อก คุณไปเหยียบท่อน้ำสักสายสิ จะเกิดแรงดันเพิ่มขึ้น ปลายสายของท่อที่ 10 จะน้อยลง...เมื่ออวัยวะที่ปลายสายที่ 10 น้อยลง แต่ต้นสายคุณจะพองขึ้น ถ้าคุณจับสายที่ปลายทางคุณจะต่ำ ความต้านทานคุณจะสูง อันไหนที่สูงคุณก็ลดความดันลง ปลายทางก็ยิ่งลดมากกว่าเดิม เพราะฉะนั้นอวัยวะอยู่ตรงนั้นมันจะตายมากขึ้นไหม ตรงนี้อะไรเป็นต้นเหตุ อยู่ที่ถูกกดทับใช่หรือไม่ แล้วอะไรที่ถูกกดทับล่ะ ร่างกายเราสัมพันธ์กันหมดมั้ย จุดหนึ่งถูกกดทับ ที่เหลือก็เบี้ยวไปหมด

                            ...ร่างกายมันเป็นองค์รวมทั้งระบบ แต่ในการแพทย์ปัจจุบันเราต้องเป็นหนึ่งเดียวฉันรักษาขาก็ต้องขา เชี่ยวชาญเฉพาะโรค แถมเชี่ยวชาญเฉพาะอวัยวะ...ไม่เถียงค่ะ เราจำเป็น ถ้าแขนขาดขาขาดเราต้องรีบต่อแขน กะโหลกแบะเราต้องรีบผ่ากะโหลก ไม่งั้นตาย แต่ในเวลาเดียวกันมันเอฟเฟ็คท์ไปทั้งตัว ตอนหลังเราก็ต้องทำเรื่องอื่นด้วย นี่ไงคะที่เราขาดตอนหมอก็เสริมตรงนี้เข้าไปร่วมกับแผนปัจจุบัน มันก็จะทำให้ครบวงจร เกิดไม่เอาอีกแล้ว

                            ...หมอบอกถ้าไม่เอาประชาชนทุกข์นะ หมอไม่ทุกข์หรอก หมอสบาย หมอก็อยู่ไปเรื่อย ๆ ทำไปวัน ๆ นึง หมอก็ได้ ขั้นไปเรื่อย ๆ สุดท้ายอาจจะค้นพบศาสตร์ใหม่ ก็อาจจะเป็นศาสตราจารย์ได้รับการยกย่อง หรือต่อไปอาจจะได้ยศถาบรรดาศักดิ์ได้รางวัลอะไรก็ได้ แต่หมอคิดว่าตรงนี้ประชาชนเขาทุกข์ หมอคิดว่าตรงนี้สำคัญกว่า

                            ...แล้วการวิจัยแต่ละเรื่องต้องใช้เงิน ถ้าคนไม่เห็นด้วยเราจะทำได้ไหม ถ้าเราอยู่ในระบบ แต่เงินทำวิจัยหมอก็หามาเอง
...แต่ก่อนจะทำงานวิจัย สิ่งที่สำคัญมาก ๆ คือเรายังไม่เข้าใจว่างานวิจัยกับวิทยาศาสตร์นั้นคืออะไร วิทยาศาสตร์ที่แท้จริงไม่ใช่เทคนิเชียนหรือเทคนิค แต่วิทยาศาสตร์คือการพิสูจน์ให้ความเป็นจริง ระงับปวดได้อย่างไรในการใช้เข็ม แต่เราต้องมาหาสาเหตุให้ได้ นั่นเป็นหน้าที่ของนักวิทยาศาสตร์มาค้น แต่ถ้าทางคลินิกใช้ได้เราก็จงทำไปทันที

                             ...ที่ผ่านมาเราหลงผิดคิดว่าความดั้งเดิมเป็นความโบราณ ในหนึ่งศตวรรษที่ผ่านมา เราเร่งไปอีกทางจนเราลืมดูอีกทางหนึ่ง เร่งไปอีกทางจนเราลืมดูอีกทางหนึ่ง เร่งไปอีกทางหนึ่งนั้นดี แต่การลืมอีกทางเรากำลังจะตกเหว ซึ่งเมืองนอกเองเขาตกเหวกันมาแล้ว เขาถึงได้ฟื้นฟูทั้งระบบขึ้นใหม่

                              ...ที่อเมริกาเขาเริ่มต้นรณรงค์เรื่องฝังเข็ม เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมากเลย หมอ ถึงเศร้าใจมาก

                               ...เขาเชิญหมอไปอเมริกา เขาบอกว่ายูรู้ไหม ทำไมอเมริกาเวลานี้ถึงได้บูมขนาดนี้...เขาบอกว่าเขาอยู่ในกระทรวงสาธารณสุข เขามาเอาเทปที่หมอลดาวัลย์ฝังเข็มผ่าตัดสมองไปศึกษา เขาบอกเขาไม่เคยเชื่อ เขาบอกคนจีนทำ คนจีนสามารถบังคับได้ ผ่าตัดสมองไม่มีอะไรคุณก็ผ่าได้เลย คุณเชื่อตรงนั้น ผ่าตัดหัวใจคุณก็ว่าเขาทนความเจ็บปวดได้...พอเขามาเจอหมอดาวัลย์เข้าเขาบอกหมอดาวัลย์Ph.D Dr.Med. จากเยอรมัน แล้วอยู่ศิริราชคือมหาวิทยาลัยแพทย์ คงไม่ได้โกหก...เขาก็ขอเทปนั้นไปศึกษา และไป convince ในกระทรวงสาธารณสุขที่อเมริกาตอนนั้นเขาเริ่มต้นงานวิจัย เขาก็ให้ทุน ทุกคนก็ขอทุนมาเพื่อทำงานวิจัยตรงนี้ เขาก็ขอทุนทำตรงนั้น...พอทำออกมาแล้ว ในหู ปรากฏว่าเรื่อง addiction เรื่องแอลกอฮอล์สามารถช่วยได้ด้วยการฝังเข็มแล้วมันก็เพิ่มมาเรื่อยๆ จนเวลานี้มีโรงเรียนสอนฝังเข็มในอเมริกาเต็มไปหมดเลย แล้วเรียน ๔ ปีจบ สามารถรักษาคนไข้ได้ มีประกาศนียบัตรให้ด้วยเป็นแพทย์ ยุโรปก็เหมือนกัน

                                ...โปรเฟสเซอร์เมลแส็ค แอนด์วอลล์ ซึ่งเป็นคนค้นพบ gate theory ท่านพูดว่าก่อนที่เราจะวิ่งได้ เราต้องเดินได้ก่อนเรายังไม่รู้เรื่องฝังเข็มอีกมาก เพราะฉะนั้นมันจะมีประโยชน์มากกว่าที่เราเห็นกันทุกวันนี้ ฉะนั้นงานวิจัยมันต้องนับหนึ่งขึ้นไปเรื่อยๆ
                                        ...งานวิจัยที่เขามารายงาน ณ วันนั้น เชื่อไหมคะคนที่ไม่มีลูก ปักเข็มแล้วฮอร์โมนเพิ่ม แล้วเขาวัดด้วย เขาทำอะไรเป็นศาสตร์จริงๆ แต่เรากลับปฏิเสธ เป็นเรื่องที่น่าเศร้า

                                ...แล้วเขารุกไปยิ่งกว่านั้น คนที่เป็นอัมพฤกษ์ คนที่เป็นซีพีหรือเด็กที่ขาบิดเป็นเกลียวตั้งแต่เกิด เขาบอกเป็นอัมพาตอัมพฤกษ์ที่เกร็งทั้งหมด เขาทำฝังเข็มแล้วดีขึ้น คนที่เป็นอัมพาตเขาทำฝังเข็มเปรียบเทียบกับทานยาเลย ใช้งบประมาณมากเป็นล้านยูเอสดอลล่าร์เลย แต่เขาบอกว่ายังต้องทำวิจัยต่อไป ถ้ามันประหยัดได้แล้วมันดีมันก็ควรจะทำให้มากกว่านั้น

                                ...หมอกลับมานะ บอกไดัเลยว่าพกความเศร้ามา (หัวเราะ) แต่พอหมอมาทำตรงนี้ หมอบอกว่าไม่เป็นไร เศร้านั้นเป็นความอดทนให้หมอบอกว่าชีวิตคือการต่อสู้ ศัตรูคือยากำลัง...หมอเลยคิดว่าในจุดนี้ชีวิตหมอยังมีความหวัง ช่วงสั้นๆที่ยังมีชีวิตอยู่นี่หมอจะรุก แต่รุกทางประชาชน หมอจะไม่รุกให้แพทย์มารักษาอีกต่อไปแล้ว ถ้าแพทย์ยังไม่เชื่อเขาก็รักษาการแพทย์ปัจจุบันไปช่วยไปในส่วนนั้นก็ดี ...แต่คนอีกกลุ่มหนึ่งที่เขายังทุกข์อยู่ ที่เขาไปไม่ได้ หรือเขาไม่อยากไป หรือเขามาถึงทางตันแล้ว ให้เขามีทางเลือก ตรงนี้หมอก็จะช่วยให้”

                                  คุณหมอนำการรักษาแบบดุลยภาพบำบัดมาเป็นทางเลือกใหม่ให้ประชาชนโดยเปิดเป็นโรงพยาบาลขนาดเล็กชื่อ โรงพยาบาลบ้านสวน
“ครั้งแรกหมอเอาบ้านตัวเองมาเป็นโรงพยาบาล คุณจะไปเอาเงินที่ไหน คุณเป็นมหาเศรษฐีมาจากไหนถ้าคุณไม่ทดลองอย่างนี้ ก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ...ตอนหลังหมอต้องไปอยู่ทาวน์เฮ้าส์ ลูกๆเคยอยู่บ้านในที่สามสี่ไร่ แล้วต้องไปอยู่ทาวน์เฮ้าส์เล็กๆ หมอเสียสละขนาดไหน หลังจากนั้นพอเลี้ยงตัวได้หมอก็ย้าย ...ใหม่ๆที่ทำ เงินเดือนไม่มีนนะหมอต้องไปขอยืมเงินเดือนสามีมาจ่ายเด็กๆเขาก็ให้ เพราะเขาก็รู้ว่าหมอไม่รู้จะไปเอาเงินที่ไหน แล้วคนที่ศรัทธาก็มาสร้างมูลนิธิให้ ผู้ใหญ่ก็มาชื้อเข็มให้ เพราะเข็มชื้อยากและแพงที่จะไปชื้อ เราอยู่ได้ก็เพราะศรัทธาของแต่ละคน”

                                   ดุลยภาพบำบัดเป็นศาสตร์ใหม่ของวงการแพทย์ในเมืองไทย เป็นการนำเอาการนวดแผนโบราณ การฝังเข็ม และการบริหารร่างกายมาใช้ในการปรับโครงสร้างของร่างกาย

                                    “มันไม่ใช่อยู่ที่เข็มอย่างเดียว มันอยู่ที่หลักการดุลยภาพ หลักการความสมดุลของทั้งระบบ จิต กาย และสังคม สังคมไม่ดี อาหารไม่ดี สังคมไม่ดี พฤติกรรมไม่ดี เราต้องนั่งเบี่ยงเบนไปข้าง โครงสร้างเราเปลี่ยนไปแล้วค่ะ...ตั้งแต่เกิดในครรภ์มารดาเด็กก็บิดมาแต่กำเนิดแล้ว แล้วมีใครรักษาปรับโครงสร้างตั้งแต่เด็กไหมค่ะ เราดูอาการอย่างเดียว หอบหืดก็เร่งอย่างเดียวจนกระทั่งกระดูกกร่อนกระดูกผุไปหมดเลย เพราะมันเป็นทางออกทางเดียวที่เราทำกันมาพอยาไม่หายก็ต้องผ่าตัด

                                    ...อย่างมีเคสคนเยอรมันที่มารักษาที่นี่ ผ่ามะเร็งในท้องมันก็ยังเป็น ตอนนี้เป็นโรคอื่นต่อ ก็มาถึงทางตัน ไปหาหมอที่ไหนเขาก็บอกไม่ถูก บอกไม่เป็นอะไร แต่หลังจากที่ได้คีโมแล้วเป็นหนักกว่าเดิมเวลานี้จะเดินไม่ได้ แขนจะยกไม่ขึ้น แล้วเพลียมากคือไม่เข้าใจไงคะ

                                    ...ความเชื่อมโยงตรงนี้ไงคะที่หมอนึกขึ้นมาได้ว่าโปรเฟสเซอร์เขาย้ำแล้วย้ำอีกเขาเก่งกว่านิวโรอนาโตมีในสสมอง เขาบอกว่าทุกส่วนในร่างกายมันสัมพันธ์กับนิวโรอนาโตมีทั้งนั้น มันศูนย์สมอง มันสั่ง มันมาทั้งระบบอวัยวะภายใน นี่เป็นจุดที่ทำให้หมอฉุกคิดเมื่อมาถึงทางตันของการแพทย์

                                    ...แล้วเราไปเรียนฝังเข็มพอเราไปเรียนมาแล้วเราก็กลับมาตรงนี้ เพราะมันมาถึงทางตันเหมือนกัน ฝังเข็มก็ไม่ได้หายทุกคนตรงนี้เราก็ต้องก้าวไปอีกขั้นหนึ่ง คือเรามองเป็นองค์รวมทั้งระบบสังคม พฤติกรรมมนุษย์และอวัยวะภายในของเราทั้งระบบมันประสานกันหมด มันเป็นเรื่องของดุลยภาพ ...ดุลยภาพนี่แนวคิดใหม่ แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เป็นเรื่องที่มีอยู่แล้วในร่างกายมนุษย์ แต่เรามองข้ามไป เหมือนเส้นผมบังภูเขานิดเดียว ที่เราไม่เชื่อ เหมือนรถตกหล่ม เราต้องไปปรับศูนย์ แล้วคนเราพฤติกรรมบิดเบี้ยวทุกวัน

                                   ...อย่างเด็กนักเรียนหิ้วกระเป๋าข้างเดียว วันดีคืนดีให้เขาไปแบกเป้ข้างหลังแบบฝรั่งหรือญี่ปุ่น แต่กระเป๋าเราหนักกระดูกสันหลังก็คด และยิ่งแบนเข้าไป เด็กพวกนี้ตอนหลังมาจะยิ่งเป็นโรคทั้งสิ้นยิ่งกว่าหิ้วกระเป๋าข้างเดียวอีก

                                ...หรือถ้าเราขาสั้นข้างยาวข้างสะโพกมันจะตามไปไหมคะ หรือเราหกล้มไป กระดูกสันหลังบิดไปสักข้อ กล้ามเนื้อสักมัดเกร็งไป ทุกอย่างมันจะตามไปไหม

                                ...หรือเรานั่งเอียงบิดทุกวัน กระดูกสันหลังจะบิดไหม คอจะบิดไหมแล้วถ้าคอบิด หลอดเลือดที่ร้อยอยู่ในรูกระดูกจะบิดตามไหม

                                ...แล้วเราบอกว่ากระดูกสันหลังบิดแล้วไปยืดหลังเฉยๆ กระดูกมันบิดสองข้าง กล้ามเนื้อแต่ละมัดไม่เท่ากัน คุณไปดึงเฉย ๆ มันจะยืดยังไง กล้ามเนื้อด้านนอกมันยืดเป็นหนังสะติ๊ก มันก็หดไปเป็นหนังสะติ๊กใหม่ ข้างล่างก็บิดต่อไป กล้ามเนื้อมีตั้งอีก 650 มันในร่างกาย

                                ...แม้แต่การนั่งซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซด์ ไปดูสิคะว่ามันบิดเท่าไหร่ หรือคุณหกล้มไปมีใครปรับศูนย์ไหมคะ เราไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้เลย

                                ...อย่างหมอไปขาแพลงมาอย่างแรงดังเป๊าะเลย เคลื่อนหมดเลย บวม กระดุกกระดิกไม่ได้เลย ถ้าไปเข้าเฝือกก็ต้องอย่างน้อย 3 อาทิตย์ กระดูกถึงจะติด เอ็นถึงจะยืด แต่นี่หมอปักเข็มข้างถนนทันทีเลย เผอิญมีเข็มอยู่ ค่อยเคลื่อน ค่อย ๆ ยืด ถ้าตราบใด เอ็นเราเคลื่อน หัวเข่าเราจะไปด้วย สะโพกจะไปด้วย ...ขนาดทำ หลังจากนั้นหนึ่งอาทิตย์หลังเคลื่อนไหวไม่ได้เลย เกลียวข้างในลึกเลย ต้องนอนปักเข็มตัวเอง พอกล้ามเนื้อคลายแล้วค่อย ๆ ยืด มันถึงเข้าที่”

                                วิธีการรักษากล้ามเนื้อและกระดูกของคุณหมอ จะแตกต่างไปจากการแพทย์แผนปัจจุบัน“ปรกติถ้าเอ็นมันยึด กล้ามเนื้อมันยืด เราก็มีหลักสูตรว่ากระดูกแตกกระดูกหักให้อยู่เฉย ๆ ถ้าอยู่เฉยๆ เลือดก็ไม่เดิน...แต่คนโบราณรักษากระดูกแตกหักมาหลายพันปีด้วยเฝือกไม้ไผ่แล้วนวดเอายืดเอา เลือดก็เดิน...แต่เราทนเจ็บเอา ถ้ากระดูกแตกแล้วเอาเหล็กดามเข้าไปให้หยุดนิ่ง แต่กล้ามเนื้อบิดขณะที่เราหกล้ม มีใครไหมที่จะดูเรื่องกล้ามเนื้อ...แล้วเลาปวดบวม หมอถามว่าคุณไปนวดได้ไหม แตะยังไม่ได้เลย เข็มตัวน้อย ๆ นี่ไงคะที่จะปักไปตรงนั้น ช่วยได้เร็วมากเลย พอปักปั๊บมันเป็น gate theory ที่ระงับปวด แล้วมีเอ็นดอฟีนหลั่ง มันสิบเท่าตัวของมอร์ฟีนเลย พอคลายปวดได้ชั่วคราว

                                ...แต่ถ้าคุณทานยา ยาต้องเข้าไปในกระเพาะ ถ้าคุณไม่ได้ทานข้าวก่อน ทานยาเข้าไปกระเพาะคุณก็พัง หมอถึงบอกว่า โรคภัยไข้เจ็บมาจากโครงสร้างที่เคลื่อนไหว ถ้าเราไม่จับเรื่องโครงสร้างตั้งแต่ต้น เราจะมีโรคภัยไข้เจ็บอีกเยอะ...แล้วกินยากันเป็นแสนล้านบาท เงินถึงหมดประเทศไง แล้วเรามาพูดเรื่องสมุนไพร มีใครปลูกสมุนไพรบ้างปัจจุบันคุณต้องไปซื้อต่างประเทศมาอีก แล้วต้องซื้อเครื่องมือมาอีก พวกซีทีสแกน เอ็มอาร์ไอ ทราบไหมในกรุงเทพฯแห่งเดียวมีมากกว่าเกาะอังกฤษทั้งเกาะอีก แล้วเงินไปอยู่ที่ไหนกัน เพราะฉะนั้นนักบริหารน่าจะมากขึ้นคิดถึงเรื่องนี้

                                ...ถ้าสมมติว่าเราเปลี่ยนทัศนคติใหม่ ตอนสุดท้ายคุณจะเอาอะไรก็ได้ แต่ถ้าพื้นฐานทุกคนว่าเกิดจากโครงสร้าง เมื่อทุกคนเกิดอุบัติเหตุคุณเริ่มทำจุดนี้ โครงสร้างก็จะปรับตัวเข้าที่...อวัยวะภายใน ถ้าร่างกายบิดเบี้ยวข้างในก็บิดเบี้ยวไปหมด แล้วถ้าข้างในคุณไม่แก้ไข มันจะบิดไปเรื่อย ๆ หัวใจ ปอด ตับ ลำไส้มันไปหมด แม้กระทั่งกระดูกสมองก็ไปด้วย...เส้นเลือดฉีดขาดนาน ๆ มันขังลิ่มเลือดไม่ละลาย ตอนหลังมนจะเป็นก้อนเนื้องอก แต่คนโบราณบอกว่ากระแทกที่ไหนให้กดที่นั่นทันที ให้ลิ่มเลือดละลาย น้ำใบบัวบกทานเข้าไป ดินสอพองหรือว่านหางจระเข้โปะแผลเข้าไปเพื่อไม่ให้แผลยึด เมื่อแผลไม่ยึด ความเจ็บปวดน้อยลง ให้ดึงกล้ามเนื้อให้เข้าที่ มันก็จะฟื้นฟูทั้งระบบ...ถ้ามันอุดตันที่ใดที่หนึ่ง แล้วจะให้ทานยาละลายลิ่มเลือดอย่างเดียว ถามนิดว่าในหลอดเลือดอุดตัน ละลายลิ่มเลือดไปได้ไหม เลือดนี่กว่าจะขึ้นสมอง ด้านหลังมันหักเป็น 90 องศา (คุณหมอชี้โครงกระดูกส่วนก้านสมองให้ดู) มันลอดรูขึ้นไปที่กะโหลกแล้วคุณนั่งบิด นอนบิดทุกวันเลือดคุณจะไปไหน

                                ...น้ำมันตกตะกอนทุกวัน ๆ แล้วคุณยังทานอาหารที่เป็นพิษทุกวัน ๆ ถุงพลาสติก ก๋วยเตี๋ยวที่ใส่น้ำมันหล่อลื่น พวกนี้ก็อยู่ในหลอดเลือดเรา...แล้วสังคมที่เปลี่ยนแปลง กล้วยน้ำว้าเราก็ไม่ปลูกในบ้าน มะละกอซึ่งเป็นผลไม้ที่ดีเราก็ไม่เคยคิด ชมพู่แหรกก็ไม่มีใครรู้ว่าธาตุเหล็กเยอะ เราทิ้งหมดเลย แล้วไปเร่งปุ๋ย เร่งยาฆ่าแมลง แทนที่จะพัฒนาใช้ยาฆ่าแมลงให้น้อยลง “

                                พฤติกรรมในชีวิตประจำวันที่ไม่ถูกต้อง นำมาซึ่งโรคภัยไข้เจ็บ และการเสียสมดุลในร่ายกาย แต่ตามแนวคิดของคุณหมอสามารถรักษาและแก้ไขได้ด้วยการปรับโครงสร้างและดุลยภาพบำบัด

                                ดุลยภาพบำบัดรักษาโรคได้หลายชนิด ทั้งโรคแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง เช่น อาการปวดตามจุดต่าง ๆหูหนวกฉับพลัน อาการวิงเวียนบ้านหมุน แผลเบาหวาน ความดัน เบาหวาน อัมพาต โรคเก๊าท์ ภูมิแพ้ ฯลฯ กระทั่งโรคที่ฮือฮากันอย่าง SLE หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง

                                “โรค SLE รักษาด้วยการฝังเข็มได้ คนไข้หายวันหายคืนเลยค่ะ เวลานี้ตั้งเป็นชมรมใหญ่เลย ...คนไข้ที่มา บางคนทานยาเพรดนิโซโลนจนกระดูกหัก กระดูกแตก กระดูกผุ กล้ามเนื้อหย่อนยาน ผมร่วง ตากำลังจะบอด มองไม่เห็น ปรากฏว่าหลังฝังเข็มแล้วดีขึ้น ไปเจาะเลือดแล้วดีขึ้นจริง ๆ หมอใช้ศาสตร์นะคะ ใช้วิทยาศาสตร์ ไม่ใช่หมอพูดถึงอาการคนไข้แล้วดีขึ้นอย่างเดียว

                                ...หมอถึงบอกว่ามีอีกหลากหลายที่เราไม่รู้ ตรงนี้มันจะเป็นระบบอีกทางไม่ใช่มาแก้สุดท้าย

                                 ...อย่างออธีสติก เด็กสมาธิสั้นก็เหมือนกัน เขาดีวันดีคืนที่นี่ จนกระทั่งฝรั่งแปลกใจ ...เด็กคนนี้เจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขที่อเมริกาส่งมา อายุหกเจ็ดขวบ ทรมานมากเลย เขาพูดไม่ได้ พ่อแม่ซัฟเฟอร์มาก เด็กร้องกรี๊ด ๆ เพราะพูดไม่ได้ แล้วหงุดหงิดมากเลย ทุ่มทุกอย่างเลย เขาก็มารักษาที่นี่
...ทีแรกเขาจะมาอยู่ หมอบอกว่าขออีกอาทิตย์นะอย่างน้อย ๆ แล้วหมอจะแนะนำให้ว่านวดอย่างไร แล้วคุณเอาเข็มจิ๋วไป ถ้าแม่กล้าทำ ...เดี๋ยวนี้เด็กคนนี้แจ๋วเลย ลูกเขาเพิ่งมาพูดได้ที่นี่ และตอนนี้เขาบอกว่าเด็กเข้าเรียนโรงเรียนร่วมกับเด็กปรกติได้แล้ว

                                ...ที่นี่เรามีเด็กที่รุนแรงมาก มาตอนแรกต้องใช้ 7 คนจับฝังเข็มกัน แต่พ่อแม่ยอม เขารู้ว่าเป็นทางออกที่ดีได้ หมออธิบายว่าต้องอดทนนะ เด็กคนนี้ซึ่งเมื่อก่อนไม่ยอมรับรู้อะไรเลย พูดก็ไม่รู้เรื่องเดี๋ยวนี้เขาพูดดีขึ้นเยอะ ฟังรู้เรื่อง เวลานี้ไปออกค่ายกับครู พ่อแม่ไม่ต้องไปด้วย ...ฝรั่งเขามาที่ ร.ร.สำหรับเด็กสมาธิสั้น ร.ร.นี้ เขาสนใจเคสนี้มาก เขามาสอนวิธีการให้ว่าสอนให้เด็กกินอยู่อย่างไร ให้หัดจับ แต่ตรงนี้เขาไม่ได้ทำให้ เขาก็สงสัยว่าทำไมเด็กตนนี้ดีขึ้นกว่าเดิม ผิดปรกติว่าเด็กคนอื่น ทาง ร.ร.บอกว่าเด็กมารักษาที่นี่ เขาเลยตามมาที่นี่ “

                                ยังมีโรคอีกหลายชนิดที่สามารถรักษาให้หายได้ด้วยการฝังเข็ม

                                “อย่างโรคเรื้อนกวาง โรคนี้น่ากลัวมาก ๆ รักษาไม่หาย แต่ฝังเข็มหาย เพราะทำให้ภูมิต้านทานเพิ่มขึ้น

                                ...แล้วหมอเพิ่งกลับมาจากอเมริกาเขาทำวิจัยเรื่องฝังเข็มรักษาโรคเอดส์ เมื่อเจาะดูภูมิต้านทานแล้วเพิ่มขึ้น...แต่หมอไม่ได้รักษาโรคเอดส์ เพราะหมอคิดว่าเรายังไม่มีคลินิกที่ดี เรายังไม่มีเครื่องมือที่ดีที่จะแยกเฉพาะคนไข้ ถ้าหมอพร้อมเมื่อไหร่ หมอจะแยกโรคเลย แต่ถ้าไม่พร้อม ต้องคละกันไป เราไม่สามารถจะรับได้ แต่โรคที่ไม่ติดเชื้อเราทำได้”

                                    อุบัติเหตุเป็นต้นเหตุของความไม่สบายหลากหลายที่น่ากลัวมากเลย และเรายังคิดกันไม่ถึง และของชาติเรายังไม่มีระดับนี้ ซึ่งหมอพยายามจะสร้างตรงนี้ขึ้นมาให้ได้ ...อย่างเด็กหกล้มเยอะมาก เล่นยิมนาสติกในโรงเรียน ทราบไหมคะเกิดอะไรขึ้น เลือดไปเลี้ยงสมองไม่ได้ สุดท้ายเด็กพวกนี้ฆ่าตัวตายเพราะเรียนหนังสือตกต่ำลงมา พ่อแม่ก็ push ลูกขึ้นไป ในโรงเรียนนี่ทุกข์มากนะคะ

                                   ...แล้วก็เล่นกีฬากัน เต้นแอโรบิกกัน กระดูกยิ่งคดยิ่งโกง กระดูกคอบิดเลือดไปเลี้ยงสมองไม่ได้ ตาพร่า หูอื้อตาลาย เป็นโรคเวียนหัวกัน ...บ้านเราเกิดอุบัติเหตุวันละ 200 กว่าราย ฟังจาก จ.ส.100 แล้วยังหกล้มกันอีกเท่าไหร่ นั่นโครงสร้างเสียสมดุลหมดเลย แล้วตรงนี้มันไม่เกิดทันที มันจะเซ...อย่างคุณแม่หมอรถคว่ำ แล้วไม่ได้แก้ตั้งแต่ต้นเลย ความดันโลหิตสูงมาปวดต้นคอมา จนจิตนี่เครียดมาก เลือดไปเลี้ยงไม่ได้ หัวเข่านี่ปวด สุดท้ายโรคหัวใจ ผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดี ไปหมดเป็นพรวนเลย...คุณแม่ไปรักษาที่ศิริราช หมอบอกพรุ่งนี้วันจันทร์ออกมาได้ ปรากฏออกมาเป็นศพแล้วหมอลดาวัลย์เพิ่งเข้าใจ ทั้งระบบมันเป็นเรื่องน่าเสียดายที่หมอไม่เข้าใจตั้งแต่ตอนนั้น ไม่งั้นคุณแม่ก็รอดได้ หมอถึงบอกว่าอุบัติเหตุเป็นเรื่องใหญ่มากเลย ...ตอนนั้นหมอที่ศิริราชหาอะไรไม่เจอ เขาบอกคุณแม่เครียด ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นคุณแม่ทิ้งงานบริหารทุกอย่างให้น้องทำหมดเลย หมอถึงบอกไม่ใช่ กายไม่ดีปุ๊บโทษจิต จิตเครียดหมด แต่ไม่ใช่

                                    ...จิตเครียดคืออะไร ถ้าเลือดไปเลี้ยงสมองไม่ได้ สมองจะคิดออกไหม เมื่อสมองคิดไม่ออกเราจะเครียดไหม แล้วเราก็โทษาขยะความเครียด เราก็ให้นั่งสมาธิ นั่งไปนั่งมาคนไข้เบลอเลย หมอถึงได้บอกว่า จิต กาย สังคมเป็นสิ่งที่แยกกันไม่ได้

                                    ...เราทำอะไรก็ตาม จิตดี คิดดี ทำดีนั้นเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสไว้ว่ามัชฌิมา ปฏิปทา การเดินสายกลางเป็นสิ่งที่เยี่ยมที่สุด...สิ่งที่หมอรักษาเป็นหลักในพุทธศาสนาทั้งสิ้น เพียงแต่เอาสิ่งนี้เป็นวิทยาศาสตร์ที่เรารู้ เราเอามาซัพพอร์ท มามอง มันเป็นจริงหมดเลย ธรรมะจัดสรรมาให้เราหมดแล้ว อยู่ในตัวเราหมดเลย แต่เราไม่เคยใช้มันให้เป็นประโยชน์”

                                    การรักษาคนไข้ด้วยดุลยภาพบำบัด คุณหมอจะแบ่งออกเป็น 5 ขั้นตอน

                                    “แรกเลยจะให้เขาดูชาร์ทว่าโครงสร้างร่างกายมันเป็นทั้งระบบ แล้วคุณจะเป็นโรคนนั้นเกิดจากโครงสร้างเสียสมดุล หมอถึงต้องมีกระจกในห้องตรวจให้คนไข้ดูตัวเอง แต่เดี๋ยวนี้หมอมีเครื่อง CTI ที่ทำให้เห็นร่างกายได้ทั้งระบบ ก็จะให้ดูทั้งระบบแล้วคนไข้จะจำได้ว่าข้างหน้าข้างหลังตัวเองเป็นยังไง

                                    ...สอง จะตรวจโครงสร้าง ให้รู้ว่าโครงสร้างเสียสมดุลที่ไหน พอเข้าใจหมอก็จะสอนอันดับที่ 3 ให้รู้จักบริหารร่างกายตนเอง แล้วเขาจะค่อยเรียนรู้ว่าจุดไหนของร่างกายที่บกพร่อง แล้วเขาจะช่วยตัวเองอย่างไร ท่าพื้นฐานจะมีโบรชัวร์แจก พอท่ายาก ๆ ขึ้นก็จะค่อย ๆ เรียนไปเรื่อย ๆ ถ้าทุกคนทำตรงนี้ได้ จะช่วยได้มากเลย

                                    ...ต่อมาจะมีเจ้าหน้าที่ค่อยกดจุด คลายเส้น ค่อยนวดค่อยคลาย เพราะบางที มันปวด ยืดไม่ได้ อย่างขา แขน ข้างหลังเรานวดตัวเองไม่ได้ ก็จะมีเจ้าหน้าที่ที่หมอสอนไว้ จะมาช่วย

                                        ...สุดท้ายหมอถึงจะเข้ามาฝังเข็ม

                                        ...มันเป็นตามขั้นตอน มันเสียเวลาเยอะมาก แต่หมอว่ามันคุ้ม

                                        ...คนที่มาที่นี่เคยไปฝังเข็มที่อื่นมา แล้วทั้งนั้น ปวดเข่านอนหักปวดเข่า แต่เราไม่หาสาเหตุทำไมถึงปวดเข่า พอมาตรวจร่างกายปั๊บหมอบอกคุณกำลังเป็นอัมพฤกษ์ คุณทราบไหม ไม่ทราบ คุณร่างกายอ่อนแรงข้างซ้าย เมื่อร่างกายอ่อนแรง คุณก็ต้องเดินกะเผลก ๆ ก็ปวดเข่า เขาก็รักษาปวดเข่าพอปักเข็มแล้วช็อคเลย เพราะเลือดไปเลี้ยงไม่ได้

                                        ...อัมพฤกษ์คือเลือดไปเลี้ยงสมองไม่ได้ คุณยิ่งไปขยายข้างล่าง ก็เหมือนน้ำประปา 10 สายที่หมอบอก สายที่ 10 คุณเหยียบไว้ คุณไปขยาย 9 สาย สายที่ 10 ปลายทางก็ยิ่งกดใหญ่ เลือดก็ไปเลี้ยงไม่ได้ ก็เลยช็อค ขนาดนอนบนเตียงนะ หัวใจสั่นมากเลย เกือบตาย

                                        ...คนไข้หลายคนปวดเข่า เป็นอัมพาตก็ปักข้างเดียว คือไม่เข้าใจไงคะ เมื่อก่อนหมอลดาวัลย์ก็โง่มาก่อนเหมือนกัน แต่เมื่อเราเห็น นั่นคือพัฒนาไปอีกหนึ่งขั้น เอาวิชาการปัจจุบันกับของโบราณมาใช้ด้วยกัน มันเป็นศาสตร์และศิลป์ที่ดีมาก

                                        ...หมอไปดูนวดแผนโบราณนะคะ ทุกแห่งเลย แล้วเวลานี้หมอช่วยสอนการแพทย์แผนไทยเขา คือเรารุกให้ประชาชนเริ่มช่วยตัวเอง สอนให้นวด แล้วนวดอย่างไรถึงถูกต้อง บริหารอย่างไรถึงถูกต้อง...การนวดแบบวัดโพธิ์นำมาประยุกต์กับแพทย์สมัยใหม่ได้ทุกอย่างเลยค่ะ แต่ต้องเรียนรู้กันใหม่ เพราะว่าการไปดัดแขนดัดขามันอันตรายมาก ๆ เลย ทำให้โครงสร้างเราบิดเบี้ยว คนนวดสมัยนี้ไม่เคยตรวจโครงสร้าง...ถ้าไปดูนวดที่วัดโพธิ์ คนไหนโครงสร้างบิดเบี้ยว หลอดเลือดแตกเลยค่ะ เพราะไปหักตรงนี้เลือดมันพุ่งจู๊ดเข้าไป พอพุ่งเข้าไปตรงนี้มันถูกกดก็ไปเลย คนไข้คนหนึ่งไปนวด กลับมาหลอดเลือดแตกเลย

                                        ...อีกคนพอปักเข็มแล้วเบาหวานดีขึ้น หมอไปเจาะเลือดหลังทานข้าวพลาดยังไงไม่ทราบ ขึ้นมานิดเดียวไปเพิ่มยา คนไข้ช็อคไปเลย

                                        ...ตรงนี้มันเป็นศาสตร์และศิลป์ทุกอย่างต้องดูตามขั้นตอน แต่เราไม่มีความร่วมมือกัน ทุกอย่างมีดีและมีเสีย ถ้าเราพยายามจะเอาสิ่งที่ดีงามของแต่ละจุด ๆ มาใช้ เราก็จะได้สิ่งที่ดีงามเพิ่มเป็น 10 เท่าตัวเลย...แต่ถ้าเราเอาสิ่งที่ดีงามมาแยกกันคนละส่วน แล้วเดินกันคนละทาง เราก็ลดกำลังสิบลง”

                                        เมื่อแพทย์ปัจจุบันไม่รับความคิดของคุณหมอ คุณหมอจึงหันมาสอนความรู้ด้านนี้ให้กับประชาชนแทน “หมอจะสร้างหมอประชาชน หมอครอบครัวตัวเอง ให้รักษาดูแลตัวเองและดูแลพื้นฐานก่อนที่จะไปทำเรื่องอื่น

                                        ...หมอจะสอนให้ทุกคนรู้จักโครงสร้างตัวเอง แล้วบริหารด้วยหลักดุลยภาพบำบัดก่อน เมื่อเกิดภัยพิบัติขึ้นมาเราจะช่วยตัวเองอย่างไร แล้วทานอาหารอย่างไร ตรงนี้จะเป็นจุดเริ่มต้น และ 70 % จะช่วยประชาชนได้เยอะมาก มันไม่ต้องเปลืองงบประมาณเลย

                                            ...ถ้าศรัทธาแล้วจะเรียนวิชานี้หมอสอนให้ฟรี ตำราต้องซื้อเอง หมอจะเปิดสอน 30 ชั่วโมง ถ้าสอบผ่านหมอจะสอนให้อีก 20 ชั่วโมง และถ้าเรียนเพิ่มอีก 20 ชั่วโมงก็จะเป็นผู้ช่วยหมอได้

                                            ...การมองโครงสร้าง คุณจะไปที่ไหน ไปเห็นคนหกล้มคุณจะช่วยเขาได้ทันทีเลย คุณจะแนะนำเพื่อที่เขาจะได้ไม่ปวดหัว ปวดท้องในอนาคต ในขณะที่แผนปัจจุบันเราถึงจุดหนึ่งที่รักษาเฉพาะจุด แผล กระดูก แตก กระดูกหัก รักษาเสร็จจบ แต่จุดอื่นต่อไปเราไม่ทำแล้ว ซึ่งของหมอเป็นระบบฟื้นฟูระบบป้องกันขึ้นมาใหม่ ซึ่งตรงนี้จะต้องทำงานวิจัยอีกเยอะมาก

                                            ...สิ่งนี้จะเป็นศาสตร์และศิลป์อันใหม่ในการแพทย์ในอนาคต แล้วศตวรรษหน้าเราจะเดินตามนี้เราจะเริ่มเข้าสู่ระบบธรรมชาติที่ผ่านมาเราฝืนธรรมชาติหมดเลย

                                    ...หมออยากจะทำสิ่งนี้ฝากไว้ในแผ่นดิน”

                    

 

Webmaster

Hosted by www.Geocities.ws

1