ทำไมรถไฟยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร
รัชกาลที่
5
ทรงสถาปนาการรถไฟแห่งประเทศไทย
โดยมอบหมายให้พระเจ้าวรวงศ์เธอกรมพระกำแพงเพชรอัครโยธินรับผิดชอบ
ซึ่งถือกันว่าเป็นบิดาของการรถไฟ
ทรงมีพระบรมราโชบายให้รถไฟเป็น
เส้นเลือดใหญ่
ของการคมนาคมทางบก
เพราะขนส่งได้ครั้งละเป็นจำนวนมาก
และราคาถูก ถึงกระนั้นก็ทรงวางแผนคิดอ่านให้รถไฟมี
รายได้เสริม
เพื่อจะได้ทำให้ต้นทุนต่ำลง
จึงโปรดเกล้าฯให้ที่ดิน
2 ข้างทางรถไฟ
ข้างละประมาณ 40
เส้นตามสภาพของพื้นที่
ให้เป็นของการรถไฟเพื่อให้หารายได้มาบำรุงกิจการ
ในช่วงเวลานั้น
การคมนาคมทางบกแทบไม่มีรถยนต์
มีใช้เฉพาะในพื้นที่เมืองหลวงเท่านั้น
และน้อยมาก
พระราชวงศ์และขุนนางผู้ใหญ่เท่านั้นจึงจะพอมีใช้ได้
ก่อนแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่
1 เริ่มบังคับใช้ปี 2504
เส้นทางรถไฟขยายตัวไปในสัดส่วนที่มากกว่าเส้นทางรถยนต์
และรถไฟก็เป็นหลักในการคมนาคมทางบก
แต่หลังจากแผน 1
กำหนดให้ประเทศไทยปรับทิศไปเดินบนหนทางอุตสาหกรรมเต็มตัว
ทำให้เกิดลัทธิพึ่งพาต่างชาติ
ส่งผลให้การขยายตัวของเส้นทางรถไฟน้อยลง
ในขณะที่เส้นทางรถยนต์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
จนเทียบสัดส่วนกันไม่ได้อีกต่อไป
หลังแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่
4
เส้นทางรถไฟแทบไม่พัฒนาอีกเลย
ในขณะที่เส้นทางรถยนต์ขยายตัวอย่างรวดเร็ว
รถยนต์ก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
รถบรรทุกและรถกระบะเข้ารับบทบาทการขนส่งแทนรถไฟและการขนส่งทางน้ำภายในประเทศแทบจะสิ้นเชิง
แน่นอนละว่าส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของแผนการอันแยบยลที่สมคบกันระหว่างชนชั้นปกครองไทยกับนายทุนโรงงานรถยนต์เพื่อบอนไซ
รถไฟ-ขยายรถยนต์
ยิ่งผสมผสานเข้ากับการให้นายทหารเข้าไปเป็นประธานรถไฟ
ดูแลรถไฟอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
การคอรัปชั่นจึงเต็มขนาดขึ้นในรถไฟ
ทั้งในด้านการจัดซื้อจัดจ้าง
และบริหารทรัพย์สินคือที่ดินรถไฟ
พอเริ่มแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่
6
รถไฟก็ทรุดลงอย่างเห็นได้ชัด
มีผลขาดทุนมหาศาล
รายได้จากการจัดการทรัพย์สินไม่คุ้มมูลค่าทรัพย์สิน
มีการทุจริตในแทบทุกอณู
การบริการด้อยคุณภาพ
ความเร็วของรถไฟก็ช้าลง
เหลือเพียง 60 กิโลเมตร/ชั่วโมงเท่านั้น
แม้จะมีความคิดที่จะแก้ไขปัญหานี้โดยการกำหนดยุทธศาสตร์รถไฟใหม่
แยกการบริหารทรัพย์สินเป็นส่วนหนึ่ง
บริหารโดยผู้เชี่ยวชาญ
แยกการบริหารการเดินรถเหมือนกับการบินไทย
แยกการบริหารเส้นทางรถไฟเหมือนกับการท่าอากาศยาน
แยกบริการอาหาร-เครื่องดื่มบนรถไฟเหมือนกับครัวการบินไทย
แยกการบริหารสถานีให้เป็นลักษณะศูนย์การค้าหรือเมืองใหม่ที่เป็นศูนย์กลางการค้าในท้องที่ต่าง
ๆ
ปรับปรุงขนาดของรางให้ใหญ่ขึ้นเป็นระบบมาตรฐาน
เพื่อเพิ่มความเร็วของรถไฟ
ปรับปรุงตู้โดยสารและบริการในตู้ให้ทันสมัย
เพิ่มประเภทบริการรถไฟความเร็วสูงและเพิ่มเส้นทางคู่
ขยายเส้นทางรถไฟ
จัดให้มีคลังสินค้าทุกสถานี
ซึ่งจะอำนวยประโยชน์แก่ประชาชนในการลดต้นทุน
การผลิตและการขนส่ง
เพิ่มประสิทธิภาพและรายได้ให้แก่การรถไฟเพื่อประโยชน์แห่งรัฐ
แต่ก็ไม่คืบหน้า
เพราะแรงขัดขวางถ่วงรั้งยังเป็นด้านหลัก
แรงพัฒนาให้ก้าวรุดหน้ายังเป็นด้านรอง
การรถไฟจะพลิกกลับมาเป็นด้านหลักของการคมนาคมขนส่งทางบกได้
ต้องแก้ไขกันทั้งระบบ
เริ่มต้นตั้งแต่ฐานคิดว่าด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาของประเทศ
ตามมาด้วยระบบภาษี
ที่จะต้องเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์
(Paradigm Shift) กันใหม่หมด จะต้องตระหนักใน
ทุนทางสังคม
ที่ประเทศไทยต้องเสียไปแลกกับยุทธศาสตร์แปรประเทศให้เป็นประเทศอุตสาหกรรมส่งออก
ตั้งแต่สิ่งแวดล้อม
ไล่มาจนถึงวิถีชีวิตดั้งเดิม
โดยเฉพาะจะต้องมองทะลุให้เห็นว่าเราแทบไม่ได้อะไรเลยจากอุตสาหกรรมรถยนต์
นอกจากค่าแรงคนงาน !
จากนั้นก็มาพิจารณาโครงสร้างภาษีรถยนต์
ภาษีใช้ถนน รูปแบบต่าง ๆ
และ ฯลฯ
เพื่อนำรายได้ไปสร้างระบบขนส่งมวลชนที่มีรถไฟ
(ทั้งบนดินและใต้ดิน)
เป็นแกน
ที่มา : พายัพ วนาสุวรรณ