ประวัติรถจักรไอน้ำ "การัตต์"
เมื่อปี
พ.ศ. 2432
เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในเมืองไทย
แต่การรถไฟมีความจำเป็นต้องหารถจักรไอน้ำที่เหมาะสมสำหรับลากจูงขบวนรถสินค้าที่มีน้ำหนักมาก
ในทางสายตะวันออกเฉียงเหนือ
โดยเฉพาะในทางตอนลาดชันมากระยะทาง
55 กิโลเมตร
ช่วงระหว่างแก่งคอยกับปากช่อง
รถจักรไอน้ำที่เหมาะสมที่สุดในขณะนั้นคือแบบ
"การ์แรตต์"
ซึ่งเป็นรถจักรไอน้ำแฝดสองหัวมีเครื่องจักรทั้งหัวและท้าย
เดินหน้าและถอยหลังได้
มีกำลังและความเร็วเท่ากัน
แต่รถแบบนี้มีราคาสูงมาก
จึงเกิดปัญหาที่จะซื้อมาในสภาพเศรษฐกิจเช่นนั้น
การตัดสินใจซื้อรถจักรไอน้ำแบบ
"การ์แรตต์ 2-8-2+2-8-2"
มาใช้ 6 คัน ในปี 2478
เป็นการตัดสินใจอย่างกล้าหาญของการรถไฟ
เพราะในขณะนั้นเป็นรถจักรที่ใหญ่และทรงพลังที่สุดสำหรับใช้ในราง
1 เมตร แต่ก็มีราคาแพงที่สุดด้วย
การตัดสินใจคิดถึงประโยชน์ส่วนตัวหรือผิดพลาด
ย่อมเป็นผลร้ายอย่างยิ่ง
เพราะหลังจากนั้นไม่กี่ปีก็เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว
รัฐบาลในระบอบประชาธิปไตย
ยังให้การรถไฟสั่งซื้อรถจักรแบบการ์แรตต์แบบใหม่ที่ใหญ่และมีราคาแพงขึ้นมาเพิ่มอีก
2 คัน
รถจักรไอน้ำทั้ง 8
คันได้ใช้งานในการลากจูงรถสินค้าอย่างได้ผลดีอยู่หลายสิบปี
จนกระทั่งถูกปลดระวางเมื่อรถไฟเข้าสู่ยุคใหม่ที่ใช้รถจักรดีเซลเมื่อเกือบ
30 ปี ก่อน
รถจักรไอน้ำการ์แรตต์ที่เหลือคันสุดท้าย
หมายเลข 457
ถูกลากไปซุกไว้ในพงไม้ย่านช่างกลบางซื่อ
จนกระทั่งการรถไฟฯ
ใช้นโยบายใหม่ "จากอดีตที่ยิ่งใหญ่
สู่ยุครถไฟพัฒนา"
เกียรติภูมิของรถจักรไอน้ำสำคัญดันนี้จึงได้เป็นที่เปิดเผยตอนต้นปี
2533
การรถไฟในยุคพัฒนาได้ลากรถจักรไอน้ำการ์แรตต์หมายเลข
457
ออกจากที่ซุกซ่อนมาทำความสะอาดที่ย่านรถไฟบางซื่อค้างเคียงรถจักรฮาโนแม็กรุ่นราวคราวเดียวกัน
ชมรม "เรารักรถไฟ"
ได้พบหลักฐานว่า
การ์แรตต์แบบ 2-8-2+2-8-2
เป็นรถจักรไอน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก
สำหรับราง 1
เมตรที่ใช้อยู่ในสมัย 60
ปีก่อน
เป็นคันเดียวที่ยังเหลือในไทยและอาจเป็นในโลกด้วย
หลังจากที่นำไปตกแต่งซ่อมบำรุงภายนอกเพื่อให้เรียบร้อยสง่างามสมศักดิ์ศรีแล้ว
การรถไฟฯ ให้นำรถจักรการ์แรตต์หมายเลข
457 ไปตั้งแสดงไว้ที่ "อุทยานไอน้ำ"
ซึ่งจัดทำขึ้นในบริเวณสถานีรถไฟกาญจนบุรี
การรถไฟฯ
ร่วมกับชมรม "เรารักรถไฟ"
กำลังดำเนินการเพื่อให้อุทยานไอน้ำกาญจนบุรี
เป็นจุดสนใจสำหรับนักท่องเที่ยว
เพิ่มขึ้นอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดกาญจนบุรี
โดยประสานงานอย่างใกล้ชิดกับทางราชการจังหวัด
ที่มา : ชมรมเรารักรถไฟ