พระนันทะเถระ
พระนันทะ
เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ กับพระนางมหาปชาบดีโคตมี ผู้ครอง นครกบิลพัสดุ์
เมื่ออยู่ในครรภ์พระมารดา ทำให้บรรดาประยูรญาติมีความยินดีร่าเริงใจใคร
่จะ เห็น ด้วยเหตุนั้น เมื่อพระราชกุมารประสูติแล้ว บรรดาประยูรญาติ จึงได้ถือเอานิมิต
นั้นไปถวายพระนามว่า นันทกุมาร
เมื่อพระบรมศาสดาได้ตรัสรู้แล้วเสด็จมายังกรุงกบิลพัสดุ์
ประทับอยู่ที่นิโครธาราม ทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรด พระราชบิดา และพระนางปชาบดีโคตมี
พระน้านาง ประกาศสุจริตธรรม เพื่อให้เกิดความเชื่อ ความเลื่อมใส
วันหนึ่ง ได้มีการอาวาหมังคลาภิเษก
ระหว่างนันทกุมาร และพระนางชนบทกัลยาณี เมื่อพระพุทธองค์เสด็จไปเสวยที่พระตำหนัก
ของนันทกุมารเสร็จแล้ว ทรงส่งบาตรให้นันทกุมาร
ถือไว้ แล้วตรัสประทานพร เพื่อเป็นมงคลแล้วเสด็จกลับ ส่วนนันทกุมารในขณะถือบาตร
ตามเสด็จไปพลางนึกรำพึงในใจว่า ถ้าพระองค์ทรงรับบาตรในที่แห่งใดก็จะรีบกลับมา
แต่ก็ไม่
สามารถ จะทูลเตือน พระพุทธองค์ได้ เพราะมีความเคารพในพระองค์ ส่วนพระนางชนบทกัลยาณีที่เตรียมจะเป็นเทวีของนันทกุมาร
ได้เห็นอาการอย่างนั้น จึงร้องสั่งว่า ขอพระลูกเจ้าจงรีบเสด็จกลับมา ครั้นพระบรมศาสดาเสด็จถึงที่ประทับแล้ว
จึงตรัสถามนันทกุมาร
ว่า นันทะ เธอจักบวช หรือ? แม้นันทกุมารไม่สมัครใจจะบวช แต่ก็ไม่สามารถขัดพระหฤทัยได้
เพราะมีความเคารพมาก จึงทูลยอมรับด้วยความจำใจว่า จะบวชครั้นบวชแล้วหวนระลึ่กถึงแต่คำพูด
ที่นางชนบทกัลยาณี ร้องรับสั่งไว้อยู่เสมอ มีความกระสัน
ไม่มีความผาสุกในอันที่จะประพฤติ พรหมจรรย์ต่อไป คิดจะสึกออกมา พระบรมศาสดาทรงทราบเรื่องจึงได้พาเที่ยวจาริกไปในที่ต่าง
ๆ เพื่อให้พระนันทะได้พบเห็น หญิงสาวที่มีรูปร่างสวยงามกว่านางชนบทกัลยาณีนั้น
แล้วละความรัก
ในรูปของนางชนบทกัลยาณีเสีย และมุ่งหมายอยากได้ รูปหญิงสาวที่สวยงามยิ่งกว่านั้นต่อไป
ในที่สุดพระบรมศาสดาต้องเป็นผู้รับประกันว่า ถ้าพระนันทะตั้งใจจะประพฤติพรหมจรรย์แล้ว
พระองค์ทรงรับรองที่จะหาหญิงสาวที่สวย ๆ งาม ๆ ให้ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
พระนันทะก็ตั้งใจประพฤติพรหมจรรย์
เพื่อจะได้หญิงสาว ที่สวย ๆ งาม ๆ จนเรื่องนั้นแผ่กระจาย
ไปทั่วพวกภิกษุก็พากันล้อเลียนท่านว่า พระนันทะเป็นลูกจ้าง พระนันทะเกิดความละอายหลีก
ไปอยู่
ู่แต่เพียงผู้เดียว เกิดความดำริขึ้นในใจว่า ความรักไม่มีที่สิ้นสุดเกิดความสลดใจจนบรรเทา
ความรักเสียได้ เป็นผู้ไม่ประมาท ตั้งใจบำเพ็ญความเพียรจนได้บรรลุพระอรหัตผล
เมื่อพระนันทะได้บรรลุพระอรหัตตผลแล้ว
ปรากฎว่าท่านเป็นผู้ที่สำรวมระวังอินทรีย์ ด้วยเหตุนี้จึงได้รับยกย่องจากพระบรมศาสดา
ว่าเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายฝ่ายข้างสำรวมระวัง
อินทรีย์ ๖ ไม่ให้เกิดความยินดียินร้ายด้วยอำนาจของโลกธรรม และเป็นผู้มีความ
เกื้อกูลในปฏิภาณ ต่อมาท่านดำรงชนมายุสังขารอยู่โดยสมควรแก่กาลแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน
|