พระจูฬปันถกเถระ

        พระจูฬปันถก เป็นบุตรของธิดาแห่งเศรษฐี ในเมืองราชคฤห์ ชื่อว่า ปันถก เพราะเป็นน้องชายพระมหาปันถก จึงเติมคำว่า จูฬ ข้างหน้าเป็น จูฬปันถก ดังที่ได้กล่าวมาแล้วในประวัติของพระมหาปันถกนั้นประวัติของพระจูฬปันถก ในตอนต้น ึงทราบความตามนัยที่กล่าวแล้วในประวัติของพระมหาปันถกนั้นเถิดในที่นี้จักกล่าวแต่ตอนที่มา
อุปสมบท ในพระพุทธศาสนา         ซึ่งมีความว่าเมื่อพระท่านมหาปันถกได้บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้วเสวยวิมุตติสุขอยู่ใคร่จะให้
ความสุข เช่นนั้น เกิดแก่ จูฬปันถกบ้าง จึงไปขออนุญาตจากตา เพื่อขอให้จูฬปันถกบวช ตาก็อนุญาตให้ตามความประสงค์ พระมหาปันถกจึงให้จูฬปันถกบวช.
        ครั้นจูฬปันถกบวชแล้ว เป็นคนหัวทึบมาก พระมหาปันถก สอนให้เรียนคาถาพรรณนา
พระพุทธคุณเพียงคาถาเดียว เรียนอยู่ถึงสี่เดือนก็ยังจำไม่ได้ คาถานั้นว่า

             ปทุมํ ยถา โกกนุทํ สุคนฺธํ
             ปาโต สิยา ผุลฺลมวีตคนฺธํ
             องฺคีรสํ ปสฺส วิโรจมานํ
             ตปนฺตมาทิจฺจมิวนฺตลิกฺเข ฯ
         แปลว่า เธอจงดูพระสักยมุนีอังคีรส ผุ้มีพระรัศมีแผ่ซ่าน ออกจากพระบวรกาย มีพระบวรพักตร์อันเบิกบาน ปานหนึ่งว่า ดอกบัวชื่อ โกกนุทมีกลิ่นหอม ย่อมขยายกลีบแล้วบานในตอนเช้า มีกลิ่นเรณูไม่จางหาย ท่านย่อมรุ่งเรืองไพโรจน์ดุจดวงอาทิตย์อันส่องสว่างแผดแสงอยู่กลางท้องฟ้า
        ฉะนั้น. ท่านพระมหาปันถก ทราบว่าท่านจูฬปันถกโง่เขลามาก จึงประณามขับไล่ออกจาก
สำนักของท่าน ในขณะที่ท่านเป็นภัตตุเทศก์ หมอชีวกโกมารภัจจ์มานิมนต์ภิกษุไปฉันในวันรุ่งขึ้น ท่านก็ไม่นับพระจูฬปันถกเข้าด้วย พระจูฬปันถกเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจคิดจะไปสึกเสีย จึงออกไปแต่เช้าตรู่ ได้พบพระศาสดาเสด็จจงกรมอยู่ที่ซุ้มประตู พระองค์จึงตรัสถามว่า จูฬปันถก เธอจะไปไหนในเวลานี้ พระจูฬปันถกกราบทูลว่า ข้าพระองค์จะไปสึก เพราะพี่ชายขับไล่ข้าพระองค์ พระศาสดาจึงตรัสเตือนสติท่านว่า จูฬปันถก เธอบวชเพื่อพี่ชายเมื่อไหร่ บวชเพื่อเราต่างหาก เมื่อพี่ชายขับไล่ ทำไมไม่มาหาเรา มานี่ ประโยชน์อะไรด้วยฆราวาสมาอยู่กับเราดีกว่า พระจูฬปันถกเข้าไปเฝ้าแล้วพระองค์ทรงลูบศีรษะด้วยฝ่าพระหัตถ์แล้วพาไปให้นั่งที่หน้ามุขพระคันธกุฎี
ประทานผ้าขาวอันบริสุทธิ์ให้นั่งลูบคลำทำบริกรรมว่า รโชหรณํ รโชหรณํ เมื่อท่านลูบคลำ
ทำบริกรรมไม่นาน ผ้านั้นก็เศร้าหมองเหมือนผ้าเช็ดมือ จึงคิดว่าผ้านี้เป็นของขาวบริสุทธ
ิ์อย่างเหลือเกิน พอมาถูกอัตภาพนี้จึงละภาวะเดิมเสีย กลายเป็นผ้าที่เศร้าหมองไป สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ เจริญวิปัสสนาพระศาสดาทรงทราบจึงตรัสสั่งสอนด้วยพระคาถา ในเวลาจบพระคาถา พระจูฬปันถกได้บรรลุพระอรหัตตผล         ขณะลูบคลำผ้าบริกรรมอยู่นั้นพระศาสดาพร้อมด้วยภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป หย่อนอยู่หนึ่งรูป เสด็จไปยังบ้านของหมอชีวก ครั้นพอเข้าไปถวาย พระองค์ทรงปิดบาตรเสียพร้อมกับตรัสว่า ภิกษุยังมาไม่หมด ยังเหลืออยู่ที่วิหารอีก ๑ รูป หมอชีวกจึงใช้ให้คนไปตาม ในเวลานั้นพระจูฬปันถกเนรมิตพระภิกษุหนึ่งพันรูปจนเต็มวิหาร เมื่อคนใช้ไปถึง เห็นมีพระมากมายถึงพันรูปจึงรีบกลับไปบอกหมอชีวกโกมารภัจจ์ ลำดับนั้นพระศาสดาได้ตรัสกะบุรุษนั้นว่าเจ้าจงไปแล้วบอกว่า พระศาสดา ตรัสเรียกพระจูฬปันถก
บุรุษ นั้นก็กลับไปวิหารอีกแล้วบอกตามคำสั่ง ภิกษุทั้งหมดพูดขึ้นว่า ฉันชื่อจูฬปันถก บุรุษคนนั้นก็กลับมาอีก กราบทูลว่า ภิกษุเหล่านั้น ชื่อจูฬปันถกทั้งนั้น พระเจ้าข้า พระศาสดาตรัสว่า ภิกษุรูปใด พูดขึ้นก่อน จงจับมือภิกษุรูปนั้นไว้ ภิกษุรูปที่เหลือจักอันตรธานหายไป บุรุษนั้นไปถึงวิหารแล้วทำอย่างนั้น จึงได้พาพระจูฬปันถก ไปสู่ที่นิมนต์ ในที่สุดแห่งภัตกิจ ท่านพระจูฬปันถกได้ทำภัตตานุโมทนา อาศันที่ท่านประกอบด้วยมโนมยิทธิ เช่นนี้ จึงได้รับการยกย่องจากพระบรมศาสดาว่า เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ผู้ชำนาญในมโนมยิทธิ* ครั้นดำรงชนมายุสังขารอยู่โดย สมควรแก่กาลแล้วก็ดับขันธปรินิพพาน.
*มโนมยิทธิ : ฤทธิ์สำเร็จด้วยใจ คือ เนรมิตกายอื่นออกจากกายนี้ ดุจชักดาบจากฝัก


 
Hosted by www.Geocities.ws

1