สมเด็จพระวันรัต (เฮงเขมจาร)
ประวัติและความเป็นมา
ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย
สมเด็จพระวันรัต วัดมหาธาตุฯ
มีนามเดิมว่า เฮง หรือ กิมเฮง นามฉายาว่า เขมจารี เกิดเมื่อวันจันทร์ เดือน
๓ ขึ้น ๑๑ ค่ำ ปีมะเส็ง จ.ศ.๑๒๔๓ ตรงกับวันที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ.๒๔๒๔ ณ บ้านท่าแร่
ต.สะแกกรัง อ.เมือง จ.อุทัยธานี บิดาเป็นจีนนอก ชื่อตั้วเก๊าแซ่ฉั่ว เป็นพ่อค้า
มารดาชื่อ ทับทิม มีพี่น้องร่วมบิดามารดา ๔ คน ด้วยกัน คนที่ ๑ เป็นหญิง
ตายเสียแต่เป็นเด็กก่อน คนที่ ๒ เป็นชายชื่อกิมฮวด บรรพชาอุปสมบทตลอดมาจนเป็นพระราชาคณะ
ที่พระสุนทรมุนี เจ้าคณะจ.อุทัยธานี คนที่ ๓ คือ สมเด็จพระวันรัต (เฮง เขมจารี)
และคนที่ ๔ เป็นหญิงตายพร้อมกับมารดา ในเวลาคลอด ยายชื่อ แห จึงอุปถัมภ์เลี้ยงดูสมเด็จฯ
ต่อมา ครั้นอายุย่างเข้า ๘ ปี ป้าชื่อ เกศร์ ได้พาท่านไปฝากให้เรียนหนังสือไทยอยู่ในสำนักพระอาจารย์ชัง
วัดขวิด จนมีความรู้หนังสือไทยเขียนได้อ่านออก ครั้นอายุย่างเข้า ๑๑ ปี ยายและป้าได้พาไปฝากอยู่ในสำนักพระปลัดใจ
(ซึ่งต่อมาเป็นพระราชาคณะ ที่พระสุนทรมุนี เจ้าคณะจ.อุทัยธานี) เจ้าอาวาสวัดทุ่งแก้ว
ซึ่งต่อมารวมวัดขวิดกับวัดทุ่งแก้วเข้าด้วยกัน ตั้งชื่อใหม่ว่า วัดมณีสถิตกปิตถาราม
เมื่อไปอยู่วัดทุ่งแก้ว ก็เริ่มศึกษาในทางภาษาบาลี เริ่มอ่านและเขียน
อักษรขอม กะ ขะ ฯลฯ แล้วหัดอ่านหนังสือพระมาลัยตามประเพณีการศึกษาในสมัยโบราณ
แล้วท่องสูตรมูลกัจจายน์และเรียนสนธิกับพระอาจารย์อ่ำ เรียนนามถึงกิตก์กับพระอาจารย์แป้น
เรียนอุณณาทและการกกับพระปลัดใจ และเรียนพระธรรมบทและมงคลทีปนีกับ พระปลัดใจบ้างกับท่านอาจารย์ม่วงบ้าง
กับหลวงธรรมปรีชา (เอก) บ้าง กับพระอาจารย์ฤกษ์บ้าง กับอาจารย์อุ่ม ซึ่งขึ้นไปจากกรุงเทพฯ
และไปพักอยู่ที่วัดพิไชยบ้าง เรียนกับพระมหายิ้มวัดมหาธาตุฯ ในกรุงเทพฯ ซึ่งขึ้นไปเยี่ยมพระอาจารย์ม่วงและพักอยู่ที่วัดทุ่งแก้วบ้าง
ได้หัดเรียนลูกคิดกับพระภิกษุวันและเรียนเลขกับพระภิกษุอ่อน ครั้นอายุย่างเข้า
๑๒ ปี บรรพชาเป็นสามเณร และได้สึกจากสามเณรเสีย ๒ ครั้ง เพราะต้องเซ่นไหว้บรรพบุรุษ
ในเทศกาลตรุษจีนตามธรรมเนียมของจีน เมื่อมีอายุย่างเข้า ๑๓ ปี จึงบรรพชาเป็นสามเณรอีก
และเรียนภาษาบาลีอยู่ในวัดทุ่งแก้วตลอดมาเรียนมูลกัจจายน์จบ เรียนพระธรรมบทจบ
และเรียนมงคลทีปนี ไปแล้ว ๖ - ๗ ผูก ครั้นอายุย่างเข้า ๑๗ ปี จึงลงมาอยู่วัดมหาธาตุฯ
กรุงเทพฯ เมื่อวันศุกร์ เดือน ๑๑ แรม ๑๒ ค่ำ ปีระกา ตรงกับวันที่ ๒๒ ตุลาคม
พ.ศ.๒๔๔๐ และอยู่กับพระมหายิ้ม คณะเลข ๒๓ ซึ่งในเวลานั้นยังไม่มีเลขที่ประจำคณะ
แต่เรียกกันว่า คณะต้นจันทร์ เพราะมีต้นจันทร์อยู่หลังกุฏิ ๓ ต้น สมัยนั้นสมเด็จพระวันรัต
(ฑิต) ดำรงสมณศักดิ์ที่พระพิมลธรรม เป็นเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุฯ และมีพระราชาคณะผู้ช่วย
๒ องค์ คือ พระราชโมลี (จ่าย) และพระอมรเมธาจารย์ (เข้ม)
เมื่อแรกมาวัดมหาธาตุฯ สมเด็จฯ ได้เข้าเรียนพระปริยัติธรรมกับพระยาธรรมปรีชา
(ทิม) ซึ่งขณะนั้นเป็นหลวงอุดมจินดา เป็นอาจารย์หลวงท่านหนึ่งใน ๔ ท่าน ที่สอนบาลีพระปริยัติธรรมอยู่
ณ ระเบียงพระอุโบสถวัดมหาธาตุฯ ตอนเหนือ และเรียนกับพระมหายิ้มบ้าง กับพระอมรเมธาจารย์บ้าง
ครั้น พ.ศ.๒๔๔๑ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้สอบพระปริยัติธรรมสนามหลวง
ณ วัดสุทัศนเทพวราราม และโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระวันรัตน (แดง) วัดสุทัศนเทพวราราม
เป็นอธิบดีในการสอบ หลวงอุดมจินดาผู้เป็นอาจารย์สอน จึงสนับสนุนให้สมเด็จฯ
เข้าสอบด้วย และ ได้เป็นเปรียญ ๓ ประโยค ในปีนั้น เมื่ออายุย่างเข้า ๑๘ ปี
แล้วไปเรียนต่อกับสมเด็จ พระวันรัตน (แดง) อยู่พรรษาหนึ่ง และเรียนกับสมเด็จพระวันรัต
(ฑิต) แต่ยังเป็นพระพิมลธรรมด้วย ครั้นรุ่งขึ้นในปี พ.ศ.๒๔๔๒ มีการประชุมสอบกันที่วัดสุทัศนเทพวราราม
โดยสมเด็จพระวันรัตน (แดง) เป็นอธิบดีเช่นเคย แต่เมื่อประชุมสอบไปได้ ๓ วัน
สมเด็จพระวันรัตน (แดง) เริ่มอาพาธ จึงยุติการสอบไล่ในปีนั้น
ในปี พ.ศ.๒๔๔๓ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพระอรุณนิภาคุณากร เป็นอธิบดีในการสอบพระปริยัติธรรม
และประชุมสอบที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม สมเด็จฯ เข้าสอบได้อีกประโยคหนึ่งในปีนี้
จึงเป็นเปรียญ ๔ ประโยค เมื่ออายุย่างเข้า ๒๐ ปี ครั้นรุ่งขึ้นใน พ.ศ.๒๔๔๔
พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพระอรุณนิภาคุณากรสิ้นพระชนม์ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส ทรงเป็นแม่กองกลาง ให้สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
(แสง) เป็นแม่กองเหนือ สมเด็จพระวันรัต (ฑิต) เป็นแม่กองใต้ ประชุมสอบ ณ
วัด พระศรีรัตนศาสดาราม สมเด็จฯ เข้าสอบประโยค ๕ ได้ แต่สอบประโยค ๖ ตก จึงเป็นเปรียญ
๕ ประโยค เมื่ออายุย่าง ๒๑ ปี ต่อมาเมื่ออายุย่างเข้า ๒๒ โดยปี ได้อุปสมบท
ณ พัทธสีมาวัดมหาธาตุฯ เมื่อ ณ วันจันทร์ เดือน ๗ ขึ้น ๑๑ ค่ำ ปีขาล ตรงกับวันที่
๑๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๔๕ โดยสมเด็จพระวันรัต (ฑิต) เป็นพระอุปัชฌายะ และพระธรรมวโรดม
(จ่าย) วัดเบญจมบพิตรกับพระเทพเมธี (เข้ม) วัดพระเชตุพนฯ เป็นคู่กรรมวาจาจารย์
และในปีนั้น เข้าสอบพระปริยัติธรรม ได้อีก ๒ ประโยค จึงเป็นเปรียญ ๗ ประโยค
ครั้นปีรุ่งขึ้น คือ พ.ศ.๒๔๔๖ ได้เข้าสอบได้อีก ๑ ประโยค จึงเป็นเปรียญ ๘
ประโยค สมเด็จพระวันรัต (ฑิต) พระอุปัชฌายะได้ถวายตัวฝากเรียนฎีกาสังคหะ
(อภิธมฺมตฺถวิภาวินี) กับพระเจ้าน้องยาเธอกรมหลวงวชิรญาณวโรรสทรงเป็นพระอาจารย์แต่นั้นมา
ครั้นรุ่งขึ้นในปี พ.ศ.๒๔๔๗ สมเด็จฯ ก็เข้าสอบได้อีก ๑ ประโยค จึงเป็นเปรียญ
๙ ประโยค เมื่ออายุย่างเข้า ๒๔ ปี
สมเด็จฯ เป็นนักการศึกษา ตำแหน่งหน้าที่ประจำที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงและยืดยาวนานของท่าน
คือ นายกมหาธาตุวิทยาลัย ซึ่งท่านได้รับช่วงสืบต่อมาจาสมเด็จ พระวันรัต (ฑิต)
พระอุปัชฌายะของท่าน และท่านก็สามารถทำนุบำรุง และจัดการศึกษาของสถานศึกษาฝ่ายพระมหานิกายแห่งนี้ให้เจริญก้าวหน้าเป็นอย่างยิ่ง
สมดังพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งปรากฏในประกาศพระราชปรารภในการก่อพระฤกษ์สังฆิกเสนาสนราชวิทยาลัย
ท้าวความเดิมถึงพระราชปณิธานที่ตรงตั้งมหาธาตุวิทยาลัยไว้ว่า อีกสถานหนึ่ง
เป็นที่เล่าเรียนของคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย ได้ตั้งไว้ที่วัดมหาธาตุฯ ได้เปิดการเล่าเรียนมาตั้งแต่วันที่
๘ พฤศจิกายน รัตนโกสินทรศก ๑๐๘ (พ.ศ.๒๔๓๒) สืบมา สมเด็จฯ ทุ่มเทชีวิตจิตใจและสติปัญญาลงไปในการจัดการศึกษาของมหาธาตุวิทยาลัยอย่างจริงจัง
นอกจากจัดการศึกษาโดยตรงแล้ว เพื่อสนับสนุนการศึกษาให้มั่นคงถาวรยิ่งขึ้น
สมเด็จฯ ได้ขวนขวายจัดตั้งมูลนิธิบำรุงการศึกษาพระปริยัติธรรมของมหาธาตุวิทยาลัยขึ้น
เมื่อ พ.ศ.๒๔๖๘ เรียกชื่อตามตราสารตั้งมูลนิธิว่า นิธิ โรงเรียนบาลีมหาธาตุวิทยาลัย
มีคณะกรรมการทั้งฝ่ายบรรพชิตและฝ่ายคฤหัสถ์ร่วมจัดการ และมีระเบียบดำเนินการอย่างรัดกุมเป็นอย่างดียิ่ง
สำนักงานของมูลนิธิ ตั้งอยู่ที่สำนักงานพระคลังข้างที่ในพระบรมราชวัง การจัดตั้งมูลนิธิของสมเด็จฯ
ทำให้มหาธาตุวิทยาลัยสมัยนั้นมีฐานะมั่นคงเข้มแข็ง และสามารถขยายการศึกษาได้กว้างขวางยิ่งขึ้น
ด้วยความเป็นห่วง ในการศึกษาพระปริยัติธรรม แม้เมื่อสมเด็จฯ บำเพ็ญกุศลในคราวมีอายุครบ
๕ รอบ
หรือ ๖๐ ปีบริบูรณ์ ใน พ.ศ.๒๔๘๕ ยังได้สร้างหนังสือแปลบาลีแบบสนามหลวง ตั้งแต่ประโยค
๓ ถึงประโยค ๙ ซึ่งสมเด็จฯ แปลขึ้นเพื่อใช้เป็นตัวอย่าง แจกจ่ายไปตามสำนักเรียนต่าง
ๆ ทั้งในกรุงและหัวเมือง ตลอดถึงนักเรียนผู้ต้องการทั้งในสำนักวัดมหาธาตุฯ
และต่างสำนัก
ท่านป่วยด้วยโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรังกับขั้วปอดโตขึ้น มีอาการไอกำเริบ มรณภาพวันที่
๑๐ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๘๖ ณ หอเย็นคณะเลข ๑ วัดมหาธาตุฯ อายุได้ ๖๓ ปี พรรษาได้
๔๒ พรรษา
ข้อมูลจาก www.luangta.com
|